Categories
FEATURED NEWS

ธอส. ฉลองครบรอบ 70 ปี ปล่อยสินเชื่อใหม่ ได้แล้วกว่า 162,760 ล้านบาท

 

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ฉลองครบรอบสถาปนา 70 ปี ในการเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 4.4 ล้านครอบครัว ล่าสุด ณ วันที่ 19 กันยายน 2566 สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้สูงถึง 162,760 ล้านบาท คิดเป็น 70% ของเป้าสินเชื่อปล่อยใหม่ทั้งปี พร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐ ช่วยเหลือคนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมากขึ้น พร้อมออกโปรโมชันผลิตภัณฑ์ทางการเงินฉลองครบรอบ 70 ปี โดยได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก นำโดย สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ 6 เดือนแรกเพียง 0.70% ต่อปี, เงินฝากออมทรัพย์อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 7.70% ต่อปี, สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดขาลเพิ่มพูน ปี 2566 เพิ่มผลตอบแทนหน้าสลากเป็น 1.40% ต่อปี และบ้านมือสอง ธอส. ลดราคาสูงสุด 50% กว่า 500 รายการ พร้อมรับบัตรกำนัลแทนเงินสดมูลค่า 7,000 บาท ในงานมหกรรมบ้านมือสอง ธอส. ออนไลน์ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2566

นายกฤษณ์ เสสะเวช กรรมการธนาคาร และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสวันครบรอบสถาปนา 70 ปี ธอส. ในวันที่ 24 กันยายน 2566 ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ได้มีบทบาทในการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ผ่านการปล่อยสินเชื่อให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 4.4 ล้านครอบครัว และในปี 2566 ที่เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว ธอส. จึงยังคงมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ โดย ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2566 สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้กว่า 151,813 ล้านบาท จำนวน 121,016 บัญชี คิดเป็น 64.47% ของเป้าหมายสินเชื่อใหม่ในปี 2566 ที่ตั้งไว้ที่ 235,480 ล้านบาท ส่งผลให้เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2565 ธอส. มียอดสินเชื่อคงค้างรวมทั้งสิ้น 1,658,128 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.74% มีสินทรัพย์รวม 1,698,448 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.35% เงินฝากรวม 1,452,142 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.52% หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 71,389 ล้านบาท หรืออยู่ที่ 4.31% ของยอดสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 0.57% จากสิ้นปี 2565 ที่มี NPL อยู่ที่ 3.74% ของยอดสินเชื่อรวม โดยได้มีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่ 140,725 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ NPL สูงถึง 197.12% สะท้อนความมั่นคงและความพร้อมในการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต และมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 15.18% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด และล่าสุด ณ วันที่ 19 กันยายน 2566 ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้กว่า 162,760 ล้านบาท คิดเป็น 70% ของเป้าหมายสินเชื่อใหม่ในปี 2566 ส่วนสภาพคล่องในปัจจุบันเพียงพอเพื่อปล่อยสินเชื่อใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ธอส. ยังพร้อมดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล โดยจัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัย เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ผู้ด้อยโอกาส และผู้ที่เข้าไม่ถึงแหล่งทุน นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Loan) โดย ณ วันที่ 19 กันยายน 2566 ได้ปล่อยสินเชื่อ Green Loan จำนวนมาก อาทิ สินเชื่อบ้านอยู่เย็น เป็นสุข ปี 2566 มีลูกค้าได้รับสินเชื่อแล้ว จำนวน 6,170 บัญชี วงเงิน 8,514.02 ล้านบาท, สินเชื่อบ้านเบอร์ 5 ลูกค้าได้รับสินเชื่อแล้วจำนวน 270 บัญชี วงเงิน 519.22 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อ Green Loan สูงถึง 120.44% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7,500 ล้านบาท รวมถึงโครงการสินเชื่อเพื่ออาคารคาร์บอนต่ำ (Project Loan For Carbon Reduction Building) สำหรับผู้ประกอบการ ซึ่งธนาคารอนุมัติวงเงินกู้แล้วจำนวน 7 โครงการ วงเงินรวม 259.50 ล้านบาท คิดเป็น 28.83% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 900 ล้านบาท และอยู่ระหว่างดำเนินการพิจารณาสินเชื่ออีกจำนวน 9 โครงการ วงเงินรวม 850 ล้านบาท สะท้อนบทบาท ธอส. มุ่งสู่การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน (The Best Housing & Sustainable Bank) โดยให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อ Green Loan ต่อไป

ทั้งนี้ เพื่อสนองนโยบายของรัฐอย่างต่อเนื่อง และฉลองครบรอบวันสถาปนา 70 ปี ธอส. ได้จัดทำโปรโมชันสุดพิเศษสำหรับลูกค้า ทั้งด้านสินเชื่อ เงินฝาก สลากออมทรัพย์ และบ้านมือสอง ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างมาก  โดยเฉพาะสินเชื่อบ้าน 70 ปี ธอส. อัตราดอกเบี้ยต่ำคงที่นาน 3 ปีแรก โดยเดือนที่ 1 – 6 เท่ากับ 0.70% ต่อปี เดือนที่ 7 – 24 เท่ากับ 2.70% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ 3.70% ต่อปี หรือเฉลี่ย  3 ปีแรกเพียง 2.70% สำหรับลูกค้าที่ต้องการสินเชื่อเพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม หรือไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระต่อเดือนเพียง 3,500 บาท นานถึง 2 ปี!! ผลปรากฏว่า มีลูกค้าให้ความสนใจยื่นขอสินเชื่อแล้ว 5,555.76 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียง 9 วันเท่านั้น! ขณะเดียวกันสำหรับลูกค้าที่ขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านมือหนึ่งและบ้านมือสอง วงเงินขอกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ธอส.มอบโปรโมชันค่าธรรมเนียม โดยลดภาระค่าใช้จ่ายจากการที่ธนาคารรับภาระค่าธรรมเนียมแทนผู้กู้ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการจำนอง ในอัตรา 0.01% ของวงเงินจำนองและไม่เกินตามที่จ่ายจริง สำหรับลูกค้าที่ทำนิติกรรมแล้วเสร็จ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน – 30 พฤศจิกายน 2566 และค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ หรือห้องชุด ไม่เกิน 25% ของค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ หรือห้องชุด ทั้งนี้ ต้องไม่เกิน 0.25% ของวงเงินจำนอง สำหรับลูกค้าที่ทำนิติกรรมแล้วเสร็จ ตั้งแต่วันที่ 1 – 29 กันยายน 2566 (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด)

ด้านเงินฝากออมทรัพย์ครบรอบ 70 ปี ธอส. อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดสูงสุดถึง 7.70% ต่อปี โดยตั้งแต่วันที่เปิดบัญชีถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 0.70% ต่อปี และตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 กันยายน 2568 จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 7.70% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยรวมสูงถึง 2.43 – 2.53% ต่อปี บุคคลธรรมดาไม่เสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด)

ส่วนการจำหน่ายสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดขาลเพิ่มพูน ปี 2566 ผ่านช่องทาง Mobile Application : GHB  ALL GEN  และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หน่วยละ 1,000 บาท ฝากครบ 3 ปี รับผลตอบแทนหน้าสลากเพิ่มขึ้นอีก 0.25% ต่อปี หรือ สูงถึง 1.40% ต่อปี (เงื่อนไขรับผลตอบแทนเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) พร้อมกันนี้ ยังมีโอกาสลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่ารางวัลสูงถึง 2 ล้านบาท ทุกเดือนรวม 36 ครั้ง โดยมียอดจำหน่าย ณ วันที่ 19 กันยายน 2566 จำนวน 1,949.18 ล้านบาท และ บ้านมือสองฉลองครบรอบ 70 ปี ธอส. ที่มอบบัตรกำนัลแทนเงินสดมูลค่า 7,000 บาท สำหรับลูกค้าที่ซื้อทรัพย์บ้านมือสอง ธอส. ในงานมหกรรมบ้านมือสอง ธอส. ออนไลน์ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2566 (GHB ALL HOME ONLINE 2023) ผ่านทาง Application : GHB ALL HOME หรือเว็บไซต์บ้านมือสองของธนาคาร www.ghbhomecenter.com ระหว่างวันที่ 22 – 26 กันยายน 2566 จำนวน 14 รายแรก แบ่งเป็น ซื้อทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 7 รายแรก และทรัพย์ในเขตภูมิภาค 7 รายแรก ที่ทำสัญญาภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยในงานจะได้พบกับทรัพย์เด่นทั่วประเทศกว่า 500 รายการ ลดสูงสุดถึง 50% ของราคาประเมิน พร้อมรับสิทธิ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำสุด นานสูงสุดถึง 24 เดือน โดยผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ชาวประมงตะลึงย่างปลาประหลาด 3 สี ชาวเน็ตลั่น กินได้แน่เหรอ!!!

 

ชาวประมงตะลึงปลาประหลาด 3 สี นำมาย่างกินชาวเน็ตลั่น กินได้แน่เหรอ-คำตอบทำอึ้ง !!! ไม่เคยเห็นมาก่อน ชาวประมงตกปลาเจอปลาสีประหลาด เนื้อสีฟ้า ชาวเน็ตถกลั่น กินได้แน่หรอ-คำตอบชวนอึ้ง

เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานว่า นายโจ ชเมเลคชาวประมง เจ้าของบ้านพัก ‘เดอะลอดจ์ ออตเตอร์ โคเวอร์’ ในเมืองโฮเมอร์ รัฐอะแลสกา ได้โพสต์ภาพและข้อความผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย แบ่งปันประสบการณ์การตกปลาที่ได้ปลาประหลาดขึ้นมาตัวหนึ่ง โดยโพสต์ดังกล่าวกลายเป็นกระแสไวรัล ชาวเน็ตแห่แชร์ทั่วโลกออนไลน์ วันนี้เขาไปตกปลาและจับปลาประหลาดตัวนี้ได้ มันสีสันสะดุดตา ผิวหนังภายนอกเป็นสีแดงเข้ม มีลายจุดสีส้ม มองเห็นในปากและเหงือกเป็นสีฟ้าสด เมื่อแล่เนื้อปลาดูข้างในก็พบว่า เนื้อปลาเป็นสีฟ้าสดเช่นกัน แต่พอนำมันไปทอดเนื้อปลาจะเปลี่ยนเป็นสีขาวช่างน่าทึ่งจริงๆอย่างไรก็ตาม โพสต์ไวรัลดังกล่าว มีผู้เข้ามาแสดงความเห็นต่อโพสต์ของเขาจากประเทศต่างๆ เป็นจำนวนมากถึง 17 ประเทศ โดยมีผู้แสดงความทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 600 ข้อความ และส่วนใหญ่ก็แสดงความเห็นในทำนองว่า ไม่เคยพบปลาแบบนี้มาก่อนนอกจากนี้ นายโดนัลก์ อาร์เธอร์ นักชีววิทยาจากกรมประมงของอะแลสกา อธิบายเรื่องที่เนื้อปลามีสีฟ้าสดนี้ว่า เกิดจากเม็ดสีสีเขียวจากถุงน้ำดีชื่อว่า บิลิเวอร์ดิน (Biliverdin)

อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้ว่า ทำไมสัตว์จำพวกปลาจึงผลิตเม็ดสีแบบนี้ออกมา ซึ่งอาจเป็นไปได้จากเหตุผลหลายประการ เช่น เป็นผลลัพธ์จากการได้รับรังสียูวี จากอาหารที่พวกมันกินเข้าไป หรือมาจากพันธุกรรมทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สงสัยว่าปลานี้อาจมีพิษและไม่สามารถนำมารับประทานได้ นายชเมเลค ได้ตอบคำถามนี้ว่า มันเป็นปลาที่กินได้ ซ้ำยังอร่อยด้วย พร้อมกับแนบคลิปขณะปรุงอาหารให้ดูใต้โพสต์บนเฟซบุ๊กของเขา.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

รมว.เกษตรฯ รับปากจะช่วยแก้ไขให้ พี่น้องชาวประมงทั้ง 22 จังหวัด

 
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ติดตามการดำเนินงาน ณ ท่าเทียบเรือกัลปังหา และพบปะเกษตรกรเพื่อรับฟังปัญหา และติดตามสถานการณ์ พร้อมแก้ไขปัญหาด้านการเกษตร ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด

        ทั้งนี้ จังหวัดตราด เป็นจังหวัดชายแดนสุดฝั่งทะเลตะวันออก มีอาณาเขตด้านชายแดนติดกับประเทศกัมพูชาทั้งทางบกและทางทะเล มีความยาว 330 กิโลเมตร โดยทางบกติดกับทางจังหวัดของประเทศกัมพูชา ได้แก่ จังหวัดพระตะบอง จังหวัดโพธิสัต และจังหวัดเกาะกง ซึ่งมีแนวชายแดนธรรมชาติติดทิวเขาบรรทัด เป็นเส้นแบ่งเขตแดนตลอดแนวมีความยาว 165 กิโลเมตร และมีแนวอาณาเขตทางทะเลมีความยาว 185 กิโลเมตร โดยจังหวัดตราดเป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรสัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งทำการประมงที่สำคัญ ทั้งประมงพื้นบ้าน และประมงพาณิชย์ รวมทั้งพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั้งชายฝั่งและน้ำจืด ผลผลิตสัตว์น้ำของจังหวัดตราด มีมากกว่า 82,779 ตัน คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 5,599.80 ล้านบาท ผลผลิตจากการทำการประมง 55,643 ตัน มูลค่า 2,344.21 ล้านบาท ผลผลิตจากการเพาะเลี้ยง 27,136 ตัน มูลค่า 3,255.59 ล้านบาท

        สำหรับทะเบียนเกษตรกร มีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ.1) 1,317 ราย แบ่งเป็น กุ้งทะเล 476 ราย หอยทะเล 346 ราย ปลาน้ำจืด 317 ราย ปลาทะเล 125 ราย จระเข้ 14ราย สัตว์น้ำสวยงาม 3 ราย และสัตว์อื่น ๆ 36 ราย ผลผลิตจากการเพาะเลี้ยง 27,136 ตัน มูลค่า 3,255.59 ล้านบาท ทะเบียนผู้ประกอบการด้านการประมง (ทบ.2) 539 ราย ทะเบียนผู้ทำอาชีพทำการประมง (ทบ.2) 3,334 ราย เรือประมงพื้นบ้านที่มีทะเบียนเรือไทย จำนวน 3,379 ลำ ได้แก่ อวนติดตา อวนครอบหมึก อวนลอยปลากระบอก อวนจมปูม้า อวนลอยปลาทู และเรือประมงพาณิชย์ที่มีทะเบียนเรือไทย จำนวน 588 ลำ ได้แก่ อวนครอบปลากะตัก อวนลากแผ่นตะเฆ่ อวนลากคานถ่าง

        อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับปากจะช่วยแก้ไขปัญหาพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งมีความเข้มงวดและเป็นอุปสรรคต่อการทำประมงในปัจจุบัน โดยชาวประมงเสนอให้มีแนวทางบรรเทาผลกระทบในช่วงการเปลี่ยนผ่านของกฎหมาย และจะช่วยดูราคากุ้งตกต่ำ ทั้งกุ้งแวนนาไม กุ้งกุลาดำ และกุ้งก้ามกราม ซึ่งมีปัจจัยมาจากโรคระบาดและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ขอให้มั่นใจว่าจะร่วมแก้ปัญหาให้กับพี่น้องชาวประมงทั้ง 22 จังหวัด ที่มีพื้นที่ติดทะเล
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
BREAKING NEWS

ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 23 กันยายน 2566

คลิกที่ภาพ

ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 23 กันยายน 2566

1. “ก้าวไกล” เคาะ “ชัยธวัช” นั่งหัวหน้าพรรคคนใหม่

2. ไทยยังแรง ชนะ เกาหลีใต้ 3 เซตรวด ศึกวอลเลย์บอลหญิงคัดโอลิมปิก 2024

3. นายกเศรษฐา ท้าถอดเทป ไม่เคยพูดตั้ง #ทักษิณ เป็นที่ปรึกษา

4. ปิดแล้ว! SOL Bar สาขา เชียงใหม่ ร้านกาแฟก้าวไกล พร้อมเมนูใหม่ “กาแฟสีนวล”

5.ต่อศักดิ์ ลุยชายแดนตาก กวาดล้างวงจรซิม-สาย-เสา ตัดสัญญาณแก๊งคอล-เว็บพนัน

6. ไทยผลิต ซีรีส์วาย ส่งขายมากที่สุดในโลก ชี้เป็นหนังยกระดับ อุตสาหกรรมแห่งประชาธิปไตย

7. สี จิ้นผิงเปิด Asian Games ครั้งที่ 19 ที่หางโจว!


8.นาซาลุ้น ยาน ‘โอไซริส-เร็กซ์’ ใกล้ถึงโลก พร้อมหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู

9.สนามบินปารีสยึดกะโหลกลิงเกือบ 400 กะโหลก เตรียมส่งออกไปสหรัฐฯ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ไทย-เวียดนาม หารือความร่วมมือ ด้านการต่อต้านข่าวปลอม

 
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ดร.พวงเพ็ชร ชุนละเอียด) หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมวาระพิเศษในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนครั้งที่ 16 ณเมืองดานังประเทศเวียดนาม โดยหารือทวิภาคีไทย-เวียดนาม กับนายเหงียน มั่นห์ ฮุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสารสนเทศและการสื่อสารเวียดนาม ในประเด็นความร่วมมือด้านการต่อต้านข่าวปลอม ในฐานะที่เวียดนามเป็นผู้นำที่ริเริ่มข้อเสนอในการจัดตั้งคณะทำงานการต่อต้านข่าวปลอมในภูมิภาคอาเซียน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเด็นข่าวปลอม ถือเป็นปัญหาร่วมกันทั่วทุกประเทศในอาเซียน โอกาสนี้ประเทศไทย ได้ชื่นชมการดำเนินงานของประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะการเป็นผู้นำที่ริเริ่มข้อเสนอจัดตั้ง “คณะทำงานที่รับมือกับข่าวปลอม” ที่จะเป็นโมเดลทำงานร่วมกันได้อย่างต่อเนื่องในภูมิภาคอาเซียน
 
สำหรับประเทศไทย รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เช่นกัน โดยมีการดำเนินงานใน 2 ส่วน ส่วนแรก คือ การให้ความรู้กับประชาชน เน้นการรู้เท่าทันสื่อ แยกแยะข้อมูลข่าวสารว่าเป็นข่าวจริง หรือข่าวปลอม เพื่อสร้างสังคมที่มีภูมิรู้ ควบคู่ไปกับส่วนที่ 2 คือการออกกฎ ระเบียบ แนวปฏิบัติ เพื่อป้องกันการกระทำความผิด โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ อีกทั้งได้มีการชี้แจงประเด็น ข่าวปลอมและข้อมูลที่บิดเบือน ผ่านกลไกของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) และกรมประชาสัมพันธ์ จัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม www.antifakenewscenter.com/ ข่าวจริงประเทศไทย www.realnewsthailand.net/
 
ทางด้านเวียดนามก็มีกลไกการต่อต้านข่าวปลอม อาทิ การแถลงข่าวให้มากที่สุดเพื่อให้มีข่าวที่ถูกต้องน่าเชื่อถือมาสู้กับข่าวปลอม และมีการจัดตั้งเว็บไซต์กลางประเทศเวียดนามซึ่งคล้ายคลึงกับเว็บไซต์กลางประเทศไทยที่ได้จัดตั้งมาเพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่น่าเชื่อถือจากหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ
 
ทั้งนี้ ประเทศไทยและประเทศเวียดนามมีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันมายาวนาน ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ 47 และมีความร่วมมือกันในด้านสื่อสารมวลชน กับหน่วยสื่อของเวียดนามอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านวิทยุ โทรทัศน์ และสำนักข่าว เช่น สถานีวิทยุเวียดนาม (The Voice of Vietnam: VOV) / สำนักข่าวเวียดนาม (Vietnam News Agency: VNA) ที่ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสารสนเทศ และการแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างกัน ซึ่งทั้งสองประเทศจะร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิดในการต่อสู้กับข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือนและจะดำเนินนโยบายต่อต้านข่าวปลอมเพื่อสร้างประชาคมอาเซียนที่ยั่งยืนด้วยข้อมูลที่เชื่อถือได้ร่วมกัน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

จังหวัดชุมพร !!! จับสึกพระปลอม เสพยาบ้าเดินเรี่ยไรบนศูนย์ราชการ

 

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 20 กันยายน 66 นายธนนท์ พรรพีภาส ปลัดจังหวัดชุมพร ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ในศูนย์ราชการจังหวัดชุมพร ว่า ได้มีพระรูปหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่พระในจังหวัดชุมพร กำลังเดินเรี่ยไรเงินอยู่ในอาคาร จึงได้แจ้งให้ทาง นายนพพร มีสติ ป้องกันจังหวัดชุมพร พร้อมด้วย รอ.กอบศักดิ์ นาคหาญ หน.ชุดรวบรวมและตรวจสอบข่าวสาร กอ.รมน.(ชรต.403ชุมพร)เข้าตรวจสอบพบพระรูปดังกล่าวกำลังเดินเรี่ยไร อยู่บนชั้น 2 ของอาคารศูนย์ราชการจังหวัดชุมพร จึงได้ขอตรวจสอบทราบชื่อว่า พระวิชัย อายุ 28 ปี ที่อยู่ – หมู่ที่ 1 ตำบลนครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ โดยอ้างว่า ขอรับบริจาคเงินทอดกฐินสามัคคีให้กับสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ตำบลบางสวรรค์ อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยเพื่อหาทุนทรัพย์ ในการก่อสร้างศาลาโรงธรรม

แต่ทางเจ้าหน้าที่พบผิดสังเกตเนื่องจาก ขณะนี้อยู่ในห้วงของเข้าพรรษาและผิดข้อห้ามออกเรี่ยไร จึงได้นิมนต์มาที่วัดชุมพรรังสรรค์ พระอารามหลวง จ.ชุมพร พร้อมแจ้ง พระครูปลัด ศิริโชค สิริธมฺโม เจ้าอาวาสวัดปากคลอง ต.นาทุ่ง อ.เมือง จ.ชุมพร ในฐานะพระวินยาธิการ มาตรวจรายละเอียด ในเบื้องต้น พระวิชัย ไม่สามารถนำเอกสารหลักฐานใบสุทธิบัตรและบัตรประชาชนได้ มาแสดงต่อพระวินยาธิการและเจ้าหน้าที่ได้ ซึ่งการกระทำการของพระวิชัย ไม่สามารถยืนยันการอุปสมบทได้

จากการสอบถาม พระวิชัย อ้างว่า ได้ออกเดินทางมาจากที่พักแห่งหนึ่ง หมู่ที่ 8 ตำบลบางสวรรค์ อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 เวลา 07.00 น. โดยมีพระมาด้วยกัน จำนวน 8 รูปๆละ1 คัน โดยพระวิชัย ได้เดินทางมากับนายบอย (ไม่ทราบชื่อ สกุลจริง) อายุประมาณ 40 ปี คนขับ ด้วยรถยนต์กระบะ 4 ประตู ยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ สีดำ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ซึ่งเมื่อมาถึง จ.ชุมพร ได้ไปทำธุระบ้านพี่สาว แต่ไม่รู้ว่าอยู่บริเวณของจังหวัด เมื่อทำธุระเสร็จแล้ว นายบอย ได้พาส่งที่ศาลากลางจังหวัดชุมพร เพื่อออกไปเรี่ยไรรับบริจาค ในอาคารศาลากลาง

พระวินยาธิการ ได้พยายามติดต่อ นายบอย และเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ฯดังกล่าว แต่ไม่สามารถติดต่อผู้ใดที่จะให้การรับรองการเป็นพระของพระวิชัยฯได้ อีกทั้งจากการสอบถามพระวิชัย ยังให้การวกวนไปมา นายสุจินต์ สว่างศรี เจ้าพนักงาน ปปส. เลขที่ 620871 จึงได้ขอตรวจสอบสารเสพติดในร่างกาย ผลการตรวจเบื้องต้นพบว่า มีสารเสพติดประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า)

จึงประสาน พ.ต.ท.สกฤชญ สุขนิตย์ รอง ผกก สส.สภ.เมืองชุมพร พร้อมด้วย ร.ต.อ.ปิยพล ฉัตรภูมิ รอง สว.สส.สภ.เมืองชุมพร มาได้สอบปากคำ โดยพระวิชัย ยอมรับและให้รับสารภาพว่า ตนได้เสพยาบ้า มาจำนวน 2 เม็ด เมื่อวันที่ 17 กันยายน 66 ภายในสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งจริง และตนเองก็ไม่ใช่พระจริง แต่พระที่มาด้วยกันอีก 7 รูป คือพระจริง ที่มาจาก จ.นครสวรรค์ และ จ.อ่างทอง โดยตนเพียง โกนหัว แล้วห่มจีวร ทรงเครื่อง ก็ออกไปเรี่ยไรได้แล้ว ซึ่งงานเบารายได้ดี จากการตรวจสอบภายในย่าม พบเงินสดที่ได้จากการเรี่ยไร่ แยกเป็นธนบัตร 100 บาท จำนวน 1 ใบ ธนบัตร 20 บาท จำนวน 1 ใบ เหรียญ 10 บาท จำนวน 1 เหรียญ รวมเป็นเงินจำนวน 130 บาท

เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไป ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองชุมพร เพื่อดำเนินคดีในข้อหา กระทำความผิดฐาน แต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ , เรี่ยไรรับบริจาคเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต, เสพสารเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมฟาตามีน (ยาบ้า) เข้าสู่ร่างกายโดยผิดกฎหมาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมสื่อสารมวลชน ข่าว วิทยุและโทรทัศน์ (ประเทศไทย) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

12 สมาคมเปลี่ยนผ่านก้าวสู่ “สมาพันธ์สื่อมวลชนแห่งประเทศไทย”

 

เมื่อวันที่ 21 ก.ย.2566 เวลา 13.30 น. สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งปรเทศไทย ได้จัดงานครบรอบ   43 ปี และการเปลี่ยนผ่านองค์กรก้าวสู่ “สมาพันธ๋สื่อมวลชนแห่งประเทศไทย” โดยมี 12 ภาคีสมาชิกเข้าร่วมงาน ได้แก่ สมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, สมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย, สมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย, สมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย, สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย, สมาคมช่างภาพข่าวสื่อมวลชนแห่งประทศไทย, สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ, สมาคมนักข่าวช่างภาพกีฬาแห่งประเทศไทย, สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย. สมาคมผู้ลิตข่าวออนไลน์ และสมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย

นายมงคล บางประภา ประธานสมาพันธ์สื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ได้กล่าวรายงานการดำเนินกิจกรรมของสมาพันธ์ฯ ที่ผ่านมา มีการส่งเสริมการทำงานขององค์กรสมาชิก และสื่อมวลชน ตลอดจนส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนในภูมิภาคอาเซียนและจีน จากนั้น นายมานิจ สุขสมจิตร อดีตประธานสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งอาเซียน และอดีตประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้เป็นประธานกล่าวเปิดงานว่า มีควา่มยินดีและชื่นชมการทำงานของคณะกรรมการสมาพันธ์ฯและองค์กรภาคีสมาชิก ที่มีวิสัยทัศน์ในการทำงานและปรับตัวเข้ากับยุคสมัย รวมทั้งการจัดเสวนาหัวข้อ “ไทยในสถานการณ์ SDGs : บทบาทสื่อมวลชนควรเป็นอย่างไร” นับว่าทันสมัยเข้ากับช่วงที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ไปร่วมประชุมสมัชชาแห่งสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 ว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ย่ังยืน พร้อมกันนี้ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณต่างๆ

จากนั้นนายภากร ยังแจ่ม เลขาธิการสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้เชิญนายกสมาคมและผู้แทน 12 ภาคีสมาชิก ขึ้นเวทีเพื่อร่วมประกาศเจตนารมณ์ เปลี่ยนผ่านองค์กรก้าวสู่ “สมาพันธ์สื่อมวลชนแห่งประเทศไทย” โดยนายมงคล บางประภา ประธานสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เป็นผู้ประกาศเจตนารมรณ์การก้าวสู่ยุคใหม่  คือ 1.การส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการทำงานเกี่ยวข้องกับวิชาขีพสื่อสารมวลชน
2.ตระหนักรู้และรับผิดชอบต่อหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพ 3.ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพที่ทันต่อความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล และ 4.ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างองค์กรสื่อมวลชนนานาขาติ
หลังจากนั้น ผู้แทนทั้ง 12 องค์กรภาคีสมาชิก ได้ยืนจับมือประกาศเจตนารมณ์ ท่ามกลางเสียงปรบมือของสื่อมวลชนอาวุโส รุ่นเกลางและรุ่นใหม่ที่มาร่วมงานด้วยความชื่นชมยินดี

ต่อจากนั้น นายมานิจ สุขสมจิตร ประธานในงานได้เป็นประธานมอบโล่เกียรติคุณแก่องค์กรที่ให้การสนับสนุนการจัดงาน ได้แก่ นายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์, นางชาลอต โทณวณิก ที่ปรึกษาด้านสื่อสารองค์กร บริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรช่ัน จำกัด, น.ส.ศิรนุช โรจนเสถียร ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน), สถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส จัดถ่ายทอดไลฟ์สด และสามย่านมิตรทาน์ ฮอลล์ สถานที่จัดงาน
 
ช่วงที่สองของงาน ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล ที่ปรึกษาสมาพันธ์ฯ ได้เป็นผู้ดำเนินการเสวนาพิเศษ หัวข้อเรื่อง “ไทยในสถานการณ์ SDGs : บทบาทสื่อมวลชนควรเป็นอย่างไร”  โดยมีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ นายวันฉัตร สุวรรณกิต รองเลขาธิการ สภาพัฒนการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ นายธันยพร กริชติทายาวุธ ผู้อำนวยการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย(GCNT)  ส่วนผู้ร่วมเสวนาอีกคนได้แก่ ผศ.ชล บุนนาค  ผู้อำนวยการโครงการ SDG Move คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ส่งคลิปจากการไปร่วมประชุมว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ย่ังยืน ( SDG Summit) ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78  จากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ มาร่วมวงเสวนา ได้รับความสนใจจากผู้ฟังเป็นอันมาก

ต่อจากช่ววงเสวนาพิเศษ นายเทพชัย หย่อง อดีตประธานสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งอาเซียน ในฐานะ ประธานจัดการประกวด “ภาพข่าวอาเซียน ปี 2024” (CAJ Photo Contest 2024)ได้ขึ้นเวทีประกาศการจัดประกวด  “ภาพข่าวอาเซียน 2024” ภายใต้หัวข้อ “เปิดรับการท่องเที่ยวอย่างย่ังยืนผ่านเลนห์ของคุณ”
(Embrecing Sustainable Tourism Through Your Lens) ซึ่ง สมาพันธ์สื่อมวลชนแห่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการปรกวดในปี 2567 โดยคัดเลือกจากภาพที่นำเสนอในหนังสือพิมพ์และสื่ออนไลน์ และจะมีการประกวดคัดเลือกภาพในประเทศไทยด้วย

ช่วงสุดท้ายของงาน ได้มีพิธีมอบรางวัลเกียรติคุณแก่ “บุคคลผู้มีคุณูปการต่อสมาพันธหนังสือพิมพ์แหงประเทศไทย” ซึ่งคณะกรรมการสมาพันธ์ฯ ได้มีมติมอบรางวัลให้แก่ นายบัณฑิต รัชวัฒนะธานินทร์ อดีตบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ อดีตประธานสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งอาเซียน และอดีตนายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่มีคุณูปการต่อวงการสื่อมวลชนไทยและสื่อมวลชนอาเซียน

พร้อมกันนี้ได้มีการมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณบุคคล และองค์กรที่ให้การสนับสนุน  องค์กรภาคีสมาชิก สมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มอบให้ นายระวิ โหลทอง อดีตนายกสมาคมฯ, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มอบให้สภาทนายความ, สมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย มอบให้นายยุทธนา หยิมการุณ อดีตอธิบดีกรมสรรพสามิต, สมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย มอบให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, สมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย มอบให้กรมประชาสัมพันธ์, สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย มอบให้นายณัฏฐ์ ธีรณัฐสุภานนท์ ประธานมูลนิธิกองทุนพัฒนาการกีฬา สมาคมช่างภาพข่าวสื่อมวลชนแห่งประทศไทย มอบให้ ดร.ปราจิณ เอี่ยมลำเนา ประธานมูลนิธิช่างภาพสื่อมวลชน, สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ มอบให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), สมาคมนักข่าวช่างภาพกีฬาแห่งประเทศ มอบให้ นายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ มอบให้นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ที่ปรึกษาสมาคมฯ และสมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย มอบให้ มหาวิทยาลัยเกษตร ศาสตร์.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดตัว Integrity Hotline เครื่องมือเสริมความเชื่อมั่น

 

จากผลสำรวจของบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีระดับโลกชี้ให้เห็นว่า ผู้นำทางธุรกิจกว่า 97% เล็งเห็นความสำคัญของการแสดงออกถึงจุดยืนด้านการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล จริยธรรม และความรับผิดชอบ (integrity) ขององค์กร ซึ่งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร คณะกรรมการบริษัท และพนักงานในทุกระดับ ล้วนมีบทบาทสำคัญในการจัดการความเสี่ยงอย่างทันท่วงทีและร่วมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง

ในโอกาสนี้ ขอเชิญไปรู้จักกับ ‘Integrity Hotline’ หรือ ‘สายด่วนธรรมาภิบาล’ เครื่องมือการดำเนินงานสำคัญที่ช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงและยกระดับมาตรฐานด้านธรรมาภิบาลของทรู คอร์ปอเรชั่น

สร้างวัฒนธรรมการ Speak Up
การดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล นอกจากจะเป็นการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จที่สำคัญขององค์กรอีกด้วย ทั้งในด้านการรักษาชื่อเสียง การดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ไปจนถึงการทำให้ลูกค้า พนักงาน คู่ค้า และสังคมโดยรวม เกิดความไว้วางใจในองค์กรและแบรนด์

 

อย่างไรก็ดี การดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาลต้องอาศัยการบังคับใช้กฎเกณฑ์ที่เข้มข้น โมเดลบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและทันท่วงที และการกำหนดโครงสร้างองค์กรที่ส่งเสริมความเป็นอิสระและถ่วงดุลอำนาจ (check and balance) สูงสุด


ภายหลังการรวมธุรกิจ ทรูจึงเพิ่มระดับการดำเนินงานด้านธรรมาภิบาลให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น และได้พัฒนา Integrity Hotline เพื่อเป็นช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียนความประพฤติหรือการกระทำของพนักงานที่อาจละเมิดต่อหลักธรรมาภิบาล (Code of Conduct) ของบริษัท ซึ่งเปิดให้ทั้งพนักงานและบุคคลภายนอกสามารถมีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแสได้

 

ช่องทาง Integrity Hotline นี้เอง เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถนำหลักธรรมาภิบาลมาปฏิบัติจริงในองค์กร (Governance in action) พร้อมทั้งขับเคลื่อนวัฒนธรรมที่ส่งเสริมให้พนักงานทุกระดับมั่นใจและใช้ช่องทาง ‘speak up’ หรือรายงานสถานการณ์ที่ไม่ถูกต้องตามหลักจริยธรรม

 

Whistleblower หยุดยั้งวิกฤต

ก้าวสำคัญสู่การสร้างวัฒนธรรมการ speak up และธรรมาภิบาลที่ดีในองค์กรนั้น คือการให้ความมั่นใจแก่ผู้แจ้งเบาะแสหรือ ‘whistleblower’ ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยยับยั้งความเสี่ยง และจำกัดความรุนแรงที่อาจลุกลามเป็นวิกฤตได้อย่างทันท่วงที จากเหตุการณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันที่เกิดขึ้นในตลาดทุนล้วนเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงบทบาทของ whistleblower และความสำคัญของการมีช่องทางรายงานการละเมิดธรรมาภิบาลที่ไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแส

ปัจจุบัน ช่องทาง Integrity Hotline ของทรู มีผู้เชี่ยวชาญระดับโลกอย่าง EQS Group ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ชั้นนำของยุโรป เป็นผู้ให้บริการ ผ่านมาตรฐาน ISO 27001 ด้านความปลอดภัยของระบบสารสนเทศและข้อมูล มั่นใจได้ว่าข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแส หรือ whistleblower จะไม่ถูกเปิดเผยและได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม โดยผู้แจ้งเบาะแสสามารถเลือกได้ว่าจะเปิดเผยตัวตนหรือไม่ และระบบจะไม่เก็บข้อมูลผู้รายงาน ไม่ว่าจะเป็นรหัสพนักงาน รหัสของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการแจ้งเบาะแส หรืออีเมลก็ตาม


มั่นใจใน 4 ขั้นตอนค้นหาความจริง

ความเชื่อมั่น (trust) ยังถือเป็นแก่นสำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายมั่นใจได้ ตั้งแต่ระบบต้นทาง กระบวนการ การตีความ ความสมเหตุสมผล ไปจนถึงปัจจัยแวดล้อม ทรูจึงได้กำหนดกรอบการทำงานที่เข้มข้น ชัดเจน เป็นอิสระสูงสุด สอดรับกับเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และมาตรฐานระดับโลกอย่างดัชนี Dow Jones Sustainability Index (DJSI) โดยในกรณีที่มีการรายงานสถานการณ์หรือพฤติกรรมที่อาจละเมิดต่อหลักธรรมาภิบาลผ่าน Integrity Hotline ทรูจะมีการดำเนินงานใน 4 ขั้นตอนใหญ่ๆ ได้แก่

 

  • ขั้นตอนที่ 1 Risk assessment เป็นการประเมินความน่าเชื่อถือของการรายงานนั้นๆ เพื่อป้องกันการใช้ช่องทาง Integrity Hotline เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้ง

 

  • ขั้นตอนที่ 2 Categorization เมื่อประเมินแล้วว่ารายงานที่ได้รับนั้นมีความน่าเชื่อถือเพียงพอ ทางทีม Investigation จะมีการจัดชั้นความเสี่ยงของรายงานข้อกังวลนั้นตามนโยบายของบริษัท เพื่อบริหารจัดการตามความเหมาะสม โดยมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญดำเนินการตามแต่ละประเภทของความเสี่ยง

 

  • ขั้นตอนที่ 3 Fact-finding การตรวจสอบข้อเท็จจริง จะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการและพิจารณาโดยเฉพาะ และมีผู้เกี่ยวข้องกับประเด็นนั้นๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ โดยดำเนินงานภายใต้ความอิสระ รวมถึงในบางกรณีอาจมีผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกที่มีชื่อเสียงและเป็นอิสระมาดำเนินการ เพื่อป้องกันการเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน (conflict of interest) และเพิ่มความโปร่งใสในการปฏิบัติงาน

 

  • ขั้นตอนที่ 4 Filing report เมื่อพิจารณาข้อร้องเรียนเรียบร้อยแล้ว คณะทำงานจะส่งเรื่องต่อให้คณะกรรมการ DAC (Disciplinary Action Committee) เพื่อพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสม ในการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการทำงานให้ดีขึ้น รวมถึงพิจารณาบทลงโทษทางวินัย กรณีที่รายงานข้อกังวลนั้นเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานที่ไม่เป็นไปตามนโยบายบริษัท  

 

มาร่วมกันเป็นหูเป็นตาเพื่อสร้างธรรมาภิบาลที่ดีในองค์กรและตลาดทุน หากผู้ใดพบเห็นสิ่งผิดปกติ สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ https://truecorp.integrityline.com/  

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทรู คอร์ปอเรชั่น

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

บิ๊กโจ๊ก แจ้งข้อหาเหตุสลดโกดังพลุมูโนะ 16 เจ้าหน้าที่รัฐ รับสินบนละเลยหน้าที่

 

จากกรณีเมื่อวันที่ 29 ก.ค.66 เวลา 15.05 น. เกิดเหตุโกดังเก็บดอกไม้ไฟระเบิดที่บ้านมูโนะ หมู่ 1 ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ทำให้บ้านเรือนประชาชนที่อยู่บริเวณโดยรอบได้รับความเสียหายกว่า 649 หลังคาเรือน มีผู้เสียชีวิต 11 ราย ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 389 ราย มูลค่าความเสียหายมากกว่า 260 ล้านบาท ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สืบสวนหาสาเหตุของการเกิดเหตุระเบิดดังกล่าว รวมทั้งตรวจสอบการเก็บรักษาดอกไม้เพลิงดังกล่าว และดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนขยายผลหาแหล่งที่มา ที่เก็บดอกไม้ไฟที่เกี่ยวข้อง แหล่งจำหน่ายดอกไม้ไฟ และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดดังกล่าว ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก จำนวน 3 ราย คือ.

1. น.ส.ปิยะนุช (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี (เจ้าของโกดัง)
2. นายสมปอง (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี (ผู้ดูแลโกดัง)
3. นายปฐมพร (สงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี (ช่างรับเหมา)
ในความผิดฐาน กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัส และได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ, ร่วมกันทำ สั่ง นำเข้า หรือค้าซึ่งดอกไม้เพลิง โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานตามพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และร่วมกันก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ครบแล้วทั้ง 3 ราย โดยในคดีนี้ พนักงานสอบสวนได้มีการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องจำนวน 822 ปาก มีเอกสารในสำนวนมากกว่า 6,529 แผ่น โดยสรุปสำนวนการสอบสวนส่งอัยการจังหวัดนราธิวาสแล้วในวันที่ 18 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้

จากการสืบสวนพบว่า เหตุการณ์ระเบิดดังกล่าว ส่วนหนึ่งเกิดมาจากการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบการนำเข้า จำหน่าย และเก็บรักษาดอกไม้ไฟ บางรายมีการเรียกรับผลประโยชน์เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐรวม 16 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำนวน 4 ราย เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 4 ราย เจ้าหน้าที่ศุลกากร จำนวน 7 รายและเจ้าหน้าที่ทหาร 1 ราย ประกอบด้วย.

1. พ.ต.ท.สุพจน์ (สงวนนามสกุล)
2. จ.ส.ต.มาหาหมัดฟาโร (สงวนนามสกุล)
3. ส.ต.อ.สุทิน (สงวนนามสกุล)
4. ส.ต.อ.ต่วนอูเซ็น (สงวนนามสกุล)
5. ด.ต.รูสลาม (สงวนนามสกุล) ​นายก อบต.มูโนะ
6. นายซูกีปลี (สงวนนามสกุล)​รรท.ผอ.กองช่างฯ
7. น.ส.สุดสาย (สงวนนามสกุล)​ปลัด อบต.มูโนะ
8. น.ส.วิมล (สงวนนามสกุล)​นายทะเบียน
9. นายภัทรเทพ (สงวนนามสกุล)​นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
10. นายปรัชญา (สงวนนามสกุล)​นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
11. นายพนมชัย (สงวนนามสกุล)​นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
12. นายวรกานต์ (สงวนนามสกุล)​นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
13. นายรณกฤต (สงวนนามสกุล)​นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
14. นายพลวรรธน์ (สงวนนามสกุล)นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
15. นายสยุมภู (สงวนนามสกุล)​นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
16.จ.ส.อ. ชัยยะ (สงวนนามสกุล)

ดำเนินคดีในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหาย หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 16 ราย ได้รับมอบตัวและแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ดำเนินการส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.แล้วจำนวน 8 ราย อยู่ในระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีอีก 8 ราย
และกรณีการลักลอบจำหน่ายดอกไม้ไฟ เจ้าหน้าที่สืบสวนเพิ่มเติมทราบว่า ดอกไม้ไฟในโกดังที่เกิดเหตุ

ซึ่งผู้ต้องหาได้สั่งซื้อมานั้น มาจากผู้ค้าหลายรายทั้งในเขตพื้นที่จ.สงขลา กรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงได้เปิดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นเป้าหมายมากกว่า 17 จุด ซึ่งเป็นผู้ค้า และ ผู้นำเข้าดอกไม้ไฟ จากต่างประเทศ จึงได้ตรวจยึดของกลางเป็นดอกไม้ไฟมากถึง 9,596 ลัง ซึ่งเป็นของกลางที่ลักลอกนำเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย จากเครือข่ายจำนวน 7 บริษัท จากนั้นมีการลักลอบค้าและจำหน่ายดอกไม้ไฟให้กับสมปองฯโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ประกอบด้วย.

1. บ.โอเอ็นจี ทูเก็ตเตอร์ จำกัด
2. บ.ทีพีบี ไฟร์เวิร์ค จำกัด
3. ร้านเอเชีย คลองแงะ
4. บ.สุรเสียง (ประเทศไทย) จำกัด
5. บ.ไดมอนโดม จำกัด
6. บ.เคทูเค ไฟร์เวิร์ค จำกัด
7. บ.ทองทาดา จำกัด

โดยดำเนินคดีในความผิดฐาน ค้าดอกไม้เพลิง โดยฝ่าฝืนคำสั่งฯ, ไม่ได้ขออนุญาตในการค้าและการขนส่งดอกไม้ไฟ มีและนำเข้าซึ่งประทัดไฟโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งการดำเนินคดีกับทั้ง 7 บริษัท อยู่ในระหว่างการสอบสวน ซึ่งได้แจ้งข้อกล่าวหาและรับสารภาพ แล้วบางส่วน จะดำเนินการเสร็จสิ้นในสัปดาห์หน้าทั้งหมด ในส่วนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โกดังระเบิดดังกล่าวนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ประสานความช่วยเหลือจากหน่วยงาน 3 ส่วนด้วยกัน

1. ศอ.บต. สำหรับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอยู่ในระหว่างพิจารณาหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการ หากเข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ของ ศอ.บต.

2. กองทุนยุติธรรมจังหวัด ได้รวบรวมคำขอจากญาติผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บจำนวน 389 ราย อยู่ในระหว่างพิจารณาเรื่องค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา สำหรับผู้ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว หากเข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะได้รับความช่วยเหลือรายละ 200,000 บาทสำหรับผู้เสียชีวิต

3. โยธาจังหวัดนราธิวาส ในการให้ความช่วยเหลือเรื่องการซ่อมแซมบ้านเรือนของประชาชนที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด 649 หลัง อยู่ในระหว่างพิจารณาดำเนินการ

โดยจะได้งบประมาณจากกองทุนสำนักนายกรัฐมนตรี 100 ล้านบาท เงินบริจาคของพี่น้องประชาชนอีกจำนวนประมาณ 33.9 ล้านบาท เงินช่วยเหลือจากองค์กรเอกชนและส่วนราชการ 35.3 ล้านบาท รวมถึงงบประมาณในส่วนกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทยอีกจำนวนหนึ่ง
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้พี่น้องชาวมูโนะได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ท่าน ผบ.ตร.เห็นความสำคัญ จึงได้สั่งการให้ควบคุมดูแลการดำเนินคดีโดยละเอียดรอบคอบ ดังนั้นจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนขยายผลดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความเสียหายดังกล่าวทั้งหมด ขณะนี้สำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าวได้ดำเนินการจนเสร็จสิ้นแล้ว

นอกจากมีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการระเบิดจำนวน 3 รายแล้ว ได้มีการดำเนินคดีกับบริษัทที่จำหน่ายดอกไม้ไฟโดยฝ่าฝืนกฎหมายจำนวน 7 บริษัท และขยายผลดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จำนวน 16 ราย โดยจากนี้หากมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงกับบุคคลใดเพิ่มเติมอีก ก็จะนำตัวมาดำเนินคดีจนถึงที่สุดต่อไป นอกจากนี้ ยังได้ประสานงานติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว เบื้องต้นแต่ละหน่วยงานอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาหลักเกณฑ์เพื่อเร่งมอบเงินช่วยเหลือให้กับผู้เสียหาย เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูบ้านเรือนจากความสูญเสียดังกล่าวโดยเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ขับเคลื่อน 10 สุดยอดเที่ยวชุมชน ยลวิถี ปี 3 วัดพระธาตุผาเงา อ.เชียงแสน

 

วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2566 กระทรวงวัฒนธรรม คัดเลือกชุมชนคุณธรรมฯ วัดพระธาตุผาเงา (บ้านสบคำ) อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เป็น 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2566 เพื่อประกาศยกย่อง เชิดชูเกียรติ สร้างขวัญกำลังใจแก่ชุมชนและผู้ให้การสนับสนุนการขับเคลื่อน พร้อมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงกว้าง เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดและขยายผลความสำเร็จไปยังชุมชนที่ส่งเสริมการสร้างจิตสำนึกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้อยู่ดีมีสุข ดำรงชีวิตตามวิถีวัฒนธรรมที่ดีงาม ปลุกกระแสการท่องเที่ยววิถีชุมชน สร้างโอกาส สร้างรายได้ เสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน

 
ในวันนี้ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นางสาวกฤษยา จันแดง นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ พร้อมด้วยนางกัลยา แก้วประสงค์ และนางสุพรรณี เตชะตน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ ลงพื้นที่ปรึกษาหารือแนวทางการพัฒนาต่อยอด สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

กฤษยา จันแดง, กัลยา แก้วประสงค์ : รายงาน

สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย : ภาพ

อภิชาต กันธิยะเขียว : บรรณาธิการ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News