Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เวียงเทิงโมเดล! นายก อบจ.เชียงราย ชูพลังผู้สูงวัย สร้างสังคมคุณภาพอย่างยั่งยืน

วันแม่–วันยิ้มของชุมชน” นายก อบจ.เชียงราย ร่วมกิจกรรมผู้สูงวัยเวียงเทิง เชื่อม “น้ำใจ–นโยบาย” สู่สังคมสูงวัยคุณภาพ

เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 —  เสียงหัวเราะและทำนองเพลงเบา ๆ ดังสอดรับกับจังหวะยืดเหยียดของแขนขาในศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัย “ข่วงวัฒนธรรมเวียงเทิง” อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เก้าอี้ถูกจัดวางเป็นวงกว้าง เปิดพื้นที่ให้ผู้สูงวัยกว่าเต็มศาลาได้ขยับร่างกายและใจไปพร้อมกัน บรรยากาศอบอุ่นยิ่งขึ้นเมื่อ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เดินทักทาย จับมือไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ พร้อม นายสุชัด เสนคำ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.เทิง เขต 2 และ นายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ขณะ นายสิงห์ทอง หนุนนำสิริสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเทิง เจ้าภาพงาน ยืนเคียงข้างทีมงานท้องถิ่นที่เตรียมกิจกรรมอย่างประณีต

กิจกรรม “วันแม่กับผู้สูงวัยเวียงเทิง” เป็นมากกว่า “งานรื่นเริง” — มันคือจุดนัดพบระหว่าง น้ำใจในชุมชน กับ นโยบายดูแลผู้สูงอายุ ที่กำลังเดินหน้าอย่างจริงจังในจังหวัดเชียงราย ผ่านรูปธรรมง่าย ๆ แต่ทรงพลัง: การละเล่นเพื่อสุขภาพ การร้องเพลงร่วมกัน เวิร์กช็อปงานประดิษฐ์ และวงสนทนาสั้น ๆ ว่าด้วยการดูแลตนเองในชีวิตประจำวัน

“การจัดกิจกรรมวันแม่ไม่เพียงเป็นการระลึกถึงพระคุณแม่ หากยังเป็นเวทีสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน โดยเฉพาะการดูแลเอาใจใส่ผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ อบจ.เชียงราย ที่มุ่งสร้าง สังคมผู้สูงอายุที่มีความสุข’” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวระหว่างพบปะผู้สูงวัย

ข่วงวัฒนธรรมเวียงเทิง” จากพื้นที่ประชุม สู่แพลตฟอร์มเรียนรู้ตลอดชีวิต

ศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัย “ข่วงวัฒนธรรมเวียงเทิง” ตั้งอยู่ภายในสำนักงานเทศบาลตำบลเวียงเทิง อ.เทิง จ.เชียงราย โครงการนี้เริ่มต้นเมื่อปี 2557 ด้วยการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จุดตั้งต้นไม่ใช่ “ทำกิจกรรมให้ครบ” แต่คือ “ออกแบบพื้นที่เรียนรู้” ตามความต้องการจริงของผู้สูงอายุในชุมชน เน้นการพัฒนา 4 มิติ—ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และสังคม

ในช่วงเริ่มต้นปี 2558 ศูนย์ฯ ทดลองเปิดการเรียนรู้ เดือนละ 1 ครั้ง ต่อมามีเสียงเรียกร้องจากผู้สูงวัยให้เพิ่มความถี่ จึงค่อย ๆ ขยับมาเป็นกิจกรรมประจำสัปดาห์ โดยเฉพาะ ทุกวันพุธ ซึ่งกลายเป็น “วันนัดพบของเพื่อนร่วมรุ่น” ที่ไม่ใช่แค่มาออกกำลังกายหรือทำงานประดิษฐ์ แต่เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต เชื่อมโยงไปถึงกิจกรรมระหว่างรุ่นกับเด็กนักเรียนในโรงเรียนเทศบาล—ให้ “วัยเด็ก” ได้เห็น “ภูมิปัญญา” และให้ “วัยเกษียณ” ได้เห็น “พลังสดใหม่” ในชุมชนเดียวกัน

เหนือกว่านั้น ศูนย์ฯ ยังทำหน้าที่ ศูนย์ต้นแบบ” ให้หน่วยงานรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากพื้นที่อื่นเข้ามาศึกษาดูงาน ถ่ายทอดวิธีคิด วิธีทำ และวิธีประเมินผล นับเป็นการขยายผลเชิงนโยบายที่จับต้องได้ โดยศูนย์ฯ เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของโครงการนวัตกรรมพื้นที่สาธารณะ ข่วงเวียงเทิงสร้างสุข” ซึ่งวางกรอบพัฒนาท้องถิ่นระยะ 5 ปี อย่างเป็นระบบ เชื่อมกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในมิติสุขภาวะและการเรียนรู้ตลอดชีวิต

เมื่อเสียงเพลงกลายเป็น “ดัชนีความสุข”

ในกิจกรรมวันนี้ ช่วงที่ทำให้หลายคนยิ้มกว้างที่สุด คือวินาทีที่เพลงลูกกรุงยุคคลาสสิกดังขึ้น ผู้สูงวัยจับคู่รำวงเบา ๆ มีเสียงเชียร์จากเพื่อนโต๊ะข้าง ๆ กลายเป็นภาพ “ฟื้นวัย” ที่งดงาม การละเล่นเพื่อสุขภาพ—ยืดเส้นยืดสาย ชวนหัวเราะ—ทำให้อุณหภูมิของงานอุ่นขึ้นอย่างทันทีทันใด

สำหรับผู้จัด งานแบบนี้คือ “ดัชนีความสุข” ที่อ่านค่าจากแววตาและรอยยิ้ม ไม่ใช่ตัวเลขบนกระดาษ แต่ในมุมของนโยบายสาธารณะ เม็ดเหงื่อบนหน้าผากและเสียงหัวเราะคือ “กลไกป้องกันโรค” ที่จะลดความโดดเดี่ยว ซึมเศร้า และภาวะถดถอยทางกาย—สิ่งที่มักคืบคลานเข้าหาผู้สูงวัยอย่างเงียบ ๆ

โจทย์ใหญ่ของเชียงรายสังคมสูงวัยที่ “มาเร็วกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ”

ข้อมูลด้านประชากรสะท้อนภาพใหญ่ที่ท้องถิ่นหลีกเลี่ยงไม่ได้—เชียงรายมีสัดส่วนผู้สูงอายุ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ อย่างต่อเนื่อง ปี 2566 จังหวัดมีประชากรผู้สูงวัย (60 ปีขึ้นไป) ราว 290,547 คน คิดเป็น 22.4% ของทั้งจังหวัด ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั้งประเทศในปี 2567 อยู่ที่ราว 20% ประเทศไทยโดยรวมเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” แล้ว และหลายจังหวัดภาคเหนือ—รวมถึงเชียงราย—กำลังก้าวเร็วสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

การเพิ่มขึ้นของผู้สูงวัยไม่ได้สะท้อนแค่ “อายุขัยที่ยืนยาวขึ้น” แต่ยังหมายถึง อัตราส่วนพึ่งพิง ของวัยแรงงานที่สูงขึ้น—ตั้งคำถามเชิงนโยบายทันทีว่าเราจะจัดระบบ สุขภาพ–สวัสดิการ–การเรียนรู้ตลอดชีวิต–และโอกาสการทำงาน ให้คนรุ่นพ่อแม่และปู่ย่าได้อย่างไร

นั่นทำให้กิจกรรมเชิงสังคมอย่างวันนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะมันขยับ “ปลายเหตุ” ในระดับพฤติกรรมสุขภาพ ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นและส่วนกลางขยับ “ต้นเหตุ” ผ่านงบประมาณ การจัดบริการสุขภาพ การส่งเสริมอาชีพเสริม และหลักสูตรดิจิทัลรู้เท่าทันสื่อเพื่อกันภัยหลอกลวงที่พุ่งเป้าไปยังผู้สูงวัย

จากกิจกรรมสู่ระบบ 3 วงล้อ “ผู้สูงวัยคุณภาพ”

เพื่อให้การดูแลผู้สูงวัยยั่งยืนและไม่ถูกจำกัดอยู่ที่ “งานครั้งคราว” ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุในจังหวัดเสนอกรอบทำงาน 3 วงล้อ ที่ต้องหมุนไปพร้อมกัน

  1. วงล้อสุขภาพ — เสริม “ทุนสุขภาพ” ที่บ้านและชุมชน ผ่านออกกำลังกายเหมาะวัย กายภาพบำบัดเบื้องต้น การคัดกรองโรคไม่ติดต่อ (ความดัน เบาหวาน) และทักษะดูแลตนเอง รวมถึงบริการเยี่ยมบ้านร่วม อปท.–สาธารณสุข
  2. วงล้อทักษะ–เศรษฐกิจ — หลักสูตรงานประดิษฐ์ งานครัว งานบริการชุมชน และ ทักษะดิจิทัล สำหรับผู้สูงวัย เพื่อเชื่อมต่อโลกออนไลน์อย่างปลอดภัย ขายของออนไลน์เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือรับงานพาร์ทไทม์ที่เหมาะวัย เปิดประตูสู่ “เศรษฐกิจสีเงิน (Silver Economy)” ในระดับครัวเรือน
  3. วงล้อสังคม–การเรียนรู้ — ระบบโรงเรียนผู้สูงอายุประจำสัปดาห์ กิจกรรมข้ามรุ่น (intergenerational) ระหว่างผู้สูงวัยกับเด็กและเยาวชน พื้นที่สาธารณะสร้างสรรค์อย่าง “ข่วงเวียงเทิงสร้างสุข” ที่เปิดให้ทุกวัยมาใช้ร่วมกัน

ศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัยเวียงเทิงทำหน้าที่ “จุดรวมแรง” ของทั้งสามวงล้อนี้—เป็นทั้งสถานที่ กำลังคน วิธีการ และชุมชนปฏิบัติ (community of practice) ที่ขับเคลื่อนโดยเทศบาลตำบลเวียงเทิง สนับสนุนโดยเครือข่ายจังหวัดและหน่วยงานระดับชาติ

ทำไม “การลงทุนกับผู้สูงวัย” คุ้มค่ากว่า “ค่ารักษา”

  • 22.4% — สัดส่วนผู้สูงวัยของเชียงราย (ปี 2566) สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ (ปี 2567 ที่ 20%)
  • แนวโน้ม 4–5 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะทะลุ 300,000 คน ในเวลาไม่นาน
  • โครงสร้างช่วงวัยของผู้สูงอายุ—วัยต้น (60–69 ปี) เป็นสัดส่วนใหญ่ ซึ่งหมายความว่าหากเสริมทักษะและสุขภาพตอนนี้ จะ “คืนทุนสังคม” ในระยะยาว
  • ผู้ดูแลหลักของผู้สูงวัยในเชียงรายส่วนใหญ่คือ บุตรหลานและคู่สมรส ความเข้มแข็งของครอบครัวท้องถิ่นจึงเป็น “ทุนสังคม” ที่ต้องเสริม ไม่ใช่แทนที่

คำถามชวนคิด หากกิจกรรมเชิงรุกอย่างวันนี้สามารถลดการเข้ารพ.จากโรคไม่ติดต่อได้แม้เพียง 5–10% ต่อปี เม็ดเงินค่ารักษาที่ลดลงและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้สูงวัย คุ้มค่ากับการลงทุนใน “พื้นที่เรียนรู้” มากเพียงใด?

บทบาท อบจ.–เทศบาล จากโมเดลเวียงเทิงสู่การขยายผลทั้งจังหวัด

งานวันนี้สะท้อน “รูปธรรม–นโยบาย–เครือข่าย” ที่เดินไปด้วยกัน—นายก อบจ.เชียงราย มองบทบาทท้องถิ่นว่าไม่ใช่เพียง “จัดงบ–จัดงาน” แต่ต้องเป็น ผู้อำนวยความสะดวก ให้ภาคีทั้งสาธารณสุข การศึกษา ภาคเอกชน และชุมชน ร้อยเรียงเป็น “ระบบบริการชุมชนผู้สูงวัย” ที่ใช้งานได้จริง

เทศบาลตำบลเวียงเทิง ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ชูจุดเด่นการปรับกิจกรรม ตามคนจริง ๆ” ไม่ใช่ตามแบบฟอร์ม—ตั้งแต่การออกกำลังกายเบา ๆ กิจกรรมงานฝีมือ ไปจนถึงเวิร์กช็อปพื้นฐานดิจิทัลสำหรับผู้สูงวัย ขณะที่ อบจ.เชียงราย พร้อมหนุนการยกระดับบทเรียนจากเวียงเทิงไปยังพื้นที่อื่นในจังหวัด ผ่านเครือข่าย โรงเรียนผู้สูงอายุ และ ศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัย ของ อปท. ต่าง ๆ

เสียงสะท้อนและข้อเสนอแนะจากภาคสนาม

  1. เพิ่มทักษะยุคใหม่ — หลักสูตร “รู้เท่าทันสื่อ–ดิจิทัล–การเงินพื้นฐาน” เพื่อลดความเสี่ยงหลอกลวงทางออนไลน์ และเปิดช่องทางหารายได้ยืดหยุ่นสำหรับผู้สูงวัย
  2. เชื่อมโรงพยาบาล–อบต.–อสม. — ตั้ง “คลินิกผู้สูงวัยชุมชน” เดือนละครั้งในศูนย์ฯ ตรวจคัดกรองโรคเรื้อรัง ปรับยาเบื้องต้น สอนการกายภาพง่าย ๆ และให้คำปรึกษาภาวะซึมเศร้า
  3. ประเมินผลเป็นระบบ — เก็บข้อมูลผลลัพธ์ทั้งเชิงปริมาณ (สุขภาพกาย–ใจ, การเข้าร่วม, ความพึงพอใจ) และเชิงคุณภาพ (เรื่องเล่าความเปลี่ยนแปลง) เพื่อใช้ “งบตามผลลัพธ์” (result-based) ในปีถัดไป
  4. เปิดพื้นที่ข้ามรุ่น — จับคู่โรงเรียน–ศูนย์ผู้สูงวัย ทำกิจกรรมร่วมเดือนละครั้ง อาทิ เล่านิทานพื้นบ้าน สอนงานฝีมือ แลกเปลี่ยนทักษะดิจิทัล (เด็กสอนมือถือ–ผู้สูงวัยสอนภูมิปัญญา)

ยิ้มวันนี้—แผนพรุ่งนี้” คลี่คลายปมสังคมสูงวัยด้วยชุมชนเป็นฐาน

ภาพผู้สูงวัยรำวงคู่กับนายก อบจ.เชียงรายในเช้าวันนี้ อาจดูเรียบง่าย แต่มันคือ “คำตอบนโยบาย” ที่จับต้องได้—เพราะชี้ให้เห็นว่า หากชุมชนมีพื้นที่ มีคน มีงานที่ออกแบบตามความต้องการจริง ให้ผู้สูงวัย ได้ออกจากบ้าน–ได้พบปะ–ได้เรียนรู้–ได้สร้างคุณค่า วงจรสุขภาพ–เศรษฐกิจ–สังคมจะหมุนไปในทิศทางที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องรอคำสั่งใหญ่จากส่วนกลาง

สุดท้าย การขับเคลื่อนสังคมสูงวัยในเชียงรายไม่ได้ขึ้นกับ “งานใหญ่ปีละครั้ง” แต่เกิดจาก งานเล็กทุกสัปดาห์ ที่สม่ำเสมอและต่อเนื่อง—และนั่นคือบทเรียนจากเวียงเทิงที่ควรส่งต่อ

กล่องข้อมูล “ข่วงวัฒนธรรมเวียงเทิง” คืออะไร

  • สถานที่: ภายในสำนักงานเทศบาลตำบลเวียงเทิง อ.เทิง จ.เชียงราย
  • ภารกิจ: พื้นที่เรียนรู้ผู้สูงวัย 4 มิติ—ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม
  • กำเนิด: เริ่มปี 2557 ได้รับการสนับสนุนจาก สสส.
  • รูปแบบ: กิจกรรมประจำสัปดาห์ (ทุกวันพุธ), เวิร์กช็อปงานฝีมือ, กิจกรรมเคลื่อนไหวเพื่อสุขภาพ, พื้นที่เรียนรู้ข้ามรุ่น
  • บทบาทเพิ่มเติม: ศูนย์ต้นแบบศึกษาดูงานของ อปท. และหน่วยงานรัฐจากพื้นที่อื่น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลตำบลเวียงเทิง 
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) 
  • สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) 
  • กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) / กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) 
  • เอกสารเผยแพร่ระดับจังหวัดเชียงราย 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายสู้ภัย! อบจ.ผนึกกำลังท้องถิ่นซ่อมสะพานขาด 3 วัน หวังคืนเส้นทางประชาชน

เชียงรายเผชิญมรสุมหลายระลอก อบจ.เชียงรายผนึกกำลังท้องถิ่นรับศึกน้ำท่วมซ้ำซาก เร่งขุดลอก–อุดช่องน้ำกัดเซาะ–ซ่อมคอสะพาน ฟื้นเส้นทางหลักอำเภอเทิง

เชียงราย, 16 สิงหาคม 2568—กระแสลมมรสุมและพายุหมุนเขตร้อนที่ปะทะซ้ำภาคเหนือตอนบนตลอดเดือนกรกฎาคมถึงกลางสิงหาคม ดันน้ำฝนลงลุ่มน้ำหงาวอย่างรุนแรง หลายหมู่บ้านในอำเภอเทิงเผชิญน้ำป่ากัดเซาะคอสะพานและตลิ่งพังซ้ำ ทว่าในความเสียหายที่เกิดขึ้นกลับฉายภาพการทำงานแบบ “ลุก–ลุย–เร็ว” ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ที่ระดมเครื่องจักรหนัก เปิดปฏิบัติการเสริมบิ๊กแบ็กกันตลิ่ง ทำทางเบี่ยงฉุกเฉิน และซ่อมคอสะพานเพื่อคืนการสัญจรให้ประชาชนกับรถบรรทุกผลผลิตการเกษตรโดยเร็วที่สุด โดยมีหน่วยงานอำเภอ เทศบาล–อบต. และเครือข่ายด้านทางหลวง–ปภ. ร่วมประสานกำลังตลอดห่วงโซ่การช่วยเหลือ

เสียงเตือนจากฟ้า เมื่อ “วิภา” ดันฝนถล่ม เหนือบนต้องตั้งการ์ดสูง

กลางเดือนกรกฎาคม กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนพายุ “วิภา” ว่าจะทำให้ภาคเหนือตอนบนรวมถึงเชียงรายมีฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยหย่อมความกดอากาศต่ำที่อ่อนกำลังลงจากพายุเคลื่อนปกคลุมแนวร่องมรสุมในช่วงวันที่ 21–26 ก.ค. 2568 ข้อความเตือนชี้ชัดให้จับตาความเสี่ยงน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มในหลายจังหวัด รวมทั้งเชียงรายด้วย

สอดรับกับสัญญาณจากส่วนกลาง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและหน่วยงานประชาสัมพันธ์รัฐเร่งสื่อสารแบบ “ทั้งจังหวัดต้องพร้อม” ตั้งแต่ 12–24 ก.ค. 2568 โดยเน้นย้ำให้เฝ้าระวังเขตเขาสูง–พื้นที่ชัน สายด่วน 1784 และช่องทางแจ้งเหตุออนไลน์ถูกผลักดันเป็นเครื่องมือหลัก พร้อมย้ำการส่งข้อความเตือนภัยแบบ Cell Broadcast ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงของอำเภอเทิง ทั้งตำบลตับเต่าและตำบลหงาว

ระดับพื้นที่ อำเภอเทิงออกประกาศรายงานน้ำฝน–น้ำท่าอย่างต่อเนื่อง และตั้งศูนย์บัญชาการเฝ้าระวังน้ำลาว–หงาวตามลำดับ เพื่อปรับแผนปฏิบัติการเก็บกู้และชะลอน้ำกัดเซาะแบบเรียลไทม์.

จุดเปราะบางแตกก่อนสะพานบ้านปางค่า–คอสะพานขาด เส้นเลือดคมนาคมถูกตัด

เช้าตรู่ 16 ก.ค. 2568 สายน้ำหงาวพุ่งสูงกะทันหัน กระแทกโครงสร้างสะพานบ้านปางค่าบนสาย 1155 จนเสาค้ำยันเคลื่อน หลายหน่วยสั่งปิดเส้นทางชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย โรงเรียนใกล้เคียงต้องหยุดเรียนทันที การขนส่งผลผลิตเกษตรกับการเดินทางฉุกเฉินหยุดชะงักทั้งแนว สะท้อนจุดเปราะบางของโครงข่ายถนนชนบทเมื่อเจอฝนเกินค่าเฉลี่ยในเวลาอันสั้น

คำถามที่ชาวบ้านถามตรง ๆ คือ “จะกลับบ้าน–ไปโรงพยาบาล–ส่งของได้เมื่อไร?” คำตอบในทางปฏิบัติขึ้นกับการ “เปิดทางทดแทน” และ “ตรึงแนวตลิ่ง” อย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ฝนรอบใหม่ซ้ำเติมให้หนักกว่าเดิม

ล็อกเป้าซ่อมเฉพาะหน้าเสริมบิ๊กแบ็ก–เปิดทางเบี่ยง–อุดช่องน้ำกัดเซาะ

19 ก.ค. 2568 อบจ.เชียงราย นำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. ลงพื้นที่ “ปางค่า–ตับเต่า–หงาว” เร่งวางบิ๊กแบ็กทรายเรียงแนวตลิ่งลำน้ำหงาวเพื่อหยุดการพังทลาย พร้อมไล่เพอร์ตเครื่องจักรทำทางเบี่ยงให้รถสัญจรชั่วคราว ลดแรงกดดันของชุมชนที่ถูกตัดขาด ขณะที่ทีมช่างประเมินสภาพคอสะพานที่ถูกน้ำเซาะ เพื่อจัดลำดับงานซ่อมด่วน

ปลายเดือนกรกฎาคม เมื่อปริมาณฝนเริ่มแผ่วลงเป็นช่วง ๆ องค์การบริหารส่วนตำบลตับเต่าลงมือซ่อมคอสะพานหมู่ 13 อุดรอยขาดและปรับผิวทางใหม่ เพื่อเปิดเส้นทางท้องถิ่นให้รถเล็กเดินได้ก่อน พร้อมประสาน อบจ.–อำเภอ ทำความสะอาดโคลน–เศษซากที่ไหลทับถมบ้านเรือน

บทเรียนเชิงโครงสร้าง ที่ทีมช่างท้องถิ่นเห็นตรงกัน คือ “คอสะพาน–ไหล่ทาง–ท่อระบายน้ำ” คือจุดให้คะแนนทนทานต่อฝนสุดขีด หากคอสะพานสั้นเกินไปหรือไม่มีปีกกำแพงป้องกัน น้ำเชี่ยวจะชอนไชฐานรากได้เร็ว การเสริมบิ๊กแบ็กและอัดหินใหญ่ตามแนวลุ่มต่ำจึงเป็นมาตรการเฉพาะหน้าที่ต้องทำทันที ขณะที่แผนถาวรจำเป็นต้องรอหน้าฝนผ่อนคลาย

เร่งคืนการสัญจรซ่อมคอสะพาน–เปิดทางหลัก—สัญจรได้อีกครั้ง

ก้าวเข้าสู่ครึ่งเดือนสิงหาคม ทีมสำนักช่างของ อบจ.เชียงรายรวบกำลังเครื่องจักรและแรงงานลงเสริมคอสะพานหมู่ 1 ต.ตับเต่า ที่ถูกน้ำป่ากัดเซาะก่อนหน้า ตรวจเช็กโครงสร้างและอัดวัสดุรองรับใหม่จน “สัญจรได้แล้ว” ในบ่ายวันที่ 15 ส.ค. 2568 ภาพถ่ายหน้างานชี้ชัด รถยนต์และรถบรรทุกเริ่มกลับมาใช้เส้นทางได้ ภารกิจเก็บรายละเอียดจึงขยับไปที่การเสริมไหล่ทาง ปรับผิวถนน และป้ายเตือนความปลอดภัยชั่วคราว

ขณะเดียวกัน ฝ่ายบริหารระดับอำเภอและ อบจ.จัดประชุมหน้างานเพื่อวางแผนซ่อมทางเบี่ยงบ้านปางค่าที่เสียหายหนัก โดยเชิญหน่วยงานเชื่อมโยงทั้ง ศูนย์ ปภ. เขต 15 เชียงราย และเครือข่ายด้านทางหลวง เช่น ศูนย์สร้างทางลำปาง มาร่วมวางกรอบฟื้นฟู–เสริมความแข็งแรงในระยะกลางถึงยาว แม้บางงานอยู่คนละเขตรับผิดชอบ แต่บทบาทสนับสนุนเครื่องจักรและเทคนิคการอัดผิว–ป้องกันตลิ่งยังจำเป็นต่อความต่อเนื่องของระบบทาง

สถิติ–สัญญาณเตือน ทำไม “เทิง–ตับเต่า–หงาว” เสี่ยงซ้ำ

ข้อมูลเตือนภัยตั้งแต่ 11–21 ก.ค. ระบุชัดว่าเชียงรายอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่มีโอกาสเกิดฝนหนักหลายระลอก สภาพภูมิประเทศของอำเภอเทิงที่รับน้ำจากสันเขาไปสู่ลุ่มน้ำหงาว ทำให้เมื่อฝน “เกินค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง” เพียงไม่กี่ชั่วโมง น้ำจะไหลหลากฉับพลันสู่จุดคอขวด เช่น ช่องลำห้วย–ท่อระบายน้ำ–คอสะพาน จึงเกิดเหตุลักษณะ “กัดเซาะเฉียบพลัน” ซ้ำ ๆ หากฐานรากเดิมไม่แข็งแรงพอ

รายงานจากสื่อท้องถิ่นและส่วนกลางในช่วงเวลานั้นชี้ให้เห็นความรุนแรงของเหตุการณ์ ตั้งแต่ระดับน้ำเอ่อท่วม 60–80 เซนติเมตรบางจุด ไปจนถึงการปิดถนนสาย 1155 ชั่วคราวเพื่อรอการประเมินและซ่อมแซม ซึ่งตอกย้ำโจทย์ใหญ่เรื่อง “แผนเสริมความทนทานโครงสร้าง” ในพื้นที่ลาดเชิงเขา

คำอธิบายเชิงระบบ จาก “ดับไฟหน้าเหตุ” สู่ “โครงสร้างทนฝน”

หนึ่ง การจัดทีม “ดับไฟหน้าเหตุ” ต้องไวและครอบคลุม อบจ.–อำเภอ–อบต.ในเทิงใช้โมเดลเครื่องจักรประจำจุดเสี่ยง พร้อมถุงบิ๊กแบ็กสำรองเพื่ออุดช่องน้ำเซาะ และเจ้าหน้าที่สื่อสารชุมชนเพื่อปิด–เปิดเส้นทางทันเวลา โมเดลนี้ลดชั่วโมงวิกฤตได้จริงในเหตุเดือนนี้

สอง โครงสร้างสาธารณูปโภคต้อง “ออกแบบเพื่อฝนสุดขีด” มากกว่าค่าเฉลี่ยเดิม สะพานชนบทที่รับน้ำลำห้วยเชิงเขาควรเพิ่มความยาวคอสะพาน–กำแพงปีก และยกระดับไหล่ทาง–ท่อระบายน้ำให้มีศักยภาพระบายน้ำหลากปีละหนึ่งครั้งอย่างน้อย การยกระดับมาตรฐานนี้ต้องพึ่งพางบถาวรและความร่วมมือระหว่าง อบจ.–กรมทางหลวง–กรมทางหลวงชนบท–ปภ. โดยมีศูนย์สร้างทางในภูมิภาคเป็น “คลังเครื่องจักร–ความรู้” สำคัญ

สาม ระบบเตือนภัยเชิงรุกต้อง “พูดภาษาเดียวกัน” ตั้งแต่เตือนพายุในระดับชาติ สู่ประกาศอำเภอ–ตำบล และการส่งสัญญาณเตือนตรงสู่ประชาชนผ่านเครือข่ายมือถือ–หอกระจายข่าว เพื่อให้ชาวบ้านรู้ว่า “เส้นไหนควรเลี่ยง เส้นไหนยังพอวิ่งได้” ในชั่วโมงวิกฤต โมเดลการส่ง Cell Broadcast ที่ปภ.ร่วมผู้ให้บริการเครือข่ายในพื้นที่เทิงถือเป็นก้าวที่ถูกทาง

เสียงจากพื้นที่ “เปิดทางได้ไว ชีวิตก็ต่อได้”

แม้หน้างานเต็มไปด้วยโคลนและเศษซาก การที่เส้นทางหลัก–ทางเบี่ยงกลับมาเปิดได้ ทำให้รถส่งนมสด ข้าวโพด และลำไยที่กำลังออกสู่ตลาดยังคงเดินต่อ รถพยาบาลฉุกเฉินสามารถรับ–ส่งผู้ป่วยได้ทันเวลา โรงเรียนทยอยกลับมาเปิดเรียนเร็วกว่าที่คาด ชาวบ้านจึงสะท้อนร่วมกันว่า “เปิดทางได้ไว ชีวิตก็ต่อได้” นี่คือผลลัพธ์รูปธรรมจากการตัดสินใจแบบทันทีของท้องถิ่น

ในอีกมุม ข้าราชการฝ่ายโยธาย้ำว่า “วิธีจบเกมน้ำกัดครั้งต่อไป” คือการเร่งสำรวจจุดเสี่ยงคอสะพานทั้งตำบลตับเต่า–หงาว จัดลำดับงบซ่อมเชิงป้องกันก่อนฝนใหญ่รอบใหม่ และกำหนดมาตรการควบคุมบรรทุกหนักผ่านทางเบี่ยงชั่วคราวอย่างเข้ม ทั้งหมดนี้ต้องเดินคู่กับการสื่อสารสาธารณะเพื่อให้คนทั้งอำเภอ “รู้ทันฝน”

เชื่อมภาพใหญ่จังหวัด แผนรับมือฝนทั้งเชียงราย

ตลอดช่วง 11–25 ก.ค. 2568 จังหวัดเชียงรายเผชิญฝนต่อเนื่องแทบครบ 15 อำเภอ สำนักงานปภ.จังหวัดรายงานสถานการณ์และจัดทีมเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง หน่วยกู้ภัย–อปพร.–อส. ถูกจัดวางในจุดเสี่ยงซ้ำซากตามสายน้ำแม่อิง–แม่ลาว–แม่หงาว เพื่อพร้อมอพยพและยกของขึ้นที่สูงเมื่อจำเป็น กลไกนี้ทำให้ภาพรวมความเสียหายในรอบนี้จำกัดวงได้ในระดับหนึ่ง แม้หลายจุดยังต้องซ่อมเชิงโครงสร้างต่อเนื่อง

แผนหลังน้ำลด ฟื้นฟู–ป้องกัน–ลงทุน

ฟื้นฟูเร่งด่วน: เก็บเศษวัสดุ–โคลนออกจากคอสะพาน ปรับผิวถนน แก้ไหล่ทางหาย และติดตั้งป้ายเตือนถาวรชั่วคราวในช่วงฝน

ป้องกันรอบใหม่: เสริมบิ๊กแบ็ก–หินใหญ่ตามแนวที่น้ำกัดซ้ำ ซ่อมท่อระบายน้ำอุดตัน ตรวจสอบฐานรากสะพานที่ถูกน้ำเซาะ และเพิ่มช่องทางระบายน้ำให้พ้นคอสะพาน

ลงทุนระยะกลาง–ยาว: ประสานกรมทางหลวงและศูนย์สร้างทางในภูมิภาคเร่งศึกษามาตรฐานคอสะพาน–กำแพงปีกในพื้นที่ลาดเชิงเขา และจัดสรรงบยกระดับคอสะพานเสี่ยง รวมถึงปรับแบบท่อเหลี่ยม–รางระบายน้ำให้รองรับฝนสุดขีดตามภูมิอากาศใหม่

สูตร “ลุก–ลุย–เร็ว” ผสาน “ออกแบบเพื่อฝนสุดขีด”

เหตุการณ์ครั้งนี้ตอกย้ำ 3 บทเรียนสำคัญสำหรับท้องถิ่นภูเขา

  1. ความเร็วที่วัดเป็นชั่วโมง ช่วยรักษา “ทุนชีวิต–ทุนเศรษฐกิจ” ของชุมชนชนบท การวางเครื่องจักร–บิ๊กแบ็ก–เชือกสื่อสารในตำบลเสี่ยง ทำให้การเปิดเส้นทางชั่วคราวเกิดขึ้นได้ไวหลังน้ำลดไม่กี่ชั่วโมง. Facebook
  2. ระบบเตือนภัยหลายชั้น ต้องเชื่อมต่อกัน ตั้งแต่พายุ–ร่องมรสุมระดับภูมิภาค สู่ประกาศอำเภอ–ตำบล และ Cell Broadcast ในเครื่องชาวบ้าน เพื่อให้การอพยพ–ปิดถนน–ตั้งแนวป้องกันทำได้ก่อนที่น้ำจะกัดคอสะพาน
  3. โครงสร้างต้องเปลี่ยนเพื่ออากาศที่เปลี่ยน หากฝนสุดขีดกลายเป็น “ความปกติใหม่” การลงทุนเพิ่มความยาวคอสะพาน–ช่องระบายน้ำ และยกระดับผิวทางในจุดต่ำ คือคำตอบระยะยาวที่เลี่ยงไม่ได้ ต้องใช้ข้อมูลภัยจากรอบนี้เป็นฐานคำนวณแบบใหม่

เมื่อน้ำลด เห็นรอยทางของ “ความร่วมมือ”

จากเช้าวิกฤต 16 ก.ค. ที่สะพานปางค่าถูกตัดขาด สู่บ่าย 15 ส.ค. ที่เส้นทางหลักหมู่ 1 ต.ตับเต่ากลับมาสัญจรได้ ภารกิจเชื่อมถนน–เชื่อมชีวิตของอำเภอเทิงคือผลรวมของหลายมือ ตั้งแต่ อบจ.เชียงรายที่ลุยหน้างาน อำเภอ–อบต.ที่เสริมทัพ ปภ.จังหวัดที่เทน้ำหนักด้านเตือนภัย และหน่วยงานด้านทางที่ส่งเครื่องจักรมาสนับสนุนเมื่อร้องขอ เหตุทั้งหมดนี้ไม่เพียงฟื้นถนน แต่ฟื้น “ความมั่นใจ” ว่าหากฝนใหญ่กลับมา เมืองนี้จะยืนด้วยระบบที่พร้อมกว่าเดิม

โจทย์ต่อไป คือการเปลี่ยน “ซ่อมเฉพาะหน้า” เป็น “ลงทุนเชิงป้องกัน” ให้ทันฤดูฝนหน้า ด้วยแบบสะพาน–คอสะพาน–รางระบายน้ำที่รองรับฝนสุดขีด และงบประมาณที่เดินได้จริง พร้อมทั้งยืนระยะของระบบเตือนภัยและการสื่อสารชุมชนให้ไวและแม่นยำมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • ที่ทำการปกครองอำเภอเทิง
  • องค์การบริหารส่วนตำบลตับเต่า
  • ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย
  • ศูนย์สร้างทางลำปาง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

มหากาพย์ 24 ชม.! ‘อาร์ม วิญญู’ ระดมพลช่วยหมู 1,150 ตัว พ้นวิกฤตน้ำท่วมเทิง

ภารกิจ 24 ชั่วโมงไม่หยุด: ทีมกู้ภัยเชียงรายช่วยหมู 1,150 ตัว หนีน้ำท่วมฉับพลัน

เชียงราย,ในช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เมื่อธรรมชาติทดสอบความมุ่งมั่นของมนุษย์ เสียงเรือยนต์ดังก้องไปทั่วพื้นที่น้ำท่วมบ้านห้วยไคร้ หมู่ 6 อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ไม่ใช่เสียงของการขนส่งสินค้าตามปกติ แต่เป็นเสียงของภารกิจกู้ภัยที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะต้องใช้เวลานานถึง 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยเหลือหมูกว่า 1,150 ตัวให้รอดพ้นจากน้ำท่วมฉับพลันครั้งรุนแรง

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องราวของการช่วยเหลือสัตว์ แต่เป็นบทพิสูจน์ความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่รัฐและอาสาสมัครที่ไม่ยอมถอย แม้เมื่อความเหนื่อยล้าจะถึงขีดสุด และความมืดจะปกคลุมพื้นที่

เมื่อพายุ “วิภา” นำมาซึ่งวิกฤต

สถานการณ์เริ่มต้นจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ที่ก่อให้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันในพื้นที่จังหวัดเชียงราย น้ำป่าล้นไหลหลากเข้าชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเขตบ้านห้วยไคร้ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงหมูและไก่สำคัญของจังหวัด

นายกนก หรือ อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้รับรายงานสถานการณ์น้ำท่วมจากบ้านห้วยไคร้ตั้งแต่ช่วงกลางดึก ไม่ว่าจะทางโซเชียลหรือคนแจ้งมาโดยตรงพบว่ามีฟาร์มหมูและฟาร์มไก่จำนวนมากตกค้างอยู่ในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะหมูมากกว่า 1,000 ตัว และไก่อีกหลายร้อยตัวที่ต้องอพยพด่วน

“เมื่อวานตอนช่วงเช้าเลย ที่มีโพสต์กันในเฟซบุ๊ก จากของท่านนายกฯ ด้วย และหลายคนได้แชร์มา แล้วก็ขอให้ทางหน่วยงานที่มีอุปกรณ์ เครื่องมือ พวกเรือต่างๆ เข้าไปช่วย” เลขาอาร์ม หรือ วิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย เล่าถึงจุดเริ่มต้นของภารกิจ

การระดมกำลังและความท้าทายแรก

เมื่อทีมจาก อบจ.เชียงราย นำโดยนายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก พร้อมด้วยพันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และบุคลากรกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย เดินทางถึงพื้นที่ในช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม

สิ่งที่พบคือภาพที่น่าตกใจ ฟาร์มหมูที่ให้เกษตรกรในพื้นที่เลี้ยงหมู กลายเป็นพื้นที่น้ำท่วมสูงถึงเอวและอก หมูกว่า 1,150 ตัวติดอยู่ในสภาวะวิกฤต ต้องใช้เรือเข้าไปช่วยเหลือ

“พอไปถึงประมาณสัก 10 โมง 11 โมง ช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 มีเรือของชาวบ้านเป็นเรือลำเล็กประมาณสัก 2 ถึงสามลำ ที่ขนได้ครั้งละ 2 ถึง 3 ตัวไม่เกิน แล้วก็มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยมีหนึ่งลำที่ขนได้ประมาณ 10 ตัวอีกหนึ่งลำ” นายวิญญู อธิบายถึงสถานการณ์ในช่วงแรก

ความยากลำบากในการดำเนินภารกิจ

ความท้าทายหลักของภารกิจนี้ไม่ได้อยู่ที่จำนวนหมูเท่านั้น แต่รวมถึงสภาพพื้นที่ที่ต้องใช้เรือเดินทางระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร จากฟาร์มมาถึงถนนลาดยางของหมู่บ้าน ใช้เวลาเดินทางไป-กลับประมาณ 10-15 นาที ในช่วงกลางวัน

“ช่วงแรกหมูยังมีแรงอยู่ มันดิ้น เราต้องจับใส่กรงก่อน ใช้เวลาเป็นหลายนาที เป็นเกือบชั่วโมงบางครั้ง การลำเลียงแต่ละรอบใช้เวลานานมาก ตั้งแต่เที่ยงมาจนถึง 5-6 โมงเย็น ขนได้แค่ 200-300 ตัวเอง ในช่วงแรก” วิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย เผยถึงอุปสรรคในช่วงต้น

สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อมีทีมกู้ภัยจากหลายหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือ รวมเกือบ 20 ทีม จำนวนคนรวมกว่า 100 คน แต่พื้นที่ที่จำกัดและการขาดการประสานงานที่ลงตัว ทำให้การทำงานในช่วงแรกค่อนข้างช้า

เลขาอาร์ม หรือ วิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย

จุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อความมืดเข้าปกคลุม

เมื่อเวลาผ่านไปถึงหลัง 18.00 น. ความมืดเริ่มปกคลุมพื้นที่ การทำงานกลายเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น ต้องมีการวางระบบไฟส่องสว่างและให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัย หลายทีมเริ่มถอนตัวออกไป

“หลังจาก 4 ทุ่ม ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะเหลือแค่ 5 ทีม ตอนนั้นจะมีอบจ. ตำรวจ และกู้ภัยอีกสัก 2-3 ทีมที่ยังเหลืออยู่” นายวิญญู เล่าถึงช่วงที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

แต่นี่กลับเป็นจุดที่การทำงานเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะหมูเริ่มอ่อนแรง ไม่ดิ้นมากเหมือนเดิม ทำให้สามารถจับโยนลงเรือได้เลย โดยไม่ต้องใส่กรง การวางแผนและการประสานงานดีขึ้น

ช่วงวิกฤตสุดท้ายการตัดสินใจที่ยากลำบาก

เมื่อเวลาผ่านไปถึงเที่ยงคืน หมูที่เหลืออยู่ในพื้นที่ประมาณ 200-300 ตัว ทีมกู้ภัยส่วนใหญ่ขอถอนตัวเนื่องจากความเหนื่อยล้า เหลือเพียง 2 ทีมคือ อบจ.เชียงราย และตำรวจ

“เราคุยกันว่า ตอนแรกก็อยากถอนแต่เห็นหมูแล้วมันไม่ไหว ตอนนั้นหมูเหลือประมาณ 200 กว่าตัว มันเหมือนจะไม่เยอะ เราช่วยมาแบบทั้งวัน แล้วเหลือแค่สองร้อยกว่าตัวเอง ถ้าปล่อยไว้ โอกาสตายมีสูงมาก เพราะน้ำมันขึ้นเรื่อยเรื่อย แล้วหมูมันอ่อนแรงแล้ว” นายวิญญู เล่าถึงการตัดสินใจสำคัญ

วีรกรรมในยามคืนการยืนหยัดจนท้ายที่สุด

หลังจากเที่ยงคืน การทำงานดำเนินต่อไปด้วยเรือเพียง 3 ลำ คือ อบจ.เชียงราย 2 ลำ และตำรวจ 1 ลำ จำนวนคนลดลงเหลือเพียง 20 กว่าคน แต่ความมุ่งมั่นไม่ลดลง

เมื่อถึงตี 3 ทีมตำรวจแจ้งขอถอนตัวเนื่องจากไม่ไหว เหลือเพียงทีมจาก อบจ.เชียงราย 5 คน กับเรือ 2 ลำ รวมกับเจ้าหน้าที่ของฟาร์มที่ยังคงช่วยเหลืออยู่ประมาณ 15-20 คน

“เราก็เลยบอกว่า งั้นเราขอสู้ต่อไปจนจบ เพราะว่าถ้าปล่อยไว้น่าจะตายทั้งหมด ตอนนั้นจำนวนหมูหลังตี 3 น่าจะเหลือประมาณ 150 ตัวบวกลบ” นายวิญญู เล่าถึงช่วงที่ท้าทายที่สุด

การเคลียร์ครั้งสุดท้ายเมื่อแสงอรุณส่องทาง

จากตี 3 กว่าจนถึงเกือบ 7 โมงเช้า ทีมที่หลงเหลือทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน หมูในฟาร์มถูกเคลียร์ออกไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ภารกิจยังไม่จบ

“ประมาณ 7-8 โมงเช้า เราขับเรือวนดูรอบตัวอีกรอบ ก็เห็นหมูลอยคออยู่ตามกอไผ่ มีบางตัวอยู่นอกฟาร์ม เราต้องลงไปจับในน้ำเลย ลึกประมาณไม่ถึง 2 เมตร อันนั้นยากกว่าอยู่ในฟาร์มอีก เพราะต้องดึงขึ้นเรือเอง” นายวิญญู อธิบายถึงช่วงสุดท้าย

ภารกิจสิ้นสุดลงในเวลา 11.00 น. ของวันที่ 25 กรกฎาคม หลังจากดำเนินการต่อเนื่องเป็นเวลา 24 ชั่วโมง

ผลลัพธ์และบทเรียน

จากหมูทั้งหมด 1,150 กว่าตัว อัตราการสูญเสียอยู่ที่ไม่เกิน 5% หรือประมาณ 4-5% ซึ่งถือเป็นผลสำเร็จที่น่าประทับใจ ภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้

นายวิญญู มองว่า บทเรียนสำคัญคือ การเตรียมความพร้อมที่ธรรมชาติไม่มีกำหนดการตายตัว อยากจะก่อตัวขึ้นเมื่อไร มีรูปแบบอย่างไรเราไม่สามารถรับรู้นอกจากต้องพร้อมรับเท่านั้น”

สำหรับด้านการปฏิบัติงาน ปัญหาหลักอยู่ที่การจำกัดของพื้นที่ การสัญจรที่ยาก และการขาดศูนย์ปฏิบัติการที่ชัดเจน แต่ทุกหน่วยงานสามารถประสานงานและช่วยเหลือกันได้เป็นอย่างดี “สิ่งสำคัญคือการที่ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ ไม่ถอดใจยังทำภารกิจต่อเนื่องจนกว่าจะช่วยเสร็จทั้งหมด มันทำให้ทีมที่อยู่ก็พร้อมที่จะทำต่อ มันเหมือนมีคนไม่ทิ้งแล้วเราจะทิ้งไปได้ยังไง” นายวิญญูพูดทิ้งท้าย

หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ

ความหมายเชิงลึกของภารกิจ

ภารกิจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงหลายมิติที่สำคัญ:

ด้านการจัดการภัยพิบัติ: แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการจัดการวิกฤตที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เศรษฐกิจ ซึ่งต้องการการประสานงานระหว่างหน่วยงานหลายฝ่าย และการตัดสินใจที่รวดเร็ว

ด้านจิตวิญญาณมนุษย์: การที่เจ้าหน้าที่ยินดีทำงานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงโดยไม่หยุดหย่อน แม้ในสภาวะที่เหนื่อยล้าและท่ามกลางความมืด แสดงถึงจิตสำนึกในการรับใช้สังคมที่แท้จริง

ด้านเศรษฐกิจ: การช่วยเหลือสัตว์เศรษฐกิจไม่ได้เป็นเพียงการดูแลสัตว์ แต่เป็นการปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจของเกษตรกรและห่วงโซ่อุปทานอาหาร

ด้านการสื่อสาร: การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการขอความช่วยเหลือและประสานงาน แสดงให้เห็นถึงบทบาทของเทคโนโลยีในการจัดการภัยพิบัติยุคใหม่

ความต่อเนื่องและการเตรียมรับมือในอนาคต

อบจ.เชียงราย ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการอพยพ การจัดหาสิ่งของยังชีพ และการฟื้นฟูในระยะต่อไป

ภารกิจครั้งนี้จะกลายเป็นต้นแบบสำหรับการจัดการภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เศรษฐกิจในอนาคต และเป็นบทพิสูจน์ว่า เมื่อความมุ่งมั่นและการทำงานเป็นทีมมาบรรจบกัน ไม่มีภารกิจใดที่เป็นไปไม่ได้

การดำเนินการในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามวิกฤต ที่ทุกความช่วยเหลือจำเป็นต้องดำเนินอย่างรวดเร็วและทั่วถึง นี่คือเรื่องราวของวีรกรรมเงียบๆ ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความมืดและน้ำท่วม เพื่อความหวังที่จะเห็น 1,150 ชีวิตได้กลับไปสู่ความปลอดภัย

หน่วยงานที่ให้ความร่วมมือ

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย,กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย,สถานีตำรวจในพื้นที่อำเภอเทิง,หน่วยกู้ภัยจากหลายองค์กร,อาสาสมัครและชาวบ้านในพื้นที่,สมาคมกู้ชีพกู้ภัยเทิงการกุศล-หน่วยกู้ภัยเทิง,กู้ภัยบุญช่วย,กู้ภัยเทิง,กู้ภัยศิริกรณ์,กู้ภัยปิยะมิตรแม่สาย,กู้ภัยสิงห์,ตำรวจน้ำ,ตำรวจตระเวนชายแดน,กู้ภัยแสงธรรมเทิง,กู้ภัยแสงธรรมขุนตาล,กู้ภัยเจริญเมือง,กู้ภัยแสงแก้ว,กองร้อยทหารพราน,อส.เทิง,ศ.เขต 15

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การสัมภาษณ์พิเศษ นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย
  • รายงานการปฏิบัติงาน กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย
  • ข้อมูลจากผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในพื้นที่
  • รายงานสถานการณ์น้ำท่วม องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

อบจ.เชียงรายระดมพลช่วยชีวิตสัตว์! เร่งขนย้ายหมู-ไก่กว่า 1,000 ตัวหนีน้ำท่วมเทิง

อบจ.เชียงรายระดมพลช่วยชีวิตสัตว์! เร่งขนย้ายหมู-ไก่กว่า 1,000 ตัว หนีน้ำท่วมเทิง หลังพายุ “วิภา” ถล่มหนัก

เชียงราย, 24 กรกฎาคม 2568 – ภัยพิบัติซ้อนภัย วิกฤตน้ำท่วมเทิง-สัตว์เศรษฐกิจตกอยู่ในอันตราย อบจ.เชียงรายลุยช่วยทุกชีวิต สถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงรายช่วงนี้ รุนแรงและซับซ้อนกว่าทุกปีจากอิทธิพลพายุโซนร้อน “วิภา” ที่พัดผ่าน ก่อให้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันจนปริมาณน้ำป่าล้นไหลหลากท่วมเข้าชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเขตบ้านห้วยไคร้ หมู่ที่ 6 อำเภอเทิง ซึ่งเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงสุกรและไก่สำคัญของจังหวัด สร้างความเดือดร้อนต่อเกษตรกรและชาวบ้านอย่างหนัก

น้ำป่าทะลัก-สัตว์เศรษฐกิจตกค้างในเขตอันตราย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เผยว่า ได้รับรายงานสถานการณ์น้ำท่วมจากบ้านห้วยไคร้ตั้งแต่ช่วงกลางดึกที่ผ่านมา พบว่ามีฟาร์มสุกรและฟาร์มไก่จำนวนมากตกค้างอยู่ในพื้นที่เสี่ยงโดยเฉพาะหมูมากกว่า 1,000 ตัว และไก่อีกหลายร้อยตัวที่ต้องอพยพด่วน นอกจากนี้ยังมีสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ ที่เกษตรกรต้องเร่งอพยพเพื่อป้องกันการสูญเสีย

ซึ่งได้สั่งการให้ นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สนธิกำลังกับหน่วยงานท้องถิ่น อาสาสมัคร และชาวบ้าน เร่งเข้าช่วยเหลือทั้งชีวิตคนและสัตว์อย่างแข็งขัน ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงค่ำ ด้วยความหวังว่าจะลดการสูญเสียให้ได้มากที่สุด

ภารกิจช่วยเหลือสุดระทึก “เรือยนต์-เรือท้องแบน” ขาดแคลน ชาวเน็ตระดมเครือข่ายช่วยด่วน

สถานการณ์ล่าสุด ข้อมูลจากผู้ใช้โซเชียลมีเดีย Chaiwat Yawirad ระบุว่า มีการช่วยขนย้ายหมูออกไปแล้ว 100 ตัว แต่ยังเหลือหมูอีกกว่า 1,000 ตัวในพื้นที่อันตราย ต้องการเรือยนต์และเรือท้องแบนเป็นจำนวนมากเพื่อการอพยพอย่างเร่งด่วน สร้างปรากฏการณ์ “ระดมทรัพยากร” ผ่านโซเชียลฯ ซึ่งเปิดสายตรงให้ผู้ที่พร้อมช่วยเหลือติดต่อมายังบ้านห้วยไคร้ หมู่ 6 อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ได้ที่เบอร์ 081-002-9110

ไม่เพียงแค่ปศุสัตว์ที่ถูกคุกคาม ชาวบ้านจำนวนหนึ่งยังต้องการความช่วยเหลือในการอพยพคนชรา เด็ก และผู้ป่วยออกจากพื้นที่เสี่ยงตลอด 24 ชั่วโมง อบจ.เชียงรายจึงจัดทีมลงพื้นที่แบบต่อเนื่อง ประสานหน่วยงานในและนอกพื้นที่ ขอกำลังเสริม เรือยนต์ เรือท้องแบน อุปกรณ์ยกย้าย และถุงยังชีพเพิ่ม

มุมวิเคราะห์ “น้ำท่วมสัตว์” บทพิสูจน์ระบบบริหารจัดการภัยพิบัติและ “ความใส่ใจในทุกชีวิต”

  1. เจตนารมณ์ใหม่ของการช่วยเหลือ:
    การที่ อบจ.เชียงราย ขยายภารกิจจากการอพยพคน สู่การช่วยชีวิตสัตว์เศรษฐกิจสะท้อนถึงแนวคิด “One Health – สุขภาพเดียวกันของคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม” เพราะการสูญเสียปศุสัตว์นอกจากกระทบจิตใจ ยังเป็นภัยต่อเศรษฐกิจและปากท้องของเกษตรกรโดยตรง
  2. ประสิทธิภาพการตอบสนองฉุกเฉิน:
    การมอบหมายเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่และประสานอาสาสมัครทันทีหลังเกิดเหตุ แสดงให้เห็นความพร้อมและว่องไวของกลไกช่วยเหลือในภาวะวิกฤต แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านทรัพยากรและการเข้าถึงจุดอพยพ
  3. บทบาทสื่อโซเชียล:
    การใช้โซเชียลมีเดียโพสต์ขอความช่วยเหลือถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การระดมทรัพยากรทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไปดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ช่วยเติมเต็มการช่วยเหลือของภาครัฐในจุดที่ขาดแคลน
  4. ความท้าทายด้านทรัพยากร:
    กรณีนี้สะท้อนว่าการบริหารภัยพิบัติในพื้นที่ห่างไกลยังต้องอาศัยอุปกรณ์เฉพาะทาง เช่น เรือยนต์ เรือท้องแบน รวมถึงทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านการอพยพสัตว์จำนวนมาก ซึ่งควรจัดเตรียมและบูรณาการไว้ล่วงหน้าก่อนฤดูน้ำหลาก
  5. แนวทางฟื้นฟูหลังน้ำลด:
    เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย หน่วยงานควรมีมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูทั้งทุนทรัพย์ อุปกรณ์ฟาร์ม พันธุ์สัตว์ทดแทน และองค์ความรู้ด้านสุขภาพสัตว์ เพื่อลดความเสียหายทางเศรษฐกิจและช่วยเกษตรกรฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน

สรุป

ภัยพิบัติครั้งนี้กลายเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่าการช่วยเหลือในภาวะฉุกเฉินของไทยพัฒนาขึ้นทั้งในเชิงระบบและจิตวิญญาณ “ทุกชีวิตมีค่า” ไม่ใช่เพียงสโลแกน หากแต่เป็นพันธกิจที่ อบจ.เชียงรายและเครือข่ายอาสาสมัครในพื้นที่กำลังปฏิบัติจริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

  • ข้อมูลจากผู้ใช้โซเชียลมีเดีย Chaiwat Yawirad

  • ข่าวและข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่จังหวัดเชียงราย (เช่น กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

PEA เทิงระดมทีม! ฟื้นฟูระบบไฟฟ้าหลัง “วิภา” ถล่ม คาดจ่ายไฟครบหลังน้ำลด

พายุ “วิภา” ถล่มเทิง! PEA เร่งกู้คืนระบบไฟฟ้ากระทบกว่า 3,700 ครัวเรือน คาดจ่ายไฟครบหลังน้ำลด 432 ราย

เชียงราย, 24 กรกฎาคม 2568 – อิทธิพล “วิภา” กระหน่ำอำเภอเทิง กฟภ.ระดมทีมฟื้นฟูระบบไฟฟ้า ชูบทเรียนจัดการภัยพิบัติอย่างมืออาชีพ

ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติที่เกิดจากพายุโซนร้อน “วิภา” ซึ่งได้เคลื่อนตัวพัดผ่านภาคเหนือของประเทศไทย จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอำเภอเทิง กลายเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยส่งผลให้ระบบสาธารณูปโภคหลักอย่าง “ไฟฟ้า” ในหลายชุมชนเกิดความเสียหายและต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว สร้างความลำบากให้กับประชาชนกว่า 3,700 ครัวเรือน ในช่วงเวลาที่พายุถาโถมเข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางดึกวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา

สรุปสถานการณ์ความเสียหายและแผนกู้คืนระบบไฟฟ้า

ข้อมูลจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาเทิง (กฟส.เทิง) ระบุถึงเหตุการณ์และแผนปฏิบัติการดังนี้

  1. เสาไฟฟ้าแรงสูงเอียง (บ้านห้วยไคร้ ต.เวียง)
    • น้ำกัดเซาะดินริมถนนบริเวณเสาไฟฟ้าแรงสูงวงจร F9 และ F10 ทำให้เสาไฟฟ้าเอียง 2 ต้น
    • ดำเนินการแก้ไขให้จ่ายไฟฟ้าชั่วคราวได้แล้ว
  2. ดินสไลด์ ต้นไม้โค่นล้ม (บ้านเลาอู ต.ตับเต่า)
    • ส่งผลผู้ใช้ไฟ 1,001 ราย
    • กู้คืนระบบและจ่ายไฟคืนครบถ้วน
  3. ดินสไลด์ ต้นไม้โค่นล้ม (บ้านไร่สอง ต.ตับเต่า)
    • กระทบผู้ใช้ไฟ 1,129 ราย
    • ดำเนินการแก้ไขและจ่ายไฟคืนครบ
  4. อุปกรณ์ชำรุด (บ้านใหม่ ต.เวียง)
    • คาดว่าอุปกรณ์ TNG01VR-103 T/L ชำรุด
    • ใช้วิธี Bypass จ่ายไฟคืนผู้ใช้ไฟแล้ว
  5. น้ำท่วม (บ้านห้วยหลวง ต.เวียง)
    • ปลดอุปกรณ์ 01VF-102
    • ระดับน้ำลดแล้ว จ่ายไฟคืน 103 รายครบ
  6. พื้นที่น้ำท่วม ปลดระบบเพื่อความปลอดภัย
    • ดับไฟ 5 หม้อแปลง ตัดไลน์ 1 จุด รวม 5 พื้นที่ (บ้านใหม่ บ้านร่องขามป้อม หมู่บ้านบริเวณหลังที่ว่าการอำเภอเทิง สถานีสูบน้ำบ้านทุ่งขันไชย และบ้านตับเต่า หมู่ 2)
    • กระทบผู้ใช้ไฟ 432 ราย
    • จะจ่ายไฟคืนเมื่อระดับน้ำลดลง

ยอดรวมล่าสุด (ณ วันที่ 23 กรกฎาคม 2568)

  • ผู้ใช้ไฟได้รับผลกระทบ: 3,704 ราย
  • จ่ายไฟคืนแล้ว: 3,272 ราย
  • เหลือค้างรอจ่ายไฟหลังน้ำลด: 432 ราย

PEA รับมือฉับไว ย้ำ “ชีวิตต้องมาก่อนทุกระบบ”

ในภาวะวิกฤติ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาเทิง ดำเนินการฟื้นฟูระบบอย่างมืออาชีพ โดยทันทีที่มีรายงานความเสียหายจากน้ำท่วม ดินสไลด์ ต้นไม้โค่น และอุปกรณ์ชำรุด เจ้าหน้าที่ PEA ได้ระดมทีมเข้าแก้ไขในแต่ละจุดอย่างรวดเร็วและรัดกุม พร้อมทั้งประสานกับท้องถิ่นและชุมชน เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด

ที่สำคัญคือ “การตัดสินใจปลดระบบไฟฟ้า” ในพื้นที่น้ำท่วมขัง เป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่วที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตประชาชน แม้จะต้องแลกมากับความไม่สะดวก แต่ก็เป็นทางเลือกที่ถูกต้องในภาวะฉุกเฉิน

นอกจากนี้ การแก้ไขอุปกรณ์เสียหายด้วยเทคนิค “Bypass” และการปรับปรุงเสาไฟที่เอียงให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ชั่วคราว เป็นตัวอย่างของการ “บริหารจัดการปัญหาเฉพาะหน้า” ที่มีประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาการขาดไฟฟ้าลงอย่างมาก

บทเรียนและข้อเสนอแนะเพื่อระบบไฟฟ้ายั่งยืนในพื้นที่เสี่ยงภัย

เหตุการณ์ที่อำเภอเทิงครั้งนี้สะท้อน 3 ประเด็นหลักที่สำคัญต่อการพัฒนาระบบไฟฟ้าและการบริหารจัดการภัยพิบัติในอนาคต

  1. การบริหารความเสี่ยงเชิงรุก:
    PEA เทิง สามารถจัดลำดับความสำคัญ ระบุจุดเสี่ยง ปรับแผนการจ่ายไฟและซ่อมแซมได้ตรงจุด ตอบสนองภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
  2. มาตรการความปลอดภัยที่รัดกุม:
    การยอม “ตัดไฟ” ในพื้นที่น้ำท่วมแม้จะกระทบความสะดวกของประชาชน แต่ก็ป้องกันเหตุร้ายแรงซึ่งอาจถึงชีวิต ถือเป็นมาตรฐานสำคัญที่ควรปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
  3. การสื่อสารกับประชาชน:
    การแจ้งข้อมูลความคืบหน้า แผนคืนระบบไฟ และข้อควรระวังเรื่องไฟฟ้ารั่วแก่ชุมชนตลอดเหตุการณ์ สร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นในหน่วยงานรัฐ

ความท้าทายที่ยังรอการแก้ไข

ผู้ใช้ไฟ 432 รายที่ยังไม่ได้รับการจ่ายไฟฟ้าจนกว่าระดับน้ำจะลด ถือเป็นกลุ่มที่ยังเปราะบาง ต้องอาศัยการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมเข้าดำเนินการโดยทันทีเมื่อปลอดภัย

สรุป

การจัดการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาเทิง ในเหตุการณ์พายุ “วิภา” เป็นตัวอย่างของการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและใส่ใจต่อความปลอดภัยของประชาชน โดยยึดหลัก “ชีวิตต้องมาก่อน” เป็นอันดับแรก ทั้งยังสะท้อนบทเรียนสำคัญสำหรับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่เสี่ยงภัยของไทยในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาเทิง (PEA เทิง)
  • รายงานสถานการณ์อุทกภัย จังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“นายก นก” ลุยเอง! อบจ.เชียงรายเสริมแกร่งป้องกันน้ำท่วม เร่งเตรียมพร้อมรับมือพายุ

อบจ.เชียงราย “นายก นก” ลงพื้นที่เทิง เร่งมอบบิ๊กแบ็ค-สร้างทางเบี่ยง สั่งเตรียมพร้อมเต็มสูบรับมือ “พายุวิภา”

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – ลงพื้นที่เชิงรุก ตอบโจทย์ภัยพิบัติ: อบจ.เชียงราย-ผู้นำท้องถิ่นเดินหน้าป้องกันน้ำท่วมอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอเทิง กลายเป็นหนึ่งในแนวหน้าการเตรียมรับมือภัยพิบัติในฤดูฝนปีนี้ เมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ภายใต้การนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย หรือ “นายก นก” เดินหน้านำทีมลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งจัดการสถานการณ์และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยและมีแนวโน้มสร้างฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในภาคเหนือ

เร่งมอบบิ๊กแบ็ค – เสริมแนวป้องกันชุมชนเวียงเทิง

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 กรกฎาคม 2568 นายก นก พร้อมด้วยสมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขตอำเภอเทิง ได้แก่ นายอาทิตย์ รู้ทำนอง (เขต 1), นายสุชัด เสนคำ (เขต 2), นายประจวบ แก้วข้าว (เขต 3) และเจ้าหน้าที่ อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่บ้านตั้งข้าว หมู่ 2 และหมู่ 14 ตำบลเวียง เทศบาลตำบลเวียงเทิง เพื่อมอบกระสอบบิ๊กแบ็คแก่ประชาชน โดยมีนายเอนก ปัญทะยม นายอำเภอเทิง และนายสิงห์ทอง หนุนนำศิริสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเทิง เป็นตัวแทนรับมอบ

นายก นก เปิดเผยกับประชาชนว่า “อบจ.เชียงราย ตระหนักถึงความเดือดร้อนที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยเฉพาะในฤดูฝนนี้ เรามุ่งเน้นการป้องกันเชิงรุก จึงได้เร่งมอบกระสอบบิ๊กแบ็ค เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมแนวป้องกันน้ำท่วม หวังว่าทุกครัวเรือนจะสามารถเตรียมตัวรับมือกับวิกฤตได้อย่างทันท่วงที”

กระสอบบิ๊กแบ็คที่ได้รับการจัดสรรในครั้งนี้ จะถูกนำไปวางเป็นแนวป้องกันน้ำและเตรียมการรับมือสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่เสี่ยง ช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชน ถือเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกในระดับท้องถิ่น

ลุยสร้างทางเบี่ยง – รับมือปัญหาน้ำป่า “ลำน้ำหงาว”

ต่อมาเวลา 10.30 น. นายก นก และคณะเดินทางต่อไปยังบ้านปางค่า หมู่ 8 ตำบลหงาว อำเภอเทิง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เพิ่งเผชิญกับน้ำป่าไหลหลากเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ทางเบี่ยงขาดและชาวบ้านไม่สามารถสัญจรไปมาได้

อบจ.เชียงราย ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักช่างเร่งนำเครื่องจักรกลเข้าดำเนินการสร้างทางเบี่ยงชั่วคราว เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง พร้อมสนับสนุนการวางกระสอบบิ๊กแบ็คบรรจุทรายตลอดแนวตลิ่งลำน้ำหงาว ป้องกันการพังทลายและลดผลกระทบในระยะยาวต่อเส้นทางการสัญจรและทรัพย์สินของประชาชน โดยคาดว่าทางเบี่ยงใหม่จะแล้วเสร็จภายใน 2 วันนี้

นอกจากนี้ ยังได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในอำเภอเทิง เพื่อวางแผนรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น พร้อมกำชับให้ทุกฝ่ายเตรียมอุปกรณ์และแผนฉุกเฉินเต็มรูปแบบ

 “อบจ.เชียงราย” เดินหน้าทำงานเชิงรุก สร้างความมั่นใจชาวบ้าน

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างอบจ.เชียงราย ที่สามารถเคลื่อนตัวและตอบสนองต่อภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม หลายประเด็นสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดการบริหารจัดการภัยพิบัติยุคใหม่ในระดับท้องถิ่น ได้แก่

  • การตอบสนองฉับไว: ทันทีที่มีรายงานผลกระทบ อบจ.เชียงรายสามารถจัดสรรและมอบกระสอบบิ๊กแบ็ค รวมถึงนำเครื่องจักรกลลงพื้นที่ทันที เป็นการสร้างความมั่นใจและลดความกังวลให้ประชาชนในยามวิกฤต
  • การเตรียมพร้อมล่วงหน้า: การมอบกระสอบบิ๊กแบ็คให้กับชุมชนเสี่ยงน้ำท่วม ช่วยให้ชาวบ้านมีเครื่องมือรับมือภัยธรรมชาติ ตั้งแต่ก่อนวิกฤตจะมาถึง เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการลดความเสียหาย
  • การแก้ปัญหาที่ตรงจุด: การสร้างทางเบี่ยงชั่วคราวหลังน้ำป่าหลาก ช่วยให้การเดินทางของชาวบ้านไม่สะดุด และลดผลกระทบในชีวิตประจำวัน
  • การสื่อสารเชิงบวกและสร้างขวัญกำลังใจ: คำมั่นของ “นายก นก” ที่ประกาศต่อหน้าชาวบ้านว่า อบจ.จะไม่ทอดทิ้งประชาชน เป็นการเสริมสร้างความไว้วางใจและความสามัคคีในชุมชน
  • การบูรณาการทุกภาคส่วน: ความร่วมมือระหว่างอบจ., สมาชิกสภา, นายอำเภอ, เทศบาลตำบล สะท้อนการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ

ข้อควรจับตาต่อไป

  • การซ่อมแซมถาวรในระยะยาวจำเป็นต้องวางแผนใช้งบประมาณและจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอ
  • ต้องประเมินและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัยอื่น ๆ ทั่วจังหวัดอย่างต่อเนื่อง
  • การเสริมสร้างความรู้และฝึกอบรมชุมชนให้พร้อมรับมือและช่วยเหลือตนเองในภาวะฉุกเฉิน จะทำให้เชียงรายสามารถรับมือภัยธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน

วิเคราะห์สถานการณ์

การดำเนินงานของอบจ.เชียงรายในวันนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความตั้งใจจริงของผู้นำท้องถิ่นในการปกป้องและดูแลประชาชนในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน การมุ่งเน้นทำงานเชิงรุกและบูรณาการทุกฝ่ายถือเป็นต้นแบบสำคัญของการบริหารจัดการภัยพิบัติระดับจังหวัด ที่จะสร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้กับประชาชนเชียงรายในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลเวียงเทิง
  • อำเภอเทิง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ผู้ว่าฯ เชียงรายนำทัพเปิด Wellness Trail ครั้งแรก! ส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

ผู้ว่าเชียงรายนำทัพเปิดเส้นทาง Wellness Trail ครั้งแรก ส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 13 กรกฎาคม 2568 – ขณะที่ขบวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม “ผู้ว่าเชียงราย พาเที่ยว เพื่อสุขภาพ” ครั้งที่ 1 สู่เส้นทางแห่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เปี่ยมด้วยประวัติศาสตร์และความหมายต่อชาวเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำคณะลงพื้นที่เพื่อเปิดตัวโครงการ Chiang Rai Wellness City 2025 อย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพควบคู่ไปกับการยกระดับเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ พญาเม็งราย ขุนตาล และเทิง

การเดินทางเพื่อสุขภาพและชุมชน

ในเวลา 08.00 น. คุ้มพญาเม็งรายกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ไม่เพียงแต่เน้นการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงวิถีชีวิตท้องถิ่นเข้ากับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน คณะผู้เข้าร่วม ซึ่งประกอบด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย นายอำเภอทั้งสามพื้นที่ และหน่วยงานราชการ ได้รับการต้อนรับด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านที่สะท้อนความงดงามของล้านนา ผู้มาเยือนยังได้สัมผัสผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เปี่ยมด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น แชมพูจากอัญชัน น้ำผึ้งจากบ้านสวนพอเพียง กล้วยอบธัญพืช และสมุนไพรพอกเข่า ซึ่งล้วนเป็นตัวอย่างของการนำทรัพยากรท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม

“เราต้องการให้เชียงรายเป็นมากกว่าแค่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองที่มอบสุขภาพที่ดีและความยั่งยืนให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและชุมชน” นายชรินทร์กล่าวขณะเดินชมบูธผลิตภัณฑ์ชุมชน

จากคุ้มพญาเม็งราย คณะเดินทางต่อไปยังบ้านทุ่งรุ่งอรุณ The Local Khuntan ในอำเภอขุนตาลเมื่อเวลา 10.00 น. ที่นี่ ชาวบ้านได้แบ่งปันเรื่องราวของการปลูกและแปรรูปโกโก้ ซึ่งกลายเป็นสินค้าภายใต้แบรนด์ “ARAMP อารัมภ์” ความสำเร็จของชุมชนนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาอัตลักษณ์ท้องถิ่น แต่ยังเป็นตัวอย่างของการสร้างรายได้จากเกษตรแปรรูปที่ยั่งยืน

ในช่วงบ่าย คณะมุ่งหน้าสู่ไร่รื่นรมย์ อำเภอเทิง ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรอินทรีย์และพลังงานสะอาด ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์การทำน้ำสมุนไพรออร์แกนิคและการเลี้ยงผึ้งอย่างยั่งยืนผ่านกิจกรรม DIY ที่สร้างความประทับใจและจุดประกายไอเดียให้ผู้มาเยือน

การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพและความยั่งยืน

โครงการ Chiang Rai Wellness City 2025 เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลที่กำหนดให้ปี 2568 เป็น “ปีทองแห่งการท่องเที่ยว” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเมืองรองให้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจ เส้นทาง Wellness Trail ไม่เพียงแต่ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีผ่านการเดินทางและกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ แต่ยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์

“การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นแนวโน้มที่กำลังได้รับความนิยมทั่วโลก และเชียงรายมีศักยภาพทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น” นายเสริฐ ไชยยานันตา กล่าว “เราต้องการให้ทุกคนที่มาเยือนได้รับทั้งความสุขและสุขภาพที่ดี พร้อมกับช่วยให้ชุมชนมีรายได้ที่ยั่งยืน”

ผลลัพธ์การก้าวสู่เมืองแห่งสุขภาพ

กิจกรรมในครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทาง Wellness Trail ที่จะจัดต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2568 โดยคาดว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนผ่านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและบริการด้านการท่องเที่ยว จากข้อมูลย้อนหลัง ปี 2566 เชียงรายมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 46,773.91 ล้านบาท และมีนักท่องเที่ยวกว่า 6.1 ล้านคน การเปิดตัวเส้นทาง Wellness Trail นี้คาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้ให้สูงกว่า 50,000 ล้านบาทในปี 2568 โดยเฉพาะเมื่อรวมกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขยายพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบินแม่ฟ้าหลวง

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรท้องถิ่นและการจัดการจำนวนนักท่องเที่ยวเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การโปรโมทผ่านแพลตฟอร์ม OTA และการพัฒนาระบบจองท่องเที่ยวออนไลน์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง เช่น กลุ่มที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและประสบการณ์ท้องถิ่น

มองไปข้างหน้าเพื่อโอกาสและความยั่งยืน

การเปิดตัวเส้นทาง Wellness Trail เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับเชียงรายให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก โครงการนี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์เทรนด์การท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับจังหวัดในฐานะเมืองที่ผสานสุขภาพ วัฒนธรรม และธรรมชาติได้อย่างลงตัว การจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและชุมชน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชียงรายก้าวสู่การเป็น Wellness City อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย. (2566). รายงานสถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2566.
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.). (2568). แผนปฏิรูปการท่องเที่ยว 5 ปี (2568-2573).
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2568). นโยบายปีทองแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา 2568.
  • ไร่รื่นรมย์. (2568). รายงานกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอินทรีย์ อำเภอเทิง.
  • บ้านทุ่งรุ่งอรุณ The Local Khuntan. (2568). ข้อมูลผลิตภัณฑ์โกโก้และการท่องเที่ยวชุมชน.
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย. (2568). แผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบิน.
  • สิงห์ปาร์คเชียงราย. (2568). รายละเอียดการจัดงานเทศกาลบอลลูนนานาชาติ 2568.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

สรงน้ำพระธาตุจอมจ้อ นายก อบจ. นำสืบสานประเพณี

นายก อบจ.เชียงราย เปิดงานสรงน้ำพระธาตุจอมจ้อ ยิ่งใหญ่ สืบสานประเพณีวันวิสาขบูชา

เชียงรายร่วมใจสืบทอดประเพณีสำคัญทางพุทธศาสนา

เชียงราย, 11 พฤษภาคม 2568 –  ณ วัดพระธาตุจอมจ้อ อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้เดินทางมาเป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีเปิดงานประเพณีสรงน้ำพระธาตุจอมจ้อ ภายใต้ชื่องาน “ป๋าเวณีวิสาขมาส ร่วมอาบน้ำพระธาตุเจ้าจอมจ้อ” ซึ่งเป็นประเพณีที่มีความสำคัญและได้รับความศรัทธาอย่างมากจากประชาชนชาวอำเภอเทิงและพื้นที่ใกล้เคียงมาอย่างยาวนาน

ในการจัดงานครั้งนี้ พระครูสิริคันธวงศ์ เจ้าคณะอำเภอเทิง รับหน้าที่เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โดยมีนายเอนก ปันทะยม นายอำเภอเทิง กล่าวต้อนรับ และนายมานพ อุบลศิลป์ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอเทิง เป็นผู้กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่

พระธาตุจอมจ้อ โบราณสถานศักดิ์สิทธิ์ของเชียงราย

พระธาตุจอมจ้อ ตั้งอยู่ที่หมู่ 20 ตำบลเวียง อำเภอเทิง เป็นโบราณสถานเก่าแก่ที่ชาวเชียงราย โดยเฉพาะชาวอำเภอเทิง เคารพศรัทธาและให้ความสำคัญอย่างสูงมายาวนาน ถือเป็นหนึ่งในพระธาตุสำคัญ “พระธาตุเก้าจอม” ของจังหวัดเชียงราย โดยทุกปีในวันวิสาขบูชา หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ชาวบ้านจะร่วมกันจัดพิธีสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุจอมจ้ออย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และเป็นการสืบทอดประเพณีที่ได้รับการปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ

การสรงน้ำพระธาตุในวันวิสาขบูชานั้น มีความเชื่อว่า เปรียบเสมือนการได้สรงน้ำพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งถือเป็นการแสดงออกถึงความเลื่อมใสศรัทธาและการสืบทอดศาสนาพุทธให้คงอยู่กับชาวเชียงรายตลอดไป

อบจ.เชียงราย สนับสนุนกิจกรรมสืบสานประเพณี

การจัดงานครั้งนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 100,000 บาท เพื่อส่งเสริมกิจกรรมและสืบสานวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่นให้คงอยู่กับชุมชนต่อไป โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สืบสานประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่น รวมถึงปลูกฝังจิตสำนึกให้เด็กและเยาวชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และนำหลักธรรมคำสอนมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและสังคม

นายก อบจ.เชียงราย กล่าวในพิธีเปิดว่า “การที่เราได้มาร่วมกันจัดงานประเพณีสรงน้ำพระธาตุจอมจ้อในวันนี้ นับเป็นการส่งเสริมให้คนในพื้นที่เห็นความสำคัญของพระธาตุจอมจ้อ ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าจอมของเชียงราย และสร้างความสามัคคีในชุมชนให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”

กิจกรรมภายในงานหลากหลายส่งเสริมการมีส่วนร่วม

ภายในงานนอกจากพิธีกรรมทางศาสนา ยังมีกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การแสดงทางศิลปวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการประวัติศาสตร์พระธาตุจอมจ้อ การประกวดการจัดดอกไม้ถวายพระธาตุ รวมถึงการออกร้านจำหน่ายสินค้าและอาหารพื้นเมืองจากชุมชนในพื้นที่ ซึ่งกิจกรรมต่างๆ นี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่จังหวัดเชียงรายที่เดินทางมาร่วมงานจำนวนมาก

ทั้งนี้ นายเอนก ปันทะยม นายอำเภอเทิง กล่าวเสริมว่า “การจัดงานครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในอำเภอเทิง ไม่ว่าจะเป็นคณะสงฆ์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภาวัฒนธรรม และประชาชนทั่วไป ซึ่งทุกฝ่ายต่างมีบทบาทสำคัญในการสืบทอดประเพณีที่งดงามนี้ให้คงอยู่กับอำเภอเทิงต่อไป”

วิเคราะห์และแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

จากการจัดงานที่มีความพร้อมและการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของอำเภอเทิง ในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดเชียงรายในอนาคต โดยเฉพาะการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจประเพณีพื้นบ้านล้านนา ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชนและจังหวัดได้เป็นอย่างดี

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรวางแผนประชาสัมพันธ์เชิงรุก ทั้งในสื่อออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อขยายการรับรู้ไปสู่นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ รวมทั้งส่งเสริมให้เยาวชนในพื้นที่ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการร่วมกิจกรรม เพื่อให้การอนุรักษ์และสืบสานประเพณีดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานทางวัฒนธรรมในเชียงราย

จากข้อมูลของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (2567) พบว่า แต่ละปีมีงานประเพณีท้องถิ่นสำคัญของจังหวัดเชียงรายมากกว่า 100 งาน สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติได้กว่า 1 ล้านคน สร้างรายได้ให้แก่จังหวัดกว่า 500 ล้านบาทต่อปี (ที่มา: รายงานประจำปี สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานประจำปี สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2567
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เทิง 113 ปี สืบสานภูมิปัญญา “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า”

อำเภอเทิงจัดยิ่งใหญ่ “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” ครั้งที่ 1 ฉลอง 113 ปีแห่งการก่อตั้ง พร้อมสืบสานภูมิปัญญาลุ่มน้ำลาว หงาว อิง

เชียงราย, 2 เมษายน 2568 — อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย จัดงานสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” ลุ่มน้ำลาว หงาว อิง ครั้งที่ 1 อย่างยิ่งใหญ่ เนื่องในโอกาสครบรอบ 113 ปี แห่งการก่อตั้งอำเภอเทิง โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชนร่วมมือกันจัดกิจกรรมอันเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางวัฒนธรรม เพื่อน้อมรำลึกถึงรากเหง้าอัตลักษณ์ของชาวเมืองเทิงและพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์

พิธีเปิดสมเกียรติ – รวมพลังประชาชนสืบสานรากเหง้าเมืองเทิง

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ณ ที่ว่าการอำเภอเทิง (หลังเก่า) ตำบลเวียง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมในฐานะแขกผู้มีเกียรติ พร้อมด้วย นายเอนก ปันทะยม นายอำเภอเทิง หน่วยงานราชการ สภาวัฒนธรรม พุทธสมาคม ชมรมผู้สูงอายุ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชนเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก

งานในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของการจัด “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์กลางแห่งภูมิปัญญา วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชุมชนริมลุ่มน้ำลาว หงาว และอิง ที่หล่อหลอมให้เกิดความเข้มแข็งและความภาคภูมิใจในถิ่นฐานของตน

กิจกรรมหลากหลาย สะท้อนอัตลักษณ์ล้านนาแท้

ภายในงานได้มีการจัดกิจกรรมที่สะท้อนถึงรากเหง้าทางวัฒนธรรมของเมืองเทิง อาทิ

  • พิธีเจริญพระพุทธมนต์ และสืบชะตาเมืองเทิง เพื่อความเป็นสิริมงคลและความเจริญรุ่งเรืองของชุมชน
  • พิธีทำบุญถวายผ้าป่า 10 ตำบล เพื่อความสามัคคีและการรวมพลังของท้องถิ่น
  • เขียนชื่อบนผ้าห่มพระธาตุจอมจ้อ อันเป็นพุทธบูชาสำคัญของชาวเมืองเทิง
  • บูชาชะตา ฮอมบุญขันตั้งสืบชะตา ตามประเพณีล้านนาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน
  • มอบเกียรติบัตรผู้สูงอายุดีเด่นระดับหมู่บ้าน เพื่อยกย่องคุณค่าของผู้สูงวัยในสังคม
  • นิทรรศการศิลปวัฒนธรรม และของดีแต่ละตำบล
  • นิทรรศการผลงานศิลปินท้องถิ่น
  • การแสดงพื้นบ้าน 10 ตำบล ภายใต้แนวคิด “เมืองเทิงมีดีอยู่ตี้ 10 ตำบล”
  • ขันโตก “ฮอมบุญ” อาหารพื้นบ้าน 100 โตก ที่แสดงออกถึงการแบ่งปันและความเป็นหนึ่งเดียวของชุมชน

เป้าหมายเพื่ออนุรักษ์และพัฒนาแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์

หนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของการจัดงาน “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” คือการระดมทุนเพื่อ ปรับปรุงอาคารที่ว่าการอำเภอเทิง (หลังเก่า) ให้กลายเป็น พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เมืองเทิง ซึ่งจะกลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ และจุดหมายด้านวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยว ทั้งในระดับจังหวัดและภูมิภาค

เสียงสะท้อนจากชุมชน – เสียงจากสองมุมมอง

ฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะผู้นำชุมชนและภาควัฒนธรรมท้องถิ่น เห็นว่าการจัดกิจกรรมนี้เป็นการ “สร้างรากฐานทางวัฒนธรรม” ที่มั่นคงและยั่งยืน ถือเป็นแบบอย่างให้กับพื้นที่อื่น ๆ ในการนำทุนวัฒนธรรมมาพัฒนาเป็นทุนทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว

อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งรวมถึงกลุ่มนักพัฒนาในพื้นที่ แสดงความเห็นว่า แม้กิจกรรมจะดี แต่ควรมีการติดตามและประเมินผลเชิงประจักษ์ เช่น จำนวนผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ รายได้ที่เกิดจากกิจกรรมวัฒนธรรม หรือความต่อเนื่องของโครงการ เพื่อให้การลงทุนในด้านนี้ตอบโจทย์ด้านสังคมและเศรษฐกิจจริง

สถิติเกี่ยวกับการพัฒนาวัฒนธรรมท้องถิ่น

จากรายงานของ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2566 และข้อมูลจาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม พบว่า:

  • จังหวัดเชียงรายมี หมู่บ้านวัฒนธรรมกว่า 160 แห่ง
  • มีโครงการอนุรักษ์วัฒนธรรมเชิงพื้นที่มากกว่า 80 โครงการต่อปี
  • อำเภอเทิงมีแหล่งวัฒนธรรมที่ขึ้นทะเบียนแล้ว 15 แห่ง และแหล่งภูมิปัญญาท้องถิ่นกว่า 30 รายการ
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเชียงรายจัดสรรงบส่งเสริมวัฒนธรรมเฉลี่ย 12 ล้านบาท/ปี
  • โครงการแปลงศูนย์ราชการเก่าเป็นพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นกว่า 25% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

(ที่มา: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, สำนักงานสถิติแห่งชาติ)

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

  • ควรจัดให้มี “ฐานข้อมูลกลาง” ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นในแต่ละตำบล
  • ขยายผลกิจกรรม “ข่วงผญ๋า” ไปยังโรงเรียน เพื่อปลูกฝังความภาคภูมิใจตั้งแต่ระดับเยาวชน
  • ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชน ในการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์
  • พัฒนาช่องทางสื่อสารสมัยใหม่ เช่น Virtual Museum และ QR Code สำหรับนิทรรศการ
  • ประเมินผลกิจกรรมวัฒนธรรมด้วยเครื่องมือที่สามารถวัดผลด้านเศรษฐกิจและสังคมได้

สรุปภาพรวมอย่างเป็นกลาง

งาน “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” ครั้งที่ 1 นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการรื้อฟื้นและสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายในการอนุรักษ์วัฒนธรรม พร้อมทั้งพัฒนาอาคารประวัติศาสตร์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ร่วมสมัย

ในมุมหนึ่ง ประชาชนต่างภาคภูมิใจและยินดีที่ชุมชนได้มีเวทีแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของตน ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง เสนอให้มีกลไกตรวจสอบ ประเมินผล และต่อยอดโครงการให้ยั่งยืนในระยะยาว

การพัฒนาวัฒนธรรมจึงควรเป็น “งานร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผิดชอบ” ของทุกภาคส่วน เพื่อให้คุณค่าแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่นมิได้หยุดอยู่เพียงในงานเฉลิมฉลอง แต่ยังคงสืบทอดเป็นมรดกให้คนรุ่นหลังต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

ประเพณีแข่งขันเรือพายอำเภอเทิง เสริมท่องเที่ยวเชียงราย

ประเพณีแข่งขันเรือพายอำเภอเทิง คึกคักส่งเสริมท่องเที่ยวและเศรษฐกิจท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 ณ อ่างเก็บน้ำบ้านทุ่งโห้ง หมู่ 5 ตำบลเวียง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ได้จัดงานประเพณีแข่งขันเรือพายประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีนายรังสรรค์ วันไชยธนวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (ฝ่ายการเมือง) ประจำนายอนุทิน ชาญวีระกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยมีนายศราวุธ ค่อมบุญ นายอำเภอเทิง นายกฤษฎา ชัยยา ปลัดอาวุโสอำเภอเทิง นายสวาท สมใจ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเวียง และบรรดาผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น รวมถึงประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมงานอย่างคึกคัก

ส่งเสริมประเพณี สร้างการรับรู้ในวงกว้าง

นายสวาท สมใจ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเวียง เปิดเผยว่า งานประเพณีแข่งขันเรือพายนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมและสืบสานประเพณีอันดีงามของอำเภอเทิงให้คงอยู่ต่อไป พร้อมทั้งสร้างการรับรู้ให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับประเพณีท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้ยังมุ่งหวังให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยว

การแข่งขันเรือพายที่หลากหลายทีมจากหลายอำเภอ

ในปีนี้มีทีมเรือพายเข้าร่วมการแข่งขันมากกว่า 20 ทีม โดยมาจากหลากหลายพื้นที่ เช่น อำเภอเชียงแสน และอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย รวมถึงทีมจากอำเภอแม่ใจและอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา โดยการแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภท ก. และประเภท ข. ซึ่งการแข่งขันรอบคัดเลือกของประเภท ก. ได้เริ่มต้นขึ้นในวันนี้ และประเภท ข. จะเริ่มในวันพรุ่งนี้เช้า โดยผู้ชนะของทั้งสองประเภทจะเข้าไปแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศช่วงบ่าย

ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจชุมชน

งานครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทำให้บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความคึกคัก โดยเฉพาะบริเวณที่มีร้านค้าจำหน่ายอาหารและสินค้าท้องถิ่น คาดว่ากิจกรรมในครั้งนี้จะช่วยสร้างรายได้ให้กับพ่อค้าแม่ค้าในพื้นที่ รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี

เกียรติสูงสุดจากถ้วยรางวัลของ รมช.มหาดไทย

สำหรับถ้วยรางวัลในปีนี้ได้รับการสนับสนุนจากนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสำหรับทั้งคณะผู้จัดงานและผู้ชนะการแข่งขัน

ประเพณีที่ต้องสืบสานสู่อนาคต

ประเพณีแข่งขันเรือพายของอำเภอเทิงไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมความสามัคคีในชุมชน แต่ยังเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ช่วยสืบสานวัฒนธรรมประจำถิ่นให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง พร้อมสร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวอำเภอเทิงและจังหวัดเชียงราย

งานประเพณีแข่งขันเรือพายอำเภอเทิงในครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สะท้อนให้เห็นถึงการประสานงานของหน่วยงานต่างๆ และความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชนในการสืบทอดวัฒนธรรมและขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบต.เวียง อ.เทิง จ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE