Month: August 2023
เตรียมดันอุตสาหกรรมอวกาศไทยสู่สากล
- Post author By Nakorn Chiang Rai News
- Post date August 14, 2023
วันนี้ 13 สิงหาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าความคืบหน้าโครงการดาวเทียม THEOS-2 ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจโลกดวงแรกของไทย มีการพัฒนาออกแบบโดยฝีมือคนไทย จะขึ้นสู่ห้วงอวกาศเป็นเวลา 3 ปี ขณะนี้ได้ประกอบและทดสอบเสร็จสิ้นแล้ว โดยคาดว่าจะถูกนำส่งขึ้นสู่อวกาศในช่วงเดือนกันยายน 2566 ณ ฐานปล่อยจรวดของเฟรนช์เกียนาในทวีปอเมริกาใต้ และดาวเทียมเล็ก THEOS-2A มีกำหนดการที่จะนำส่งขึ้นสู่อวกาศในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2566 เป็นต้นไป ณ ฐานปล่อยจรวดภายในศูนย์อวกาศสาธิต ธาวัน เมืองศรีหริโคตา ประเทศอินเดีย ทั้งนี้ กำหนดการสามารถเลื่อนได้ตามสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สถานะโครงการระบบดาวเทียมสำรวจพร้อมระบบภาคพื้นดิน และระบบแอปพลิเคชันภูมิสารสนเทศสำหรับโครงการระบบดาวเทียมเพื่อการพัฒนา THEOS-2 ประกอบและทดสอบเสร็จสิ้นแล้ว เก็บไว้ภายใต้สภาวะควบคุมสภาพแวดล้อม ณ Airbus Test Facility เมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส โดยคาดว่าจะปล่อยสู่วงโคจรได้ปลายเดือนสิงหาคม ถึงกันยายน 2566 ณ ฐานปล่อยจรวดในเมืองเฟรนช์เกียนาในทวีปอเมริกาใต้ และดาวเทียมเล็ก THEOS-2A ประกอบและทดสอบแล้วเสร็จ เก็บไว้ภายใต้สภาวะควบคุมสภาพแวดล้อม ณ อาคารประกอบและทดสอบแห่งชาติ AIT อุทยานรังสรรค์นวัตกรรม (SKP) อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี คาดว่าจะนำส่งขึ้นสู่อวกาศในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2566 เป็นต้นไป ณ ฐานปล่อยจรวดภายในศูนย์อวกาศสาธิต ธาวัน เมืองศรีหริโคตา ประเทศอินเดีย
รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ โดยดำเนินการเตรียมความพร้อมทางโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศหลายส่วนและมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับกิจการด้านอวกาศของประเทศ อาทิ สถานีควบคุมและรับสัญญาณดาวเทียมและการพัฒนาระบบปฏิบัติการดาวเทียมภาคพื้นดิน ระบบคลังข้อมูลจากดาวเทียมที่พร้อมใช้ ศูนย์ปฏิบัติการความเป็นเลิศและนวัตกรรมการบินและอวกาศที่ได้รับการรับรองคุณภาพและมาตรฐานสากล รวมถึงศูนย์ประกอบและทดสอบดาวเทียมแห่งชาติ หนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของประเทศ ตั้งอยู่ภายในอุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นศูนย์ที่มีความทันสมัยได้มาตรฐานสากล เพื่อรองรับการพัฒนาชิ้นส่วนอุปกรณ์ สร้าง ประกอบ และทดสอบดาวเทียม
รวมทั้ง รัฐบาลให้ความสำคัญของการพัฒนากำลังคน เพื่อรองรับการเติบโตของกิจการด้านอวกาศ ภายใต้โครงการ THEOS-2 ซึ่งหลังจากที่วิศวกรดาวเทียมของไทยจำนวน 22 คน ได้ไปฝึกฝน เรียนรู้ และลงมือปฏิบัติจริงอย่างเข้มข้น ณ สหราชอาณาจักร และกลับมาต่อยอดให้กับบุคลากรในประเทศ จะมีการดำเนินการต่อในเรื่องการสร้างวิศวกรใหม่ โดยการรับวิศวกรรุ่นใหม่ หรือที่มีความสนใจในการสร้างดาวเทียมมาร่วมทีมพัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับผู้ที่สนใจทั่วไป ทั้งภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัยและประชาชนทั่วไป และในอนาคตอันใกล้เรากำลังจะสร้างดาวเทียมดวงใหม่โดยฝีมือคนไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ในนาม “THEOS-3”
“พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ เพื่อขับเคลื่อนไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่น และมีแนวคิดที่ต้องการให้ไทยพัฒนาส่วนของเทคโนโลยีอนาคตเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งก็เพื่อการแข่งขันในโลกสมัยใหม่ เท่าทันวิวัฒนาการ และเพื่อความก้าวหน้าทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคม นำพาประเทศและประชาชนให้คุ้นชินกับอุตสาหกรรมอนาคต พัฒนาสู่ประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” นางสาวรัชดาฯ กล่าว
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี
- Tags THEOS -2
แลนด์บริดจ์ไทย อนาคตรองรับเรือ ขนส่ง 400,000 ลำต่อปี
- Post author By Nakorn Chiang Rai News
- Post date August 13, 2023
วันนี้ 13 สิงหาคม 2566 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องการขยายรากฐานเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อให้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งและการค้าของเอเชีย โดยได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาจัดทำโครงการเเลนด์บริดจ์ (LandBridge) ให้เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านคมนาคม เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ที่สำคัญหากเมื่อโครงการสามารถทำได้และสำเร็จ จะเป็นการเปลี่ยนทิศทางการขนส่งของโลกให้มาที่ไทย จนไทยกลายเป็นฮับทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้
ทั้งนี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) รายงานว่าปัจจุบันโครงการแลนด์บริดจ์ยังอยู่ในขั้นตอนศึกษาการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) โดยจะมีการจัดรับฟังความคิดเห็นครั้งแรกจากทั้งหมด 3 ครั้ง ในวันที่ 16-18 สิงหาคมนี้ในพื้นที่จ.ระนอง และจ.ชุมพร ซึ่งรัฐบาลมีความต้องการให้ได้ข้อมูลจากผู้ได้รับผลกระทบทุกฝ่ายอย่างครบถ้วน รอบด้าน และรอบคอบเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ จึงได้จัดรับฟังความคิดเห็นสำหรัลผู้ได้มีส่วนได้เสียและพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อลดผลกระทบโครงการ ตามวันและเวลาดังนี้
ท่าเรือระนอง
วันพุธที่ 16 สิงหาคม 2566 เวลา 08.30-12.00 น. จัดขึ้นที่ห้องราชาวดี ชั้น 3 เฮอริเทจ แกรนด์ คอนเวนชั่น อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง
วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 08.30-12.00 น. ที่ห้องประชุมอุทยานแห่งชาติแหลมสน ตำบลม่วงกลวง อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง
และท่าเรือชุมพร ในวันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 08.30 – 12.00 น. ที่ห้องอวยชัยแกรนด์บอลรูม ชั้น 2 โรงแรมอวยชัยแกรนด์ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร
สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกระนอง โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกชุมพร โครงการระบบรถไฟทางคู่ ช่วงชุมพร – ระนอง และโครงการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ช่วงชุมพร – ระนอง ซึ่งมีการคาดการไว้ว่าหากโครงการแล้วเสร็จ จะสามารถรองรับเรือขนส่งสินค้าที่เติบโตและหันมาใช้เส้นทางนี้กว่า 400,000 ลำต่อปีได้ในปี 2594 รวมถึงการพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้เป็นไปตามอุตสาหกรรมเป้าหมายด้วย
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ มุ่งมั่นวางรากฐานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมไทย ให้ทัดเทียมนานาประเทศ ผลักดันเชื่อมไทยสู่โลก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน การขนส่งสินค้าและบริการ การท่องเที่ยว กระจายความเจริญไปสู่ภาคใต้ และภาพรวมของประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อวางอนาคตที่ดีไว้ให้คนไทยทุกคน” น.ส.ทิพานัน กล่าว
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร
MOST POPULAR
FOLLOW ME
โครงการผ้าอ้อมผู้ใหญ่ครอบคุลมคนไทยทุกสิทธิแล้ว
- Post author By Nakorn Chiang Rai News
- Post date August 13, 2023
วันนี้ 13 สิงหาคม 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้บรรจุให้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับเป็นสิทธิประโยชน์บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. 2565 โดยได้ดำเนินการภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) ที่ สปสช.ร่วมดำเนินการกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดด้านกฎหมาย ทำให้ที่ผ่านมาโครงการได้ดำเนินการเฉพาะกลุ่มผู้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. ได้มีความพยายามแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าว เพื่อให้โครงการนี้ครอบคลุมผู้ป่วยติดเตียงและผู้มีปัญหาการกลั้นขับถ่ายทุกสิทธิ กระทั่งได้มีมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 66 ที่ยืนยันว่า สปสช. สามารถดำเนินบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้กับคนไทยทุกคน จึงมีผลให้ปัจจุบันโครงการผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิแล้ว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ทางด้านหลักเกณฑ์ต่างๆ ก็ได้มีออกมารองรับเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2566
ทั้งนี้ ภายหลังมีความชัดเจนทางกฎหมาย จะทำให้เจ้าหน้าที่ของ อปท. ซึ่งดำเนินการกองทุน กปท. เกิดความมั่นใจว่าการจัดทำโครงการผ้าอ้อมและแผ่นรองซับสามารถให้การดูแลให้ผู้ป่วยทุกสิทธิไม่เฉพาะผู้มีสิทธิบัตรทองเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ สปสช. อยู่ระหว่างการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ อปท. ทั่วประเทศที่มีการจัดตั้งกองทุน กปท. ที่ปัจจุบันมีอยู่ 7,753 แห่ง ร่วมจัดทำโครงการนี้เพื่อให้ดูแลผู้ป่วยได้ครอบคลุมมากขึ้น จากปัจจุบันที่มี อปท. จัดทำโครงการแล้ว 1,876 แห่ง รวม 2,295 โครงการ ดูแลผู้ป่วยทั่วประเทศอยู่ 44,667 คน
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับคุณสมบัติผู้ที่จะได้สิทธิตามโครงการนั้นจะต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง หรือ ผู้มีปัญหากลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ ไม่จำกัดอายุ โดยจะได้รับไม่เกิน 3 ชิ้นต่อคนต่อวัน ซึ่งปัจจุบัน สปสช. มีฐานข้อมูลผู้ป่วยติดเตียงและผู้มีปัญหาการกลั้นการขับถ่ายอยู่ประมาณ 50,000 คน ซึ่งในบางพื้นที่จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อไปยังครอบครัวและว่าผู้ป่วยได้รับสิทธิผ้าอ้อมผู้ใหญ่
แต่หากครอบครัวใดมีผู้ป่วยอยู่และยังไม่มีเจ้าหน้าที่ติดต่อไป ขอให้ดำเนินการแจ้งขอรับสิทธิโดยการโทรสายด่วน สปสช. 1330 เพื่อเจ้าหน้าที่รับเรื่องและส่งให้พื้นที่ดำเนินการตามขั้นตอน หรือติดต่อลงทะเบียนได้ ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หรือศูนย์บริการสารธารณสุขใกล้บ้าน (ไม่จำเป็นต้องเป็นที่อยู่ตามบัตรประชาชน) หรือที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือเทศบาล
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ผลไม้ไทยสู่ตลาดต่างประเทศ รัฐบาลผลักดันความร่วมมือไทย – ญี่ปุ่น
- Post author By Nakorn Chiang Rai News
- Post date August 13, 2023
วันนี้ 13 สิงหาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลส่งเสริมการส่งออกผลไม้ไทยสู่ตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยได้หารือร่วมกับหน่วยงานญี่ปุ่นเพื่อผลักดันการส่งออกส้มโอไทยทุกสายพันธุ์ พร้อมบูรณาการความร่วมมือทางวิชาการ พัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเกษตรและอาหาร ยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร ผ่านระบบการแสดงฉลากสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพบนสินค้าเกษตร (Functional Foods) เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรไทย
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ความคืบหน้าดังกล่าวเป็นผลจากการประชุม คณะอนุกรรมการพิเศษร่วมในความร่วมมือด้านความปลอดภัยอาหาร ภายใต้กรอบ JTEPA ครั้งที่ 13 เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของญี่ปุ่น ได้แก่ กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ สำนักงานกิจการผู้บริโภค และกระทรวงการต่างประเทศ โดยฝ่ายไทยจะเปิดตลาดการส่งออกส้มโอพันธุ์ขาวน้ำผึ้ง และส้มโอพันธุ์ทับทิมสยาม ขณะที่ฝ่ายญี่ปุ่นได้เตรียมอนุญาตนำเข้าส้มโอไทยทุกสายพันธุ์ จากเดิมที่อนุญาตให้นำเข้าเฉพาะส้มโอพันธุ์ทองดีจากไทย เมื่อปี 2555 โดยจะพิจารณายกเลิกมาตรการจำกัดสายพันธุ์ในการนำเข้าส้มโอของไทย และจะเร่งรัดจัดทำเงื่อนไขการส่งออกส้มโอทุกสายพันธุ์ของไทยไปยังญี่ปุ่นด้วยวิธีการอบไอน้ำ โดยคาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2567
นอกจากนี้ ฝ่ายญี่ปุ่นยังมีความเชื่อมั่นต่อระบบการกำกับดูแลการผลิตและบริหารจัดการการส่งออกส้มโอของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทย โดย มกอช. จะร่วมมือกับองค์กรวิจัยด้านการเกษตรและอาหารแห่งประเทศญี่ปุ่น (National Agriculture and Food Research Organization: NARO) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยหลักด้านการเกษตรของญี่ปุ่น เพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบมาตรฐานการแสดงฉลากสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพบนสินค้าเกษตร สำหรับสินค้าเกษตรสดและสินค้าเกษตรแปรรูปขั้นต้นของไทย พร้อมกับแลกเปลี่ยนการศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเกษตรและอาหาร สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับทั้งภาครัฐและผู้ประกอบการผลิต โดยไทยจะศึกษาต้นแบบจากญี่ปุ่นเพื่อขยายโอกาสการส่งออกให้กับสินค้าเกษตรเฉพาะถิ่น (Local ingredients) ด้วย
ทั้งนี้ ปัจจุบันส้มโอไทยสามารถขยายตลาดส่งออกได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 ไทยได้ส่งออกส้มโอชิปเมนท์แรก ไปจำหน่ายยังกรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา โดยเป็นส้มโอฉายรังสี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ทองดี พันธุ์ขาวใหญ่ พันธุ์ขาวน้ำผึ้ง และพันธุ์ขาวแตงกวา ขณะที่ตลาดญี่ปุ่นยังสามารถเพิ่มช่องทางการส่งออกได้อีกมาก เนื่องจากผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นมีกำลังซื้อสูงและมีประชากรกลุ่มผู้ดูแลรักษาสุขภาพและกลุ่มผู้สูงวัยจำนวนมาก โดยการแสดงฉลาก Functional Foods ที่แสดงถึงคุณค่าทางโภชนาการ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรไทย และสร้างความเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยและคุณภาพให้กับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
“ความคืบหน้าดังกล่าวสะท้อนความมุ่งมั่นดำเนินการของรัฐบาลที่ส่งเสริมผลไม้ไทยที่มีศักยภาพสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการผลไม้ ควบคุมคุณภาพการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน รวมทั้งพัฒนาขีดความสามารถในการส่งออก โดยใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และผ่านการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อเปิดโอกาสให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการของไทยได้มีช่องทางการค้าเพิ่มขึ้น เสริมสร้างให้เศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตได้อย่างมั่นคง” นางสาวรัชดาฯ กล่าว
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
MOST POPULAR
FOLLOW ME
สุดยอดเที่ยวชุมชน ยลวิถี “เมนูเมืองรวง ต้องมาลอง อร่อย ไม่ลวงตา
- Post author By Nakorn Chiang Rai News
- Post date August 8, 2023
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย
PDPC ติวเข้มสื่อมวลชน นําเสนอข่าวไม่ละเมิดสิทธิ์
- Post author By Nakorn Chiang Rai News
- Post date August 8, 2023
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส. : PDPC) จัดกิจกรรมเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับสื่อมวลชน ร่วมกับผู้ทรงวุฒิด้านกฎหมาย PDPA และกิจการสื่อ ให้ความรู้เรื่องการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนกับการละเมิด พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 สร้างแนวทางให้สื่อมวลชนสามารถนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างมีขอบเขต ไม่กระทบต่อบุคคลอื่น ไม่ละเมิดกฎหมาย PDPA และช่วยให้ประชาชนเข้าใจขอบเขตการทำหน้าที่สื่อมวลชน พร้อมรักษาสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของตนได้อย่างมีคุณภาพ
นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กรรมการผู้เชี่ยวชาญตามพ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ กล่าวว่า จากการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือที่รู้จักในชื่อกฎหมาย PDPA ที่ได้กระตุ้นให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจความสำคัญของข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งในฝั่งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลและฝั่งของผู้ที่มีหน้าที่นำเสนอข้อมูลเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ทำหน้าที่หรือกิจการ ‘สื่อมวลชน’ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการยกเว้นการบังคับใช้จากกฎหมาย PDPA ทั้งฉบับ
“การยกเว้นบังคับใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ ในสื่อมวลชน เป็นการยกมาจากรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าสื่อมวลชนมีสิทธิเสรีภาพในการที่จะแสดงออกและรายงานข่าว แต่ขณะเดียวกัน ตัวกฎหมาย PDPA ก็ได้กำหนดขอบเขตในการยกเว้นการบังคับใช้ไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้สื่อมวลชนละเมิดต่อการนำเสนอข้อมูลส่วนบุคคลอย่างผิดวัตถุประสงค์ โดยระบุว่าการยกเว้นนี้ จะยกเว้นให้เท่าที่เป็นไปตามจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพหรือเป็นประโยชน์สาธารณะเท่านั้น ดังนั้น ในทางกลับกัน หากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนนั้นไม่เป็นไปตามจริยธรรมฯ เกินความจำเป็น และไม่เกิดประโยชน์กับสาธารณชน สื่อมวลชนก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA และหากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ก็อาจมีความรับผิดทางแพ่ง มีโทษทางอาญาและทางปกครองได้เช่นเดียวกัน”
ด้าน นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า ตามประมวลจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่จัดทำโดยสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ได้ให้นิยามของคำว่า “สื่อมวลชน” หมายความว่า สื่อหรือช่องทางที่นำข่าวสาร สาร หรือเนื้อหาสาระทุกประเภทไปสู่ประชาชนเพื่อประโยชน์สาธารณะที่ขึ้นทะเบียนเป็นสื่อมวลชน โดยการขอใบอนุญาตหรือโดยการขึ้นทะเบียนเป็นสื่อมวลชนตามที่กฎหมายกำหนด อาทิ สื่อโทรทัศน์ที่ต้องได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. สื่อหนังสือพิมพ์ที่ต้องได้รับใบการจดแจ้งการพิมพ์ หรือสำหรับสื่อที่ทำเว็บออนไลน์ก็สามารถเข้าข่ายขอใบอนุญาตผ่านการจดชื่อโดเมนได้ ทำให้สื่อมีความแตกต่างจากกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์หรือกลุ่มคนที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก ที่ไม่เข้าข่ายยกเว้นจากกฎหมาย PDPA
“ประมวลจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนฯ มีการจัดทำและเผยแพร่ออกมาในปี 2564 หรือ 1 ปีก่อน พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งนับเป็นเนื้อหาที่มีการรองรับกับกฎหมาย PDPA ได้โดยเฉพาะ จึงกลายเป็นแนวทางให้สื่อมวลชนสามารถนำเสนอข่าวได้โดยไม่เกิดผลกระทบต่อบุคคลอื่น เพราะตามจริยธรรมแล้วทุกการนำเสนอข่าวจากสื่อมวลชนจะต้องมีความครบถ้วน เป็นธรรม รวมถึงต้องมีมาตรการจัดการที่เป็นธรรมกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล นั่นคือหากมีบุคคลได้รับผลกระทบจากการนำเสนอข่าว คน ๆ นั้นจะสามารถแจ้งต่อสื่อมวลชนเพื่อลบข้อมูลที่ไม่ต้องการเผยแพร่ได้ ทั้งนี้ ตัวสื่อมวลชนเองก็ต้องมีการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Security) เพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Breach) รวมถึงเพื่อป้องกันการเกิดช่องโหว่ปล่อยให้มีคนนำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นไปใช้ได้”
ทั้งนี้ นายไพบูลย์ ยังได้เสริมเพิ่มเติมว่า สิ่งที่กฎหมาย PDPA ให้การยกเว้นในกิจการสื่อมวลชน ยังรวมถึงงานศิลปกรรมหรือวรรณกรรมอันเป็นไปตามจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพหรือเป็นประโยชน์สาธารณะเท่านั้น แปลว่าภาพถ่ายประกอบการนำเสนอข่าวจึงไม่เป็นการละเมิด PDPA ยกเว้นว่าภาพถ่ายนั้นไม่ได้สร้างประโยชน์ต่อสาธารณะ สร้างผลกระทบกับบุคคลอื่น ถูกนำไปใช้ทางการตลาดหรือแสวงหาผลกำไร จึงจะนับว่าภาพถ่ายนั้นละเมิดต่อกฎหมาย PDPA หรือในกรณีที่นำเสนอข่าวโดยใช้ภาพถ่ายหรือวิดีโอจากบุคคลอื่น สื่อมวลชนต้องระมัดระวังเรื่องการปกปิดตัวตนบุคคลในภาพและต้องอ้างอิงถึงแหล่งที่มาเนื้อหานั้นด้วย เพื่อป้องกันการฝ่าฝืนหรือละเมิดกฎหมาย PDPA รวมถึงกฎหมายหมิ่นประมาทและ กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ไปในตัว
สามารถติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและดูแลข้อมูลส่วนบุคคลได้ทาง Facebook : PDPC Thailand หรือโทร. 0 2142 1033, 0 2141 6993
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
MOST POPULAR
FOLLOW ME
“300 อินฟลูเอนเซอร์อาสา” ร่วมเป็นกระบอกเสียงโครงการเพื่อสังคม
- Post author By Nakorn Chiang Rai News
- Post date August 8, 2023
Tellscore จับมือ มูลนิธิเพื่อ“คนไทย” และ “ร้อยพลังสร้างสังคมดี” จัดกิจกรรม Help You, Help Me หนึ่งในโครงการ Influencer for Change นับเป็นปีที่ 4 สนับสนุนสื่ออินฟลูเอนเซอร์ 300 คน สำหรับโครงการเพื่อสังคม 6 โครงการที่ได้รับรางวัล
ดังที่ทราบกันว่า หนึ่งในตัวช่วยสำคัญและนับเป็นทรัพยากรที่ภาคประชาสังคมผู้ขับเคลื่อนงานพัฒนาความยั่งยืนมีความต้องการก็คือ “สื่อ” เพื่อเป็นเครื่องมือระดมความช่วยเหลือจากประชาชนจำนวนมาก “สื่อบุคคล” หรือ “อินฟลูเอนเซอร์” นับเป็นอีกตัวอย่างช่องทางการสื่อสารที่ทรงพลัง นี่คือที่มาของกิจกรรม Help You, Help Me : Influencer for Change โครงการสรรค์สร้างสังคมที่บริษัท เทลสกอร์ จำกัด (Tellscore) หนึ่งในผู้นำ Influencer Marketing ของประเทศไทยได้ก่อตั้งขึ้นร่วมกับมูลนิธิเพื่อ“คนไทย” และ“โครงการร้อยพลังสร้างสังคมดี” เพื่อเชิญชวนและสนับสนุนให้สื่ออินฟลูเอนเซอร์ในระบบเทลสกอร์ มาเป็นอาสาสมัครสื่อสารโครงการเพื่อสังคมของภาคีเครือข่าย โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ
กิจกรรม Help You, Help Me เริ่มครั้งแรกเมื่อปี 2563 สู่ปีที่4 ในปีนี้ มีหน่วยงานภาคสังคมส่งโครงการมารับการพิจารณารางวัลสื่ออินฟลูเอนเซอร์มากกว่า 50 โครงการ และมีโครงการที่ได้รับรางวัลแล้วมากกว่า 20 โครงการ โดยแต่ละปีเทลสกอร์ได้เชื่อมต่อและสนับสนุนอาสาสมัครสื่ออินฟลูเอนเซอร์ในระบบให้โครงการที่ได้รับรางวัลๆ ละ 50 คน ปีละ 6 โครงการ หรือ 300 คนต่อปี รวมจำนวนทั้งสิ้นกว่า 1,000 คน ไม่รวมอีกกว่า 3,000 คนที่ได้อาสาเป็นกระบอกเสียงช่วงวิกฤติโควิด-19 นับเป็นความร่วมมือที่ขาดคนสำคัญอย่างอินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้ และยังเป็นการสร้างกระบวนการที่ภาคสังคมสามารถเรียนรู้หลักการสื่อสารโดยการใช้สื่อบุคคล และเรียนรู้การใช้ระบบเทลสกอร์ ไว้สานต่อด้วยตัวเอง
สำหรับโครงการ Help You, Help Me season 4 เพิ่งจัดไปเมื่อเร็วๆ นี้ นั้น ได้รับความสนใจจาก 21 องค์กรภาคสังคมร่วมนำเสนอโครงการ ทั้งนี้ โครงการที่ได้รับรางวัลสื่ออินฟลูเอนเซอร์ 6 โครงการ ได้แก่ 1) Dots Coffee ร้านกาแฟที่ให้บริการโดยคนพิการทางสายตาร้านแรกและร้านเดียวในโลก www.dotscoffee.com 2) insKru Collection 2023 พื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอนhttps://new.inskru.com/idea-library/ 3)โรงเรียนจิตศึกษาพัฒนาปัญญาภายใน หรือโรงเรียนนอกกะลา https://www.lamplaimat.ac.th/ 4) Money Genius ปลดหนี้ 4 ภาค https://geniusschoolthailand.com/ 5) หัวใจมีหู : สร้างพื้นที่ปลอดภัย สร้างพื้นที่รับฟังด้วยใจ https://www.satiapp.co/ 6) Local Heroes Funds ท่องเที่ยวชุมชน https://localalike.com/
คุณวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อ “คนไทย” กล่าวว่า งานครั้งนี้มีตัวแทนและหน่วยงานด้านสังคมที่ขับเคลื่อนงานหลากหลายประเด็นเข้าร่วม เช่น ประเด็นการศึกษา เด็กและเยาวชน โรงเรียน สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ธรรมาภิบาล แม้กระทั่งเรื่องสัตว์ ฯลฯ แต่ละประเด็นนับเป็นเรื่องสำคัญในสังคม ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินกว่าที่ใครคนใดคนหนึ่งจะรับผิดชอบดูแลได้ ต้องอาศัยทุกคนช่วยกัน และต้องอาศัยคนอีกจำนวนมากมาช่วยกันดูแลสังคม สร้างสังคมของเราให้เข้มแข็ง เป็นสังคมที่ดี ที่น่าอยู่ ดังนั้น ในกระบวนการหนึ่งที่จะทำให้ความตั้งใจดีๆ สิ่งดีๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้น ต้องอาศัยกลไกการสื่อสารบอกกล่าวเชิญชวนเพื่อนอีกจำนวนมาก เพื่อจะมาทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคมร่วมกัน
คุณสุวิตา จรัญวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทลสกอร์ จำกัด กล่าวว่า โครงการ Help You, Help Me จะได้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ซึ่งพลังสูงมากมาทำคอนเทนต์ และเทลสกอร์เป็นเอเจนซี่ที่มีความรู้ด้าน Digital Boosting Media สามารถช่วยใส่เขี้ยวเล็บให้กับแต่ละโพสต์ ช่วยสร้างเอ็นเกจเมนต์ และ เพอร์ฟอร์แมนซ์ให้ดียิ่งขึ้น เช่น ถ้ามีการระดมทุน หรืออยากได้สมาชิกไปทำอาสาสมัครต่างๆ เราหวังว่ากิจกรรมเหล่านี้จะบรรลุผลมากขึ้นจากการกระจายข่าว
“ทั้ง 21 โครงการที่ร่วมงานนี้ทำให้เทลสกอร์มีความรู้เพิ่มขึ้น โดยความรู้เหล่านี้เราจะถ่ายทอดต่อให้น้องๆอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งหลังจากนี้จะเป็นกระบวนการทำซ้ำที่ไม่มีวันจบสิ้น กลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ก็จะได้รับแรงบันดาลใจจากโครงการของภาคสังคม เขาก็จะชักชวนเพื่อนๆ เข้ามาเป็นจิตอาสาเพิ่มเติมอีกเรื่อยๆ” คุณสุวิตากล่าว
ด้านคุณมาวิน ทวีผล Foodie Influencer ชื่อดัง ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 3 ล้านคนบนโซเชียลมีเดีย ในฐานะแขกรับเชิญพิเศษที่ได้มาแบ่งปันประสบการณ์การทำคอนเทนต์ช่วยเหลือสังคม และเป็นกำลังใจให้กับภาคีเครือข่ายเพื่อสังคมในกิจกรรมนี้ ได้แสดงความคิดเห็นว่า คนไทยต้องช่วยกัน คนเดียวเป็นไปไม่ได้ ต้องไปด้วยกันทุกคน ทุกคนไม่ได้เก่งเหมือนกันหมด
“ทุกร้านที่ผมไปกิน จริงๆ มันแค่หนึ่งมื้อธรรมดาของผมแต่เป็นมื้อพิเศษของร้านเขา เพราะผมจะทำคอนเทนต์ให้เขา ไม่มากก็น้อย คนจะตามไปหาเขา ผมว่ามันก่อเกิดประโยชน์ให้เขามาก โครงการดี ผมเป็นกระบอกเสียง ต้องช่วยกันเพื่อนำสังคม ทั้งอินฟลูเอ็นเซอร์ ทุกคนต้องช่วยกันหมด ทางเทลสกอร์มีอินฟลูเอนเซอร์ที่พร้อมซัพพอร์ตเยอะมาก เราต้องไปด้วยกันได้ ขอให้ทุกคนทำโครงการดีๆต่อไปทางเทลสกอร์จะซัพพอร์ตแน่นอน แล้วเดี๋ยวประชาชนจะเห็นกว้างมากขึ้น เป็นคลื่นที่กระเพื่อมแรงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผมเชื่อแบบนั้น”
กิจกรรม Help You, Help Me นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือหน่วยงานเครือข่ายเพื่อสังคมประชาสัมพันธ์โครงการ และแคมเปญดีๆ ด้วยสื่ออินฟลูเอนเซอร์แล้ว ยังเป็นการสนับสนุนให้เกิดกระบวนการเรียนรู้การสร้างกระบอกเสียงได้ด้วยตัวเอง ช่วยขยายผล และต่อยอดแคมเปญอันหลากหลายนี้สู่การรับรู้ของสาธารณะในช่องทางดิจิทัล ช่วยนำเสนอแนวคิดการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม โดยเฉพาะกับหน่วยงาน หรือองค์กร ทั้งภาครัฐ และเอกชน ที่ต้องการทำโครงการเพื่อสังคม และยังเป็นการพัฒนาสังคมในทุกด้านอย่างยั่งยืน
สำหรับผู้สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกระบอกเสียงเพื่อช่วยเหลือหน่วยงานภาคสังคม แค่เพียงมีช่องทางในโซเชียลมีเดีย ไม่จำเป็นต้องเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ก็สามารถร่วมเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงที่มีความหมาย และต่ออายุให้ภาคสังคมได้มากกว่าที่คิด สามารถเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ ติดต่อ contact@tellscore ระบุ “โครงการ Help You, Help Me”
สำหรับหน่วยงาน หรือองค์ใดที่ต้องการต่อยอดแนวคิดการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://helpyouhelpme.tellscore.com/ หรือหากต้องการคำปรึกษาด้านการตลาดอินฟลูเอนเซอร์สำหรับโครงการต่างๆ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://tellscore.com
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มูลนิธิเพื่อ “คนไทย”
รัฐบาลโปรโมทความสำเร็จโลจิสติกส์กลไกเชื่อมภูมิภาคอาเซียน
- Post author By Nakorn Chiang Rai News
- Post date August 6, 2023
วันนี้ 6 สิงหาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นผลให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมแก่อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ทั้งนี้ รัฐบาลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดงานแสดงสินค้าโลจิสติกส์ TILOG-LogistiX 2023 ระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม 2566 ณ อาคาร 98 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เพื่อเป้าประสงค์ในการสร้างเครือข่ายพันธมิตร จับคู่ทางธุรกิจของผู้ให้บริการ และผู้ใช้บริการโลจิสติกส์ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงพัฒนาศักยภาพผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ทั้งภาคการผลิต ภาคบริการ และภาคการส่งออก ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งานแสดงสินค้าโลจิสติกส์ TILOG – LOGISTIX 2023 เป็นความร่วมมือของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กับบริษัท RX Tradex และภาคเอกชน ภายใต้แนวคิด “Smart and Green Logistics for Sustainable Tomorrow : ขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่อนาคตสีเขียวด้วยโลจิสติกส์อัจฉริยะรักษ์โลก” เพื่อเป็นเวทีแสดงศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน ให้เป็นที่ยอมรับในเวทีการค้าโลก โดยมุ่งเน้นการปรับตัวในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยเทคโนโลยีโลจิสติกส์ยุคใหม่ พร้อมกระตุ้นให้ผู้ประกอบการตื่นตัว และให้ความสำคัญกับการปรับตัวภายใต้แนวคิดเรื่อง Green โดยในงานนี้มีผู้จัดแสดงกว่า 415 แบรนด์ จาก 25 ประเทศทั่วโลก ซึ่งคาดการณ์ว่า จะมีผู้เข้าชมงานกว่า 9,000 ราย พร้อมตั้งเป้ามูลค่าเจรจาทางธุรกิจกว่า 4,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์โลจิสติกส์ยุคดิจิทัล ที่ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ เช่น ระบบวางแผนและจัดการเส้นทางการขนส่งสินค้า ระบบการจัดการคลังสินค้า การรักษาความปลอดภัย รวมทั้ง ระบบคลังสินค้าอัจฉริยะที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ หุ่นยนต์หยิบสินค้าที่เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระทุกแนวในคลังสินค้า และหุ่นยนต์คัดแยกสินค้าและระบบสายพานลำเลียง รถโฟล์คลิฟท์ ที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรีลิเธียม เป็นต้น
โดยปัจจุบันรัฐบาลมีแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) เพื่อให้ระบบโลจิสติกส์เป็นกลไกที่สำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นประตูการค้าที่สำคัญในอนุภูมิภาคและภูมิภาค ประกอบไปด้วย 5 แนวการพัฒนา ดังนี้
1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก
2. การยกระดับมาตรฐานและเพิ่มมูลค่าโซ่อุปทาน
3. การพัฒนาพิธีการศุลกากร กระบวนการนำเข้า – ส่งออกที่เกี่ยวข้อง และการอำนวยความสะดวกในการขนส่งระหว่างประเทศ
4. การพัฒนาศักยภาพผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย
5. การส่งเสริมวิจัยและพัฒนานวัตกรรม การพัฒนาบุคลากร และการติดตามผลด้านโลจิสติกส์ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) เเห่งสหประชาชาติด้วย
“นายกรัฐมนตรีมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาโครงสร้างของประเทศให้มีศักยภาพเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก ซึ่งเมื่อประกอบกับข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของประเทศ เชื่อมั่นว่าไทยจะก้าวเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค การจัดงานดังกล่าว จะเป็นโอกาสดี เอื้อต่อการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางเศรษฐกิจ การค้า และเพิ่มจำนวนการลงทุนในประเทศ รองรับขีดความสามารถและความพร้อมในการแข่งขันต่อไป” นางสาวรัชดาฯ กล่าว
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี
- Tags รัฐบาล, โลจิสติกส์
“ประยุทธ์” หนุนศึกษาสร้างฐานปล่อยยานอวกาศ หลังพบไทยมีศักยภาพ
- Post author By Nakorn Chiang Rai News
- Post date August 6, 2023
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้เน้นย้ำให้ศึกษารายละเอียดรอบด้าน อย่างรอบคอบและระมัดระวังที่สุด ทั้งความคุ้มค่าและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอื่น ทั้งนี้ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้เริ่มศึกษาความเป็นไปได้ตั้งแต่ปลายปี2565 ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาศึกษาอีกประมาณ 1-2 ปี โดยเบื้องต้นพบว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่มีความเหมาะสมถึง 5 คุณสมบัติ ได้แก่ 1.การอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร มีผลต่อการนำส่งอวกาศยานที่จะช่วยลดการสิ้นเปลืองของพลังงาน 2.มีทะเลขนาบ 2 ฝั่งซ้าย-ขวา มีมุมปล่อยอวกาศยานได้หลากหลายแบบ 3.มีแนวชายฝั่งที่เป็นคาบสมุทร สามารถกำหนดจุดหรือ Drop Zone ที่ไม่กระทบกับพื้นที่บนฝั่ง และยังสามารถออกเก็บกู้วัตถุที่ตกลงมาได้ง่าย 4.มีระบบโลจิสติกส์ที่เข้าถึงง่าย หลายหลาย มีระบบท่าเรือน้ำลึกและท่าอากาศยาน 5.ไม่มีภัยพิบัติรุนแรง ซึ่งทำให้ไทยมีโอกาสและแนวโน้มที่จะเกิดโครงการนี้ได้จริง
น.ส. ทิพานัน กล่าวว่า หากท่าอวกาศยานในประเทศไทย จัดตั้งได้สำเร็จจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางอวกาศขนาดใหญ่ นอกจากจะยกระดับวิทยาศาสตร์อวกาศ เทคโนโลยีอวกาสแล้ว ยังส่งเสริมและผลักดัน ธุรกิจอวกาศ อุตสาหกรรมอวกาศ ยกระดับเศรษฐกิจและสังคมและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ อุตสาหกรรมการผลิตอุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นต้น เกิดอาชีพใหม่เพิ่มขึ้นอีกกว่า300-400 อาชีพ อาทิ ช่างประกอบจรวด ช่างประกอบเพย์โหลด ช่างขัดท่อจรวด ช่างอิเล็กทรอนิกส์ระบบจรวด ช่างไฟฟ้าระบบจรวด เจ้าหน้าที่ตรวจสอบการนำเข้าจรวด พนักงานขายตั๋วเที่ยวบินไปอวกาศฯลฯ ซึ่งยังไม่เคยมีเกิดขึ้นในประเทศไทย ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่ล้ำสมัย นำไปสู่ความการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน และยังทำให้ประเทศไทย เป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจอวกาศแห่งภูมิภาคเอชีย-แปซิฟิกได้ ” น.ส.ทิพานัน กล่าว
“ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ได้ริเริ่มวางรากฐานพัฒนาด้านอวกาศไทยมาโดยตลอด เช่น ผลักดันให้มี ร่างกฎหมายอวกาศหรือพระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. …. และผลักดันให้เกิดแผนแม่บทอวกาศแห่งชาติ พ.ศ.2566 – 2580 (National Space Master Plan 2023 – 2037) ขึ้นเพื่อพัฒนาและใช้ประโยชน์จากกิจการอวกาศเพื่อความมั่งคั่ง มั่นคง ยั่งยืน ของประเทศไทย ให้แข่งขันกับนานาประเทศได้”น.ส. ทิพานัน กล่าว
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี
























































