Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

ปิดฉากยิ่งใหญ่ เชียงรายเกมส์ ส่งต่อราชบุรีจัดกรีฑาสูงอายุ

เชียงรายเกมส์ปิดฉาก ราชบุรีรับธงจัดกรีฑาสูงอายุครั้งต่อไป

เชียงราย, 16 กุมภาพันธ์ 2568 – พิธีปิดการแข่งขัน กรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 29 ประจำปี 2568 “นครเชียงรายเกมส์” ได้รับการจัดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีการส่งต่อหน้าที่เจ้าภาพให้แก่ จังหวัดราชบุรี ซึ่งจะเป็นสถานที่จัดการแข่งขันในปีถัดไป

เชียงรายปิดฉาก “นครเชียงรายเกมส์” เตรียมส่งไม้ต่อราชบุรี

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานในพิธีปิดการแข่งขัน กรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 29 ณ จังหวัดเชียงราย การแข่งขันนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานกรีฑาสูงอายุของไทยให้ทัดเทียมนานาชาติ พร้อมทั้งส่งเสริมสุขภาพและสร้างแรงบันดาลใจให้ประชากรทุกวัยหันมาออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

พิธีปิดมีบุคคลสำคัญเข้าร่วมมากมาย อาทิ นางสาววริษฐา สงวนเสริมศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย, นางรัตนา จงสุทธานามณี นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย, นายสินาด รุ่งจรูญ นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดราชบุรี ตลอดจนคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ แขกผู้มีเกียรติ นักกีฬา และสื่อมวลชน

ประกาศรางวัลนักกีฬาและทีมยอดเยี่ยม

รางวัลนักกีฬาต้นแบบสุขภาพ (สสส.)

  • ชาย: พ.อ.นิพนธ์ สุดใจธรรม (ทีมลำปาง)
  • หญิง: นางกัลยา แก้วประเสริฐ (ทีมลำปาง)

รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยม

  • ชาย: นายดี ใจจุมปา (รุ่นอายุ 95 – 99 ปี) ทีมกรีฑาผู้สูงอายุเทศบาลนครเชียงราย ได้ 6 เหรียญทอง และทำลายสถิติประเทศไทยในรายการ 400 เมตร
  • หญิง: นางสมสง่า บุญนอก (รุ่นอายุ 70-74 ปี) ทีมหนองบัวลำภู ได้ 7 เหรียญทอง ทำลาย สถิติเอเชีย 2 รายการ (กระโดดสูงและกระโดดไกล) และ สถิติประเทศไทย 3 รายการ (วิ่ง 100 เมตร, 200 เมตร, เขย่งก้าวกระโดด)

รางวัลประเภททีม

  • ผู้บริหารทีมกีฬาดีเด่น: ทีมกรีฑาผู้สูงอายุเทศบาลนครเชียงราย
  • ทีมชนะเลิศคะแนนรวม: อบจ.สงขลา (ทอง 74, เงิน 67, ทองแดง 58)
  • รองชนะเลิศอันดับ 1: อบจ.นครศรีธรรมราช (ทอง 48, เงิน 49, ทองแดง 39)
  • รองชนะเลิศอันดับ 2: ทีมกรีฑาผู้สูงอายุเทศบาลนครเชียงราย (ทอง 25, เงิน 15, ทองแดง 17)
  • รางวัลชมเชยอันดับ 1: ทีมชลบุรี (ทอง 24, เงิน 19, ทองแดง 9)
  • รางวัลชมเชยอันดับ 2: ทีมจังหวัดหนองบัวลำภู (ทอง 17, เงิน 2, ทองแดง 4)
  • รางวัลชมเชยอันดับ 3: ทีมจังหวัดนครราชสีมา (ทอง 14, เงิน 13, ทองแดง 5)
  • 1st International Team Total Score for TMAC: TEAM MALAYSIA

เชียงรายส่งต่อเจ้าภาพให้ราชบุรี เตรียมสู้ศึกปี 2569

หลังจากการแข่งขันที่เชียงรายประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี การแข่งขันกรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 30 จะจัดขึ้นที่ จังหวัดราชบุรี โดยมีเป้าหมายเพื่อสานต่อความสำเร็จและพัฒนาวงการกรีฑาสูงอายุไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

นครเชียงรายเกมส์” ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการจัดการแข่งขันกีฬาระดับประเทศ และแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการส่งเสริมสุขภาพและวิถีชีวิตที่กระฉับกระเฉงในทุกช่วงวัย” – นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ กล่าว

การแข่งขันกรีฑาสูงอายุไม่ได้เป็นเพียงแค่เวทีสำหรับนักกีฬา แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับประชาชนทุกช่วงวัยให้เห็นถึงความสำคัญของการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพ

ราชบุรีเตรียมพร้อมรับเป็นเจ้าภาพในปีหน้า การแข่งขันกรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 30 จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการพัฒนาวงการกีฬาไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

แฉแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมียนมาซัด แกนนำกบดานไทย จีนเดินเกมหนัก

กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์! จีน-เมียนมาประสานงาน ไทยมีเอี่ยว?

เนปีดอว์ เมียนมา, 16 กุมภาพันธ์ 2568  – กระทรวงมหาดไทยของเมียนมา นำโดย พลโท ทุน ทุน หน่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้หารือร่วมกับ H.E. Ms. Ma Jia เอกอัครราชทูตจีนประจำเมียนมา และ นายหลิว จงอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ กรุงเนปีดอว์ เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือพลเมืองจีนที่ประสบปัญหาในเมียนมา

จีน-เมียนมา ผนึกกำลังกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์

การประชุมครั้งนี้ให้ความสำคัญกับปัญหาการฉ้อโกงออนไลน์และการพนันออนไลน์ ซึ่งเกิดขึ้นในเขตเมือง เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นแหล่งกบดานของขบวนการคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งสองฝ่ายได้หารือแนวทางป้องกันและปราบปราม รวมถึงการช่วยเหลือชาวจีนที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการดังกล่าว นอกจากนี้ ในเขตเมือง ไหย รัฐฉานตอนเหนือ มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงออนไลน์และการพนันออนไลน์ ซึ่งบางส่วนเป็นบุคคลที่ทางการจีนต้องการตัว

แกนนำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังลอยนวลในไทย

แหล่งข่าวจากเมียนมาเปิดเผยว่า แม้การกวาดล้างจะเดินหน้าเต็มที่ แต่แกนนำระดับสูงของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ยังคงหลบซ่อนอยู่ในประเทศไทย โดย นายหม่องชิต ตู่ หัวหน้า BGF กะเหรี่ยงของเมียนมา เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่าง จีน-เมียนมา-ไทย เพื่อขจัดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติให้สิ้นซาก

จีนเสนอประชุม 3 ชาติ ปราบปรามอาชญากรรมข้ามแดน

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ จีนเสนอให้มีการประชุมระดับสูง ระหว่าง จีน เมียนมา และไทย โดยเน้นความร่วมมือด้านข่าวกรอง การจับกุมผู้ต้องหา และการส่งตัวข้ามแดน การประชุมดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากเมียนมาเข้าร่วม ได้แก่ พลโท ทุน ทุน หน่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, อู ข่าย ทุน อู ปลัดกระทรวงมหาดไทย, พลตำรวจตรี วิน ซอ โม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศ

ทางการไทยจะตอบสนองอย่างไร?

ขณะที่จีนและเมียนมาเดินหน้าเต็มที่ในการกวาดล้างขบวนการคอลเซ็นเตอร์ คำถามสำคัญคือ รัฐบาลไทยจะมีท่าทีอย่างไร ต่อการดำเนินการกับผู้ต้องหาที่เมียนมาอ้างว่ายังซ่อนตัวอยู่ในไทย ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ สื่อเมียนมาเปิดเผยหลักฐานว่านายทุนจีนบางรายที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้รับการคุ้มกันโดยกองกำลังพิเศษ เพื่อเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนระหว่างไทยและเมียนมา

ส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ – กวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ

นายหลิว จงอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ได้หารือเกี่ยวกับ ขั้นตอนการส่งตัวชาวจีน ซึ่งปัจจุบันทางการเมียนมาได้รวบรวมรายชื่อชาวจีนที่พำนักในเมือง ชเวก๊กโก่ และเตรียมส่งตัวผ่านประเทศไทย ซึ่งกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยทั้ง เหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ล่าสุดจากปฏิบัติการของกองกำลังทหาร BGF เมียนมา ในการตรวจค้นอาคารต่าง ๆ ในเมืองชเวก๊กโก่ สามารถรวบรวมชาวจีนได้ ประมาณ 1,000 คน โดยกว่าครึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยที่ทางการจีนต้องการตัว

จีนเตรียมลำเลียงชาวจีนกลับประเทศทางแม่สอด

นายหลิว จงอี้ ได้ตรวจสอบกระบวนการส่งตัวอย่างใกล้ชิด และยืนยันว่า ทางการจีนจะใช้วิธีการเดิมที่เคยใช้เมื่อปี 2567 โดยจะส่งเครื่องบินมารับผู้ต้องสงสัยที่ท่าอากาศยานแม่สอด และทยอยลำเลียงกลับประเทศจีน คาดว่า สามารถส่งตัวได้สูงสุด 500 คนต่อวัน

บทสรุป

การหารือระหว่างเมียนมาและจีนเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ กวาดล้างขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ใช้เมียนมาเป็นฐานปฏิบัติการ ขณะที่ทางการเมียนมายืนยันว่ามี แกนนำบางส่วนยังซ่อนตัวในประเทศไทย ทำให้เกิดคำถามถึงท่าทีของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ การประชุมระดับสูงของ จีน-เมียนมา-ไทย ที่กำลังจะมีขึ้น อาจเป็นก้าวสำคัญในการเร่งรัดการจับกุมและส่งตัวผู้ต้องหาข้ามแดน เพื่อยุติอาชญากรรมข้ามชาติที่สร้างความเสียหายต่อทั้งภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

คุมไฟป่าห้วยบงใต้ นายอำเภอพานลงพื้นที่ สั่งเฝ้าระวังเข้ม

ดับไฟป่าห้วยบงใต้! เชียงรายเร่งป้องกันไฟป่าต่อเนื่อง

เชียงราย, 16 กุมภาพันธ์ 2568 – พบจุดความร้อนบริเวณบ้านห้วยบงใต้ หมู่ 9 ตำบลทานตะวัน อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย โดยขณะนี้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ขณะที่นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และสั่งการให้ผู้นำชุมชนประชาสัมพันธ์และตรวจตราอย่างเข้มงวด ห้ามประชาชนเข้าไปในเขตอุทยานเพื่อป้องกันการเกิดไฟป่าซ้ำ

พบจุดความร้อนจากดาวเทียมและมาตรการเข้าควบคุมไฟป่า

ศูนย์เฝ้าระวังไฟป่ารายงานว่า จุดความร้อน (Hotspot) ถูกตรวจพบผ่านดาวเทียม Suomi NPP (ระบบ VIIRS) เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 02.26 น. โดยพบ 2 จุดในพื้นที่บ้านห้วยบงใต้ หมู่ 9 ตำบลทานตะวัน อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ซึ่งเจ้าหน้าที่จาก สถานีควบคุมไฟป่าแม่ปืม นำโดยนายสรายุทธ แก้วเสน หัวหน้าสถานี ได้ระดมกำลังพลจำนวน 8 นาย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จาก จุดเฝ้าระวัง มป.11ก จำนวน 3 นาย ลงพื้นที่เพื่อดำเนินการควบคุมเพลิง และสามารถดับไฟได้สำเร็จภายในเวลา 11.30 น.

ความเสียหายและผลกระทบ

จากการตรวจสอบพื้นที่พบว่า มีความเสียหายโดยประมาณ 70 ไร่ โดยสาเหตุของไฟป่ายังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ เบื้องต้นคาดว่าอาจเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ หรือสภาพอากาศแห้งแล้งที่ทำให้เชื้อไฟสะสมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อระบุสาเหตุที่แน่ชัด

นายอำเภอพานลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และกำชับมาตรการป้องกัน

เวลา 12.00 น. นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน ได้เดินทางไปยังจุดเฝ้าระวังบ้านห้วยบงใต้เพื่อติดตามสถานการณ์ และสั่งการให้ผู้นำชุมชน ทั้ง ผู้ใหญ่บ้าน 2 หมู่บ้าน ในพื้นที่ทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงอันตรายของไฟป่า รวมถึงกำชับไม่ให้มีการเผาป่า หรือบุกรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์

นายสุรเชษฐ์ยังเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่บูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายปกครองท้องที่ อบต.ทานตะวัน และ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่ปืม เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันในแนวทางการป้องกันไฟป่า พร้อมมอบหมายให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและรายงานสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

มาตรการระยะยาวป้องกันไฟป่า

นายอำเภอพานกล่าวว่า ไฟป่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซากในช่วงฤดูแล้ง และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขภาพของประชาชน รัฐบาลจึงมีมาตรการป้องกันและรับมือกับไฟป่าอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการดำเนินงานใน 3 แนวทางหลัก ได้แก่

  1. มาตรการเฝ้าระวังและแจ้งเตือน – ใช้ระบบดาวเทียมติดตามจุดความร้อนแบบเรียลไทม์ และเพิ่มจุดตรวจตราภาคพื้นดิน
  2. มาตรการประชาสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของชุมชน – ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับอันตรายของไฟป่า และส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการป้องกัน
  3. มาตรการบังคับใช้กฎหมาย – ดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดที่เป็นต้นเหตุของไฟป่า

ผลกระทบและการตอบสนองของชุมชน

ไฟป่าที่เกิดขึ้นครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะคุณภาพอากาศและระบบนิเวศของป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่ปืม อย่างไรก็ตาม การตอบสนองอย่างรวดเร็วของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทันเวลา ขณะเดียวกัน ชาวบ้านในพื้นที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการช่วยสอดส่องดูแล และแจ้งเบาะแสหากพบเหตุผิดปกติ

สรุป

ไฟป่าบริเวณบ้านห้วยบงใต้ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ซึ่งถูกตรวจพบเมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 ได้รับการควบคุมโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในเวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมง ความเสียหายโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 70 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนสาเหตุ นายอำเภอพานลงพื้นที่กำชับให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาไฟป่า รวมถึงบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานป้องกันไฟป่าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

พรรคประชาชน คิกออฟ “อบจ.ลำพูน” เปิดเวที “ทาวน์ฮอลล์”

ลำพูนเปิดทาวน์ฮอลล์! ฟังความเห็นชาวบ้าน พัฒนาเมือง

ลำพูน, 16 กุมภาพันธ์ 2568 – พรรคประชาชนเดินหน้าสานต่อแผนพัฒนาลำพูน ด้วยการจัดงาน “หละปูนเมือง หละปูนม่วน จวนกั๋นสร้าง” ทาวน์ฮอลล์รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน เพื่อกำหนดแนวทางพัฒนาจังหวัดให้เติบโตอย่างยั่งยืน งานจัดขึ้นที่โรงแรมแกรนด์ปา อำเภอเมืองลำพูน นำโดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และวีระเดช ภู่พิสิฐ ว่าที่นายก อบจ.ลำพูน มีประชาชนจากทั่วจังหวัดเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

รับฟังปัญหาประชาชนผ่านทาวน์ฮอลล์

ณัฐพงษ์กล่าวขอบคุณชาวลำพูนที่ไว้วางใจให้พรรคประชาชนเข้ามาบริหารจังหวัด และให้คำมั่นว่าการบริหาร อบจ. จะเน้นการพัฒนาที่ตอบโจทย์ประชาชน โดยแม้ลำพูนจะมีงบประมาณจำกัดเพียง 550 ล้านบาทต่อปี อบจ.สามารถดำเนินนโยบายที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิต เช่น

  • การสร้างสนามกีฬากลางจังหวัด เป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับประชาชนทุกวัย
  • พัฒนาระบบ telemedicine หรือ “หมอตู้” เพื่อช่วยให้พื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์
  • ยกระดับคุณภาพน้ำประปา เพื่อให้ประชาชนมีน้ำสะอาดใช้เพียงพอ
  • ปรับปรุงคุณภาพโรงเรียน อบจ. ให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมในจังหวัด
  • พัฒนาระบบรับเรื่องร้องเรียนออนไลน์และ e-service เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ประชาชน

แนวคิด “เดิน 3 จริง” ของว่าที่นายก อบจ.

วีระเดชกล่าวว่า การสร้างลำพูนให้น่าอยู่ไม่สามารถทำได้โดยลำพังคนเดียว จึงต้องอาศัยแนวทาง “เดิน 3 จริง” ได้แก่

  1. ประชาชนจริง – รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนโดยตรง
  2. พื้นที่จริง – ลงพื้นที่สำรวจปัญหาในสถานที่จริง
  3. สถานการณ์จริง – วิเคราะห์ปัญหาจากสถานการณ์จริง ไม่มีการสร้างภาพ

“ผมจะไม่ทำงานในห้องแอร์เพียงอย่างเดียว แต่จะลงพื้นที่พบประชาชนในสถานการณ์จริง ไม่มีพิธีรีตองหรือการจัดฉาก เพื่อให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างตรงจุด” วีระเดชกล่าว

เกมประชาบุรี: ประชาชนร่วมออกแบบงบประมาณ

หนึ่งในกิจกรรมสำคัญของงานคือ ประชาบุรี” เกมจำลองการตัดสินใจใช้งบประมาณ 77 ล้านบาทของ อบจ.ลำพูน โดยประชาชนสามารถเลือกแนวทางการพัฒนาจังหวัดในด้านต่าง ๆ เช่น:

  • การสร้างระบบขนส่งมวลชนที่ทั่วถึง
  • การเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลและศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
  • การพัฒนาโรงเรียนและคุณภาพการศึกษา
  • การส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • การสร้างลานกีฬาและพื้นที่กิจกรรมกลางแจ้ง
  • การเพิ่มบริการ e-service บนเว็บไซต์ อบจ.

นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งกลุ่มระดมสมองในประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตประชาชน ได้แก่:

  1. ระบบขนส่งมวลชนที่ทั่วถึงทั้งจังหวัด
  2. การศึกษาและการพัฒนาโรงเรียน
  3. ระบบสาธารณสุข และการดูแลผู้สูงอายุ
  4. การรับมือกับภัยพิบัติ ไฟป่า น้ำท่วม น้ำแล้ง และ PM2.5
  5. การพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า และการส่งเสริมการท่องเที่ยว
  6. การเกษตรก้าวหน้าและการพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตร

แนวทางพัฒนาลำพูนที่ประชาชนต้องการ

ผลการระดมสมองชี้ให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ การพัฒนาเศรษฐกิจและการค้า เป็นลำดับแรก รองลงมาคือ การพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เนื่องจากลำพูนมีประชากรสูงวัยจำนวนมาก และหลายพื้นที่อยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาล ทำให้มีความต้องการ telemedicine เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ง่ายขึ้น

สรุป

พรรคประชาชนตั้งเป้าพัฒนา ลำพูนให้เป็นจังหวัดต้นแบบ ผ่านการบริหารที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และมีส่วนร่วมจากประชาชน ด้วยหลัก เดิน 3 จริง” และมาตรการพัฒนาเมืองที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มคน หากดำเนินโครงการเหล่านี้ได้สำเร็จ ลำพูนจะเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า อบจ.ที่มีประสิทธิภาพสามารถพลิกโฉมจังหวัดให้เจริญก้าวหน้าได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : พรรคประชาชน – People’s Party

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

บ้าน-รถยนต์โคม่า เอกชนชงรัฐ ลดหย่อนภาษีกระตุ้นกำลังซื้อ

วิกฤตกำลังซื้อบ้าน-รถยนต์ปี 2568: ความท้าทายและแนวทางกระตุ้นตลาด

กรุงเทพฯ, 15 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักข่าว ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่าตลาดรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ จากปัญหากำลังซื้อที่ลดลงอย่างรุนแรง สาเหตุหลักมาจากสถาบันการเงินที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ตลาดหดตัวอย่างหนัก ทั้งในภาคอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งภาคธุรกิจและภาครัฐต่างเร่งมือหาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว

ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ในปี 2567 – 2568

  1. ตลาดรถยนต์ซบเซาหนักสุดในรอบ 15 ปี
  • ยอดขายรถยนต์ในปี 2567 ลดลงเหลือเพียง 570,000 คัน หดตัวเกือบ 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • ตลาดรถกระบะได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากประชาชนขาดสภาพคล่องและไม่สามารถขอสินเชื่อได้
  • ลีสซิ่งและสินเชื่อรถยนต์ได้รับผลกระทบจากอัตราปฏิเสธสินเชื่อที่สูงขึ้น
  1. ภาวะตลาดบ้านและคอนโดฯ ลดลงกว่า 40%
  • ความเข้มงวดของสถาบันการเงินทำให้ประชาชนขอสินเชื่อบ้านได้ยากขึ้น
  • โครงการอสังหาฯ ใหม่ลดลง โดยเฉพาะโครงการขนาดกลางและเล็กที่แทบไม่มีที่ยืน
  • นโยบาย Loan to Value (LTV) ส่งผลกระทบต่อกลุ่มบ้านราคาแพง ทำให้ยอดขายลดลง

มาตรการภาครัฐและสถาบันการเงิน

  1. บสย. เสนอค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ
  • บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เตรียมเข้ามาช่วยค้ำประกันสินเชื่อรถยนต์ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถซื้อรถได้ง่ายขึ้น
  • เน้นช่วยเหลือกลุ่มที่ใช้รถเพื่อประกอบอาชีพ เช่น เกษตรกร และผู้ขับขี่รับจ้าง
  1. การถกมาตรการปลดล็อก LTV กับ ธปท.
  • 3 สมาคมอสังหาฯ และ 3 แบงก์ใหญ่เข้าหารือกับ ธปท. เพื่อขอผ่อนปรนมาตรการ LTV
  • ข้อเสนอหลักคือการลดภาระเงินดาวน์สำหรับบ้านหลังที่ 2 และ 3
  • มาตรการนี้จะช่วยให้กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูงสามารถซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น
  1. ข้อเสนอ “ลดหย่อนภาษีค่างวดรถยนต์”
  • บริษัทลีสซิ่งเสนอให้ผู้ซื้อรถยนต์สามารถนำค่างวดมาลดหย่อนภาษีได้
  • แนวคิดนี้คล้ายกับมาตรการภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้าน ซึ่งช่วยให้ผู้ที่ต้องการซื้อรถมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น
  • ข้อเสนอนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคประชาชนและธุรกิจ

  1. กลุ่มประชาชนทั่วไป
  • ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านและรถยนต์ได้รับผลกระทบจากการเข้มงวดสินเชื่อ
  • หนี้ครัวเรือนที่สูงทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง
  • ปัญหาการขอสินเชื่อไม่ผ่านส่งผลให้ประชาชนต้องเช่าที่อยู่อาศัยหรือใช้รถเก่าแทนการซื้อใหม่
  1. ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และค่ายรถยนต์
  • ผู้พัฒนาโครงการขนาดเล็กและกลางได้รับผลกระทบหนักจากยอดขายที่ตกต่ำ
  • โรงงานผลิตรถยนต์และดีลเลอร์ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความต้องการที่ลดลง

ข้อเสนอ 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาคอสังหาฯ

  1. ผ่อนปรน LTV ทุกระดับราคา
  2. ขยายมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองถึงสิ้นปี 2568
  3. ลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับผู้ซื้อบ้านทุกระดับราคา
  4. ให้ผู้ซื้อสามารถนำราคาบ้านมาหักลดหย่อนภาษีได้
  5. ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 50% ในปี 2568
  6. ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% เพื่อช่วยลดต้นทุนของผู้พัฒนาโครงการ

สรุป

ตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ของไทยกำลังเผชิญวิกฤตจากปัญหากำลังซื้อที่ลดลง แม้ภาคธุรกิจและภาครัฐจะพยายามหาทางออกด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปัจจัยสำคัญยังอยู่ที่ความสามารถของประชาชนในการเข้าถึงสินเชื่อ หากมาตรการที่เสนอสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจช่วยให้ตลาดฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568

FAQ: คำถามที่พบบ่อย

  1. ทำไมตลาดรถยนต์และบ้านถึงหดตัวหนักในปี 2567 – 2568?

เศรษฐกิจที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่สูง และการเข้มงวดของสถาบันการเงินทำให้ประชาชนไม่สามารถขอสินเชื่อได้ง่าย

  1. มาตรการของภาครัฐในการช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านมีอะไรบ้าง?

มีมาตรการลดค่าโอน-จดจำนอง, การผ่อนปรน LTV และข้อเสนอการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้าน

  1. ทำไมภาคธุรกิจต้องการให้ลดหย่อนภาษีค่างวดรถยนต์?

เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อรถได้ง่ายขึ้น ลดภาระการผ่อนชำระ และกระตุ้นยอดขายในอุตสาหกรรมรถยนต์

  1. LTV คืออะไร และมีผลกระทบต่อประชาชนอย่างไร?

LTV (Loan to Value) เป็นมาตรการที่กำหนดเงินดาวน์สำหรับการขอสินเชื่อบ้าน การเข้มงวดของมาตรการนี้ทำให้ผู้ซื้อบ้านต้องวางเงินดาวน์สูงขึ้น

  1. มีโอกาสที่ตลาดจะฟื้นตัวในปี 2568 หรือไม่?

หากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อถูกนำมาใช้และเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น อาจช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ประชาชาติธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

CP พุ่ง! รวยอันดับ 2 เอเชีย ตระกูลไทยติด 3 อันดับ

ตระกูลเจียรวนนท์ ขึ้นแท่นเศรษฐีอันดับ 2 ของเอเชีย รองจากอัมบานีแห่งอินเดีย

กรุงเทพฯ, 13 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักข่าว Bloomberg เผย ทำเนียบตระกูลเศรษฐีแห่งเอเชีย ประจำปี 2025” โดยตระกูล เจียรวนนท์ เจ้าของกลุ่มธุรกิจ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ขยับขึ้นมาครอง อันดับที่ 2 ของเอเชีย ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 1.4 ล้านล้านบาท เป็นรองเพียงตระกูล อัมบานี แห่ง Reliance Industries ของอินเดีย ซึ่งครองอันดับ 1 ติดต่อกันหลายปี

การติดอันดับของตระกูลเศรษฐีไทยในปีนี้ สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของกลุ่มทุนไทยในเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลก นอกจากนี้ยังมี 2 ตระกูลมหาเศรษฐีไทย ที่ติดอันดับในรายงานของ Bloomberg ได้แก่:

  • ตระกูลอยู่วิทยา เจ้าของ TCP Group หรือที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ผลิตเครื่องดื่ม กระทิงแดง (Red Bull) ครอง อันดับที่ 8 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 860,000 ล้านบาท
  • ตระกูลจิราธิวัฒน์ เจ้าของ เครือเซ็นทรัล ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของไทย ติด อันดับที่ 17 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 527,000 ล้านบาท

อิทธิพลของเศรษฐีเอเชียในเศรษฐกิจโลก

รายงานของ Bloomberg ระบุว่า ในช่วงที่ Donald Trump เริ่มต้นวาระที่สองของการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ มหาเศรษฐีเอเชียต้องเตรียมรับมือกับแนวนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็น ภาษีนำเข้า การเปลี่ยนแปลงด้านการค้า และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในเอเชีย

นักวิเคราะห์จาก Singapore Management University มองว่า ทศวรรษใหม่ของเศรษฐกิจโลกอาจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมหาเศรษฐีที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับตลาดโลกโดยตรง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การเงิน และพลังงาน

ตระกูลเศรษฐีที่ติดอันดับสูงสุดในเอเชีย

  1. ตระกูลอัมบานี – เจ้าของ Reliance Industries (อินเดีย) มูลค่าทรัพย์สิน 90.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  2. ตระกูลเจียรวนนท์ – เจ้าของ CP Group (ไทย) มูลค่าทรัพย์สิน 42.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  3. ตระกูลฮาร์โตโน – เจ้าของ Djarum & Bank Central Asia (อินโดนีเซีย) มูลค่าทรัพย์สิน 42.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  4. ตระกูลมิสรา – เจ้าของ Shapoorji Pallonji Group (อินเดีย) มูลค่าทรัพย์สิน 37.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  5. ตระกูลกว็อก – เจ้าของ Sun Hung Kai Properties (ฮ่องกง) มูลค่าทรัพย์สิน 35.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กลยุทธ์ความมั่งคั่งของตระกูลเจียรวนนท์

เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ก่อตั้งขึ้นในปี 1921 โดย เจีย เอ็กชอ ซึ่งเป็นผู้อพยพจากจีนมาค้าเมล็ดพันธุ์ผักในไทย ปัจจุบันกลุ่ม CP ขยายธุรกิจครอบคลุม อุตสาหกรรมอาหาร ปศุสัตว์ ค้าปลีก โทรคมนาคม และพลังงาน โดยมีเครือข่ายอยู่ในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก

การลงทุนที่สำคัญของ CP Group

  • ธุรกิจค้าปลีก: เครือ CP All ผู้ดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven และ Makro ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกไทย
  • ธุรกิจโทรคมนาคม: True Corporation หนึ่งในผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายใหญ่ของไทย
  • ธุรกิจเกษตรและอาหาร: CPF (Charoen Pokphand Foods) ผู้ผลิตอาหารสัตว์และอาหารแปรรูปรายใหญ่ที่สุดในโลก
  • การขยายตลาดระดับโลก: CP Group มีการลงทุนขยายธุรกิจไปยัง จีน เวียดนาม อินเดีย และยุโรป รวมถึงการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงาน

ทิศทางอนาคตของมหาเศรษฐีเอเชีย

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจชี้ว่า แม้ว่า CP Group และกลุ่มทุนไทยอื่น ๆ จะมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจระดับภูมิภาค แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านนโยบายภาษีและการแข่งขันระดับโลก อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการปรับตัวและการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ จะช่วยให้บริษัทเหล่านี้เติบโตได้อย่างมั่นคง

การขึ้นอันดับของตระกูลเจียรวนนท์ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของกลุ่มทุนไทยในระดับโลก และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพสูงในการแข่งขันในตลาดโลกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : bloomberg

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

AOT กำไรพุ่ง! รับท่องเที่ยวฟื้น สนามบินเชียงรายร่วมด้วยทำโตขึ้น

AOT รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปีงบ 2568 กำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT รายงานผลประกอบการในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม – ธันวาคม 2567) โดยมีกำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.12% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 17,906.01 ล้านบาท เติบโต 13.41% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ พร้อมตั้งเป้ายกระดับท่าอากาศยานไทยให้ติด 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี

ผลประกอบการและการเติบโตของรายได้

ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบ 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 781.27 ล้านบาท หรือ 17.12% จากปีก่อน ขณะที่รายได้รวมเพิ่มขึ้น 13.41% อยู่ที่ 17,906.01 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักมาจาก:

  • รายได้จากกิจการการบิน 8,804.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.41% จากปีก่อน เนื่องจากปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเที่ยวบินระหว่างประเทศ
  • รายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการการบิน 8,859.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.65% จากปีก่อน
  • ค่าใช้จ่ายรวม 10,353.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.73% จากปีก่อน

การเติบโตของปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบิน

สำหรับปริมาณผู้โดยสารในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบ 2568 ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ภูเก็ต และหาดใหญ่ มีจำนวนผู้โดยสารรวม 33.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16.41% แบ่งเป็น:

  • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 20.85 ล้านคน
  • ผู้โดยสารภายในประเทศ 12.77 ล้านคน
  • เที่ยวบินรวม 204,549 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.78%

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของปริมาณผู้โดยสารมาจาก การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว นโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐ และช่วงวันหยุดยาวของนักท่องเที่ยวจีน (Golden Week) ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกลและระยะใกล้

กลยุทธ์พัฒนาท่าอากาศยานไทยสู่ระดับโลก

AOT มีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบการให้บริการของสนามบินทั้ง 6 แห่ง โดยเน้น การยกระดับคุณภาพมาตรฐานสู่ระดับสากล รวมถึงพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก ผ่านโครงการสำคัญ ได้แก่:

  • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 (SAT-1) เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านเป็น 65 ล้านคนต่อปี
  • การสร้างระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) และทางวิ่งเส้นที่ 3
  • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจาก 30 ล้านเป็น 50 ล้านคนต่อปี
  • โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานเชียงใหม่, ภูเก็ต, เชียงราย และหาดใหญ่

เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อประสบการณ์เดินทางที่ดียิ่งขึ้น

AOT ได้นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกและลดระยะเวลาการเดินทางของผู้โดยสาร เช่น:

  • ระบบเช็กอินอัตโนมัติและการตรวจสอบใบหน้า (Biometric Identification)
  • ระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (ABC) รองรับ E-passport กว่า 90 ประเทศ
  • ระบบการจัดการข้อมูลเที่ยวบินแบบ A-CDM
  • ระบบประตูทางออกขึ้นเครื่องอัตโนมัติ (SBG)

เป้าหมายสู่ท่าอากาศยานสีเขียวและ Net Zero Carbon

AOT ดำเนินงานโดยคำนึงถึง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานสากล เช่น DJSI, GRI และ PDPA นอกจากนี้ สนามบินของ AOT ยังได้รับ Airport Carbon Accreditation ครบทุกแห่ง พร้อมตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็น Net Zero ภายในปี 2587

ความสำเร็จระดับนานาชาติ

อาคาร SAT-1 ของ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับรางวัล ท่าอากาศยานสวยที่สุดในโลก 2567″ จาก Prix Versailles ของ UNESCO ซึ่งสะท้อนถึงการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

บทสรุป

AOT ยังคงเดินหน้าพัฒนา ท่าอากาศยานไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก และตั้งเป้าผลักดันท่าอากาศยานไทยให้ติด 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี พร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ไทยปราบแก๊งคอลฯ ผนึกกำลัง ทหาร-ตำรวจ ลุยชายแดน

รอง นรม./รมว.กห. หารือร่วมกับนายกฯ เร่งเดินหน้านโยบาย ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ และยาเสพติด

กรุงเทพฯ, 15 กุมภาพันธ์ 2568 – นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมหารือกับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และผู้นำหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อเร่งเดินหน้านโยบาย ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการค้ามนุษย์ และปัญหายาเสพติด ที่ยังคงเป็นภัยต่อประชาชน

การประชุมจัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกสนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมระดมความคิดเห็นเพื่อกำหนดแนวทางบูรณาการกำลังพลและทรัพยากรของกองทัพให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล

แนวทางปฏิบัติการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติ

พลตรีธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า มาตรการเด็ดขาดของรัฐบาลที่ดำเนินมาแล้ว เช่น การตัดเส้นทางลำเลียงน้ำมันเชื้อเพลิง การปิดกั้นสัญญาณอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์ ได้ส่งผลให้การก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ การพนันผิดกฎหมาย และการหลอกลวงทางคอลเซ็นเตอร์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

นายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดให้คณะกรรมการนโยบายด้านชายแดนดำเนินการขยายแผนการทำงาน และให้รายงานผลความคืบหน้าภายใน 1 เดือน โดยเน้นการปิดช่องโหว่ของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งอาศัยพื้นที่ชายแดนไทยเป็นฐานปฏิบัติการ

ผลลัพธ์จากมาตรการเชิงรุกของรัฐบาล

จากปฏิบัติการที่เข้มข้นและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง พบว่ามีการปิดสถานบันเทิงที่เกี่ยวข้องกับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีการระบุเป้าหมายของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการสอบสวนคัดแยก และส่งตัวกลับประเทศต้นทางโดยได้รับความร่วมมือจากกองกำลังป้องกันชายแดน

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า ไทยจะไม่เป็นศูนย์อพยพของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรม โดยมีแนวทางที่ชัดเจนคือ

  1. ขจัดเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้ออกจากประเทศไทย
  2. ปิดกั้นไม่ให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์และยาเสพติด

การสร้างกำแพงชายแดน และความร่วมมือระดับภูมิภาค

ประเด็นที่ได้รับความสนใจในการประชุมคือ แนวคิดการสร้างกำแพงชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณปอยเปต ซึ่งเป็นศูนย์กลางของแก๊งมิจฉาชีพที่ใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเป็นฐานปฏิบัติการ อย่างไรก็ตาม รองนายกรัฐมนตรีระบุว่ายังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย และต้องมีการศึกษารายละเอียดเชิงลึกก่อน

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ดำเนินความร่วมมือระดับภูมิภาคกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันและปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นระบบ และร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ

ความเข้มข้นของมาตรการปราบปรามอาชญากรรม

นายภูมิธรรม เวชยชัย เน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยจะไม่ลดระดับความเข้มข้นของมาตรการ แม้จะได้รับสัญญาณจากกองกำลังต่าง ๆ ของประเทศเพื่อนบ้านว่ามีมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ภายในประเทศของตนเองแล้ว โดยยืนยันว่ามาตรการต้องเป็นไปตามเป้าหมายและให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน

“ปัญหาสำคัญของเราคือ ต้องกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ออกไปให้ได้ และจะไม่ให้ใช้พื้นที่ของไทยเป็นแหล่งเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ” นายภูมิธรรมกล่าว

บทสรุป

รัฐบาลไทยกำลังดำเนินมาตรการเชิงรุกในการ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการค้ามนุษย์ และปัญหายาเสพติด อย่างจริงจัง โดยเน้นความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค พร้อมใช้มาตรการที่เด็ดขาดในการสกัดกั้นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ให้มีที่ยืนในประเทศไทย

การดำเนินการเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับแรก และจะเดินหน้ากำจัดภัยคุกคามเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย Kick Off ชิงไถ ลดเผา ลดฝุ่น PM2.5 ยั่งยืน

ผู้ว่าฯ เชียงราย Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM 2.5 อย่างยั่งยืน

เชียงราย, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดตัวโครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา” เพื่อรณรงค์ส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตรและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากการเผา โดยจัดขึ้น ณ ศูนย์ข้าวชุมชนนาแปลงใหญ่ข้าวปลอดสารพิษ หมู่ที่ 3 ตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมด้วย นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน, เกษตรจังหวัดเชียงราย, เกษตรอำเภอพาน, นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ, กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน และเกษตรกรในพื้นที่เข้าร่วมงานจำนวนมาก

แนวทางแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวว่า ปัญหาการเผาในที่โล่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าและพื้นที่การเกษตร ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงรายจึงให้ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

การจัดกิจกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อ สร้างความตระหนักและให้ความรู้แก่เกษตรกร เกี่ยวกับผลกระทบของการเผา พร้อมนำเสนอทางเลือกทางการเกษตรที่สามารถลดการเผา เช่น การใช้เทคโนโลยีการเกษตรที่ยั่งยืน และการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่น

ข้อมูลพื้นที่เป้าหมายในการรณรงค์

ตำบลแม่อ้อมีพื้นที่ทั้งหมด 130 ตารางกิโลเมตร และมีประชากร 8,813 คน โดยมีพื้นที่เกษตรกรรมสำคัญ ได้แก่:

  • พื้นที่นาข้าว 16,000 ไร่
  • พื้นที่เกษตรอื่นๆ 5,000 ไร่

ประชาชนในตำบลแม่อ้อส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำนา ซึ่งเนื่องจากพื้นที่อยู่นอกเขตชลประทาน ทำให้สามารถปลูกข้าวได้เพียงปีละ 1 ครั้ง ขณะที่ในช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว เกษตรกรในพื้นที่ยังมี อาชีพเสริม ได้แก่ การทำเห็ดฟางยกก้อนสูง ซึ่งใช้เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร แทนการเผาฟางและตอซังข้าว นับเป็นแนวทางที่ช่วยลดการเผาในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กิจกรรมส่งเสริมการลดเผาและแนวทางการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร

ในการจัดกิจกรรม Kick Off ชิงไถ ลดการเผา มีการนำเสนอแนวทางจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรโดยไม่ใช้การเผา ได้แก่:

  1. การไถกลบตอซังข้าว เพื่อช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และช่วยรักษาความชื้นในดิน
  2. การใช้เศษฟางและตอซังข้าวทำปุ๋ยหมัก เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยลดปริมาณขยะชีวภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  3. การนำเศษวัสดุเหลือใช้ไปเพาะเห็ดฟาง ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตและสร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกร

ผลกระทบของการเผาต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

การเผาตอซังข้าวและเศษวัสดุทางการเกษตรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด มลพิษทางอากาศและฝุ่น PM 2.5 ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง นอกจากนี้ยังทำให้ดินเสื่อมโทรม สูญเสียสารอาหารที่จำเป็น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า

ความร่วมมือของทุกภาคส่วน

ในการแก้ไขปัญหาการเผา หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินโครงการนี้เพื่อลดการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด พร้อมรณรงค์ให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนแนวทางการทำเกษตรไปสู่แนวทางที่ยั่งยืน

บทสรุป

กิจกรรม Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของจังหวัดเชียงรายในการ แก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และมลพิษทางอากาศ โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์แทนการเผา ซึ่งไม่เพียงช่วยลดมลพิษ แต่ยังช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร และส่งเสริมการพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ดูแลสุขภาพประชาชน

เชียงรายจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และจังหวัดเคลื่อนที่ บริการประชาชนในพื้นที่ห่างไกล

เชียงราย, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรม หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ครั้งที่ 9 ประจำปี 2568 พร้อมโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” เพื่อให้บริการด้านสุขภาพและภาครัฐแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล โดยกิจกรรมจัดขึ้นที่โรงเรียนริมวัง 1 บ้านงิ้วเฒ่า หมู่ 7 ตำบลป่าหุ่ง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมด้วย นางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย, นายแพทย์คงศักดิ์ ชัยชนะ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน และหัวหน้าส่วนราชการ ร่วมอำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ประชาชนจำนวนมากที่มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

การให้บริการในพื้นที่ห่างไกล

อำเภอพานประกอบด้วย 15 ตำบล 236 หมู่บ้าน โดยกิจกรรมในวันนี้เน้นการให้บริการประชาชนใน 3 หมู่บ้านของตำบลป่าหุ่ง ได้แก่:

  • บ้านปางเกาะทราย (หมู่ 6) ห่างจากที่ว่าการอำเภอพาน 15 กิโลเมตร มีประชากร 2,407 คน 452 ครัวเรือน
  • บ้านงิ้วเฒ่า (หมู่ 7) ห่างจากที่ว่าการอำเภอพาน 25 กิโลเมตร มีประชากร 470 คน 153 ครัวเรือน
  • บ้านผาวี (หมู่ 8) ห่างจากที่ว่าการอำเภอพาน 30 กิโลเมตร มีประชากร 389 คน 123 ครัวเรือน

ประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมได้รับบริการตรวจสุขภาพจาก หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. รวมถึงบริการจากหน่วยงานภาครัฐที่มาอำนวยความสะดวก เพื่อช่วยลดภาระและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังสถานที่ราชการในตัวเมือง

การมอบความช่วยเหลือแก่ประชาชน

หลังจากเปิดกิจกรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และคณะ ได้มอบความช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่ ดังนี้:

  • ถุงยังชีพ จากสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • ข้าวสาร จากวัดห้วยปลากั้ง
  • ผ้าห่มกันหนาว จากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • เงินสงเคราะห์ จำนวน 20 ราย จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย

กิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา

นอกจากการให้บริการทางสุขภาพและสวัสดิการแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและคณะ ยังได้ร่วมกัน ปลูกต้นกาสะลองคำ ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเชียงราย บริเวณโรงเรียนริมวัง 1 พร้อมเดินเยี่ยมชมการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ และพบปะพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่

ภายหลังจากการเยี่ยมชม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้ร่วมประชุมเสวนากับนายอำเภอพาน หัวหน้าส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ต่อไป

ความสำคัญของโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่าการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. โดยบุคลากรทางการแพทย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันนี้ เป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดูแลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล และเป็นการสนองพระปณิธานของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร รวมถึงกลุ่มเปราะบางทางสังคม

นอกจากนี้ คณะผู้บริหารจังหวัดเชียงรายยังได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุในอำเภอพาน จำนวน 5 ราย เพื่อให้กำลังใจและประเมินความช่วยเหลือที่จำเป็นสำหรับการดูแลผู้ป่วยเหล่านี้

บทสรุป

กิจกรรม หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และจังหวัดเคลื่อนที่ ในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดเชียงราย ผ่านการให้บริการด้านสุขภาพและสวัสดิการโดยหน่วยงานภาครัฐที่ลงพื้นที่โดยตรง ซึ่งช่วยลดภาระของประชาชนในการเข้าถึงบริการที่จำเป็น และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE