Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายรวมพลังต้าน “วิภา” อุทกภัยรุนแรงท้าทายความเข้มแข็งของชุมชน

เชียงรายรวมพลังต้านพายุ “วิภา” อุทกภัยรุนแรงท้าทายความเข้มแข็งของชุมชน

เชียงราย, 23 กรกฎาคม 2568 – เมื่อพายุโซนร้อน “วิภา” พัดถล่มจังหวัดเชียงรายตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในพื้นที่ 8 อำเภอ 23 ตำบล 114 หมู่บ้าน ประชาชนกว่า 400 ครัวเรือนเผชิญวิกฤต บ้านเรือนจมน้ำ พื้นที่เกษตรเสียหาย และโครงสร้างพื้นฐานพังพินาศ ภาพของชาวบ้านที่ต้องทิ้งบ้านเรือนหนีน้ำป่าไหลหลากกลายเป็นสัญลักษณ์ของความท้าทายครั้งนี้ แต่ท่ามกลางความโกลาหล ความหวังยังคงปรากฏผ่านการตอบสนองอย่างรวดเร็วของผู้นำท้องถิ่นและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

อำเภอเทิง หัวใจของวิกฤตและการตอบสนอง

ที่อำเภอเทิง หมู่บ้านร่องขามป้อมและบ้านใหม่ ตำบลเวียง กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความเสียหาย น้ำท่วมสูงเกิน 1 เมตร ทำให้บ้านเรือนกว่า 200 หลังคาเรือนจมอยู่ใต้มวลน้ำ ชาวบ้านกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุและผู้พิการ ต้องอพยพอย่างเร่งด่วนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่จัดตั้งโดยองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เวียง นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัด เดินทางลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

“ตอนเช้าน้ำสูงมาก แต่ตอนนี้เริ่มลดลงแล้ว ถ้าไม่มีฝนเพิ่ม คาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในไม่ช้า” ผู้ว่าฯ ชรินทร์กล่าว ขณะตรวจเยี่ยมศูนย์พักพิงที่ให้ที่พัก อาหาร และสิ่งของจำเป็นแก่ผู้ประสบภัย 18 ราย ด้านนายเอนก ปันทะยม นายอำเภอเทิง รายงานว่า อุทกภัยกระทบ 7 ตำบล 22 หมู่บ้าน รวม 420 ครัวเรือน โดยน้ำป่าจากลำน้ำหงาวเป็นสาเหตุหลัก การแจ้งเตือนล่วงหน้า 3-5 วันช่วยให้ชาวบ้านเตรียมพร้อมย้ายข้าวของขึ้นที่สูง ลดความสูญเสียได้ส่วนหนึ่ง

ความช่วยเหลือในพื้นที่นี้ไม่ได้มาจากภาครัฐเท่านั้น นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ส่งทีมบรรเทาสาธารณภัย 30 นาย พร้อมเครื่องมือหนัก เข้าสนับสนุนการอพยพและฟื้นฟูพื้นที่ ร่วมกับทหารจากกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17, โครงการชลประทานจังหวัด, มูลนิธิกู้ภัย และจิตอาสา การผนึกกำลังนี้แสดงให้เห็นถึงพลังของชุมชนที่รวมใจรับมือภัยพิบัติ

วงกว้างของความเสียหายจากพญาเม็งรายถึงเมืองเชียงราย

นอกจากอำเภอเทิง พื้นที่อื่นๆ ของเชียงรายก็เผชิญสถานการณ์ไม่ต่างกัน อำเภอพญาเม็งรายมีครัวเรือนได้รับผลกระทบถึง 7,000 ครัวเรือน โดยเฉพาะตำบลแม่เปาและตาดควัน น้ำป่าไหลหลากทำให้ถนนสายเม็งราย-แม่ต๋ำสัญจรได้เพียงช่องทางเดียว ในอำเภอเวียงแก่น คอสะพานใกล้วัดถ้ำผาแลขาดจากมวลน้ำ ส่วนอำเภอดอยหลวงต้องเร่งกำจัดสิ่งกีดขวางในลำน้ำบงเพื่อลดความเสี่ยงน้ำท่วมเพิ่ม

ในเขตอำเภอเมืองเชียงราย สถานการณ์ยิ่งน่ากังวล ตำบลดอยลานเผชิญน้ำป่าท่วมโรงเรียนและหมู่บ้าน ตำบลสันทรายมี 9 หมู่บ้านถูกน้ำท่วมขัง และตำบลนางแลมีน้ำล้นตลิ่งกระทบพื้นที่โรงพยาบาลและชุมชน การสัญจรในหลายพื้นที่ถูกตัดขาดจากดินสไลด์และน้ำท่วมถนน นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย ระบุว่า ทีมงานกำลังเร่งแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการฟื้นฟูเส้นทางที่ถูกตัดขาด

แม่น้ำลาวภัยเงียบที่รออยู่

เมื่อเวลา 19.00 น. ของวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้รับแจ้งเตือนจากโครงการวิจัยระบบการเตือนภัยฯ ว่า ระดับน้ำในแม่น้ำลาวที่สถานีวัด G10 เพิ่มขึ้น 10-15 เซนติเมตรต่อชั่วโมง และอาจล้นตลิ่งที่ระดับ 3.50 เมตรในเวลา 02.00 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่เทศบาลเร่งติดตั้งบิ๊กแบ็กและยกระดับแนวกั้นน้ำบริเวณประตูน้ำลาวใกล้ชุมชนทุ่งพญาหมี เพื่อป้องกันน้ำไหลเข้าท่วมเขตเมือง

“เราต้องทำงานแข่งกับเวลา” นายวันชัยกล่าว “การแจ้งเตือนล่วงหน้าช่วยให้เราเตรียมพร้อมได้ทันท่วงที แต่ทุกคนต้องช่วยกันจับตาสถานการณ์” การเตรียมการเชิงรุกนี้สะท้อนถึงความพยายามของหน่วยงานท้องถิ่นในการลดผลกระทบจากภัยพิบัติที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น

ความท้าทายและพลังแห่งความสามัคคี

สถานการณ์อุทกภัยจากพายุ “วิภา” เป็นบททดสอบครั้งสำคัญของเชียงราย การตอบสนองอย่างรวดเร็วของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของกลไกการจัดการภัยพิบัติ การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายก อบจ. การแจ้งเตือนล่วงหน้า และการบูรณาการกำลังจากทุกภาคส่วน ล้วนเป็นจุดแข็งที่ช่วยลดความสูญเสียและสร้างความมั่นใจให้ประชาชน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ การที่น้ำในแม่น้ำลาวอาจล้นตลิ่งในคืนนี้บ่งชี้ถึงความผันผวนของสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและสะพาน จะเป็นอุปสรรคสำคัญในการฟื้นฟูหลังน้ำลด และการเยียวยาครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบกว่า 400 ครัวเรือนใน 8 อำเภอ จำเป็นต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและเป็นธรรม

เมื่อมองไปข้างหน้า การฟื้นฟูเชียงรายจะต้องครอบคลุมทั้งการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน การเยียวยาพื้นที่เกษตร และการสนับสนุนจิตใจของประชาชนที่สูญเสียทรัพย์สิน ความร่วมมือที่แข็งแกร่งในวันนี้เป็นสัญญาณว่าเชียงรายพร้อมเผชิญหน้ากับความท้าทาย และจะก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • โครงการวิจัยระบบการเตือนภัยล่วงหน้าภาคเหนือ
  • กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17
  • หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 สำนักงานพัฒนาภาค 3 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา
  • โครงการชลประทานจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายเปิดงบกระตุ้น อปท.ไร้บทบาท งบกระจุกหน่วยงานกลาง ชายแดนโดดเด่น

เปิดแกะไส้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.87 พันล้าน จ.เชียงราย “กรมทางหลวง” คว้าแชมป์ อปท.ไม่ได้แม้แต่บาทเดียว

เชียงราย, 30 มิถุนายน 2568 – ในขณะที่รัฐบาลเร่งปั่นเศรษฐกิจด้วยแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมหาศาล 157,000 ล้านบาท ภาพที่ปรากฏในจังหวัดเชียงรายกลับสะท้อนความเหลื่อมล้ำที่น่าตั้งคำถาม เมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุดกลับไม่ได้รับแม้แต่บาทเดียว ขณะที่หน่วยงานราชการส่วนกลางแบ่งปันงบประมาณกันหมด

เปิดตัวเลขสะเทือน งบ 1.87 พันล้าน แบ่งไป 10 หน่วยงาน

จากการวิเคราะห์เชิงลึกของทางเชียงรายนิวส์ พบว่าจังหวัดเชียงรายได้รับจัดสรรงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกทั้งสิ้น 1,876,111,500 บาท จาก 191 โครงการ โดยมี “กรมทางหลวง” เป็นตัวจริงคว้าสิงโตงวดไปถึง 713,901,000 บาท จาก 82 โครงการ คิดเป็นสัดส่วนถึง 38% ของงบประมาณทั้งหมด

รองลงมาคือ “กรมทรัพยากรน้ำ” ที่ได้ 327,525,800 บาท จากเพียง 2 โครงการ แต่ละโครงการมีมูลค่าเฉลี่ยโครงการละกว่า 163 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สุดในรายการ ตามด้วย “กรมชลประทาน” 255 ล้านบาท, “กรมทางหลวงชนบท” 175 ล้านบาท และ “กองทัพบก” 154 ล้านบาท ตามลำดับ

อำเภอเมืองเชียงรายยืนหนึ่ง ชายแดนตามติด

เมื่อมองในมิติของพื้นที่ อำเภอเมืองเชียงรายครองตำแหน่งผู้นำด้วยงบประมาณ 243,601,300 บาท จาก 34 โครงการ สะท้อนความเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของจังหวัด ขณะที่อำเภอเวียงชัยติดอันดับสองด้วย 219 ล้านบาท แม้จะมีเพียง 4 โครงการ

น่าสนใจคือ อำเภอชายแดนสำคัญอย่างเชียงแสน เชียงของ และเทิง ได้รับงบประมาณสูงเป็นอันดับต้นๆ ด้วยมูลค่า 214, 185 และ 182 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน

เจาะลึกโครงการ “มีดีมีเสีย” แบบเดียวกับระดับชาติ

ข้อมูลสำคัญเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2568 ที่ทำให้เห็นภาพรวมของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น โดยระบุว่า “โครงการที่อนุมัติเหมือนใช้งบกลางปกติ ไม่ใช่กระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นโครงการที่ทำอยู่แล้ว หรือถูกหั่นงบจากงบประมาณ 68”

ตัวอย่างเช่น การซ่อมถนนตามวงรอบปกติของทางหลวง การช่วยผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หรือการเพิ่มเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่ตั้งงบไม่พอ ซึ่งล้วนเป็นภารกิจปกติที่ควรจะดำเนินการอยู่แล้ว

โครงการใหม่น่าจับตา แต่ยังไม่เห็นรายละเอียด

อย่างไรก็ตาม ยังมีโครงการใหม่ที่น่าสนใจ เช่น โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งที่ได้รับจัดสรร 1,760 ล้านบาท (แม้จะขออนุมัติ 3,100 ล้านบาท) สินเชื่อผู้ประกอบการผ่านประกันสังคมหมื่นล้านบาท และโครงการ 1 ตำบล 1 ดิจิทัล (OTOD) รวมถึง OTOD AI ช่วยชาติ แต่ยังไม่เห็นรายละเอียดที่ชัดเจน

สำหรับในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โครงการที่โดดเด่นและน่าจับตา ได้แก่ การปรับปรุงห้องน้ำสาธารณะตามแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอสำคัญหลายแห่ง เช่น เชียงแสน เวียงแก่น ขุนตาล ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ยังมีโครงการแก้มลิง เขื่อนประตูน้ำ ระบบสูบน้ำไฟฟ้าในหลายพื้นที่ เช่น แม่สาย เชียงแสน เทิง ซึ่งสอดคล้องกับการรับมือภัยแล้งและน้ำท่วมที่เกิดขึ้นซ้ำซากในพื้นที่

ข้อกังวลที่ต้องจับตา

แม้จะมีโครงการที่น่าสนใจ แต่ก็มีข้อกังวลที่ไม่ควรมองข้าม เริ่มจากการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่ได้รับงบประมาณเลย ทั้งที่เป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุดและเข้าใจปัญหาพื้นที่ได้ดี

การกระจุกตัวของงบประมาณในบางพื้นที่ เช่น อำเภอเมืองเชียงรายที่ได้รับงบมากที่สุด ขณะที่อำเภอห่างไกล เช่น แม่สรวย เวียงแก่น แม่ลาว ได้รับงบน้อย อาจเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำในการพัฒนา

ความซ้ำซ้อนของโครงการบางประเภทในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ห้องน้ำสาธารณะหรือระบบส่งน้ำ ซึ่งหากขาดการบูรณาการ อาจใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

ผลกระทบระยะสั้น-ยาว ต่อจังหวัดเชียงราย

ในระยะสั้น โครงการเหล่านี้จะสร้างการจ้างงานโดยตรง โดยเฉพาะในภาคก่อสร้าง ทำให้เกิดการหมุนเวียนเงินในพื้นที่ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก แรงงานในท้องถิ่น ร้านค้า และซัพพลายเออร์จะได้รับประโยชน์โดยตรง

ในระยะยาว การลงทุนในระบบน้ำและถนนในพื้นที่ชนบทจะเพิ่มประสิทธิภาพการเกษตร การเดินทาง และการเข้าถึงตลาด พื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติบ่อยจะมีระบบรองรับที่ดีขึ้น

การยกระดับแหล่งท่องเที่ยวด้วยการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่มีศักยภาพสูง

สำหรับบทบาทของพื้นที่ชายแดน การที่อำเภอเชียงของ-เชียงแสนได้รับงบจำนวนมาก สะท้อนถึงการเตรียมความพร้อมสู่ศูนย์เศรษฐกิจ CLMVT Corridor ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของจังหวัดในอนาคต

ข้อเสนอแนะต่อการติดตามและพัฒนา

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ภูมิภาคเสนอแนะว่า ควรมีการเปิดเผยข้อมูลผลสัมฤทธิ์ของแต่ละโครงการเป็นระยะ เพื่อสร้างความโปร่งใสและให้ประชาชนสามารถติดตามได้

การส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการออกแบบหรือติดตามผลโครงการ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการลงทุนสูง จะช่วยให้โครงการตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่ได้มากขึ้น

การใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงรายที่เชื่อมโยงกับลาว-จีน ผ่านเชียงแสนและเชียงของ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการลงทุนในครั้งนี้

นอกจากนี้ ควรพิจารณาการพัฒนา “Smart Chiang Rai” ที่เชื่อมโยงระบบพื้นฐานเข้ากับการใช้เทคโนโลยี เช่น ระบบน้ำอัจฉริยะ ถนนอัจฉริยะ หรือระบบติดตามผลแบบออนไลน์

โอกาสทองสู่ความยั่งยืน

การใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.87 พันล้านบาทในจังหวัดเชียงรายครั้งนี้ หากดำเนินอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส จะเป็น “โอกาสทอง” ในการเร่งพัฒนาจังหวัดให้ยกระดับจาก “เมืองปลายทางท่องเที่ยว” ไปสู่ “ศูนย์กลางเศรษฐกิจชายแดนภาคเหนือ” ได้ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโครงการจะขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการที่ดี การมีส่วนร่วมของประชาชน และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง หากขาดองค์ประกอบเหล่านี้ โครงการเหล่านี้อาจกลายเป็นเพียงตัวเลขในกระดาษ โดยไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงให้กับประชาชนในพื้นที่ได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนและวิเคราะห์ข้อมูลโดย กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • เรียบเรียงโดย มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • ข้อมูลการจัดสรรงบประมาณโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลงบประมาณจาก ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2568
  • ข้อมูลการจัดสรรงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชาติ วงเงิน 157,000 ล้านบาท รอบแรก
  • การวิเคราะห์จากกรมพัฒนาชุมชน กรมทางหลวง กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายจับมือ! เร่งเสริมพัฒนาการเด็กเล็ก มุ่งสู่อนาคตที่สดใส

อบจ.เชียงราย ผนึกกำลัง รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ เดินหน้าพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัย เตรียมจัดเวทีวิชาการ 18 กรกฎาคม 2568 สร้างอนาคต “เด็กเชียงรายสุขภาพดี-พัฒนาการสมวัย”

เชียงราย, 13 มิถุนายน 2568 –การพัฒนาเด็กปฐมวัยในปัจจุบันได้กลายเป็นประเด็นสำคัญยิ่งที่ทุกภาคส่วนให้ความสนใจ เนื่องจากช่วงวัยแรกเกิดถึง 5 ขวบ ถือเป็น “หน้าต่างแห่งโอกาส” ที่จะวางรากฐานชีวิตให้กับเด็กทั้งในด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม การพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัยจึงต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดของทุกฝ่ายในสังคม ไม่เพียงแต่ครอบครัว แต่ยังรวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ภาคสาธารณสุข และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ความร่วมมือเพื่ออนาคตของชาติ

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา คณะผู้แทนจากโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ นำโดยทีมสหวิชาชีพได้เข้าพบนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ณ ห้องรับรองนายก อบจ. เพื่อหารือแนวทางขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัยในจังหวัดเชียงราย โดยมีนายไพรัช มหาวงศนันท์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข และบุคลากร อบจ. ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

จุดเน้นสำคัญของการหารือคือ การเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูล ตลอดจนแนวทางการดำเนินงานร่วมกันระหว่างโรงพยาบาลกับ อบจ. เพื่อช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีปัญหาพัฒนาการล่าช้า หรือปัญหาด้านสุขภาพที่ต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง
ฝ่ายโรงพยาบาลได้ถ่ายทอดประสบการณ์เชิงลึกเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองพัฒนาการในเด็ก พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะในการจัดตั้ง “ศูนย์เครือข่ายพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัย” ระดับจังหวัด ให้มีระบบติดตามและประเมินผลแบบองค์รวม พร้อมแนวทางการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และองค์กรชุมชน

เดินหน้าสู่เวทีวิชาการ – เปิดเวทีเรียนรู้เพื่อเด็กเชียงราย

ในโอกาสนี้ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ได้เรียนเชิญนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ให้ร่วมเป็นวิทยากรในเวทีสัมมนาวิชาการหัวข้อ “อนาคตเด็กเชียงรายมีสุขภาพดีและมีพัฒนาการสมวัย” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ณ ห้องประชุมใหญ่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

เวทีดังกล่าวมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ระหว่างทีมสหวิชาชีพ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ปกครอง และชุมชน เพื่อ

  • วิเคราะห์ปัญหาและความท้าทายที่เด็กปฐมวัยในจังหวัดเชียงรายเผชิญ
  • กำหนดแนวทางเชิงนโยบายและมาตรการสนับสนุนการพัฒนาเด็กให้มีคุณภาพ
  • สร้างกลไกเครือข่ายดูแลช่วยเหลือเด็กกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง
  • ผลักดันการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างทักษะพื้นฐานที่สำคัญในศตวรรษที่ 21

เครือข่ายเข้มแข็ง สู่พัฒนาการเด็กยั่งยืน

การผลักดันประเด็นพัฒนาเด็กปฐมวัยให้เป็นวาระสำคัญของจังหวัดเชียงรายนั้น เป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐและภาคสุขภาพในระดับพื้นที่ ที่สามารถขยายผลไปสู่จังหวัดอื่นทั่วประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม
นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้เน้นย้ำว่า ความสำเร็จในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเด็กจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ปกครองและชุมชนท้องถิ่น ที่ต้องให้ความใส่ใจต่อสัญญาณความเสี่ยงต่างๆ ของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม สุขภาพ หรือภาวะบกพร่องทางพัฒนาการ พร้อมทั้งเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันในการพัฒนาเครื่องมือคัดกรอง การอบรมครูพี่เลี้ยง และการสร้างระบบติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

การเดินหน้าสู่อนาคต

เวทีวิชาการที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 18 กรกฎาคมนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างพลังขับเคลื่อนเครือข่ายพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัยอย่างเป็นระบบในจังหวัดเชียงราย ไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพและการศึกษา หากยังเป็นเวทีสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกภาคส่วนในการร่วมสร้าง “อนาคตเด็กเชียงรายที่มีสุขภาพดีและพัฒนาการสมวัย” อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • กองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย (13 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ยกระดับบริการพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น

อบจ.เชียงราย จัดอบรมพัฒนาบุคลากรท้องถิ่นยุคใหม่ ยกระดับการบริหารงานตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

เชียงราย,27 มีนาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้จัดโครงการอบรมพัฒนาบุคลากรท้องถิ่นยุคใหม่ เพื่อยกระดับการปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้บริหาร สมาชิกสภา และข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด ให้สอดคล้องกับ หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีห้องประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยมี นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด

ในโอกาสนี้ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ พร้อมด้วย นางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงาน และได้รับเกียรติจาก นายประเสริฐ ชุ่มเมืองเย็น ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย รวมถึงหัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด และข้าราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการอบรม

เป้าหมายของโครงการ

การจัดอบรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ให้แก่บุคลากรในระดับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยเน้นย้ำให้การทำงานมีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง

เนื้อหาการอบรมและวิทยากร

ในระหว่างการอบรม ผู้เข้าร่วมได้รับฟังบรรยายพิเศษจาก นายฐิติกร สุขเสาร์ หัวหน้ากลุ่มตรวจสอบทรัพย์สิน จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประจำจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้ให้ความรู้เกี่ยวกับ หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี การป้องกันการทุจริตในองค์กร และการบริหารงานที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม

นายฐิติกร ได้เน้นย้ำถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีความซื่อสัตย์สุจริต และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า พร้อมให้ข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงานตามมาตรฐานสากล เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

บทบาทของ อบจ.เชียงราย ในการบริหารงานตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายมีหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะและส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่น โดยการปฏิบัติงานขององค์กรยึดหลัก รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รวมถึง พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ซึ่งกำหนดแนวทางในการบริหารราชการให้บรรลุเป้าหมายในการสร้างประโยชน์สุขแก่ประชาชนอย่างแท้จริง

หลักการสำคัญในการบริหารงาน ได้แก่:

  1. ความโปร่งใส และการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
  2. การมีส่วนร่วมของประชาชน ในการกำหนดนโยบายและแผนพัฒนา
  3. การตรวจสอบและประเมินผล อย่างต่อเนื่อง
  4. การบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่า

ความเห็นจากผู้เข้าร่วมอบรม

ฝ่ายสนับสนุน: ผู้เข้าร่วมอบรมส่วนใหญ่แสดงความเห็นว่าการอบรมครั้งนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารงานที่โปร่งใสและเป็นธรรม อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ฝ่ายกังวล: อย่างไรก็ตาม บางส่วนยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการนำหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไปใช้ในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะในเรื่องของการบริหารงบประมาณที่ต้องมีความรัดกุมและโปร่งใสอย่างแท้จริง ซึ่งต้องอาศัยการติดตามและตรวจสอบอย่างเข้มงวด

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนผู้เข้าร่วมอบรมในโครงการครั้งนี้: กว่า 150 คน (ที่มา: อบจ.เชียงราย)
  • สถิติการจัดอบรมด้านการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีในปี 2567: จัดอบรม 10 ครั้ง ครอบคลุมกว่า 1,000 คน (ที่มา: สำนักบริหารงานบุคคล อบจ.เชียงราย)
  • ระดับความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมโครงการอบรมในปีที่ผ่านมา: 90% (ที่มา: ศูนย์ประเมินผลการอบรม อบจ.เชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติ ปรับปรุง อำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุ

 

เมื่อวันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09.00 น. ณ อาคารคชสาร นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการความรู้ พื้นฐานในการออกแบบ และปรับปรุงสภาพแวดล้อม เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุและผู้ทุพพลภาพ

 

การจัดโครงการและกิจกรรมออกแบบและปรับปรุงสภาพแวดล้อม เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ ผู้สูงอายุและผู้ทุพพลภาพในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัด เชียงราย และความร่วมมือ ระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการ สร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มช่างชุมชน/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
 
 
โดยมีวิทยากรจากศูนย์รังสิตด้านกายภาพ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง คณะสถาปัตยกรรม ศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ศิลปะและการออกแบบ มหาวิทยาลัยนเรศวร และ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นผู้ให้ความรู้ในการอบรมครั้งนี้
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

รับทราบกันการทุจริต ​คณะรัฐมนตรีมีมติ รับข้อเสนอแนะจาก ป.ป.ช. เงินอุดหนุน ‘อปท.’

 

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (20 มิถุนายน 2566) มีมติรับทราบกรณี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนของ อปท. กรณีรัฐอุดหนุนแก่ อปท. ดังนี้ 

1. ข้อเสนอด้านการจัดทำคำขอและการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุน ซึ่ง 1) ควรมีนโยบายและแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน ทั้งวิธีการและระยะเวลาในการส่งเสริมและพัฒนารายได้ให้กับ อปท. 2) ในขณะที่ อปท. ยังไม่มีเงินเพียงพอต่อการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ควรพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่ อปท. ในรูปแบบเงินอุดหนุนทั่วไป โดยลดการจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ซึ่งมักมีปัญหาการทุจริตจากการวิ่งเต้นและการบริหารงานงบประมาณให้เหลือน้อยที่สุด 3) ควรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และตัวชี้วัดอย่างชัดเจนในการจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจให้แก่ อปท. เพื่อลดอำนาจการใช้ดุลยพินิจในการจัดสรรโดยมิชอบ 4) ควรเร่งดำเนินการให้ อปท. เป็นหน่วยงานที่ขอรับเงินงบประมาณโดยตรง 

2. ข้อเสนอด้านการนำเงินอุดหนุนไปจัดทำข้อบัญญัติ/เทศบัญญัติ และการบริหารจัดการงบประมาณเงินอุดหนุน 1) ควรกำหนดให้ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารงานของ อปท. อย่างเป็นรูปธรรมและเข้มข้นในทุกกระบวนการ 2) ควรส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของสมาชิกสภาท้องถิ่น และประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ และอำนาจกฎหมาย ระเบียบ และข้อกำหนดต่าง ๆ 3) ควรส่งเสริมและพัฒนาระบบการตรวจสอบภายในของ อปท. ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ 4) ควรกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการดำเนินการของ อปท. 

3. ข้อเสนอด้านการติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุน 1) ควรดำเนินการให้มีการจัดทำระบบฐานข้อมูลกลางขนาดใหญ่ (Big Data) 2) ควรกำหนดรูปแบบการรายงานผลการดำเนินงานของ อปท. ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง 3) ควรกำชับให้ผู้ใช้อำนาจในการกำกับดูแล อปท. ตรวจสอบติดตามและการรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนของ อปท. 4) ควรสนับสนุนให้ อปท. ทุกแห่งใช้ระบบการจ่ายเงินโดยให้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) 5) ควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการใช้จ่ายและการบริการเงินอุดหนุนของ อปท. ว่าเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และแบบแผนการปฏิบัติราชการหรือไม่

ทั้งนี้ ป.ป.ช. มีข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนของ อปท. กรณี อปท. อุดหนุนไปยังหน่วยงานอื่น ดังนี้ 

1. ประเด็น อปท. ตั้งงบประมาณเงินอุดหนุนให้แก่หน่วยงานอื่นโดยไม่เป็นไปตามระเบียบ หลักเกณฑ์ และแนวทางที่กำหนดรวมถึงหน่วยงานที่รับเงินอุดหนุนจาก อปท. ใช้จ่ายเงินไม่เป็นไปตามระเบียบและวัตถุประสงค์ อันอาจนำไปสู่การทุจริต 1) ควรแจ้งและกำกับให้ อปท. กำหนดมาตรการควบคุมภายใน โดยให้จัดทำแผนการตรวจสอบประเด็นขั้นตอนที่มีความเสี่ยงต่อการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุน และควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับการติดตามว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ 2) ควรกำหนดระเบียบห้าม อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนให้แก่หน่วยงานที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบฯ ในปีงบประมาณถัดไป 3) ห้าม อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนโครงการที่มีลักษณะเกี่ยวกับการจัดหาครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง 4) ควรกำหนดให้ อปท. ต้องจัดให้มีวิธีการที่จะให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการ 5) ควรให้ความสำคัญในการกำกับ ติดตาม ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ ต้องให้ความสำคัญทั้งในส่วนของ อปท. ที่ตั้งงบประมาณเงินอุดหนุน และการดำเนินการของหน่วยงานที่ขอรับเงินอุดหนุน พร้อมรายงานผลต่อสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเปิดเผยต่อสาธารณะด้วย

2. ประเด็น อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนให้หน่วยงานที่ทำการปกครองอำเภอ และสำนักงานจังหวัด ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีนายอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ควบคุมกำกับดูแล อปท. ตามกฎหมายอันเป็นการขัดกันต่อการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้กำกับดูแลเพื่อให้เกิดความถูกต้องและปราศจากการทุจริตทุกรูปแบบ 1) แก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินอุดหนุนฯ โดยห้าม อปท. ตั้งงบประมาณเงินอุดหนุนให้ที่ทำการปกครองอำเภอและสำนักงานจังหวัด 2) กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ ผู้กำกับดูแล อปท. ให้ อปท. ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ และหนังสือสั่งการของ มท.

3. ประเด็น อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ (การไฟฟ้า การประปา และองค์การจัดการน้ำเสีย) โดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบ หลักเกณฑ์และแนวทางเช่นเดียวกับหน่วยงาน/องค์กรอื่นที่ขอรับเงินอุดหนุนจาก อปท. 1) ห้าม อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนตามโครงการขยายเขตไฟฟ้าและประปา เพื่อจำหน่าย 2) ในกรณีที่ อปท. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนให้รัฐวิสาหกิจในภารกิจตามหน้าที่ของ อปท. จะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับการให้เงินอุดหนุนหน่วยงานอื่นคือให้นำเงินอุดหนุนนับรวมในอัตราส่วนไม่เกินร้อยละของรายได้จริงในปีงบประมาณที่ผ่านมา

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News