Categories
NEWS NEWS UPDATE

ชาวนาไทยเฮ ราคาข้าวพุ่งสูงในรอบ 16 ปี ข้าวนาปรังเกี่ยวสดขายได้ 1 หมื่นบาทต่อตัน

 

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์การส่งออกข้าวไทยในไตรมาสแรก 2567 ค่อนข้างราบรื่น และคาดจะมีปริมาณส่งออกข้าว 3 เดือนแรกปีนี้ประมาณ 2.5 ล้านตัน สูงกว่าปีก่อนที่ 3 เดือนแรกส่งออกได้ประมาณ 2 ล้านตัน ปัจจัยจากคำสั่งซื้อล่วงหน้าและค้างส่งมอบจากปลายปี 2566 ประเทศผู้นำเข้าหลักอย่างอินโดนีเซียประกาศเพิ่มนำเข้าอีก 1.6 ล้านตัน จากเดิมประกาศนำเข้าทั้งปีนี้ไว้ 2 ล้านตัน ทำให้ทั้งปีอินโดนีเซียจะนำเข้าเป็น 3.6 ล้านตัน ทั้งนี้ สาเหตุที่อินโดนีเซียนำเข้าข้าวไทยมากขึ้น เนื่องจากความเชื่อถือในการส่งมอบและคงรักษาคุณภาพข้าว ซึ่งเป็นปัจจัยเข้มแข็งของไทย ขณะนี้ราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของไทยอยู่ที่ 585 เหรียญสหรัฐต่อตัน ปากีสถาน 580 เหรียญสหรัฐต่อตัน เวียดนามจากเดิม 620 เหรียญสหรัฐต่อตัน เหลือ 570 เหรียญสหรัฐต่อตัน

 

สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เผย ราคาข้าวนาปรังที่กำลังออกสู่ตลาดขณะนี้ ถือว่ามีราคาสูงที่สุดในรอบหลายปี โดยราคาข้าวเปลือกเกี่ยวสด ปัจจุบันยังจำหน่ายได้ราคา 10,000 บาท/ตัน ถ้าเป็นข้าวแห้งได้ราคา 11,000 – 12,000 บาท/ตัน แม้ข้าวพื้นนุ่มสายพันธุ์เบอร์ 20 หรือ 80 ที่โรงสีจะปรับลดราคาลงมาที่ตันละ 9,000 บาท แต่ก็ยังถือว่าสูงกว่าปีที่ผ่าน ๆ ทั้งนี้ ราคาปัจจุบัน ทำให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปรังมีรายได้มากกว่าทุก ๆ ปีที่ผ่านมา

 

ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ปี 2566 ไทยส่งออกข้าวปริมาณ 8.76 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 13.7% มีมูลค่าเกือบ 5.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 29% ข้าวขาว 5% ราคาเฉลี่ยทั้งปี 587 เหรียญสหรัฐต่อตันขณะที่ กรมการค้าภายใน รายงานราคาข้าวเปลือกทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้น โดยข้าวเปลือกหอมมะลิ ความชื้นร้อยละ 15 อยู่ที่ตันละ 14,850 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 12,300 บาท ราคาข้าวปีนี้ถือว่าเป็นปีทองของเกษตรกรไทย เพราะภัยแล้งทำให้ความต้องการข้าวมากขึ้น เช่น อินโดนีเซีย ซึ่งมีผลผลิตในประเทศลดลงจากเดิม จึงต้องการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 3,600,000 ตัน (เดิม 2,000,000 ตัน)

 

โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายสนับสนุนค่าปุ๋ย โดยใช้หลักคิดตามหลักวิชาการ ว่าเกษตรกรใช้ปุ้ยในอัตราไร่ละ 50 กก. ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 1,000 กก.) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

 

สำหรับวิธีการจ่าย “ค่าปุ๋ยคนละครึ่ง” โดยให้เกษตรกรจ่ายค่าปุ๋ยครึ่งหนึ่ง และรัฐบาลสนับสนุนอีกครึ่งหนึ่ง (ในอัตราปุ๋ยไร่ละ 25 กก. ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ คือไม่เกินครัวเรือนละ 500 กก.) โดยงบประมาณรวมอยู่ที่ 33,530 ล้านบาท ลดลงกว่า 20,770 ล้านบาท จากโครงการไร่ละ 1,000 บาท โดยดำเนินโครงการผ่านกรมการข้าว ตรวจสอบสิทธิ์โดย ธ.ก.ส. และมีการส่งมอบปุ๋ยให้กับเกษตรกรในพื้นที่ต่าง ๆ ต่อไป

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กาดหลวงเตรียมปรับพื้นที่ เพิ่มตลาดสดน่าซื้อตลาดสดสะอาด

 

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 นายกเทศมนตรีนครเชียงรายลงพื้นที่กาดหลวง กล่าวว่าเราต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่า หากตลาดสด มีความสะอาด มีพื้นที่ให้กับผู้บริโภค เชื่อว่าจะเป็นตลาดสดที่น่าซื้อ และมีคนเข้ามาจับจ่ายซื้อของมากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิดที่จะทำให้ตลาดสดเทศบาลนครเชียงราย เป็นแหล่งจับจ่ายของทุกคนในจังหวัดเชียงราย รวมทั้งนักท่องเที่ยว เมื่อเราทำให้ผู้บริโภคเข้าตลาดมาก ก็จะทำให้การค้าขายดีขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจก็จะดีตาม

 
นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย นางบังอร มะลิดิน นายธเนศ โกมลธง รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมพ.จ.อ.อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาลนครเชียงราย ข้าราชการ เทศบาลนครเชียงราย ลงพื้นที่ตลาดสดเทศบาลนครเชียงราย เพื่อร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนพ่อค้า-แม่ค้าตลาดสดเทศบาล 1 นครเชียงราย (กาดหลวง) ต่อยอดให้ตลาดสดน่าซื้อมากขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการ ปรับปรุงตลาดสดเทศบาล1 ทั้งขยายเส้นทางเข้าออกตลาดเพื่อรถฉุกเฉิน รถดับเพลิงเข้าออกได้สะดวก รวมทั้งทางระบายน้ำ และปรับปรุงแผงขายของให้สามารถทำความสะอาดได้ง่ายและถูกสุขลักษณะ
.
 
ทั้งนี้ การปรับปรุงตลาดสดเทศบาลฯ จะยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มพื้นที่ให้ผู้บริโภค นั้นคือพื้นการทำที่พักรอ หรือที่นั่ง เมื่อตลาดแล้วซื้อของหนัก ๆ ก็สามารถหยุดพักได้ และซื้อของในตลาดมารับประทานได้ ซึ่งจุดนี้จะสร้างจุดเด่นของตลาดน่าซื้อมากขึ้น และสามารถกระตุ้นการจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้นตาม
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงรายร่วม กิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์

 

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567 เทศบาลนครเชียงรายโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย มอบหมายให้ นางบังอร มะลิดิน รองนายกเทศมนตรีนครเชียวราย ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ เทศบาลนครเชียงราย โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ เนื่องในวันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีส่วนราชการ จิตอาสาพระราชทาน ประชาชนจิตอาสา เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ณ บริเวณลานหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย(หลังแรก)

 

ภายในพิธีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้นำจิตอาสาพระราชทาน ประชาชนจิตอาสา ร่วมประกอบกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เก็บกวาดขยะ ทำความสะอาดถนน ณ บริเวณตลาดสดเทศบาล 1 เชียงราย ซึ่งเป็นกิจกรรมตามแนวทางพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานโครงการจิตอาสาพระราชทาน “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ด้วยทรงมุ่งหวัง ให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่า มีความสมัครสมาน สามัคคี ร่วมมือร่วมใจ ประกอบกิจกรรมสาธารณะ เพื่อประโยชน์สุขของชุมชนส่วนรวม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
 
 
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชคุณูประการแก่ประเทศและประชาชนเป็นล้นพ้นที่จะพรรณนา ได้ทำนุบำรุงการพาณิชย์นาวี และมีการติดต่อค้าขายกับนานาประเทศอย่างกว้างขวาง การปรับปรุงระบบการเก็บภาษีอากร และได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์พระอาราม สร้างคำภีร์พระไตรปิฎก ทรงทำลายฝิ่น ซึ่งเป็นยาเสพติดร้ายแรงในสมัยนั้นให้หมดไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS NEWS UPDATE

มีมติเห็นชอบ ใช้ค่าไฟฟ้างวดใหม่ พ.ค.-ส.ค. 67 เท่าเดิม

 

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ในการประชุม กกพ.ครั้งที่ 15/2567 (ครั้งที่ 900) วันที่ 27 มี.ค. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบค่าเอฟทีเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2567 คงเดิมที่ 39.72 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บาทต่อหน่วยแล้ว ทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เป็น 4.1805 บาทต่อหน่วย เท่ากับค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน

นายคมกฤชกล่าว่า ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. ได้เปิดรับฟังความเห็นผลการคำนวณค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2567 ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 8-22 มีนาคม 2567 โดยมีผู้เข้าร่วมแสดงความเห็นจำนวนทั้งสิ้น 147 ความเห็น แบ่งเป็นการแสดงความเห็นต่อค่าเอฟทีตามกรณีศึกษาที่ กกพ. เสนอรวมทั้งสิ้น 61 ความเห็น แสดงความเห็นโดยเสนอค่าเอฟทีอื่นๆ นอกเหนือจากกรณีศึกษารวม 50 ความเห็น และความเห็นในลักษณะข้อซักถามหรือคำถามอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับค่าเอฟทีจำนวน 36 ความเห็น

นายคมกฤชกล่าว่า โดยสรุปผลการรับฟังความคิดเห็น ค่าเอฟทีสำหรับเดือน พฤษภาคม-สิงหาคม 2567 ผ่านช่องทางเว็บไซต์ของสำนักงาน กกพดังนี้ เห็นด้วยกับกรณีศึกษาที่ 1 (ค่าเอฟที 165.24 สตางค์ต่อหน่วย) 4.1% เห็นด้วยกับกรณีศึกษาที่ 2 (ค่าเอฟที 55.72 สตางค์ต่อหน่วย) 5.4% เห็นด้วยกับกรณีศึกษาที่ 3 (ค่าเอฟที 39.72 สตางค์ต่อหน่วย) 32.0% ข้อเสนอค่าเอฟทีอื่นๆ นอกเหนือกรณีศึกษา 34.0% และ ข้อซักถามหรือคำถามอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับค่าเอฟที 24.5%

 

นายคมกฤช ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้ไฟฟ้าในระบบของ กฟผ. มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงจำเป็นต้องนำเข้า LNG เพื่อเป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นในการผลิตไฟฟ้า ดังนั้น ในช่วงฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึง สำนักงาน กกพ. จึงขอเชิญชวนผู้ใช้ไฟฟ้าร่วมกันตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ ให้มีสภาพการใช้งานที่ดี เพื่อประหยัดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่มีสภาพอากาศร้อน

“รวมทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าได้ง่ายๆ 5 ป. ได้แก่ ปลด หรือถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าลดการใช้ไฟฟ้าเมื่อใช้งานเสร็จ ปิด หรือดับไฟเมื่อเลิกใช้งาน ปรับ อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อยู่ที่ 26 องศา เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิภายในบ้าน ซึ่งทั้ง 5 ป. จะช่วยลดการนำเข้า LNG ลดการเกิดการใช้ไฟฟ้าสูงสุดรอบใหม่ (New Peak Demand) ในระบบไฟฟ้าและยังช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าเองด้วย” นายคมกฤชกล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS NEWS UPDATE

ปรับเงินเดือนครู ป.ตรี ไม่น้อยกว่า 18,000 บาท 1 พ.ค.นี้!

 

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 3/2567 ซึ่งมี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุม ได้มีมติเห็นชอบการปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2566 ที่ได้เห็นชอบแนวทางการปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เสนอ

 

โดยข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจะได้รับการปรับอัตราเงินเดือนใหม่พร้อมกันในวันที่ 1 พ.ค. 2567 และวันที่ 1 พ.ค. 2568 โดยจะแบ่งกลุ่มผู้ที่ได้รับการปรับอัตราเงินเดือนออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

 

กลุ่มที่ 1 การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุทุกคุณวุฒิ เป็นกลุ่มของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่บรรจุใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2567 และ 1 พ.ค. 2568

กลุ่มที่ 2 การปรับเงินชดเชยผู้ที่ได้รับผลกระทบ เป็นกลุ่มของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งอยู่ก่อนวันที่อัตราเงินเดือนแรกบรรจุใหม่มีผลใช้บังคับ (วันที่ 1 พ.ค. 2567 และ 1 พ.ค. 2568) และได้รับอัตราเงินเดือนไม่เกินอัตราสูงสุดที่กำหนดให้ได้รับการปรับเงินเดือนชดเชยในแต่ละคุณวุฒิ

สำหรับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุทุกคุณวุฒิ จะทยอยปรับเพิ่มปีละ 10% ในปี 2567 และ 2568 และภายใน 2 ปี ผู้ที่บรรจุด้วยคุณวุฒิปริญญาตรีจะได้รับเงินเดือนไม่น้อยกว่า 18,000 บาท และปรับคุณวุฒิอื่น ๆ ให้สอดคล้อง ส่วนการปรับอัตราเงินเดือนชดเชยกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบจะดำเนินการปรับอัตราเงินเดือนจำนวน 2 ครั้ง พร้อมกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ โดยปรับชดเชยเงินเดือนข้าราชการที่เข้ารับราชการก่อนวันที่อัตราเงินเดือนแรกบรรจุที่กำหนดใหม่มีผลใช้บังคับและมีฐานเงินเดือนต่ำกว่าอัตราเงินเดือนแรกบรรจุที่กำหนดใหม่

โดยหลังจากนี้ สำนักงาน ก.ค.ศ. จะดำเนินการแจ้งอัตราเงินเดือนใหม่พร้อมหลักเกณฑ์และวิธีการฯที่เกี่ยวข้องไปยังส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ทั้งนี้ จะประกาศข้อมูลตัวเลขอัตราเงินเดือนใหม่ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทราบพร้อมกับการแจ้งปรับเงินเดือนข้าราชการพลเรือนของสำนักงาน ก.พ. ภายในเดือน เม.ย. 2567

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

ผบ.ทบ. ขอทุกภาคส่วนสร้างความมั่นคง ปลื้ม กอ.รมน. ขับเคลื่อนงานสังคม

 

เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 67 ที่ กอ.รมน. พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ.ในฐานะ รอง ผอ.รมน. ได้เป็นประธานการประชุม หน่วยขึ้นตรง กอ.รมน. ประจำเดือนมีนาคม 67 โดยมีคณะผู้บริหารระดับสูง พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผช.ผบ.ทบ.ในฐานะผช.ผอ.รมน., พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ เสธ.ทบ.ในฐานะ เลขาฯ กอ.รมน. ตลอดจนหัวหน้าหน่วยขึ้นตรง กอ.รมน. เข้าร่วมประชุมฯ ในขณะเดียวกัน ผอ.รมน.ภาค และ กอ.รมน.จังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วมประชุมผ่านระบบทางไกล

 

นางทศยาพร ดิเรกวุฒิ รองโฆษก กอ.รมน. กล่าวว่า ในช่วงแรกของการประชุม หน่วยขึ้นตรง กอ.รมน. ได้รายงานผลการปฏิบัติตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ได้มอบหมายให้ กอ.รมน. ดำเนินการขับเคลื่อนและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วยความคืบหน้าในการดำเนินการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบทหารกองประจำการแบบสมัครใจที่ผ่านมาพบว่ามียอดผู้สมัครเข้าร่วมโครงการในปีนี้สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

 

สำหรับการแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่ง และการแก้ไขไฟป่าหมอกควันขอให้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อมุ่งสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ส่วนการบริหารจัดการที่ดินของกองทัพให้ประชาชนใช้ประโยชน์ ปัจจุบันได้มีการจัดสรรที่ดินในความครอบครองของกองทัพให้ประชาชนใช้ประโยชน์แล้ว 2 พื้นที่ คือ ที่ดินของกองทัพบก หนองวัวซอ โมเดล จ.อุดรธานี และที่ดินของกองบัญชาการกองทัพไทย บริเวณบ้านแก่งประลอมและบ้านพุราด อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี มีประชาชนได้รับประโยชน์จำนวน 519 ราย โดย กอ.รมน. จะเร่งขยายผลการบริหารจัดการที่ดินในความรับผิดชอบของกองทัพเรือและกองทัพอากาศต่อไป

 

รอง ผอ.รมน. ได้มอบนโยบายแนวทางในการปฏิบัติงานในเรื่องการใช้งานยุทโธปกรณ์พิเศษในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเน้นย้ำการปฏิบัติงานให้เป็นเชิงรุกมากกว่าเชิงป้องกัน เพิ่มการเชื่อมโยงระบบยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและให้พิจารณาในส่วนของยุทโธปกรณ์ให้สามารถตอบสนอง และรองรับต่อภารกิจในปัจจุบันและอนาคตได้ เพื่อให้รองรับแผนที่จะมีการปรับลดกำลังพลด้านความมั่นคงภายในปี 2570 และเตรียมส่งต่อความรับผิดชอบงาน ให้มีการมอบอาสารักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทรวงมหาดไทย

การขับเคลื่อนงานด้านความมั่นคงในทุกมิติทั่วประเทศนั้นมีความสำคัญโดย รอง ผอ.รมน. ได้กำชับถึงบทบาทหน้าที่ของ รอง ผอ.รมน.จังหวัด ว่าต้องเป็นบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ โดยมีความเชี่ยวชาญ และสามารถประเมินวิเคราะห์สถานการณ์และปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ได้ รวมถึงบทบาทในการประสานงาน บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยให้ กอ.รมน. (ส่วนกลาง) จัดทำคู่มือเพื่อวางแนวทางการปฏิบัติงาน การประเมินผลงาน และกำหนดตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้มีการรับมอบและแบ่งมอบหน้าที่ให้กับ รอง ผอ.รมน.จังหวัด ได้อย่างชัดเจน และช่วยให้การปฏิบัติงานของ กอ.รมน. ในระดับจังหวัดมีประสิทธิผล ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ว่าราชการจังหวัดในการดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ส่วนสถานการณ์ชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน รอง ผอ.รมน. ขอบคุณ กอ.รมน.ภาค 3 และกองทัพ ที่มีส่วนสำคัญและช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งมอบความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ร่วมกับสภากาชาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศ ให้แก่ประชาชนเมียนมาผู้พลัดถิ่นด้วยความเรียบร้อย ถือเป็นบทบาทหน้าที่หนึ่งในการดูแลสันติภาพประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นการส่งความปรารถนาดีของประชาชนไทยต่อประชาชนเมียนมาทุกกลุ่มโดยไม่เลือกปฏิบัติ ในขณะเดียวกันเน้นย้ำให้ กอ.รมน. (ส่วนกลาง) ตลอดจนทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง เร่งสร้างการรับรู้ให้ข้อมูลกับสังคมในเรื่องต่างๆ ตลอดจนการประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ครบถ้วนให้กับประชาชนได้ทราบเพื่อลดทอนสิ่งที่ประชาชนเข้าใจผิดหรือมีความสงสัยในประเด็นต่างๆ

 

พล.อ.เจริญชัย ได้กล่าวขอบคุณ กอ.รมน. และเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความสำเร็จ จนได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลในการขับเคลื่อนและบูรณาการแก้ไขปัญหา

 

ทั้งนี้ ขอให้ กอ.รมน. ในบทบาทนักประสานงาน อำนวยการ ใช้กลไกการบูรณาการในการขับเคลื่อนแผนงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับสังคม และประเทศชาติ สุดท้ายนี้เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 2 เมษายน 2567 ที่ใกล้จะถึงนี้ ขอเชิญชวนกำลังพล ข้าราชการและประชาชนร่วมกันทำความดี ร่วมกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ที่จัดโดยส่วนราชการต่างๆ ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติฯ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงออกซึ่งความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รรท.ผบ.ตร. สั่งห้ามมีบ่อนทั่วประเทศถ้าพบในพื้นที่ไหน ‘เด้ง’ ทุกรายไม่มีการละเว้น

 
เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) สั่งการกำชับตำรวจทุกพื้นที่ ทุกหน่วยทั่วประเทศ ให้เร่งรัดปราบปรามอบายมุข การพนัน การกระทำผิดกฎหมายทุกรูปแบบ ซึ่งได้ประชุมเน้นย้ำกำชับผ่านผู้บัญชาการทุกหน่วยไปแล้ว โดยเฉพาะการปราบปรามบ่อนการพนัน ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีการปฏิบัติการจับกุมอย่างต่อเนื่อง
 
 
รรท.ผบ.ตร.สั่งการเน้นย้ำอีกครั้งให้ทุกหน่วยปราบปรามอย่างเข้มงวดจริงจัง เด็ดขาด และย้ำทุกพื้นที่ทั่วประเทศ หากปล่อยปละละเลยให้มีบ่อนการพนันในพื้นที่ หัวหน้าสถานีตำรวจในพื้นที่ต้องรับผิดชอบ โดยจะมีคำสั่งย้ายไปช่วยราชการทุกราย ไม่มีการละเว้น ถือเป็นการลงโทษในทางปกครอง และหากปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการเรียกรับ หรือได้รับผลประโยชน์จะต้องดำเนินการทางอาญาด้วย ถือเป็นข้อตกลงที่จะทำให้สำนักงานแห่งชาติเป็นที่ยอมรับของประชาชนอย่างแท้จริง
 
 
ดังนั้นขอให้ตำรวจทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม อย่างเด็ดขาด ทำตามนโยบายรัฐบาล และ รรท.ผบ.ตร.อย่างเคร่งครัด โดยจะสั่งการให้หน่วยปฏิบัติของส่วนกลางลงไปตรวจสอบด้วย
 
 
กรณีล่าสุดที่ตำรวจกองบังคับปราบปราม จับกุมบ่อนการพนันในพื้นที่ สน.พญาไท นั้น รรท.ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ออกคำสั่งให้ ผกก.สน.พญาไท มาปฏิบัติราชการที่ ศปก.น.1 แล้ว ถือเป็นตัวอย่างของการละเลยไม่ปฏิบัติตามนโยบาย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

พิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าลายสิริวชิราภรณ์”

 

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567 หอประชุมโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม อำเภอเมืองเชียงราย จ.เชียงราย นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าลายสิริวชิราภรณ์” และเครื่องหมายรับรองสินค้าแฟชั่นและหัตถกรรมพระราชทาน “Sustainable Fashion : แฟชั่นแห่งความยั่งยืน” ให้กับ แม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ประธานเครือข่ายพัฒนาสตรีจังหวัดเชียงราย รวมถึงช่างทอผ้า ช่างหัตถกรรม ผู้ผลิต ผู้ประกอบการในจังหวัดเชียงราย เพื่อนำไปสร้างสรรค์ชิ้นงาน พัฒนา ต่อยอด ตามอัตลักษณ์ ภูมิปัญญา ของแต่ละท้องถิ่น

.

ผ้าลายสิริวชิราภรณ์ ซึ่งเป็นลายที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้ทรงศึกษาค้นคว้าลวดลายผืนผ้าจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และทรงนำมาออกแบบลายพระราชทาน เนื่องในปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครบ 6 รอบ 72 พรรษา โดยมีลายพระราชทานหลักจำนวน 4 ลาย ได้แก่ ลายวชิรภักดิ์, ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ 2567, ลายหัวใจ และลายดอกรักราษฎร์ภักดีโดยพระราชทานแบบตั้งต้นไว้ 4 ประเภท ได้แก่ ประเภทผ้ากาบบัว ประเภทผ้ายก, จก, ขิด, แพรวา, ประเภทผ้ามัดหมี่ และประเภทผ้าบาติก ซึ่งกลุ่มทอผ้า กลุ่มผู้ผลิตผ้า กลุ่มงานหัตถกรรม สามารถนำลายพระราชทานหลัก ทั้ง 4 ประเภทนี้ ไปถักทอผสมผสานกับลวดลายภูมิปัญญาพื้นถิ่น เพื่อสร้างอัตลักษณ์ สืบสาน และต่อยอดภูมิปัญญา และงานหัตถศิลป์พื้นถิ่น ให้ดำรงคงอยู่คู่แผ่นดินไทยสืบไป

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

จ.เชียงราย ร่วมมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. ส่งเสริมผู้ประกอบการเยาวชน

 

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567 ที่ศูนย์การเรียนรู้ ซี.ซี.เอฟ.เชียงราย ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย ดร.บรรจงเศก ทรัพย์โสภา ผู้อำนวยการมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และนายไชยรัตน์ จินะราช รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 ร่วมกันลงนาม MOU

ภายใต้กิจกรรมส่งเสริมผู้ประกอบการเยาวชนในจังหวัดเชียงราย (ทักษะอาชีพเด็กในโรงเรียน) ระหว่าง มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 เพื่อร่วมกันส่งเสริมรูปแบบการศึกษาด้านธุรกิจและชมรมทักษะอาชีพในโรงเรียน เป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาวและยั่งยืนสำหรับเด็กและเยาวชนด้อยโอกาสที่แสวงหาทางเลือกอาชีพสำหรับอนาคต เพื่อให้นักเรียนมีความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพทางเลือก รวมทั้งปลูกฝังทัศนคติที่ดีต่ออาชีพที่มีคุณค่าให้กับนักเรียน ส่งเสริมให้ครูมีทักษะเป็นผู้ประกอบการในการขยายองค์ความรู้เพิ่มเติม สร้างรายได้เพิ่มและลดภาระค่าใช้จ่ายประจำวันของครอบครัว โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ และจัดตั้งกลุ่มอาชีพชมรมอาชีพเพื่อการสำรวจและปฏิบัติของรุ่นน้องในอนาคต โดยมี ผู้อำนวยการโรงเรียนและคณะผู้บริหาร บุคคลากรครู และทางมูลนิธิฯ ร่วมพิธีในครั้งนี้ด้วย

ดร.บรรจงเศก ทรัพย์โสภา ผู้อำนวยการมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชนฯ กล่าวว่า มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ถือเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนด้านการพัฒนาเด็ก ให้ความช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส จำนวน 34 จังหวัด 35 โครงการฯ มีเด็กในความดูแลของมูลนิธิฯ จำนวน 44,000 คนทั่วประเทศ ให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษา ทุนการศึกษาประจำปี ด้านสุขภาพ ส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะชีวิตและทักษะอาชีพแก่เด็กและเยาวชน

โดยครั้งนี้ทางมูลนิธิฯ ร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 จะดำเนินโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการเยาวชนในจังหวัดเชียงราย (ทักษะอาชีพเด็กในโรงเรียน) จำนวน 10 โรงเรียนในสังกัดพื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย งบประมาณจำนวนทั้งสิ้น 745,600 บาท (เจ็ดแสนสี่หมื่นห้าพันหกร้อยบาทถ้วน) ซึ่งโรงเรียนที่ได้รับการคัดเลือกสำหรับโครงการนี้ จำนวน 10 โรงเรียน โดยระยะเวลาดำเนินโครงการ 12 เดือน ได้แก่ 1. กลุ่มไส้อั่วยูนนานท้องถิ่นของโรงเรียนบ้านแม่หม้อ 2. พวงกุญแจผ้าทอชาวเขา โรงเรียนบ้านห้วยผึ้ง 3. คุกกี้ดอกไม้/ผ้าพิมพ์ลายใบไม้ ชุมชนศึกษา โรงเรียนบ้านแม่สะแลป 4. คุกกี้ชาเขียว/งาขี้ม่อน โรงเรียนบ้านกลาง 5. ผลิตภัณฑ์แกะสลักเลซิ่ง โรงเรียนพญาไพรไตรมิตร 6. ผลิตภัณฑ์ตุ๊กตาดินเผา โรงเรียนบ้านพญาไพร 7. คุ๊กกี้หว่านหอมแดง โรงเรียนบ้านจะตี 8. ของที่ระลึกจากเครื่อง CNC โรงเรียนดอยแสนใจ (ตชด.อนุสรณ์) 9. ของที่ระลึกจากเครื่องเลเซอร์ โรงเรียนบ้านปางมะหัน และ 10. หมอนรองคอ ผ้าปักชนเผ่า โรงเรียนบ้านมนตรีวิทยา

ดังนั้น มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ.เพื่อเด็กและเยาวชน มุ่งเน้นในการพัฒนาส่วนที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด  อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย จึงได้รับการคัดเลือกโดยพิจารณาจากความยากจน ความขาดแคลนในการดำรงชีวิต และความซับซ้อนทางสังคม โดยการแสวงหาความร่วมมือกับองค์กรภาคีเครือข่ายในพื้นที่ให้บรรลุเป้าหมายต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ไฮไลต์ ‘เบียนนาเล่ เชียงราย’ 6-7 เม.ย. 67 ดนตรีของ 10 ชาติพันธุ์

 

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567 นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า งานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 ประสบความสําเร็จอย่างดงามด้วยความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วน รวมถึงการสนับสนุนจากคนไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมาเที่ยวชมงานศิลปะที่จัดแสดงในสถานที่สําคัญซึ่งเชื่อมโยงแหล่งเที่ยวของจังหวัดเชียงราย ด้วยนิทรรศการหลักและกิจกรรมคู่ขนานที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนสิ้นสุดโครงการในวันที่ 30 เมษายน 2567

 

นายเสริมศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับกิจกรรมคู่ขนานสำคัญในช่วงปลายเดือนมีนาคม จนถึงช่วงต้นเดือนเมษายน 2567 ได้แก่

1) งาน “Chiangrai Cosplay summer meeting 2024” วันที่ 30 มีนาคม 2567 โดยกลุ่มเยาวชนคอสเพลย์เชียงราย (Chiangrai Cosplay Club) ซึ่งเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์และพัฒนาทักษะความสามารถด้านศิลปะของคนรุ่นใหม่ที่มารวมตัวกันสร้างสรรค์กิจกรรม พร้อมออกบูธจำหน่ายของสะสมและของที่ระลึก ณ บริเวณลานใต้ต้นจามจุรี หอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CIAM) 

 

2) ข่วง Crafts โดยจาก Craftsman Cafe & Spaces เครือข่ายศิลปะร่วมสมัยในจังหวัดเชียงราย ที่ตั้งใจเปิดพื้นที่ให้ผู้สร้างงานศิลปะได้มีโอกาสทำงานร่วมกัน โดยจัดกิจกรรมต่อเนื่องทุกวันเสาร์ – อาทิตย์แรกของเดือน นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 เป็นต้นมา เช่น กิจกรรม Workshop โดยสมาชิกศิลปินสมาชิก งาน Paint โมเดลจิ๋ว, การระบายสีน้ำ, งานผ้า และงานเพนต์ก้อนหิน โดยล่าสุดข่วง Crafts ร่วมกับ Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 และ สสส. จัดกิจกรรม “ปิดเทอมสร้างสรรค์ อัศจรรย์วันว่าง” เพื่อเปิดโอกาสการเรียนรู้ทางศิลปะให้แก่เยาวชนในช่วงปิดเทอมได้เข้าร่วม Class เรียนศิลปะสำหรับเด็ก เรียนรู้พื้นฐานเส้น การเล่นสี การวาดรูปและฝึกใช้จินตนาการสร้างผลงานศิลปะขั้นพื้นฐาน ในวันที่ 30-31 มีนาคม 2567 ณ Craftsman Cafe And Spaces หมู่บ้านลานทอง จังหวัดเชียงราย

 

นายเสริมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า 3) กิจกรรมไฮไลต์สำคัญ คือ เทศกาลดนตรีชาติพันธุ์ “กวาคีลา : เป่า ร้อง กลอง รำ เปิดโลกวิถีวัฒนธรรมดนตรีชาติพันธุ์เมืองเชียงราย” ซึ่งเป็นการแสดงดนตรีของ 10 ชาติพันธุ์เมืองเชียงราย ได้แก่ กลุ่มชาติพันธุ์ อาข่า อิ้วเมี่ยน ม้ง ลีซู ลาหู่ บาเกียว ปกาเกอะญอ ดาราอ้าง  คะฉิ่น ขมุ และลัวะ ในวันที่ 6-7 เมษายน 2567 ภายใต้ความร่วมมือของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.องอาจ อินทนิเวศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กิจกรรมการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยที่จะเนรมิตบรรยากาศของหอศิลป์   ร่วมสมัยเมือง เชียงราย (CIAM) ให้อบอวลไปด้วยเสียงดนตรีอันเป็นเครื่องมือสื่อสารวิถีวัฒนธรรม อันหลากหลาย จากกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยกิจกรรมทีน่าสนใจในเทศกาล  เช่น นิทรรศการให้ความรู้เรื่องดนตรีชาติพันธุ์ของแต่ละกลุ่ม การแสดงดนตรีพื้นเมืองจากวงดนตรีนักเรียน  ในจังหวัดเชียงราย การแสดงดนตรีจากวงดนตรีกลุ่มชาติพันธุ์ร่วมสมัย การเสวนาจากนักวิชาการด้านดนตรี การเสวนาจากปราชญ์ชาติพันธุ์ท้องถิ่น การออกร้านจำหน่ายอาหารและสินค้าของกลุ่มชาติพันธุ์ และกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้านชาติพันธุ์ โดยรอบบริเวณงาน ขอเชิญชวนคนรุ่นใหม่สายอาร์ตมาร่วมกิจกรรม Collateral Event เปิดมุมมองใหม่ ส่งเสริมเศรษฐกิจและภาคภูมิใจไปกับอัตลักษณ์ของเมืองเชียงราย ในงานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 ซึ่งยังคงจัดต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2567 นี้

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News