Categories
TOP STORIES

พระครูอ๊อดนำช้างลุยน้ำท่วมเชียงใหม่ ช่วยชาวบ้านฝ่าวิกฤตเสบียงขาดแคลน

 

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2567 พระครูอ๊อด วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ได้นำช้างจากบ้านพักช้างตระกูลแสน ได้แก่ พลายคุณแสน และพลายแสนทัพ ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในอำเภอสารภี ถนนสายต้นยาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเกิดน้ำท่วมสูงบางจุดจนไม่สามารถเข้าถึงได้โดยรถขนาดใหญ่

การนำช้างมาช่วยเหลือในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยไม่สามารถใช้รถหกล้อหรือเรือเข้าไปในพื้นที่ได้ เนื่องจากกระแสน้ำที่ไหลแรงและระดับน้ำที่สูง ทำให้ช้างกลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการขนส่งเสบียงและสิ่งของจำเป็น เช่น ข้าวสาร อาหารแห้ง และข้าวกล่อง เพื่อแจกจ่ายให้กับชาวบ้านในพื้นที่ประสบภัย

พระครูอ๊อดกล่าวว่า ช้างเป็นสัตว์ที่มีพละกำลังสูงและสามารถฝ่ากระแสน้ำที่เชี่ยวกรากได้ดีกว่าเรือท้องแบน นอกจากนี้ ยังมีทีมควาญช้างและทีมกู้ภัยน้ำหลากคอยประกบช้างทั้งสองตลอดการทำงานเพื่อความปลอดภัย โดยช้างทั้งสองเชือกยังทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะมีอุปสรรคจากกระแสน้ำและสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ในพื้นที่

“การนำช้างมาช่วยเหลือในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การช่วยผู้ประสบภัย แต่ยังเป็นการฝึกช้างให้มีความคุ้นเคยกับการทำงานช่วยเหลือสังคม ซึ่งถือว่าเป็นการใช้พละกำลังของช้างให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง นับเป็นภารกิจสำคัญของช้างตระกูลแสนที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องชาวบ้านในเวลาวิกฤต” พระครูอ๊อดกล่าว

ช้างทั้งสองเชือกได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากทีมงานควาญช้าง เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้น เช่น การเหยียบตะปูหรือท่อที่อาจอยู่ในน้ำ นอกจากนี้ยังมีการควบคุมการเดินของช้างในเลนกลางถนน และมีทีมกู้ภัยคอยประกบทุกฝีก้าว

คุณแสนและแสนทัพยังแสดงความน่ารักให้เห็นในระหว่างการช่วยเหลือ เมื่อมีคนเรียกชื่อ “แสนทัพ” ช้างก็หันไปทักทายด้วยการโบกงวง ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกอบอุ่นและชื่นชมการทำงานของทั้งช้างและทีมช่วยเหลือ

พระครูอ๊อดได้เปิดรับบริจาคเพื่อสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยผู้ที่สนใจสามารถร่วมทำบุญได้ที่บัญชีธนาคารกรุงไทย เลขที่ 5400186947 หรือผ่านระบบพร้อมเพย์หมายเลข 0808500184 ในชื่อบัญชี “พระวีรวัฒน์ วีรวฑฺฒโน”

ผู้ใช้โซเชียลต่างพากันชื่นชมการทำงานของทีมช้างและทีมกู้ภัย พร้อมแชร์โพสต์และภาพถ่ายของคุณแสนและแสนทัพที่ลุยน้ำช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ ทำให้ข่าวนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในโลกออนไลน์

การลงพื้นที่ช่วยเหลือของช้างตระกูลแสนในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ว ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจและกำลังใจให้กับคนในสังคมในการทำความดีและช่วยเหลือกันในช่วงเวลาวิกฤตอีกด้วย นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการทำงานจิตอาสาที่ใช้ทรัพยากรอย่าง “ช้าง” ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับสังคมในเวลาที่ต้องการ

ร่วมกันสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้พระครูอ๊อดและทีมกู้ภัยในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมครั้งนี้ เพื่อให้ช้างไทยได้แสดงพละกำลังและศักยภาพในการช่วยเหลือสังคมอย่างเต็มที่ต่อไป.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : แซนดี้ อะโลฮ่า (Sandy Aloha)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

อินไซต์นักดื่มกาแฟพบภาคเหนือ ชื่นชอบคั่วอ่อน แหล่งปลูกพันธุ์อาราบิก้า

 

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 นางสาวณัฏฐ์รดา คุณะวิวัฒนานนท์ นายกสมาคมกาแฟพิเศษไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ในประเทศไทยมีมูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท คิดเป็น 10% ของตลาดกาแฟพรีเมียมทั้งหมดที่มีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดกาแฟรวมทั้งหมดที่สูงถึง 100,000 ล้านบาท ซึ่งตลาดกาแฟพิเศษมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 25% ในช่วงปี 2564-2566 สวนทางกับตลาดกาแฟพรีเมียมที่เติบโตเฉลี่ยเพียง 8.55% ต่อปี

การเติบโตของกาแฟพิเศษในประเทศไทยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของความต้องการบริโภคกาแฟคุณภาพสูงและความนิยมในการเปิดร้านกาแฟพิเศษทั้งในเมืองและภูมิภาคต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีจำนวนบาริสต้าและผู้ประกอบการที่เข้ามาในตลาดมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดกาแฟพิเศษขยายตัวอย่างรวดเร็ว

จากข้อมูลของ Euromonitor International รายงานว่า การบริโภคกาแฟในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 30,000 ตันต่อปี เป็น 90,000 ตันต่อปี ในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งเฉลี่ยคนไทยบริโภคกาแฟวันละ 1.5 แก้ว สะท้อนถึงความนิยมในการบริโภคกาแฟที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ตลาดกาแฟยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

นางสาวณัฏฐ์รดา กล่าวเพิ่มเติมว่า สมาคมกาแฟพิเศษไทยได้วางกลยุทธ์เพื่อยกระดับคุณภาพกาแฟไทย โดยการส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟให้เน้นการผลิตกาแฟคุณภาพสูงผ่านโครงการประกวดกาแฟพิเศษ รวมถึงการส่งเสริมเทคโนโลยีและความรู้ในการผลิตกาแฟปลอดโรคเพื่อให้ได้กาแฟที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน GAP และได้รับการยอมรับในระดับสากล

ทั้งนี้ ทางสมาคมฯ ได้ร่วมมือกับเซ็นทรัลพัฒนาในการจัดงาน “Thailand Coffee Hub” ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างวันที่ 2-8 ตุลาคม 2567 โดยมีการรวบรวมกาแฟจากทั่วประเทศและกาแฟท้องถิ่นจากพื้นที่ต่าง ๆ มาแสดงและจัดจำหน่ายภายในงาน คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 150,000 คน เพิ่มขึ้น 50% จากปีที่ผ่านมา

นางขวัญแก้ว สิริจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า เซ็นทรัลพัฒนาวางกลยุทธ์สนับสนุนธุรกิจโลคอลและภูมิภาคให้ก้าวสู่ตลาดโลก (Support Local & Cross-Region) โดยตั้งเป้าผลักดันงานเทศกาลกาแฟไทยให้กลายเป็น “World Coffee Event Destination” ที่ดึงดูดนักดื่มกาแฟจากทั่วโลก เพื่อช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงและศักยภาพของอุตสาหกรรมกาแฟไทยในเวทีระดับโลก

สำหรับแนวโน้มของตลาดกาแฟในปี 2567 พบว่า ราคากาแฟในตลาดโลกเริ่มปรับตัวลดลงประมาณ 20-30% เนื่องจากผลผลิตจากประเทศผู้ผลิตรายใหญ่อย่างบราซิลเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ต้นทุนการนำเข้ากาแฟลดลง ซึ่งส่งผลให้ราคาเมล็ดกาแฟในประเทศมีแนวโน้มถูกลงตาม

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดกาแฟพิเศษยังคงเข้มข้นและเป็นตลาดแบบ “Red Ocean” ที่มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นต้องมุ่งเน้นการผลิตกาแฟคุณภาพสูงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า

ในแง่การผลิตกาแฟไทย ประเทศไทยยังคงผลิตกาแฟได้เพียง 40,000-50,000 ตันต่อปี แต่ความต้องการบริโภคสูงถึง 100,000 ตัน ทำให้ต้องมีการนำเข้ากาแฟจากต่างประเทศเพื่อรองรับความต้องการที่สูงขึ้น การพัฒนาคุณภาพการผลิตจึงเป็นทางรอดของเกษตรกรและผู้ผลิตกาแฟไทยในการยกระดับสินค้าสู่ตลาดพรีเมียม

 

ทั้งนี้ เมื่อประเมินภาพรวมการดื่มกาแฟของคนไทย พบว่า เฉลี่ยประมาณ 1.5 แก้วต่อวัน โดยเมื่อมาสำรวจฐานนักดื่มกาแฟไทย ในแต่ละภูมิภาค จะชื่นชอบการดื่มกาแฟที่มีรสชาติแตกต่างกันคือ 

  • ภาคเหนือกาแฟ ชื่นชอบกาแฟคั่วอ่อน ตามแหล่งปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชื่นชอบ กาแฟที่มีรสเปรี้ยวผสม
  • ภาคใต้ ชื่นชอบกาแฟคั่วเข้ม ตามแหล่งปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้า
  • ภาคกลาง และกทม. ชื่นชอบกาแฟรสชาติ หลากหลาย 
  • ภาคตะวันออก ยังไม่มีชัดเจน 
  • เทรนด์ภาพรวมคนไทยสนใจดื่มกาแฟ “อเมริกาโน่” มากขึ้น จากเดิม 4-5 ปีเน้นกาแฟใส่นม เนื่องจากความสนใจสุขภาพสูงขึ้น

สมาคมกาแฟพิเศษไทยจึงมุ่งมั่นที่จะผลักดันกาแฟไทยสู่เวทีโลก พร้อมทั้งสร้าง Coffee Ecosystem ที่เข้มแข็งตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ เพื่อให้แบรนด์กาแฟไทยก้าวสู่การเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และกลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านกาแฟระดับโลกต่อไป.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / กรุงเทพธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

น้ำป่าพัดช้างที่แม่แตง 2 เชือก “พลอยทอง” ช้างตาบอด “พังฟ้าใส”

 

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 นายชำนาญ ปานทอง ผู้จัดการปางช้างแม่ริม ได้เข้าตรวจสอบและสำรวจซากช้างที่ถูกกระแสน้ำพัดลงมาจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ปางช้าง Elephant Nature Park มูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม ในอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ โดยพบช้างตัวแรกในสภาพนอนจมอยู่ในกองเศษไม้และกิ่งไม้ที่มากับกระแสน้ำ หลังจากตรวจสอบไมโครชิพที่ติดกับตัวช้างแล้วพบว่าเป็น “พังพลอยทอง” ช้างเพศเมียอายุ 40 ปี ซึ่งตาบอดทั้งสองข้าง

ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้เดินสำรวจเพิ่มเติม พบซากช้างอีกหนึ่งเชือกในระยะห่างจากจุดแรกประมาณ 300-500 เมตร ชื่อว่า “พังฟ้าใส” หรือ “พังวันเฉลิม” ช้างเพศเมียอายุ 16 ปี ซึ่งเป็นช้างในความดูแลของมูลนิธิเดียวกัน สภาพซากช้างทั้งสองมีบาดแผลหลายจุด คาดว่าน่าจะเกิดจากการถูกกระแทกกับโขดหินขนาดใหญ่ในลำน้ำแตง โดยเฉพาะบริเวณงวงของช้างฟ้าใสที่มีเลือดไหลออก เนื่องจากถูกกระแทกอย่างรุนแรง ทำให้ไม่สามารถต้านทานกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากได้

พระครูโอ๊ต วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นนักอนุรักษ์ช้าง ได้เดินทางมายังจุดเกิดเหตุเพื่อทำพิธีขอขมาวิญญาณช้างทั้งสองเชือก พระครูโอ๊ตได้ทำการวางผ้าสีแดงบนร่างของช้างตามพิธีกรรมท้องถิ่น และได้จัดการปรึกษาหารือกับผู้เกี่ยวข้องว่าไม่จำเป็นต้องทำการผ่าชันสูตรซากช้าง แต่จะดำเนินการฝังซากช้างในบริเวณที่พบ โดยคาดว่าการฝังซากช้างทั้งสองจะเสร็จสิ้นในช่วงค่ำของวันนี้

เหตุการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่แตงครั้งนี้เกิดจากน้ำป่าที่ไหลหลากเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทำให้ช้างทั้งสองที่อยู่ในศูนย์ธรรมชาติช้างไม่สามารถรับมือได้และถูกกระแสน้ำพัดหายไปไกลจากศูนย์ธรรมชาติถึง 5 กิโลเมตร ก่อนที่ร่างจะถูกพัดมาเกยบริเวณใกล้กับสิบแสนรีสอร์ทแอนด์สปา บริเวณแก่งกี๊ด ซึ่งเป็นจุดอันตรายที่เต็มไปด้วยโขดหินขนาดใหญ่

จากการตรวจสอบพบว่า แรงกระแทกจากกระแสน้ำที่พัดพาช้างมานั้นรุนแรงมาก แม้แต่ท่อนไม้ใหญ่ยังถูกกระแทกจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ จึงเป็นไปได้ว่าช้างทั้งสองเชือกหมดแรงและไม่สามารถว่ายต่อได้ ประกอบกับความเชี่ยวของกระแสน้ำทำให้พวกมันไม่สามารถประคองตัวได้จนถูกพัดกระแทกกับโขดหิน

นายชำนาญ ปานทอง เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้สร้างความเสียหายและความสูญเสียครั้งใหญ่ให้กับปางช้าง เพราะช้างทั้งสองเชือกเป็นช้างที่อยู่ในความดูแลมานาน โดยเฉพาะพังพลอยทองที่มีสภาพร่างกายอ่อนแอและบอดทั้งสองข้าง การที่จะช่วยเหลือพวกมันได้ทันท่วงทีในสภาพน้ำป่าที่รุนแรงเช่นนี้เป็นเรื่องยากมาก

ทั้งนี้ ทางมูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อมได้แสดงความเสียใจต่อการสูญเสียช้างทั้งสอง และขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ หากพบเห็นสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่หรือต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม สามารถแจ้งได้ที่มูลนิธิหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การช่วยเหลือดำเนินการได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

ทางมูลนิธิจะดำเนินการจัดพิธีอำลาช้างทั้งสองเชือกอย่างเรียบง่าย และขอให้วิญญาณของพังพลอยทองและพังฟ้าใสได้ไปสู่สุคติ ท่ามกลางความโศกเศร้าของเจ้าหน้าที่และผู้ที่รักและผูกพันกับช้างทั้งสองอย่างลึกซึ้ง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

อนุทินลงพื้นที่เชียงราย-เชียงใหม่ ชง ครม. ค่าล้างโคลนเพิ่ม 1 หมื่นบาท

 

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะติดตาม สถานการณ์น้ำ การให้ความช่วยเหลือและการฟื้นฟู ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยมี นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับและรายงานสถานการณ์ในพื้นที่

โดยจุดแรก รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมา ที่สะพานข้ามแม่น้ำสาย แห่งที่ 1 เพื่อดูสถานการณ์แม่น้ำสาย การสูบน้ำออกจากชุมชน และการเสริมบิ๊กแบ็ค และฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ การช่วยเหลือและฟื้นฟูในแต่ละจุด จากหน่วยงานกองการช่าง และกำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน หรือ อส. โดยนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและ เจ้าหน้าที่ทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
 
รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า จากที่ได้ฟังการรายงานจากทางเจ้าหน้าที่ คาดว่าจะสามารถเคลียร์พื้นที่ได้ภายในไม่เกินสิ้นเดือนนี้ แต่จะทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีจุดที่หนักหน่อยก็คือที่ตลาดสายลมจอย ที่น้ำทะลักเช้าไปมากจนสร้างความเสียหาย ซึ่งมีความเห็นใจผู้ประกอบการ เพราะว่าทราบมาว่าสินค้าได้รับความเสียหาย ซึ่งจะต้องพิจารณาต่อไปว่าจะหาวิธีช่วยเหลืออย่างไร
 
“ในเรื่องของการเยียวยา ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัย ในวันอังคารนี้ ก็มีการเสนอให้ ครม. พิจารณาปรับเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งเป็นไปตามคำบัญชาของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ว่าจะให้การเยียวยาในระดับสูงสุดก็คือ 9,000 บาทต่อครัวเรือน และก็ยังมีเงินที่ตอนนี้ทางกรมป้องกันสาธารณภัยได้ตั้งเรื่องและได้รับความเห็นชอบจากกรมบัญชีกลางแล้วคือ ค่าล้างโคลนบ้านละ 10,000 บาท ต่อหลัง ซึ่งเป็นการที่เราพยายามจะหาความช่วยเหลือมาให้ประชาชนให้มากที่สุด
 
จากนั้น คณะ ได้ลงพื้นที่ติดตามการฟื้นฟูบ้านเรือน ที่ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัย ที่บ้านเหมืองแดง หมู่ที่ 2 ตำบลแม่สาย พร้อมให้กำลังใจผู้ประสบภัย แลดูการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการดูดโคลนจากท่อระบายน้ำ
และให้กำลังใจ กำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน หรือ อส. ที่มาช่วยปฏิบัติภารกิจฟื้นฟูทำความสะอาดบ้านเรือน โดยได้ทักทาย อส. ที่มาจาก จังหวัดบุรีรัมย์ ที่มาทั้งหมด 60 นาย ที่มาปฎิบัติการเป็นวันที่ 8 วัน แล้ว และจะอยู่จนเสร็จภารกิจ และทักทายให้กำลังใจ อส. ที่มาจากจังหวัดแพร่ ซึ่งมาช่วยในภารกิจนี้ทั้งหมด 33 นาย มาตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน และจะอยู่จนเสร็จภารกิจ เช่นเดียวกัน
 
ซึ่งชุมชนบ้านเมืองแดง ซอย 8 แห่งนี้ยังมีน้ำขังอยู่ ประมาณ 20 เซนติเมตร และ ให้กำลังใจ อส. ที่มาจากจังหวัดต่างๆ
จากนั้น ได้เดินทางมาที่วัดปิยะพร มอบเสื้อ จำนวน 1200 ตัว และอุปกรณ์เครื่องนอนเครื่องใช้ ให้ อส. ที่มาช่วยเหลือฟื้นฟูจาก 6 จังหวัด รวม 300 นาย พร้อมร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับกำลังพล อส. ด้วย และเดินทางไปดูสถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดเชียงใหม่ต่อไป
 
สำหรับ นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ส่วนหน้า) จังหวัดเชียงราย (มท.4) ได้ลงพื้นที่ชุมชนไม้ลุงขน เพื่อมอบถุงยังชีพ แก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจทหาร จากหน่วยในกองทัพภาคที่ 3 ทั้ง มทบ.37 ,มทบ.34, มทบ.32, มทบ.33, ร17/3, ร.17/4, รวม 530 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่เหล่านี้ รับผิดชอบดูแลพื้นที่โซนชุมชนไม้ลุงขน พร้อมกันนี้ได้มอบอาหารแห้งและเครื่องดื่มชูกำลังให้แก่ จนท.ทหาร ด้วย
 
รับมอบสิ่งของอุปโภคบริโภค จาก คุณเยาวเรศ ชินวัตร และสมาคมฮงสุน ณ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงราย
 
จากนั้นได้เดินทางร่วมกับ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยวาการกลาโหม ได้เดินทางต่อไปยังศูนย์อำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ต.กึ้ดช้าง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เพื่อประสานการช่วยเหลือประชาชน นักท่องเที่ยว และช้างจำนวน 126 เชือก
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ศอ.จอส.พระราชทาน มอบสิ่งของช่วยผู้ประสบภัย แม่สาย-เชียงราย ฟื้นฟูต่อเนื่อง

 

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 เวลา 09.00 น. ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน ภาค 3 (ศอ.จอส.พระราชทาน ภาค 3) ร่วมกับกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์จังหวัดเชียงราย โดยมี พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้อำนวยการศูนย์จิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) และผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มทบ.37 เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมจัดกิจกรรมมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์และเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม จำนวน 1,000 ราย ในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

การมอบสิ่งของในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากกงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดเชียงใหม่ และสมาคมฮงสุนแห่งประเทศไทย โดยมีการถ่ายทอดสดการรับมอบสิ่งของไปยังประเทศจีนผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ ณ มูลนิธิกวงเม้ง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนในพื้นที่จำนวนมาก

หลังจากนั้น เวลา 10.30 น. พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยซ่อมบำรุงเคลื่อนที่ขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยกองฝึกอบรมและพัฒนาฝีมือ ฝ่ายอาชีวสงเคราะห์ ร่วมกับสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย และวิทยาลัยการอาชีพเวียงเชียงรุ้ง ที่ได้จัดหน่วยซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องมือทางการเกษตร และรถจักรยานยนต์ให้แก่ทหารผ่านศึก ครอบครัวทหารผ่านศึก และประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ระหว่างวันที่ 5 – 29 ตุลาคม 2567 ณ สนามฝึกยุววรรณ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

การออกหน่วยซ่อมบำรุงเคลื่อนที่ครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากทหารผ่านศึกและประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งนอกจากการซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องมือทางการเกษตรแล้ว ยังมีการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลรักษาอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อยืดอายุการใช้งานและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน

ต่อมา เวลา 11.00 – 15.30 น. พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน พร้อมคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมพื้นที่บ้านไม้ลุงขน ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามความคืบหน้าในการฟื้นฟูและให้กำลังใจกำลังพลที่ปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัย ซึ่งขณะนี้การฟื้นฟูในบางพื้นที่ยังคงต้องการอุปกรณ์และกำลังเสริมเพื่อเร่งแก้ไขความเสียหาย

นอกจากนี้ ศอ.จอส.พระราชทาน ภาค 3 ยังได้จัดการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่อำเภอแม่สาย เวลา 17.30 น. โดยมี พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน และ นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม ณ ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย

การประชุมในครั้งนี้มีการแบ่งความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานในการฟื้นฟูพื้นที่ พร้อมวางแผนการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่อำเภอแม่สายยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างเต็มกำลัง และพร้อมที่จะบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด

นอกจากนี้ ทางมูลนิธิกวงเม้ง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้ประกาศเชิญชวนผู้ที่ต้องการร่วมบริจาคสิ่งของหรืออุปกรณ์ที่จำเป็น สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานมูลนิธิฯ หรือศูนย์ประสานงานการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นฟูและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ต่อไป.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

พระแบกโลงศพลุยน้ำ หลังน้ำท่วมวัดป่าแพ่ง เชียงใหม่ จนเมรุงดใช้งาน

 

มื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 เวลา 13.00 น. สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่ยังคงวิกฤติ หลังจากระดับน้ำในแม่น้ำปิงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลกระทบให้หลายพื้นที่ต้องเผชิญกับน้ำท่วมอย่างหนัก โดยเฉพาะวัดป่าแพ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในย่านตลาดเมืองใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ที่ขณะนี้ถูกน้ำท่วมสูงจนไม่สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ

จากภาพที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย แสดงให้เห็นพระสงฆ์และสามเณรภายในวัดต้องลงแช่น้ำที่ท่วมสูงถึงระดับหน้าอกเพื่อวัดระดับน้ำและดูแลความปลอดภัยของพื้นที่โดยรอบ เผยให้เห็นถึงความรุนแรงของสถานการณ์น้ำท่วมที่เข้าท่วมลานวัดและอาคารต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว แม้ว่าโชคดีที่น้ำยังไม่ท่วมถึงในวิหารหลวงของวัด แต่บริเวณรอบวิหารและพื้นที่ในวัดเกือบทั้งหมดจมอยู่ใต้น้ำ

ส่วนพื้นที่บริเวณด้านหลังวัด ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมรุเผาศพ ก็ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมอย่างหนัก ทำให้ต้องงดการประกอบพิธีฌาปนกิจศพในช่วงนี้ชั่วคราว เจ้าหน้าที่วัดและชาวบ้านได้ช่วยกันขนย้ายโลงศพออกจากพื้นที่เพื่อลดความเสียหายเพิ่มเติม

สำหรับชาวบ้านและผู้ค้าขายในบริเวณตลาดเมืองใหม่ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับวัดป่าแพ่ง ต่างได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้เช่นกัน หลายร้านค้าต้องปิดชั่วคราวเพราะระดับน้ำเข้าท่วมจนไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ เจ้าหน้าที่และทีมอาสาสมัครได้เข้ามาช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายสิ่งของมีค่าและป้องกันน้ำท่วมเข้าร้านค้า

สถานการณ์น้ำท่วมในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะคลี่คลายเมื่อใด เนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำปิงยังอยู่ในระดับวิกฤติ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงเตรียมพร้อมอพยพในกรณีที่ระดับน้ำเพิ่มขึ้นกะทันหัน พร้อมทั้งตรวจสอบทรัพย์สินและเคลื่อนย้ายสิ่งของมีค่าไปยังพื้นที่สูงเพื่อป้องกันความเสียหาย

ทางด้านเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้วางแผนเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ และจะเร่งระดมทรัพยากรเพื่อจัดการกับสถานการณ์ให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : วัดป่าแพ่ง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

อบรมผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งปลอดโรค เสริมแกร่งเกษตรกรไทย

 

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 เวลา 08.30 – 16.30 น. กรมวิชาการเกษตร ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) จัดอบรมหลักสูตร “การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งปลอดโรคชั้นพันธุ์หลัก (G0) และชั้นพันธุ์ขยาย (G1) ภายใต้การปฏิบัติทางเกษตรที่ดี (GAP) สำหรับหัวพันธุ์มันฝรั่ง” ณ โรงแรมเอ็ม บูทีค รีสอร์ท จังหวัดเชียงราย โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกมันฝรั่งในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนจำนวน 90 คน

การอบรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพในการผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งปลอดโรคที่ได้มาตรฐาน GAP ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าหัวพันธุ์จากต่างประเทศ ลดต้นทุนการผลิต และเสริมสร้างศักยภาพให้กับเกษตรกรในประเทศ นำไปสู่การผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งที่มีคุณภาพสูง รองรับความต้องการของอุตสาหกรรมการแปรรูปมันฝรั่งภายในประเทศได้อย่างเพียงพอ

ภายในงานได้รับเกียรติจากนายนิสิต บุญเพ็ง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเชียงราย กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมอบรม และดร.วิชญา ศรีสุข รักษาการผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมทั้งแสดงความสำคัญของการพัฒนาหัวพันธุ์มันฝรั่งให้มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล เพื่อตอบสนองความต้องการในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูป

การอบรมในครั้งนี้ประกอบด้วยหัวข้อบรรยายที่หลากหลายและครอบคลุมทุกมิติของการผลิตมันฝรั่งปลอดโรค โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ อาทิ

  • ดร.อรทัย วงค์เมธา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเชียงใหม่ บรรยายเรื่อง “การผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งปลอดโรคชั้นพันธุ์หลัก (G0) และชั้นพันธุ์ขยาย (G1)”
  • นายวัฒนนิกรณ์ เทพโพธา นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเชียงราย บรรยายเรื่อง “การตรวจรับรองแปลงผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งตามมาตรฐานสินค้าเกษตร มกษ. 5705-2565 และ GAP PM 2.5 Free”
  • นางสาวรุ่งนภา ทองเคร็ง นักวิชาการโรคพืชชำนาญการพิเศษ กลุ่มวิจัยโรคพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร บรรยายเรื่อง “การป้องกันกำจัดศัตรูมันฝรั่งร่วมกับการใช้ชีวภัณฑ์ในฤดูฝน”

การบรรยายแต่ละหัวข้อได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมเป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในแปลงปลูกมันฝรั่งได้จริง ช่วยให้เกษตรกรสามารถผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งที่มีคุณภาพสูงขึ้น ลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคพืช และเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นระหว่างผู้เข้าร่วมอบรมทั้งจากหน่วยงานวิชาการ บริษัทแปรรูป และกลุ่มเกษตรกร เพื่อหาทางพัฒนาระบบการผลิตและการจัดการแปลงมันฝรั่งอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและเกษตรกรในการพัฒนาศักยภาพการผลิตมันฝรั่งปลอดโรคในประเทศไทย

การอบรมครั้งนี้ถือเป็นการส่งเสริมการพัฒนาเกษตรกรไทยให้มีความสามารถในการผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งที่ได้มาตรฐาน สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน และช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มรายได้ในระยะยาว

ทั้งนี้ กรมวิชาการเกษตรยังคงมุ่งมั่นในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่ทันสมัยให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างรากฐานการผลิตที่เข้มแข็งและยั่งยืนให้กับภาคเกษตรกรรมไทยต่อไปในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมวิชาการเกษตร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

น้ำป่าท่วมศูนย์บริบาลช้างแม่แตง เชียงใหม่ เร่งช่วยเหลือสัตว์กว่า 3,000 ชีวิต

 

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 เวลา 18.20 น. พระครูอ๊อด วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ได้โพสต์ขอความช่วยเหลือเร่งด่วนผ่านสื่อโซเชียล ขออาสาสมัครและกำลังสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือสัตว์หลายพันชีวิตในศูนย์บริบาลช้างแม่เล็กแสงเดือน อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากเกิดน้ำป่าหลากเข้าท่วมพื้นที่อย่างหนัก ทำให้การขนย้ายสัตว์ต่าง ๆ ในศูนย์ประสบความยากลำบาก โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนที่ฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำยังคงสูงและการทำงานของทีมช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบาก

ศูนย์บริบาลช้างแม่เล็กแสงเดือน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณคลองศูนย์ในอำเภอแม่แตง ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากในครั้งนี้ เนื่องจากปริมาณน้ำที่ท่วมสูงอย่างรวดเร็ว ทำให้พื้นที่ภายในศูนย์ซึ่งมีช้างประมาณ 100 เชือกได้รับความเสียหาย โดยส่วนใหญ่เป็นช้างเพศเมีย ช้างชรา และช้างพิการที่ศูนย์รับมาดูแล

ในเบื้องต้น ทางศูนย์ได้ทำการขนย้ายช้างทั้งหมดขึ้นไปอยู่บนพื้นที่สูงเพื่อความปลอดภัยแล้ว แต่ยังมีสัตว์เล็กอื่น ๆ ที่เลี้ยงไว้ในพื้นที่เดียวกัน เช่น หมู วัว ควาย หมา และแมว กว่า 3,000 ชีวิตที่ยังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน คุณแสงเดือน ชัยเลิศ ผู้ดูแลศูนย์ ได้โพสต์ขอความช่วยเหลือผ่านทาง Facebook เพื่อให้ทีมอาสาสมัครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยขนย้ายสัตว์เหล่านี้ออกจากพื้นที่โดยด่วน เนื่องจากการเดินทางในเส้นทางปกตินั้นไม่สามารถทำได้ จำเป็นต้องใช้เส้นทางผ่านบ้านแม่ตะมานและบ้านปางไม้แดงเท่านั้น

สำหรับความช่วยเหลือในขณะนี้ จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสริม เช่น รถสิบล้อสำหรับขนย้ายสัตว์ขนาดใหญ่ เรือเจ็ตสกี เรือกู้ภัย และเรือขนาดเล็กเพื่อการขนย้ายสัตว์เล็ก รวมถึงต้องการทีมอาสาสมัครจำนวนมากเพื่อสนับสนุนการขนย้ายสัตว์และช่วยเหลือในพื้นที่ประสบภัย

ด้านพระครูอ๊อด วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ได้ประสานงานทีมลูกศิษย์และทีมอาสากู้ภัยของวัดเจดีย์หลวงเข้าไปสนับสนุนในพื้นที่อย่างเร่งด่วน โดยในขณะนี้พระครูอ๊อดและทีมอาสาได้เดินทางถึงพื้นที่แล้ว และกำลังประสานงานกับทีมอาสาเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อร่วมกันช่วยเหลือสัตว์และควาญช้างในพื้นที่

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในพื้นที่ศูนย์บริบาลช้างแม่แตงยังคงน่าเป็นห่วง เนื่องจากปริมาณน้ำที่ไหลหลากอย่างต่อเนื่องได้เริ่มกัดเซาะพื้นที่ริมฝั่งลำน้ำแม่แตง ทำให้ระเบียงชมช้างในบริเวณบ้านพักช้างหลายจุดได้รับความเสียหายและมีความเสี่ยงที่จะถูกน้ำเซาะพังทลาย พระครูอ๊อดยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “แค่ให้ช้างและควาญช้างในความดูแลปลอดภัย พระครูฯ ก็ดีใจมากแล้ว แต่ตอนนี้เราต้องช่วยกันฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกันให้ได้”

ด้านเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ยังคงประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นและหน่วยกู้ภัยต่าง ๆ ในการเร่งระดมกำลังและอุปกรณ์เข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติม พร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์ประสานงานชั่วคราวในบริเวณใกล้เคียง เพื่อให้สามารถเข้าถึงการขนย้ายและดูแลสัตว์ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ทางศูนย์บริบาลช้างและทีมอาสาฯ ยังได้วางแผนขนย้ายสัตว์ในช่วงกลางคืนเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ เนื่องจากหากฝนยังคงตกลงมาเพิ่มเติม จะทำให้การขนย้ายในเวลากลางวันยิ่งมีความยากลำบากมากขึ้น และเส้นทางการเดินทางอาจถูกตัดขาดโดยสมบูรณ์

สถานการณ์ล่าสุด ทางศูนย์ยังคงต้องการการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ เอกชน หรืออาสาสมัครทั่วไปที่สามารถช่วยเหลือได้ โดยสามารถติดต่อประสานงานได้ที่ศูนย์อพยพชั่วคราวในพื้นที่ศูนย์บริบาลช้างแม่เล็กแสงเดือน หรือประสานงานผ่านเพจ Facebook ของศูนย์ฯ เพื่อให้ความช่วยเหลือสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว

ขอให้ประชาชนในพื้นที่อำเภอแม่แตงและใกล้เคียงติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด หากพบเห็นสัตว์ที่ต้องการความช่วยเหลือหรือพื้นที่ที่มีความเสี่ยง สามารถแจ้งทีมอาสาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างทันท่วงที

ล่าสุดมีรายงานว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการย้ายช้างจำนวน 117 เชือกไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัยแล้วเหลือเพียงการช่วยเหลือช้างอีกประมาณ 10 เชือกซึ่งส่วนใหญ่เป็นช้างตัวผู้ และมีบางเชือกเป็นช้างที่ตาบอดต้องใช้ควาญที่มีความคุ้นเคยในการเข้ากู้ชีพ
 
ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ขณะนี้มีน้องช้าง น้องวัว น้องควายบางส่วนที่ช่วยไม่ทันได้ไหลไปตามน้ำทางอุโมงค์ ถ้าท่านใดพบเห็นสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ตามเบอร์ด้านล่างนี้
คุณเเพตตี้094 – 6352892
คุณไพลิน 088 – 9172668
คุณดาด้า 098 – 6566685
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กู้ภัยแม่โจ้/ควาญแบงค์พลายน้ำแตง / พระครูอ๊อด วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

กระทรวงวัฒนธรรมครบรอบ 22 ปี มอบโล่เชิดชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์

 

เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2567 กระทรวงวัฒนธรรมจัดงานวันสถาปนากระทรวงวัฒนธรรมครบรอบ 22 ปี พร้อมพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ “วัฒนคุณาธร” ประจำปี 2567 เพื่อยกย่องบุคคลและองค์กรที่ทำคุณประโยชน์ด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม โดยมีนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธี ณ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพฯ

ในช่วงเช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ได้เข้าร่วมพิธีบวงสรวงและทำบุญเนื่องในโอกาสวันสถาปนากระทรวงฯ โดยเริ่มต้นด้วยการสักการะพระพุทธสิริวัฒนธรรโมภาส พระสยามเทวาธิราช และศาลตา-ยาย ประจำกระทรวงวัฒนธรรม ทั้งนี้ มีพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ ประกอบพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในพิธีบำเพ็ญกุศลทางศาสนา

ภายหลังพิธีบวงสรวงและทำบุญเนื่องในโอกาสวันสถาปนากระทรวงฯ นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้กล่าวถึงความสำคัญของกระทรวงวัฒนธรรมที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2545 ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 โดยมีภารกิจหลักในการอนุรักษ์ สืบสาน และต่อยอดศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมของชาติ เพื่อให้เป็นพื้นฐานในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

กระทรวงวัฒนธรรมมีตราสัญลักษณ์เป็นรูปดวงประทีปภายในบุษบก เหนือหมู่ลายเมฆหมอก หมายถึงปัญญาซึ่งเป็นรากฐานของวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากรได้ออกแบบตรานี้ในปี พ.ศ. 2485 และมีพระพุทธสิริวัฒนธรรโมภาส เป็นพระพุทธรูปประจำกระทรวง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2563 เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะสุโขทัย และได้รับการประทานนามจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ความหมายของนามพระพุทธรูปนี้คือ “พระพุทธเจ้าทรงเจริญรุ่งเรืองด้วยพระสิริและรัศมีแห่งธรรม”

ในช่วงบ่าย เวลา 13.15 น. ได้จัดพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ “วัฒนคุณาธร” เพื่อยกย่องบุคคลและหน่วยงานที่ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปี 2567 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยมีบุคคลและองค์กรจากจังหวัดเชียงรายได้รับรางวัลในครั้งนี้ 3 ราย ได้แก่

  • ประเภทเยาวชน: นายวงศ์วริศ บูราณ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม
  • ประเภทบุคคล: นางสาวภัททิรา วิภวภิญโญ อาจารย์ประจำสำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • ประเภทนิติบุคคล: บริษัท โตโยต้าเชียงราย จำกัด โดย คุณจินตนา และ คุณเรืองชัย จิตรสกุล CEO บริษัท โตโยต้าเชียงราย จำกัด

ในการมอบโล่ครั้งนี้ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางรัชฏ์พันธุ์ รัชนีวงศ์ รองประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, นางพรทิวา ขันธมาลา ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม, และนางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ได้เข้าร่วมเป็นเกียรติในงานดังกล่าว

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงวัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาวัฒนธรรมของไทยในทุกมิติ ทั้งการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม การสร้างความร่วมมือทางวัฒนธรรมกับประเทศต่าง ๆ และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าวัฒนธรรม โดยในปี 2567 กระทรวงวัฒนธรรมได้วางเป้าหมายขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนและสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมย้ำว่าการส่งเสริมวัฒนธรรมไทยจะต้องมีการพัฒนาและปรับตัวให้สอดคล้องกับยุคสมัย และยึดถือความต้องการของประชาชนในทุกพื้นที่เป็นหลัก เพื่อให้วัฒนธรรมไทยยังคงเป็นพลังในการสร้างความเป็นเอกลักษณ์และความภาคภูมิใจให้กับคนไทยต่อไปในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

สกสว.หนุนนักวิจัยปรับระบบเตือนภัย น้ำท่วม-ดินถล่ม เร่งทำ แผนที่น้ำท่วม

 

3 ตุลาคม 2567 รศ. ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรม (สกสว.) เป็นประธานเปิดการประชุมและแถลงข่าว “แนวทางการปรับปรุงระบบเตือนภัยพิบัติเพื่อลดความเสียหาย (น้ำท่วม ดินถล่ม)” ณ ห้องประชุม สกสว. เพื่อรับทราบสถานะของระบบป้องกันและแจ้งเตือนภัยในปัจจุบัน เทคโนโลยีของการป้องกันและเตือนภัย ข้อจำกัดและการปรับปรุงที่ควรมี ตลอดจนแนวทางการจัดการในพื้นที่ และงานวิจัยที่ควรดำเนินการในอนาคต

 

ผู้อำนวยการ สกสว. ระบุว่า ระบบป้องกันและเตือนภัยพิบัติน้ำท่วมและดินถล่มในปัจจุบันยังบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานไม่ทันกาล ทำให้การประมวลผลและตัดสินใจล่าช้า รวมถึงปัญหาความแม่นยำของการคาดการณ์สถานการณ์ และโครงสร้างพื้นฐานทั้งอุปกรณ์ตรวจวัดและระบบเครือข่ายยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยง จึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลาง และใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ทันสมัยเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์และเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์ สกสว.เห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าวและได้หนุนเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาระบบป้องกันและแจ้งเตือนภัยพิบัติที่มาโดยตลอด การจัดประชุมและแถลงข่าวในครั้งนี้ได้ระดมความเห็นจากหน่วยงานในระดับปฏิบัติการ ภาควิชาการ และผู้นำท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่การวางแผนและจัดสรรงบประมาณสนับสนุนทุนวิจัยในการพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์แก่หน่วยงานต่าง ๆ และชุมชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความแม่นยำและแจ้งเตือนได้ทันท่วงทีต่อสถานการณ์ และลดความสูญเสียต่อประชาชน

ด้าน รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงานการนำผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ ด้านการบริหารจัดการน้ำ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า ระบบเตือนภัยของไทยยังมีปัญหาในระดับปฏิบัติการ การเชื่อมโยง ข้อมูลที่เข้าถึงพื้นที่ยังไม่เพียงพอและไม่ทันการณ์ สื่อสารไม่ทั่วถึงและเข้าใจยากสำหรับชุมชน กระทรวง อว.จึงควรเข้ามามีบทบาทหนุนเสริมทางวิชาการโดยเน้นการสร้างองค์ความรู้ พัฒนาระบบเตือนภัย และร่วมพัฒนาความสามารถของชุมชนในพื้นที่ให้สามารถตอบโจทย์ในพื้นที่ ทั้งการสนองต่อสถานการณ์ได้จริงและเข้าถึงประชาชนได้ง่าย โดยจากนี้ไปจะต้องจัดลำดับความสำคัญเพื่อพัฒนางานวิจัยและทำงานเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในระยะสั้น-กลาง-ยาว เพื่อให้เห็นว่าวิชาการช่วยประชาชนในพื้นที่ได้จริง โดยมีสถาบันการศึกษาในพื้นที่เป็นพี่เลี้ยง สิ่งสำคัญที่สุดคือการจัดทำแผนที่น้ำท่วมเพื่อเตรียมรับมือในพื้นที่เสี่ยงสูง

ที่ผ่านมา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน. )ได้พัฒนาขีดความสามารถของเทคโนโลยีเฝ้าระวังและคาดการณ์อุทกภัย ทั้งการคาดการณ์จากดัชนีอุณหภูมิผิวน้ำทะเลและปริมาณฝนล่วงหน้า 6-12 เดือน เทคโนโลยีข้อมูลจากการสำรวจ โทรมาตร ดาวเทียมและเรดาร์ รวมถึงระบบคาดการณ์ 1-7 วัน เพื่อเตือนภัยและสนับสนุนการปฏิบัติงาน พัฒนาต่อยอดเพื่อใช้งานทุกระดับและเป็นระบบคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติและศูนย์ข้อมูลน้ำจังหวัดที่ทันสมัยและทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งสถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา สสน.ได้เชื่อมโยงข้อมูลกับกรมอุตุนิยมวิทยาได้ดี มีข้อมูลออกสู่สาธารณชนมากขึ้น และเริ่มถึงเชิงลึกรายพื้นที่ แต่ปัญหาในพื้นที่เฉพาะยังไม่ตอบสนองสถานการณ์ได้เพียงพอ มีผู้ประสบภัยติดอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม และรถจมน้ำจำนวนมาก ซึ่งเป็นตัวชี้วัดถึงประสิทธิภาพของระบบเตือนภัยและการบริหารจัดการน้ำท่วม

 

ขณะที่ รศ. ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า การปรับปรุงระบบเตือนภัยและบริหารจัดการน้ำต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากชุมชน โดยมีภาควิชาการเข้าไปช่วยเหลือ ชุมชนต้องแข็งแรงและมีความรู้ ไม่เน้นเทคนิคมากมายแต่เน้นการพัฒนาชุมชนให้มีระบบเตือนภัยฐานชุมชน ซักซ้อมเพื่อช่วยเหลือกันเอง รวมถึงสนับสนุนปราชญ์ชุมชนด้านภัยพิบัติ และพร้อมรับข้อมูลจากวิทยาการภายนอกเข้าเสริม เช่นเดียวกับ รศ. ชูโชค อายุพงศ์ หัวหน้าศูนย์วิชาการสนับสนุนด้านการบริหารจัดการน้ำ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึง ระบบเตือนภัยน้ำท่วมสำหรับพื้นที่เสี่ยงสูงต้องเริ่มมาจากการพยากรณ์น้ำล่วงหน้าที่แม่นยำและมีเวลามากพอ มีเครื่องมือสนับสนุนให้ประชาชนตะหนักถึงความลึกของระดับน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในบริเวณต่าง ๆ โดยเครื่องที่ทำได้ก่อนใช้งบประมาณและเวลาไม่มาก ได้แก่ แผนที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมและหมุดหมายระดับน้ำท่วมครอบคลุมพื้นที่น้ำท่วม ซึ่ง อว. สามารถสนับสนุนองค์ความรู้ให้ภาคส่วนต่าง ๆ ได้

สำหรับเสียงสะท้อนจากตัวแทนผู้นำชุมชนซึ่งเป็นเครือข่ายวิจัย พบว่าทิศทางการพัฒนาระบบเตือนภัยพิบัติให้มีประสิทธิภาพจะต้องได้รับความร่วมมือจากส่วนราชการและวิชาการ  ปัจจุบันชาวบ้านในชุมชนเ                                                                                                                                                                          น้     นการแจ้งเตือนกันเองตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น การโทรศัพท์ ใช้วิทยุสื่อสาร รวมถึงปัญหาสำคัญในการสื่อสารด้วยศัพท์ทางวิชาการของหน่วยงานที่เข้าใจยาก การสื่อสารข้อมูลจากส่วนกลางที่น่าเชื่อถือ รับฟังและนำไปปฏิบัติได้ยังเป็นจุดอ่อนที่ต้องหาทางแก้ไข นอกจากนี้ยังต้องซ้อมแผนเผชิญเหตุในเชิงนโยบายและระบุอำนาจของผู้นำ อปท. ว่าสามารถดำเนินการอะไรได้บ้าง และจะมีหน่วยงานใดเข้าไปช่วยเหลือได้ทันที

ทั้งนี้ นายอาร์ม จินตนาดิลก ผู้อำนวยการส่วนวิชาการการเตือนภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เสริมว่า ปกติจะมีการทบทวนแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทุก 5 ปี แต่ประชาชนต้องให้ความตระหนักในการฝึกซ้อมด้วย รวมถึงส่งเสริมอุปกรณ์ที่จำเป็นตามงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร ขณะนี้แผนของจังหวัดมีอยู่แล้วแต่แผนของ อปท. ยังไม่ครอบคลุมแต่จะส่งเสริมให้เต็มทั่วทุกพื้นที่ และจะรื้อฟื้นเครือข่าย “มร.เตือนภัย” ให้ใช้ได้อีกครั้ง

นอกจากนี้ในเวทียังมีข้อเสนอในระยะยาวว่าควรออกกฎหมายการควบคุมการก่อสร้างในพื้นที่เสี่ยง การควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินและวางระบบการบริหารจัดการน้ำท่วมในพื้นที่เสี่ยง โดยปรับโครงสร้างเดิมที่จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำมาเป็นสถาบันมืออาชีพ  มีกลไกจัดการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินเนื่องจากเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและต้องทำจากพื้นที่ เพื่อจะได้ทราบว่ามีพื้นที่ใหม่ ๆ ที่น้ำท่วมอยู่ตรงไหน และหารือเรื่องออกผังน้ำกับกรมโยธาธิการและผังเมือง เพื่อปรับเปลี่ยนเกณฑ์การก่อสร้าง พื้นที่สีเขียว การวางระบบจัดการ การควบคุมการใช้ที่ดิน และการจัดการของชุมชนให้ไปด้วยกันอย่างเหมาะสม มีการแบ่งอำนาจส่วนกลางกับท้องถิ่นให้สอดคล้องและชัดเจน ซึ่งรัฐบาลต้องเข้าใจและวางระบบบริหารจัดการภัยพิบัติใหม่ และหวังว่านักการเมืองจะเริ่มเข้าใจถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารจัดการภัยพิบัติตามแนวคิดใหม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรม (สกสว.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News