Categories
NEWS UPDATE

AOT เตือนปล่อยโคมเสี่ยงคุก เตือนอันตรายถึงเครื่องบิน

AOT เตือนอันตรายจากการปล่อยโคมลอยช่วงลอยกระทง อาจกระทบเที่ยวบินและความปลอดภัย

[กรุงเทพฯ 11 พฤศจิกายน 2567] บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ออกมาเตือนประชาชนถึงอันตรายจากการปล่อยโคมลอยในช่วงเทศกาลลอยกระทง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการบินอย่างรุนแรง ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวว่า การปล่อยโคมลอย โคมไฟ โคมควัน พลุ ตะไล บั้งไฟ หรือแม้แต่โดรน อาจก่อให้เกิดอันตรายต่ออากาศยานได้หลายประการ เช่น เครื่องบินสูญเสียการควบคุม เกิดอุบัติเหตุ หรือหากโคมเข้าไปในเครื่องยนต์ อาจทำให้เกิดการระเบิดได้ นอกจากนี้ ยังบดบังทัศนวิสัยของนักบินและรบกวนสมาธิในการบิน

อันตรายจากการปล่อยโคมลอย

ดร.กีรติเน้นย้ำว่า การปล่อยโคมลอยเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกและปรับสูงสุด หากก่อให้เกิดความเสียหายต่ออากาศยาน อาจมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต

มาตรการควบคุมการปล่อยโคมลอย

  • เขตปลอดภัยในการเดินอากาศ: ห้ามปล่อยโคมลอยในเขตพื้นที่ดังกล่าวโดยเด็ดขาด
  • พื้นที่อื่นๆ: ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นล่วงหน้า
  • โดรน: ต้องขออนุญาตจากสนามบินหากบินในรัศมี 9 กิโลเมตรจากสนามบิน
  • จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย: กำหนดเวลาและพื้นที่ในการปล่อยโคมลอยอย่างชัดเจน

ในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายซึ่งเป็นพื้นที่ที่นิยมปล่อยโคมลอย โดยในเขตพื้นที่ความปลอดภัยในการเดินอากาศบริเวณใกล้เคียง ทชม.และ ทชร.และพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษระดับ 1 (พื้นที่สีแดง) ไม่อนุญาตให้ปล่อยโคมลอยไม่ว่าช่วงเวลาใด ซึ่งพื้นที่อื่น ๆ นอกเหนือจากพื้นที่ดังกล่าวจะต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานของรัฐที่เกี่ยวข้องก่อน

โดยจังหวัดเชียงใหม่ได้กำหนดระยะเวลาในการจุดหรือปล่อย คือ สามารถปล่อยโคมลอย โคมไฟได้ในวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2567 ระหว่างเวลา 19.00-01.00 น. และปล่อยโคมควัน (ว่าวฮม) ได้ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ระหว่างเวลา 10.00-12.00 น. สำหรับจังหวัดเชียงรายสามารถปล่อยโคมลอยได้ในวันที่ 14-16 พฤศจิกายน 2567 ระหว่างเวลา 21.00-01.00 น. และปล่อยโคมควันได้ระหว่างเวลา 10.00-12.00 น.

ผลกระทบต่อเที่ยวบิน

เนื่องจากความเสี่ยงจากการปล่อยโคมลอย สายการบินหลายแห่งจึงตัดสินใจยกเลิกและเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินในช่วงเทศกาลลอยกระทง โดยเฉพาะที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการปล่อยโคมลอยเป็นจำนวนมาก

AOT สนับสนุนประเพณีลอยกระทง

แม้ว่า AOT จะต้องออกมาเตือนถึงอันตรายจากการปล่อยโคมลอย แต่ก็ยังคงสนับสนุนการอนุรักษ์และสืบสานประเพณีไทย โดยจัดกิจกรรมต่างๆ ภายในอาคารผู้โดยสาร เพื่อให้ผู้โดยสารได้สัมผัสกับบรรยากาศของเทศกาลลอยกระทง

ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • พระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2562
  • พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497
  • พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558
  • ประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวทางในการพิจารณาอนุญาตให้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบินประเภทอากาศยานที่ควบคุมการบินจากภายนอกทำการบินภายในระยะ 9 กิโลเมตรจากสนามบินหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยาน พ.ศ. 2561

สรุป

AOT ขอให้ประชาชนร่วมมือกันงดการปล่อยโคมลอยในช่วงเทศกาลลอยกระทง เพื่อความปลอดภัยในการบินและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากต้องการร่วมสืบสานประเพณีไทย สามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้นภายในท่าอากาศยานได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
FEATURED NEWS

CPFC จับมือ IKEA-ดีแคทลอน ปฏิวัติร้านสะดวกซื้อใหม่ในเชียงใหม่

CPFC จับมือ IKEA และ Decathlon สร้างมิติใหม่ของร้านสะดวกซื้อในเชียงใหม่

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 บริษัท ซีพี ฟิวเจอร์ ซิตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ CPFC ร่วมกับ CP AXTRA, CP All และ TRUE ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ IKEA และ Decathlon สองยักษ์ใหญ่ในธุรกิจรีเทลระดับโลก เปิดตัว “ฟิวเจอร์ คอนวีเนียนซ์ สโตร์” (FCS) ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ของร้านสะดวกซื้อบนทำเลหางดง จังหวัดเชียงใหม่ โดยเน้นการออกแบบที่ตอบโจทย์ความต้องการของชุมชน นำเสนอประสบการณ์ช้อปปิ้งที่เข้าถึงง่ายและสะดวกสบาย คาดว่าร้านนี้จะเป็นต้นแบบสำหรับการขยายสาขาในอนาคตทั่วประเทศ

แนวคิดและเป้าหมายของความร่วมมือ

คุณปพิตชญา สุวรรณดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ CPFC กล่าวว่าความร่วมมือครั้งนี้เน้นการผสมผสานความเชี่ยวชาญของทุกฝ่าย ทั้ง CPFC และพันธมิตรระดับโลกอย่าง IKEA และ Decathlon เพื่อสร้างสรรค์มิติใหม่ให้กับธุรกิจร้านสะดวกซื้อ นอกจากการนำเสนอสินค้าคุณภาพจาก IKEA และ Decathlon แล้ว ยังเน้นการออกแบบร้านที่คำนึงถึงการใช้ชีวิตและวัฒนธรรมในชุมชนท้องถิ่น ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกและการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน

โมเดล FCS ร้านสะดวกซื้อแห่งอนาคต

โมเดล FCS ของ CPFC ที่จะเริ่มต้นเปิดให้บริการในต้นปี 2568 ณ แม็คโคร สาขาหางดง เชียงใหม่ จะเป็นร้านสะดวกซื้อที่แตกต่างจากร้านทั่วไป โดยมีสินค้าและบริการที่หลากหลาย เหมาะสำหรับผู้บริโภคนอกเขตกรุงเทพฯ และเน้นการพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เข้าถึงง่ายในชุมชน โดยเป็นการผสานแนวคิดรีเทลล้ำสมัยเข้ากับการสร้างความยั่งยืนและความสะดวกสบายแก่ผู้คนในชุมชน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของโครงการ

เกี่ยวกับซีพี ฟิวเจอร์ ซิตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น (CPFC)

CPFC เป็นผู้นำในด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในปี 2563 ภายใต้เครือเจริญโภคภัณฑ์ บริษัทมีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการบริหารจัดการให้อยู่ในมาตรฐานคุณภาพสูงสุด โดย CPFC มีเป้าหมายในการสร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่น่าอยู่ สะดวกสบาย และยั่งยืนผ่านนวัตกรรมที่ทันสมัย นอกจากนี้ CPFC ยังให้ความสำคัญกับโครงการอสังหาฯ แบบมิกซ์ยูสและโครงการที่ตั้งอยู่รอบสถานีรถไฟความเร็วสูง โดยเน้นพัฒนาโครงการที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยและผลักดันความเจริญในประเทศ

แผนการขยายและอนาคตของ FCS ทั่วประเทศ

หลังจากที่สาขาหางดงเปิดทำการ CPFC มีแผนที่จะขยายโมเดล FCS ไปยังพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายในการสร้างเครือข่ายร้านสะดวกซื้อที่เป็นมิตรกับชุมชน นำเสนอบริการที่ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละท้องถิ่น และส่งเสริมการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ความร่วมมือระหว่าง CPFC, IKEA และ Decathlon ไม่เพียงแค่สร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ให้กับการช้อปปิ้งในร้านสะดวกซื้อ แต่ยังเป็นการผสานพลังเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด ลดขยะ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ซีพี ฟิวเจอร์ ซิตี้ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น (ซีพีเอฟซี)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เลื่อนจัดงาน ชา-กาแฟ เชียงราย 2024 เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้จัดงาน

ทีเส็บเร่งฟื้นฟูอุตสาหกรรมไมซ์ หลังน้ำลด พร้อมดันงานอีเวนต์ปลายปี ชูซอฟต์พาวเวอร์ไทย

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ (TCEB) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) ซึ่งประกอบด้วยการจัดประชุม งานแสดงสินค้า และอีเวนต์ขนาดใหญ่ในประเทศไทย ได้ฟื้นตัวกลับมาได้อย่างแข็งแกร่ง สะท้อนผ่านการจัดงานขนาดใหญ่หลายงานทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงการจัด เทศกาลประจำจังหวัด ต่าง ๆ ที่ได้รับความสนใจจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริม ซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ของรัฐบาลไทย โดยการนำเสนอวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล ผ่านการจัดงานต่าง ๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ไมซ์ดันรายได้ท่องเที่ยวพุ่ง 3 เท่า

นายจิรุตถ์กล่าวว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่านักท่องเที่ยวปกติถึง 3 เท่าครึ่ง ซึ่งช่วยสร้างรายได้ให้แก่เศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยที่ผ่านมา ทีเส็บ ได้ร่วมมือกับ หอการค้าไทย และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในการส่งเสริมการจัดงานในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อลดความหนาแน่นของการจัดงานในเมืองใหญ่ และกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น เช่น การจัดงานเทศกาลประจำจังหวัด หรือการจัดนิทรรศการเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจของท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

“ขอนแก่นปลาร้าเฟสติวัล” จัดปลายปี เน้นอัตลักษณ์ท้องถิ่น

ในเดือนธันวาคมนี้ ทีเส็บเตรียมสนับสนุนการจัดงาน ขอนแก่นปลาร้าเฟสติวัล ซึ่งเป็นการนำเสนออัตลักษณ์ท้องถิ่น และวัฒนธรรมการทำปลาร้าในจังหวัดขอนแก่น โดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และส่งเสริมภาพลักษณ์ของขอนแก่นในฐานะเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ทั้งนี้ การจัดงานดังกล่าวจะเป็นต้นแบบของการจัดงานในรูปแบบ “ระเบิดจากภายใน” (Inside-Out) ซึ่งเป็นการผลักดันเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตอย่างแท้จริง และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริม Soft Power ผ่านวัฒนธรรมท้องถิ่น

 
ฟื้นฟูพื้นที่จัดงานหลังน้ำลดในเชียงใหม่-เชียงราย

นายจิรุตถ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ในขณะนี้ ทีเส็บอยู่ระหว่างการวางแผนฟื้นฟูพื้นที่จัดงานในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยเฉพาะ เชียงใหม่ และ เชียงราย หลังจากระดับน้ำในหลายพื้นที่เริ่มลดลง เช่น โรงแรมและสถานที่จัดงานขนาดใหญ่ที่ต้องทำความสะอาดครั้งใหญ่ (Big Cleaning Day) เนื่องจากได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ทั้งนี้ ทีเส็บจะเร่งฟื้นฟูพื้นที่ดังกล่าวเพื่อให้พร้อมสำหรับการจัดงานในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการจัดงานไมซ์และอีเวนต์มากที่สุด

“ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2567 (ต.ค.-ธ.ค.) เป็นช่วงเวลาสำคัญของการจัดงานไมซ์และอีเวนต์ในประเทศไทย เราจึงต้องเร่งฟื้นฟูและเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับงานต่าง ๆ เช่น งาน ชา-กาแฟ ของจังหวัดเชียงราย ที่แม้สถานที่จัดงานจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากน้ำท่วม แต่เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้จัดงาน เราอาจต้องมีการเลื่อนการจัดงานไปอีกเล็กน้อย” นายจิรุตถ์ กล่าว

เตรียมบิดงานอีเวนต์ระดับโลกเข้าประเทศในปี 68

สำหรับปี 2568 ทีเส็บเตรียมดำเนินการเสนอแผนการจัดงานประชุมและอีเวนต์ระดับโลกในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการจากต่างประเทศเข้ามาจัดงานในไทยมากขึ้น ผ่านการเพิ่มสิทธิประโยชน์ และการสนับสนุนการจัดงานขนาดใหญ่ พร้อมทั้งฟื้นฟูภาพลักษณ์ของจังหวัดต่าง ๆ เช่น เชียงใหม่ และ เชียงราย ที่มีศักยภาพในการจัดงานระดับนานาชาติ และสามารถดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวได้อย่างต่อเนื่อง

บทสรุป: “ไมซ์” กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยหลังน้ำลด

การฟื้นฟูและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์จะเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปี 2567 นี้ โดยเฉพาะการจัดงานในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เช่น เชียงใหม่ และเชียงราย ที่ทีเส็บกำลังเร่งฟื้นฟูเพื่อให้กลับมาพร้อมรับการจัดงานและดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกครั้ง ทั้งนี้ การฟื้นฟูและดึงดูดงานอีเวนต์ขนาดใหญ่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยว พร้อมทั้งสนับสนุนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการจัดงานประชุมและนิทรรศการในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : World Tea & Coffee Expo 2024

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

น้ำป่าท่วมศูนย์บริบาลช้างแม่แตง เชียงใหม่ เร่งช่วยเหลือสัตว์กว่า 3,000 ชีวิต

 

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 เวลา 18.20 น. พระครูอ๊อด วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ได้โพสต์ขอความช่วยเหลือเร่งด่วนผ่านสื่อโซเชียล ขออาสาสมัครและกำลังสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือสัตว์หลายพันชีวิตในศูนย์บริบาลช้างแม่เล็กแสงเดือน อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากเกิดน้ำป่าหลากเข้าท่วมพื้นที่อย่างหนัก ทำให้การขนย้ายสัตว์ต่าง ๆ ในศูนย์ประสบความยากลำบาก โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนที่ฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำยังคงสูงและการทำงานของทีมช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบาก

ศูนย์บริบาลช้างแม่เล็กแสงเดือน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณคลองศูนย์ในอำเภอแม่แตง ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากในครั้งนี้ เนื่องจากปริมาณน้ำที่ท่วมสูงอย่างรวดเร็ว ทำให้พื้นที่ภายในศูนย์ซึ่งมีช้างประมาณ 100 เชือกได้รับความเสียหาย โดยส่วนใหญ่เป็นช้างเพศเมีย ช้างชรา และช้างพิการที่ศูนย์รับมาดูแล

ในเบื้องต้น ทางศูนย์ได้ทำการขนย้ายช้างทั้งหมดขึ้นไปอยู่บนพื้นที่สูงเพื่อความปลอดภัยแล้ว แต่ยังมีสัตว์เล็กอื่น ๆ ที่เลี้ยงไว้ในพื้นที่เดียวกัน เช่น หมู วัว ควาย หมา และแมว กว่า 3,000 ชีวิตที่ยังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน คุณแสงเดือน ชัยเลิศ ผู้ดูแลศูนย์ ได้โพสต์ขอความช่วยเหลือผ่านทาง Facebook เพื่อให้ทีมอาสาสมัครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยขนย้ายสัตว์เหล่านี้ออกจากพื้นที่โดยด่วน เนื่องจากการเดินทางในเส้นทางปกตินั้นไม่สามารถทำได้ จำเป็นต้องใช้เส้นทางผ่านบ้านแม่ตะมานและบ้านปางไม้แดงเท่านั้น

สำหรับความช่วยเหลือในขณะนี้ จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสริม เช่น รถสิบล้อสำหรับขนย้ายสัตว์ขนาดใหญ่ เรือเจ็ตสกี เรือกู้ภัย และเรือขนาดเล็กเพื่อการขนย้ายสัตว์เล็ก รวมถึงต้องการทีมอาสาสมัครจำนวนมากเพื่อสนับสนุนการขนย้ายสัตว์และช่วยเหลือในพื้นที่ประสบภัย

ด้านพระครูอ๊อด วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ได้ประสานงานทีมลูกศิษย์และทีมอาสากู้ภัยของวัดเจดีย์หลวงเข้าไปสนับสนุนในพื้นที่อย่างเร่งด่วน โดยในขณะนี้พระครูอ๊อดและทีมอาสาได้เดินทางถึงพื้นที่แล้ว และกำลังประสานงานกับทีมอาสาเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อร่วมกันช่วยเหลือสัตว์และควาญช้างในพื้นที่

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในพื้นที่ศูนย์บริบาลช้างแม่แตงยังคงน่าเป็นห่วง เนื่องจากปริมาณน้ำที่ไหลหลากอย่างต่อเนื่องได้เริ่มกัดเซาะพื้นที่ริมฝั่งลำน้ำแม่แตง ทำให้ระเบียงชมช้างในบริเวณบ้านพักช้างหลายจุดได้รับความเสียหายและมีความเสี่ยงที่จะถูกน้ำเซาะพังทลาย พระครูอ๊อดยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “แค่ให้ช้างและควาญช้างในความดูแลปลอดภัย พระครูฯ ก็ดีใจมากแล้ว แต่ตอนนี้เราต้องช่วยกันฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกันให้ได้”

ด้านเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ยังคงประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นและหน่วยกู้ภัยต่าง ๆ ในการเร่งระดมกำลังและอุปกรณ์เข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติม พร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์ประสานงานชั่วคราวในบริเวณใกล้เคียง เพื่อให้สามารถเข้าถึงการขนย้ายและดูแลสัตว์ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ทางศูนย์บริบาลช้างและทีมอาสาฯ ยังได้วางแผนขนย้ายสัตว์ในช่วงกลางคืนเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ เนื่องจากหากฝนยังคงตกลงมาเพิ่มเติม จะทำให้การขนย้ายในเวลากลางวันยิ่งมีความยากลำบากมากขึ้น และเส้นทางการเดินทางอาจถูกตัดขาดโดยสมบูรณ์

สถานการณ์ล่าสุด ทางศูนย์ยังคงต้องการการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ เอกชน หรืออาสาสมัครทั่วไปที่สามารถช่วยเหลือได้ โดยสามารถติดต่อประสานงานได้ที่ศูนย์อพยพชั่วคราวในพื้นที่ศูนย์บริบาลช้างแม่เล็กแสงเดือน หรือประสานงานผ่านเพจ Facebook ของศูนย์ฯ เพื่อให้ความช่วยเหลือสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว

ขอให้ประชาชนในพื้นที่อำเภอแม่แตงและใกล้เคียงติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด หากพบเห็นสัตว์ที่ต้องการความช่วยเหลือหรือพื้นที่ที่มีความเสี่ยง สามารถแจ้งทีมอาสาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างทันท่วงที

ล่าสุดมีรายงานว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการย้ายช้างจำนวน 117 เชือกไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัยแล้วเหลือเพียงการช่วยเหลือช้างอีกประมาณ 10 เชือกซึ่งส่วนใหญ่เป็นช้างตัวผู้ และมีบางเชือกเป็นช้างที่ตาบอดต้องใช้ควาญที่มีความคุ้นเคยในการเข้ากู้ชีพ
 
ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ขณะนี้มีน้องช้าง น้องวัว น้องควายบางส่วนที่ช่วยไม่ทันได้ไหลไปตามน้ำทางอุโมงค์ ถ้าท่านใดพบเห็นสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ตามเบอร์ด้านล่างนี้
คุณเเพตตี้094 – 6352892
คุณไพลิน 088 – 9172668
คุณดาด้า 098 – 6566685
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กู้ภัยแม่โจ้/ควาญแบงค์พลายน้ำแตง / พระครูอ๊อด วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

พระราชทานดินฝังศพผู้ใหญ่บ้าน ผู้เสียสละดินสไลด์ อ.แม่อาย

 

เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2567 เวลา 10.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีพระราชทานดินฝังศพเป็นกรณีพิเศษให้แก่ นายธีรยุทธ สิริวรรณสถิต ผู้ใหญ่บ้าน บ้านดอยแหลม หมู่ 13 ตำบลแม่อาย อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือชาวบ้านจากเหตุการณ์อุทกภัยดินถล่ม เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 ณ ที่สวนส้มบ้านดอยแหลม หมู่ 13 ตำบลแม่อาย อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

ในพิธีครั้งนี้ มีนางกุสุมาล พงษ์สิทธิถาวร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ตลอดจนญาติและครอบครัวของผู้เสียชีวิตเข้าร่วมพิธีอย่างหนาแน่น ทุกคนในงานแสดงความเศร้าโศกและยกย่องความเสียสละของนายธีรยุทธ ซึ่งถือเป็นบุคคลที่ทำงานเพื่อส่วนรวมมาอย่างยาวนาน

นายธีรยุทธ สิริวรรณสถิต ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านของบ้านดอยแหลม หมู่ 13 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 และได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเสมอมา โดยเฉพาะในการช่วยเหลือชุมชนในยามที่เกิดภัยพิบัติต่างๆ อย่างไม่เกรงกลัวต่ออันตราย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 เป็นเหตุการณ์ดินถล่มที่เกิดจากอุทกภัยที่รุนแรง นายธีรยุทธได้รีบเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ประสบภัย แต่ไม่สามารถหลบพ้นจากดินที่ถล่มลงมาได้ ทำให้เขาเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ สิริอายุได้ 42 ปี

การเสียชีวิตของนายธีรยุทธสร้างความเสียใจแก่ชาวบ้านและชุมชนเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาเป็นผู้ใหญ่บ้านที่มีความมุ่งมั่นและใกล้ชิดกับชาวบ้านทุกคน ความสูญเสียครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับชุมชนบ้านดอยแหลม และชาวบ้านต่างยกย่องในความกล้าหาญและความเสียสละของเขา ที่ได้ทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

สำหรับพิธีพระราชทานดินฝังศพในครั้งนี้ ถือเป็นการให้เกียรติและแสดงความเคารพต่อบุคคลที่มีความกล้าหาญและเสียสละในหน้าที่ราชการอย่างแท้จริง การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชทานดินฝังศพเป็นกรณีพิเศษแก่ผู้เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ถือเป็นการให้ความสำคัญแก่ผู้ที่อุทิศชีวิตเพื่อสังคมและประเทศชาติ

เหตุการณ์ดินถล่มในพื้นที่ตำบลแม่อายครั้งนี้ เกิดขึ้นจากฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำท่วมและดินสไลด์ในหลายพื้นที่ทั่วจังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาที่เสี่ยงต่อดินถล่ม นายธีรยุทธได้เข้าร่วมทีมกู้ภัยเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ติดค้างอยู่ในบ้านพักในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเขาได้เสียชีวิตขณะทำหน้าที่ดังกล่าว ชาวบ้านในพื้นที่ยกย่องและกล่าวถึงความกล้าหาญของนายธีรยุทธว่าเป็นบุคคลที่หายาก และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลัง

นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้กล่าวในพิธีว่า “การสูญเสียนายธีรยุทธ สิริวรรณสถิต เป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่สำหรับชุมชนเชียงใหม่ เขาเป็นผู้ใหญ่บ้านที่มีความตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน และทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนในชุมชน ความเสียสละของเขาจะได้รับการจดจำในหัวใจของเราทุกคน และถือเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้ที่ทำงานในหน้าที่ราชการ”

สำหรับครอบครัวของนายธีรยุทธ การจากไปของเขาถือเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ แต่พวกเขาก็ภาคภูมิใจในความกล้าหาญและการทำงานเพื่อส่วนรวมของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายึดมั่นมาตลอดชีวิต

การช่วยเหลือและฟื้นฟูหลังเหตุการณ์อุทกภัยในตำบลแม่อาย ยังคงดำเนินต่อไปโดยมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ เข้าช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัย การปฏิบัติงานดังกล่าวยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

นักวิจัย ม.เชียงใหม่ ค้นพบ “กระดังงา” ชนิดใหม่ของโลกตั้งชื่อ “เฉลิมพระเกียรติ”

 

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) สนับสนุนคณะผู้วิจัย เพื่อดำเนินโครงการวิจัยเรื่อง “อนุกรมวิธานและวิวัฒนาการชาติพันธุ์ของพรรณไม้วงศ์กระดังงา (Annonaceae) ในประเทศไทยที่หายากและยังไม่เป็นที่รู้จัก เพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน”

โดยการวิจัยพบพืชชนิดใหม่ของโลกในวงศ์กระดังงาจากจังหวัดสตูล ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Orophea chalermprakiat Damth., Chanthamrong & Chaowasku และคณะผู้วิจัยได้ตั้งคำระบุชนิดว่า “chalermprakiat” และตั้งชื่อไทยว่า “เฉลิมพระเกียรติ” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ หรือ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567

ดร.ฉัตรธิดา วิยา นักวิชาการ สังกัดองค์การสวนพฤกษศาสตร์ นายอรุณ สินบำรุง นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษ สังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายธานี ใจสมุทร สังกัดวิสาหกิจชุมชนกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านหาญ และนายกิติศักดิ์ ฌานธำรง นักวิจัยอิสระ โดยการค้นพบครั้งสำคัญนี้ยังได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ Phytotaxa เล่มที่ 658 ฉบับที่ 3 หน้าที่ 296-300 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 อีกด้วย

 

รองศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ เชาวสกู สังกัดภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ต้น “เฉลิมพระเกียรติ” มีลักษณะเด่นคือ เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 8 เมตร กลีบดอกมีสีครีม กลีบชั้นในประกบกัน ปลายกลีบแยกออก โคนกลีบคอดเรียว จึงเกิดช่องเปิดระหว่างกลีบ ทำให้เห็นเกสรเพศผู้และเพศเมียอย่างชัดเจน

 

พืชชนิดใหม่นี้พบขึ้นในหลุมยุบภายในถ้ำทะลุ ตำบลเขาขาว อำเภอละงู จังหวัดสตูล พื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานธรณีสตูล ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้เป็นอุทยานธรณีโลกแห่งแรกของประเทศไทย

 

นอกจากนี้ “เฉลิมพระเกียรติ” ยังเป็นพืชหายาก พบเพียง 15-20 ต้น โดยทุกภาคส่วนต้องช่วยกันอนุรักษ์  ไม่ให้สูญพันธุ์ พืชชนิดนี้สามารถพัฒนาเป็นไม้ดอกไม้ประดับได้ เนื่องจากมีทรงพุ่มสวย และมีดอกรูปทรงสวยงาม นอกจากนี้ ควรมีการศึกษาพฤกษเคมีและฤทธิ์ทางชีวภาพจากต้นเฉลิมพระเกียรติ เพื่อพัฒนาต่อยอดเป็นพืชสมุนไพรต่อไป

 

สำหรับคณะผู้วิจัยที่ค้นพบพืชชนิดใหม่ของโลกในครั้งนี้นำโดย รองศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ เชาวสกู สังกัดภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดร.อานิสรา ดำทองดี นักวิจัยหลังปริญญาเอก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บรรจง ทองสร้าง อาจารย์ ดร.สุวรรณี พรหมศิริ สังกัดคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

จังหวัดเชียงใหม่ มีคน ‘รายได้น้อย’ ที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ

 
ข้อมูลวิจัยของ Worldbank ระบุ แม้ตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมา กรุงเทพฯ มีการเปลี่ยนแปลง สามารถลดความยากจนได้ประมาณ 10% ต่อปี แต่ด้วยประเทศไทย เป็นเมืองเกษตรกรรม คนแต่ละภูมิภาคยังพึ่งพาการเกษตร เป็นแหล่งรายได้ที่พร้อมจะเผชิญปัจจัยแปรปรวน น้ำท่วม น้ำแล้ง ตลอดเวลา ราคาซื้อ-ขายพืชผล จึงขึ้นลงตามสภาพอากาศ ทำให้ “ประเทศไทย” ยังคงติดกับดักอยู่ในตำแหน่งประเทศรายได้ปานกลางมาเป็นเวลานานแล้ว 
 

“คนจน” ไม่ได้ยืนอยู่บนมิติในแง่รายได้ต่ำ กำหนดด้วยปริมาณเงินในกระเป๋าต่อเดือน/ต่อปีเท่านั้น แต่จากข้อมูลวิเคราะห์ของ ระบบ TPMAP หรือ Thai People Map and Analytics Platform ซึ่งถือเป็นระบบ Big Data ของภาครัฐที่สามารถระบุได้ว่า คนจนนั้นอยู่ที่ไหน มีปัญหาในมิติอะไรบ้าง? 

พบว่าอัปเดตปี 2566 ภาพรวมคนจนของประเทศไทย (เป้าหมายที่ต้องได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ) มีจำนวนอยู่ที่ 655,365 คน ทั้งนี้ มาจากประชากรสำรวจ 36,130,610 คน โดยวัดจาก 5 มิติด้วยกัน และพบว่าคนจน 1 คน มีปัญหาได้มากกว่า 1 ด้าน

  1. ด้านสุขภาพ 
  2. ด้านความเป็นอยู่ 
  3. ด้านการศึกษา 
  4. ด้านรายได้ 
  5. ด้านการเข้าถึงบริการรัฐ 

ยกตัวอย่าง ในเกณฑ์ด้านความเป็นอยู่ รัฐจะพิจารณาจากเงื่อนไขหลักๆ เช่น 

  • ครัวเรือนมีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย และบ้านมีสภาพคงทนถาวรหรือไม่
  • ครัวเรือนมีน้ำสะอาดสำหรับดื่มและบริโภคเพียงพอตลอดปี อย่างน้อยคนละ 5 ลิตรต่อวันหรือไม่ 
  • ครัวเรือนมีน้ำใช้เพียงพอตลอดปี อย่างน้อยคนละ 45 ลิตรต่อวันหรือไม่
  • ครัวเรือนมีการจัดการบ้านเรือนเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาด และถูกสุขลักษณะหรือไม่ 

ขณะในมาตรวัดด้านรายได้ ประเมินจากช่วงอายุ อาชีพ และรายได้ที่เหมาะสมทั้งรายบุคคลและระดับครัวเรือน นอกจากนี้ จำนวนคนจนยังถูกนับเข้ามาจากข้อมูลผู้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ กระทรวงการคลังอีกด้วย 

เจาะความหมายของรัฐเกี่ยวกับมิติความยากจน คือ 1. จนเงิน ไม่มีเงิน ขาดเงินทุน เข้าไม่ถึงแหล่งทุน 2. จนทางสังคม ขาดสถานะทางสังคม 3. จนทางวัฒนธรรม ขาดการมีส่วนร่วม 4. จนทางการศึกษา ด้อยโอกาส และขาดความรู้ความสามารถ 5. จนทางการเมือง 6. จนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่มีโอกาสได้สิทธิในการใช้ประโยชน์ และ 7. จนทางจิตวิญญาณ ขาดการมีโอกาสใช้ความคิดริเริ่มใหม่ๆ 

 

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดข้อมูล “บิ๊กดาต้า” สำรวจปริมาณคนจนแบบครบวงจร ครั้งแรกของประเทศไทย นายศรัณย์ สัมฤทธ์เดชขจร ผอ.เนคเทค เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความยากจนของประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่า ปัจจุบันประเทศ ไทยใช้เส้นความยากจนที่เป็นทางการคือ ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 2,667 บาทต่อคน/เดือน หากมองย้อนไปในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่าปัญหาความยากจนในภาพรวมของไทยลดลงอย่างมาก จำนวนคนจนลดลงประมาณ 28 ล้านคนในช่วงเวลาดังกล่าว จากจำนวนคนจน 34.1 ล้านคน ในปี 2531 เหลือเพียง 5.8 ล้านคน ในปี 2559 สัดส่วนคนจนลดลงจากร้อยละ 65.2 เป็นเพียงร้อยละ 8.6 ในปี 2559 ทั้งนี้ การประเมินสถานการณ์ความยากจนของประเทศไทย สะท้อนถึงสถานการณ์ที่แท้จริงได้ จำเป็นต้องใช้ตัวชี้วัดจากหลายด้านมาประกอบกัน นอกจากคิดจากรูปแบบตัวเงินแล้วยังพิจารณาในมิติอื่นๆด้วย

 

ผอ.เนคเทคกล่าวต่อว่า จึงเป็นที่มาให้คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ มีมติเห็นชอบการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อศึกษาการพัฒนาระบบ “บิ๊กดาต้า” ของภาครัฐและมอบให้ ศสช.ร่วมกับเนคเทค พัฒนาระบบ TPMAP ซึ่งเป็นระบบบิ๊กดาต้าของภาครัฐ ในประเด็นการแก้ปัญหาความยากจนที่สามารถระบุความยากจนในระดับบุคคล ครัวเรือน ชุมชน ท้องถิ่น ท้องที่ หรือปัญหาความยากจนรายประเด็น ทำให้เกิดการแก้ปัญหาความยากจนได้ตรงจุดมากขึ้น เนคเทคพร้อมทีมนักวิจัยลงพื้นที่จริงสำรวจข้อมูลสัมภาษณ์ ใช้ข้อมูลการสำรวจความจำเป็นพื้นฐาน กรมพัฒนาชุมชน ที่พบว่ามีคนจนทั่วประเทศ 36,647,817 คน และจากการลงทะเบียนคนจน กระทรวงการคลัง 11 ล้านคน นำทั้งหมดมาหาค่าผู้ที่ยากจน จากการวัดผลใน 5 มิติ คือ รายได้ การศึกษา สุขภาพ ความเป็นอยู่และการเข้าถึงบริการทางภาครัฐ พบว่า มีคนจนใน 5 มิติ ทั่วประเทศ 1,032,987 คน ลดลงจากปี 2560 ที่พบ 1.3 ล้านคน ข้อมูลดังกล่าวนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อสั่งการ การแก้ปัญหาตามความเหมาะสมแล้ว

 

นายสุทธิพงศ์ ธัชยพงษ์ นักวิจัยการวิเคราะห์ข้อมูลและการคำนวณเนคเทค กล่าวว่า ในการสำรวจข้อมูลพบว่าจังหวัดที่มีคนจนมากที่สุดคือ เชียงใหม่ มี 54,887 คน โดย อ.อมก๋อย มีจำนวนคนจนมากที่สุดคือ 4,441 คน ขณะที่จังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนมากที่สุดคือแม่ฮ่องสอน 22,783 คน โดย อ.ปางมะผ้า มีคนจน 3,040 คน และพื้นที่ที่มีคนจนมากที่สุดคือ ต.นาปู่ป้อม มี 933 คน จังหวัดที่มีคนจนน้อยที่สุด คือ สมุทรสงคราม มี 903 คน โดย ต.บางนางลี่ อ.อัมพวา มีคนจน 16 คน สำหรับจังหวัดที่มีสัดส่วนของคนจนน้อยที่สุด คือหนองบัวลำภู มีคนจน 1,277 คน ทั้งนี้ สัดส่วนจะเทียบจากจำนวนประชากรในจังหวัดนั้นๆ แต่ถ้าเป็นจำนวนคนจนคือเฉลี่ยจากประชากรในจังหวัดนั้น

 

“หากแยกละเอียดลงไปตามมิติต่างๆ พบว่า มิติทางด้านสุขภาพ มีคนจน 217,080 คน มิติความเป็นอยู่มีคนจน 244,739 คน มิติการศึกษามีคนจน 378,080 คน มิติรายได้คือรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 2,067 บาท 376,091 คน ในมิติเข้าถึงบริการของรัฐมีคนจน 6,490 คน ทั้งนี้ สัดส่วนของคนจนมาจากเอาจำนวนคนจนทั้งหมดหารปริมาณประชากรทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เรื่องความยากจนกับเรื่องความสุขของประชาชนในบางพื้นที่ อาจจะไม่สอดคล้องกัน เช่น ที่แม่ฮ่องสอน พบว่าบางมิติไม่ค่อยดีนัก เช่น เรื่องการเข้าถึงการศึกษา และรายได้ต่ำมาก แต่กลับพบว่าคนเหล่านี้มีความสุข ทั้งนี้ในอนาคตจะเพิ่มข้อมูลเรื่องดัชนีความสุข เข้าเป็นตัวชี้วัดเพิ่มเข้าไปด้วย” นายสุทธิพงศ์กล่าว

 

นายสุทธิพงศ์กล่าวอีกว่า สำหรับการพิจารณาความยากจนในมิติต่างๆนั้นนักวิจัยจะพิจารณาจากข้อมูลทั้งของกระทรวงการคลังและกรมพัฒนาชุมชน รวมกับการเข้าไปสัมภาษณ์รายบุคคลของเนคเทค เช่น มิติด้านสุขภาพ พิจารณาจากจำนวนเด็กแรกเกิดที่มีน้ำหนักเฉลี่ยไม่ถึงเกณฑ์ 2.5 กิโลกรัม ด้านการศึกษาพิจารณาจากเด็กอายุ 3-5 ปี ได้รับการเตรียมพร้อมพร้อมวัยเรียนหรือไม่ 6-14 ปี ไม่ได้รับการศึกษาภาคบังคับกี่คน เป็นต้น ด้านรายได้ พิจารณาจากคนที่มีอายุ 15-59 ปี กี่คน ที่ไม่มีอาชีพ หรือไม่มีรายได้ เรื่องความเป็นอยู่ พิจารณาจาก ครัวเรือนมีน้ำใช้เพียงพอหรือไม่ ที่อยู่อาศัยมั่นคงหรือไม่ และเรื่องการเข้าถึงบริการภาครัฐ พิจารณาจากจำนวนผู้พิการ ผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแล

 

จากที่ระบุตัวเลขดังกล่าว มาจากตัวอย่างการสำรวจราว 36 ล้านคนเท่านั้น ทำให้ฐานข้อมูลค่อนข้างแตกต่างจากข้อมูลของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ประมวลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ และมีข้อมูลสรุปว่า ปัจจุบันไทยมีคนยากจน (ตามดัชนี MPI) ราว 4.4 ล้านคน และอีกก้อนคือกลุ่มที่มาลงทะเบียนกับรัฐ (บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) รวม 11.4 ล้านคน 

เจาะเชิงลึก อ้างอิงข้อมูลชุดของระบบ TPMAP 

5 อันดับ คนจน “มากสุด”

  • เชียงใหม่ 
  • นครศรีธรรมราช
  • อุดรธานี
  • กระบี่
  • บุรีรัมย์ 

5 อันดับ คนจน “น้อยสุด”

  • สมุทรสาคร
  • ตราด
  • สมุทรสงคราม
  • แพร่
  • พังงา 

รายได้เท่าไร ถึงเรียกว่า “จน” 

วิเคราะห์แง่รายได้ ที่ใช้ตัดเส้นความยากจนตามรายภูมิภาค ดังนี้ 

  • กทม. : ต่ำกว่า 3,556 บาท/เดือน
  • ภาคกลาง : ต่ำกว่า 3,175 บาท/เดือน
  • ภาคเหนือ : ต่ำกว่า 2,678 บาท/เดือน
  • ภาคอีสาน : ต่ำกว่า 2,684 บาท/เดือน
  • ภาคใต้ : ต่ำกว่า 3,036 บาท/เดือน 

“เบอร์กิท ฮานสล์” ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย ช่วงปี 2561 เคยกล่าวไว้ว่า “แนวโน้มความยากจนในช่วงที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าแม้ประเทศไทยจะมีการพัฒนาการด้านเศรษฐกิจที่ดีในระดับหนึ่ง แต่กระนั้นครัวเรือนก็ยังมีความเปราะบางต่อภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอ”

ทั้งนี้ การที่ประเทศไทยจะก้าวสู่สถานะประเทศที่มีรายได้สูงอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้นั้น ครัวเรือนของประเทศไทยต้องได้รับการปกป้องจากการที่รายได้ของครัวเรือนปรับลดลงรุนแรง เช่น จากความเจ็บป่วย การตกงาน และภัยธรรมชาติที่ดีกว่านี้ ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ประเทศไทยต้องสนับสนุนให้มีการสร้างงานที่มีผลิตภาพ และงานที่มีค่าจ้างที่สูงกว่านี้ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

“กสว. ร่วมมือ ผู้ว่าฯเชียงใหม่” จัดงบ 150 ล้านบาท แก้ปัญหา PM 2.5

 
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) โดยกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือกองทุน ววน. ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้นำผู้ทรงคุณวุฒิและนักวิจัย ร่วมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เดินหน้านำงานวิจัยภายใต้การสนับสนุนของกองทุน ววน. มุ่งแก้ไขปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และปัญหาไฟป่าในจังหวัดเชียงใหม่อย่างเร่งด่วนตามโจทย์และความต้องการของจังหวัดเชียงใหม่ โดย สกสว.จัดสรรงบประมาณวิจัยภายใต้งบประมาณปี 2566 – 2567 รวม 2 ปี งบประมาณกว่า 150 ล้านบาท คิดเฉลี่ยปีละ  70 กว่าล้านบาท ใน 4 มิติเร่งด่วนสำหรับการลดฝุ่นจากต้นตอแหล่งกำเนิด ได้แก่ การลดไฟในพื้นที่ป่าไม้ การจัดการระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ การลดไฟในพื้นที่เกษตร และการลดฝุ่นข้ามแดน โดยการจัดสรรงบประมาณผ่านสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) โดยทุกภาคส่วนตั้งเป้าผลลัพธ์ทั้งการลดปัญหาที่เกิดซ้ำในแต่ละพื้นที่ การติดตามสถานการณ์ การวางแผนป้องกันและรับมือฝุ่นจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงการทำงานของทุกภาคส่วน เพื่อต่อยอดไปสู่การออกนโยบาย กฎหมาย หรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ ตลอดจนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาคเกษตรกรรม
 
 
 

ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) เปิดเผยว่า แต่ละปีประเทศไทยมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องด้วยการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชนทั้งปัจจุบันและในอนาคต อีกทั้งรัฐบาลก็ให้ความสำคัญกับการนำงานวิจัยมาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ หลังการปฏิรูประบบ ววน. ในปี 2562 ได้มีการจัดตั้งกองทุน ววน. ขึ้น โดยมี กสว. ทำหน้าที่กำหนดและขับเคลื่อนนโยบาย รวมถึงจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณของประเทศให้เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและแก้ปัญหาสำคัญของประเทศในด้านต่าง ๆ ตามนโยบายและทิศทางที่สภานโยบายได้กำหนดไว้

 
 

ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวเสริมว่า กสว. ได้อนุมัติงบประมาณ แก้ไขปัญหาและตอบสนองภาวะวิกฤติเร่งด่วนของประเทศ ในประเด็น “งานวิจัยนวัตกรรมและการใช้ประโยชน์เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน ฝุ่นละออง PM 2.5 แบบมุ่งเป้าและบูรณาการ” โดยใช้งบประมาณ 2 ปี รวมจำนวน 155,000,000 บาท แบ่งเป็นงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ.2566 จำนวน 77,700,000 บาทและปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 77,300,000 บาทรวมทั้งให้ทุนแก่หน่วยงาน/นักวิจัยตามโจทย์สำคัญเร่งด่วน โดยใช้กระบวนการอนุมัติแผนงานสำคัญเร่งด่วนและงบประมาณให้ทันต่อสถานการณ์มองทั้งระยะสั้น กลางและระยะยาว สำหรับการนำผลงานวิจัยไปใช้ในสนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาและการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในระดับพื้นที่ในแต่ละจังหวัด มีเป้าหมายสำคัญ คือ การเร่งนำงานวิจัยและนวัตกรรมที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกองทุน ววน. ไปช่วยแก้ปัญหาวิกฤติ ส่งเสริมคุณภาพชีวิต และส่งเสริมการกินดีอยู่ดีของประชาชน เพื่อสร้างผลลัพธ์และผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังได้ร่วมทำงานแบบบูรณาการกับหน่วยงานระดับท้องถิ่น เพื่อให้ทราบถึงโจทย์สำคัญของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และให้สามารถแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับบริบท มีประสิทธิภาพภายในระยะเวลาที่เร่งด่วนหน่วยงานภาควิชาการ ได้เร่งระดมหาทางออกให้กับจังหวัดเชียงใหม่มาอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเสริมให้เป็นเมืองที่ใช้ประโยชน์จากกองทุน ววน. อย่างเข้มข้น เพื่อสนับสนุนการบริหารท้องถิ่นให้คล่องตัวและสามารถบูรณาการการทำงานบนระบบข้อมูลและงานวิจัยอย่างเข้มข้นมากขึ้น

“ความสำคัญของงานวิจัยจะช่วยให้ผู้ดำเนินงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงความซับซ้อนของปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนาน นำมาสู่การแก้ไขที่เป็นระบบ รวมทั้งเป็นแนวทางเชิงรุกที่สามารถคลี่คลายปัญหาได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการแจ้งเตือนสถานการณ์ความเสี่ยง การควบคุมเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที การจำกัดจำนวนการเกิดเหตุไฟป่า การช่วยรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ การสร้างความร่วมมือกับชาวบ้านเพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงสำคัญในการแก้ไขปัญหา อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ที่มีแนวโน้มประสบปัญหาเดียวกันซึ่งจะทำให้งานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนมีความยั่งยืนและมีโอกาสนำไปใช้เป็นวงกว้าง”

 
 
ขณะที่ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า ช่วงที่จังหวัดเชียงใหม่ต้องเผชิญกับวิกฤติไฟป่า ฝุ่นควันต่างๆ งานวิจัยนับเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยลดข้อถกเถียงของวิธีแก้ไขที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสับสนระหว่างปฏิบัติงาน อย่างเช่นปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ที่ยังไม่มีแนวทางแก้ไขที่เป็นรูปธรรม งานวิจัยได้ช่วยให้มีบทสรุปขององค์ความรู้ วิธีดำเนินการ และแนวทางแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ตรงกับบริบทของพื้นที่ ชีวิตของคนในชุมชน และเป็นไปได้ในทางปฏิบัติแบบที่ทุกภาคส่วนต้องการ ดังนั้น เมื่อพื้นที่มีองค์ความรู้ที่หลากหลาย สิ่งที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจะทำได้ คือ การเปิดพื้นที่ เชิญหลากผู้รู้จากภาคส่วนต่าง ๆ มาร่วมแลกเปลี่ยน ระดมความคิดเห็น และวิเคราะห์องค์ความรู้ที่มีร่วมกัน จนนำไปสู่การลงมือปฎิบัติจริง นอกจากนี้งานวิจัยยังช่วยให้หลากผู้รู้ยอมรับว่าการตกผลึกขององค์ความรู้ว่าทางออกที่แท้จริงของพื้นที่คืออะไร
 
 
 

ด้านนายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การปฏิบัติการแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควันกับสกสว. นับเป็นอีกแนวทางสำคัญที่จะทำให้วิกฤติคลี่คลายได้เร็วขึ้น โดยที่ผ่านมาทางเชียงใหม่ได้มีการนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้แล้วแต่อาจยังไม่ทั่วถึง และบางนวัตกรรมอาจยังไม่ครอบคลุมกับปัญหาทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดมีความยินดีและมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าทั้ง 16 โครงการวิจัยที่สกสว. และกองทุน ววน. ได้สนับสนุนมานั้นจะไม่ได้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือเฉพาะในระยเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แต่สามารถนำไปเชื่อมโยงกับพื้นที่ที่กำลังเผชิญกับปัญหา และพื้นที่ที่มีความเสี่ยง โดยการนำงานวิจัยมาใช้ยังเป็นการสร้างแรงจูงใจให้การปกครองส่วนท้องถิ่นเห็นความสำคัญในการพัฒนาพื้นที่ที่สามารถใช้ควบคู่ไปกับการออกนโยบาย ยกระดับเมืองเชียงใหม่ให้เกิดการใช้งานวิจัยเพื่อสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ สังคม และอื่น ๆ ที่เป็นบริบทสำคัญของจังวัดได้อย่างเข้มข้น”

 

นายทศพล กล่าวทิ้งท้ายว่า การถอดบทเรียนจากสภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น เพื่อร่วมกันหาแนวทางการบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรม โดยคาดหวังว่าเมื่อ จ.เชียงใหม่ ได้ทดลองปรับโครงสร้างให้องค์กรส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมนำเทคโนโลยีและงานวิจัยมาใช้ติดตาม วางแผนการรับมือ และแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM 2.5 ภายใต้การสนับสนุบงบประมาณจากกองทุน ววน. จะช่วยให้ จ.เชียงใหม่ ได้รับประโยชน์จากงานวิจัย และเกิดผลกระทบเชิงบวกทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรการใช้ประโยชน์จากที่ดินอย่างเป็นระบบที่จะเป็นแรงจูงใจไม่ให้เผาและบุกรุกป่า การส่งเสริมความเข้าใจและค่านิยมของประชาชนจากความเข้าใจถึงผลกระทบและช่วยกันลดปัญหาต่าง ๆ ปรับโครงการสร้างการเพาะปลูกเพื่อเข้าสู่วิถีเกษตรไม่เผา และมีทางเลือกสำหรับการทำเกษตรกรรมที่จะมีพืชเศรษฐกิจใหม่ ๆ ในแต่ละพื้นที่ ตลอดจนการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในด้านองค์ความรู้ การร่วมบริหารจัดการและป้องกัน รวมถึงนโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศ

 
 
 

รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า สกสว. เป็นหน่วยงานที่มีพันธกิจสำคัญในการจัดทำ และขับเคลื่อนนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ของประเทศให้ไปสู่การปฏิบัติ รวมถึงดำเนินการจัดสรรงบประมาณของกองทุน ววน. ไปยังหน่วยงานต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมให้มีการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมในระบบ ววน. ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เกิดผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น สกสว. พร้อมนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมในระบบ ววน. มาร่วมขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่วิกฤตเร่งด่วน ในส่วนการดำเนินงานที่ผ่านมา สกสว. โดยกองทุน ววน. ได้มีการสนับสนุนงบประมาณวิจัยในประเด็นปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 และปัญหาไฟป่าในพื้นที่ปฏิบัติการ จ. เชียงใหม่  ภายใต้งบประมาณปี 2566 -2567 เป็นงบประมาณวิจัยปีละกว่า 70 ล้านบาท รวม2ปี  150 ล้านบาท  โดยพิจารณาอนุมัติงบประมาณเป็นแบบรายปี จัดสรรงบประมาณให้แก่สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จำนวน 43,050,000 บาท และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) จำนวน 34,650,000 บาท โดยมุ่งขับเคลื่อน 4 มิติเร่งด่วน ดังนี้

 

1.โครงการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาการลดไฟในพื้นที่ป่า จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนมีแรงจูงใจในการรักษาผืนป่า มากกว่าเดิมด้วยกลไกการตอบแทนคุณนิเวศ หรือ Payment for Ecosystem Service (PES) ด้วยการศึกษาบริการทางนิเวศและมูลค่าของทรัพยากรเพื่อระดมทุนจากภาคเอกชนและประชาชนไปใช้สนับสนุนชุมชนในการอนุรักษ์ป่าและป้องกันไฟป่า เช่น การขายคาร์บอนเครดิต การทำวิจัยชุมชนเพื่อพัฒนากิจกรรมการอนุรักษ์และกองทุนอนุรักษ์ระดับชุมชน เพื่อ สร้างรายได้ให้กับชุมชน และเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการไฟป่าของชุมชนและหน่วยงานในพื้นที่ ตลอดจนการพัฒนาระบบติดตามและการวิเคราะห์โอกาสความเสี่ยงที่แม่นยำผ่านการใช้เทคโนโลยีเชิงลึกและงานวิจัย

 

2.การจัดการระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือบิ๊กดาต้า ที่จะช่วยให้ข้อมูลที่มีทั้งหมดสามารถแก้ไขปัญหาไฟป่า – ปัญหาฝุ่นควันที่แต่เดิมมีความซับซ้อน ลดการเกิดการเผาไหม้ซ้ำ ๆ และสามารถนำข้อมูลไปจัดทำแผนและมาตรการต่าง ๆ ได้เพิ่มเติม ได้แก่ ข้อมูลชุดที่ 1 สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 และมลพิษทางอากาศ ข้อมูลด้านจุดความร้อน (Hotspot) ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาในปัจจุบัน ข้อมูลชุดที่ 2 ด้านอุตุนิยมวิทยา และสภาพของพื้นที่ ข้อมูลชุดที่ 3 ด้านการป้องกันผลกระทบและวิธีการเยียวยา ข้อมูลชุดที่ 4 ข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการ การลดสาเหตุ การรองรับการเผชิญเหตุ และรองรับการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ โดยทั้ง 4 ชุดข้อมูลนี้ยังมีโอกาสที่จะเชื่อมโยงไปสู่การกำกับและติดตามค่าฝุ่น PM 2.5 ในภาพรวมทั้งประเทศที่ดำเนินงานโดยกรมควบคุมมลพิษ และพ.ร.บ.อากาศสะอาดและมาตรการสร้างแรงจูงใจในการลดฝุ่น PM 2.5 ของกรรมการร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาด

 

3.การแก้ปัญหาการลดไฟในพื้นที่เกษตร การทำให้ชุมชนปรับเปลี่ยนระบบเกษตรเป็นการปลูกพืชแบบไม่เผา และมีนวัตกรรม / วิธีทำเกษตรที่สร้างรายได้สูงกว่าเดิม โดยเฉพาะวิธีการจัดการแปลงก่อนเริ่มทำการเพาะปลูกและหลังกระบวนการเก็บเกี่ยว ตลอดจนการปรับเปลี่ยนจากพืชล้มลุกเป็นพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น กาแฟ แมคคาเดเมีย อะโวคาโด หรือ ไม้ยืนต้นและไม้โตเร็วที่มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอน และโครงการวิจัยในกลุ่มนี้ยังมุ่งให้มีการนำเศษวัสดุทางการเกษตรไปทำพลังงานชีวมวลทดแทนพลังงานเชื้อเพลิง ซึ่งจะทำให้ทั้งเกษตรกร ผลผลิต และไร่นาแต่ละพื้นที่มีความยั่งยืนขึ้น

 

4.การลดฝุ่นข้ามแดน ซึ่งจะช่วยให้ประเทศเพื่อนบ้านนำแนวทางการลดฝุ่น (Best Practice) ไปขยายผลกับการผลิตการเกษตรภายในประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงเกิดการถ่ายอดองค์ความรู้ที่สำคัญที่สามารถใช้ได้ร่วมกันระหว่างสามประเทศ คือ ไทย ลาว เมียนมา และถอดบทเรียนการพัฒนาและการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพในการลดมลพิษหมอกควันข้ามแดน

 

ด้านนายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ประธานกรรมการกำกับติดตามแผนงานการนำ ววน. ไปใช้แก้ปัญหาวิกฤติฝุ่นละออง PM2.5 กรรมาธิการวิสามัญร่างกฎหมายบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด กล่าวว่า ขณะนี้ (ร่าง) พ.ร.บ. อากาศสะอาด อยู่ในขั้นการพิจารณาของกรรมาธิการ จำนวน 7 ฉบับ ซึ่งเป็นกระบวนการนี้ต้องการข้อมูลงานวิจัยมาช่วยสนับสนุนการพิจารณาให้เนื้อหามีความสมบูรณ์ และครบถ้วนในทุกมิติ  

 

       การจะแก้ปัญหาสำคัญของประเทศให้เป็นรูปธรรมได้นั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ต้องบูรณาการข้อมูลและส่งต่อผลงานอย่างเป็นระบบ รวมทั้งต้องมีเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับผู้ใช้ และผู้ได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำความคิดเห็นไปปรับกระบวนการขับเคลื่อนให้ตอบโจทย์และความต้องการมากที่สุด ดังนั้น การหารือในครั้งนี้จะทำให้ กสว. และหน่วยงานทุกภาคส่วนได้รับทราบภาพรวมความคืบหน้าการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมในระบบ ววน. มาขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ รศ.ดร. ปัทมาวดี กล่าวเสริม

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สกสว.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

คุณตัน มอบเงินแสนให้ 54 หมู่บ้านหลังจบ ภารกิจท้าชาวเชียงใหม่ลด “จุดความร้อน”

 

เมื่อวันที่  2 พ.ค.2567 ที่ผ่านมา หอประชุมที่ว่าการอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ คุณตัน ภาสกรนที หรือ “ตัน อิชิตัน” นักธุรกิจเจ้าของเครื่องดื่มชื่อดังของเมืองไทย ได้เดินทางมามอบเงินรางวัลให้กับหมู่บ้านที่สามารถลดจุดความร้อนได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ตามเงื่อนไขที่ได้มีการลงนาม MOU ร่วมกันระหว่างมูลนิธิตันปัน กับ มูลนิธิป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นควัน จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะประธานมูลนิธิป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นควันจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายอำเภอแม่ริมและนายอำเภอหางดง ร่วมเป็นสักขีพยาน

หลังมูลนิธิตันปัน นำโดย คุณตัน ภาสกรนที ได้มาร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับมูลนิธิป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นควัน จังหวัดเชียงใหม่ โดยเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567  เพื่อบูรณาการความร่วมมือ และทดสอบความท้าทายในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ร่วมกับ 69 หมู่บ้าน โดยเริ่มเก็บสถิติเป็นเวลา 40 วัน เงื่อนไขให้ลดจำนวนจุดความร้อนให้ได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับจำนวนจุดความร้อนในช่วงระยะเวลาเดียวกันในปี 2566  ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม – 30 เมษายน 2567 หากสามารถทำได้ตามเงื่อนไขได้ จะมอบงบประมาณสนับสนุนเป็นเงินรางวัลให้หมู่บ้านละ 100,000 บาท

ซึ่งผลปรากฏว่า มี 54 หมู่บ้าน จากทั้งหมด 69 หมู่บ้าน ที่สามารถก้าวข้ามความท้าทายและดำเนินการตามเงื่อนไขได้สำเร็จ ประกอบไปด้วย หมู่บ้านในอำเภอแม่ริม 36 หมู่บ้าน และ หมู่บ้านในอำเภอหางดง 18 หมู่บ้าน ส่งผลให้จำนวนจุดความร้อนใน 2 อำเภอ ลดลงเป็นจำนวนมาก จากเดิมในปี 2566 เกิดจุดความร้อนทั้งหมด 324 จุด ส่วนปีนี้ลดลงเหลือเพียง 111 จุด หรือลดลงจากเดิมกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม คุณตัน ยังได้มอบเงินรางวัลปลอบใจให้กับอีก 15 หมู่บ้าน ที่ไม่สามารถทำได้ตามเป้าอีกหมู่บ้านละ 10,000 บาท รวมเป็นยอดเงินสนับสนุนในครั้งนี้กว่า 5.5 ล้านบาท

โดย คุณตัน ภาสกรนที เปิดเผยว่า การดำเนินการดังกล่าวถือว่าประสบผลอย่างมาก ทั้งสองอำเภอสามารถช่วยกันลดจุดความร้อนได้กว่า 65 เปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลาเพียง 40 วัน ทั้งที่อยู่ในช่วงที่เป็นจุดพีคของการเกิดไฟป่า อย่างไรก็ตามหากจะให้เกิดความยั่งยืน ประชาชนทุกคนจะต้องให้ความร่วมมือแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM2.5 อย่างจริงจัง ส่วนในปีหน้าก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนอีก แต่เพียงตนเองอาจจะมีกำลังไม่มากพอ ดังนั้น อาจจะต้องร่วมมือกับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ โรงแรม ห้างร้าน และหน่วยงานภาคเอกชนอื่นๆ เข้ามาร่วมสนับสนุน เพื่อให้ครอบคลุมทั่วทั้งจังหวัด ถือเป็นการคืนความสุขให้กับประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

AIS เผย จ.เชียงใหม่ ใช้มือถือสูงสุด อันดับ 5 ช่วงสงกรานต์ ปี 2567

 

เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2567 โดยจากการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานตั้งแต่วันที่ 12-15 เมษายน 2567 พบข้อมูลที่น่าสนใจอีกหลายประเด็น อาทิ

Top 10 จุดเล่นน้ำใช้อินเทอร์เน็ตฉ่ำที่สุด คือ 1. ถนนข้าวหลาม ชลบุรี 2. ป่าตอง ภูเก็ต 3. ถนนข้าวเหนียว ขอนแก่น 4. ประตูชุมพล นครราชสีมา 5. ถนนข้าวสุก อ่างทอง 6. ไอคอนสยาม กรุงเทพ 7. สยามสแควร์ กรุงเทพ 8. RCA กรุงเทพ 9. ถนนข้าวดอกข่า พังงา 10. ถนนข้าวสาร กรุงเทพ

 

 

ส่วนจังหวัดที่มีการใช้งานมือถือสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, นครราชสีมา, สมุทรปราการ และเชียงใหม่ โดยจังหวัดที่มีการใช้งานเน็ตบ้านสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, นนทบุรี, ชลบุรี, ปทุมธานี และสมุทรปราการ ซึ่งมีอัตราการเติบโตของการใช้งานสูงขึ้นจากปีก่อน กว่า 15.78% แสดงให้เห็นว่ายังมีลูกค้าที่ใช้เวลาในช่วงวันหยุดยาวทำกิจกรรมร่วมกันภายในบ้านกับครอบครัว

 

ขณะที่จุดท่องเที่ยววันหยุดยาวที่มีการใช้งาน AIS Super Wifi สูงสุด คือ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ด้านถนนสายหลักยอดฮิตในการเดินทางที่ใช้งานสูงสุด ได้แก่ ถนนเพชรเกษม, ถนนพหลโยธิน, ถนนสุขุมวิท และถนนมิตรภาพ ตามลำดับ ส่วนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่ถูกใช้งานสูงสุดผ่านมือถือ ได้แก่คือ Facebook, TikTok และ YouTube ตามลำดับ และบนเน็ตบ้าน ได้แก่ Facebook, TikTok และ YouTube เช่นกัน

 

สำหรับคอนเทนต์ที่ถูกรับชมมากที่สุดบน AIS PLAYBOX คือ หนังและซีรีย์ 24% รายการเกี่ยวกับเด็กและครอบครัว 10% โดยพบว่ารายการเกี่ยวกับเด็กและครอบครัวถูกใช้เวลาในการรับชมนานกว่าหนังและซีรีย์ถึง 2 เท่า แสดงถึงพฤติกรรมการใช้งานของกลุ่มครอบครัวที่ใช้เวลาร่วมกันในช่วงวันหยุดยาว

 

ขณะที่อัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย (Inbound Roamer) เติบโตถึง 38% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และอัตราการเติบโตของการแลกสิทธิเศษในช่วงสงกรานต์ เพิ่มขึ้น 15-30% ต่อวัน โดย Top 3 อันดับ สิทธิพิเศษที่ลูกค้าใช้คะแนน AIS 1 Points แลกมากที่สุด อันดับ 1 คูปองส่วนลดบิ๊กซี มูลค่า 100 บาท อันดับ 2 อุ่นใจซองกันน้ำ และอันดับ 3 แลกรับโค้ดชม WeTV VIP

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : AIS

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News