Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย เร่งให้การช่วยเหลือ พี่น้องตับเต่ากว่า 17 หมู่บ้าน

 

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 เวลา 10.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายที่สะพานขาดบ้านปางค่า ตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ซึ่งสะพานเชื่อมระหว่างหมู่บ้านถูกน้ำตัดขาด ทำให้ประชาชนกว่า 17 หมู่บ้านไม่สามารถสัญจรได้ตามปกติ

นายก อบจ.เชียงราย พร้อมกับกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้จัดส่งเรือยนต์และเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการลำเลียงประชาชน ผู้ป่วย อาหาร และเครื่องดื่มเข้าพื้นที่ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที ขณะเดียวกัน กกล.ผาเมือง ร่วมกับ ร้อย.ทพ.3105 ฉก.ทพ.31 อำเภอเทิง และ แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 กรมทางหลวง ได้ดำเนินการสร้างสะพานข้ามแบบชั่วคราว (สะพานแบริ่ง) เพื่อเชื่อมต่อเส้นทางการสัญจร

ต่อมาในเวลา 15.30 น. นายก อบจ.เชียงราย ได้รายงานสถานการณ์ให้พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด รับทราบ และร่วมมอบถุงยังชีพ พร้อมกับวางแผนให้การช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับบ้านเหล่า หมู่ 1 ตำบลตับเต่า ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม

ขณะนี้ระดับน้ำในบางจุดเริ่มลดลงบ้างแล้ว แต่ในชุมชนติดแม่น้ำอิงยังทรงตัว เนื่องจากมีน้ำจากจังหวัดพะเยาไหลลงมา เจ้าหน้าที่ทหารจากศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มทบ.37 ได้ตั้งโรงครัวพระราชทานและรถครัวสนามเคลื่อนที่เพื่อแจกจ่ายอาหารให้กับผู้ประสบภัย นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานและภาคเอกชนร่วมบริจาคอาหารและน้ำดื่ม

พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ได้ลงพื้นที่ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย อำเภอเทิง เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งได้มอบถุงยังชีพที่บ้านพระเกิด หมู่ 14 ตำบลเวียง และบ้านเหล่า หมู่ 1 ตำบลตับเต่า

ทางผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้สั่งการให้หน่วยงานทหารในพื้นที่บูรณาการเข้าช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ศบภ.มทบ.37 นำรถครัวสนามทำอาหาร “อิ่มท้อง ของครบ รบเงียบ เฉียบบริการ”

 
รถครัวสนาม อีกหนึ่งยุทโธปกรณ์จากกองทัพ ที่คอยช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในทุกสถานการณ์ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน กองทัพบกได้ดำเนินการในด้านต่างๆ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาโดยตลอดเท่าที่จะสามารถช่วยเหลือได้ โดยเฉพาะการดูแลในเรื่องของปากท้องให้กับผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ต่างๆ ที่ทำกันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่ สามารถสังเกตุและพบเห็นได้อยู่เป็นประจำเสมอ นั่นคือรถ 6 ล้อสีเขียวขี้ม้าที่จอดอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ที่บนรถจะมี เจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังต้ม ผัด แกง ทอด ประกอบเมนูต่างๆ วุ่นอยู่ตลอดเวลา เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนและ เจ้าหน้าที่หรือบุคลากรทางการแพทย์ต่างๆ ที่จะมาเข้าคิวรอรับอาหารกล่องเพื่อนำไปทานกันอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ 
 
ซึ่งรถคันนี้ ก็คือรถครัวสนามของกองทัพบกนั่นเอง และถึงแม้จะไม่ใช่ยุทโธปกรณ์ในการรบอย่างเช่นรถถังหรือยานเกราะ แต่บทบาทของรถครัวสนามที่กล่าวถึง ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ารถรบเหล่านั้นเลย ซึ่งในวันนี้แอดมินจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับรถครัวสนามกันอย่างละเอียด รวมไปถึงบทบาทและความสำคัญของยุทโธปกรณ์ ชนิดนี้กันอีกครั้ง ก่อนอื่นเลย ก็ขอย้อนไปถึงความเป็นมาของรถครัวสนามกันเสียก่อน รถครัวสนาม คือยุทโธปกรณ์ชนิดหนึ่งในสายเหล่าทหารพลาธิการ ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อปี 2547 ในเหตุการณ์สึนามิพัดถล่มจังหวัดทางภาคใต้ของไทย 
 
เหตุการณ์ในครั้งนั้นก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างมากมายประเมินค่าไม่ได้ กองทัพบกเองในขณะนั้นได้ส่งกำลังพลต่างๆ ทั้งทีมแพทย์ทหาร ชุดพยาบาลทหารบก พร้อมยุทโธปกรณ์ต่างๆ เข้าช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงมีการต่อรถครัวสนามขึ้นมาเพื่อประกอบอาหารเลี้ยงทั้งประชาชนและ จนท. โดยครัวสนามแรกเริ่มในตอนนั้นเป็นรถพ่วงแบบลากจูงจำนวน 2 คัน และเมื่อนำเข้าไปในพื้นที่ประสบภัยแล้ว มันก็แสดงศักยภาพออกมาให้เห็น ด้วยการผลิตอาหารออกแจกจ่ายให้กับประชาชนและ จนท. อย่างต่อเนื่องได้เป็นจำนวนไม่น้อยในแต่ละวันในขณะนั้น แต่ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพ แต่ด้วยจำนวนที่มีเพียงแค่ 2 คัน ก็ไม่สามารถที่จะผลิตอาหารแจกจ่ายให้กับประชาชนได้ทั่วถึง 
 
แต่ ณ ตอนนั้นก็มีหน่วยงานและองค์ต่างๆ หลายองค์กรที่สนับสนุนข้าวปลาอาหารและน้ำดื่มให้กับประชาชนและ จนท.ต่างๆ อีกเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน จนสถานการณ์คลี่คลายลง และสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาได้ หลังจากเหตุการณ์สึนามิผ่านพ้นไป กองทัพบกได้เล็งเห็นความสำคัญของรถครัวสนาม ที่จะสามารถใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นในอนาคต เพราะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือพิบัติภัยต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้มีการจัดสร้างรถครัวสนามเพิ่มอีก 4 คัน และส่งไปประจำตามกองทัพภาคต่างๆ ทัพภาคละ 1 คัน แต่ถึงแม้รถครัวสนามเหล่านี้จะออกปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการช่วยเหลือประชาชนจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง 
 
โดยเฉพาะเหตุการน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดต่างๆ จนมาถึงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ครัวสนามเคลื่อนที่กองทัพบกนี้ ก็ได้ออกปฏิบัติภารกิจของมันอย่างไม่หยุดหย่อน แม้แต่เหตุการณ์ปะทะกันที่เขาพระวิหาร ทบ. ก็จัดรถครัวสนามเข้าไปในพื้นที่ ทำอาหารแจกจ่ายให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจนเหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกติ จากปัญหาข้อขัดข้องดังกล่าว กองทัพบกจึงได้มีการจัดสร้างรถครัวสนามเพิ่มเติม รวมถึงปรับปรุงให้มีความทันสมัยและเพิ่มประสิทธิภาพให้มีมากขึ้น จากเดิมที่เป็นรถพ่วง ก็เปลี่ยนมาเป็นรถ 6 ล้อที่มีอุปกรณ์จำเป็นในการประกอบอาหารครบถ้วนในคันเดียว เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายไปตามสถานที่ต่างๆ ได้อย่างคล่องตัวอย่างที่พวกเราเห็นกันทุกวันนี้นี่ล่ะครับ และจากเดิมที่มีเพียงแค่หลักหน่วย ก็เพิ่มมาเป็นหลักสิบ จนปัจจุบันนี้ กองทัพบกมีรถครัวสนามอยู่ในประจำการราวๆ 160 คัน กระจาย อยู่ตามหน่วยทหารต่างๆ ทั่วประเทศ 
 
สำหรับข้อมูลทางเทคนิคนั้น “รถครัวสนาม” เป็นรถครัวสำหรับประกอบเลี้ยงให้กับกำลังพล (หน่วยทหารระดับกองร้อย) ในการปฏิบัติภารกิจของทางราชการ งานในราชการสนาม และประกอบเลี้ยง ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัยหรือตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เป็นรถ 6 ล้อ ความยาวส่วนบรรทุก 5.5 เมตร กว้าง 2 เมตร เครื่องยนต์ดีเซล 5000 cc ติดกล้องสำหรับมองภาพด้านหน้า/หลัง ด้านหลังติดไฟพรางทางยุทธวิธี มีอุปกรณ์สำหรับประกอบเลี้ยง และชุดเลี้ยงดูวางอยู่ในตำแหน่งส่วนบรรทุกส่วนครัวทั้งด้านขวาและด้านซ้าย 
 
โดยส่วนบรรทุกส่วนครัวด้านขวาประกอบด้วยอ่างล้างจาน, ปั๊มน้ำพร้อมอุปกรณ์และระบบเชื่อมต่อน้ำภายนอก, หัวเตาแก๊ส 2 หัวเตาพร้อมโครง, เตาสำหรับวางกระทะและหม้อต้ม, เตาทอดอาหารแบบ Deep–Frying, ตู้เก็บของ และถังเก็บน้ำดื่มขนาดไม่น้อยกว่า 200 ลิตร ชนิดเปิด – ปิดด้วยเท้าเหยียบ สำหรับส่วนครัวด้านซ้ายประกอบด้วยถังบรรจุข้าวสารขนาด 60 กก., หม้อหุงข้าวแบบใช้แก๊สขนาดความจุ 10 ลิตร จำนวน 4 หม้อ, ตู้เก็บของและถังแก๊สขนาดความจุแก๊ส 48 กิโลกรัมจำนวน 4 ถัง, ตู้แช่แบบบานเปิด 4 บาน ความจุ 36 คิวบิก, ตู้เก็บของ, ถังหูหิ้ว กระทะใบบัว, หม้อต้ม, เครื่องบด/สับอาหาร, โต๊ะประกอบเลี้ยง และมีระบบไฟส่องสว่างในจุดต่างๆ ของตัวรถ 
 
โดยรถครัวสนาม 1 คัน จะมี จนท.ทหารประจำรถทั้งหมด 12 นาย แบ่งเป็นนายทหารควบคุมรถ 1 นาย, จ่า/นายสิบทำหน้าที่พลขับ 2 นาย, ช่างประจำรถ 2 นาย, พ่อครัว 2 นาย, และน้องๆ พลทหารอีก 5 นายคอยเป็นลูกมือ แต่ที่บอกไปนั่น ก็คือการแบ่งตามอัตราการจัดครับ พอถึงเวลาจริงทุกๆ คนก็จะมาช่วยเหลือในการประกอบอาหารกันทั้งหมดนั่นล่ะครับ ไม่มีใครที่จะทำแต่หน้าที่หลักของตนเองอย่างเดียว สุดท้ายทั้ง 12 นายนี้ก็จะทำงานร่วมกันเป็นทีม เรียกว่าทีมครัวสนาม และโดยประสิทธิภาพของรถครัวสนามนี้ ร่วมกับทีมครัวสนามประจำรถ ทำให้สามารถผลิตข้าวกล่องได้ถึง 3000 กล่อง/มื้อ/คัน และนอกจากประสิทธิภาพในการผลิตแล้ว การประกอบอาหารแต่ละวัน พ่อครัวก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเมนูอยู่ตลอด 
 
เพื่อไม่ให้เกิดความน่าเบื่อจำเจ และที่สำคัญต้องสะอาด ถูกหลักอนามัย เห็นแบบนี้แล้วรู้เลยว่าทหารเหล่าพลาฯ ก็เหนื่อยไม่น้อยไปกว่าเหล่าอื่นๆ ยิ่งในช่วงที่เกิดภัยพิบัติหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ พวกเขาเหล่านี้ต้องระดมลงแรงกันโดยไม่ได้หยุด เพื่อให้มีอาหารแจกจ่ายประชาชนอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน แต่พอเห็นรอยยิ้มของประชาชนที่มารับอาหารรับข้าวกล่องไปกินกัน พวกเขาก็หายเหนื่อย
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ถนนคนข่าว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘สนามบินเชียงราย’ ยังไม่กระทบ พร้อมตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด

 

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ในภาคเหนือในขณะนี้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) AOT หรือ ทอท. ได้รายงานว่าจากเหตุน้ำท่วมและดินถล่มนั้น ท่าอากาศยานที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ทอท. ยังไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ได้จัดเตรียมแผนการรองรับไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือและบริหารจัดการน้ำภายในสนามบิน โดยการขุดลอกระบบระบายน้ำแบบเปิด ซึ่งเป็นคูระบายน้ำโดยรอบพื้นที่ท่าอากาศยาน และจัดเตรียม เครื่องสูบน้ำด้านทิศเหนือที่ใช้บริหารจัดการน้ำภายในสนามบินเชียงรายให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา และมีการตรวจสอบประตูน้ำว่าสามารถใช้งานได้ปกติ

ซึ่งทาง นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปิดเผยว่า จากการประเมินเบื้องต้น ระดับน้ำและปริมาณน้ำฝนในขณะนี้ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายยังไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม อย่างไรก็ดี ท่าอากาศยานได้ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายปี 2567 ซึ่งเป็นปีที่มีน้ำท่วมหนักอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งตรวจสอบระบบระบายน้ำของสนามบินให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น 

นอกจากนี้ ได้จัดเจ้าหน้าที่มีการตรวจสอบกายภาพ และติดตามสถานการณ์น้ำท่วมโดยรอบพร้อมประเมินสถานการณ์และรายงานสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อีกทั้งได้จัดเตรียมเครื่องอุปโภค บริโภค  รวมถึง ยารักษาโรคใน “ถุงยังชีพ” ตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อช่วยเหลือ บรรเทาภัยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภายในพื้นที่

ขณะเดียวกันท่าอากาศยานเชียงใหม่ ได้ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นำอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็นในการยังชีพ แจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นการช่วยเหลือในการยังชีพในเบื้องต้น และหลังจากนั้นจะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อจะอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป

นอกจากนี้กระทรวงคมนาคมยังได้มอบหมายและสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทลจากอุทกภัยในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งสั่งเปิด “ศูนย์ Command Center ภัยพิบัติกระทรวงคมนาคม” ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการ สั่งการ รับแจ้งเหตุ ประสานข้อมูลการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายใน และภายนอกกระทรวงฯ เพื่อบูรณาการการรายงานผลในการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที

สำหรับทางเจ้าหน้าที่และผู้บริหาร นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย  ,นางแสงเดือน อ้องแสนคำ รชร.(สธ.),ดร.สิทธิปัฐพ์ มงคลอภิบาลกุล รชร.(ปร.) พร้อมพนักงาน ทชร.ร่วมบรรจุถุงอุปโภคบริโภค เพื่อนำไปช่วยเหลือ บรรเทาภัยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภายในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

ก็ได้มีการมอบถุงอุปโภค บริโภค ของ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ให้กับ อบจ.เชียงราย โดยนายเกรียงศักดิ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น
 

สำหรับสถานการณ์ล่าสุดนั้น มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมหลายแห่ง ซึ่งต้องเฝ้าระวังบริเวณพื้นที่เสี่ยง รวม 35 จังหวัด ดังนี้

ภาคเหนือ 12 จังหวัด ประกอบด้วย

  • เชียงราย
  • เชียงใหม่
  • แม่ฮ่องสอน
  • ตาก
  • ลำปาง
  • พะเยา
  • น่าน
  • แพร่
  • สุโขทัย
  • อุตรดิตถ์
  • พิษณุโลก
  • เพชรบูรณ์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด ประกอบด้วย

  • เลย
  • หนองคาย
  • บึงกาฬ
  • หนองบัวลำภู
  • อุดรธานี
  • สกลนคร
  • นครพนม

ภาคตะวันตก 4 จังหวัด ประกอบด้วย

  • กาญจนบุรี
  • ราชบุรี
  • เพชรบุรี
  • ประจวบคีรีขันธ์

ภาคตะวันออก 4 จังหวัด ประกอบด้วย

  • นครนายก
  • ปราจีนบุรี
  • จันทบุรี
  • ตราด

ภาคใต้ 8 จังหวัด ประกอบด้วย

  • ระนอง
  • พังงา
  • ภูเก็ต
  • สุราษฎร์ธานี
  • นครศรีธรรมราช
  • ตรัง
  • พัทลุง
  • สตูล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ส่งเครื่องผลักดันน้ำถึงเชียงราย ผลักดันน้ำ 1.15 ลบ.ม.ต่อวินาที

 

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 เวลา 17.00 น. ว่าที่ ร.ต. ศราวุธ จันทวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ลงพื้นที่อำเภอเชียงของเพื่อติดตามการประกอบและติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมที่กำลังทวีความรุนแรงในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำอิงที่มีปริมาณน้ำมหาศาลไหลมาจากจังหวัดพะเยา ผ่านอำเภอเทิงและอำเภอขุนตาล เพื่อให้สามารถระบายน้ำลงสู่ลำน้ำโขงได้อย่างรวดเร็วที่สุด

นายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย เปิดเผยว่า โครงการชลประทานเชียงรายได้รับการสนับสนุนเครื่องผลักดันน้ำจำนวน 10 เครื่องจากกรมชลประทาน เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยในจังหวัดเชียงราย โดยเครื่องผลักดันน้ำนี้มีความสามารถในการสูบหรือผลักดันน้ำได้ที่อัตรา 1.15 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระยะยกน้ำ 1.2 เมตร และใช้พลังงาน 25 กิโลวัตต์ ซึ่งเครื่องดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในพื้นที่ที่มีความเร็วน้ำไม่เกิน 1.8 เมตรต่อวินาที

การติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำกำลังดำเนินการอย่างเร่งด่วน ณ จุดบ้านเต๋น หมู่ที่ 8 ตำบลสถาน อำเภอเชียงของ ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการระบายน้ำจากแม่น้ำอิงลงสู่แม่น้ำโขง การดำเนินการนี้เป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์น้ำท่วมหนักที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงรายปี 2567 ที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อพื้นที่หลายอำเภอ

ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญกับเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างต่อเนื่องจากปริมาณฝนที่ตกหนักเกินกว่าปกติ ส่งผลให้หลายพื้นที่ในจังหวัดต้องประสบกับปัญหาน้ำป่าไหลหลากและดินสไลด์ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดได้แก่ อำเภอเทิง อำเภอขุนตาล และอำเภอเชียงของ ซึ่งเส้นทางน้ำจากจังหวัดพะเยาไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง ทำให้การระบายน้ำเป็นไปได้ยากและทำให้ระดับน้ำในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

เพื่อรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่รุนแรงนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมมือกันในการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำอย่างรวดเร็ว และจะมีการติดตามการทำงานของเครื่องผลักดันน้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งสามารถช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติธรรมชาติในอนาคต โดยจะมีการทบทวนและปรับปรุงแผนการจัดการอุทกภัยในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง

โดยการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบชลประทานในพื้นที่เสี่ยงภัย พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการควบคุมและบริหารจัดการน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงจากอุทกภัยในอนาคต

สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายปี 2567 เป็นการเตือนภัยที่ชัดเจนถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการแก้ไขปัญหาและสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนถึงความสำคัญของการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีกในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

13 โรงพยาบาล รับผลกระทบน้ำท่วม สธ. เปิดศูนย์ฉุกเฉิน “เชียงราย-พะเยา”

 

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567  นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือของประเทศไทย ว่า ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมยังมีปัญหาเพิ่มขึ้นใน 3 จังหวัด คือ เชียงราย น่าน และแพร่ แต่มีการเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินที่ต้องเฝ้าระวัง 2 จังหวัด คือ เชียงรายและพะเยา 

ทั้งนี้ มีสถานพยาบาลได้รับผลกระทบจำนวน 13 แห่ง เพิ่มขึ้นจากเดิม 7 แห่ง ได้แก่ รพ. 2 แห่ง สาธารณสุขอำเภอ 2 แห่ง และ รพ.สต. 9 แห่ง จำนวนนี้ยังเปิดให้บริการตามปกติ 5 แห่ง ปิดบริการ 8 แห่ง คือ แพร่ มี รพ.สต.บุญเกิด และ รพ.สต.สบบง , เชียงราย มี รพ.สต.ตับเต่า และ สสอ.เทิง , แแพร่ มี รพ.สต.น้ำโค้ง รพ.สต.วังธง ร.สต.สบสาย และ สสอ.เมือง

นพ.สุรโชคกล่าวว่า การดูแลสุขภาพประชาชนขณะนี้มีประมาณ 9 พันครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ ได้มีการจัดหน่วยแพทย์เข้าไปดูแลตามปกติ ส่วนกลางได้สนับสนุนยาช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวน 1 พันชุด ส่วนใหญ่เป็นยาสามัญประจำบ้าน ยารักษาน้ำกัดเท้า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากรายงานจนถึงขณะนี้พบผู้เสียชีวิตสะสมจากเหตุน้ำท่วม 8 ราย บาดเจ็บ 10 ราย รายละเอียดยังต้องรอสรุปอีกครั้ง 

“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้เฝ้าระวังใกล้ชิดและคอยสนับสนุนยาไปให้แก่ผู้ประสบภัย ซึ่งเราก็ส่งไปแล้วประมาณ 1 พันชุด ส่วนใหญ่จะลงไปที่ รพ.สต.เป็นหลัก ส่วน รพ.ใหญ่ยังคงดูแลได้” นพ.สุรโชคกล่าวและว่า สำหรับการประเมินสถานการณ์ใน 6 จังหวัดที่ยังมีปัญหาน้ำท่วม คิดว่าปัญหาอยู่ในระดับเริ่มคงที่ ไม่ได้เพิ่มขึ้น 

เมื่อถามถึงการประเมินความเสี่ยงในจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นเส้นทางของมวลน้ำที่จะไหลผ่าน จะมีมาตรการรองรับอย่างไร  นพ.สุรโชค กล่าวว่า ในพื้นที่ภาคเหนือมีการจัดทำแผนรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วม ดินโคลนถล่มไว้อยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจังหวัดเดิมๆ ที่เคยประสบปัญหาน้ำท่วมอยู่แล้ว ยกเว้นบางจังหวัดที่ไม่ค่อยได้ประสบปัญหา ส่วนจังหวัดที่อยู่ด้านล่างลงมาและเป็นเส้นทางน้ำผ่านก็มีแผนรับมือแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการคาดการณ์ว่าสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้จะรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา แต่มาตรการที่วางไว้สามารถรองรับได้ เพราะก่อนหน้านี้มีการพยากรณ์เอาไว้ว่ามวลน้ำจะเยอะกว่าปีที่ผ่านมา เราจึงมีการทบทวนและซ้อมแผนในพื้นที่ต่างๆ อยู่แล้ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘พาณิชย์’ ตามสถานการณ์น้ำท่วม ห้ามราคาสินค้าฉวยโอกาสขึ้นเด็ดขาด

 

เมื่อวันที่ 23 ส.ค.67 ได้ประชุมร่วมกับห้างค้าส่ง-ค้าปลีก ห้างท้องถิ่น ร้านสะดวกซื้อ ห้างจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง สมาคมขนส่งสินค้านำเข้าและส่งออก สมาคมรถบรรทุก ที่เป็นภาคีเครือข่าย ดังนี้ ห้างโฮมโปร ห้างไทวัสดุ ห้างดูโฮม ห้างโกลบอลเฮ้าส์ ห้างเมกาโฮม ห้างแม็คโคร ห้างบิ๊กซี ห้างโลตัส ห้างโกโฮลเซลล์ ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ชมรมทายาทห้างค้าปลีก-ค้าส่งไทย บริษัท นิ่มซี่เส็ง จำกัด และ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยได้รับแจ้งว่า สาขาในพื้นที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และสามารถเปิดให้บริการประชาชนได้ตามปกติ และมีแผนการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ เช่น เตรียมกระสอบทราย พร้อมกับยืนยันว่า สต๊อกสินค้ามีเพียงพอ ไม่มีการปรับขึ้นราคา พร้อมจัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้าเพื่อช่วยเหลือประชาชน

ทั้งนี้ได้กำชับทุกห้างร้าน หากมีปัญหาในการจัดส่งให้แจ้งกรมฯ เพื่อจะได้ประสานต่อหน่วยราชการในพื้นที่หรือ กอ.รมน. เข้าช่วยเหลือแก้ปัญหาการขนส่ง รวมทั้งไม่ปรับขึ้นราคาสินค้า และจัดเตรียมสินค้าไว้ให้เพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าขาดแคลน โดยเฉพาะของใช้จำเป็น รวมทั้งวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมและทำความสะอาด เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบภัยด้วย 

สำหรับการขนส่งสินค้าผู้ประกอบการขนส่งทางภาคเหนือ ยืนยันว่ายังไม่ได้รับผลกระทบต่อการขนส่งสินค้า แต่อาจมีน้ำท่วมในเส้นทางสายรองบ้าง แต่ยังสามารถขนส่งสินค้าได้ตามปกติ พร้อมเตรียมแผนเส้นทางสำรองและรูปแบบในการขนส่ง ทั้งนี้หลังน้ำลดจะได้ให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดจัดสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยด่วน

นอกจากนี้ ได้กำชับให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัด กำกับดูแลให้มีการปิดป้ายแสดงราคาสินค้า และเข้มงวดไม่ให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า กรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคาจะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และกรณีจำหน่ายสินค้าแพงเกินสมควรจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากพบเห็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่เป็นธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานพาณิชย์จังหวัด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

หน่วยงานเร่งบรรเทาความเดือดร้อนเส้นทาง ภูซาง-ภูชี้ฟ้า-ผาตั้ง ดินสไลด์-ถนนทรุด

 

เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 67 จากกรณีที่มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของ จ.เชียงราย ทำให้เกิดปัญหาน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วม ดินสไลด์ ถนนขาด ในหลายจุดของ อ.เทิง และ อ.เวียงแก่น กรมทางหลวงเร่งดำเนินการซ่อมแซมถนนเชื่อมทางสัญจร ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอเทิงยังคงทรงตัว หลายหน่วยงานเร่งให้การช่วยเหลือ

ถนนทางหลวงหมายเลข 1093 ช่วงบ้านฮวก-เวียงแก่น มีดินสไลด์และถนนทรุดตัวหลายแห่ง รถยนต์ไม่สามารถสัญจรได้ โดยจุดสำคัญพบถนนขาดที่บริเวณบ้านไทยสามัคคี ม.16 ต.ตับเต่า อ.เทิง และที่บริเวณถนนช่วงบ้านร่มโพธิ์ไทย ม.9 ดินสไลด์ ถนนฝังขาไปภูชี้ฟ้าดินสไลด์ทรุดลงไปด้านล่าง ผิวถนนพังเสียหายเป็นเส้นทางประมาณ 100 ม. เหลือเพียงเลนถนนฝั่งมุ่งหน้าไปบ้านฮวก อ.ภูซาง จ.พะเยา เพียงเลนเดียว ส่วนฝั่งตั้งแต่ดอยผาตั้งลงไปทาง อ.เวียงแก่น มีดินสไลด์และถนนทรุดตัวที่บริเวณบ้านปางปอ ม.1 และถนนขาดที่บ้านสันติพัฒนและถนนขาดที่บ้านอยู่สุข ม.10 ต.ปอ อ.เวียงแก่น รถยนต์ไม่สามารถสัญจรได้ แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 แนะว่ารถยนต์ทุกชนิดไม่ควรจะใช้เส้นทางดังกล่าว โดยในส่วนของเจ้าหน้าที่ของกรมทางหลวงจะต้องรอให้ฝนหยุดตกจึงจะสามารถเข้าไปในพื้นที่เพื่อซ่อมแซมถนน คาดว่าอย่างเร็วน่าจะได้เข้าซ่อมแซมถนนได้ประมาณ 1-1.5 เดือนข้างหน้า จะต้องรอให้หมดฤดูฝนไปก่อน ระหว่างนี้ขอให้ผู้ใช้ถนนเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นไปก่อน หากพร้อมจะเปิดใช้งานเมื่อไหร่ประกาศเป็นทางการอีกที ปัจจุบันคนที่ติดค้างอยู่ตรงกลางจะโดนตัดขาดทั้งไฟฟ้า การสื่อสาร ทางสัญจร ไม่สามารถเดินทางออกไปที่ไหนได้ ต้องรอให้สะพานที่บริเวณบ้านปางค่าซ่อมเสร็จ หมู่บ้านในโซนบนดอยจึงสามารถเดินทางลงมาข้างล่างได้ ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างโดนตัดขาดอยู่

ส่วนถนนหมายเลข 1155 ช่วงเทิง-เวียงแก่น มีคอสะพานขาดที่บ้านเหล่า ม.1 ต.ตับเต่า อ.เทิง ทางเจ้าหน้าที่แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 ได้นำเอาเครื่องจักรเขามาทำการซ่อมแซมคอสะพานจนสามารถสัญจรผ่านไปมาได้แล้ว ด้านชาวบ้านกำลังทำความสะอาดบ้านเรือน เนื่องจากมีน้ำหงาวไหลบ่าท่วมทั้งหมู่บ้าน เสียหาย 49 หลังคาเรือน จากทั้งหมด 56 หลังคา ข้าวของภายในบ้านเสียหายทั้งหมด นางซอน รู้หาเงิน อายุ 59 ปี บ้านเลขที่ 37 เผยว่า ช่วงเวลาที่น้ำป่าไหลเอ่อท่วมบ้าน น้ำมาเร็วมาก เก็บข้าวของไม่ทัน เสียหายเกือบทั้งหมด โชคดีที่ย้านตนมี 2 ชั้น จึงไปอาศัยที่ชั้นบนได้อยู่ แต่บ้านที่มีชั้นเดียวทรัพย์สอนเสียหายหมดเลย ยังไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาช่วยทำความสะอาด เห็นมีเพียงกู้ภัยเอาน้ำมาแจกจ่าย ตอนนี้อยากให้ทาง อบต.ตับเต่า มาช่วยฉีดน้ำทำความสะอาดเป็นอันดับแรก

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ซึ่งนำเอาอาหารและน้ำดื่มไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านในฝั่งบ้านปางค่า เผยว่า วันนี้จะนำเสนออาหารไปให้พี่น้องประชาชนซึ่งอยู่โซน 14 หมู่บ้านบนดอยที่โดนตัดขาดทางสัญจร โดยทาง อบจ.เชียงราย ได้เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนำเครื่องจักรลงพื้นที่เพื่อช่วยพี่น้องที่ประสบปัญหาอุทกภัยในทุกพื้นที่ของ จ.เชียงราย อย่างเร่งด่วนแล้ว

ด้านสะพานข้ามแม่น้ำหงาว พื้นที่บ้านปางค่า ม.8 ต.ตับเต่า ที่โดนน้ำหงาวซัดขาดไปเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้บ้านเรือน 7 หมู่บ้านโซนล่างภูชี้ฟ้าโดนตัดขาด ต้องใช้โดรนการเกษตรในการส่งอาหารให้ผู้ประสบภัยที่ออกมาไม่ได้ โดยในวันนี้ทางศูนย์สร้างและบูรณะสะพานที่ 1 จ.พิจิตร ได้นำเอาสะพานแบลี่ย์มาติดตั้งเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเป็นการเร่งด่วน

นายไพบูลย์ อินทร์สอน นายช่างไฟฟ้าชำนาญงาน ศูนย์สร้างและบูรณะสะพานที่ 1 จ.พิจิตร เผยว่า วันนี้ทางศูนย์สร้างและบูรณะสะพาน ได้นำเอาสะพานแบลี่ย์มาติดตั้งการติดตั้งที่บ้านปางค่า ม.8 พบว่ามีตัวสะพานพังเป็นระยะทาง 30 ม. และคอสะพานทรุดตัวอีก 10 ม. การสัญจรระหว่าง 2 ฝั่งโดนตัดขาด ซึ่งในการติดตั้งนี้จะต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน จึงจะแล้วเสร็จ

และในเส้นทางเดียวกัน มีถนนพังช่วงบ้านแผ่นดินทอง-พญาพิภักดิ์ บริเวณเลยสามแยกด่านทหารไปประมาณ 50 ม. ถนนโดนน้ำซัดจนผุพัง ปัจจุบันผิวถนนอสีหายทั้งหมด รถทุกชนิดไม่สามารถผ่านได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ปิดไร่รื่นรมย์เชียงราย ไม่มีกำหนด หลังน้ำท่วมแปลงผัก ที่พัก และคอกสัตว์

 

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 ศิริวิมล กิตะพาณิชย์ ผู้ก่อตั้งไร่รื่นรมย์ เกษตรอินทรีย์ ท่องเที่ยว ออร์แกนิก ที่ตั้งอยู่ในอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ได้โพสต์คลิปวิดีโอผ่านเพจเฟซบุ๊กของไร่รื่นรมย์ เพื่อประกาศปิดไร่อย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อไร่และสิ่งแวดล้อมโดยรอบ

ศิริวิมลได้กล่าวในคลิปว่า “ตอนนี้เนื่องจากมีน้ำท่วมฉับพลัน แม้ตอนแรกจะคิดว่าเป็นฝนตามฤดูกาล แต่เมื่อได้เห็นความรุนแรงของเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้เราตระหนักว่าเรื่อง Global Warming ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไป แต่มันเป็นเรื่องที่ซีเรียสจริงๆ เหตุการณ์นี้สร้างความเสียหายหลายส่วน ทั้งแปลงผัก ที่พัก และสัตว์เลี้ยงในฟาร์มที่ไม่ได้ตั้งตัว เพราะน้ำมาเร็วมาก ไวมาก และแรงมาก ทำให้ทางไร่ต้องตัดสินใจปิดไร่ชั่วคราวโดยไม่มีกำหนดเปิด”

นอกจากนี้ เธอยังได้โพสต์ประกาศเพิ่มเติมว่า “ทางไร่ขอปิดชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากเหตุอุทกภัยในเชียงราย ทำให้ไร่รื่นรมย์ได้รับผลกระทบในหลายส่วน ทั้งแปลงผัก ที่พัก และคอกสัตว์ ซึ่งทีมงานทุกคนได้ร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเต็มที่เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน เราขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมส่งแรงใจให้กับไร่รื่นรมย์”

ศิริวิมลยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ที่ต้องการสนับสนุนไร่รื่นรมย์ ยังสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แปรรูป สินค้าพร้อมทาน ผักสดจากเครือข่ายออร์แกนิก รวมถึงเยี่ยมเยียนและใช้บริการร้านอาหาร Roasty By Rai Ruen Rom ที่สาขาโฮมโปร เชียงราย และบ้านก้ามปู อโศก ในกรุงเทพฯ ได้ตามปกติ

เหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงที่สุดในจังหวัดเชียงรายในปี 2567 ซึ่งเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวัน ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากในหลายพื้นที่ รวมถึงอำเภอเทิง ซึ่งเป็นที่ตั้งของไร่รื่นรมย์ ส่งผลให้การคมนาคมในพื้นที่ถูกตัดขาด และชาวบ้านหลายครัวเรือนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก

ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง น้ำได้ไหลเข้าท่วมพื้นที่แปลงผักและคอกสัตว์ของไร่รื่นรมย์ ส่งผลให้พืชผลที่กำลังเติบโตได้รับความเสียหายอย่างหนัก และสัตว์เลี้ยงหลายตัวต้องเร่งอพยพเพื่อความปลอดภัย ทีมงานของไร่รื่นรมย์ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือและป้องกันความเสียหาย แต่ด้วยความรุนแรงของน้ำที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้การรับมือเป็นไปด้วยความยากลำบาก

วิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งทำให้สภาพอากาศในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ภาวะน้ำท่วมที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในหลายพื้นที่ ทำให้ชุมชนเกษตรกรต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและความเสียหายที่ยากจะคาดการณ์

ไร่รื่นรมย์เป็นหนึ่งในตัวอย่างของความท้าทายที่ชุมชนเกษตรกรต้องเผชิญในการปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ศิริวิมลได้กล่าวปิดท้ายในประกาศของเธอว่า “เราจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน และหวังว่าเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ไร่รื่นรมย์จะได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง ขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบให้กับเรา”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับและความเคลื่อนไหวของไร่รื่นรมย์ สามารถติดตามได้ทางเพจเฟซบุ๊กของไร่รื่นรมย์อย่างต่อเนื่อง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ไร่รื่นรมย์ เกษตรอินทรีย์ ท่องเที่ยว ออแกนิค Rai Ruen Rom Organic Farm

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เทศบาลนครเชียงราย ดึง “เอสที” สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชน

 

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS เชียงราย (อาคารเจียงแสน) จังหวัดเชียงราย ได้มีการแถลงข่าวการจัดการแข่งขันทักษะวิชาการและงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น ระดับประเทศ ครั้งที่ 13 ประจำปี 2567 โดยมี นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วย คณะกรรมการจัดงานและตัวแทนหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมแถลงข่าว นอกจากนี้ได้รับเกียรติจากนักกีฬาทีมชาติไทย โอลิมปิกเกม ปารีส 2024 “น้องเอสที” วารีรยา สุขเกษม นักกีฬาสเก็ตบอร์ดสาวน้อยมหัศจรรย์วัย 12 ปี มาร่วมกันให้กำลังใจนักเรียนและนักศึกษาที่เข้าร่วมแข่งขัน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับน้อง ๆ เยาวชน พร้อมจัดเต็มกิจกรรมตลอดการจัดงานอีกด้วย

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า ในนามเทศบาลนครเชียงราย เจ้าภาพจัดการแข่งขันทักษะวิชาการและงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น ระดับประเทศ ครั้งที่ 13 ประจำปี 2567 เรามุ่งมั่นพัฒนาให้เชียงรายก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของประชาชนและทุกภาคส่วน สร้างโอกาสและอนาคตที่ดีให้กับลูกหลาน โดยมุ่งพัฒนาด้านการศึกษาให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) สอดคล้องกับที่องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ประกาศให้เทศบาลนครเชียงราย เป็นภาคีเครือข่ายด้านเมืองแห่งการเรียนรู้แห่งแรกของประเทศไทยในปี พ.ศ.2562 โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนทุกช่วงวัยมีองค์ความรู้รอบด้าน ยึดหลักการ “การศึกษาพัฒนาคน คนพัฒนาเมือง เมืองพัฒนาคน”

นายวันชัย จงสุทธานามณี ได้กล่าวอีกว่า การแข่งขันทักษะวิชาการและงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่นในครั้งนี้ ได้จัดให้มีการแข่งขันในทุกระดับการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัย ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษา โดยแบ่งออกเป็นการประกวดแข่งขันสามัญ 108 รายการ 23 ประเภท และการประกวดแข่งขันอาชีวศึกษา 34 รายการ รวมทั้งหมด 142 รายการ อีกทั้งยังมีการมอบโล่รางวัลแก่ครูและผู้ดูแลเด็กดีเด่นของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ครูและนักเรียนของสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เข้าร่วมการแข่งขัน ได้แสดงศักยภาพของตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ และได้เรียนรู้พัฒนาตนเองในทุกด้าน

“เทศบาลนครเชียงรายมีความพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพและเจ้าบ้านที่ดี เรายินดีและพร้อมต้อนรับทุกท่านที่ได้มาเยือนเชียงราย ทั้งนักเรียนผู้ชนะจากการแข่งขันในระดับภาค ครูผู้ควบคุม ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและคณะ รวมถึงผู้ปกครองจากทั่วประเทศเข้าร่วมกว่า 20,000 คน ผมในฐานะตัวแทนคณะกรรมการการจัดงานในครั้งนี้ ขอเรียนเชิญทุกท่านร่วมเป็นกำลังใจให้กับผู้เข้าแข่งขัน พร้อมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ กับกิจกรรม Workshop ทั้ง 6 ฐาน ตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในงานเสวนาทางวิชาการจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา และการจัดแสดงผลงานทางวิชาการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาคุณภาพการศึกษาและยกระดับศักยภาพผู้เรียนให้มีมาตรฐานในระดับสากลต่อไป”

สำหรับการแข่งขันทักษะวิชาการและงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น ระดับประเทศ ครั้งที่ 13 ประจำปี 2567 จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 2-5 กันยายน 2567 ณ สนามแข่งขันทั้ง 10 แห่ง ได้แก่ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS เชียงราย (หอประชุมนครเชียงราย), มหาวิทยาลัยพะเยา วิทยาเขตเชียงราย, มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน ๒๐ เชียงราย, วิทยาลัยการอาชีพเชียงราย, วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย, เวทีรำวงสวนตุงและโคมนครเชียงราย, โรงเรียนเทศบาล ๖ นครเชียงราย, โรงเรียนเทศบาล ๗ ฝั่งหมิ่น และโรงเรียนเทศบาล ๘ บ้านใหม่

ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและเป็นที่ยอมรับในผลการตัดสินของผู้เข้าแข่งขัน ตลอดจนความโปร่งใสและเชื่อถือได้ เทศบาลนครเชียงรายและคณะผู้จัดงานได้เชิญคณะอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ

จากสถาบันการศึกษาชั้นนำทั้งในท้องถิ่นและทั่วประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านเข้าร่วมเป็นกรรมการตัดสินการแข่งขันต่าง ๆ มากถึง 170 ท่าน การแข่งขันในบางประเภทได้รับเกียรติจากคณะกรรมการที่มีชื่อเสียงในระดับประเทศ เช่น กรรมการการแข่งขันการกล่าวสุนทรพจน์, การแข่งขันการร้องเพลงลูกทุ่ง และการแข่งขันร้องเพลงพระราชนิพนธ์ อาทิ อาจารย์พะเยาว์ พัฒนพงศ์, อาจารย์เสน่ห์

ศรีสุวรรณ, ดร.อภิชาติ ดำดี, อาจารย์ประยงค์ ชื่นเย็น (นายกสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย/ศิลปินแห่งชาติ), อาจารย์วิไล พนม (นายกสมาคมนักแต่งเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทย), ผศ.ดร.สุรินทร์ เมทะนี (ครูเบิร์ด), อาจารย์ทิพย์วัลย์ ปิ่นภิบาล, อาจารย์รุ่งโรจน์ ดุลลาพันธ์ และอาจารย์สุธีศักดิ์ ภักดีเทวา (ครูโจ้) ร่วมเป็นคณะกรรมการผู้ตัดสิน

นอกจากการแข่งขันทักษะวิชาการแล้ว ยังมีงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น โดยจะมี Workshop ที่ถูกนำเสนอในรูปแบบของท้องถิ่นผสมผสานเข้ากับเทคโนโลยีอย่างลงตัว โดยส่งเสริมให้เด็กได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ผ่านการรับรู้จากประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ รูป รส กลิ่น เสียง และการสัมผัส ซึ่งถูกพัฒนาออกเป็น 5 ฐาน 6 กิจกรรม ประกอบด้วย กิจกรรมการมองเห็น ทายภาพสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย กิจกรรมการลิ้มรส ทดลองชิมอาหารท้องถิ่น กิจกรรมการได้กลิ่น ทดลองดมกลิ่นชา และใบชา กิจกรรมการได้ยิน ทดลองฟังภาษาเหนือพร้อมเรียนรู้ความหมาย กิจกรรมการสัมผัส ทดลองประดิษฐ์หมอนใบชาหรือเพนต์ลายเครื่องเคลือบดินเผา และกิจกรรมการประเมินความฉลาดรู้ PISA

 

อีกทั้งยังมีการเสวนาทางวิชาการ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากคณะวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา จากเวทีเสวนาทางวิชาการทั้ง 3 รอบ ในวันที่ 2-3 กันยายน 2567 เพื่อเป็นแนวทางในการยกระดับ

ศักยภาพผู้เรียนและพัฒนาคุณภาพการศึกษาท้องถิ่นสู่สากล ตลอดจนมีการจัดแสดงผลงานทางวิชาการของเจ้าภาพและหน่วยงานภายนอก โดยในส่วนของเจ้าภาพได้นำเสนอผลงานเด่นของเทศบาลนครเชียงราย และศักยภาพของแต่ละโรงเรียนในสังกัด อาทิ โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย โรงเรียนพระราชทานกิจกรรมเพื่อสังคม “ถุงผ้าเต้านมเทียม” ตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ และโรงเรียนเทศบาล 7 ฝั่งหมิ่น โครงงานเด็กเล็กทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ

นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภายนอกในการจัดแสดงผลงานทางวิชาการเพื่อเผยแพร่นวัตกรรมต่าง ๆ ให้แก่ผู้เข้าชมสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาหน่วยงานของตนเองได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มูลนิธิเป๊ปซี่โค สนับสนุนโครงการ “Little Chef Course” สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 11

 

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567 เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายมันฝรั่งทอดกรอบ “เลย์” ร่วมจัดกิจกรรมอาสาสมัคร “One Smile At A Time-Give Together” และมูลนิธิเป๊ปซี่โค มอบเงินบริจาคจำนวน 19,000 ดอลล่าร์สหรัฐ (ประมาณ 690,000 บาท) แก่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อใช้ในโครงการ “Little Chef Course” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน “สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 11” จะจัดขึ้น ณ โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม 2567 – 26 มกราคม 2568 การสนับสนุนกิจกรรมครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Pep+ (PepsiCo Positive) ของเป๊ปซี่โค เพื่อส่งเสริมความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและความมั่นคงด้านอาหารเพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้คน

 

นายสุดิปโต โมซุมดา กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจอาหารอินโดจีน บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “เป๊ปซี่โค ประเทศไทย เล็งเห็นถึงความสำคัญของความมั่นคงทางอาหารของไทย เราจึงมุ่งส่งเสริมระบบการผลิตอาหารและเครื่องดื่มที่ยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ผ่านการสนับสนุนโครงการเกษตรยั่งยืนซึ่งเน้นการใช้วัตถุดิบหลักภายในประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรไทยมาอย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนงานสีสันแห่งดอยตุงซึ่งเป็นเทศกาลด้านศิลปวัฒนธรรมครั้งสำคัญ จึงสอดคล้องกับพันธกิจหลักของเราอย่างยิ่ง เนื่องจากวัฒนธรรมด้านอาหารถือเป็นอีกหนึ่งอัตลักษณ์ท้องถิ่นที่เชื่อมโยงสู่วิถีชีวิตที่ผาสุกและยั่งยืน โดยเฉพาะโครงการ Little Chef Course ซึ่งมุ่งเน้นการปลูกฝังเยาวชนให้แสวงหาวัตถุดิบที่มีอยู่ตามธรรมชาติในพื้นที่ เพื่อนำมาสร้างสรรค์เป็นเมนูอาหารอย่างมีเอกลักษณ์และเป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อมรอบตัว ผ่านกิจกรรมเวิร์กช็อปและการวางแผนกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อสร้างพื้นฐานการทำงานอย่างมีระบบ นับเป็นการปลูกฝังแนวคิดความมั่นคงทางอาหารในหมู่เยาวชนที่เป็น ‘ต้นน้ำ’ ในมิติทางสังคมได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อร่วมสร้างสรรค์อนาคตแห่งอุตสาหกรรมอาหารที่มีศักยภาพทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศต่อไป” 

 

มร.ฮาทิม คานน์ ผู้อำนวยการอาวุโส มูลนิธิเป๊ปซี่โค ยังกล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “ความมั่นคงทางอาหารเป็นปัญหาระดับโลกที่ต้องการแนวทางการแก้ไขที่เหมาะสมกับแต่ละชุมชน ตลอดระยะที่ผ่านมา มูลนิธิเป๊ปซี่โค ทำงานร่วมกับเครือข่ายของเราทั่วโลกเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องความมั่นคงทางอาหารผ่านวิธีการต่างๆ รวมถึงโครงการอาสาสมัครของพนักงาน ‘Give Together’ ซึ่งเปลี่ยนชั่วโมงอาสาสมัครของพนักงานให้เป็นเงินทุนที่สนับสนุนการทำงานขององค์กรการกุศลในแต่ละประเทศ เรามุ่งมั่นในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในชุมชนเพื่อนำไปสู่ผลกระทบที่ยั่งยืนในสังคมของเราในประเทศไทยและทั่วโลกอีกด้วย”

 

สำหรับโครงการ “Little Chef Course” อยู่ภายใต้โครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในโครงการพัฒนาดอยตุงฯ จ. เชียงราย ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ มุ่งปลูกฝังจิตสำนึกของยาวชนให้ตระหนักถึงอัตลักษณ์ด้านวัฒนธรรม ความมั่นคงทางอาหาร และความสำคัญของการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมเพื่อรักษาแหล่งอาหารที่ยั่งยืนของชุมชน ผ่านการดำเนินงานหลัก 3 ขั้นตอน ได้แก่ EXPLORE – การค้นหาแหล่งวัตถุดิบในท้องถิ่น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจด้านอาหาร EXPERT – การฝึกฝนและเวิร์กช็อปกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประยุกต์องค์ความรู้สู่การปฏิบัติจริง และ EXPERIENCE – การสัมผัสประสบการณ์การทำงาน ผ่านการออกร้านในงานสีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 11

 

มูลนิธิเป๊ปซี่โคในประเทศไทย มูลนิธิเป๊ปซี่โค เป็นหน่วยงานที่ทำงานด้านการทำประโยชน์สาธารณะและสังคมของบริษัทเป๊ปซี่โค เรามีพันธกิจที่จะสนับสนุนการพัฒนาชุมชนให้เกิดความเจริญก้าวหน้า โดยเน้นการส่งเสริมองค์ประกอบที่จำเป็นเพื่อระบบอาหารที่ยั่งยืน มูลนิธิเป๊ปซี่ทำงานร่วมกับองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรและผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก เรามุ่งมั่นที่จะช่วยให้ชุมชนได้รับการเข้าถึงความมั่นคงทางอาหาร การเข้าถึงน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภค และเสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ เรามุ่งมั่นที่จะสร้างผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมให้กับชุมชนที่เราอาศัยและทำงานอยู่ รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจ องค์กรท้องถิ่น องค์กรนานาชาติ และพนักงานของเรา เพื่อส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในวงกว้างเกี่ยวกับขอบข่ายของปัญหาที่มีความสำคัญของประเทศ ตลอดจนปัญหาในระดับโลกเช่นเดียวกัน สามารถเรียนข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.pepsicofoundation.com

 

เป๊ปซี่โค ประเทศไทย มุ่งสร้างความมั่นคงทางอาหารให้ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่มูลค่า ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการทำเกษตรที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนแก่กลุ่มเกษตรกรของประเทศ การใช้กระบวนการผลิตอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้โรงงานที่ดำเนินงานตามแนวคิด ESG ไปจนถึงการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เอื้อต่อกระบวนการรีไซเคิล รวมไปถึงแง่มุมอื่น ๆ อีกมากมาย การร่วมสนับสนุนงานสีสันแห่งดอยตุง ถือเป็นการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารผ่านมิติทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแง่มุมที่เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าด้านเทคโนโลยีการผลิต เพื่อร่วมพัฒนาห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมอาหารควบคู่ไปกับการส่งเสริมอัตลักษณ์ของชุนชมต่าง ๆ ในประเทศอย่างยั่งยืน

 

เกี่ยวกับเป๊ปซี่โค

ผลิตภัณฑ์ของเป๊ปซี่โคเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคเพลิดเพลินได้มากกว่า 1 พันล้านครั้งต่อวันในกว่า 200 ประเทศและดินแดนทั่วโลก เป๊ปซี่โคมีรายได้สุทธิมากกว่า 91,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 จากธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารสะดวกซื้อของบริษัท เช่น เลย์ โดริโทส ชีโตส เกเตอเรด เป๊ปซี่-โคล่า เมาเทนดิว เควกเกอร์ และโซดาสตรีม กลุ่มผลิตภัณฑ์ของเป๊ปซี่โคประกอบด้วยอาหารและเครื่องดื่มมากมาย ซึ่งรวมถึงแบรนด์ดังที่แต่ละแบรนด์มียอดขายปลีกทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี 

Guiding PepsiCo คือวิสัยทัศน์ของเราในการเป็นผู้นำระดับโลกด้านเครื่องดื่มและอาหารสะดวกซื้อ สร้างความสำเร็จด้วยกลยุทธ์ Winning with pep+ (PepsiCo Positive) ที่มุ่งปรับโฉมธุรกิจในทุกขั้นตอน ด้วยการนำเรื่องความยั่งยืนมาเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างการเติบโตและคุณค่าให้กับโลก และเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับโลกและผู้คน 

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทเข้าชมได้ที่ www.pepsico.com และติดตามบน X (Twitter), Instagram, Facebook และ LinkedIn @PepsiCo

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : www.pepsico.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News