Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

โรงไฟฟ้าขยะพาน-ป่าหุ่ง เดินหน้า WTE 1.9 พันล้าน! ท้าพิสูจน์ระบบปิดต่อหน้าความกังวลชุมชน

โรงไฟฟ้าขยะ “พาน–ป่าหุ่ง” ศึกใหญ่ระหว่าง “วาระแห่งชาติ” กับ “สิทธิชุมชน” เมื่อเทคโนโลยีระบบปิดต้องพิสูจน์ความไว้ใจต่อหน้าแหล่งน้ำ–โบราณสถาน

เชียงราย, 31 ตุลาคม 2568 — ความพยายามแก้ปัญหาขยะเชิงโครงสร้างด้วย “โครงการบริหารและจัดการขยะมูลฝอยชุมชนเป็นพลังงานไฟฟ้า ระบบปิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” (Waste-to-Energy: WTE) ขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ป่าหุ่ง กำลังเดินทางสู่จุดตัดสินเชิงนโยบายครั้งสำคัญ หลังเวที “รับฟัง–ทำความเข้าใจ” เมื่อ 24 กรกฎาคม 2568 เปิดข้อเท็จจริงและตัวเลขที่ตรงไปตรงมาว่า แม้ “เสียงเห็นด้วย” จะเป็นข้างมาก แต่ “ความวิตก” ต่อผลกระทบด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และพื้นที่อ่อนไหว กลับยังสูงและยังต้องการคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้จากรัฐและผู้ลงทุน (เวทีจัดที่โรงเรียนบ้านร่องคตสันปูเลย อ.พาน จ.เชียงราย เวลา 08.30–12.00 น.)

สาระสำคัญเชิงนโยบาย

  1. อย่าข้ามขั้นตอนกฎหมาย: พิสูจน์พื้นที่ “ไม่ขัด CoP–กกพ.–สธ.–มติ ครม.” ด้วยแผนที่/เอกสารโต๊ะเดียวกัน
  2. ทำให้ความโปร่งใส “จับต้องได้”: CEMs เปิดสาธารณะ–Trigger Alarm–Protocol หยุดเครื่อง–เผยแพร่ผลไดออกซิน/โลหะหนัก
  3. คืนประโยชน์ชุมชนอย่างยุติธรรม: กองทุนสิ่งแวดล้อม–ตรวจสุขภาพ–สิทธิการร่วมกำกับ–มาตรการคุ้มครองจุดเปราะบาง

จาก “จุดตั้งเดิม” ติดโบราณสถาน สู่การ “ย้ายพื้นที่” ริมทางหลวงหมายเลข 1

โครงการ WTE ของ อบต.ป่าหุ่งถูกผลักดันในฐานะกลไกหลักของ “คลัสเตอร์ 3” เพื่อรองรับขยะรวม 428.63 ตัน/วัน จาก อปท.ร่วมเครือข่าย 51 แห่ง และเปลี่ยนเป็นไฟฟ้าขนาด 9.9 เมกะวัตต์ (ขายเข้าระบบได้ 8 เมกะวัตต์) โดยใช้ขยะอย่างน้อย 500 ตัน/วัน โครงการออกแบบให้ก่อสร้างบนที่ดินเอกชนไม่น้อยกว่า 45 ไร่ และมีกรอบลงทุน ไม่ต่ำกว่า 1,900 ล้านบาท ระยะสัญญา 25 ปี ภายใต้นโยบายรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทน (VSPP ≤10 MW)

เดิม สถานที่ดำเนินการได้รับความเห็นชอบที่ หมู่ 12 บ้านห้วยประสิทธิ์ ต.ป่าหุ่ง แต่ถูก “เบรก” หลังสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ยืนยันการมีอยู่ของ โบราณสถานสันกู่ และ กู่หัวแมน ในรัศมีที่กฎหมายและระเบียบห้ามตั้งโรงไฟฟ้า ส่งผลให้ อบต.ป่าหุ่งต้อง “ย้ายพื้นที่” ไปยังตัวเลือกใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ ม.4 บ้านท่าหล่ม ต.ทานตะวัน, ม.6 บ้านสันไม้ฮาม และ ม.9 บ้านสุขสันติ ต.แม่เย็น ซึ่งทั้งหมดอยู่ใกล้ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 และจุดเชื่อมโยงไฟฟ้าไปสถานีไฟฟ้าพานวงจร PAN01/PAN02 ได้ภายในรัศมีขยายเขตไม่เกิน 5 กม.

กติกาก่อนเดินหน้า เพดานกฎหมาย “CoP–กกพ.–สธ.” กำหนดเส้นที่ห้ามข้าม

การพิจารณาพื้นที่ใหม่ถูกออกแบบให้ สอดคล้องประมวลหลักปฏิบัติ (Code of Practice: CoP) ปี 2565 สำหรับโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงเผาไหม้กำลังติดตั้งต่ำกว่า 10 MW ซึ่งกำหนดชัดว่า “สถานที่ตั้งต้องไม่ขัดกฎหมายผังเมือง สิ่งแวดล้อม โบราณสถาน และมติ ครม.” และ ต้องไม่ตั้งอยู่ “ใน” หรือ “ใกล้” เขตอ่อนไหวในระยะ 1 กิโลเมตร เช่น อุทยาน/เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า/โบราณสถาน เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น “แบบรับรองตนเองที่ตั้งโครงการ” ของ กกพ. ยังระบุว่า ห้ามตั้งในพื้นที่ชุ่มน้ำตามมติ ครม. และ ลุ่มน้ำชั้น 1–2 ซึ่งเชื่อมโยงกับข้อกังวลเรื่อง “หนองฮ่าง” พื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญของชุมชนในอำเภอพานโดยตรง (แม้โครงการประกาศ “ระบบปิด–Zero Discharge” แต่เพียงคำประกาศยังไม่เพียงพอต่อการตัดความเสี่ยงเชิงพื้นที่ ต้องพิสูจน์ด้วยผังและมาตรการบริหารจัดการน้ำเสียเชิงประจักษ์)

 

ด้าน หลักเกณฑ์สาธารณสุขเรื่องการฝังกลบกากเถ้าจากการเผา ยังย้ำ “ห้าม” ใช้พื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ/นานาชาติ ลุ่มน้ำชั้น 1–2 เขตอนุรักษ์ หรือพื้นที่เสี่ยง และต้องคำนึงถึงสภาพธรณีที่มั่นคง (ในทางปฏิบัติ เท่ากับบังคับให้ผู้ออกแบบกำหนด “ปลายทางเถ้าหนัก–เถ้าลอย” ที่ปลอดภัย นอกเหนือจากการว่าจ้างผู้รับกำจัดที่ได้รับใบอนุญาต)

เวที “รับฟัง–ทำความเข้าใจ” เสียงส่วนใหญ่ “ยินดี” แต่ “ความกังวล” ยังไม่ตกเกณฑ์ปลอดภัยทางสังคม

เวทีรับฟัง–ทำความเข้าใจ เมื่อ 24 ก.ค. 2568 มีผู้เข้าร่วมจาก 3 ตำบลในรัศมี 3 กม. 1,552 คน (ไม่นับรวมหัวหน้าส่วนราชการ 34 คน) และส่งคืนแบบประเมิน 1,446 ฉบับ ตัวเลข “เห็นควร” ให้จัดการขยะเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 57.26% และ 56.85% “ยินดีให้ดำเนินโครงการ” ขณะที่ 23.17% ไม่ยินดี ทั้งนี้ เมื่อถาม “ความวิตกกังวลภาพรวม” มี 42.95% วิตกเล็กน้อย และ 20.54% วิตกมาก (ตัวเลขนี้สะท้อนโจทย์ด้าน “สังคมยอมรับ” โดยตรง: แม้เสียงสนับสนุนเป็นข้างมาก แต่ความไว้วางใจยังไม่ “ล็อกอิน”) ที่มา: รายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและทำความเข้าใจฯ ของ อบต.ป่าหุ่ง (ภาคผลการประชุมและแบบประเมิน)

ประเด็นกังวลหลัก จากห้องประชุมคือ

  • มลพิษอากาศ โดยเฉพาะ ไดออกซิน/ฟิวแรน, ก๊าซกรด (HCl/SOx/NOx) และ ฝุ่น PM2.5
  • น้ำชะขยะ ต่อ หนองฮ่าง (พื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญตามมติ ครม.)
  • ความเสี่ยงฉุกเฉิน หากเกิดเหตุ emergency breakdown ในรัศมีที่มีโรงพยาบาล–อนามัย–ศูนย์เด็กเล็ก

คำถามจาก นพ.ตรีวัตน์ วงศ์ขุนสุวรรณ ตัวแทนชุมชน ตอกย้ำโจทย์ กรณีเลวร้ายสุด” (worst case) ว่า รัศมีประเมินผลกระทบและมาตรการฉุกเฉิน เผื่อ” พอสอดคล้องกับความจริงของภูมิประเทศและชุมชนรอบข้างแล้วหรือไม่ (บันทึกคำถาม: ส่วน Q&A เวที 24 ก.ค. 2568 ในรายงานฯ)

คำตอบจากฝั่งโครงการ “ระบบปิด + เตาเผาตะกรับ + CEMs + Zero Discharge” คือกลไกคุมเสี่ยง

ฝั่ง อบต.ป่าหุ่ง และทีมที่ปรึกษาอธิบาย “เทคโนโลยีระบบปิด” โดยใช้ เตาเผาแบบตะกรับเคลื่อนที่ (Moving Grate) ควบคุมอุณหภูมิในเตา 800–1,200°C โดยถือหลัก >850°C นาน ≥2 วินาที เพื่อทำลาย ไดออกซิน/ฟิวแรน ก่อนส่งก๊าซไอเสียผ่าน หม้อไอน้ำ–กำจัดมลพิษ หลายชั้น (ถ่านกัมมันต์–bag filter ฯลฯ) และติดตั้ง ระบบติดตามมลพิษปล่องแบบต่อเนื่อง (CEMs) รวมถึงการออกแบบอาคารรับขยะให้เป็น ความดันต่ำ เพื่อกันกลิ่น/ฝุ่นฟุ้งกระจาย

 

ส่วน น้ำเสีย–น้ำชะขยะ โครงการยืนยันแนวทาง “Zero Discharge” คือรวบรวม–บำบัด (ชีวภาพ/RO) แล้ว หมุนเวียนใช้ภายในโครงการทั้งหมด เช่น ล้างล้อรถ/รดน้ำพื้นที่สีเขียว ไม่ปล่อยสู่แหล่งน้ำสาธารณะ” (อย่างไรก็ดี สำหรับชุมชน คีย์เวิร์ดคือ “หลักฐานเชิงพื้นที่–เส้นทางน้ำ–ความหนาแน่นการกันน้ำ” ไม่ใช่คำประกาศเพียงอย่างเดียว)

กากเถ้า จะแยกเป็น เถ้าหนัก (~15%) และ เถ้าลอย (~3%) จัดส่งบริษัทกำจัดกากที่ได้รับใบอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ประเด็นนี้ผูกกับกฎกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง “ที่ตั้งแหล่งฝังกลบ” ซึ่งห้ามพื้นที่ชุ่มน้ำ/ลุ่มน้ำชั้น 1–2 ฯลฯ ดังอ้างข้างต้น)

เส้นบาง ๆ” ระหว่าง โครงการสาธารณะจำเป็น กับ ความชอบธรรมทางสังคม

ในเชิงนโยบาย โครงการ WTE ของคลัสเตอร์ 3 ถูกออกแบบเพื่อแก้ปัญหา “ขยะล้น/เผากลางแจ้ง–control dump” ที่กดทับคุณภาพอากาศ–น้ำ–ดินมานาน และเพื่อบูรณาการขยะใหม่ 428.63 ตัน/วัน รวมถึง ขยะสะสม 168,265 ตัน ให้เข้าสู่ระบบกำจัดที่ถูกต้อง และสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นไฟฟ้า 9.9 MW ขายเข้าระบบ 8 MW ซึ่งเป็นแนวทางที่หลายจังหวัดเดินหน้าอยู่ (ข้อเท็จจริงนี้สะท้อน “เหตุผลและความจำเป็น” ตามเอกสารรายงาน)

แต่อีกด้าน เส้น “ความชอบธรรมทางสังคม” ถูก กฎหมาย–ระเบียบ กำหนดไว้ชัด ทั้ง CoP 2565, ประกาศ กกพ. 2564, และ กติกาสาธารณสุข ว่าห้ามตั้งในเขตอ่อนไหว และต้องพิสูจน์ ไม่กระทบพื้นที่ชุ่มน้ำตามมติ ครม.” ข้อนี้ทำให้ ผังระบบน้ำ–แนวกันน้ำ–ความสูงท่อปล่อง–ผลแบบจำลองแพร่กระจายมลพิษ กลายเป็น “หลักฐาน” ที่ชุมชนต้องได้เห็น ก่อน ตัดสินใจยินยอมร่วมกัน (free, prior and informed consent ในทางสิทธิชุมชน)

วิเคราะห์ “ความเสี่ยงสาระสำคัญ” ที่ยังต้องตอบให้จบ

  1. ความเสี่ยงเชิงพื้นที่ (Sensitive Receptors)
    พื้นที่เป้าหมายรายล้อมด้วยชุมชน–วัด–โรงเรียน–พื้นที่เกษตรและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การประเมินผลกระทบต้อง “ทำแผนที่ความเสี่ยง” (risk mapping) แสดงบ้านเรือน/โรงเรียน/ศาสนสถาน/ศูนย์เด็ก/สถานพยาบาล และเส้นทางลม–ทางน้ำ ตลอดจนระยะเผื่อกรณีฉุกเฉิน (ข้อกำหนด กกพ.เรื่องระยะห่างสาธารณสถาน 100 เมตร และข้อยกเว้น/ผ่อนผัน หากมี)
  2. คุณภาพอากาศ–ปล่อง–CEMs
    แม้เทคโนโลยีตะกรับ + ถ่านกัมมันต์ + bag filter + CEMs จะเป็นมาตรฐานโลก แต่ความเชื่อมั่นเกิดจาก ข้อมูลเปิดเผยแบบเรียลไทม์ (near-real time) ให้ชุมชนเข้าถึงค่ามลพิษปล่องอย่างต่อเนื่อง พร้อม Trigger Alarm ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน (pre-alarm/critical alarm) รวมถึง protocol หยุดเดินเครื่อง อัตโนมัติเมื่อค่าเกินเกณฑ์ (ข้อเท็จจริง: รายงานโครงการระบุถัง–อุปกรณ์ควบคุมหลายชั้นและ CEMs ที่ปากปล่อง)
  3. น้ำชะขยะ–Zero Discharge
    คำว่า “ศูนย์การระบาย” ต้องลงรายละเอียด เส้นทางท่อ–ขีดความสามารถบำบัด–การสำรองไฟ–การสำรองบ่อ–การบริหารกรณีฝนสุดขั้ว ตลอดจน การทดสอบเชิงสภาวะเลวร้ายสุด (stress test) ที่รับประกันว่า “น้ำเสียไม่หลุด” สู่หนองฮ่างและคลองชลประทาน (สัมพันธ์กับข้อจำกัดพื้นที่ชุ่มน้ำตามกฎหมาย)
  4. กากเถ้า–ปลายทาง
    ต้องประกาศ คู่สัญญากำจัดกาก ที่ได้รับอนุญาต, เส้นทางขนส่ง, ใบกำกับ/Manifest, จุดฝังกลบ ที่ไม่ขัดประกาศสาธารณสุข (ห้ามลุ่มน้ำ 1–2, ห้ามพื้นที่ชุ่มน้ำ ฯลฯ) และ ผลทดสอบคุณลักษณะกาก (TCLP) เป็นระยะ เพื่อปิดความเสี่ยงการรั่วไหลในห่วงโซ่
  5. การมีส่วนร่วม–ความเป็นธรรม 절차 (Procedural Justice)
    จากบทเรียนย้ายจุดตั้งเดิมเพราะโบราณสถาน การสื่อสารครั้งใหม่ต้อง “เขย่าความไว้ใจ” ด้วย การเชิญทุกครัวเรือนในรัศมี 3 กม. ให้เข้าถึงข้อมูล ทางเลือกหลายฉากทัศน์ (ทำ/ไม่ทำ/ทำแต่ออกแบบเสริม) พร้อม มาตรการชดเชย–กองทุนสิ่งแวดล้อม–สวัสดิการสุขภาพ ที่คำนวณจาก ปริมาณขยะจริง–โหลดมลพิษจริง ไม่ใช่ตัวเลขประมาณการลอย ๆ (รายงานเวที 24 ก.ค. 2568 ระบุขอบเขตกลุ่มเป้าหมาย–ขั้นตอนประชาสัมพันธ์–กำหนดการประชุมไว้อย่างเป็นทางการ)

ข้อเสนอเชิงนโยบาย “สามชั้นป้องกัน” เพื่อคลี่คลายความเสี่ยงและสร้างฉันทามติ

ชั้นที่ 1: พิสูจน์ความสอดคล้องกฎหมาย–ผังพื้นที่ (Compliance by Design)

  • เผยแพร่ แผนที่ข้อจำกัดกฎหมาย: เส้น 1 กม. จากโบราณสถาน/ศาสนสถาน/สาธารณสถาน, แนวเขตพื้นที่ชุ่มน้ำตามมติ ครม., ลุ่มน้ำชั้น 1–2, เขตคุ้มครองสิ่งแวดล้อม—ซ้อนทับกับผังโครงการให้ประชาชนตรวจสอบได้เอง (สอดคล้อง CoP/กกพ./สธ.)
  • ทำ Micro-Siting Study เปรียบเทียบตัวเลือก 3 พื้นที่ (ท่าหล่ม/สันไม้ฮาม/สุขสันติ) ด้วยดัชนีความเสี่ยงต่ออากาศ–น้ำ–เสียง–การจราจร–สังคม–โบราณสถาน–พื้นที่ชุ่มน้ำ แล้วเปิดผลเปรียบเทียบทางเลือก (รวม “ทางเลือกศูนย์” คือไม่ดำเนินการ)

ชั้นที่ 2: คุมมลพิษแบบโปร่งใส (Performance with Transparency)

  • ติดตั้ง CEMs + ป้ายจอหน้าประตูโรงไฟฟ้า แสดงค่ามลพิษปล่องแบบเรียลไทม์และย้อนหลัง พร้อม แดชบอร์ดออนไลน์ ให้ชุมชนเข้าถึงได้ 24 ชม. และ ระบบเตือนภัยชุมชน เมื่อค่าเข้าโซนเฝ้าระวัง
  • เปิด ผลตรวจไดออกซิน/โลหะหนัก รายไตรมาสจากห้องปฏิบัติการอิสระ พร้อม Protocol หยุดเดินเครื่อง หากค่าพุ่ง และ มาตรการทางปกครอง–สัญญา กรณีฝ่าฝืน
  • ทำ Stress Test น้ำเสีย เผยแพร่ผลทดสอบระบบกัก/บำบัด–สำรองไฟ–สำรองบ่อ รองรับเหตุฝนสุดขั้ว (AR5/AR6) และแผนซ้อมฉุกเฉินกับ รพ.–อนามัย–รพ.สต.–ศูนย์เด็กเล็ก

ชั้นที่ 3: ประโยชน์คืนชุมชน (Benefit-Sharing & Health Safeguard)

  • จัดตั้ง กองทุนสิ่งแวดล้อม–สุขภาพชุมชน บริหารร่วม โดยคิดจาก ตันขยะจริง–ชั่วโมงเดินเครื่องจริง ใช้ตรวจสุขภาพกลุ่มเสี่ยง/ติดตามมลพิษสิ่งแวดล้อม/พัฒนาพื้นที่สีเขียว
  • ทำ Community Monitoring สร้าง “อาสาสมัครเฝ้าระวัง” ที่ผ่านการอบรม เข้าถึงพื้นที่–ข้อมูล–ห้องควบคุม–จุดตรวจมลพิษได้ตามสิทธิ
  • กำหนด มาตรการชดเชย เฉพาะพื้นที่เปราะบาง (โรงเรียน/ศูนย์เด็ก/สถานพยาบาล/แหล่งน้ำชุมชน) เช่น ติดตั้งฟอกอากาศ, ระบบน้ำสะอาดสำรอง, เขตกันชนเขียว

ภาพใหญ่เศรษฐกิจ–สิ่งแวดล้อม “ขยะ” เป็นทั้งวิกฤติและโอกาส — แต่ “ความไว้วางใจ” คือใบอนุญาตตัวจริง

ข้อเท็จจริงจากรายงานชี้ว่า เป้าหมายของโครงการไม่ใช่เพียง “ผลิตไฟฟ้า” แต่เพื่อ หยุดวงจรเผากลางแจ้ง/เทกอง ที่ก่อมลพิษเรื้อรัง พร้อมยกระดับการจัดการขยะของทั้ง อำเภอพาน–พื้นที่รอบข้าง สู่มาตรฐานสากล (Waste-to-Energy แบบระบบปิด) และเพิ่มความมั่นคงพลังงานท้องถิ่น แต่ในโลกความจริง ใบอนุญาตทางสังคม (Social License) คือสิ่งที่ “ซื้อไม่ได้” ต้องใช้ความโปร่งใส–การมีส่วนร่วม–ข้อมูลเชิงประจักษ์แลกมาเท่านั้น

เกมยาวที่ต้อง “ชนะด้วยหลักฐาน”

ตัวเลขบนเวที 24 ก.ค. 2568 ทำให้เห็นว่า “สังคมพร้อมคุย” แต่ ยังไม่พร้อมเชื่อ โครงการ WTE พาน–ป่าหุ่งจึงต้อง ขยับจาก “คำอธิบาย” ไปสู่ “หลักฐาน”—ผังพื้นที่ชัดเจน, แบบจำลองแพร่กระจายมลพิษ, แผน Zero Discharge ที่ทดสอบได้, แผนฉุกเฉิน worst-case ที่ฝึกซ้อมจริง, และระบบ CEMs ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ พ่วง “สัญญาสังคม” เรื่องกองทุนสิ่งแวดล้อมและสิทธิการกำกับดูแลโดยชุมชน

เพราะในท้ายที่สุด นอกเหนือจากการพิสูจน์ “สอดคล้องกฎหมาย” (CoP–กกพ.–สธ.) คือการพิสูจน์ว่า โครงการพร้อม อยู่ร่วมกับหนองฮ่าง–ชุมชน–โบราณสถาน อย่างเคารพและรับผิดชอบได้จริง หากทำได้ การจัดการขยะตามวาระแห่งชาติจะไม่ใช่ “ภาระ” แต่คือ ภูมิคุ้มกันสิ่งแวดล้อม ของเชียงรายรุ่นถัดไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและทำความเข้าใจกับประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย โครงการบริหารและจัดการขยะมูลฝอยชุมชนเป็นพลังงานไฟฟ้า
  • องค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง 
  • สถาบันที่ปรึกษาด้านพลังงาน/วิศวกรรมของโครงการ
  • คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และประมวลหลักปฏิบัติ (CoP 2565)  
  • กระทรวงสาธารณสุข
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

กก.สิ่งแวดล้อมฯ ยกระดับแผนปี 69 คุมเข้มแหล่งกำเนิดมลพิษ เชื่อมโยงข้อกังวลโรงไฟฟ้าขยะท้องถิ่น

ชาวพานร้อง “ชั่งน้ำหนักให้ครบทุกด้าน” เวทีรับฟังโครงการโรงไฟฟ้าขยะ อบต.ป่าหุ่งสะท้อนเสียงกังวลรัฐขยับยกระดับแผนรับมือไฟป่า–หมอกควันปี 2569 คุมเข้มแหล่งกำเนิดมลพิษ เชื่อมโยงโจทย์สิ่งแวดล้อมระดับท้องถิ่นสู่ภาพใหญ่ของประเทศ

เชียงราย, 19 ตุลาคม 2568 — เช้าวันอาทิตย์ที่อากาศโปร่ง ลมหนาวแรกเริ่มพัดผ่านไหล่เขา เสียงเครื่องขยายกำลังเบา ๆ ดังขึ้นที่ ศาลาประชาคม หมู่ 3 บ้านป่าฮ่างงาม ตำบลทานตะวัน อำเภอพาน จุดนัดพบของชาวบ้านสามตำบล ทานตะวัน แม่เย็น และม่วงคำ ที่เดินทางมาร่วมเวทีให้ข้อมูล–รับฟังความคิดเห็นเรื่อง โครงการโรงไฟฟ้าขยะขององค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง (อบต.ป่าหุ่ง) ซึ่งตั้งอยู่ในรัศมีประมาณ 3 กิโลเมตร จากพื้นที่ชุมชน โดยในวันดังกล่าวมีประชาชนเข้าร่วม 449 คน บรรยากาศคึกคักแต่สงบเรียบร้อย มีทั้งผู้สูงอายุ กลุ่มแม่บ้าน เกษตรกร และตัวแทนผู้ประกอบการท้องถิ่น

ภาพตรงหน้าเป็น “ฉากเล็ก” ของการมีส่วนร่วมสาธารณะ แต่ปมประเด็นกลับ “ใหญ่” เพราะไม่ใช่แค่จะ “เอาหรือไม่เอาโรงไฟฟ้าขยะ” หากสะท้อนเรื่อง การจัดการของเสียชุมชน ความมั่นคงทางพลังงาน คุณภาพอากาศ สุขภาพ เศรษฐกิจท้องถิ่น และความเชื่อมั่นของชุมชน ที่ต้องถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันอย่างรอบคอบ

ขณะเดียวกัน “ฉากใหญ่” ของประเทศก็ขยับ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.สิ่งแวดล้อมฯ) ที่ประชุมเมื่อ 15 ตุลาคม 2568 มีมติเห็นชอบมาตรการ รับมือไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2569 โดยยกระดับการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษแบบเจาะจงพื้นที่และกิจกรรม (sector-based) หลังผลลัพธ์รอบ 1 พ.ย. 2567–31 พ.ค. 2568 ชี้ให้เห็นว่าคุณภาพอากาศดีขึ้นในหลายมิติ ค่าเฉลี่ยฝุ่นทั่วประเทศลดลง 10% (เหลือ 28 µg/m³), วันที่เกินมาตรฐานลดลง 2% (เหลือ 184 วัน), จุดความร้อนลดลง 25%, พื้นที่เผาไหม้ลดลง 27% แต่ยังต้อง “เร่งต่อเนื่อง” เพื่อให้เป้าหมายปี 2569 เดินหน้าได้จริง

บทข่าวนี้จึงพาไล่สายใยระหว่าง เสียงของชุมชน กับ ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อมของรัฐ และชวนมอง “ทางเลือก–ทางรอด” ของการจัดการขยะและอากาศสะอาดที่อยู่บนฐานข้อมูลข้อเท็จจริง มาตรฐานวิชาชีพสื่อ และความเป็นกลาง

เวทีชุมชน “ยังไม่เห็นด้วย” แต่ขอข้อมูลครบ ความเสี่ยงชัด มาตรการป้องกันจริงจัง

ตลอดช่วงเช้าถึงบ่าย ตัวแทนผู้จัดเวทีชี้แจง วัตถุประสงค์ของโครงการโรงไฟฟ้าขยะ และเปิดพื้นที่สำหรับถาม ตอบอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญที่ประชาชนส่วนใหญ่สะท้อน ได้แก่

  • ความเสี่ยงด้านอากาศและสุขภาพ ความกังวลเรื่องก๊าซ ฝุ่นละเอียด ไดออกซิน/ฟิวแรน และโลหะหนักจากกระบวนการเผา รวมถึงการรั่วไหลทางอากาศและผลกระทบกับกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ
  • น้ำ–ดิน–เถ้าก้นเตา/เถ้าลอย ความสามารถในการบำบัดน้ำเสีย การป้องกันการปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำชุมชนและพื้นที่เกษตร การจัดการเถ้าลอย (hazardous) และเถ้าก้นเตา (non-hazardous) ให้ถูกต้องตามกฎหมายและมาตรฐาน
  • การคมนาคม–เสียง–กลิ่น ปริมาณรถขนขยะต่อวัน ผลกระทบต่อถนนท้องถิ่น ความปลอดภัยบนท้องทาง และกลิ่นจากสถานีกำจัดขยะ/โรงงาน
  • ความเชื่อมั่นเชิงระบบ “คำมั่น การกำกับ บทลงโทษ” หากไม่ปฏิบัติตาม EIA/EHIA มาตรฐานปล่อง และการรายงานผลสู่สาธารณะ (real-time/รายเดือน) ที่ตรวจสอบได้จริง

ด้วยเหตุนี้ ข้อเสนอหลักในเวทีจึงไปในทิศทาง ยังไม่เห็นด้วย” แต่หากจะเดินหน้าต้อง ทบทวนรอบด้าน และ วางการมีส่วนร่วมที่มากกว่าการรับฟัง ได้แก่ การจัดทำ EIA/EHIA อย่างเข้มงวด, การเปิดเผย ข้อมูลการปล่อย (emission) แบบต่อเนื่อง (CEMS) ที่เข้าถึงได้, แผนคุ้มครองชุมชน (health surveillance), กองทุนสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น และ กลไกหยุดเดินเครื่องทันที หากค่าการปล่อยเกินมาตรฐาน

ใจความร่วมของผู้เข้าร่วม “ขอให้หน่วยงานทบทวนโดยให้ผลประโยชน์ชุมชน สิ่งแวดล้อมมาก่อน กำหนดเงื่อนไขป้องกันเข้ม และต้องโปร่งใสตั้งแต่วันแรก”

ผู้แทนภาครัฐย้ำในเวทีว่า พร้อมรับฟังทุกเสียง และขับเคลื่อนตามขั้นตอนที่ถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม โดยยึด “ประโยชน์ร่วมของพื้นที่และชุมชนโดยรวม” เป็นฐานการตัดสินใจ

ทำไม “ไฟฟ้าจากขยะ” จึงถูกหยิบมาคุย และอะไรคือเงื่อนไขสำคัญ

การผลิตไฟฟ้าจากขยะ (Waste-to-Energy, WtE) มักถูกเสนอในฐานะ “ทางออก” ของปัญหาขยะชุมชนสะสม เพราะมี ข้อดี บางประการ เช่น ลดปริมาณขยะเข้าสู่หลุมฝังกลบ, สร้างไฟฟ้าทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล, และลดก๊าซเรือนกระจกจากการย่อยสลายแบบไร้อากาศในหลุมฝังกลบ อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขสำคัญ ที่ทำให้ WtE “เป็นทางออกจริง” ไม่ใช่เพียงเตาเผา หากคือ “ทั้งระบบ” ได้แก่

  1. การคัดแยกต้นทาง ลดเศษอินทรีย์ที่มีความชื้นสูง เพิ่มค่าความร้อนของขยะเชื้อเพลิง (RDF) ให้เตาเผาทำงานได้มีประสิทธิภาพ ลดการใช้เสริมด้วยเชื้อเพลิงอื่น และลดสารก่อมลพิษจากการเผา
  2. มาตรฐานเทคโนโลยีและการดักจับมลพิษ ระบบบำบัดไอเสียหลายชั้น (เช่น Scrubber/Bag filter/Activated carbon) และ CEMS รายงานต่อเนื่องสู่สาธารณะ
  3. การจัดการเถ้า แยกเถ้าลอย (อันตราย) และเถ้าก้นเตา (ไม่อันตราย) ตามกฎหมาย กำหนดปลายทางชัดเจน (เช่น บ่อฝังกลบอันตรายมาตรฐาน/การใช้ประโยชน์อย่างปลอดภัยที่ผ่านการรับรอง)
  4. ระยะห่าง ทิศทางลม ภูมิประเทศ ออกแบบด้วยข้อมูล microclimate และผังเมือง กำหนดแนวกันชน (buffer) และระบบควบคุมกลิ่น
  5. ธรรมาภิบาล การเปิดเผยข้อมูล ตั้งคณะกรรมการร่วมภาคประชาชน, ระบบร้องเรียนที่ตอบสนองเร็ว, เงื่อนไขหยุดเดินเครื่องอัตโนมัติ, และบทลงโทษจริงจัง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง WtE จะ “ยั่งยืน” ได้ต่อเมื่อ ขยับฐานคัดแยก ลดของเสียตั้งแต่ครัวเรือน และใช้โรงงานในบทบาท “ปลายทางที่ปลอดภัย” ไม่ใช่ “ต้นทางของปัญหาใหม่”

 “โรงไฟฟ้าขยะ” กับโจทย์ “อากาศสะอาดภาคเหนือ” รัฐยกระดับแผนปี 2569

แม้โครงการในอำเภอพานจะอยู่ในขั้นรับฟัง แต่เสียงกังวลเรื่องคุณภาพอากาศก็เชื่อมโยงกับ บริบทภาคเหนือ ที่ต่อสู้กับ “ไฟป่า หมอกควัน ฝุ่น PM2.5” มายาวนาน ข้อมูลจาก กรมควบคุมมลพิษ ที่นำเสนอต่อ กก.สิ่งแวดล้อมฯ (15 ต.ค. 2568) สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในฤดูกาล 2567–2568 (1 พ.ย. 67–31 พ.ค. 68) ได้แก่

  • ค่าเฉลี่ยฝุ่นทั่วประเทศ 28 µg/m³ ลดลง 10%
  • จำนวนวันเกินมาตรฐาน 184 วัน ลดลง 2%
  • จุดความร้อน ลดลง 25%
  • พื้นที่เผาไหม้ ลดลง 27%

อย่างไรก็ดี รัฐยังเดินหน้ามาตรการปี 2569 ใน 5 ด้านหลัก เพื่อ “ล็อกแหล่งกำเนิด” ให้เข้มกว่าปีก่อน

  1. พื้นที่เกษตร   จัดการเศษวัสดุเหลือใช้, คุมอ้อยไฟไหม้เข้าโรงงาน, กำหนดพื้นที่ ช่วงเวลาเผาที่จำเป็น พร้อมมาตรการจูงใจลดการเผา
  2. พื้นที่ป่า   บูรณาการแผนป้องกัน ควบคุมไฟป่า ระหว่าง อปท. และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ (ทส.) ปรับกฎระเบียบการจัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์ดับไฟให้คล่องตัว
  3. เขตเมือง   ขยาย Low Emission Zone (LEZ) ครอบคลุมทุกเขตในกรุงเทพฯ เข้มงวด ควันดำไม่เกิน 20% เร่งวินัยบำรุงรักษารถ (น้ำมันเครื่อง/ไส้กรอง)
  4. หมอกควันข้ามแดน   คุมการ นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปลอดการเผา สอดคล้องประกาศของ กรมการค้าต่างประเทศ มีผล 1 ม.ค. 2569
  5. บริหารจัดการภาพรวม   ของบกลางเสริมงบปกติ, แจ้งเตือนสถานการณ์ผ่าน Cell Broadcast/SMS, ใช้กลไกคณะกรรมการทุกระดับเร่งรัดติดตามผล

เป้าหมาย 2569 ตั้งธง ลดพื้นที่เผาไหม้ในป่าอย่างน้อย 10%, ในเกษตรอย่างน้อย 15%, และให้ ยานพาหนะ โรงงาน สถานประกอบการ ปฏิบัติตามกฎหมาย 100% ขณะที่ภาคเหนือคาดหวังว่าแนวทาง “กำกับแหล่งกำเนิด” จะช่วย ลดวันวิกฤตหมอกควัน และสร้างภาวะอากาศดีในช่วงไฮซีซันท่องเที่ยวได้จริง

เมื่อ “อากาศดีขึ้น” ต้องดีแบบยั่งยืน และชุมชนต้องรู้สึกปลอดภัย

ตัวเลขที่ดีขึ้นในปี 2567–2568 เป็น “สัญญาณเชิงบวก” แต่การยกระดับมาตรการปี 2569 สะท้อนความเข้าใจว่า ตัวแปรฝุ่น ไม่ได้มีเพียง ไฟป่า การเผาเกษตร หากรวมถึง การคมนาคม อุตสาหกรรม การก่อสร้าง และกิจกรรมชุมชน การลดฝุ่นอย่างยั่งยืนจึงต้อง “ผูกแพ็กเกจ” ทั้ง มาตรการควบคุม, แรงจูงใจเศรษฐกิจ, และ วินัยสังคม เข้าด้วยกัน

สำหรับพื้นที่ที่กำลังถกเถียงเรื่องโครงการ WtE อย่างอำเภอพาน การยึด “มาตรฐานสูงสุด” เป็นเงื่อนไขตั้งต้น ไม่ใช่ข้อยกเว้น เช่น

  • กำหนดค่าการปล่อยปลายปล่อง ให้เทียบเคียงมาตรฐานสากลที่เข้มเท่าหรือมากกว่ากฎหมายไทย
  • ติดตั้ง CEMS ที่ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์/รายชั่วโมง
  • สุขภาพชุมชน ทำ ฐานข้อมูลสุขภาพก่อนโครงการ (baseline) และติดตามต่อเนื่องโดยหน่วยงานสาธารณสุขอิสระ
  • ความโปร่งใส การกำกับ ตั้งคณะกรรมการอิสระร่วมชุมชน ท้องถิ่น วิชาการ ตรวจติดตามแบบสุ่มไม่แจ้งล่วงหน้า
  • การมีส่วนร่วมที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่ “ปรึกษาครั้งเดียว” แต่เป็น วงจรสื่อสาร ตลอดอายุโครงการ รวมถึง กลไกเยียวยา หากมีผลกระทบ

“ความรู้สึกปลอดภัย” จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ ข้อมูลโปร่งใส ตรวจสอบได้ และชุมชนมีอำนาจร่วมกำกับ ไม่ใช่เพียงผู้รับฟัง

ทางเลือกคู่ขนาน “ลด–แยก–ใช้ซ้ำ–รีไซเคิล” เดินพร้อม “ปลายทางที่ปลอดภัย”

ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการของเสียเน้นย้ำว่า ไม่ว่าพื้นที่จะมี WtE หรือไม่ รากฐานของระบบขยะยั่งยืน คือ การลด (Reduce) แยก (Segregate)  ใช้ซ้ำ (Reuse)  รีไซเคิล (Recycle) และเสริมด้วย

  • เศษอาหาร/อินทรีย์ → ทำปุ๋ย/ไบโอแก๊ส ลดความชื้นและกลิ่นของขยะผสม
  • ของมีค่ารีไซเคิล → ดึงออกตั้งแต่ต้นทาง ลดการเผาวัตถุดิบที่มีมูลค่า
  • การศึกษา–แรงจูงใจ → สร้างนิสัยคัดแยกด้วยทั้งรณรงค์และสิ่งจูงใจ (ค่าธรรมเนียมตามปริมาณขยะผสม ส่วนลดสำหรับครัวเรือนคัดแยกดี)

เมื่อ ต้นทางแข็งแรง ปลายทาง ไม่ว่าจะเป็นหลุมฝังกลบสุขาภิบาลหรือโรงไฟฟ้าขยะ ก็จะปลอดภัยและมีประสิทธิภาพขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 “ฟังให้ครบ อธิบายให้ชัด ลงมือให้โปร่งใส”

จากเวทีชุมชนที่พาน เราเห็น เสียง “ยังไม่เห็นด้วย” ซึ่งไม่ได้ปิดประตู แต่ร้องขอ “หลักประกันความปลอดภัยและความโปร่งใส” ที่จับต้องได้ ขณะเดียวกัน ภาพใหญ่ของประเทศก็กำลังเดินสู่ การจัดการอากาศอย่างเป็นระบบ ในปี 2569 โดยมุ่งคุมแหล่งกำเนิดและเร่งบูรณาการทุกระดับ

จุดคลี่คลายปม อยู่ที่ “กระบวนการและความไว้วางใจ” หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนโครงการด้วยข้อมูลครบถ้วน, ปรับแบบ เพิ่มเงื่อนไขคุ้มครองชุมชน, เปิดเผยข้อมูลแบบเรียลไทม์, และ ให้ชุมชนมีสิทธิร่วมกำกับอย่างแท้จริง การตัดสินใจ จะเดินหน้า ปรับแก้ หรือยุติ ก็จะได้รับการยอมรับมากขึ้น

ท้ายที่สุด การจัดการขยะและอากาศสะอาด ไม่ใช่โจทย์ที่ “ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” จะแก้ได้ หากเป็น พันธสัญญาร่วมของทั้งชุมชน–ท้องถิ่น–รัฐ–เอกชน ที่ต้องฟังกันด้วยข้อมูล และลงมือด้วยความโปร่งใส เพื่อให้พาน–เชียงราย และภาคเหนือ เดินสู่ คุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ

  1. ทำฐานข้อมูลสุขภาพ สิ่งแวดล้อมก่อนโครงการ (Baseline) ตรวจ PM2.5, ไดออกซิน/ฟิวแรนในดิน–น้ำ–อากาศ, โลหะหนัก, และตัวชี้วัดสุขภาพกลุ่มเสี่ยง
  2. ยกระดับการมีส่วนร่วม ตั้ง คณะกรรมการเฝ้าระวังร่วมชุมชน มีอำนาจเข้าถึงข้อมูล CEMS/เข้าตรวจโรงงานแบบสุ่ม
  3. CEMS + Open Data เปิดข้อมูลการปล่อยบนแพลตฟอร์มออนไลน์แบบรายชั่วโมง พร้อมระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อเกินค่า
  4. เงื่อนไขหยุดเดินเครื่อง ระบุชัดในใบอนุญาต หากเกินมาตรฐานให้หยุดทันที ตรวจสอบแก้ไขก่อนกลับมาเดินเครื่อง
  5. กองทุนสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น จัดสรรเพื่อสุขภาพชุมชน–อากาศสะอาด–วิจัยอิสระ และการเยียวยา
  6. ทางเลือกต้นทาง แผนลดขยะอินทรีย์–ขยายไบโอแก๊สครัวเรือน/ชุมชน–ตั้งสถานีคัดแยกร่วมเอกชน–ให้แรงจูงใจเชิงเศรษฐศาสตร์
  7. เชื่อมยุทธศาสตร์ปี 2569 ของรัฐ ผูกมาตรการพื้นที่เกษตร–ป่า–เมือง เข้ากับแผนท้องถิ่นของพาน–เชียงราย ลดฝุ่นอย่างบูรณาการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลเวทีชุมชนอำเภอพาน จ.เชียงราย (19 ต.ค. 2568) เวทีให้ข้อมูล รับฟังความคิดเห็นโครงการโรงไฟฟ้าขยะ อบต.ป่าหุ่ง ณ ศาลาประชาคม ม.3 บ้านป่าฮ่างงาม ต.ทานตะวัน ผู้เข้าร่วมจาก 3 ตำบล (ทานตะวัน–แม่เย็น–ม่วงคำ) รวม 449 คน   รายงานโดยผู้จัดกิจกรรมและผู้แทนชุมชนในพื้นที่
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) / คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
  • กรมการค้าต่างประเทศ (พาณิชย์)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News