Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

 คุณแม่ลูก 3 คว้า “มงกุฎเชียงราย” Mrs. Thailand World 2025

เชียงรายส่งตัวแทนสาวงามคว้ามง Mrs. Thailand World 2025 สู่เวทีระดับชาติ สะท้อนพลังสตรีร่วมพัฒนาสังคม

เชียงราย, 20 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าส่งเสริมศักยภาพสตรีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในเวทีการประกวด Mrs. Thailand World 2025 ตัวแทนจากอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย คว้าตำแหน่งผู้ชนะเลิศอย่างสง่างาม พร้อมเตรียมตัวก้าวเข้าสู่เวทีระดับประเทศในนามตัวแทนภาคเหนือ เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กับบทบาทสตรีไทยในเวทีนานาชาติ

พิธีมอบมงกุฎท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและภาคภูมิใจของชาวเชียงราย

เมื่อเวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมเชียงรุ้ง โรงแรมเวียงอินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ได้จัดพิธีมอบมงกุฎ Mrs. Thailand World 2025 เชียงราย โดยได้รับเกียรติจากนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีมอบมงกุฎอันทรงเกียรติแก่ผู้ชนะเลิศ ได้แก่ นางชญาดา เกลี้ยงบัวคง อายุ 40 ปี ชาวอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บริหาร Doctor P Clinic (รามอินทรา 109) และเป็นคุณแม่ลูก 3 ที่มีบุคลิกภาพโดดเด่น ผนวกกับความสามารถที่น่าประทับใจ

ภายในงานเป็นไปอย่างชื่นมื่น ท่ามกลางเสียงเชียร์จากครอบครัว เพื่อนฝูง และประชาชนทั่วไปที่เดินทางมาให้กำลังใจอย่างคับคั่ง นับเป็นอีกก้าวสำคัญของจังหวัดเชียงรายในการสนับสนุนสตรีให้มีพื้นที่ในการแสดงออกถึงคุณค่าที่แท้จริง

Mrs. Thailand World เวทีที่เปิดกว้างให้สตรีแสดงบทบาทอย่างทรงคุณค่า

การประกวด Mrs. Thailand World แตกต่างจากเวทีนางงามทั่วไป ตรงที่เปิดโอกาสให้สตรีที่ผ่านการสมรสแล้วได้เข้าร่วมแสดงความสามารถในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านสังคม ปัญญา บุคลิกภาพ และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน โดยเวทีนี้ไม่เพียงเน้นที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังมุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง การเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงทั่วประเทศ และการเป็นตัวแทนสะท้อนบทบาทของสตรีไทยในศตวรรษที่ 21

นายก อบจ.เชียงราย กล่าวแสดงความยินดีว่า “วันนี้ไม่เพียงเป็นวันแห่งความภาคภูมิใจของตัวแทนสตรีเชียงราย แต่ยังเป็นวันแห่งการส่งต่อพลังและแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงทุกคนกล้าที่จะลุกขึ้นมาเปล่งประกายบนเวทีชีวิตของตนเอง”

แรงสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ สู่การยกระดับสตรีไทยสู่เวทีโลก

งานในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย อาทิ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย สมาคมสตรีเชียงราย สมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย และสื่อมวลชนท้องถิ่น ร่วมกันผลักดันให้เวทีการประกวดมีมาตรฐานและสะท้อนความสามารถของผู้เข้าประกวดอย่างรอบด้าน

นางอทิตาธร กล่าวเพิ่มเติมว่า “เวทีนี้คือพื้นที่ของสตรีที่สมบูรณ์แบบในทุกมิติ ทั้งในฐานะผู้หญิง ภรรยา มารดา และนักพัฒนา เป็นสัญลักษณ์ของพลังสตรีในโลกยุคใหม่ที่มีบทบาททั้งในบ้านและในเวทีสาธารณะ”

นางชญาดา เกลี้ยงบัวคง แบบอย่างของสตรีร่วมสมัยที่ทรงพลัง

นางชญาดา เกลี้ยงบัวคง ไม่เพียงโดดเด่นด้วยบุคลิกภาพและวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจ แต่ยังมีบทบาทเชิงสังคมในฐานะผู้บริหารคลินิกความงามที่ส่งเสริมสุขภาพจิตใจและความมั่นใจของผู้หญิงไทย อีกทั้งยังมีบทบาทในกิจกรรมการกุศลร่วมกับมูลนิธิต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนเด็กกำพร้าและผู้ป่วยยากไร้ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและเชียงราย

ในการประกวด เธอสามารถตอบคำถามในรอบสัมภาษณ์ได้อย่างชาญฉลาด แสดงวิสัยทัศน์ในการส่งเสริมบทบาทผู้หญิงในครอบครัวและสังคม ทำให้ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างล้นหลามจากคณะกรรมการและผู้ชมในงาน

เป้าหมายต่อไป สู่เวที Mrs. Thailand World 2025 ระดับประเทศ

หลังจากนี้ นางชญาดาจะเป็นตัวแทนของจังหวัดเชียงรายในการเข้าร่วมประกวด Mrs. Thailand World 2025 ระดับประเทศ โดยทีมงาน อบจ.เชียงราย และภาคีเครือข่ายได้เริ่มดำเนินการเตรียมความพร้อมในทุกมิติ ทั้งการฝึกซ้อม การพัฒนาบุคลิกภาพ และการสร้างแคมเปญเพื่อสื่อสารบทบาทสตรีเชียงรายในเวทีระดับชาติ

นายก อบจ. ได้กล่าวปิดท้ายว่า “ชาวเชียงรายทุกคนคือกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ เราเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวแทนเรา และพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้เธอสามารถเปล่งประกายอย่างมีศักดิ์ศรี”

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • ข้อมูลจากสมาคม Mrs. Thailand World ระบุว่า ในปี 2567 มีผู้สมัครจากทั่วประเทศจำนวน 1,238 คน โดยตัวแทนจากภาคเหนือผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย 4 คน
  • ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมสตรีและครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระบุว่า ร้อยละ 68 ของสตรีในวัยทำงานมีบทบาททั้งในภาคธุรกิจและการพัฒนาสังคม
  • ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เชียงราย รายงานว่าการมีส่วนร่วมของสตรีในกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมในจังหวัดเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากปี 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กอ.รมน.เชียงราย เตรียมแผนป้องกันน้ำท่วมแม่สาย

กอ.รมน.เชียงราย จับมือท้องถิ่นเตรียมรับมืออุทกภัยแม่สาย งวดที่ 2 ประจำปี 2568 เดินหน้าวางแผนบูรณาการร่วมทุกภาคส่วน

เชียงราย, 20 พฤษภาคม 2568 – กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จังหวัดเชียงราย โดย พันโทนิรุธ ณ ลำปาง รองหัวหน้ากลุ่มงานประสานความมั่นคง ร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอแม่สาย เร่งดำเนินการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย งวดที่ 2 ประจำปีงบประมาณ 2568 เพื่อรับมือสถานการณ์อุทกภัยในฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

จากปัญหาซ้ำซากสู่แนวทางรับมือ: การลงพื้นที่ร่วมภาคีเครือข่าย

เมื่อเวลา 09.30 น. ของวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 กอ.รมน.เชียงราย ลงพื้นที่พบปะประสานการปฏิบัติร่วมกับนายวรรณศิลป์ จีระกาศ ปลัดเทศบาล ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย เพื่อติดตามสถานการณ์และความคืบหน้าในการเตรียมรับมืออุทกภัยในพื้นที่

กิจกรรมในครั้งนี้ครอบคลุมการตรวจสอบสภาพคลองภายในชุมชน บริเวณบ้านหัวฝาย ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงเกิดน้ำหลากและน้ำท่วมฉับพลัน โดยมีการตรวจความคืบหน้าการขุดลอกและทำผนังกันน้ำที่ดำเนินการโดยทหารช่าง รวมถึงการวางแนวทางในการขจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำและเร่งรัดการเตรียมระบบแจ้งเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สรุปข้อเสนอและแนวทางแก้ไขปัญหาจากเวทีหารือ

การหารือร่วมระหว่าง กอ.รมน.และเทศบาลตำบลแม่สายได้ข้อสรุปเบื้องต้น ดังนี้:

  1. เทศบาลตำบลแม่สายดำเนินการขุดลอกท่อและคลองภายในชุมชนแล้วจำนวน 4 ครั้งในรอบปีที่ผ่านมา
  2. ปัญหาหลักคือเมื่อตกฝนหนัก มวลน้ำและทรายจากพื้นที่สูงไหลเข้าสู่ทางระบายน้ำ ทำให้เกิดการอุดตันอย่างรวดเร็ว
  3. เทศบาลยังประสบปัญหาด้านงบประมาณในการดูแลรักษาและขุดลอกระบบระบายน้ำอย่างต่อเนื่อง
  4. การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำทางระบายน้ำได้รับการมอบหมายให้ทหารช่างดำเนินการ โดยเทศบาลจะเป็นผู้ประสานงานกับชาวบ้าน
  5. ตลาดสายลมจอย ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ มีการเช่าพื้นที่ล่วงหน้าในระยะยาว 4-5 ปี โดยแม่ค้ายืนยันไม่ขอย้ายออกและยอมรับความเสี่ยงกรณีเกิดอุทกภัยโดยไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐบาล
  6. เทศบาลมีแผนการแจ้งเตือนและอพยพประชาชนอย่างเป็นระบบหากเกิดเหตุอุทกภัยฉับพลัน
  7. ประชาชนในพื้นที่มีความตื่นตัวและให้ความร่วมมือกับทางราชการเป็นอย่างดี
  8. เทศบาลแม่สายได้ขอประสานกับ กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย เพื่อแจ้งหน่วยงานอื่น ๆ ได้แก่ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จว.ชร.), หน่วยทหาร, ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงราย เพื่อจัดทำแผนรับมืออุทกภัยและซักซ้อมการอพยพให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงภัยทั้งหมด

วิเคราะห์ภาพรวมและผลกระทบเชิงระบบ

จากการประเมินโดยเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.เชียงราย พบว่าปัญหาอุทกภัยในพื้นที่แม่สายเป็นปัญหาซ้ำซาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีปริมาณน้ำฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ยจากแนวเทือกเขาด้านตะวันตกของอำเภอ ซึ่งทำให้เกิดน้ำหลากรุนแรงและรวดเร็ว

แนวทางที่ได้รับการเสนอจากนักวิชาการท้องถิ่นประกอบด้วยการพัฒนาระบบ Early Warning System (EWS) โดยอาศัยเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ตรวจวัดน้ำฝนและน้ำหลาก รวมถึงการสร้างฝายชะลอน้ำและบ่อพักน้ำในชุมชน เพื่อแบ่งเบาภาระของระบบระบายน้ำหลัก

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • จากรายงานของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ปี 2566 ระบุว่า อำเภอแม่สายมีเหตุอุทกภัยเกิดขึ้น 6 ครั้ง มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 3,100 ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตรเสียหายมากกว่า 1,800 ไร่
  • รายงานจากเทศบาลตำบลแม่สาย ปี 2567 พบว่าในช่วงฤดูฝน มีการขุดลอกท่อระบายน้ำเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง แต่ยังไม่เพียงพอต่อการรองรับปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นทุกปี
  • ศูนย์พยากรณ์อากาศภาคเหนือ กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่า ปี 2568 ภาคเหนือจะมีฝนตกสูงกว่าค่าเฉลี่ย 15% โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จังหวัดเชียงราย (กอ.รมน.เชียงราย)
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์พยากรณ์อากาศภาคเหนือ กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ไร่เชิญตะวันไม่ร้าง ว.วชิรเมธีโต้ข่าวลือ ฟ้องยูทูปเบอร์

พระเมธีวชิโรดม ชี้แจงข้อกล่าวหายูทูปเปอร์ปมไร่เชิญตะวันรกร้าง ยืนยันยังมีประชาชนเข้าปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง

เชียงใหม่, 20 พฤษภาคม 2568 – พระเมธีวชิโรดม หรือท่าน ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการศูนย์วิปัสนาสากลไร่เชิญตะวัน จังหวัดเชียงราย ออกแถลงชี้แจงกรณียูทูปเปอร์บางรายเผยแพร่เนื้อหาผ่านโซเชียลมีเดียกล่าวหาไร่เชิญตะวันเป็นวัดร้าง และระบุว่าไม่มีผู้คนไปปฏิบัติธรรม ทั้งยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวพระเมธีวชิโรดมว่าหายตัวไปจากพื้นที่ โดยยืนยันว่าทั้งหมดไม่เป็นความจริง พร้อมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้เผยแพร่ข้อมูลเท็จ

ตรวจสอบข้อเท็จจริง: ไร่เชิญตะวันยังมีการปฏิบัติกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไร่เชิญตะวัน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่าภายในไร่ยังคงมีสภาพที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีพระสงฆ์และเจ้าหน้าที่ประจำการตามปกติ พร้อมพบว่าพระเมธีวชิโรดมอยู่ภายในไร่และได้พาชมสถานที่ต่าง ๆ ด้วยตนเอง

ท่าน ว.วชิรเมธี ระบุว่า ผู้ที่เผยแพร่เนื้อหาเท็จมักบันทึกภาพในช่วงเวลานอกการเปิดให้บริการ ซึ่งไร่เชิญตะวันเปิดตั้งแต่เวลา 09.00–17.00 น. และมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องทุกวัน เช่น การบรรยายธรรม การอบรมสามเณร การประชุมทีมงาน และการปฏิบัติธรรมของประชาชนทั่วไป

ความเคลื่อนไหวของพระเมธีวชิโรดม จากเชียงรายสู่เวทีระดับโลก

พระเมธีวชิโรดมเปิดเผยว่า ตลอดช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้เดินทางไปประกอบศาสนกิจที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อดำเนินการสร้างวัดถวายแด่พระอุปัชฌาย์คือพระเทพสิทธินายก อดีตเจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ โดยปัจจุบันมีวัดในประเทศญี่ปุ่นภายใต้การดูแลแล้วสองแห่ง ได้แก่ วัดหลวงพ่อชื่นพุทธาราม จังหวัดไซตามะ

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 15–16 พฤษภาคม 2568 ท่านยังได้เป็นประธานในพิธีปฐมนิเทศนักเรียนใหม่โรงเรียนวัดครึ่งใต้วิทยา ณ ไร่เชิญตะวัน ซึ่งเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-สามัญที่ตั้งอยู่ภายในไร่โดยตรง

ล่าสุด มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด สหราชอาณาจักร ได้มีฉันทามติตั้งกองทุนวิจัย “The Vajiramedhi Scholarship in Pali Studies” โดยมีพระเมธีวชิโรดมเป็นประธานที่ปรึกษา ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยและวงการพระพุทธศาสนาโลก

การดำเนินคดีทางกฎหมายต่อผู้เผยแพร่ข้อมูลเท็จ

จากกรณียูทูปเปอร์บางรายเผยแพร่คลิปที่ระบุว่าไร่เชิญตะวันรกร้างและไม่มีการดูแล พระเมธีวชิโรดมเปิดเผยว่า ได้มีการตั้งทีมทนายความและยื่นฟ้องผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อศาลจังหวัดเชียงราย โดยมีบางรายติดต่อขอให้ถอนฟ้อง แต่ทางทนายยืนยันจะดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายเพื่อรักษาสิทธิและศักดิ์ศรีขององค์กร

“บางคนอยากได้ยอดไลก์ยอดแชร์ เอาข้อมูลผิด ๆ ไปลงในโซเชียล สร้างความเข้าใจผิดในวงกว้าง อยากให้ผู้ผลิตเนื้อหาออนไลน์มีจรรยาบรรณในการนำเสนอข้อมูล” พระเมธีวชิโรดมกล่าว

ชี้แจงกรณีการเงินของไร่เชิญตะวัน – ตรวจสอบได้ โปร่งใส

พระเมธีวชิโรดมยังกล่าวถึงข้อครหาที่ว่าไร่เชิญตะวันเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน โดยยืนยันว่าเรื่องการเงินทั้งหมดดำเนินการผ่านมูลนิธิไร่เชิญตะวัน ไม่มีบัญชีส่วนตัวใดเกี่ยวข้อง ยกเว้นบัญชีนิตยภัตสำหรับพระเปรียญ 9 เท่านั้น

“ทุกบาททุกสตางค์ที่มีผู้ถวายมา เรานำเข้าไปในบัญชีมูลนิธิ สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด ใครต้องการข้อมูลเชิงลึกสามารถติดต่อขอจากมูลนิธิได้โดยตรง” พระเมธีวชิโรดมย้ำ

วิเคราะห์ผลกระทบต่อวงการสื่อและพระพุทธศาสนา

นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและศาสนาเห็นพ้องว่า กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงอันตรายของการเผยแพร่ข้อมูลเท็จผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งนอกจากจะสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ขององค์กรศาสนาแล้ว ยังทำให้สังคมเกิดความแตกแยกในด้านความเชื่อ

การใช้สื่อโดยไม่กลั่นกรองและไม่ยึดหลักจรรยาบรรณวิชาชีพจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และอาจเป็นบ่อเกิดของคดีความและความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นในสังคม

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • จากรายงานของสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า ไร่เชิญตะวันมีผู้เข้าชมเฉลี่ย 8,000–10,000 คนต่อเดือนในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว และประมาณ 4,000–6,000 คนต่อเดือนในช่วงนอกฤดูกาล
  • ข้อมูลจากมูลนิธิไร่เชิญตะวันระบุว่า มีการจัดกิจกรรมอบรมธรรมะและหลักสูตรการเจริญสติไม่น้อยกว่า 36 ครั้งต่อปี และมีพระภิกษุและสามเณรที่เข้ารับการอบรมอย่างต่อเนื่อง
  • สำนักงานศาสนสมบัติกลางของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุว่า ศูนย์วิปัสนาสากลไร่เชิญตะวันเป็นศูนย์กลางด้านการอบรมพระธรรมทูตสายสากลระดับภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิไร่เชิญตะวัน
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  • มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

เที่ยวเชียงรายยามเย็น เส้นทางใหม่ “แสงเวียง”

เชียงใหม่จัดประชุมออกแบบเส้นทาง “มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา” 6 จังหวัดภาคเหนือ เชื่อมโยงเมืองเก่า สู่วิถีใหม่ทางวัฒนธรรม

เชียงใหม่, 20 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องดอยหลวง ชั้น 24 โรงแรมดวงตะวันเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดประชุมหารือภายใต้โครงการ “ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองเก่าอารยธรรมล้านนา” เพื่อออกแบบเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ในชื่อว่า “มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา” ครอบคลุมพื้นที่ 6 จังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน พะเยา และแม่ฮ่องสอน

โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่า ผ่านการนำเสนออัตลักษณ์ล้านนาในช่วง “ยามแลง” หรือช่วงเย็น ด้วยกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม อาหารพื้นถิ่น และวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม เพื่อสร้างเส้นทางท่องเที่ยวทางเลือกใหม่ ที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันอย่างกลมกลืน

การประชุมระดับภูมิภาค – ความร่วมมือระหว่าง 6 จังหวัดล้านนา

ในการประชุมครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนายอิทธิรัฐ สินารักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวรายงาน มีหัวหน้าส่วนราชการจากทั้ง 6 จังหวัดเข้าร่วม ประกอบด้วย วัฒนธรรมจังหวัด พัฒนาชุมชนจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด และภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยว

จากจังหวัดเชียงราย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายยุทธนา สุทธสม นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ และนางสาวมณฑา กิติมา นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ เข้าร่วมประชุม ร่วมกับคุณสิกัญพัสส์ ปาละวรรณ์ กรรมการสมาคมมัคคุเทศก์จังหวัดเชียงราย โดยการประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

3 เวทีวิชาการ บรรยายแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อออกแบบเส้นทาง

การประชุมประกอบด้วยการบรรยาย 3 หัวข้อ ได้แก่

  1. “เสน่ห์เมืองเก่า คุณค่าอารยธรรมล้านนา” โดยอาจารย์ภูเดช แสนสา นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
  2. “การออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวจากวิถีชีวิตและต้นทุนวัฒนธรรม” โดยอาจารย์นรพรรณ โพธิพฤษ์ หัวหน้าภาควิชาการจัดการการท่องเที่ยว ม.ฟาร์อีสเทอร์น
  3. “การจัดทำเส้นทางท่องเที่ยว ‘มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา’” โดยคุณธนกร สมฤทธิ์ จากบริษัท เกรท มอร์ โซลูชั่น จำกัด

หัวใจของการออกแบบเส้นทางอยู่ที่การใช้ทุนวัฒนธรรมเป็นฐาน เสริมด้วยความคิดสร้างสรรค์และแนวคิดการท่องเที่ยววิถีใหม่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพักค้างในพื้นที่ เดินทางซ้ำ และเกิดรายได้หมุนเวียนภายในชุมชน

“6 แสง” – เส้นทางนำร่องตามอัตลักษณ์ท้องถิ่น

เส้นทางท่องเที่ยวนำร่องภายใต้โครงการนี้มีชื่อเรียกตามอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัด ดังนี้:

  • แสงธรรม แสงมู (เชียงใหม่)
  • แสงเวียง (เชียงราย)
  • แสงศรัทธา (พะเยา)
  • แสงกาด (ลำปาง)
  • แสงแห่งวิถี (ลำพูน)
  • แสงสี…ปายยามเย็น (แม่ฮ่องสอน)

แนวคิด “6 แสง” ไม่เพียงเป็นการตั้งชื่อเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ ศาสนา และเศรษฐกิจของแต่ละท้องถิ่น ที่จะถูกนำเสนอผ่านกิจกรรมและประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวในช่วงเย็นถึงค่ำ

วิเคราะห์ผลลัพธ์และแนวโน้มในอนาคต

นักวิชาการด้านการท่องเที่ยวจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่า การส่งเสริมเส้นทางเมืองเก่าในช่วงเย็นถือเป็นการใช้จังหวะเวลาที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนใจประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม การใช้จ่ายในช่วงค่ำคืนมีแนวโน้มสูงขึ้นและเพิ่มเวลาการพักในพื้นที่ ส่งผลต่อการหมุนเวียนเศรษฐกิจชุมชนโดยตรง

ขณะที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ชี้ว่า เส้นทางเมืองเก่าแบบ “แสงล้านนา” มีโอกาสขยายผลในเชิงพื้นที่และเชิงธีมต่อยอด เช่น แสงศิลป์ แสงเสียง แสงสุขภาพ เพื่อเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มและเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ปี 2567 พบว่า นักท่องเที่ยวที่เข้าพื้นที่เมืองเก่าใน 6 จังหวัดล้านนามีจำนวนรวมกว่า 5.4 ล้านคน/ปี โดยช่วงเย็น-ค่ำมีอัตราการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัว 1,980 บาท/คน/วัน สูงกว่าช่วงกลางวันประมาณร้อยละ 26
  • การสำรวจโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ พบว่ากิจกรรมวัฒนธรรมช่วงเย็นได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35 ภายใน 3 ปีที่ผ่านมา
  • รายงานของ CEA ระบุว่า การออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวจากต้นทุนทางวัฒนธรรมสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้พื้นที่ได้เฉลี่ยร้อยละ 18 ต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
  • มหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น
  • มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แม่น้ำกกปนเปื้อน รัฐบาลเร่งเจรจาพม่า

เชียงใหม่-เชียงราย ยืนยันน้ำประปาปลอดภัย แม้พบสารหนูในแม่น้ำกก เร่งเจรจาเมียนมาแก้เหมืองแร่ต้นตอปัญหา

เชียงใหม่, 20 พฤษภาคม 2568 – นายอาวีระ ภัคมาตร์ ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) เปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์คุณภาพน้ำในแม่น้ำกก และการควบคุมผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย หลังจากมีการตรวจพบสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำสาธารณะ โดยยืนยันว่าคุณภาพน้ำประปายังคงอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถอุปโภคและบริโภคได้ตามปกติ

ตรวจวิเคราะห์ 12 จุด พบสารหนูเกินมาตรฐานใน 9 จุด

จากรายงานผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำกก โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ระหว่างวันที่ 21–24 เมษายน 2568 ได้มีการเก็บตัวอย่างจาก 12 จุดตลอดความยาวแม่น้ำกกประมาณ 157 กิโลเมตร จากเขตชายแดนไทย–เมียนมา ที่อำเภอแม่อาย จ.เชียงใหม่ ไปจนถึงเขต อ.เมือง จ.เชียงราย ผลการวิเคราะห์พบสารปนเปื้อนที่เป็นโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานใน 9 จุด โดยเฉพาะสารหนู (As)

จุดที่ตรวจพบประกอบด้วย 3 จุดในอำเภอแม่อาย และอีก 6 จุดในเขตอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญของการเกิดมลพิษในแหล่งน้ำธรรมชาติ และอาจส่งผลต่อระบบนิเวศในระยะยาว

เร่งสำรวจแหล่งมลพิษ – พบต้นตออาจมาจากเมียนมา

ภายหลังพบสารปนเปื้อน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในเชียงใหม่และเชียงรายได้เข้าตรวจสอบแหล่งต้นกำเนิดมลพิษตลอดลำน้ำกก โดยเฉพาะบริเวณโรงงาน พื้นที่เกษตรกรรม และแหล่งทิ้งของเสีย ปรากฏว่าไม่พบแหล่งที่ปล่อยสารหนูหรือโลหะหนักจากฝั่งประเทศไทย จึงมีข้อสันนิษฐานอย่างมีน้ำหนักว่าสารเหล่านี้อาจมาจากกิจกรรมเหมืองแร่ในเขตประเทศเมียนมา

ทางรัฐบาลไทยได้ประสานความร่วมมือระดับพื้นที่กับชุมชนและผู้ใช้น้ำ รวมถึงเตรียมส่งคณะทำงานร่วมเจรจากับรัฐบาลเมียนมา เพื่อเสนอแนวทางการจัดการเหมืองแร่ตามหลักวิชาการเพื่อลดผลกระทบข้ามพรมแดน

ยืนยันคุณภาพน้ำประปาในพื้นที่ยังปลอดภัย

แม้จะพบสารหนูในแหล่งน้ำธรรมชาติ แต่จากการตรวจสอบของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ร่วมกับสำนักงานสิ่งแวดล้อมฯ ยืนยันว่า คุณภาพน้ำประปาในเขตเทศบาลและพื้นที่รอบแม่น้ำกกยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้

สำหรับกรณีที่มีประชาชนร้องเรียนว่ามีอาการผื่นคันหลังจากลงเล่นน้ำในแม่น้ำกก เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างน้ำและส่งทีมแพทย์เข้าตรวจสอบ พบว่าอาการผื่นคันดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับสารพิษหรือโลหะหนัก แต่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสภาพผิวหนังกับพืชน้ำหรือสารอินทรีย์ในน้ำ

ผลการตรวจสัตว์น้ำ – ไม่พบสารหนูหรือสารปรอท

กรณีที่มีรายงานการพบปลาตายในพื้นที่จังหวัดเชียงราย สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน ทางสำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายจึงได้ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเชียงรายเก็บตัวอย่างเนื้อปลาเพื่อตรวจสอบ พบว่าปลาที่ตายมีการติดเชื้อไวรัสบางชนิด ไม่พบการปนเปื้อนของโลหะหนัก เช่น สารหนูหรือปรอท

อย่างไรก็ตาม สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยังคงเน้นย้ำให้ประชาชนปรุงอาหารจากสัตว์น้ำให้สุกทุกครั้งก่อนบริโภค เพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือโรคที่อาจเกิดจากแบคทีเรียหรือไวรัสอื่น ๆ

มุมมองเชิงวิชาการ – จำเป็นต้องกำหนดแผนระยะยาว

นักวิชาการสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเสนอว่า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอาจช่วยลดผลกระทบในระยะสั้น แต่สิ่งสำคัญคือการวางแผนการจัดการแหล่งน้ำในระยะยาวร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน และควรมีการจัดตั้งระบบเตือนภัยสิ่งแวดล้อมล่วงหน้าสำหรับพื้นที่ชายแดน โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น IoT และ AI

นอกจากนี้ ยังควรมีการออกกฎหมายรองรับการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดนแบบบูรณาการ และส่งเสริมความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • จากรายงานของสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 (เชียงใหม่) ปี 2568 ระบุว่า แม่น้ำกกมีการตรวจวัดคุณภาพน้ำเฉลี่ยปีละ 48 ครั้ง ใน 12 จุด โดยพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานใน 9 จุดในช่วงเดือนเมษายน 2568
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย รายงานว่า ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ร้องเรียนอาการผิดปกติหลังใช้น้ำธรรมชาติรวม 36 ราย คิดเป็นเพียง 0.005% ของประชากรพื้นที่
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย ตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างปลา 28 ตัวจาก 5 จุด พบว่าทั้งหมดไม่มีการปนเปื้อนสารหนูหรือสารปรอท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ปกป้องลุ่มน้ำ ชาวเหนือฮึดสู้เหมืองเถื่อนข้ามแดน

วิกฤตมลพิษแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย: เชียงราย-เชียงใหม่รวมพลังปกป้องลุ่มน้ำ เรียกร้องปิดเหมืองเถื่อนข้ามแดน

เชียงราย, 19 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องประชุมพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย การประชุมครั้งสำคัญในหัวข้อ “ปกป้องแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย/ปิดเหมืองต้นน้ำ-ฟื้นฟูลุ่มน้ำ” ได้จุดประกายความหวังและความตื่นตัวในหมู่ประชาชนจากจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ เพื่อต่อสู้กับวิกฤตมลพิษจากสารพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย อันเป็นผลจากการทำเหมืองแร่เถื่อนบริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 70 คน จากหลากหลายสาขาอาชีพ รวมถึงพระภิกษุ นักธุรกิจ ศิลปิน นักการเมืองท้องถิ่น และตัวแทนองค์กรภาคประชาสังคม พร้อมตั้งเป้าจัดกิจกรรมใหญ่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก โดยหวังระดมพลถึง 10,000 คน เพื่อส่งเสียงถึงรัฐบาลไทย เมียนมา และจีน ให้ยุติการทำเหมืองที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อระบบนิเวศและชุมชน

แม่น้ำแห่งชีวิตที่กำลังป่วยหนัก

แม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวเชียงรายและเชียงใหม่ มานานนับศตวรรษ แม่น้ำกกไหลจากเทือกเขาสูงในรัฐฉาน ผ่านจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน ส่วนแม่น้ำสายเป็นลำน้ำสำคัญที่ไหลจากชายแดนไทย-เมียนมา มารวมกับแม่น้ำรวกและลงสู่แม่น้ำโขง แม่น้ำทั้งสองสายนี้เป็นแหล่งน้ำสำหรับการเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สาย เชียงแสน และเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของภาคเหนือ

ทว่าในปี 2567 ภัยพิบัติจากอุทกภัยครั้งใหญ่ได้เผยให้เห็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ในลำน้ำเหล่านี้ การพังทลายของดินจากเหมืองแร่บริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการโดยกองกำลังว้าและบริษัทจากจีน ได้นำพาตะกอนโคลนและสารพิษ เช่น สารหนูและตะกั่ว ลงสู่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างรุนแรง ชาวบ้านในพื้นที่ท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยพบว่าน้ำขุ่นข้นผิดปกติและมีกลิ่นแปลกๆ เด็กที่ลงเล่นน้ำมีอาการผื่นคันรุนแรง ปลาในแม่น้ำตายเป็นจำนวนมาก และพืชผลทางการเกษตรเริ่มได้รับผลกระทบจากการรดน้ำที่ปนเปื้อนสารพิษ

รายงานจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ซึ่งใช้ภาพถ่ายดาวเทียม THEOS-2 ความละเอียดสูง (0.5 เมตร) ในการวิเคราะห์ความหนาแน่นของตะกอนแขวนลอยในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ระบุว่าแม่น้ำรวกมีความหนาแน่นของตะกอนอยู่ที่ 40–60 มิลลิกรัมต่อลิตร (mg/L) ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง ซึ่งมีความหนาแน่นลดลงเหลือ 20–40 mg/L การวิเคราะห์นี้ใช้ดัชนี Normalized Difference Suspended Sediment Index (NDSSI) และสมการ Total Suspended Solids (TSS) เพื่อประเมินความรุนแรงของมลพิษ ซึ่งบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อปกป้องลุ่มน้ำ

การรวมพลังของชุมชนเพื่อปกป้องแม่น้ำ

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 การประชุมที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงรายได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการต่อสู้เพื่อฟื้นฟูลุ่มน้ำกกและสาย นางสาวเพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) กล่าวถึงสถานการณ์ที่น่ากังวล โดยระบุว่าการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน โดยเฉพาะเหมืองทองและแรร์เอิร์ธ (แร่หายาก) ดำเนินการโดยกองกำลังว้าและบริษัทจีน โดยไม่มีการควบคุมหรือคำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนท้ายน้ำ ภาพถ่ายทางอากาศเผยให้เห็นการขุดเหมืองขนาดใหญ่ห่างจากชายแดนไทยเพียง 2 กิโลเมตร ซึ่งบางจุดถึงขั้นทำเหมืองกลางแม่น้ำสาย

“นี่เป็นเพียงผลกระทบในช่วงปีแรกๆ หากเหมืองเหล่านี้ยังดำเนินต่อไปอีกหลายปี ผลกระทบจะยิ่งรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในฤดูฝนที่น้ำจะพัดพาตะกอนและสารพิษลงสู่ท้ายน้ำมากขึ้น” นางสาวเพียรพรกล่าว พร้อมชี้ว่าการตรวจสอบน้ำในแม่น้ำกกพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ซึ่งเป็นผลจากการเดินขบวนเรียกร้องของชาวบ้านท่าตอนเมื่อวันที่ 14 มีนาคม

ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เสนอให้มีการจัดกิจกรรมใหญ่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 เพื่อแสดงพลังของประชาชน โดยตั้งเป้าระดมผู้เข้าร่วม 10,000 คน ซึ่งเทียบเท่า 1% ของประชากรจังหวัดเชียงราย การเคลื่อนไหวครั้งนี้จะรวมถึงการยื่นหนังสือถึงสถานทูตจีน ซึ่งเป็นผู้รับซื้อแรร์เอิร์ธจากเหมืองเถื่อน รวมถึงการเชิญตัวแทนกองกำลังว้าและรัฐบาลเมียนมาเข้าร่วมหารือ นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้จัดพิธีสืบชะตาแม่น้ำกก เพื่อรณรงค์ในเชิงสัญลักษณ์ และผูกริบบิ้นติดรถยนต์เพื่อกระตุ้นให้ชาวเชียงรายแสดงออกถึงความห่วงใยต่อแม่น้ำ

พระมหานิคม มหาภินิกฺขมโน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เปรียบแม่น้ำกกว่าประดุจมารดาที่กำลังป่วยหนักอยู่ในห้องไอซียู โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันรักษา “แม่น้ำกกคือความมั่นคงของชุมชนและชาติ รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง และประชาชนต้องส่งเสียงให้ดังถึงระดับนานาชาติ” พระมหานิคมกล่าว พร้อมเสนอให้ออกแถลงการณ์ร่วมและยกระดับเรื่องนี้ไปสู่เวทีอาเซียนและสหประชาชาติ

นายซอแลต นักวิจัยชาวคะฉิ่น เปิดเผยถึงความรุนแรงของการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่นและรัฐฉาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อแม่น้ำอิรวดีมาแล้ว โดยระบุว่าสารเคมีจากเหมืองทำให้ปลาและสัตว์ตาย ชาวบ้านไม่สามารถหาปลาหรือทำเกษตรได้ “ปัญหานี้ไม่ใช่แค่ของไทย แต่กระทบถึงลาว เวียดนาม และกัมพูชา การแก้ไขต้องยกระดับเป็นประเด็นการเมืองระดับภูมิภาค” นายซอแลตกล่าว

แผนปฏิบัติการและความหวังในการฟื้นฟู

การประชุมครั้งนี้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในการจัดกิจกรรมใหญ่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 โดยจะมีการจัดงานทั้งในตัวเมืองเชียงราย อำเภอเชียงแสน และอำเภอแม่สาย รวมถึงการใช้สวนตุงเป็นสถานที่หลักในตัวเมือง เพื่อดึงดูดความสนใจจากสาธารณชน นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าในวันที่ 24 มิถุนายน เพื่อกระจายข้อมูลและเชิญชวนประชาชนให้เข้าร่วม

ดร.สืบสกุลเสนอให้สามมหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และมหาวิทยาลัยเชียงราย ร่วมกันจัดตั้งศูนย์ติดตามและตรวจสอบคุณภาพน้ำ เพื่อให้มีห้องปฏิบัติการที่สามารถตรวจสอบสารโลหะหนักในน้ำ ตะกอน ดิน และพืชผลเกษตรได้อย่างต่อเนื่อง “การตรวจสอบในปัจจุบันล่าช้าเกินไป เกษตรกรและชาวประมงต้องรอผลจากหน่วยงานในเชียงใหม่หรือกรุงเทพฯ การมีศูนย์ในเชียงรายจะช่วยให้ประชาชนมีข้อมูลที่ทันท่วงที” ดร.สืบสกุลกล่าว

รายงานจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่ ซึ่งเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินในวันที่ 1–2 พฤษภาคม 2568 พบว่า:

  • แม่น้ำกก บริเวณจุดก่อนไหลลงแม่น้ำโขง ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน มีสารหนู 0.031 mg/L และบริเวณสบกก ตำบลบ้านแซว มีสารหนู 0.036 mg/L (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
  • แม่น้ำสาย บริเวณบ้านหัวฝาย ตำบลแม่สาย มีตะกั่ว 0.058 mg/L และสารหนู 0.44 mg/L บริเวณสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 มีตะกั่ว 0.063 mg/L และสารหนู 0.45 mg/L และบริเวณบ้านป่าซางงาม มีตะกั่ว 0.066 mg/L และสารหนู 0.49 mg/L (ค่ามาตรฐานตะกั่วไม่เกิน 0.05 mg/L)

ข้อมูลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนฉานและสำนักข่าวชายขอบ ระบุว่าการทำเหมืองทองและแรร์เอิร์ธในรัฐฉานยังคงขยายตัว โดยมีโรงงานขุดทอง 3 จุด และเรือขุดทอง 2 ลำที่ใช้งานอยู่ในแม่น้ำกก ชาวบ้านในพื้นที่เปียงคำ รัฐฉาน รายงานว่าน้ำขุ่นข้นและมีสารพิษ ทำให้เด็กมีอาการแพ้และปลาตายเป็นจำนวนมาก

ผลลัพธ์และความท้าทายในการแก้ไขวิกฤต

การประชุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ประสบความสำเร็จในการสร้างความตื่นตัวและวางแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม ผลลัพธ์ที่สำคัญ ได้แก่:

  1. การรวมพลังของชุมชน: การมีส่วนร่วมของกลุ่มต่างๆ ตั้งแต่พระภิกษุ ผู้นำท้องถิ่น ไปจนถึงนักวิชาการ แสดงถึงความเข้มแข็งของเครือข่ายประชาชน การตั้งเป้าระดม 10,000 คนในวันที่ 5 มิถุนายน เป็นเป้าหมายที่ท้าทายแต่มีความเป็นไปได้ หากมีการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง
  2. การใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์: การนำภาพถ่ายดาวเทียม THEOS-2 และผลตรวจคุณภาพน้ำมาใช้ในการรณรงค์ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและเน้นย้ำถึงความรุนแรงของปัญหา
  3. การยกระดับสู่ระดับนานาชาติ: ข้อเสนอให้ยื่นหนังสือถึงสถานทูตจีนและหารือกับกองกำลังว้าและรัฐบาลเมียนมา แสดงถึงวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาข้ามแดน

อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ครั้งนี้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:

  1. ความล่าช้าของภาครัฐ: แม้ว่ารัฐบาลไทยจะมีการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหา แต่กลไกที่ใช้ยังเป็นแบบราชการทั่วไป ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนและความรวดเร็วในการดำเนินการ
  2. ข้อจำกัดด้านการเมืองข้ามแดน: การเจรจากับกองกำลังว้าและรัฐบาลเมียนมาเป็นเรื่องซับซ้อน เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งภายในเมียนมา และอิทธิพลของบริษัทจีนในภูมิภาค
  3. ทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐาน: การจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายต้องใช้เงินทุนและบุคลากรจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลหรือภาคเอกชน
  4. ผลกระทบระยะยาว: สารโลหะหนัก เช่น สารหนูและตะกั่ว สามารถสะสมในดินและร่างกายมนุษย์ได้นานหลายสิบปี การแก้ไขปัญหาต้องครอบคลุมทั้งการหยุดยั้งมลพิษที่ต้นตอและการฟื้นฟูระบบนิเวศ

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการดังต่อไปนี้:

  • เสริมสร้างการประชาสัมพันธ์: ใช้สื่อสังคมออนไลน์และสื่อท้องถิ่นเพื่อกระจายข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมวันที่ 5 มิถุนายน และผลกระทบของมลพิษ
  • สร้างพันธมิตรระดับนานาชาติ: ร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNEP หรือ MRC (คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) เพื่อกดดันให้มีการแก้ไขปัญหาข้ามแดน
  • ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณให้มหาวิทยาลัยในเชียงรายเพื่อจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำ และสนับสนุนการวิจัยระยะยาว
  • เพิ่มการมีส่วนร่วมของเยาวชน: จัดกิจกรรมสำหรับนักเรียนและนักศึกษา เช่น การแข่งขันด้านสิ่งแวดล้อม หรือแคมเปญออนไลน์ เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมเคลื่อนไหว

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. ความหนาแน่นของตะกอนแขวนลอย:
    • แม่น้ำรวก: 40–60 mg/L
    • แม่น้ำโขง (บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ): 20–40 mg/L
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA). (2568). รายงานการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม THEOS-2.
  2. ผลการตรวจคุณภาพน้ำ:
    • แม่น้ำกก (ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.031 mg/L
    • แม่น้ำกก (บ้านแซว อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.036 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
    • แม่น้ำสาย (บ้านหัวฝาย อำเภอแม่สาย): ตะกั่ว 0.058 mg/L, สารหนู 0.44 mg/L
    • แม่น้ำสาย (สะพานมิตรภาพแห่งที่ 2): ตะกั่ว 0.063 mg/L, สารหนู 0.45 mg/L
    • แม่น้ำสาย (บ้านป่าซางงาม): ตะกั่ว 0.066 mg/L, สารหนู 0.49 mg/L
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่. (2568). รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำผิวดิน.
  3. การทำเหมืองในรัฐฉาน:
    • โรงงานขุดทอง: 3 จุด (เมืองกก, เมืองสาด, บ้านฮุ่ง)
    • เรือขุดทองในแม่น้ำกก: 2 ลำ (ใช้งานได้จากทั้งหมด 3 ลำ)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักข่าวชายขอบ. (14 พฤษภาคม 2568). รายงานสถานการณ์การทำเหมืองทองในรัฐฉาน.
  4. ผลกระทบต่อชุมชน:
    • เด็กที่มีอาการผื่นคันจากการสัมผัสน้ำในแม่น้ำกก: 3 ราย (พื้นที่เปียงคำ รัฐฉาน)
    • การลดลงของรายได้จากการท่องเที่ยวในอำเภอแม่ยาว: 80%
    • แหล่งอ้างอิง: มูลนิธิสิทธิมนุษยชนฉาน. (2568). รายงานผลกระทบจากการทำเหมืองแรร์เอิร์ธ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers)
  • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนฉาน
  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

วัดเชตวันวางศิลาฤกษ์ สร้างมหาวิหารล้านนา

เชียงรายประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างมหาวิหารวัดเชตวัน สืบสานพุทธศิลป์ล้านนาให้รุ่งเรือง

เชียงราย, 19 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายร่วมกับพุทธศาสนิกชน จัดพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างมหาวิหาร ณ วัดเชตวัน ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่สะท้อนถึงความศรัทธาและความร่วมมือของชุมชนในการธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรมล้านนา โดยมีประชาชนผู้มีจิตศรัทธากว่า 500 คน เข้าร่วมในพิธีอย่างพร้อมเพรียง

เวลา 09.00 น. พิธีเริ่มต้นขึ้นอย่างสง่างาม ณ บริเวณลานหน้าวัดเชตวัน โดยมีพระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมพระเถรานุเถระจากวัดต่าง ๆ ทั่วเชียงรายประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญชัยมงคลคาถา

ศรัทธาธรรมหล่อหลอมใจ สู่ศูนย์รวมจิตวิญญาณแห่งล้านนา

ในโอกาสนี้ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ให้เกียรติเป็นประธานฝ่ายฆราวาส จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ร่วมกับนางทรงศรี คมขำ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับมอบหมายจากนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ให้เข้าร่วมงานดังกล่าว

พิธีดำเนินไปท่ามกลางบรรยากาศอันเปี่ยมด้วยพลังศรัทธา มีแขกผู้มีเกียรติจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ร่วมกันสวดมนต์ เจริญภาวนา และร่วมลงนามถวายความตั้งใจสนับสนุนการสร้างมหาวิหารให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

มหาวิหารวัดเชตวัน ศูนย์กลางแห่งธรรมและศิลปวัฒนธรรมล้านนา

การก่อสร้างมหาวิหารแห่งนี้ ได้รับการออกแบบตามสถาปัตยกรรมล้านนาแท้ โดยมีขนาดความกว้าง 25 เมตร ยาว 48 เมตร และสูง 34 เมตร ภายในจะประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญและเป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนาและการเรียนรู้พระธรรมคำสอน

ตามข้อมูลจากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย ระบุว่า วัดเชตวันเป็นวัดเก่าแก่ที่มีบทบาทสำคัญต่อชุมชน โดยเฉพาะในเขตเมืองเก่าเชียงราย การสร้างมหาวิหารในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางศาสนา แต่ยังเป็นศูนย์กลางของการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมล้านนาให้คงอยู่อย่างยั่งยืน

งบประมาณจากศรัทธาประชาชน พลังแห่งการมีส่วนร่วม

โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณเบื้องต้นจากแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ทั้งในรูปแบบเงินบริจาค วัสดุก่อสร้าง และแรงงานจิตอาสา โดยมีการวางแผนระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปี ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการวัดและภาคีภาคประชาสังคมในพื้นที่

ในพิธีครั้งนี้ ยังได้เปิดรับบริจาคผ่านกิจกรรม “สร้างบุญร่วมใจ สร้างวิหารล้านนา” ซึ่งในวันแรกสามารถรวบรวมเงินบริจาคได้กว่า 2.3 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ

วิเคราะห์ผลกระทบเชิงบวก วัดเชตวันในบริบทเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย วิเคราะห์ว่า การก่อสร้างมหาวิหารจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ตลอดปี ทั้งยังเสริมสร้างกิจกรรมของชุมชน เช่น งานบุญ งานประเพณีท้องถิ่น และกิจกรรมเยาวชน

นอกจากนี้ ยังมีการประเมินว่าโครงการนี้จะสร้างรายได้หมุนเวียนให้กับชุมชนโดยรอบวัดเฉลี่ยปีละกว่า 12 ล้านบาท เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากข้อมูลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีวัดทั้งหมด 1,512 แห่ง โดยในปี 2567 มีวัดที่ได้รับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่จำนวน 32 แห่ง
  • รายงานจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย พบว่า ในปี 2567 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมเฉลี่ย 1.6 ล้านคน/ปี คิดเป็นร้อยละ 28 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดของจังหวัด
  • การก่อสร้างมหาวิหารในเขตเมืองเชียงราย มีเพียง 3 แห่งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โดยวัดเชตวันถือเป็นแห่งแรกในรอบ 7 ปีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเป็นไปตามแนวสถาปัตยกรรมล้านนาแท้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

วธ. เชียงราย จัดงานสรงน้ำพระ สืบสานภูมิปัญญา

เชียงรายสืบสานมรดกวัฒนธรรมผ่านประเพณีสรงน้ำพระโบราณสถานถ้ำพระ รำลึก 120 ปี รัชกาลที่ 6 และ 100 ปี รัชกาลที่ 7

เชียงราย, 19 พฤษภาคม 2568 – ณ โบราณสถานถ้ำพระ ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้จัดงาน “โครงการส่งเสริมสนับสนุนการอนุรักษ์ฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นและมรดกภูมิปัญญา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568” ภายใต้กิจกรรมส่งเสริมและสืบสานภูมิปัญญาและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ในงานประเพณีสรงน้ำพระโบราณสถานถ้ำพระ โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี งานนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมอบน้ำดื่มและขนม และบริษัท ซีพีแรม จำกัด (CPRAM) ที่มอบอาหารปรุงสุกพร้อมรับประทาน เพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กร ประชาชน เด็ก และเยาวชนกว่า 200 คน ร่วมกิจกรรมเพื่ออนุรักษ์และสืบสานมรดกวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของจังหวัดเชียงราย

ถ้ำพระ สัญลักษณ์แห่งศรัทธาและประวัติศาสตร์

ในหุบเขาที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติอันเงียบสงบริมแม่น้ำกก ห่างจากตัวเมืองเชียงรายเพียง 6 กิโลเมตร โบราณสถานถ้ำพระตั้งตระหง่านเป็นดั่งมรดกแห่งศรัทธาและประวัติศาสตร์ของชุมชนตำบลแม่ยาว ภูเขาหินสูงราว 800 เมตรแห่งนี้ซ่อนความงดงามของถ้ำที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หินงอกหินย้อยที่เกิดจากธรรมชาติ และฝูงค้างคาวที่อาศัยอยู่ในถ้ำ ถ้ำพระไม่เพียงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพุทธศาสนิกชน แต่ยังเป็นโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยกรมศิลปากร และมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติ ด้วยการเคยต้อนรับการเสด็จประพาสของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ในปี พ.ศ. 2448 และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2469

ทุกเดือนพฤษภาคม ชุมชนตำบลแม่ยาวและพุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศจะมารวมตัวกันในงานประเพณีสรงน้ำพระ เพื่อแสดงความเคารพต่อพระพุทธรูปและรำลึกถึงความสำคัญของถ้ำพระ ทว่าในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป การถ่ายทอดมรดกวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นใหม่กลายเป็นความท้าทาย เด็กและเยาวชนจำนวนมากเริ่มหันเหความสนใจไปสู่โลกดิจิทัลและวิถีชีวิตสมัยใหม่ ทำให้ความรู้เกี่ยวกับประเพณีท้องถิ่นและภูมิปัญญา เช่น การทำกรวยดอกไม้ (สรวยดอก) หรือการตัดตุงล้านนา (ตุงไส้หมู) ค่อยๆ เลือนหายจากชุมชน

เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายนี้ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้ริเริ่มโครงการส่งเสริมและสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยเลือกถ้ำพระเป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงชุมชนกับมรดกวัฒนธรรม และรำลึกถึงวาระครบรอบ 120 ปี การเสด็จประพาสของรัชกาลที่ 6 และ 100 ปี การเสด็จประพาสของรัชกาลที่ 7 ผ่านงานประเพณีสรงน้ำพระในวันที่ 19 พฤษภาคม 2568

การสืบสานวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ในงานประเพณีสรงน้ำพระ

เมื่อวันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2568 ณ โบราณสถานถ้ำพระ ตั้งแต่เวลา 08.30 ถึง 15.30 น. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้จัดงานที่เปี่ยมด้วยความหมาย โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด กิจกรรมนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่:

กิจกรรมสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น

กิจกรรมนี้มุ่งเน้นการถ่ายทอดความรู้และทักษะด้านวัฒนธรรมล้านนา โดยจัดตั้งฐานเรียนรู้สองฐาน ดังนี้:

  • ฐานเรียนรู้ที่ 1: เครื่องสักการะล้านนา (การทำกรวยดอกไม้)
    นำโดยนายยรัชสิทธิ์ แสงทอง และนายโภคิน วงค์แก้ว นักศึกษาแขนงการจัดการทรัพยากรทางวัฒนธรรม คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ผู้เข้าร่วมกว่า 50 คน ซึ่งรวมถึงเด็กและเยาวชนจากโรงเรียนแม่ยาววิทยา ได้เรียนรู้การประดิษฐ์กรวยดอกไม้ หรือ “สรวยดอก” ซึ่งเป็นเครื่องสักการะที่ใช้ในพิธีกรรมทางพุทธศาสนาและประเพณีล้านนา
  • ฐานเรียนรู้ที่ 2: การตัดตุงล้านนา
    นำโดยนายวุฒิพงศ์ วรรณคำ และนายณัฐนนท์ ขัติกันทา นักศึกษาแขนงเดียวกัน ภายใต้การควบคุมของผู้ช่วยศาสตราจารย์นครินทร์ น้ำใจดี ประธานแขนงวิชาการจัดการทรัพยากรทางวัฒนธรรม ผู้เข้าร่วมได้ฝึกการตัด “ตุงไส้หมู” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองและความเชื่อในวัฒนธรรมล้านนา

กิจกรรมทั้งสองฐานนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจถึงความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ยังสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของชุมชน โดยเฉพาะในหมู่เยาวชนที่ได้ลงมือปฏิบัติจริง

กิจกรรมเสวนา “ลิลิตพายัพรำลึก”

ในช่วงบ่ายเวลา 13.00 น. ได้มีการจัดเสวนาในหัวข้อ “ลิลิตพายัพรำลึกครบรอบ 120 ปี รัชกาลที่ 6 และ 100 ปี รัชกาลที่ 7 เสด็จประพาสโบราณสถานถ้ำพระ” เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์และเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดงานเฉลิมฉลองในช่วงเดือนธันวาคม 2568 ถึงมกราคม 2569 การเสวนานี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่าน ได้แก่:

  • พระศิริชัย สิริชโย ประธานสำนักสงฆ์โบราณสถานถ้ำพระ
  • คุณอภิชิต ศิริชัย นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
  • นางสาวนงไฉน ทะรักษา นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่
  • นายปรัตถกร การเร็ว กำนันตำบลแม่ยาว
  • นายเดช จิ่งมาดา สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • นางสาวธณิกานต์ วรธรรมานนท์ หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน

การเสวนานี้เริ่มต้นด้วยการกล่าวเปิดโดยอาจารย์นคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง และดำเนินรายการโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุภาพร เตวิยะ ผู้อำนวยการสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ผู้ร่วมเสวนาได้แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความสำคัญของถ้ำพระในมิติประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม รวมถึงแนวทางการอนุรักษ์เพื่อส่งต่อมรดกนี้สู่คนรุ่นหลัง

งานนี้ได้รับการสนับสนุนด้านอาหารและเครื่องดื่มจากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซีพีแรม จำกัด (CPRAM) ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นของภาคเอกชนในการส่งเสริมความยั่งยืนทางวัฒนธรรม โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้นกว่า 200 คน รวมถึงพระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย นางสาวนันทวรรณ กันคำ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย และนางธนัญญา เชิดโฉม รองผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย

การเชื่อมโยงชุมชนสู่ความยั่งยืนทางวัฒนธรรม

กิจกรรมในวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ประสบความสำเร็จอย่างมากในการบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยสามารถจุดประกายความตระหนักรู้ในหมู่ประชาชน เด็ก และเยาวชนเกี่ยวกับความสำคัญของมรดกวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น การลงมือปฏิบัติในฐานเรียนรู้ เช่น การทำกรวยดอกไม้และตัดตุงล้านนา ช่วยให้เยาวชนจากโรงเรียนแม่ยาววิทยาได้สัมผัสถึงคุณค่าของภูมิปัญญาดั้งเดิม ขณะที่การเสวนา “ลิลิตพายัพรำลึก” ได้สร้างความเข้าใจในมิติประวัติศาสตร์ของถ้ำพระ และวางรากฐานสำหรับการจัดงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ในอนาคต

การมีส่วนร่วมของชุมชน โดยเฉพาะผู้นำท้องถิ่นอย่างกำนันและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย แสดงถึงความเข้มแข็งของเครือข่ายชุมชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรม การสนับสนุนจากภาคเอกชนอย่างซีพี ออลล์ และซีพีแรม ยังเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดงานและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชน

นอกจากนี้ การจัดงานในครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมสำหรับการเฉลิมฉลองวาระสำคัญในอนาคต โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้วางแผนจัดงานรำลึกครบรอบ 120 ปี การเสด็จประพาสของรัชกาลที่ 6 ในวันที่ 11 ธันวาคม 2568 และครบรอบ 100 ปี การเสด็จประพาสของรัชกาลที่ 7 ในวันที่ 18 มกราคม 2569 ซึ่งจะเป็นโอกาสในการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและส่งเสริมถ้ำพระให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น

ผลลัพธ์และความท้าทายของการอนุรักษ์วัฒนธรรม

ผลลัพธ์ของงานประเพณีสรงน้ำพระโบราณสถานถ้ำพระและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องในวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 สามารถวิเคราะห์ได้ในหลายมิติ:

การถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น

การจัดฐานเรียนรู้การทำกรวยดอกไม้และตัดตุงล้านนาเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในการดึงดูดเยาวชนให้มีส่วนร่วม การลงมือปฏิบัติช่วยให้ผู้เข้าร่วม โดยเฉพาะเด็กนักเรียน ได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความผูกพันกับวัฒนธรรมท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้เข้าร่วมในฐานเรียนรู้ (มากกว่า 50 คน) ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรในพื้นที่ แสดงถึงความจำเป็นในการขยายการประชาสัมพันธ์และเพิ่มโอกาสให้เยาวชนจากโรงเรียนอื่นๆ เข้าร่วมในอนาคต

การรำลึกประวัติศาสตร์

การเสวนา “ลิลิตพายัพรำลึก” เป็นเวทีที่ทรงพลังในการเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน การนำวิทยากรจากหลากหลายสาขา เช่น นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี และผู้นำชุมชน ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนมุมมองที่หลากหลายและครอบคลุม ผลจากการเสวนานี้ไม่เพียงสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของถ้ำพระในฐานะโบราณสถาน แต่ยังวางรากฐานสำหรับการจัดงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงข้อมูลประวัติศาสตร์ของถ้ำพระในวงกว้างยังคงจำกัด เนื่องจากเอกสารอย่าง “ลิลิตพายัพ” อาจไม่เป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชนทั่วไป

ความร่วมมือระหว่างภาคส่วน

ความสำเร็จของงานนี้เกิดจากการบูรณาการความร่วมมือระหว่างสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย สำนักสงฆ์โบราณสถานถ้ำพระ และภาคเอกชนอย่างซีพี ออลล์ และซีพีแรม การสนับสนุนด้านอาหารและเครื่องดื่มจากภาคเอกชนช่วยลดภาระด้านงบประมาณและเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้เข้าร่วม อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาการสนับสนุนจากภายนอกอาจเป็นความท้าทายในระยะยาว หากไม่มีการวางแผนด้านงบประมาณที่ยั่งยืน

ความท้าทายในการอนุรักษ์

แม้ว่ากิจกรรมจะประสบความสำเร็จในการสร้างความตระหนักรู้ แต่การอนุรักษ์วัฒนธรรมในระยะยาวยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่:

  • การเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต: เยาวชนในยุคดิจิทัลอาจไม่เห็นคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่นหากไม่มีการเชื่อมโยงกับบริบทสมัยใหม่ เช่น การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อประชาสัมพันธ์
  • ข้อจำกัดด้านทรัพยากร: การจัดงานขนาดใหญ่ เช่น การเฉลิมฉลองในปี 2568-2569 อาจต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ทั้งด้านงบประมาณและบุคลากร
  • การเข้าถึงชุมชนที่กว้างขึ้น: การมีส่วนร่วมของชุมชนในตำบลอื่นๆ หรือจังหวัดใกล้เคียงยังคงจำกัด ซึ่งอาจลดผลกระทบของโครงการในระดับภูมิภาค

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายควรพิจารณากลยุทธ์ต่อไปนี้:

  • การใช้เทคโนโลยี: สร้างแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น วิดีโอสอนการทำกรวยดอกไม้ หรือแอปพลิเคชันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ถ้ำพระ เพื่อดึงดูดเยาวชน
  • การขยายเครือข่าย: เชิญชวนโรงเรียนและชุมชนจากพื้นที่อื่นๆ เข้าร่วม เพื่อเพิ่มการรับรู้ในวงกว้าง
  • การสร้างแรงจูงใจ: จัดตั้งรางวัลหรือโครงการแข่งขันด้านวัฒนธรรมสำหรับเยาวชน เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วม

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำเร็จและบริบทของการอนุรักษ์วัฒนธรรมในงานประเพณีสรงน้ำพระโบราณสถานถ้ำพระ ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จำนวนผู้เข้าร่วม:
    • ผู้เข้าร่วมทั้งหมด: มากกว่า 200 คน
    • ผู้เข้าร่วมฐานเรียนรู้การทำกรวยดอกไม้และตัดตุงล้านนา: มากกว่า 50 คน (ส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชนจากโรงเรียนแม่ยาววิทยา)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (2568). รายงานผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมสนับสนุนการอนุรักษ์ฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นและมรดกภูมิปัญญา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
  2. การสนับสนุนจากภาคเอกชน:
    • น้ำดื่มและขนมจากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
    • อาหารปรุงสุกพร้อมรับประทานจากบริษัท ซีพีแรม จำกัด (CPRAM)
    • แหล่งอ้างอิง: รายงานการประชาสัมพันธ์กิจกรรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (2568)
  3. ความสำคัญของถ้ำพระ:
    • ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524
    • เป็นสถานที่เสด็จประพาสของรัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2448) และรัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2469)
    • แหล่งอ้างอิง: กรมศิลปากร (2568). รายงานโบราณสถานจังหวัดเชียงราย
  4. การมีส่วนร่วมของเยาวชนในกิจกรรมวัฒนธรรม:
    • จำนวนเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงราย ปี 2567: ประมาณ 1,500 คน
    • จำนวนเยาวชนที่เข้าร่วมในปี 2568 (คาดการณ์): เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนหน้า
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (2568). สถิติการมีส่วนร่วมของเยาวชนในกิจกรรมวัฒนธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักสงฆ์โบราณสถานถ้ำพระ
  • สำนักศิลปะและวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • กรมศิลปากร
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย
  • บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท ซีพีแรม จำกัด (CPRAM)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SPORT

“วิว กุลวุฒิ” คว้าแชมป์ แบดมินตันไทยแลนด์โอเพ่นสมัย 2

วิว-กุลวุฒิ” คว้าแชมป์แบดมินตัน โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2025 สมัยที่ 2 อย่างยิ่งใหญ่ ตอกย้ำความเป็นเบอร์หนึ่งของไทย

ประเทศไทย, 18 พฤษภาคม 2568 – ศึกแบดมินตันระดับโลก โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2025” รายการในระดับ BWF World Tour Super 500 ชิงเงินรางวัลรวม 16 ล้านบาท ได้ปิดฉากลงอย่างสมศักดิ์ศรีเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2568 ณ อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ท่ามกลางเสียงเชียร์กึกก้องของแฟนกีฬา ที่ร่วมเป็นสักขีพยานในการคว้าแชมป์ของนักแบดมินตันขวัญใจชาวไทย วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวางอันดับ 2 ของโลก ที่สามารถเอาชนะคู่ปรับคนสำคัญอย่าง แอนเดอร์ส แอนทอนเซ่น จากเดนมาร์ก มือวางอันดับ 3 ของโลก ไปอย่างสุดมันส์ 2-1 เกม

เส้นทางสู่แชมป์เกมที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและสมบูรณ์แบบ

การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศประเภทชายเดี่ยวในวันนี้ถือเป็นการพบกันอีกครั้งของสองนักกีฬาระดับโลก “วิว” กุลวุฒิ และ แอนทอนเซ่น โดยทั้งคู่ต่างมีประสบการณ์ และผลงานในระดับนานาชาติที่ใกล้เคียงกัน

เกมแรก เปิดฉากด้วยการแลกแต้มกันอย่างสูสี “วิว” ใช้ความเร็วและจังหวะการเข้าทำที่เฉียบคมกว่า เบียดเอาชนะไปได้ในช่วงท้ายด้วยคะแนน 21-16

เกมที่สอง แอนทอนเซ่นปรับแผนการเล่นมาใช้การคุมจังหวะและบุกแบบกดดันมากขึ้น ส่งผลให้ “วิว” มีข้อผิดพลาดเล็กน้อยในช่วงท้ายเกม ก่อนจะพ่ายไปด้วยคะแนน 17-21

เกมตัดสิน คือจุดเปลี่ยนของการแข่งขัน “วิว” กลับมาด้วยสมาธิที่นิ่งกว่าเดิม ใช้เวลาไม่นานในการทำแต้มทิ้งห่างอย่างต่อเนื่อง และปิดเกมไปด้วยสกอร์ 21-9 ใช้เวลาในการแข่งขันทั้งหมด 1 ชั่วโมง 32 นาที พร้อมคว้าแชมป์รายการนี้ได้เป็น สมัยที่ 2

สถิติเสริมความแกร่ง ปีทองของ “วิว” กุลวุฒิ

ชัยชนะในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการคว้าแชมป์รายการระดับ Super 500 เป็นครั้งที่ 2 เท่านั้น แต่ยังเป็นการเก็บแชมป์รายการที่ 3 ของปี 2568 ต่อจาก อินโดนีเซีย มาสเตอร์ส 2025 (เดือนมกราคม) และ เอเชีย แชมเปี้ยนชิพ 2025 (เดือนเมษายน)

สิ่งที่น่าสนใจคือ ทั้ง 3 รายการที่ “วิว” คว้าแชมป์ในปีนี้ ต่างเป็นการแข่งขันที่มีผู้เล่นระดับโลกเข้าร่วมอย่างคับคั่ง ทำให้ผลงานของเขาไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของโชคหรือฟอร์มดีชั่วคราว แต่เป็นผลจากการฝึกซ้อมอย่างหนัก และการเติบโตทางจิตใจที่มั่นคงมากขึ้นในฐานะนักกีฬาระดับโลก

เสียงสะท้อนจากสนาม กำลังใจจากคนไทยทั่วประเทศ

หลังจบการแข่งขัน “วิว” กุลวุฒิ กล่าวขอบคุณทีมงาน โค้ช ครอบครัว และแฟนกีฬาชาวไทยที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด พร้อมระบุว่า “แชมป์รายการนี้มีความหมายมาก เพราะเป็นรายการที่จัดขึ้นในประเทศไทย และเป็นแรงผลักดันสำคัญในการเดินหน้าเพื่อคว้าตั๋วโอลิมปิกปีหน้าให้ได้”

บรรยากาศในสนามนิมิบุตรเต็มไปด้วยความยินดีและปลาบปลื้มใจจากแฟนแบดมินตันหลายพันคนที่มาร่วมเชียร์ ส่งเสียง “วิวสู้ๆ” ตลอดการแข่งขัน โดยเฉพาะในเกมสุดท้ายที่ “วิว” โชว์ฟอร์มได้เหนือความคาดหมาย

ภาพรวมการแข่งขัน Toyota Thailand Open 2025

รายการนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14–18 พฤษภาคม 2568 เป็นการแข่งขันในระดับ BWF World Tour Super 500 โดยมีนักกีฬาแบดมินตันระดับแนวหน้าของโลกกว่า 250 คนจากกว่า 30 ประเทศเข้าร่วมชิงชัยใน 5 ประเภท ได้แก่ ชายเดี่ยว หญิงเดี่ยว ชายคู่ หญิงคู่ และคู่ผสม โดยมีเงินรางวัลรวมกว่า 16 ล้านบาท

การแข่งขันชายเดี่ยว ถือเป็นไฮไลต์สำคัญของรายการ เนื่องจากมีการจับตาการเผชิญหน้าระหว่าง 3 นักกีฬาระดับท็อปของโลก ได้แก่ โจว เทียนเฉิน (ไต้หวัน), แอนทอนเซ่น (เดนมาร์ก) และ “วิว” กุลวุฒิ ของไทย ซึ่งสุดท้ายแล้วนักแบดมินตันจากไทยก็สามารถแสดงศักยภาพเหนือคู่แข่งได้อย่างชัดเจน

วิเคราะห์ผลลัพธ์และแนวโน้ม

จากผลงานอันโดดเด่นของ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ในปี 2568 นี้ ทำให้เขาถูกยกให้เป็นหนึ่งในตัวเต็งสำหรับการแข่งขันในรายการใหญ่ระดับโลก เช่น World Championships 2025 และ Olympic Games 2026 ที่กำลังจะมาถึง

ความแข็งแกร่งของ “วิว” ในการดึงฟอร์มเก่งออกมาในช่วงเวลาสำคัญ เป็นคุณสมบัติของนักกีฬาระดับโลกที่สามารถคว้าแชมป์ต่อเนื่องได้ โดยเฉพาะการรับมือกับแรงกดดันและความคาดหวังจากสาธารณชนไทยอย่างมีสมดุล

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ เป็นนักแบดมินตันไทยคนแรกที่คว้าแชมป์รายการ Super 500 ได้ถึง 3 รายการในปีเดียว (ข้อมูลจาก BWF Rankings ณ เดือนพฤษภาคม 2568)
  • ปัจจุบัน (พฤษภาคม 2568) “วิว” มีคะแนนสะสมอยู่ที่ 96,300 คะแนน เป็นอันดับ 2 ของโลก และมีโอกาสขึ้นเป็นมือ 1 หากสามารถคว้าแชมป์รายการ Super 750 ในเดือนหน้า
  • รายการแข่งขัน Toyota Thailand Open 2025 มีผู้ชมในสนามรวมกว่า 42,000 คนตลอด 5 วัน และยอดผู้ชมออนไลน์ผ่านช่องทาง YouTube และ Facebook Live รวมกว่า 5.2 ล้านวิว (ข้อมูลจากสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย
  • สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • การกีฬาแห่งประเทศไทย
  • สื่อมวลชนกีฬาและแฟนคลับทั่วประเทศ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สภากาชาดเยี่ยมแม่สาย หนุนสร้างพนังกั้นน้ำ

สภากาชาดไทย-กาชาดเชียงราย ลงพื้นที่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ โครงการแนวป้องกันน้ำและขุดลอกแม่น้ำสายแม่สาย

เชียงราย, 18 พฤษภาคม 2568 – สภากาชาดไทยร่วมกับเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่ปฏิบัติงานก่อสร้างแนวป้องกันน้ำและขุดลอกแม่น้ำสาย เพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในฤดูฝนปีนี้ ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญเพื่อความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดน

จุดเริ่มต้นของภารกิจ: การระดมพลังข้ามหน่วยงานเพื่อปกป้องชีวิตประชาชน

โครงการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวร และการขุดลอกแม่น้ำสาย เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยน้ำหลากและตลิ่งพัง ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อำเภอแม่สายต้องประสบกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือน การค้า และการคมนาคมในพื้นที่

พื้นที่ปฏิบัติงานครอบคลุมตั้งแต่บ้านหัวฝาย หมู่ที่ 1 ตำบลเวียงพางคำ ไปจนถึงสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 รวมระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร โดยได้รับการสนับสนุนด้านกำลังพลและเครื่องจักรจากกรมการทหารช่าง กองทัพบก ร่วมกับกองกำลังผาเมือง และมณฑลทหารบกที่ 37

กำลังใจถึงแนวหน้า ผู้นำลงพื้นที่ด้วยตนเอง

ในวันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม 2568 คณะจากสภากาชาดไทย นำโดย นายวิทยา จันทร์ฉลอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาด พร้อมด้วย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และที่ปรึกษาคณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย นางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และคณะกรรมการเหล่ากาชาดอำเภอแม่สาย ร่วมกับที่ทำการปกครองอำเภอแม่สายและแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน

บรรยากาศของการลงพื้นที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความหวัง โดยมีการจัดเตรียมน้ำดื่ม อาหารว่าง และอุปกรณ์ป้องกันแดดเพื่อแจกจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณในความเสียสละและความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่ทุกนาย

รายละเอียดโครงการ ระบบป้องกันน้ำที่ออกแบบอย่างหลากหลาย

เพื่อให้การป้องกันน้ำมีประสิทธิภาพในทุกสภาพพื้นที่ โครงการดังกล่าวได้ออกแบบแนวป้องกันน้ำใน 5 รูปแบบ ดังนี้:

  • แบบที่ 1: ใช้เสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็ก แผ่น Precast panel และคานทับหลัง พร้อมถมดินและเสริมแนว Big bag ด้านบน
  • แบบที่ 2: มีแนวกำแพงพร้อมเสาเหล็กค้ำยัน ใช้แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป
  • แบบที่ 3: เป็นเสาและกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหมด
  • แบบที่ 4: กำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กมีช่องเปิดสำหรับอาคารริมน้ำ ใช้เหล็กหนา 2 มิลลิเมตร
  • แบบที่ 5: ใช้ Big bag เป็นหลักในการกันน้ำบริเวณแนวอ่อนแรง

นอกจากการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำแล้ว ยังมีการขุดลอกแม่น้ำรวก ซึ่งเป็นลำน้ำสายหลักของพื้นที่ โดยเริ่มตั้งแต่ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย ไปจนถึงพื้นที่ในอำเภอเชียงแสน เพื่อเพิ่มความจุของแม่น้ำ ลดแรงดันน้ำและป้องกันตลิ่งทรุด

การขุดลอกแม่น้ำ ขั้นตอนที่ต้องอาศัยความแม่นยำและระมัดระวัง

การดำเนินการขุดลอกแม่น้ำดำเนินด้วยความรอบคอบ โดยเริ่มจากการสำรวจสภาพพื้นที่ สภาพดิน ความกว้าง-ลึกของลำน้ำ และระยะห่างจากสิ่งปลูกสร้างริมตลิ่ง ก่อนจะเริ่มขุดในช่วงละ 50–100 เมตร

จุดที่มีความเสี่ยงต่อการทรุดตัวของตลิ่งจะมีการตอกเสาเข็มไม้ขนาด 6–8 นิ้ว เรียงชิดเป็นแนว เพื่อป้องกันการไหลทลายของดินลงสู่แม่น้ำ อันจะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับบ้านเรือนริมฝั่งในอนาคต

ความร่วมมือเพื่อความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของประชาชน

โครงการดังกล่าวสะท้อนถึงแนวทางการจัดการภัยพิบัติอย่างมีระบบที่อาศัยความร่วมมือจากหลากหลายหน่วยงาน ทั้งพลเรือน ทหาร และภาคประชาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงพื้นที่ของสภากาชาดไทยและเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ ไม่ได้เพียงเป็นการให้กำลังใจเชิงสัญลักษณ์ แต่ยังเป็นการส่งเสริมขวัญกำลังใจและสร้างแรงสนับสนุนจากระดับนโยบายไปถึงระดับปฏิบัติการ

การป้องกันน้ำท่วมไม่อาจพึ่งพาเฉพาะโครงสร้างทางวิศวกรรม หากต้องเสริมด้วยความเข้าใจในระบบนิเวศ ความร่วมมือของชุมชน และการบำรุงรักษาระบบที่ก่อสร้างไปแล้วอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถลดผลกระทบในระยะยาวได้อย่างแท้จริง

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากรายงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปี 2566 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายประสบภัยพิบัติน้ำท่วมรวมทั้งสิ้น 12 ครั้ง มีพื้นที่ได้รับผลกระทบรวมกว่า 22,000 ครัวเรือน
  • แม่น้ำสายและแม่น้ำรวก เป็นสองลำน้ำหลักที่มีน้ำหลากบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน
  • กรมทรัพยากรน้ำรายงานว่า ในปี 2567 มีปริมาณฝนสะสมในเขตภาคเหนือสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติถึง 13.7% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านน้ำท่วมเฉียบพลัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สภากาชาดไทย
  • เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • กรมการทหารช่าง กองทัพบก
  • กองกำลังผาเมือง
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • ที่ทำการปกครองอำเภอแม่สาย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News