Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มอบผ้าห่ม ช่วยชาวเชียงรายต้านภัยหนาว

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือกองทัพไทย มอบผ้าห่มกันหนาวช่วยผู้ประสบภัยเชียงราย ชี้ภัยหนาวเสี่ยงอันตรายรุนแรง

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกฎหมายและบริหารกิจกรรมเพื่อสังคม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นาวาอากาศเอก ณัฐพัชร หนองแสง ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 สำนักงานพัฒนาภาค 3 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ผู้แทนจากกองบัญชาการกองทัพไทย ได้ร่วมกันส่งมอบ ผ้าห่มกันหนาวและถุงยังชีพ ที่บรรจุเครื่องอุปโภคบริโภค เวชภัณฑ์ และสิ่งของจำเป็น ให้กับประชาชนในพื้นที่ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งกำลังเผชิญกับภาวะอากาศหนาวจัด

ผ้าห่มที่มอบในครั้งนี้ผลิตจาก ขวดพลาสติกรีไซเคิล (Upcycling) โดยวิสาหกิจชุมชนบ้านวัดจากแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างความอบอุ่นแก่ผู้ประสบภัยแล้ว ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมจากการลดขยะพลาสติก ตอกย้ำถึงการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และกองทัพไทยต่างเล็งเห็นความสำคัญในการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาวะภัยหนาวที่มักส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้คน

อากาศหนาวจัด: ภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพ

อากาศหนาวจัดอาจดูไม่อันตราย แต่ในความเป็นจริง ภัยหนาว สามารถสร้างความเสียหายต่อร่างกายได้รุนแรง หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว

ข้อมูลจาก กรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า ในช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคมของทุกปี อุณหภูมิในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักลดต่ำลงถึง 8-10 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในพื้นที่สูง เช่น ดอยแม่สลองและดอยตุง จ.เชียงราย ซึ่งอุณหภูมิอาจลดต่ำถึง 5 องศาเซลเซียส

จากสถิติของ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี 2566 มีผู้ป่วยจากโรคที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศหนาวเย็นที่พบได้บ่อย ได้แก่

  1. โรคทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม และหลอดลมอักเสบ
  2. ภาวะตัวเย็นเกิน (Hypothermia) ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียความร้อนอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายล้มเหลว
  3. โรคผิวหนัง เช่น ผื่นคันและผิวหนังแห้งแตกจากการสูญเสียน้ำในร่างกาย

การช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวอย่างเป็นระบบ

การดำเนินการของตลาดหลักทรัพย์ฯ และกองทัพไทยในครั้งนี้ นอกจากเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าแล้ว ยังถือเป็นการกระตุ้นให้เกิดความตระหนักถึงอันตรายจากอากาศหนาวในวงกว้าง

นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล กล่าวว่า
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งมั่นในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชน โดยการนำแนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาประยุกต์ใช้ ผ่านการผลิตผ้าห่มจากขวดพลาสติกรีไซเคิล ช่วยทั้งผู้ประสบภัยและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน”

นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่รับมือกับภัยหนาว ด้วยการสวมใส่เสื้อผ้าให้ความอบอุ่นเพียงพอ หมั่นดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องทำความร้อนที่อาจเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย

ความร่วมมือเพื่อสังคมที่ยั่งยืน

การดำเนินโครงการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึง พลังแห่งความร่วมมือ ระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน ที่ร่วมกันสร้างโอกาสในการเข้าถึงการช่วยเหลือในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน การแจกจ่ายผ้าห่มและถุงยังชีพในครั้งนี้ จะช่วยบรรเทาภัยหนาวที่กำลังทวีความรุนแรงในหลายพื้นที่ และเป็นกำลังใจให้ประชาชนก้าวผ่านฤดูหนาวไปได้อย่างปลอดภัย

ข้อแนะนำสำหรับประชาชนในช่วงฤดูหนาว

  1. สวมใส่เสื้อผ้าหนาและปิดมิดชิด เพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อนจากร่างกาย
  2. รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะอาหารร้อน เช่น น้ำขิง ซุป และอาหารโปรตีนสูง
  3. หมั่นออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
  4. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อนเร็วขึ้น

การมอบผ้าห่มกันหนาวและสิ่งของจำเป็นในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของการช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ประสบภัยได้อย่างแท้จริง สร้างความตระหนักถึงอันตรายจากภัยหนาว พร้อมทั้งร่วมผลักดันการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ฝ่ายสื่อสารองค์กร ตลาดหลักทรัพย์ฯ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเปิดศูนย์รังสีร่วมรักษา ยกระดับการรักษาโรคหลอดเลือด

ศูนย์รังสีร่วมรักษาเชียงราย เปิดให้บริการ พร้อมเครื่องมือแพทย์ดิจิตอลทันสมัย

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ที่ห้องประชุมเสม พริ้งพวงแก้ว โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ดร.นพ.สราวุฒิ บุญสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1 พร้อมด้วย นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย และแพทย์หญิงอัจฉรา ละอองนวลพานิช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ร่วมกันเปิด “ศูนย์รังสีร่วมรักษา” โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ และตัวแทนจากหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงพระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย คณะสงฆ์ และภาคเอกชน เข้าร่วมพิธีอย่างคับคั่ง

การเปิดศูนย์ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอุดตันระยะเฉียบพลัน ด้วยการใส่สายสวนหลอดเลือดเพื่อดูดลากลิ่มเลือด ซึ่งถือเป็นวิธีการรักษาที่ทันสมัยและได้มาตรฐานสากล การดำเนินการครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้กองทุนบริจาคจัดซื้อ เครื่องเอกซเรย์หลอดเลือดระบบดิจิตอล (Biplane Digital Subtraction Angiography) พร้อมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ขาดแคลน เพื่อยกระดับการรักษาและลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง

ที่มาของการระดมทุน

นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความพิการและอัตราการเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้น โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดหา เครื่องเอกซเรย์หลอดเลือดระบบดิจิตอล ซึ่งมีราคาสูงถึง 40 ล้านบาท แต่เนื่องจากขาดแคลนทุนทรัพย์ในการจัดซื้อ ทางชมรมผู้เกษียณอายุราชการ โรงพยาบาลศูนย์เชียงราย ได้ร่วมกับคณะสงฆ์ในพื้นที่ เพื่อระดมทุนจากประชาชนทั่วจังหวัดเชียงรายในโครงการ “กองทุนผ้าป่าเพื่อคนเชียงราย”

โครงการดังกล่าวริเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 จนถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ภายใต้การสนับสนุนของนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ณ ขณะนั้น พร้อมความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนชาวเชียงราย จนสามารถระดมทุนได้ทั้งสิ้น 55,918,639 บาท ซึ่งนับเป็นการแสดงพลังความสามัคคีของชาวเชียงราย เพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

ความสำคัญของศูนย์รังสีร่วมรักษา

เครื่องเอกซเรย์หลอดเลือดระบบดิจิตอลนี้ มีความสามารถพิเศษในการตรวจวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน ด้วยเทคโนโลยีที่แม่นยำสูง ช่วยลดระยะเวลาในการรักษา และเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวของผู้ป่วย โดยเฉพาะในกรณีเร่งด่วน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ตรวจวินิจฉัยโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจและอวัยวะอื่น ๆ ได้อีกด้วย

แพทย์หญิงอัจฉรา ละอองนวลพานิช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดศูนย์รังสีร่วมรักษาในครั้งนี้ นอกจากการรักษาโรคหลอดเลือดสมองแล้ว ยังช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ให้กับประชาชนในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงกลุ่มผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุ

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

การจัดซื้อเครื่องเอกซเรย์หลอดเลือดระบบดิจิตอลครั้งนี้ เป็นความร่วมมือครั้งสำคัญจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ คณะสงฆ์ ประชาชน และภาคเอกชน ในการสนับสนุนงบประมาณ ผ่านกิจกรรมการกุศลต่าง ๆ จนสามารถดำเนินการจัดซื้อได้สำเร็จตามเป้าหมาย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวในพิธีเปิดว่า การเปิดศูนย์รังสีร่วมรักษาและการจัดหาเครื่องเอกซเรย์หลอดเลือดระบบดิจิตอลในครั้งนี้ เป็นความสำเร็จที่เกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่าย ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวเชียงราย และรองรับการรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

พิธีเปิดและการสาธิตการใช้งาน

ในวันเปิดศูนย์รังสีร่วมรักษา ได้มีการสาธิตการใช้งานเครื่องเอกซเรย์หลอดเลือดระบบดิจิตอล โดยทีมแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในคุณภาพและประสิทธิภาพของการรักษา ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการดูแลจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

บทสรุปของความสำเร็จ

ศูนย์รังสีร่วมรักษา โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ถือเป็นศูนย์กลางในการรักษาโรคหลอดเลือดสมองที่ทันสมัยแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ด้วยการสนับสนุนจากกองทุนผ้าป่าเพื่อคนเชียงราย และความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ช่วยให้ประชาชนชาวเชียงรายสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพ ลดการเดินทางไปโรงพยาบาลขนาดใหญ่ และสร้างความมั่นใจในการรักษาที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

การเปิดศูนย์แห่งนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงพลังความร่วมมือของคนเชียงราย เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน และการยกระดับบริการสาธารณสุขให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากลต่อไป

“ศูนย์รังสีร่วมรักษา เชียงราย พร้อมให้บริการ ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อคนเชียงราย”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

สวนดุสิตโพลเผย เชียงใหม่-เชียงราย จุดหมายปีใหม่ยอดนิยม 2568

สวนดุสิตโพลเผยปีใหม่ 2568 คนไทยนิยมเที่ยว เชียงใหม่-เชียงราย ติดอันดับ

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนจาก “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เกี่ยวกับเรื่อง “คนไทยกับของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล” โดยทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,246 คน ผ่านช่องทางออนไลน์และภาคสนาม ระหว่างวันที่ 3-6 ธันวาคม 2567 ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงทิศทางและพฤติกรรมของคนไทยในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง

ประชาชนส่วนใหญ่มีแผนท่องเที่ยวปีใหม่

จากผลการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีแผนเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ 56.02% โดยในกลุ่มนี้

  • เลือกเดินทาง ภายในประเทศถึง 90.26%
  • ขณะที่การเดินทางไป ต่างประเทศอยู่ที่ 9.74%
    อย่างไรก็ตาม ยังมีประชาชนจำนวน 43.98% ที่ระบุว่าไม่มีแผนการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเวลาดังกล่าว

5 จังหวัดยอดนิยมที่คนไทยอยากไปเที่ยวมากที่สุด

จากผลการสำรวจยังเผยถึงจังหวัดเป้าหมายของการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยอันดับจังหวัดยอดนิยมที่ประชาชนเลือกมากที่สุด ได้แก่

  1. เชียงใหม่ คิดเป็น 56.83% ขึ้นแท่นอันดับหนึ่ง เนื่องจากอากาศเย็นสบายและมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติจำนวนมาก
  2. เชียงราย คิดเป็น 49.05% จังหวัดที่โดดเด่นด้วยความงดงามของดอกไม้และภูเขา อีกทั้งยังมีเทศกาลดอกไม้ช่วงปลายปี
  3. กรุงเทพมหานคร คิดเป็น 38.10% ซึ่งเป็นศูนย์รวมของการจัดงานเทศกาลและกิจกรรมต่าง ๆ
  4. กาญจนบุรี คิดเป็น 37.30% จังหวัดที่มีความโดดเด่นด้านธรรมชาติและสถานที่ประวัติศาสตร์
  5. กระบี่ คิดเป็น 25.71% จังหวัดชายทะเลที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการท่องเที่ยวปีใหม่

ประชาชนคาดการณ์ว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีการใช้จ่ายเฉลี่ย 17,317.10 บาทต่อคน โดยแบ่งเป็นกลุ่มต่าง ๆ ตามงบประมาณดังนี้

  • ไม่เกิน 5,000 บาท มากที่สุด คิดเป็น 46.94%
  • กลุ่มที่ใช้จ่ายมากกว่า 5,000 บาทขึ้นไป มีสัดส่วนที่ลดหลั่นกันไป

ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายดังกล่าวครอบคลุมค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงการซื้อของฝากให้กับคนในครอบครัวและคนสนิท

ของขวัญปีใหม่ที่ประชาชนอยากได้จากรัฐบาล

เมื่อสอบถามถึงของขวัญปีใหม่ที่ประชาชนอยากได้รับจากรัฐบาล อันดับต้น ๆ ได้แก่

  1. การแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว เนื่องจากช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม
  2. การช่วยเหลือค่าน้ำ ค่าไฟ และพลังงาน ซึ่งถือเป็นภาระสำคัญที่ประชาชนต้องแบกรับในปัจจุบัน
  3. มาตรการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพ โดยเฉพาะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้น

ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจและสวัสดิการสังคมเป็น “หน้าที่ของรัฐบาล” ที่ควรให้ความสำคัญอย่างจริงจัง

สรุปภาพรวมเทศกาลปีใหม่

ผลการสำรวจจากสวนดุสิตโพลในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่วางแผนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะจังหวัดยอดนิยมอย่าง เชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งมีเสน่ห์ด้านการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน ประชาชนยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลปีใหม่ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การแจกเงินและการลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค

การสำรวจในครั้งนี้จึงเป็นภาพสะท้อนความหวังของคนไทยในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่ต้องการทั้งความสุขจากการเดินทางท่องเที่ยวและมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐในการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

ข้อมูลสำคัญโดยสรุป

  • 56.02% ของประชาชนวางแผนท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศ
  • เชียงใหม่และเชียงราย เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม
  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 17,317.10 บาทต่อคน โดยส่วนใหญ่ใช้งบไม่เกิน 5,000 บาท
  • ประชาชนต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนเศรษฐกิจผ่านการแจกเงินและมาตรการลดค่าใช้จ่าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สวนดุสิตโพล

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ธุรกิจร้านอาหารเชียงราย ปี’68 โตแรง ฝ่ากระแสการแข่งขันสูง

ธุรกิจร้านอาหารปี 2568 เติบโตสวนกระแส สู้ความท้าทายท่ามกลางการแข่งขันสูง

ธุรกิจร้านอาหารเติบโตต่อเนื่อง แต่ท้าทายสูงขึ้น
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ฝ่ายวิจัยธุรกิจของธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ รายงานสถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ผันผวนตามสถานการณ์เศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภค โดยในปีหน้า คาดว่าธุรกิจร้านอาหารจะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 ด้วยมูลค่าตลาดรวม 657,000 ล้านบาท เติบโต 4.6% ปัจจัยหนุนหลักมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจจากมาตรการภาครัฐ รวมถึงการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ

ปัจจัยหนุนการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารในปี 2568

  1. การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและ Gastronomy Tourism:
    • ร้านอาหารที่เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยว เช่น ร้านอาหารติดดาวมิชลินไกด์กว่า 482 ร้านทั่วประเทศ
    • การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม คิดเป็นอันดับ 2 ของการใช้จ่ายการท่องเที่ยว
  2. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ:
    • มาตรการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 และ 3 ในครึ่งปีแรกของปี 2568
    • นโยบาย E-Refund ซึ่งช่วยเสริมการใช้จ่ายของผู้บริโภค
  3. การขยายสาขาของผู้ประกอบการร้านอาหารรายใหญ่:
    • ผู้ประกอบการรายใหญ่เดินหน้าขยายสาขาครอบคลุมทุกเซกเมนต์ของตลาด
    • ร้านอาหาร Street Food ยังคงเป็นที่นิยมจากราคาที่เข้าถึงง่ายและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว

การแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 มีการจดทะเบียนยกเลิกกิจการ 510 ราย เพิ่มขึ้น 88.9% แต่ธุรกิจใหม่ยังคงเปิดตัวสูงกว่า โดยมีการจดทะเบียนธุรกิจร้านอาหารเพิ่มขึ้นถึง 3,557 ราย ซึ่งสะท้อนถึงการหมุนเวียนเปิด-ปิดธุรกิจที่รวดเร็ว

พื้นที่หลักที่มีความหนาแน่นสูงสุดยังคงอยู่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ชลบุรี เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี และเชียงราย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ที่มีผู้ประกอบการกว่า 45,841 ราย หรือคิดเป็น 14.2% ของทั้งประเทศ

เมื่อพิจารณาเชิงพื้นที่พบว่ายังคง กระจุกตัวหนาแน่นในเขตพื้นที่หัวเมืองสําคัญและเมืองท่องเที่ยวของประเทศ โดย 10 จังหวัดที่มีธุรกิจตั้งมากสุด ได้แก่

  1. กรุงเทพฯ กว่า 45,841 ราย คิดเป็น 2%
  2. ชลบุรี 13,125 ราย หรือ 1%
  3. เชียงใหม่ 12,866 ราย หรือ 4%
  4. สุราษฎร์ธานี 9,736 ราย หรือ3%
  5. เชียงราย 7,543 รายหรือ 3%
  6. นนทบุรี 7,466 ราย หรือ 3%
  7. สงขลา 7,134 ราย หรือ 2%
  8. ขอนแก่น 7,079 รายหรือ 2%
  9. นครราชสีมา 7,047 รายหรือ 2%
  10. สมุทรปราการ 6,836 ราย หรือ 1%

แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารแบ่งตามประเภท

  1. ร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full Service Restaurants):
    • คาดเติบโต 2.9% จากปี 2567 มูลค่าตลาด 213,000 ล้านบาท
    • ร้านอาหารบุฟเฟต์ได้รับความนิยมสูงจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่มองเรื่องความคุ้มค่า
  2. ร้านอาหารที่ให้บริการจำกัด (Limited Service Restaurants):
    • คาดเติบโต 3.8% มูลค่าตลาด 93,000 ล้านบาท
    • ร้านอาหารประเภท Quick Service เช่น ร้านพิซซ่า ไก่ทอด เติบโตจากการขยายสาขา
  3. ร้านอาหารข้างทาง (Street Food):
    • เติบโตสูงสุด 6.8% คาดมูลค่าตลาด 266,000 ล้านบาท
    • ความนิยมในเมนูท้องถิ่นและราคาที่เข้าถึงง่ายยังคงดึงดูดทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยว

ธุรกิจร้านเครื่องดื่มเติบโตช้า แต่ยังมีโอกาส

มูลค่าตลาดร้านเครื่องดื่ม (รวมเบเกอรี่และไอศกรีม) ในปี 2568 คาดอยู่ที่ 85,320 ล้านบาท เติบโต 3.2% โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ยังคงขยายสาขาและเปิดแฟรนไชส์ใหม่ นอกจากนี้ การนำเข้าเครื่องดื่มและเบเกอรี่จากต่างประเทศช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ

ธุรกิจร้านอาหารต้องระมัดระวังจากการแข่งขัน

อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจ ต้องระมัดระวังเนื่องจากการแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่ปี 2565 โดยแม้จะมีสัญญาณการเลิกกิจการที่เพิ่มขึ้นในปี 2567 จากข้อมูล กรมพัฒนาธุรกิจ 10 เดือนแรกของปี 2567 มีเลิกกิจการ 510 ราย เพิ่มขึ้น 88.9% เทียบกับปีก่อนหน้า แต่การจดทะเบียนธุรกิจใหม่ ยังมียอดที่สูงกว่า โดย 10 เดือนแรกมีจดทะเบียนเพิ่ม 3,557 ราย ลดลง 0.5%

ความเสี่ยงและความท้าทายของธุรกิจร้านอาหารในปี 2568

  1. กำลังซื้อที่ยังฟื้นไม่เต็มที่:
    • ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและภาวะการจ้างงาน
  2. ต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น:
    • ต้นทุนค่าแรงที่อาจปรับขึ้นตามนโยบายภาครัฐ
    • ต้นทุนวัตถุดิบอาหาร เช่น นมผง เนย ชีส แป้งสาลี ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
  3. พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว:
    • ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเมนูใหม่ ความแปลกใหม่ คุณภาพ ประสบการณ์ และราคาที่เหมาะสม
  4. กระแสความนิยมอาหารเพื่อสุขภาพ:
    • ความต้องการอาหารจากพืช วัตถุดิบยั่งยืน และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

กลยุทธ์ของธุรกิจร้านอาหารเพื่อเติบโตท่ามกลางการแข่งขัน

  1. ขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งหน้าร้าน รับกลับ และผ่านแพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์
  2. ปรับกลยุทธ์การตลาดและนำเสนอเมนูใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค
  3. ปรับตัวให้สอดรับกับกระแสความยั่งยืน เช่น ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  4. ลดต้นทุนด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เช่น การใช้เทคโนโลยีช่วยจัดการร้านอาหาร

สรุปแนวโน้มธุรกิจร้านอาหารปี 2568

ธุรกิจร้านอาหารยังคงเติบโตได้ดีที่ 4.6% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ แต่ยังคงต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูง ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค ผู้ประกอบการต้องวางแผนกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการขยายช่องทางจำหน่าย การพัฒนาคุณภาพสินค้า และการปรับตัวตามเทรนด์ตลาด เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

‘ม.พะเยา’ คว้าเหรียญทอง เวทีนานาชาติ “แม่อิงชิโบริ” ศิลปะคราฟท์สีย้อมผ้าธรรมชาติ

บพท. นำ 3 นวัตกรรมเด่นคว้ารางวัลระดับโลก ในงาน KIDE 2024 ณ ไต้หวัน

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) นำโดย ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ บพท. พร้อมทีมผู้บริหารและนักวิจัย คัดเลือก 3 ผลงานนวัตกรรมเด่นส่งเข้าร่วมประกวดในงาน 2024 Kaohsiung International Invention and Design EXPO (KIDE 2024) ณ เมืองเกาสง ไต้หวัน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-7 ธันวาคม 2567 งานนี้เป็นเวทีระดับนานาชาติที่รวมนวัตกรรมกว่า 500 ผลงานจาก 30 ประเทศทั่วโลก

ผลงานนวัตกรรมจากประเทศไทยได้รับการสนับสนุนจาก บพท. และคว้ารางวัลทั้ง 3 ผลงาน ประกอบด้วย:

รางวัลเหรียญทอง (GOLD MEDAL): “แม่อิงชิโบริ” ศิลปะคราฟท์สีย้อมผ้าธรรมชาติ

พัฒนาโดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยพะเยา นำโดย เอกรินทร์ ลัทธศักย์ศิริ และคณะ ผลงานนี้ผสานภูมิปัญญาล้านนาเข้ากับศาสตร์ญี่ปุ่น เกิดเป็นลวดลายอัตลักษณ์ของแต่ละชุมชน ผ่านเทคนิคการพิมพ์ลายผ้าและนวัตกรรมที่ช่วยลด Carbon Footprint โดยใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน

รางวัลเหรียญเงิน (SILVER MEDAL) และรางวัลพิเศษ (Special Award) จากประเทศโปแลนด์:

“เครื่องเพิ่มความชื้นและลดอุณหภูมิจากโอ่งมังกร”
นวัตกรรมที่ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน สร้างความชื้นต่ำและลดอุณหภูมิในโรงเรือน ทำให้สามารถผลิตเห็ดในและนอกฤดูกาลได้ เพิ่มผลผลิตและรายได้ของคนในชุมชน งานวิจัยนี้มุ่งเน้นการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและลดความเหลื่อมล้ำ

รางวัลเหรียญเงิน (SILVER MEDAL): “บ้านปลามีชีวิต”

นวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศน้ำ ออกแบบให้เป็นแหล่งอยู่อาศัยของสัตว์น้ำ มีอายุการใช้งานยาวนาน ลดการซ่อมแซม และช่วยเพิ่มจำนวนสัตว์น้ำในชุมชน ทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยว

ขยายผลนวัตกรรม ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน

ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ บพท. กล่าวว่า ความสำเร็จจากการประกวดในครั้งนี้สะท้อนถึงศักยภาพของประเทศไทยในการสร้างนวัตกรรมที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ชุมชน นวัตกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ แต่ยังสร้างโอกาสในการเข้าสู่ตลาดโลก เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรต่างชาติ

ในปี 2568 บพท. วางแผนขยายผลนวัตกรรมเหล่านี้สู่การใช้งานจริงในชุมชน พร้อมทั้งสร้างพื้นที่เรียนรู้และพัฒนาขีดความสามารถให้กับชุมชนต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับเศรษฐกิจฐานราก

งาน KIDE 2024: เวทีโชว์ศักยภาพระดับโลก

งาน KIDE 2024 เป็นเวทีนานาชาติที่รวมผลงานวิจัยและนวัตกรรมจากทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เปิดโอกาสในการพัฒนานวัตกรรม และเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างประเทศ ความสำเร็จของทีมวิจัยไทยในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย แต่ยังช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในระดับสากล

การคว้ารางวัลในเวทีนี้เป็นกำลังใจสำคัญสำหรับนักวิจัยและผู้พัฒนานวัตกรรมในประเทศไทยที่จะมุ่งมั่นสร้างผลงานที่มีคุณค่าและยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายเปิดระบบ Telemedicine ลดเวลาเดินทาง เข้าถึงหมอทุกพื้นที่

อบจ.เชียงรายเปิดตัว Telemedicine ลดเวลาการเดินทางและประหยัดค่าใช้จ่ายผู้ป่วยในชนบท

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ณ ห้องประชุมธรรมรับอรุณ ชั้น 2 องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในการแถลงข่าวเปิดตัวระบบแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญเพื่อยกระดับบริการสาธารณสุขในพื้นที่ชนบท โดยมีตัวแทนจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน

เป้าหมายหลักของ Telemedicine

ระบบแพทย์ทางไกลนี้จะช่วยลดการเดินทางของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่สูง โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตชนบทและผู้ป่วยที่เดินทางลำบาก เช่น ผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง ระบบนี้มีการติดตั้งเครื่องตรวจร่างกายปฐมภูมิแบบดิจิทัลในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จำนวน 75 แห่ง ซึ่งสามารถตรวจวัดอาการเบื้องต้นและเชื่อมต่อกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาลกลางผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์

สาธิตการใช้งานจริง

ในงานเปิดตัวได้มีการสาธิตการใช้งานเครื่องตรวจร่างกายปฐมภูมิแบบดิจิทัลที่เชื่อมต่อกับโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โดยมีการตรวจผู้ป่วยชายอายุ 59 ปี ซึ่งเพิ่งผ่านการผ่าตัดมะเร็งตับอ่อนเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา การสาธิตครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลเพื่อมารับการรักษา แต่สามารถใช้บริการตรวจรักษาและรับคำปรึกษาจากแพทย์ผ่านระบบ Telemedicine ที่ รพ.สต. ใกล้บ้านได้

คุณสมบัติของเครื่องตรวจ Telemedicine

นางอทิตาธร อธิบายว่าเครื่องนี้สามารถตรวจวัดได้ทั้งการเต้นของหัวใจ การตรวจช่องอก หู และตา พร้อมส่งข้อมูลมายังแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล ลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางของผู้ป่วย บริการดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบาย “โฮงยาใกล้บ้าน อยู่ที่ไหนก็ใกล้หมอ”

การพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์ในอนาคต

นายก อบจ.เชียงราย ระบุว่าหากการทดลองใช้ในระยะแรกสำเร็จและได้รับการตอบรับดี อบจ.เชียงรายอาจพิจารณาขยายโครงการให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น พร้อมทั้งมุ่งเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างบุคลากรทางการแพทย์และ อสม. ในพื้นที่เพื่อให้บริการเป็นไปอย่างราบรื่นและทั่วถึง

Telemedicine กับการพัฒนาระบบสุขภาพในระดับโลก

การใช้บริการแพทย์ทางไกล หรือ Telemedicine ได้รับความนิยมในหลายประเทศ โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโควิด-19 เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับบริการสุขภาพผ่านการสื่อสารแบบเรียลไทม์ ลดข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า Telemedicine เป็นหนึ่งในวิธีการที่หลายประเทศนำมาใช้เพื่อให้บริการสาธารณสุขในช่วงที่เกิดการระบาดครั้งใหญ่

ข้อดีของ Telemedicine

  • ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
  • ลดความแออัดในโรงพยาบาล
  • เพิ่มการเข้าถึงบริการสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล
  • สนับสนุนการดูแลผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในการเดินทาง

ความสำคัญต่อประชาชนในพื้นที่ห่างไกล
ระบบ Telemedicine ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ชนบทและพื้นที่ห่างไกล ให้สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

สรุป

โครงการ Telemedicine ที่ริเริ่มโดย อบจ.เชียงราย เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชนบท ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพและสนับสนุนการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่เท่าเทียม นับเป็นก้าวสำคัญของจังหวัดเชียงรายในการนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมสร้างระบบสุขภาพที่ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย / เชียงรายทูเดย์ แม็กกาซีนข่าว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

‘20 ปี สึนามิ’ นักวิชาการเตือน อย่าประมาท พร้อมหาแนวทางการรับมือ

นักวิชาการเตือนอย่าประมาทสึนามิ รำลึก 20 ปี มุ่งสร้างความปลอดภัยในพื้นที่เสี่ยง

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ จัดงานรำลึกครบรอบ 20 ปีเหตุการณ์สึนามิในมหาสมุทรอินเดีย ณ จังหวัดพังงา โดยมีการประชุมสัมมนางานวิจัยแผ่นดินไหวของประเทศไทย ครั้งที่ 2 เพื่อหาแนวทางเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติและสร้างความปลอดภัยให้แก่ชุมชนในพื้นที่เสี่ยง

ยกระดับการเตือนภัยและความพร้อมของชุมชน

งานดังกล่าวมุ่งเน้นการถอดบทเรียนจากเหตุการณ์สึนามิในปี 2547 เพื่อนำมาพัฒนาระบบเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีการบรรยายและกิจกรรมเชิงปฏิบัติ เช่น การจำลองสถานการณ์ การซักซ้อมอพยพ และการใช้เทคโนโลยีจำลองคลื่นสึนามิ พร้อมสำรวจสถานที่สำคัญที่ได้รับผลกระทบในอดีต นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสร้างความรู้และความตระหนักแก่เยาวชนในพื้นที่ผ่านการใช้อุปกรณ์และเกมการเรียนรู้

ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ ระบุว่าภัยสึนามิในอนาคตยังมีโอกาสเกิดขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณรอยต่อแผ่นดินไหวอาระกันและหมู่เกาะอันดามัน ซึ่งยังไม่คลายพลังงาน การเตรียมพร้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญ ระบบเตือนภัยต้องมีความรวดเร็ว สามารถรับรู้ได้ภายใน 20-30 นาที และดำเนินการอพยพได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลาที่จำกัด นอกจากนี้ยังเสนอแนวคิดการสร้างที่หลบภัยแนวดิ่งในพื้นที่จำกัด เช่น เขาหลักและเกาะพีพี เพื่อรองรับผู้ประสบภัยจำนวนมาก

สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศและภาคส่วนต่างๆ

นอกจากความพยายามในประเทศ ไทยยังได้สร้างความร่วมมือกับญี่ปุ่นในการพัฒนาความปลอดภัยและการรับมือสึนามิ โดยนำมาตรการที่ได้ผลของญี่ปุ่นมาปรับใช้ เช่น การออกแบบผังเมือง การพัฒนาบุคลากรเฉพาะทาง และการใช้เทคโนโลยีเพื่อจำลองสถานการณ์ภัยพิบัติ

ในด้านการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติเรียกร้องความร่วมมือจากโรงแรมและสถานประกอบการในพื้นที่เสี่ยง เพื่อจัดสรรพื้นที่เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว และติดตั้งป้ายนำทางให้ครอบคลุมทุกจุด

บทบาทของรัฐและการตระหนักรู้

น.ส.รัชนีกร ทองทิพย์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่าประเทศไทยยังเน้นการเยียวยาผลกระทบเป็นหลัก แต่ขาดการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ การบูรณาการระบบเตือนภัย การจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนเรื่องภัยพิบัติในโรงเรียน และการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในระดับนโยบายเป็นสิ่งที่รัฐต้องให้ความสำคัญมากขึ้น

“เราต้องออกแบบเมืองให้พร้อมรับมือภัยพิบัติ โดยนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาปรับใช้ ซึ่งจะช่วยลดงบประมาณในระยะยาว” น.ส.รัชนีกร กล่าว พร้อมแนะนำให้รัฐสนับสนุนการศึกษาพื้นที่เสี่ยงและพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านภัยพิบัติ

ก้าวต่อไปของการเตรียมพร้อม

ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวยังได้เสนอแนวคิดปรับปรุงการแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์มือถือแทนวิทยุและโทรทัศน์ เพื่อลดช่องว่างในการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ทั้งนี้ยังเน้นย้ำความสำคัญของการซักซ้อมอพยพและการบำรุงรักษาอุปกรณ์เตือนภัยให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา

งานรำลึก 20 ปีสึนามิครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เน้นย้ำความสำคัญของการเตรียมพร้อม แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศและภาคส่วนต่างๆ เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในอนาคต

“อย่าประมาทกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น เราทุกคนต้องเตรียมพร้อมเสมอเพื่อความปลอดภัยของชุมชนและประเทศชาติ” ศ.ดร.เป็นหนึ่ง กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน และกระตุ้นให้ภาครัฐดำเนินการเชิงรุกในการรับมือภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2024 ชูแนวคิด The Magical Garden

มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2024 ภายใต้แนวคิด “The Magical Garden”

เชียงรายเปิดม่านงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียน Chiangrai Flower and Art Festival 2024 ภายใต้แนวคิด “The Magical Garden” เชิญสัมผัสบรรยากาศสวนดอกไม้และงานศิลปะอันน่าหลงใหล เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567 ถึง 5 มกราคม 2568 ณ สวนไม้งามริมน้ำกก องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยปีนี้ได้นำเสนอแนวคิดใหม่ ที่ผสมผสานมนตร์เสน่ห์ของดอกไม้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ที่ไม่เหมือนใคร

ไฮไลต์ของงาน:

  1. Zone 1: The Magic World
    • Angel of Wish: สร้างฝันด้วยมนตร์เสน่ห์
    • The Magic Ball: ลูกแก้ววิเศษที่ทุกคนต้องลองสัมผัส
    • Abracadabra: การร่ายเวทมนตร์ในบรรยากาศแฟนตาซี
  2. Zone 2: Aura Trail
    • Little Guardian: ตัวละครน่ารักที่รอคอยทุกคน
    • Enchanted Dome: ถ้ำมนตราแห่งสีสัน
    • Giant’s Garden: ดอกไม้ยักษ์ที่ใกล้ชิดเมฆ
  3. Zone 3: Dancing Tree
    • ต้นไม้ที่สามารถเต้นรำในจังหวะเสียงดนตรี
  4. Zone 4: Moonlight Oasis
    • ป่าต้องมนตร์พร้อมแสงจันทร์ส่องสว่าง

กิจกรรมที่ไม่ควรพลาด:

  • ชมการแสดงแสง สี เสียงสุดตระการตาในช่วงเวลา 19:00 – 22:00 น.
  • พบกับร้านค้า OTOP และผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่น

การฟื้นฟูแม่สายและการกระจายเศรษฐกิจ

งานในปีนี้มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูอำเภอแม่สาย ซึ่งเพิ่งเผชิญมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ โดยเปิดโอกาสให้ชาวบ้านและผู้ประกอบการในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการแสดงสินค้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมถึงการจัดแสดง ประติมากรรมพญานาคเกี้ยว สวนดอกไม้แนวตั้งในลวดลายผ้าทอพื้นถิ่น และดอยนางนอน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั้งในและต่างประเทศ

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ กล่าวว่า “การจัดงานครั้งนี้ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของอำเภอแม่สาย แต่ยังสร้างรายได้และรอยยิ้มให้กับประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังเป็นการยกระดับการท่องเที่ยวของเชียงรายให้ก้าวสู่ระดับสากล”

 

นอกจากนี้ ยังมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชนและหน่วยงานต่าง ๆ เช่น นายสิทธิศักดิ์ อินใจคำ ปลัดอำเภอแม่สาย และพระครูประภัสร์จิตสังวร เจ้าอาวาสวัดถ้ำเสาหินพญานาค

“The Magical Garden” สวนดอกไม้แห่งเวทมนตร์

สวนไม้งามริมน้ำกกและวัดถ้ำเสาหินพญานาค ถูกเนรมิตเป็นสวนดอกไม้ในธีมเวทมนตร์ พร้อมโซนจัดแสดงที่หลากหลาย เช่น

  • โซน Moonlight Oasis: ป่าต้องมนตร์ท่ามกลางแสงจันทร์
  • โซน Aura Trail: เส้นทางดอกไม้ยักษ์ใกล้เมฆ
  • โซน Enchanted Dome: ถ้ำมนตราที่งดงาม

นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับการแสดงน้ำพุดนตรี และสัมผัสวิถีชีวิตท้องถิ่นผ่านร้าน OTOP และผลิตภัณฑ์ชุมชน นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงดนตรีและศิลปะพื้นบ้านเพื่อเพิ่มสีสันให้กับงาน

การสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบ Social Impact

แนวคิด “Social Impact Tourism” ถูกนำมาใช้ในปีนี้ เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชน โดยนักท่องเที่ยวจะได้ร่วมจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่และสนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเสริมว่า “งานนี้แสดงถึงศักยภาพของเชียงรายในฐานะเมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์และเมืองท่องเที่ยวที่ใส่ใจสังคม การฟื้นฟูและพัฒนาแม่สายจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่”

เชียงรายจัดมหกรรมไม้ดอกอาเซียน 2024: จุดประกายเศรษฐกิจ ฟื้นฟูแม่สาย

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ภายใต้การนำของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้จัดงาน “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย Chiangrai Flower and Art Festival 2024” ระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ถึง 5 มกราคม 2568 ณ สวนไม้งามริมน้ำกก จังหวัดเชียงราย และวัดถ้ำเสาหินพญานาค อำเภอแม่สาย ภายใต้แนวคิด “The Magical Garden” ที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงการจัดงานว่า “การจัดงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงรายในปีนี้ นอกจากเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวแล้ว ยังมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะในอำเภอแม่สายที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย นอกจากนี้ยังเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศให้มาเยี่ยมชมเชียงราย”

งานครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงชุมชนท้องถิ่นที่มีส่วนร่วมในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว

ข้อมูลเพิ่มเติม:

มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงรายครั้งนี้ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 08:00 – 22:00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ CRPAO Official

งานนี้ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองความงดงามของเชียงราย แต่ยังเป็นการแสดงถึงความเข้มแข็งของชุมชนและศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566-2567

เมื่อวันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2567 สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ณ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส โดยมีผู้แทนสมาชิกสมาคมเข้าร่วมประชุม 38 องค์กร เพื่อรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ สมัยที่ 13 (ปี 2567) รายงานสถานะการเงินประจำปี 2566-2567, แต่งตั้งผู้สอบบัญชี และแต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมาย

การขับเคลื่อนโครงการปี 2567

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ สมัยที่ 13 มีรายละเอียดโครงการประกอบด้วย

  1. กิจกรรมสัมมนา “กระชับสัมพันธ์ SONP” ระดมสมองทิศทางการดำเนินงานปี 67 ณ เมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ
  2. กิจกรรม One Day Training ครั้งที่ 1: หัวข้อ “Digital Journalism in the context of Influencer Economy Business Model & Monetization”, ครั้งที่ 2: หัวข้อ “ความสำคัญของ MarTech กับอุตสาหกรรมสื่อดิจิทัล ในยุค Digital Era” ส่วนครั้งที่ 3 หัวข้อ “Navigating Change: Strategies for Survival of Online News Providers in the Evolving Media Landscape” และครั้งที่ 4 หัวข้อ: Cyber Security & กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  3. โครงการอบรมเชิงปฎิบัติการผู้ผลิตข่าวรุ่นเยาว์ ประจำปี 2567 รุ่นที่ 8 (Young Digital News Providers 2024) ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี
  4. โครงการประกวด รางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม ประจำปี 2567 (Digital News Excellence Awards 2024) ณ ห้องมรกต โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ โดยในปีนี้เป็นปีแรกที่ต่อยอดจากโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการผู้ผลิตข่าวรุ่นเยาว์ เปิดเวทีให้นิสิต นักศึกษา ผู้เข้าอบรมในโครงการฯ ส่งผลงานเข้าประกวด ในประเภท “รางวัลผู้ผลิตข่าวรุ่นเยาว์” เพื่อเตรียมความพร้อมกับการก้าวเข้ามาทำงานในวงการข่าวดิจิทัลอย่างมืออาชีพ

การจับมือพันธมิตรด้านสื่อสารมวลชนเพื่อสังคม

นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังเข้าร่วมกับพันธมิตรด้านสื่อสารมวลชน จัดทำโครงการเพื่อสังคม และพันธมิตรสื่อต่างประเทศ อาทิ

  1. ร่วมเวที Media Forum กฎบัตรปารีสเรื่องจริธรรมสื่อในยุค AI และ บริบทของไทย จัดโดย สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ
  2. ร่วมเป็นกรรมการ (ร่าง) แนวปฏิบัติ เรื่อง การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับสื่อมวลชน โดย สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติพร้อมเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น
  3. ร่วมประชุมความร่วมมือระหว่างองค์กรสื่อของไทยและกัมพูชา
  4. พบปะหารือกับทีมโฆษกสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย
  5. เปิดตัวโครงการเพื่อสังคม ภายใต้ชื่อ: Cyber Booster #สร้างภูมิสู้ภัยไซเบอร์

ความท้าทายด้านเทคโนโลยี สมาคมฯ

นายนันทสิทธิ์ นิตย์เมธา นายกสมาคมฯ กล่าวขอบคุณ “คณะกรรมการบริหารสมาคมฯ สมาชิกสมาคมฯ ทุกองค์กรที่ร่วมกันขับเคลื่อน และผลักดันวิชาชีพด้านสื่อออนไลน์ จากความท้าทายด้านเทคโนโลยี สมาคมฯ ได้มีการปรับเปลี่ยนในหลาย ๆ ด้าน เนื่องจากปัจจุบันได้มีสมาชิกเพิ่มขึ้น จึงต้องมีผู้ดูแลบริหารจัดการงานสมาคมฯ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ อุปนายกดูแลเฉพาะด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านมาตรฐานวิชาชีพ ด้านพัฒนาธุรกิจ และด้านวิชาการ รวมถึงมีการแต่งตั้งผู้อำนวยการบริหารสมาคมฯ ด้วย”

สำหรับการดำเนินงานของสมาคมฯ ในปี 2567 นั้น นโยบายหลักของสมาคมฯ คือ การพัฒนาให้ความรู้กับบุคลากรของสมาชิก โดยในปีนี้ได้มีความร่วมมือกับพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาครัฐ หรือองค์กรเอกชน รวมถึงแพลตฟอร์มต่าง ๆ ให้ความรู้กับสมาชิกฯ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาธุรกิจ รวมถึงการสร้างสรรค์ผลิตคอนเทนต์ อาทิ การอบรม One Day Training ที่ได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับหน่วยงานราชการ และภาคเอกชน จัดทำโครงการเพื่อประโยชน์ต่อสังคม อย่างเช่น โครงการ Cyber Booster #สร้างภูมิสู้ภัยไซเบอร์ สร้างความปลอดภัย เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยเหลือประชาชนให้รู้ทันภัยไซเบอร์จากมิจฉาชีพออนไลน์ เพื่อลดปัญหาอาชญากรรมทางออนไลน์ โดยร่วมกับ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  รายการสถานีประชาชน สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส  และ บริษัท เทลสกอร์ จำกัด ซึ่งเป็นโครงการฯ ต่อเนื่องในปีต่อ ๆ ไป ส่วนการหารายได้ยังมีการหารือร่วมกับทาง Google พร้อมทั้งเน้นย้ำอุปนายกด้านพัฒนาธุรกิจ ระดมกรรมการตั้ง Core Team เพื่อหาแนวทางการสร้างรายได้ใหม่ ๆ ให้กับสมาชิก

“ขอชื่นชมโครงการประกวด “รางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม” ครั้งที่ 10 มีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดมากขึ้น รวมถึงสมาชิกสมาคมฯ ที่ส่งผลงานเนื้อหาในรูปแบบวิดีโอที่ชวนติดตามตั้งแต่วินาทีแรกจนจบคลิป แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาด้านการสร้างสรรค์ของหลายสื่อสมาชิก และมียอดการรับชมที่สูง แต่ไม่ได้ลดคุณภาพของเนื้อหาการทำหน้าที่สื่อ และสุดท้ายขอขอบคุณสมาชิกทุกองค์กรที่ให้ความช่วยเหลืองานกิจกรรมสมาคมฯ มาตลอดทั้งปี”

จากนั้น ในที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้ที่ปรึกษา และ สมาชิกสมาคมฯ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมทั้งหารือให้คำแนะนำแก่คณะกรรมการบริหารสมาคมฯ เพื่อนำไปพัฒนา ปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในปีต่อไป

การวางทิศทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมสื่อ

นายระวี ตะวันธรงค์ ที่ปรึกษา สมาคมฯ กล่าวว่า “ขอชื่นชมการทำงานของนายกฯ และคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ในปีหน้าจะเป็นปีที่แนวโน้มเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ซึ่งจะมีผลต่อธุรกิจโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของเทคโนโลยีที่กระทบต่ออุตสาหกรรมสื่อ ทางสมาคมฯ ควรมีการวางทิศทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมสื่อ เพื่อช่วยเหลือบุคลากรด้านสื่อที่อาจจะตกงานเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ หรือวิทยุ จึงขอฝากสมาคมฯ เรื่องของการพัฒนาอุตสาหกรรมทั้งองค์กร และบุคลากร”

หลักสูตรระยะสั้น เพื่อช่วยเหลือบุคลากร

นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ที่ปรึกษา สมาคมฯ กล่าวเสนอ “ให้จัดทำหลักสูตรระยะสั้น เพื่อช่วยเหลือบุคลากรในวิชาชีพที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างธุรกิจสื่อ และหรือบุคคลที่ต้องการทำสำนักข่าวออนไลน์ เนื้อหาหลักสูตรต้องครบกระบวนการผลิตข่าวออนไลน์ ที่รวมถึงเรื่องการตลาด แนวทางการสร้างรายได้ แนะนำแหล่งเงินทุน รวมทั้งเรื่องของกฎหมาย จริยธรรมเข้าไปด้วย ซึ่งสมาคมฯ มีศักยภาพในการบริหารจัดทำหลักสูตร”

ทางรอดของสื่อต้องเน้นการทำข่าวเชิงสืบสวน

นางสาวชุตินธรา วัฒนกุล ที่ปรึกษา สมาคมฯ กล่าวว่า “ขอแบ่งปันการเข้าร่วมสัมมนาที่ประเทศเยอรมัน เรื่อง “เสรีภาพสื่อ” ซึ่งพบว่าสื่อจากหลายประเทศ ไม่ค่อยมีเสรีภาพในการนำเสนอข่าว ทั้งยังมีการพูดถึงเรื่อง AI และเรื่องการทำข่าวเชิงสืบสวนในยุคที่ AI เข้ามาคุกคาม โดยมองว่าทางรอดของสื่อต้องเน้นการทำข่าวเชิงสืบสวน สื่อต้องปรับตัว เนื่องจากในตลาดมีทั้ง Influencer รวมทั้ง User generated content ดังนั้นสื่อต้องทบทวนว่า คอนเทนต์ที่นำเสนอไปนั้นแตกต่างจากคนเหล่านี้หรือไม่ ทั้งเรื่องข่าวเชิงสืบสวนหรือ Solution journalism นอกจากเรื่องนี้ยังมีเรื่อง Fact checking และที่น่าสนใจคือเรื่อง การใช้วัฒนธรรม POP Culture ส่ง Message สื่อสารเชื่อมต่อกับคนรุ่นใหม่”

ปัจจุบันสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ https://www.sonp.or.th/ มีสมาชิกทั้งสิ้น 50 องค์กร ซึ่งประกอบไปด้วยองค์กรสื่อ และองค์กรที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการผลิตข่าวออนไลน์ โดยในปีนี้สมาคมฯ ได้เริ่มเปิดรับสมาชิกวิสามัญ ประเภท Corporate member หรือสมาชิกองค์กร อีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

เรียนออนไลน์ยุคใหม่ ‘ปริญญาตรี’ พร้อมมีรายได้ ไม่ต้องเดินทาง

การศึกษาออนไลน์: ทางเลือกใหม่แห่งการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษาได้รับการขับเคลื่อนไปในทิศทางใหม่ที่เน้นการเข้าถึงความรู้แบบไม่มีข้อจำกัด โดยเฉพาะในช่วงที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2563 ทำให้การเรียนการสอนในห้องเรียนแบบเดิมถูกจำกัด การศึกษาออนไลน์กลายเป็นคำตอบสำคัญที่ช่วยให้นักเรียนและนักศึกษาสามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

ข้อดีของการศึกษาออนไลน์

  1. ความสะดวกและยืดหยุ่น
    นักเรียนสามารถเข้าถึงบทเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องเดินทางไปยังสถานที่เรียน ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าครองชีพ
  2. การเรียนแบบเลือกเอง
    หลักสูตรออนไลน์ช่วยให้นักเรียนสามารถเลือกเรียนวิชาที่สนใจได้ โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องสถานที่หรือเวลา
  3. การสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ
    ผู้สอนในระบบการศึกษาออนไลน์มักเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา ทำให้นักเรียนได้รับความรู้ที่มีคุณภาพ
  4. ประหยัดค่าใช้จ่าย
    การเรียนออนไลน์ช่วยลดค่าใช้จ่าย เช่น ค่าหนังสือ ค่าเดินทาง และค่าที่พัก
  5. การเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้
    นักเรียนจะได้ฝึกทักษะการจัดการเวลา การค้นคว้าด้วยตนเอง และการปรับตัวต่อการใช้เทคโนโลยี

คณะบริหารธุรกิจ พีไอเอ็ม: หลักสูตรออนไลน์ 100% สำหรับคนพร้อมลุยงาน

สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม) เปิดโอกาสให้ผู้สนใจศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีเข้าร่วมหลักสูตรการจัดการธุรกิจการค้าสมัยใหม่แบบออนไลน์เต็มรูปแบบ (100%) โดยมีจุดเด่นที่แตกต่างจากหลักสูตรทั่วไป ได้แก่

  • รูปแบบการเรียน 5+1+1
    ทำงาน 5 วัน เรียน 1 วัน หยุด 1 วัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างประสบการณ์และมีรายได้ระหว่างเรียน
  • การฝึกงานในพื้นที่ใกล้บ้าน
    นักเรียนสามารถเลือกฝึกงานในพื้นที่ใกล้เคียงกับบ้านของตนเองได้ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและสามารถอยู่กับครอบครัว
  • การเรียนรู้จากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ
    คณะผู้สอนของพีไอเอ็มมีประสบการณ์ในสายงานจริง พร้อมส่งเสริมให้นักศึกษาฝึกทักษะและลงมือปฏิบัติอย่างมืออาชีพ
  • ไม่มีค่าใช้จ่ายในการสมัคร
    ผู้สนใจสามารถยื่นวุฒิการศึกษาระดับ ม.6/ปวช./กศน. หรือเทียบเท่า โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

วิธีการสมัครและรายละเอียดเพิ่มเติม

  1. สมัครเรียนผ่านลิงก์ คลิกที่นี่
  2. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

บทสรุป

การศึกษาออนไลน์ไม่เพียงช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงความรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา แต่ยังส่งเสริมให้พัฒนาทักษะที่จำเป็นในยุคดิจิทัล ด้วยหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างสมดุล สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการทำงาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News