Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ศักดิ์สิทธิ์ เชียงรายอัญเชิญ “พระสิงห์” สรงน้ำสงกรานต์

เชียงรายจัดพิธีอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ สืบสานประเพณี “ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง” เสริมสิริมงคลรับสงกรานต์ 2568

ประชาชน-นักท่องเที่ยวหลั่งไหลร่วมพิธีตักบาตร พร้อมสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์ บนราชรถบุษบกล้านนา สืบสานวัฒนธรรมอันงดงามของล้านนา

เชียงราย, 13 เมษายน 2568 – ณ บริเวณลานอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช เทศบาลนครเชียงราย ได้จัดพิธีอัญเชิญ “พระพุทธสิหิงค์” หรือที่ชาวล้านนาเรียกว่า “พระสิงห์” ขึ้นบนราชรถบุษบกล้านนา ศิลปะแบบแพร่ เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ร่วมสรงน้ำตามประเพณี “ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาลสงกรานต์ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีในจังหวัดเชียงราย

ประวัติความเป็นมาของพระพุทธสิหิงค์

“พระพุทธสิหิงค์” เป็นพระพุทธรูปสำคัญที่มีประวัติยาวนาน สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศักราช 700 เดิมประดิษฐานอยู่ในแถบลังกา ก่อนจะถูกอัญเชิญมาสู่แผ่นดินสยาม และประดิษฐานในดินแดนล้านนา อาทิ เชียงราย เชียงใหม่ และนครลำปาง โดยพระพุทธสิหิงค์องค์ที่ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระสิงห์ เชียงใหม่ เป็นองค์ที่ได้รับการอัญเชิญจากเชียงราย โดยประดิษฐานในเชียงใหม่นานถึง 255 ปี

สำหรับในจังหวัดเชียงราย ปัจจุบันได้มีการสร้างพระพุทธสิหิงค์จำลองขึ้นและประดิษฐานภายในพระวิหารแก้ว หรือหอพระสิงห์ วัดพระสิงห์ เทศบาลนครเชียงราย เพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชา เป็นสิริมงคลและเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวเชียงราย

พิธีอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ บนราชรถบุษบก สืบสานศิลปะล้านนา

ในช่วงเช้าของวันที่ 13 เมษายน 2568 เทศบาลนครเชียงราย นำโดย พันจ่าอากาศเอก อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาล ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่เทศบาล ได้ร่วมกันอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ ขึ้นประดิษฐานบนราชรถบุษบกศิลปะล้านนา เพื่อเคลื่อนขบวนผ่านถนนสายหลักในตัวเมืองเชียงราย โดยมีประชาชนชาวเชียงรายและนักท่องเที่ยวร่วมสรงน้ำตลอดสองข้างทางอย่างเนืองแน่น

ราชรถบุษบกที่ใช้ในพิธีมีลวดลายละเอียด ประณีต อ่อนช้อย สะท้อนเอกลักษณ์งานศิลป์ของช่างฝีมือท้องถิ่น และเป็นสัญลักษณ์แห่งความเคารพศรัทธาอันลึกซึ้งที่ประชาชนมีต่อองค์พระพุทธสิหิงค์

พิธีทำบุญตักบาตร รับปีใหม่เมืองอย่างสงบและงดงาม

ภายหลังจากการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ ได้มีการจัดพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ ซึ่งได้รับเมตตาจากพระเดชพระคุณ พระรัตนมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย วัดพระแก้ว พระอารามหลวง นำคณะพระภิกษุสงฆ์ออกบิณฑบาต โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย นางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ประชาชน และนักท่องเที่ยว ร่วมกันทำบุญตักบาตร เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นปีใหม่

บรรยากาศของพิธีเป็นไปด้วยความสงบ เรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและความผูกพันที่ชาวเชียงรายมีต่อพระพุทธศาสนาอย่างแนบแน่น

การมีส่วนร่วมของประชาชนและบทบาทของเทศบาลในการอนุรักษ์วัฒนธรรม

งานประเพณีปี๋ใหม่เมืองครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครเชียงราย หน่วยงานวัฒนธรรม ภาคประชาชน และภาคเอกชน ที่ร่วมกันจัดกิจกรรมอนุรักษ์วัฒนธรรมล้านนาอย่างครบถ้วน ทั้งการประดับตุงแบบโบราณ การจัดขบวนแห่ การแสดงฟ้อนรำ และการสรงน้ำพระในวัดต่าง ๆ

เทศบาลนครเชียงรายยังได้ร่วมกับโรงเรียนในสังกัดจัดกิจกรรมเรียนรู้ประเพณีปี๋ใหม่เมืองให้แก่เยาวชน ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีความเข้าใจในรากเหง้าทางวัฒนธรรม และเกิดความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ท้องถิ่น

วัฒนธรรมล้านนาคือหัวใจของสงกรานต์เชียงราย

แม้ในปัจจุบันเทศกาลสงกรานต์ในหลายพื้นที่ของประเทศไทยจะถูกมองว่าเป็นเพียงเทศกาลเล่นน้ำและการท่องเที่ยว แต่จังหวัดเชียงรายยังคงรักษา “หัวใจ” ของเทศกาลนี้ไว้ได้อย่างมั่นคง ผ่านพิธีกรรม พุทธศาสนา และประเพณีท้องถิ่นที่ลึกซึ้ง

“ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง” ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองปีใหม่แบบล้านนาเท่านั้น แต่ยังเป็นช่วงเวลาแห่งการทบทวนตนเอง การอธิษฐาน การแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ และการขอขมาลาโทษซึ่งกันและกัน ตลอดจนการสืบสานมรดกภูมิปัญญาที่ส่งต่อมาหลายร้อยปี

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง และแหล่งอ้างอิง

  • จากรายงานของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2567 ระบุว่า ในเทศกาลสงกรานต์มีประชาชนร่วมกิจกรรมสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์ ณ เทศบาลนครเชียงรายกว่า 12,000 คน
  • ข้อมูลจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ปี 2566 พบว่า จังหวัดเชียงรายเป็น 1 ใน 5 จังหวัดที่มีการจัดกิจกรรมอนุรักษ์ประเพณีสงกรานต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในภาคเหนือ
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานว่า ช่วงสงกรานต์ปี 2567 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามากว่า 97,000 คน สร้างรายได้รวมกว่า 238 ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เขื่อนแม่สรวยเข้ม เจ้าหน้าที่ตั้งด่าน รวบนักดื่ม 6 ราย เมาไม่ขับจับจริง

แม่สรวยตรวจเข้ม! เมาแล้วขับไม่รอด วันที่ 2 สงกรานต์ 2568 พบผู้กระทำผิด 6 ราย

อำเภอแม่สรวยเดินหน้าเชิงรุก บูรณาการทุกภาคส่วนตั้งด่านตรวจรอบเขื่อน คุมเข้มความปลอดภัยทางถนนในช่วงสงกรานต์

เชียงราย, 12 เมษายน 2568 – เวลา 16.00 น. นายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอแม่สรวย ได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง นำโดยปลัดอำเภอ พร้อมด้วยสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) บูรณาการร่วมกับสถานีตำรวจภูธรแม่สรวย สำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่สรวย และกำนันตำบลแม่สรวย จัดตั้งจุดตรวจบริเวณเขื่อนแม่สรวย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในพื้นที่ เพื่อควบคุมการใช้รถใช้ถนนของประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะการขับขี่ยานพาหนะขณะมึนเมา

ผลการดำเนินการเข้ม พบผู้กระทำผิดเมาแล้วขับจำนวน 6 ราย

จากการดำเนินการตรวจเข้มในวันที่สองของช่วงควบคุมเข้มสงกรานต์ 2568 เจ้าหน้าที่ได้ตั้งจุดตรวจหลักบริเวณทางเข้าออกเขื่อนแม่สรวย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่นในช่วงวันหยุด โดยมีประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมาเล่นน้ำที่ “แพเปียก” และกิจกรรมสงกรานต์ริมน้ำ ส่งผลให้การตั้งจุดตรวจต้องมีความเข้มข้นและต่อเนื่องตลอดทั้งวัน

ผลการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายผู้ขับขี่ พบผู้กระทำผิดรวมทั้งสิ้น 6 ราย มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายทันที โดยนำตัวผู้กระทำผิดส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรแม่สรวย เพื่อดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ต่อไป

ดำเนินมาตรการเชิงรุก เพื่อป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยง

การดำเนินการตรวจจับเมาแล้วขับครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในมาตรการเชิงรุกของอำเภอแม่สรวย ที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีประชาชนเดินทางเข้าออกจำนวนมาก ทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ใช้รถใช้ถนนตระหนักถึงความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนกฎหมาย

นายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ เปิดเผยว่า การตรวจเข้มในพื้นที่รอบเขื่อนแม่สรวยไม่เพียงแต่เพื่อบังคับใช้กฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงความจริงจังของภาครัฐในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในช่วงเทศกาลสำคัญ พร้อมกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องทุกวันตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์

ศูนย์ปฏิบัติการฯ เผยแนวโน้มผู้ฝ่าฝืนยังคงพบต่อเนื่อง จำเป็นต้องใช้มาตรการควบคุมเข้ม

จากข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอแม่สรวย ระบุว่า ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาของเทศกาลสงกรานต์ มีผู้กระทำผิดในข้อหาเมาแล้วขับเฉพาะในพื้นที่เขื่อนแม่สรวยรวม 9 ราย เฉลี่ยวันละ 4.5 ราย ซึ่งยังถือเป็นตัวเลขที่สูง และบ่งชี้ถึงความจำเป็นที่ต้องดำเนินมาตรการควบคุมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเวลาหลัง 15.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนมักเริ่มดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

นอกจากนี้ยังพบว่าผู้กระทำผิดส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 25–40 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มวัยทำงานที่มีอัตราการเดินทางท่องเที่ยวสูงในช่วงเทศกาล โดยมากใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะหลัก

ผสานความร่วมมือภาครัฐ-ท้องถิ่น-ชุมชน สร้างวินัยจราจรอย่างยั่งยืน

มาตรการที่อำเภอแม่สรวยดำเนินการในครั้งนี้ ไม่ได้หยุดอยู่เพียงการตรวจจับผู้กระทำผิดเท่านั้น แต่ยังเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และอาสาสมัครในพื้นที่ ซึ่งร่วมมือกันในการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ และแจ้งเตือนผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง

โดยเฉพาะการให้ความรู้ในระดับชุมชนเกี่ยวกับอันตรายของการขับขี่ยานพาหนะขณะมึนเมา การแจกใบปลิวให้ความรู้แก่ผู้มาเที่ยว รวมถึงการใช้เสียงตามสายประกาศเตือนในเขตหมู่บ้านล้อมรอบเขื่อน เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงในระดับรากหญ้า

เมาแล้วขับยังเป็นปัญหาเรื้อรัง ต้องบูรณาการหลายมิติ

จากการติดตามข้อมูลและรายงานจากหลายหน่วยงาน พบว่าปัญหาเมาแล้วขับยังคงเป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ประชาชนเดินทางและเฉลิมฉลองกันอย่างครึกครื้น แม้ว่าจะมีการดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่พฤติกรรมเสี่ยงของบางกลุ่มยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง

การดำเนินการของอำเภอแม่สรวยจึงนับเป็นต้นแบบของการดำเนินงานเชิงรุกในระดับอำเภอ ที่สามารถใช้ศักยภาพของภาครัฐและชุมชนท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การสร้างวินัยจราจร และลดสถิติอุบัติเหตุในระยะยาว

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง และแหล่งอ้างอิง

  • รายงานจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2567 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนทั่วประเทศ 264 ราย โดยกว่า 38% ของอุบัติเหตุเกิดจากการดื่มแล้วขับ
  • จากสถิติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปี 2567 พบว่า อัตราการจับกุมผู้ขับขี่ที่มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่ากฎหมายกำหนดในช่วงสงกรานต์เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 12
  • สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รายงานว่า กลุ่มวัยทำงานอายุ 25–45 ปี เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการดื่มแล้วขับสูงที่สุดในช่วงเทศกาล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (www.ddc.moph.go.th)
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (www.royalthaipolice.go.th)
  • คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (www.alcoholwatch.in.th)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สงกรานต์วันแรก! เชียงรายดับ 1 เจ็บ 8 เมาแล้วขับ

เชียงรายเผยสถิติอุบัติเหตุวันแรกสงกรานต์ 2568 เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 8 ราย

จังหวัดเชียงรายสรุปผลปฏิบัติการเข้ม ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน สั่งเข้มทุกหน่วยงานเดินหน้าควบคุมแอลกอฮอล์

เชียงราย, 12 เมษายน 2568 – ที่ห้องประชุมศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน จังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงานศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2568 โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคีเครือข่าย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อรายงานผลการดำเนินงานของวันที่ 11 เมษายน 2568 ซึ่งเป็นวันแรกของการควบคุมเข้มข้นด้านความปลอดภัยในการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์

สถิติอุบัติเหตุวันแรก 8 เหตุการณ์ บาดเจ็บ 8 ราย เสียชีวิต 1 ราย

จากรายงานของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 พบว่าเกิดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่รวม 8 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 8 ราย แบ่งเป็นเพศชาย 6 ราย เพศหญิง 2 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย โดยพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่คือรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 7 คัน และรถเพื่อการเกษตร หรือที่เรียกว่า “รถอีแต๊ก” อีก 1 คัน

ช่วงเวลาที่พบการเกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือระหว่างเวลา 12.00 – 15.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนเดินทางกลับจากการทำบุญ หรือเริ่มออกเดินทางเพื่อท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ

สาเหตุหลักยังคงเดิม “ดื่มแล้วขับ” และ “ขับเร็วเกินกำหนด”

สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในวันดังกล่าว ยังคงมีลักษณะใกล้เคียงกับทุกปีที่ผ่านมา ได้แก่

  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่ยานพาหนะ
  • การขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด
  • การตัดหน้ากระชั้นชิด และ
  • ทัศนวิสัยไม่ดีขณะขับขี่

ทั้งนี้ จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินมาตรการในการประชาสัมพันธ์และบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งมักเป็นกลุ่มเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุรุนแรง

ตั้งจุดตรวจ 33 จุดหลัก และ 177 ด่านชุมชน ระดมกำลังดูแลทั่วพื้นที่

เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ประชาชน จังหวัดเชียงรายได้จัดตั้งจุดตรวจหลักรวม 33 จุด และตั้งด่านชุมชนกระจายตามพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 177 จุด โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำจุดรวม 1,065 นาย ครอบคลุมถนนสายสำคัญ เส้นทางเข้า-ออกชุมชน และพื้นที่จัดกิจกรรมสงกรานต์

ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงรายจับกุมผู้ฝ่าฝืนกฎหมายกว่า 1,800 รายในวันเดียว

จากการรายงานของตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ในวันที่ 11 เมษายน 2568 มีการดำเนินคดีตามมาตรการ “10 รสขม” (10 ข้อหาหลักที่มักนำไปสู่อุบัติเหตุ) โดยมีการออกใบสั่งจำนวน 1,896 ราย และมีการว่ากล่าวตักเตือนผ่านแอปพลิเคชัน “ขับดี” อีกจำนวน 51 ราย ซึ่งสะท้อนถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเพื่อป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยงบนท้องถนน

ขนส่งจังหวัดเชียงรายตรวจเข้มรถโดยสารสาธารณะ สร้างความมั่นใจผู้โดยสาร

สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการตรวจสอบสภาพรถโดยสารสาธารณะรวม 390 คัน และตรวจความพร้อมพนักงานขับรถ 406 ราย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้โดยสารว่าการเดินทางในช่วงเทศกาลจะเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด

เร่งควบคุมแอลกอฮอล์ในชุมชน เน้นป้องกันเชิงรุก

ในที่ประชุม นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเคร่งครัด โดยให้รายงานผลการดำเนินงานต่อที่ประชุมทุกวัน พร้อมกำชับให้ประสานงานกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เพื่อตรวจและประเมินผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง รวมถึงจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนในชุมชนตามแนวทางที่คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติกำหนด

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำชุมชน เพื่อส่งเสริมบทบาทของด่านชุมชน และเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยง เช่น ถนนใกล้สถานที่จัดงาน หรือตลาดที่มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเปิดเผย

เยาวชนคือจุดอ่อนใหม่ของการเกิดอุบัติเหตุ คำสั่งเข้มให้ผู้ปกครองร่วมควบคุม

ที่ประชุมได้หยิบยกประเด็นสำคัญอีกประการคือ พฤติกรรมของเด็กและเยาวชนที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ในช่วงเทศกาล โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนและหลังจากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของอุบัติเหตุที่เพิ่มขึ้นทุกปี จึงขอความร่วมมือจากผู้ปกครองในการกำชับบุตรหลานให้ใช้งานรถจักรยานยนต์อย่างปลอดภัย และไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • รายงานศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ระบุว่าในปี 2567 จังหวัดเชียงรายเกิดอุบัติเหตุในช่วงสงกรานต์รวม 69 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 8 ราย และบาดเจ็บ 72 ราย
  • รายงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า พฤติกรรม “ดื่มแล้วขับ” เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุกว่า 42% ของทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2567
  • ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ระบุว่า เด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 15 – 24 ปี เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์สูงที่สุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (www.roadsafetythai.org)
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (www.royalthaipolice.go.th)
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (www.ddc.moph.go.th)
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เจ็ดเป็งเชียงราย สรงน้ำพระธาตุ ผู้ว่าฯ ร่วมวางศิลาฤกษ์กุฏิ

เชียงรายจัดงาน “เจ็ดเป็ง สรงน้ำพระธาตุเจ็ดยอด” อย่างยิ่งใหญ่ สืบสานประเพณีปี๋ใหม่เมือง

คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนร่วมงานพร้อมใจ วางศิลาฤกษ์กุฏิสงฆ์ใหม่ เสริมสิริมงคลรับปีใหม่เมือง

เชียงราย, 12 เมษายน 2568 – ณ วัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้จัดงานประเพณี “เจ็ดเป็ง สรงน้ำพระธาตุเจ็ดยอด” ประจำปี 2568 อย่างสมเกียรติ เพื่อสืบสานวัฒนธรรมล้านนาเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ หรือที่ชาวเหนือเรียกว่า “ปี๋ใหม่เมือง” โดยพิธีเริ่มต้นขึ้นในเวลา 10.00 น. ท่ามกลางบรรยากาศอิ่มเอิบด้วยศรัทธาและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย

พระธรรมวชิโรดม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ เสริมความศักดิ์สิทธิ์แห่งพิธีกรรม

ในพิธีครั้งนี้ พระธรรมวชิโรดม รศ.ดร. เจ้าคณะภาค 6 เจ้าอาวาสวัดสังเวชวิศยารามวรวิหาร ได้เมตตาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยพระราชวชิรคณี ดร. เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา พระรัตนมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย พระครูขันติพลาธร รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย รวมทั้งเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และคณะสงฆ์-สามเณรจากหลายวัดทั่วจังหวัดเชียงราย ร่วมประกอบพิธีอย่างพร้อมเพรียง

พิธีสรงน้ำพระธาตุเจ็ดยอด ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของงานเจ็ดเป็ง ซึ่งเป็นหนึ่งในประเพณีเก่าแก่ที่สะท้อนความผูกพันระหว่างศาสนาและชุมชน งานนี้ได้รับการประสานงานอย่างใกล้ชิดโดยพระครูกิตติพัฒนานุยุต ดร. ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานจัดงาน และเป็นผู้ดูแลกระบวนการพิธีกรรมทั้งหมดให้ดำเนินไปอย่างเรียบร้อย สมพระเกียรติ

ผู้ว่าฯ เชียงรายร่วมเป็นประธานฝ่ายฆราวาส ขับเคลื่อนงานร่วมกับพุทธศาสนิกชน

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ให้เกียรติเป็นประธานฝ่ายฆราวาสในการประกอบพิธี โดยมีนางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาด และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ร่วมนำข้าราชการ หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งถือเป็นการแสดงพลังศรัทธาและความร่วมมือของชุมชนในจังหวัดเชียงรายได้อย่างงดงาม

ในโอกาสนี้ คณะสงฆ์จังหวัดเชียงราย นำโดยพระราชวชิรคณี ดร. เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมกันถวายน้ำสรงแด่พระธรรมวชิโรดม เจ้าคณะภาค 6 ตามประเพณีปี๋ใหม่เมือง อันเป็นการแสดงความเคารพและสืบสานจารีตโบราณที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานของพุทธศาสนิกชนในภาคเหนือ

พิธีวางศิลาฤกษ์กุฏิสงฆ์ใหม่ ยกระดับบทบาทวัดเจ็ดยอดในฐานะศูนย์กลางพุทธศาสนาเชียงราย

ภายหลังพิธีสรงน้ำพระธาตุ คณะสงฆ์ร่วมกับประชาชนในพื้นที่ยังได้ร่วมกันประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ “กุฏิสงฆ์หลังใหม่” ภายในวัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง เพื่อรองรับการขยายบทบาทของวัดในการเป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนา และการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธในภูมิภาค

พิธีวางศิลาฤกษ์ในครั้งนี้ นอกจากจะมีความหมายทางสถาปัตยกรรมแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยนัยยะเชิงสัญลักษณ์ถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ที่มั่นคง และการสืบทอดศาสนาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับความร่วมมือจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นผู้รับผิดชอบหลัก พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ในสังกัด ร่วมปฏิบัติงานในพิธีดังกล่าว

งานประเพณี “เจ็ดเป็ง” สะท้อนอัตลักษณ์ล้านนา-รากเหง้าทางศาสนาและวัฒนธรรม

“เจ็ดเป็ง” เป็นประเพณีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย ถือเป็นการเริ่มต้นกิจกรรมในช่วงเทศกาลปีใหม่เมือง โดยมีกิจกรรมหลักคือการสรงน้ำพระธาตุประจำวัด ซึ่งเป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจของประชาชนในพื้นที่ การจัดงานดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมเชิงศาสนาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างคณะสงฆ์ หน่วยงานราชการ และชุมชนท้องถิ่นอย่างแท้จริง

การสืบสานประเพณี = การพัฒนาจิตใจและชุมชน

งานเจ็ดเป็งถือเป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน ที่ได้มีโอกาสเรียนรู้วัฒนธรรมพื้นถิ่น ศาสนพิธี และจิตวิญญาณแห่งพุทธศาสนา ผ่านการมีส่วนร่วมในงานอย่างเป็นระบบ เช่น การจัดขบวนแห่ การบรรเลงดนตรีพื้นเมือง การสวดมนต์ และการฟังธรรมเทศนา ซึ่งนับเป็นกระบวนการพัฒนาทางจิตใจและสังคมควบคู่กันไป

นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตงานหัตถกรรมพื้นบ้าน ร้านค้าอาหารท้องถิ่น และผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยว ซึ่งมีรายได้จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร่วมงานและแสวงบุญในช่วงเทศกาล

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • จากรายงานของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2566 ระบุว่า งานประเพณีเจ็ดเป็งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 8,000 คนในปีที่ผ่านมา โดยคิดเป็นรายได้ทางเศรษฐกิจท้องถิ่นกว่า 12 ล้านบาท
  • ข้อมูลจากกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ปี 2567 พบว่า กิจกรรมทางพระพุทธศาสนาในช่วงสงกรานต์ในภาคเหนือ มีประชาชนเข้าร่วมงานรวมกันมากกว่า 1.2 ล้านคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (www.m-culture.go.th/chiangrai)
  • กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม (www.dra.go.th)
  • รายงานประจำปีของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (www.onab.go.th)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

จับแล้ว! หนุ่มแม่ลาวเผาป่า อ้างหารังผึ้ง พบทั้งปืน ยา

แม่ลาวสนธิกำลังจับผู้ต้องหาเผาป่า พบสารเสพติด-อาวุธปืน พร้อมดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายอำเภอแม่ลาวสั่งการฉับไว หลังได้รับแจ้งเหตุเผาป่าในพื้นที่ป่าสงวน พบผู้ก่อเหตุรับสารภาพ จุดไฟเผาเพื่อเอารังผึ้ง

เชียงราย, 10 เมษายน 2568 – จากกรณีที่มีพลเมืองดีแจ้งเหตุต่อฝ่ายปกครองอำเภอแม่ลาวว่ามีการลักลอบจุดไฟเผาป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่หมู่ที่ 9 ตำบลโป่งแพร่ อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ล่าสุดนายรุ่งโรจน์ ตันวุฒิ นายอำเภอแม่ลาว ได้สั่งการโดยเร่งด่วนให้นายภัคพงษ์ ภูเวียงจันทร์ ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง นำชุดปฏิบัติการลงพื้นที่ทันที พร้อมสนธิกำลังกับหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชร.5 (ดอยช้าง), ชุดปฏิบัติการพิเศษป่าไม้ สจป.ที่ 2 (เชียงราย), ผู้ใหญ่บ้าน, ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เข้าตรวจสอบและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

พบพื้นที่เผาไหม้กว่า 6 ไร่ เร่งติดตามผู้กระทำผิด

จากการลงพื้นที่ตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ พบพื้นที่ถูกเผาไหม้เสียหายเป็นวงกว้างประมาณ 6 ไร่ ลักษณะพื้นที่เป็นป่าทึบ มีร่องรอยการจุดไฟเผาหลายจุด และพบกลิ่นไหม้หลงเหลืออยู่ในอากาศ ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากพลเมืองดีและการสืบสวนเบื้องต้น ชี้เป้าชัดเจนว่านายอดิศักดิ์ แก้วประกายทรัพย์ อายุประมาณ 39 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 9 ตำบลโป่งแพร่ เป็นผู้มีพฤติกรรมต้องสงสัยและเคยมีประวัติพัวพันกับยาเสพติด

เข้าตรวจค้นบ้านพัก พบหลักฐานชัดเจน

เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง พร้อมด้วยพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางไปยังบ้านพักของนายอดิศักดิ์ และแสดงตนพร้อมบัตรเจ้าหน้าที่ เพื่อขออนุญาตทำการตรวจค้น โดยในระหว่างการตรวจค้น พบว่านายอดิศักดิ์ถือไฟแช็คอยู่ในมือขวา ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในคดีดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงสอบถามและได้รับการยอมรับจากเจ้าตัวว่าเป็นผู้จุดไฟเผาป่าจริง โดยใช้ขุยมะพร้าวเป็นเชื้อเพลิงเพื่อจะนำรังผึ้งจากต้นไม้ แต่ขณะจุดไฟนั้นสะเก็ดไฟได้กระเด็นไปโดนใบไม้แห้ง จึงเกิดไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว

ตรวจค้นเพิ่มเติมพบอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ และรับสารภาพเสพยาบ้า

ภายหลังการสอบถามเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจค้นบ้านเพิ่มเติม และพบอาวุธปืนยาวไทยประดิษฐ์ 1 กระบอก ซุกซ่อนอยู่ภายในตู้เสื้อผ้า ซึ่งนายอดิศักดิ์รับว่าเป็นของเพื่อนที่ยืมมาและเก็บไว้ในบ้าน อีกทั้งเจ้าหน้าที่สังเกตเห็นพฤติกรรมของผู้ต้องหามีอาการกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด จึงได้ซักถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้สารเสพติด ซึ่งนายอดิศักดิ์ยอมรับว่าได้เสพยาบ้า จำนวน 3 เม็ด ก่อนเกิดเหตุไม่นาน

แจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหา ดังนี้

  1. กระทำผิดฐานเผาป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484
  2. มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
  3. เสพสารเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)

รวมถึงได้แจ้งสิทธิของผู้ถูกจับตามกระบวนการยุติธรรมอย่างครบถ้วน และได้ทำการควบคุมตัวโดยบันทึกภาพและเสียงตลอดกระบวนการจับกุม อ้างอิงตามมาตรา 22 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

ผู้ต้องหาถูกส่งตัวให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแม่ลาว เพื่อดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมในลำดับถัดไป โดยเจ้าหน้าที่ได้รายงานผลการจับกุมอย่างเป็นทางการต่อผู้บังคับบัญชาในพื้นที่เพื่อเตรียมรายงานต่อหน่วยเหนือ

วิเคราะห์สถานการณ์และผลกระทบจากการเผาป่า

การลักลอบจุดไฟเผาป่าถือเป็นปัญหาสำคัญที่จังหวัดเชียงรายเผชิญมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งของทุกปี ซึ่งส่งผลให้เกิดไฟป่าลุกลามเป็นวงกว้าง นำไปสู่ปัญหาหมอกควันฝุ่น PM2.5 และกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง อีกทั้งยังทำลายระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของภาคเหนือ

ในปีที่ผ่านมา จังหวัดเชียงรายเผชิญกับปัญหาไฟป่ารุนแรงหลายจุด โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สรวย แม่ฟ้าหลวง แม่ลาว และเวียงป่าเป้า ซึ่งล้วนแต่เป็นพื้นที่ป่าสงวนและป่าอนุรักษ์ การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นภัยร้ายแรงที่ต้องควบคุมอย่างเด็ดขาดและมีบทลงโทษที่เหมาะสม

มาตรการเชิงรุกที่ภาครัฐควรดำเนินการ

ภาครัฐควรเร่งดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันและลดปัญหาไฟป่าในระยะยาว ได้แก่

  • การสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับผลกระทบของไฟป่า
  • การส่งเสริมการเฝ้าระวังแบบมีส่วนร่วมจากชุมชน
  • การเพิ่มการลาดตระเวนในพื้นที่เสี่ยง
  • การประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานป่าไม้ให้มีแผนป้องกันล่วงหน้า

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • รายงานสถานการณ์ไฟป่าของกรมควบคุมมลพิษ ปี 2567 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีจุดความร้อน (Hotspot) เกิดขึ้นกว่า 2,640 จุดตลอดทั้งปี และมีพื้นที่เสียหายจากไฟป่ากว่า 28,000 ไร่
  • ข้อมูลจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ปี 2567 รายงานว่า พื้นที่ภาคเหนือได้รับผลกระทบจากไฟป่ามากที่สุดในประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (www.dnp.go.th)
  • กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (www.isoc.go.th)
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เตรียมปลูก “พระศรีมหาโพธิ์” ที่เชียงราย เฉลิมพระเกียรติ

เชียงรายเตรียมปลูก “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” เนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลสำคัญแห่งปี 2568

เชียงรายเร่งประชุมวางแผนปลูกพระศรีมหาโพธิ์ในพื้นที่พุทธมณฑลสมโภช 750 ปี สะท้อนพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้น

เชียงราย, 10 เมษายน 2568 – ที่ห้องประชุมอูหลง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในการประชุมหารือร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์พระราชทาน “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” ซึ่งเป็นพระราชพิธีสำคัญเนื่องในโอกาสพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช องค์ปฐมกษัตริยาธิราชแห่งราชวงศ์จักรี

พระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ปวงประชา

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานต้นพระศรีมหาโพธิ์ให้แก่กระทรวงมหาดไทย เพื่อมอบให้แก่ทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักรไทย โดยให้ปลูกไว้ในสถานที่อันเป็นสิริมงคล เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน และเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคง ร่มเย็น และสันติสุขในบ้านเมือง

ต้นพระศรีมหาโพธิ์ดังกล่าว ทรงพระราชทานนามว่า “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” (อ่านว่า พระ-สี-มะ-หา-โพ-ทิ-ทด-สะ-มะ-ราด-ชะ-บอ-พิด) ซึ่งมีความหมายว่า “พระศรีมหาโพธิ์ที่พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” นับเป็นต้นไม้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพนับถือในพุทธศาสนา และมีคุณค่าทางจิตใจอย่างสูงสุด

เชียงรายพร้อมเสนอ “พุทธมณฑลสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย” เป็นสถานที่ปลูกพระศรีมหาโพธิ์

ในที่ประชุม จังหวัดเชียงรายได้มีมติให้ “พุทธมณฑลสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย” ตั้งอยู่ที่บ้านต้นง้าว อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการปลูกพระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตรในครั้งนี้ ด้วยลักษณะพื้นที่อันสงบเงียบ มีความพร้อมด้านภูมิทัศน์และสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งยังเป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาในระดับจังหวัดมาอย่างต่อเนื่อง

สถานที่ดังกล่าวยังถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนในภาคเหนือ และเคยเป็นสถานที่จัดงานสมโภชครั้งยิ่งใหญ่ของจังหวัดเชียงรายในอดีต การปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ สถานที่แห่งนี้ จึงนับเป็นเกียรติอันสูงสุดของประชาชนในพื้นที่

การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการหารือถึงการจัดเตรียมพื้นที่ให้พร้อมรับการปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมหลุมปลูก การปรับสภาพดิน การติดตั้งระบบรดน้ำ การจัดแสงสว่าง และการดูแลรักษาต้นไม้ในระยะยาว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพระพุทธศาสนา และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ต่างให้ความร่วมมือและวางแผนการดำเนินการอย่างรัดกุม

นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงพิธีกรรมทางศาสนาที่จะจัดขึ้นในวันปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยจะมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดเข้าร่วมพิธี รวมถึงจะเชิญชวนประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อแสดงความจงรักภักดีและร่วมเป็นสักขีพยานในโอกาสสำคัญนี้

พระศรีมหาโพธิ์  สัญลักษณ์แห่งศรัทธา ความร่มเย็น และพระราชไมตรี

พระศรีมหาโพธิ์มิใช่เพียงต้นไม้ แต่ยังเปรียบเสมือนตัวแทนแห่งพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้นโพธิ์ยังเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมอันยิ่งใหญ่ จึงมีนัยยะทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง สำหรับการปลูกพระศรีมหาโพธิ์ในครั้งนี้ จึงมิได้เป็นเพียงพิธีปลูกต้นไม้ หากแต่เป็นการสื่อถึงสายใยแห่งศรัทธาและพระราชไมตรีที่พระองค์มีต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า

มิติด้านศาสนา วัฒนธรรม และสังคมที่ได้รับจากโครงการฯ

การปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ยังมีนัยสำคัญในมิติของการส่งเสริมพระพุทธศาสนา การทำนุบำรุงวัฒนธรรมท้องถิ่น และการเสริมสร้างจิตสำนึกสาธารณะของประชาชนในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็น “แลนด์มาร์กทางจิตวิญญาณ” ที่ผู้คนสามารถเดินทางมาสักการะ ทำบุญ และปฏิบัติธรรมได้ตลอดปี

บทวิเคราะห์และความสำคัญในระยะยาว

การปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์พระราชทานในจังหวัดเชียงรายครั้งนี้ สะท้อนถึงการบูรณาการของหลายภาคส่วน ที่ร่วมกันทำงานอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการสร้างจุดศูนย์รวมทางศาสนาและวัฒนธรรมของภาคเหนือ ตลอดจนสร้างพื้นที่สีเขียวที่มีความหมายทางจิตใจต่อประชาชน

นอกจากนี้ ยังถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงราย ในฐานะเมืองพุทธศาสนาและเมืองแห่งวัฒนธรรมล้านนาอันลึกซึ้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณในระยะยาว

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • ปี 2567 กระทรวงมหาดไทยได้รายงานว่า มีการปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติในโอกาสสำคัญกว่า 1.2 ล้านต้นทั่วประเทศ โดยในจำนวนนี้มีต้นพระศรีมหาโพธิ์พระราชทานกว่า 7,000 ต้น
  • จากการสำรวจโดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ปี 2566 ระบุว่า ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ปลูกในสถานที่ทางศาสนา มีอัตราการรอดชีวิตเฉลี่ยถึง 94%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่ง สงกรานต์นี้ ดื่มแล้วขับ เจอจับแน่

เชียงรายเปิดศูนย์ฯ เข้มมาตรการลดอุบัติเหตุสงกรานต์ 2568

เชียงรายเดินหน้าแผนงานความปลอดภัย ชูมาตรการเข้มสกัดพฤติกรรมเสี่ยง

เชียงราย, 10 เมษายน 2568 – ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิด “ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568” อย่างเป็นทางการ ท่ามกลางความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรท้องถิ่น ที่พร้อมใจเดินหน้ารับมือสถานการณ์เสี่ยงในช่วงวันหยุดยาว

ผนึกกำลังทุกภาคส่วน สร้างเกราะความปลอดภัยให้ประชาชน

ในโอกาสนี้ มีการส่งมอบอุปกรณ์จราจร น้ำดื่ม และเครื่องบริโภคจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยจังหวัดเชียงราย ชมรมวินาศภัยเชียงราย และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นการร่วมแรงร่วมใจครั้งสำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกพื้นที่

ประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เชื่อมโยงทั่วประเทศ

ก่อนเข้าสู่พิธีเปิดศูนย์ฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ได้เข้าร่วมประชุมเปิดศูนย์ฯ ระดับประเทศผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ณ ห้องประชุม 1 ปภ. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ซึ่งแสดงถึงความพร้อมในการประสานงานแบบเรียลไทม์กับทุกจังหวัด

3 ปัจจัยเสี่ยงหลักของอุบัติเหตุ ต้องเร่งแก้ไข

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า อุบัติเหตุทางถนนช่วงสงกรานต์ มักเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

  1. สภาพถนนและสิ่งแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย
  2. สภาพรถยนต์ที่ไม่พร้อมใช้งาน
  3. พฤติกรรมเสี่ยงของผู้ขับขี่ อาทิ ดื่มแอลกอฮอล์ ง่วงนอน หรือขาดทักษะในการขับขี่

มาตรการที่จังหวัดเน้นหนักในปีนี้ คือ การตั้งด่านตรวจ โดยเฉพาะ “ด่านชุมชน” เพื่อป้องกันการออกสู่ถนนของผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง ทั้งยังสั่งการให้เจ้าหน้าที่จัดตั้งด่านในพื้นที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการตั้งใกล้ถนน และควบคุมการจำหน่ายสุราให้เข้มงวดตามกฎหมาย

รณรงค์หยุดพักรถทุก 2 ชั่วโมง ลดง่วงหลับใน

จุดพักรถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้รับคำสั่งให้รณรงค์ให้ผู้ขับขี่หยุดพักทุก 2 ชั่วโมง หรือทุกระยะทาง 150 กิโลเมตร เพื่อป้องกันอาการง่วงหลับใน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่มักนำไปสู่อุบัติเหตุรุนแรง

ถ่ายทอดสดประชุมศูนย์ทุกวัน เสริมประสิทธิภาพติดตาม

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จังหวัดเชียงรายจะมีการประชุมศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนทุกวันตลอด 7 วันของช่วงควบคุมเข้ม พร้อมถ่ายทอดสดการประชุมของศูนย์ฯ จังหวัดทุกวัน เพื่อให้ทุกหน่วยงานรับทราบข้อมูลและแนวทางอย่างทันท่วงที และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

เป้าหมายสูงสุดคือศูนย์อุบัติเหตุและการสูญเสีย

จังหวัดเชียงรายตั้งเป้าลดจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด โดยยึดแนวทาง “ความร่วมมือ ความพร้อม และความต่อเนื่อง” ทั้งในด้านการประชาสัมพันธ์ การจัดกำลังเจ้าหน้าที่ และการใช้เทคโนโลยีช่วยสอดส่องการจราจรและพฤติกรรมของผู้ขับขี่

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีจำนวนอุบัติเหตุทางถนนในช่วงสงกรานต์รวม 68 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และผู้บาดเจ็บ 72 ราย โดยสาเหตุหลักมาจากเมาแล้วขับถึง 58% ขับเร็วเกินกำหนด 27% และหลับใน 15%

ในระดับประเทศ สถิติของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ระบุว่า ในช่วงสงกรานต์ปี 2567 ทั่วประเทศมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 2,203 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 264 ราย และผู้บาดเจ็บรวม 2,208 ราย โดยจังหวัดที่มีอุบัติเหตุสูงสุดคือ เชียงใหม่ นครราชสีมา และอุดรธานี ตามลำดับ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.)
  • รายงานสถิติอุบัติเหตุสงกรานต์ 2567, www.roadaccidentdata.go.th
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AUTOMOTIVE

Nissan Kicks e-POWER หาดใหญ่สู่กัวลาลัมเปอร์

นิสสันเปิดประสบการณ์ขับสนุกข้ามพรมแดนแบบไร้กังวล กับ Nissan Kicks e-POWER
รถยนต์พลังไฟฟ้า 100% จากหาดใหญ่สู่กัวลาลัมเปอร์

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย (1 เมษายน 2568) – การเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถยนต์เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เหล่านักท่องเที่ยวได้สัมผัสการท่องเที่ยวแบบเต็มอิ่ม โดยเฉพาะการขับข้ามพรมแดนที่เปิดประสบการณ์การเดินทางสู่โลกกว้างที่น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น ล่าสุด นิสสันได้จัดทริปสุดพิเศษแนะนำเส้นทางเดินทางข้ามพรมแดนจากหาดใหญ่ ประเทศไทย ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พร้อมทดสอบสมรรถนะของ นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ รถยนต์พลังไฟฟ้า 100% ตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะแหล่งผลิตรถยนต์นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ และส่งออกไปยังทั่วภูมิภาคอาเซียน โดยล่าสุดได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศมาเลเซียเป็นที่เรียบร้อย

ขับสนุกทุกเส้นทาง แถมไร้กังวลตลอดทริป

ทริปนี้ไม่ใช่แค่การขับรถเที่ยวทั่วๆ ไป นิสสันชวนเดินทางด้วย Nissan Kicks e-POWER 2nd Generation รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% จากไทยไปมาเลเซีย ที่ให้ทั้งความตื่นเต้นเร้าใจจากอัตราเร่งที่ทรงพลัง แต่นุ่มนวล ออกตัวได้เร็ว แรงดั่งใจ ไร้กังวลจากการหาจุดชาร์จไฟฟ้าเพราะระบบ e-POWER ที่เป็นเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของนิสสัน ช่วยเปลี่ยนน้ำมันเป็นไฟฟ้าได้โดยตรง ทำให้สามารถขับระยะไกลในทริปนี้ได้สบายกว่า 650 กิโลเมตร โดยให้ผู้ร่วมกิจกรรมได้ท้าทายโดยใช้น้ำมันเพียงหนึ่งถังเท่านั้นตลอดการเดินทาง มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยและความสะดวกสบายครบครัน และไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่อย่างใด แถมยังขับสนุกตลอดทางด้วยเส้นทางภูเขาที่มีความสวยงาม และจุดแวะเที่ยวเด็ดๆ มากมาย เหมาะสำหรับสายขับรถเที่ยว ที่ต้องการทั้งความสนุกในการขับขี่และความสะดวกสบาย

แชร์เส้นทาง Road Trip ไทย-มาเลเซีย พร้อมจุดเช็คอินสุดชิค

จุดเริ่มต้น: หาดใหญ่ เมืองคึกคักแห่งภาคใต้

เริ่มต้นความสนุกและเตรียมความพร้อมกันที่หาดใหญ่ สีสันแห่งภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นย่านการค้าที่คึกคักและยังเป็นแหล่งรวมอาหารชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นติ่มซำ หรือโรตี-ชาชัก ที่หลายคนต้องแวะลองเมื่อมาถึง

เมื่อพร้อมแล้วจึงมุ่งหน้าสู่เบตง ด้วยระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร โดยเส้นทางจากหาดใหญ่ไปเบตงถือเป็นการท้าทายความสามารถของคนขับด้วยเส้นทาง โค้งตัว S และถนนขึ้นลงเขา เต็มไปด้วยแนวต้นไม้เขียวขจีและเนินเขาสูงชันตลอดเส้นทาง ซึ่งสามารถขับขึ้นลงเขาได้อย่างมั่นใจ ด้วยการใช้งานเทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ หรือ e-Pedal Step ของ Nissan Kicks e-POWER ที่ช่วยลดการใช้เบรกซ้ำๆ เมื่อต้องขับผ่านโค้งและเส้นทางคดเคี้ยว อีกทั้งความคล่องตัวของรถที่มีขนาดและรูปทรงเหมาะสม ทำให้การขับขี่ในสภาพถนนเช่นนี้สามารถทำได้อย่างสบายๆ นอกจากนี้แรงบิดของมอเตอร์ไฟฟ้ายังทำให้เร่งแซงง่ายและขับขึ้นเขาได้สบายกว่าเดิม

จุดแวะพักไฮไลต์: สะพานโต๊ะกูแช ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แวะพักชมทัศนียภาพอันน่าทึ่งของทะเลสาบฮาลา-บาลา และ อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ ไฮไลต์ของเมืองชายแดนที่ไม่ควรพลาด

จากเบตง มุ่งสู่อิโปห์ ระยะทาง 250 กิโลเมตร

หลังจากผ่านชายแดนที่อำเภอเบตง ถนนจะแคบลง มีทางขึ้นลงเนินผ่านภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ยังคงเป็นทางเขาที่สวยงาม แต่อาจจะแปลกตาจากภูมิประเทศที่ต่างกันระหว่างไทยและมาเลเซีย โดยเฉพาะเมื่อผ่านโซนหุบเขา Lenggong Valley ในรัฐเประ ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกยูเนสโกที่มีธรรมชาติสวยงามตระการตา โดยตลอดทั้งเส้นทางเพื่อนคู่ใจอย่างระบบ NissanConnect ที่ช่วยเชื่อมต่อแอพพลิเคชันนำทาง เปิดเพลงโปรดจากแอพสตรีมมิ่งเพลงชื่อดังได้อย่างลื่นไหล ทำให้การเดินทางไกลเป็นเรื่องสนุก ไม่น่าเบื่อ และ ที่ชาร์จไร้สาย ช่วยให้โทรศัพท์มีแบตเตอรี่พร้อมใช้งานตลอดเวลา โดยไม่ต้องกังวลเรื่องพกสายชาร์จ

จุดแวะพักไฮไลต์: แวะเติมคาเฟอีนด้วยกาแฟคุณภาพที่ร้านคาเฟ่ชื่อดังอย่าง White Coffee คาเฟ่ในตำนานแห่งเมืองอิโปห์ ที่มีชื่อเสียงขึ้นชื่อ 1 ใน 4 ของเอเชียที่เป็นสุดยอดด้านกาแฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกาแฟขาวสูตรต้นตำรับแสนอร่อย  นอกจากนี้บริเวณเมืองอิโปห์ยังมีสตรีทอาร์ตและตึกเก่าเมืองอิโปห์ ซึ่งอุดมไปด้วยสถาปัตยกรรมจากยุคอาณานิคม เหมาะมากสำหรับสายถ่ายรูป

อิโปห์ สู่ กัวลาลัมเปอร์ ระยทาง 250 กิโลเมตร

เข้าสู่การเดินทางวันสุดท้าย ซึ่งมุ่งหน้าสู่กัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย เส้นทางเริ่มจากการขับผ่านย่านเมืองเก่าของอิโปห์ ก่อนเข้าสู่เส้นทางหลวงที่ตรงยาว ระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร ซึ่งระหว่างขับขี่จะได้สัมผัสความทรงพลังของมอเตอร์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

เมื่อเข้าใกล้กัวลาลัมเปอร์ เส้นทางเปลี่ยนจากทางหลวงสู่ถนนในเมืองใหญ่ที่คึกคักและเต็มไปด้วยการจราจรและด้วยเทคโนโลยี Nissan 360 Safety Shield ที่จัดเต็มมากับ Nissan Kicks e-POWER ช่วยให้การขับขี่ในเมืองใหญ่เป็นเรื่องง่ายและมั่นใจทุกเส้นทาง โดยเมื่อเข้าสู่เขตมหานครที่มีการจราจรหนาแน่น กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor) และ เทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (Moving Object Detection) ทำให้ควบคุมรถในพื้นที่แคบทำได้อย่างสะดวกง่ายดาย ขณะที่การเดินทางด้วยความเร็วบนถนนหลวง เทคโนโลยีความปลอดภัย อาทิ ระบบเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning) ที่แจ้งเตือนผู้ขับขี่เมื่อมีรถอื่นเข้ามาในจุดที่มองไม่เห็น หรือระบบเตือนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning) ระบบเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Forward Emergency Braking) และอีกหลากหลายฟังก์ชันล้ำสมัย จะช่วยเสริมความมั่นใจในทุกพื้นที่ที่การจราจรต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

จุดแวะพักไฮไลต์:  ตึกแฝดเปโตรนาส แลนด์มาร์กสุดฮิปของกรุงกัวลาลัมเปอร์ จุดหมายปลายทางหลักทริปนี้ ที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปเช็คอิน

เดินทางชิลๆ หมดห่วงเรื่องหาจุดชาร์จไฟ กับ Nissan Kicks e-POWER 2nd Generation

นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ให้ประสบการณ์การขับขี่ด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า 100% ที่มอบแรงบิดดี ขับสนุก และเงียบ แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องการหาจุดชาร์จไฟฟ้า ด้วยเทคโนโลยี e-POWER เจเนอเรชัน 2 ที่เปลี่ยนน้ำมันเป็นพลังงานไฟฟ้า ให้ฟีลขับสนุกแบบ EV โดยไม่ต้องเสียบปลั๊ก รุ่นใหม่นี้มาพร้อมแรงบิดที่ดีขึ้นกว่าเดิม ทำให้ เร่งแซงง่าย ขับขึ้นทางชันลื่นไหล และระบบขับขี่เงียบกว่าเดิม ทำให้การเดินทาง ผ่อนคลายและสนุกขึ้น นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี e-Pedal Step ที่ช่วยให้การควบคุมรถทำได้ง่ายดายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่นหรือถนนขึ้นลงเขา โดยสามารถใช้ได้ในโหมดการขับขี่แบบ อีโค (Eco) และ แบบสปอร์ต (Sport)

บทสรุปว่าทำไมต้องลอง Road Trip ไทย-มาเลเซีย กับ Nissan Kicks e-POWER

  • Road Trip ขับสนุกเต็มที่ ด้วยเส้นทางที่หลากหลาย ทั้งเนินเขา ทางโค้งตัว S ไฮเวย์ และถนนในเมือง พร้อมวิวสวยตลอดทาง
  • เหมาะกับสายเที่ยว & รักษ์โลก ที่ต้องการประสบการณ์ใหม่ในการเดินทางที่ให้การขับขี่ที่เหนือชั้น แบบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ 100% ไร้กังวลเรื่องการหาจุดชาร์จไฟ อีกทั้งประหยัดน้ำมันเชื้อเพลงที่พิสูจน์แล้วโดยการเดินทางกว่า 650 กิโลเมตรด้วยน้ำมันเพียงหนึ่งถัง
  • เทคโนโลยี e-POWER Gen 2 มอบประสบการณ์ขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น ทั้งความเงียบ แรงบิด และการตอบสนองที่ฉับไว เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า แต่ไม่ต้องกังวลกับการชาร์จไฟฟ้า
  • Nissan Kicks e-POWER เป็นรถยนต์คุณภาพ การันตีโดยได้รับรางวัล Car of the Year ปี 2025 สาขา Best Hybrid SUV under 1,300 cc

นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ เปิดตัวครั้งแรกในอาเซียนที่ประเทศไทยในปีพ.ศ. 2563 และนับตั้งแต่นั้นมาก็ได้ขยายไปยังตลาดรวม 6 แห่งในอาเซียน ได้แก่ ประเทศไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และล่าสุดคือ มาเลเซีย ถือเป็นการตอกย้ำความพยายามของนิสสันในการนำการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาสู่ตลาดต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาค

หากคุณกำลังมองหาประสบการณ์การเดินทางแบบใหม่ที่ให้ทั้งความสนุกและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Nissan Kicks e-POWER อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา พร้อมพาคุณไปสนุกให้สุดในทุกการเดินทาง!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ครม.ทุ่มงบหลักล้านบาท เตือนภัยดินถล่ม น้ำป่าเชียงราย

ครม.อนุมัติ 370 ล้านบาท เร่งติดตั้งระบบเตือนภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม 370,390,200 บาท เพื่อดำเนินโครงการจัดทำระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยแผ่นดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายในการลดความสูญเสียจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มความถี่และความรุนแรงขึ้นทุกปี โดยเน้นพื้นที่เสี่ยงระดับสูงในภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศไทย

แนวโน้มธรณีพิบัติภัยในประเทศไทย

จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ประเทศไทยเผชิญกับภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน สถิติย้อนหลัง 5 ปี (2563-2567) พบว่า มีเหตุการณ์ดินถล่มเฉลี่ยปีละ 110–130 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 270 ราย และบ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก โดยพื้นที่เสี่ยงภัยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตภูเขาและพื้นที่ลาดชันของภาคเหนือและภาคใต้

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและพายุในหลายพื้นที่ โดยในปี 2567 กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ประเทศไทยมีจำนวนวันที่ฝนตกมากกว่า 100 มิลลิเมตรต่อวัน สูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยถึง 27%

สาระสำคัญของโครงการระบบเตือนภัยดินถล่ม

โครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของประเทศในการเฝ้าระวังภัยพิบัติ โดยมีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ดังนี้

  1. ติดตั้งระบบตรวจจับมวลดินเคลื่อนตัวและน้ำป่า 120 สถานี

วงเงิน 310,840,000 บาท สำหรับการติดตั้งเครื่องมือในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มระดับสูงและสูงมาก โดยเครื่องมือจะสามารถตรวจจับความชื้นในดิน การเคลื่อนตัวของชั้นดิน และสัญญาณการทรุดตัว เพื่อส่งสัญญาณเตือนไปยังศูนย์กลางเฝ้าระวัง

  1. พัฒนาระบบสารสนเทศดิจิทัลธรณีพิบัติภัย

วงเงิน 40,351,000 บาท เพื่อจัดทำระบบฐานข้อมูลและแผนที่เสี่ยงภัยในรูปแบบออนไลน์ ครอบคลุมข้อมูลพิกัด ระบบพยากรณ์ ภาพถ่ายดาวเทียม และผลวิเคราะห์ทางธรณีวิทยา เพื่อให้ประชาชน หน่วยงานท้องถิ่น และหน่วยงานภาครัฐเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและโปร่งใส

  1. สร้างเครือข่ายภาคีความร่วมมือในพื้นที่เสี่ยง

วงเงิน 19,199,200 บาท เพื่ออบรมและเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัคร อสม. และภาคประชาชน ให้มีทักษะในการประเมินความเสี่ยง การอพยพ และการแจ้งเตือน

พื้นที่ดำเนินโครงการครอบคลุม 17 จังหวัดหลัก

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการ 17 จังหวัด ได้แก่

  • ภาคเหนือ: เชียงราย, เชียงใหม่, ตาก, แม่ฮ่องสอน, แพร่, น่าน, อุตรดิตถ์, เพชรบูรณ์
  • ภาคใต้: ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, ระนอง, พังงา, กระบี่, ภูเก็ต

โดยการดำเนินการจะใช้ระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่เมษายน 2568 ถึงมีนาคม 2569 โดยคาดว่าหลังจากติดตั้งและทดสอบระบบเสร็จจะสามารถใช้งานได้จริงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2569

การเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการความเสี่ยงในระดับประเทศ

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศในการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเน้นระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าแบบองค์รวม สนับสนุนการตัดสินใจของผู้ว่าราชการจังหวัด ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ (EOC) และหน่วยงานภาคสนาม ให้สามารถเตรียมความพร้อม อพยพ และช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที

วิเคราะห์ผลกระทบเชิงบวกที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

  • ลดอัตราการเสียชีวิตจากดินถล่มในพื้นที่เป้าหมายลงไม่น้อยกว่า 60%
  • คาดว่าประชาชนกว่า 1.5 ล้านคนจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากระบบเตือนภัยนี้
  • เพิ่มขีดความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 300 แห่งทั่วประเทศ
  • ลดค่าเสียหายทางเศรษฐกิจในพื้นที่เสี่ยงกว่า 800 ล้านบาทต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
CULTURE

นายกฯ หนุนผ้าไทย ใส่สนุก สงกรานต์นี้ อุดหนุนเลย

นายกฯ แพทองธาร ชู “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” รับสงกรานต์ 2568 ดัน Soft Power วัฒนธรรมไทย สร้างรายได้ชุมชนอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – บรรยากาศการเตรียมพร้อมเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ 2568 ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความสุขของคนไทยทั่วประเทศ แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญที่รัฐบาลไทยใช้เป็นเวทีขับเคลื่อนนโยบาย Soft Power ด้านวัฒนธรรม โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้ผ้าไทยให้เป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าไทย ณ ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยมีการจัดกิจกรรมภายใต้แนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก

รัฐบาลหนุนผ้าไทยสู่ Sustainable Fashion ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

การเยี่ยมชมในครั้งนี้ได้รับการต้อนรับจาก นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย โดยมีการจัดนิทรรศการแสดงผลงานผ้าไทยจากกลุ่มผู้ประกอบการทั่วประเทศ ทั้งผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าบาติก และผ้าลายพระราชทาน ที่ได้รับคำแนะนำจาก สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความสวยงาม ทันสมัย ใช้วัสดุธรรมชาติ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “วันนี้เราไม่ได้มองผ้าไทยแค่ในฐานะเครื่องแต่งกายอีกต่อไป แต่คือ Soft Power ที่มีคุณค่าทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างรายได้ กระจายโอกาสให้ถึงมือชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มทอผ้าในพื้นที่ห่างไกล”

ผ้าไทย = รายได้คนไทย เมื่อแฟชั่นเชื่อมต่อกับความยั่งยืน

นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ รัฐบาลขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันอุดหนุนผ้าไทย ไม่ว่าจะซื้อไว้ใส่เอง ใช้ในกิจกรรมประเพณีหรือมอบเป็นของขวัญให้ผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อสืบสานภูมิปัญญาไทยและเป็นการหมุนเวียนเศรษฐกิจภายในประเทศ

“ทุกบาทที่เราจ่ายไปกับผ้าไทย ไม่ใช่แค่การซื้อผ้า แต่คือการลงทุนในคุณค่าของชุมชน ทุนทางวัฒนธรรม และคุณภาพชีวิตของคนไทย” นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำ

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รากฐานของการพัฒนา

กลุ่มผู้ประกอบการที่นำผลิตภัณฑ์เข้าร่วมในงาน ได้แก่

  • ศูนย์การเรียนรู้และออกแบบขวัญตา จ.หนองบัวลำภู
  • กลุ่มผ้าทอลายมงคลมนตราธิกาญจน์ จ.กาฬสินธุ์
  • กลุ่มยาริงบาติก จ.ปัตตานี

กลุ่มเหล่านี้ไม่เพียงเป็นผู้ชนะจากการประกวดผ้าลายพระราชทานเท่านั้น แต่ยังเป็นแบบอย่างของความสำเร็จในการพัฒนาแบรนด์ท้องถิ่นไปสู่ตลาดระดับประเทศและสากล

ผ้าไทยใส่ให้สนุก” = ความงาม + ความภูมิใจ + ความยั่งยืน

แนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ไม่ใช่เพียงแนวคิดเชิงวัฒนธรรม แต่สะท้อนวิสัยทัศน์ที่มุ่งให้คนไทยทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงผ้าไทยได้ง่ายขึ้น ในราคาที่จับต้องได้ พร้อมรูปแบบที่ทันสมัย เหมาะกับไลฟ์สไตล์ในทุกโอกาส ไม่ว่าจะในสำนักงาน ชุมชน หรือเทศกาล

การออกแบบที่ร่วมสมัย การใช้สีจากธรรมชาติ และการพัฒนาระบบการผลิตที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นองค์ประกอบของแนวคิด “Sustainable Fashion” ที่ประเทศไทยกำลังผลักดันสู่เวทีโลก

Soft Power ที่เป็นมากกว่าวัฒนธรรม คือเครื่องมือพัฒนาเศรษฐกิจ

รัฐบาลได้กำหนดนโยบายผลักดัน Soft Power เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคชนบทที่มีทุนวัฒนธรรมอยู่มาก การพัฒนาเครือข่ายผ้าทอชุมชน จึงเป็นการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนโดยไม่ทำลายรากเหง้าแห่งภูมิปัญญา

กรมการพัฒนาชุมชนระบุว่า กลุ่มผู้ผลิตผ้าไทยทั่วประเทศกว่า 12,400 กลุ่ม สามารถสร้างมูลค่ารวมกว่า 8,900 ล้านบาท/ปี และมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 7–9% ต่อปี หลังการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐ

บทวิเคราะห์ ผ้าไทยในโลกเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ในยุคที่ผู้บริโภคทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีที่มาชัดเจนและมีความยั่งยืน ผ้าไทยไม่ใช่เพียงเครื่องนุ่งห่ม แต่คือ “สินค้าเชิงวัฒนธรรม” ที่มีโอกาสขยายตลาดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

การสนับสนุนของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างกระแสเชิงสัญลักษณ์ แต่ยังสะท้อนเจตนารมณ์ในการ “ยกระดับผ้าไทย” ให้มีบทบาทในเวทีแฟชั่นระดับโลก โดยใช้สงกรานต์ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนไทยให้ความสำคัญกับการแต่งกายพื้นถิ่น เป็นเวทีผลักดันให้ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เป็นวาระแห่งชาติอย่างแท้จริง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • กลุ่มผู้ผลิตผ้าไทยทั่วประเทศ: 12,407 กลุ่ม (ข้อมูลจากกรมการพัฒนาชุมชน, มี.ค. 2568)
  • มูลค่าการจำหน่ายผ้าไทยในประเทศ ปี 2567: ประมาณ 8,900 ล้านบาท
  • อัตราการเติบโตของยอดขายผ้าไทยหลังการส่งเสริมจากรัฐ: เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7–9% ต่อปี
  • ประชาชนที่ซื้อผ้าไทยเป็นของขวัญช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2567: กว่า 2.3 ล้านคน (จากผลสำรวจโดยศูนย์วิจัยแฟชั่นและวัฒนธรรม ม.ราชภัฏเชียงใหม่)
  • กลุ่มผู้ผลิตผ้าที่เข้าร่วมงานแสดงที่ทำเนียบรัฐบาล 8 เม.ย. 2568: มากกว่า 30 กลุ่มจาก 20 จังหวัด
  • ยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าไทยในงานครั้งนี้ (เบื้องต้น): รวมมากกว่า 1.2 ล้านบาท (จากข้อมูลกรมการพัฒนาชุมชน ณ วันจัดงาน)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
  • ศูนย์วิจัยแฟชั่นและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
  • สมาคมส่งเสริมผ้าไทยแห่งประเทศไทย
  • สำนักข่าวทำเนียบรัฐบาล
  • รายงานนโยบาย Soft Power สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดต่าง ๆ
  • ข้อมูลโครงการ Thailand Textile Sustainable ปี 2566
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE