Categories
HEALTH

เตือนภัยหน้าร้อน! พยาธิตืดหมูซ่อนในอาหารดิบ กินสุกปลอดภัย

การบริโภคอาหารสุก ป้องกันโรคถุงพยาธิตืดหมูในช่วงหน้าร้อน

ในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย อุณหภูมิที่สูงขึ้นเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากอาหารที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะอาหารดิบที่อาจปนเปื้อนพยาธิหรือเชื้อโรค กรณีที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย “ไอ้แจ๋ว เมืองจันท์” โพสต์เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2568 เกี่ยวกับภาพเอกซเรย์ที่เผยให้เห็นถุงพยาธิตืดหมูในร่างกายผู้ป่วย เป็นเครื่องเตือนใจถึงอันตรายของการบริโภคอาหารดิบหรืออาหารที่ปนเปื้อนไข่พยาธิ แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาบริโภคอาหารที่ปรุงสุก เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคถุงพยาธิตืดหมู (Cysticercosis) และโรคอื่น ๆ ที่มากับอาหาร

อันตรายจากอาหารดิบ กรณีโรคถุงพยาธิตืดหมู

โพสต์จาก “ไอ้แจ๋ว เมืองจันท์” เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีก่อน ขณะทำงานเป็นผู้ช่วยเอกซเรย์ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พบภาพเอกซเรย์ของผู้ป่วยที่เผยให้เห็นถุงพยาธิตืดหมูในร่างกาย ซึ่งต่อมาอาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อธิบายว่าเป็นโรค Cysticercosis เกิดจากตัวอ่อนของพยาธิตืดหมู (Taenia solium) ฝังตัวในอวัยวะต่าง ๆ เช่น กล้ามเนื้อ สมอง ลูกตา หรือหัวใจ สาเหตุหลักเกิดจากการกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนไข่พยาธิ หรือการที่พยาธิในลำไส้ขย้อนไข่กลับสู่กระเพาะอาหาร ไข่พยาธิจะฟักเป็นตัวอ่อน ไชผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด และฝังตัวตามอวัยวะต่าง ๆ

โรคนี้พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคกลาง จากข้อมูลระหว่างปี 2490-2547 มีผู้ป่วยประมาณ 500 ราย (ที่มา: วารสารการแพทย์ไทย) อาการขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตัวอ่อนฝังตัว เช่น อาการชักหรือปวดศีรษะหากอยู่ในสมอง หรือตาบอดหากอยู่ในลูกตา การบริโภคเนื้อหมูดิบ หรือผักที่ปนเปื้อนไข่พยาธิจากปุ๋ยคอกที่ไม่สะอาด เป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อ

ความอร่อยไม่ต้องดิบก็เป็นเอกลักษณ์ที่น่าลิ้มลอง และเป็นที่น่าจดจำ

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ซึ่งริเริ่มโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และนักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6 มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนลดการบริโภคอาหารดิบและหันมาปรุงอาหารให้สุกอย่างถูกสุขลักษณะ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่เชื้อโรคและพยาธิเจริญเติบโตได้ดี แคมเปญนี้ไม่ห้ามกินอาหารดิบโดยสิ้นเชิง แต่ชวนให้ลองปรับเมนูดิบเป็นเมนูสุก เพื่อรักษารสชาติที่คุ้นเคยและเพิ่มความปลอดภัย

ตัวอย่างเมนูที่แนะนำ เช่น ลาบสุก ที่ใช้เนื้อหมูหรือวัวย่างจนสุกก่อนคลุกเคล้ากับเครื่องเทศและสมุนไพร หรือจิ้นส้มหมกไข่ที่เปลี่ยนจากการหมักดิบเป็นการอบหรือนึ่งจนสุก เมนูเหล่านี้ยังคงรสชาติเปรี้ยวเผ็ดและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของอาหารพื้นบ้านภาคเหนือ การเลือกวัตถุดิบจากแหล่งที่ได้รับการรับรอง เช่น ตลาดที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์ และล้างผักให้สะอาดก่อนปรุง ช่วยลดความเสี่ยงจากไข่พยาธิและเชื้อโรคอื่น ๆ

การป้องกันโรคถุงพยาธิต T. solium คำเตือนในช่วงหน้าร้อน

กรณีโรคถุงพยาธิตืดหมูชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัยและการปรุงอาหารให้สุกในช่วงหน้าร้อน ซึ่งสภาพอากาศร้อนชื้นเอื้อต่อการเจริญเติบโตของพยาธิและเชื้อโรค เพจ Drama-addict อธิบายเพิ่มเติมว่า การติดเชื้อแบบนี้ไม่เพียงเกิดจากการกินเนื้อดิบที่มีตัวอ่อนพยาธิเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการกินผักดิบที่ปนเปื้อนไข่พยาธิจากปุ๋ยคอกที่ไม่สะอาด หรือการกินยาขับพยาธิผิดวิธีจนปล้องพยาธิขย้อนกลับสู่กระเพาะอาหาร ทำให้ไข่พยาธิฟักเป็นตัวอ่อนในร่างกาย

คำแนะนำจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ระบุถึง 5 โรคหน้าร้อนที่เกี่ยวข้องกับอาหารไม่ปลอดภัย เช่น อุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ และไวรัสตับอักเสบเอ ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยหลัก “สุก ร้อน สะอาด” การปรุงอาหารที่อุณหภูมิอย่างน้อย 63°C หรือจนเนื้อเปลี่ยนสีขาวสนิท และการแช่แข็งเนื้อหมูที่ -20°C เป็นเวลา 1-3 วัน ช่วยฆ่าตัวอ่อนพยาธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องเสียรสชาติที่คุ้นเคย

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” เน้นย้ำว่าการบริโภคอาหารสุกเป็นเรื่องง่ายและไม่จำเป็นต้องสูญเสียรสชาติที่ทุกคนชื่นชอบ การปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุกสามารถทำได้โดยไม่ยุ่งยาก เช่น การย่างเนื้อแทนการใช้ดิบ หรือการนึ่งส่วนผสมแทนการหมัก ตัวอย่างเช่น น้ำพริกอ่องที่ใช้หมูสับปรุงสุกยังคงความเผ็ดจัดจ้าน หรือข้าวซอยไก่ย่างที่คงความหอมของเครื่องแกงไว้อย่างครบถ้วน การล้างผักและผลไม้ให้สะอาด และเลือกซื้อเนื้อสัตว์จากแหล่งที่ผ่านการตรวจสอบ เช่น ตลาดที่ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากไข่พยาธิ

แคมเปญนี้ยังเชิญชวนให้ประชาชนแชร์เมนูสุกที่ทำเองผ่านโซเชียลมีเดียด้วยแฮชแท็ก #กิ๋นสุกเป๋นสุข #สุกอร่อยปลอดภัย และ #ลดดิบเพิ่มสุข เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ในช่วงหน้าร้อนที่ความเสี่ยงจากอาหารไม่ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น การเลือกกินอาหารสุกไม่เพียงป้องกันโรคถุงพยาธิตืดหมูและโรคที่มากับอาหาร แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพในระยะยาว กรณีภาพเอกซเรย์ที่เผยถุงพยาธิในร่างกายเป็นเครื่องเตือนใจว่า การเลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัยและการปรุงอาหารให้สุกเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

“กิ๋นสุก เป๋นสุข” รับหน้าร้อน! สธ.เตือน 5 โรค ควบคู่ทลายแก๊งค์หมู

การบริโภคอาหารสุก ทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ปลอดภัยในช่วงหน้าร้อน

ในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย อุณหภูมิที่สูงขึ้นไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากอาหารที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะอาหารดิบหรือเนื้อสัตว์ที่มาจากแหล่งที่ไม่ได้รับการรับรอง กรณีการจับกุมผู้ลักลอบเคลื่อนย้ายซากสุกรในกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 และคำเตือนจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเกี่ยวกับโรคที่มากับฤดูร้อน สะท้อนถึงความสำคัญของการบริโภคอาหารที่ปรุงสุกและการเลือกวัตถุดิบที่สะอาด แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมสุขภาพของประชาชน โดยเน้นการปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุก เพื่อรักษารสชาติและความปลอดภัย

ความเสี่ยงจากอาหารไม่ปลอดภัย กรณีซากสุกรที่ไม่ทราบแหล่งที่มา

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กก.1 บก.ปทส.) ร่วมกับกรมปศุสัตว์ เข้าจับกุมนายธนะพล อายุ 41 ปี ในข้อหาลักลอบเคลื่อนย้ายซากสุกรโดยไม่ได้รับอนุญาต ณ โรงชำแหละซากสุกรไม่มีชื่อ แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร พบของกลางเป็นซากสุกร 1,800 กิโลกรัมจากทั้งหมด 7,500 กิโลกรัม ที่ไม่มีเอกสารรับรองแหล่งที่มา ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 ในพื้นที่ที่ถูกประกาศเป็นเขตเฝ้าระวังโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ผู้ต้องหามีความผิดตามมาตรา 65 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

การตรวจสอบพบว่าโรงชำแหละดังกล่าวดำเนินการโดยไม่ถูกสุขอนามัย ซากสุกรบางส่วนถูกวางบนพื้นโดยไม่มีภาชนะปกป้อง ส่งผลให้เกิดกลิ่นเหม็นรบกวนและอาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค สร้างความเดือดร้อนแก่ชุมชนโดยรอบ กรณีนี้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของการปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น ซาลโมเนลลา อีโคไล หรือพยาธิ ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้บริโภคที่ได้รับเนื้อสัตว์จากแหล่งที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะในเมนูที่ใช้เนื้อดิบ เช่น ลาบดิบ หรือก้อยดิบ

ความอร่อยไม่ต้องดิบก็เป็นเอกลักษณ์ที่น่าลิ้มลอง และเป็นที่น่าจดจำ

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ซึ่งริเริ่มโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และนักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6 มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนหันมาบริโภคอาหารที่ปรุงสุก เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคที่อาจมากับอาหารดิบ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี แคมเปญนี้ไม่ห้ามการบริโภคอาหารดิบโดยสิ้นเชิง แต่เน้นให้ประชาชนลองปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุก เพื่อรักษารสชาติที่คุ้นเคยและยกระดับความปลอดภัย

ตัวอย่างเมนูที่แคมเปญนำเสนอ เช่น จิ้นส้มหมกไข่ ซึ่งปกติเป็นแหนมที่หมักดิบ แต่เมื่อนำมาอบหรือนึ่งจนสุก จะได้รสชาติเปรี้ยวเผ็ดที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ หรือลาบสุกที่ใช้เนื้อวัวหรือหมูย่างก่อนคลุกเคล้ากับเครื่องเทศและสมุนไพร เมนูเหล่านี้ยังคงความหอมและรสชาติเข้มข้นไว้ได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนจากเนื้อดิบ การเลือกวัตถุดิบจากแหล่งที่ได้รับการรับรอง เช่น ตลาดที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์ ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยของอาหาร

เฝ้าระวังโรคในช่วงหน้าร้อน คำเตือนจากสาธารณสุข

นพ.เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ได้ออกมาเตือนประชาชนเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ถึงภัยสุขภาพในช่วงหน้าร้อน โดยระบุ 5 โรคที่พบบ่อย ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ อหิวาตกโรค และไวรัสตับอักเสบเอ โรคเหล่านี้ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค ซึ่งมักพบในอาหารดิบหรืออาหารที่เก็บรักษาไม่ถูกวิธี โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและพยาธิ

คำแนะนำจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายสอดคล้องกับโพสต์บนแพลตฟอร์ม X จากบัญชี @ddc_riskcom เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2568 ที่แนะนำให้ประชาชนยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” เพื่อป้องกันโรคอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษในช่วงฤดูร้อน การปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนที่เหมาะสม เช่น ต้ม ย่าง หรือนึ่ง สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่กระทบต่อรสชาติหรือคุณค่าทางโภชนาการของอาหาร

กินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องเสียรสชาติที่คุ้นเคย

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” เน้นย้ำว่าการบริโภคอาหารสุกเป็นเรื่องง่ายและไม่จำเป็นต้องสูญเสียรสชาติที่ทุกคนชื่นชอบ การปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุกสามารถทำได้โดยไม่ยุ่งยาก เช่น การย่างเนื้อแทนการใช้ดิบ การนึ่งหรืออบส่วนผสมแทนการหมัก ซึ่งยังคงความหอมของเครื่องเทศและสมุนไพรไว้ได้อย่างครบถ้วน ตัวอย่างเช่น จิ้นส้มหมกไข่ที่อบจนสุกจะมีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น หรือน้ำพริกอ่องที่ใช้หมูสับปรุงสุก ซึ่งยังคงความเผ็ดจัดจ้านตามสูตรดั้งเดิม

นอกจากนี้ การเลือกวัตถุดิบที่สะอาดและมีแหล่งที่มาชัดเจน เช่น เนื้อสัตว์ที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์ หรือผักที่ล้างสะอาดก่อนปรุง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค แคมเปญนี้ยังเชิญชวนให้ประชาชนแชร์เมนูสุกที่ทำเองผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยแฮชแท็ก #กิ๋นสุกเป๋นสุข #สุกอร่อยปลอดภัย และ #ลดดิบเพิ่มสุข เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคในวงกว้าง

ในช่วงหน้าร้อนที่ความเสี่ยงจากอาหารไม่ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น การเลือกกินอาหารสุกไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันโรคที่มากับอาหาร เช่น อุจจาระร่วงหรืออาหารเป็นพิษ แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพในระยะยาว กรณีการลักลอบเคลื่อนย้ายซากสุกรที่ไม่ทราบแหล่งที่มาเป็นเครื่องเตือนใจว่า การเลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัยและการปรุงอาหารให้สุกเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเป็นแนวทางที่ทั้งง่ายและมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสุขภาพที่ดี โดยไม่ต้องละทิ้งความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

พบแม่น้ำกกที่แม่อายปนเปื้อนสารหนู เชียงรายเตือน เลี่ยงใช้น้ำโดยตรง

สสจ.เชียงรายเตือนประชาชนเลี่ยงใช้น้ำแม่น้ำกก หลังพบสารหนูปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

เชียงใหม่, 5 เมษายน 2568 – สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เชียงราย ออกคำแนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง หลังมีการตรวจพบสารหนู (Arsenic) ปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในบริเวณต้นน้ำที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำกกไหลจากเมียนมาเข้าสู่ประเทศไทย ขณะนี้ผลการตรวจคุณภาพน้ำในเขตจังหวัดเชียงรายยังอยู่ระหว่างการรอผลอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดย สสจ.เชียงรายระบุว่า ยังไม่มีรายงานผลกระทบต่อสุขภาพในพื้นที่ แต่ได้ขอความร่วมมือจากประชาชนให้ปฏิบัติตามแนวทางป้องกันเพื่อความปลอดภัย

ความเป็นมาของปัญหา

แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ไหลผ่านอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนเข้าสู่จังหวัดเชียงราย โดยผ่านอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอเชียงแสน ประชาชนในพื้นที่ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำนี้ทั้งเพื่อการเกษตร การท่องเที่ยว และการผลิตน้ำประปา อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) เชียงใหม่ ได้เก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกกบริเวณอำเภอแม่อาย หลังพบว่าน้ำมีสีขุ่นผิดปกติและมีตะกอนดินปนเปื้อนจำนวนมาก ซึ่งต่างจากช่วงฤดูแล้งปกติที่น้ำมักใสสะอาด

ผลการตรวจสอบเบื้องต้นที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 โดยนายอาวีระ ภัคมาตร์ ผู้อำนวยการ สคพ.1 ระบุว่า น้ำในแม่น้ำกกบริเวณบ้านแก่งตุ้ม อำเภอแม่อาย ซึ่งเป็นจุดแรกที่แม่น้ำไหลจากเมียนมาเข้าสู่ไทย มีค่าสารหนูสูงถึง 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร (mg/L) เกินกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ 0.01 mg/L กว่าสองเท่า นอกจากนี้ยังตรวจพบสารหนูในจุดอื่น ๆ เช่น บ้านท่าตอน (0.012 mg/L) และบ้านผาใต้ (0.013 mg/L) ซึ่งทั้งหมดเกินค่ามาตรฐานเช่นกัน

นอกจากสารหนูแล้ว ยังพบสารตะกั่ว (Lead) ในระดับ 0.076 mg/L ที่จุดบ้านแก่งตุ้ม ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 0.05 mg/L รวมถึงค่าความขุ่นสูงถึง 988 NTU (หน่วยวัดความขุ่น) ซึ่งสูงเกินกว่าค่ามาตรฐานทั่วไปที่ 100 NTU อย่างมาก ส่งผลให้แหล่งน้ำอยู่ในเกณฑ์ “เสื่อมโทรม” และไม่เหมาะสำหรับการอุปโภคหรือบริโภค

สาเหตุที่อาจเกี่ยวข้อง

นายอาวีระระบุว่า สารหนูและตะกั่วที่พบในแม่น้ำกกอาจมีที่มาจากการทำเหมืองแร่ทองคำในเขตเมืองสาด รัฐฉานใต้ ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำกก โดยสารหนูถือเป็น “เพื่อนแร่” (Associated Mineral) ที่มักพบร่วมกับแร่ทองคำตามธรรมชาติ การขุดเหมืองและกระบวนการแยกแร่อาจปล่อยสารหนูและโลหะหนักอื่น ๆ ลงสู่แหล่งน้ำ หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม น้ำเสียจากเหมืองอาจไหลลงสู่แม่น้ำกกและส่งผลกระทบข้ามพรมแดนมาถึงไทย

รายงานจากชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงเหมืองฝั่งเมียนมาเผยว่า มีการขุดเปิดหน้าดินในบริเวณกว้างและปล่อยตะกอนดินลงสู่แม่น้ำ ซึ่งสอดคล้องกับภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นถึงกิจกรรมเหมืองขนาดเล็กที่ดำเนินการโดยนักธุรกิจภายใต้การอนุญาตของกองกำลังทหารว้า (United Wa State Army – UWSA) ความขุ่นของน้ำและการปนเปื้อนของสารพิษจึงอาจเป็นผลโดยตรงจากกิจกรรมดังกล่าว

ผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

สารหนูเป็นโลหะหนักที่มีพิษรุนแรง หากสัมผัสในระยะสั้นอาจทำให้เกิดผื่นคัน ระคายเคืองผิวหนัง หรือท้องเสีย หากสะสมในร่างกายเป็นเวลานานอาจนำไปสู่โรคมะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด หรือมะเร็งตับได้ ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) การบริโภคสารหนูในปริมาณ 100 มิลลิกรัมสามารถถึงแก่ชีวิตได้ ขณะที่ตะกั่วส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ และในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่การชักหรือเสียชีวิต

นางสลีลญา คำภาแก้ว นายอำเภอแม่อาย กล่าวว่า “ประชาชนที่สัมผัสน้ำโดยตรงบางรายเริ่มมีอาการผื่นแดงและคัน ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับสารปนเปื้อนในน้ำ เรากำลังเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนระวังการใช้น้ำจากแม่น้ำกกในช่วงนี้” ด้านนางสาวสมพร เพ็งค่ำ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA Platform) เรียกร้องให้มีการตรวจสอบเพิ่มเติม โดยเฉพาะสารปรอท (Mercury) ในปลานักล่าที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำกก เนื่องจากอาจมีการสะสมของสารพิษในห่วงโซ่อาหาร ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อผู้บริโภค

การตอบสนองของหน่วยงานในเชียงราย

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย) ได้ออกคำแนะนำ 4 ข้อสำหรับประชาชนในพื้นที่ ดังนี้:

  1. หลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรงในช่วงนี้ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ
  2. ผู้ที่ใช้น้ำประปาในเขตเทศบาลนครเชียงรายสามารถใช้ได้ตามปกติ เนื่องจากมีระบบบำบัดน้ำที่มีมาตรฐาน
  3. หากมีอาการผิดปกติ เช่น ผื่นคัน ท้องเสีย หรือสัมผัสน้ำโดยตรง ควรรีบพบแพทย์
  4. ติดตามข้อมูลจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด และงดแชร์ข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยัน

สสจ.เชียงรายระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานผู้ป่วยที่เชื่อมโยงกับสารปนเปื้อนในเขตจังหวัดเชียงราย แต่ได้ประสานกับสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เพื่อรอผลการตรวจตัวอย่างน้ำ 3 จุดในเขตเมืองเชียงราย ซึ่งคาดว่าจะทราบผลภายในสองสัปดาห์ หรือราววันที่ 18 เมษายน 2568

นายแพทย์ธวัชชัย ปานทอง สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า “เรากำลังเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอให้ประชาชนมั่นใจว่าทุกหน่วยงานกำลังดำเนินการเต็มที่เพื่อตรวจสอบและแก้ไขปัญหา หากผลตรวจในเชียงรายพบสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน เราจะมีมาตรการเพิ่มเติมทันที”

การดำเนินการของหน่วยงานในเชียงใหม่

ในจังหวัดเชียงใหม่ นายอาวีระ ภัคมาตร์ ผู้อำนวยการ สคพ.1 เปิดเผยว่า หลังการตรวจพบสารหนูและตะกั่วเกินมาตรฐาน ได้แจ้งเตือนประชาชนในอำเภอแม่อายให้งดเล่นน้ำและบริโภคน้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง รวมถึงประสานกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อตรวจสอบระบบประปาหมู่บ้านที่ใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกก ซึ่งอาจมีระบบกรองที่ไม่สามารถกำจัดโลหะหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นางสลีลญา คำภาแก้ว นายอำเภอแม่อาย ระบุว่า “เราได้แจ้งกำนันและผู้ใหญ่บ้านให้ประชาสัมพันธ์ถึงประชาชนแล้ว และในวันที่ 8 เมษายนนี้ จะมีการประชุมใหญ่ระดับจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อหารือแนวทางแก้ไขทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การประปาส่วนภูมิภาค และสาธารณสุขจังหวัดเข้าร่วม”

ความท้าทายและแนวทางแก้ไข

ปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำกกมีความซับซ้อน เนื่องจากต้นตออาจอยู่ในเขตเมียนมา ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุมของหน่วยงานไทย พันโท บุญโรจน์ กองแก้ว นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ท่าตอน อำเภอแม่อาย กล่าวว่า “เราเชื่อว่าสาเหตุมาจากเหมืองทองในรัฐฉาน แต่การแก้ไขต้องอาศัยการเจรจาระดับรัฐบาล ซึ่งท้องถิ่นอย่างเรามีอำนาจจำกัด ถึงแม้จะเคยรณรงค์เรื่องมลพิษข้ามแดน เช่น ไฟป่า แต่ก็ยังไม่เห็นผลชัดเจน”

นายอาวีระเสนอแนวทางระยะสั้น เช่น การสื่อสารแจ้งเตือนประชาชน การจัดตั้งคณะทำงานเพื่อพัฒนาแผนลดมลพิษ และการตรวจสอบระบบประปา ส่วนระยะยาวต้องมีการประสานความร่วมมือกับเมียนมาเพื่อจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษ ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานและต้องพึ่งพาความร่วมมือระหว่างประเทศ

ผลกระทบต่อชุมชนและการเกษตร

แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนในเชียงรายและเชียงใหม่ โดยเฉพาะเกษตรกรที่ใช้น้ำเพื่อการชลประทาน หากน้ำปนเปื้อนสารพิษในระยะยาว อาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรและความปลอดภัยของอาหาร เช่น ข้าว ผัก และสัตว์น้ำ นายสมชาย บุญมา เกษตรกรจากอำเภอเมืองเชียงราย กล่าวว่า “ถ้าน้ำใช้ไม่ได้ เราก็ต้องหาแหล่งน้ำใหม่ ซึ่งเพิ่มต้นทุนให้ชาวนา หวังว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาได้เร็ว ๆ”

ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งแม่น้ำกกเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อน เช่น การล่องแพและเล่นน้ำ ก็อาจได้รับผลกระทบ พันโท บุญโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทุกวันนี้ไม่มีใครกล้าเล่นน้ำแล้ว ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อ การท่องเที่ยวในท่าตอนอาจซบเซาไปเลย”

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ปริมาณน้ำในแม่น้ำกก: จากข้อมูลกรมชลประทาน ในช่วงฤดูแล้ง (มีนาคม-เมษายน) ปริมาณน้ำในแม่น้ำกกเฉลี่ยอยู่ที่ 20-30 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ลดลงจากฤดูฝนที่สูงถึง 200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ที่มา: รายงานสถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน, 2567)
  2. การปนเปื้อนสารหนูในแหล่งน้ำไทย: กรมทรัพยากรน้ำบาดาลระบุว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) พบแหล่งน้ำบาดาลในภาคเหนือปนเปื้อนสารหนูเกินมาตรฐาน 12 แห่ง ส่วนใหญ่เกิดจากธรรมชาติและมลพิษจากมนุษย์ (ที่มา: รายงานคุณภาพน้ำบาดาล, 2567)
  3. ผลกระทบสุขภาพจากสารหนู: องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่า ทั่วโลกมีผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำดื่มปนเปื้อนสารหนูมากกว่า 140 ล้านคน โดยในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบมากที่สุด (ที่มา: WHO Arsenic Fact Sheet, 2023)

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

กรณีการปนเปื้อนในแม่น้ำกกนำมาซึ่งมุมมองที่แตกต่างกันในสังคม ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า การตรวจพบสารหนูและการออกคำเตือนของหน่วยงานรัฐเป็นการดำเนินการที่ทันท่วงทีและแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะในเชียงรายที่ยังไม่พบผลกระทบรุนแรง การที่น้ำประปาในเมืองยังปลอดภัยยิ่งเป็นหลักประกันว่า สถานการณ์ยังควบคุมได้ และประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติหากปฏิบัติตามคำแนะนำ

ในทางกลับกัน บางฝ่ายมองว่านี่เป็นสัญญาณของปัญหามลพิษข้ามแดนที่รัฐบาลไทยยังแก้ไขไม่ได้ การที่ต้นตออาจมาจากเหมืองในเมียนมาทำให้เกิดคำถามถึงประสิทธิภาพของการเจรจาระหว่างประเทศ และการตรวจสอบที่ล่าช้าอาจทำให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเผชิญความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเกษตรกรและชุมชนที่พึ่งพาแม่น้ำกก ซึ่งอาจได้รับผลกระทบระยะยาว

จากมุมมองที่เป็นกลาง การตอบสนองของหน่วยงานทั้งในเชียงใหม่และเชียงรายแสดงถึงความพยายามในการปกป้องประชาชน แม้จะยังมีข้อจำกัดในการจัดการต้นตอของปัญหา การรอผลตรวจในเชียงรายและการประชุมในวันที่ 8 เมษายนจะเป็นตัวชี้วัดว่า มาตรการต่อไปจะครอบคลุมเพียงใด ขณะที่ข้อกังวลของฝ่ายที่สองก็สมเหตุสมผล เนื่องจากมลพิษข้ามแดนเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและต้องใช้ความร่วมมือระดับนานาชาติ การแก้ไขจึงควรดำเนินควบคู่ไปกับการสื่อสารที่ชัดเจน เพื่อลดความตื่นตระหนกและสร้างความมั่นใจให้ทุกฝ่าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
  • กรมชลประทาน
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  • WHO
  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

“สมศักดิ์หนุน” รพ.ใช้ยาสมุนไพรไทย รับงบ 60 ล้าน!

สปสช. หนุน รพ.ใช้สมุนไพรไทยแทนยาแผนปัจจุบัน พร้อมงบสนับสนุน 60 ล้านบาท

กระทรวงสาธารณสุขเร่งผลักดันยาสมุนไพรไทย

กรุงเทพฯ, 24 กุมภาพันธ์ 2568 – นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศมาตรการส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรในโรงพยาบาลภาครัฐ โดยมีเป้าหมายให้โรงพยาบาลนำยาสมุนไพรมาใช้แทนยาแผนปัจจุบันใน 5 รายการหลัก เพื่อรับงบสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รวมกว่า 60 ล้านบาท ภายในปีงบประมาณ 2568 หากดำเนินการสำเร็จ โรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับงบประมาณเฉลี่ยแห่งละ 200,000 บาท

10 สมุนไพรไทยรักษาโรคพบบ่อย

รมว.สาธารณสุขเผยว่า ปัจจุบันมีการใช้ยาสมุนไพร 10 รายการที่ได้รับการรับรองให้ใช้รักษา 10 กลุ่มอาการของโรคที่พบบ่อย ได้แก่

  • ยาไพล แก้ปวดกล้ามเนื้อและข้อ
  • ยาฟ้าทะลายโจร รักษาไข้หวัดและโควิด-19
  • ยาขมิ้นชัน แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • ยาเพชรสังฆาต รักษาริดสีดวงทวาร
  • ยาขิง บรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ
  • ยามะระขี้นก แก้อาการเบื่ออาหาร
  • ยากล้วย บรรเทาอาการท้องเสีย
  • ยาหอมเทพจิตร ช่วยเรื่องนอนไม่หลับ
  • ยาพริก บรรเทาอาการชาจากอัมพฤกษ์ อัมพาต
  • ยาว่านหางจระเข้ ใช้รักษาแผลและดูแลผิวหนัง

5 สมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบัน

เพื่อส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรแทนยาแผนปัจจุบัน สปสช. ได้ประกาศ 5 รายการสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้แทนยาแผนปัจจุบัน ได้แก่

  1. ครีมไพล แทนยาบาล์มแก้ปวด
  2. ยาประสะมะแว้ง แทนยาแก้ไอ
  3. ขมิ้นชัน ธาตุอบเชย แทนยาขับลม
  4. เพชรสังฆาต แทนยาริดสีดวง
  5. มะขามแขก แทนยาระบาย

งบประมาณสนับสนุนและเป้าหมายอนาคต

กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าหมายขยายงบประมาณสนับสนุนการใช้ยาสมุนไพรให้เพิ่มขึ้นจาก 1,500 ล้านบาทในปี 2568 เป็น 3,000 ล้านบาทในปี 2569 โดยคาดหวังว่าการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยจะช่วยลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยเข้าสู่ตลาดโลก

ขยายตลาดสมุนไพรไทยสู่ต่างประเทศ

นอกจากการส่งเสริมให้ใช้สมุนไพรภายในประเทศแล้ว รัฐบาลยังมีแผนขยายตลาดสมุนไพรไทยไปสู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะการนำยาดมและยาหม่องไปเปิดตลาดในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ในช่วงพิธีฮัจย์ ซึ่งมีนักแสวงบุญนับล้านคนเดินทางไปยังประเทศซาอุดิอาระเบียในแต่ละปี

สถิติการใช้ยาสมุนไพรและผลกระทบทางเศรษฐกิจ

จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขในปี 2567 พบว่า

  • มูลค่าการใช้ยาในระบบประกันสุขภาพแห่งชาติอยู่ที่ 70,500 ล้านบาท
  • ในจำนวนนี้เป็นการใช้ยาแผนปัจจุบัน 69,000 ล้านบาท
  • ขณะที่การใช้ยาสมุนไพรอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท
  • คาดการณ์ว่าการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยจะช่วยเพิ่มมูลค่าตลาดสมุนไพรจาก 13,000 ล้านบาท เป็น 190,000 ล้านบาท ในอนาคต

บทสรุป

การผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับและใช้ทดแทนยาแผนปัจจุบันในโรงพยาบาลของรัฐ ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ลดการพึ่งพายานำเข้า และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ หากมาตรการนี้ประสบความสำเร็จ จะช่วยให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านสมุนไพรและการแพทย์แผนไทยที่มีศักยภาพในระดับโลกได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเมืองสุขภาพ! ม.แม่ฟ้าหลวงร่วมพัฒนา สู่ต้นแบบแม่กำปอง

พช.เชียงราย ผนึกกำลังมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เดินหน้าโครงการ Chiang Rai Wellness City ผลักดันเชียงรายสู่เมืองแห่งสุขภาพ

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568 – มุ่งส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างต้นแบบชุมชนสุขภาวะยั่งยืน

เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย (พช.เชียงราย) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดกิจกรรมภายใต้โครงการ พัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Chiang Rai Wellness City)บ้านไร่กองขิง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นางอำไพ บัวระดก พัฒนาการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน ทีมวิทยากรจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และผู้นำชุมชนจากอำเภอเมืองเชียงราย เข้าร่วม

โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อ พัฒนาเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาวะ โดยนำแนวทางของ บ้านแม่กำปอง ซึ่งเป็นชุมชนต้นแบบด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ประสบความสำเร็จมาเป็นแนวทางในการพัฒนาเชียงราย ให้เป็นเมืองที่มีความสมดุลระหว่างวิถีชีวิตชุมชน วัฒนธรรม และการดูแลสุขภาพ

กิจกรรมสร้างสรรค์เชิงสุขภาพและวัฒนธรรม มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน

ภายในงาน มีกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับสุขภาพและวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ ประชาชนบ้านป่าอ้อ หมู่ที่ 11 ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมืองเชียงราย และประชาชนบ้านถ้ำผาตอง หมู่ที่ 6 ตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ได้แก่

กิจกรรมเพ้นท์แก้วดินเผาโบราณ

  • สร้างสรรค์งานศิลปะบนเครื่องปั้นดินเผาตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน
  • ส่งเสริมให้ชุมชนสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว
  • กระตุ้นเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน

กิจกรรมทำลูกประคบสมุนไพร

  • ถ่ายทอดความรู้เรื่องสรรพคุณของสมุนไพรไทยในการบำบัดรักษาสุขภาพ
  • ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • สร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับชุมชนผ่านการแปรรูปสมุนไพรเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ

กิจกรรมเชิงสุขภาพและวัฒนธรรมสำหรับนักท่องเที่ยว

  • สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบองค์รวม เช่น การนวดแผนไทย อาหารพื้นเมืองเพื่อสุขภาพ และโยคะสมาธิ
  • ผสมผสานวิถีชุมชนเข้ากับกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาวะ เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่มีคุณค่าแก่ผู้มาเยือน
  • ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มองหาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ

Chiang Rai Wellness City แนวคิดสู่การพัฒนาเมืองแห่งสุขภาพแบบยั่งยืน

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “Chiang Rai Wellness City” ซึ่งมุ่งเน้นให้เชียงรายเป็น เมืองแห่งสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ โดยอาศัยจุดแข็งของพื้นที่ ได้แก่

  • ภูมิประเทศที่มีธรรมชาติสมบูรณ์
  • วัฒนธรรมล้านนาที่เป็นเอกลักษณ์
  • วิถีชีวิตที่เรียบง่ายและเหมาะกับการพักผ่อนฟื้นฟูสุขภาพ
  • ทรัพยากรสมุนไพรที่หลากหลาย สามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

นางอำไพ บัวระดก พัฒนาการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงแนวทางในการขับเคลื่อนโครงการนี้ว่า

การพัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองแห่งสุขภาพไม่ใช่เพียงแค่การส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่คือการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อให้คนในพื้นที่ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เราต้องการให้ประชาชนเข้าถึงการดูแลสุขภาพในรูปแบบที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตล้านนา ควบคู่ไปกับการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตผ่านแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ”

เชียงรายมุ่งสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในระดับนานาชาติ

เชียงรายถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงในการเป็น ศูนย์กลางด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาวะในระดับนานาชาติ เนื่องจาก

  • เป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบจาก UNESCO
  • มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะแก่การฟื้นฟูสุขภาพ เช่น บ่อน้ำพุร้อน เชียงราย เทอราพี รีสอร์ท และเส้นทางท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
  • เป็นศูนย์กลางการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรล้านนา
  • มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านสุขภาพและสมุนไพร

ทั้งนี้ ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมีแผนผลักดันเชียงรายให้เข้าสู่เครือข่ายเมืองสุขภาพระดับโลก (Global Wellness Cities) ในอนาคต

สรุปผลสำเร็จของโครงการ และแนวทางในอนาคต

  • กิจกรรมภายใต้โครงการ Chiang Rai Wellness City ได้รับความสนใจจากประชาชนและผู้นำชุมชนอย่างกว้างขวาง
  • การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนผ่านผลิตภัณฑ์สุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจะเป็นศูนย์กลางในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพจากสมุนไพรท้องถิ่น
  • มีแผนต่อยอดความร่วมมือกับภาคเอกชนในการส่งเสริมสินค้าสุขภาพจากเชียงรายไปสู่ตลาดต่างประเทศ

โครงการนี้ถือเป็น จุดเริ่มต้นที่สำคัญ ในการทำให้เชียงรายกลายเป็น เมืองแห่งสุขภาพที่สมบูรณ์แบบ” ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเชียงราย และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

คนไทย 1 ใน 10 เป็นเบาหวาน วิมุตฯ เตือนภัย NCDs วัยทำงาน

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ฉลอง 40 ปี มุ่งป้องกันโรคเบาหวานและ NCDs

กรุงเทพฯ, 20 กุมภาพันธ์ 2568 – โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ฉลองครบรอบ 40 ปีแห่งความสำเร็จในการดูแลสุขภาพของคนทุกวัย พร้อมประกาศเดินหน้าสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคเบาหวานและกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คุกคามประชากรวัยทำงาน

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์มุ่งสร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพ

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เทพ หิมะทองคำ ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลเทพธารินทร์ กล่าวว่า “โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์มุ่งสร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพให้ประชาชนทุกวัย โดยแนวคิดนี้เกิดจากประสบการณ์ศึกษาดูงานต่างประเทศ ซึ่งทำให้เห็นว่าการดูแลโรค NCDs โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ต้องเน้นการป้องกันและให้ความรู้ควบคู่กับการรักษา เพราะผู้ป่วยมักเผชิญกับปัญหาซ้ำซากเมื่อพึ่งพาการรักษาเพียงอย่างเดียว”

คนไทยเสียชีวิตจากโรค NCDs ปีละกว่า 400,000 ราย

องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่าในปี 2021 โรค NCDs คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกอย่างน้อย 43 ล้านคน โดยมีประชากร 18 ล้านคนที่เสียชีวิตจากกลุ่มโรคดังกล่าวก่อนอายุ 70 ปี สำหรับประเทศไทย งานวิจัยของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับ WHO บ่งชี้ว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรค NCDs ปีละกว่า 400,000 ราย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง เบาหวาน มะเร็ง และโรคปอดเรื้อรัง

มีประชากรอายุเกิน 65 ปีเพิ่มขึ้นถึง 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในอีก 10 ปีข้างหน้า

นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ กล่าวว่า “โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์มุ่งขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจสุขภาพด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาอันท้าทายเช่นนี้ หลังจากที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ และจะมีประชากรอายุเกิน 65 ปีเพิ่มขึ้นถึง 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในอีก 10 ปีข้างหน้า”

นอกจากนี้ สถานการณ์โรคไม่ติดต่อเรื้อรังในประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะในกลุ่มโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ หัวใจและหลอดเลือด ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การขยายตัวของเมือง และพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป

1 ใน 10 คน หรือประมาณ 6.5 ล้านคนที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน

นายแพทย์เอกลักษณ์ วโนทยาโรจน์ ผู้อำนวยการศูนย์เบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อเทพธารินทร์ กล่าวว่า “จากรายงานสถิติสาธารณสุขไทยพบว่า มีผู้เป็นเบาหวานรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 300,000 คนต่อปี และปัจจุบันมีคนไทยถึง 1 ใน 10 คน หรือประมาณ 6.5 ล้านคนที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน สิ่งที่น่ากังวลคือ เรากำลังพบผู้ป่วยในกลุ่มคนทำงานที่มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาระงานหนักและมีความเครียดสูง ซึ่งมักพึ่งพาอาหารหวาน มัน และของทอด เพื่อบรรเทาความเครียด”

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ได้นำระบบการดูแลผู้ป่วยแบบทีมสหสาขาวิชาชีพ ซึ่งถูกพัฒนาและเป็นต้นแบบการดูแลรักษาของประเทศไทยมานาน 40 ปี พร้อมต่อยอดสร้างประโยชน์ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยระบบการดูแลผู้ป่วยด้วยทีมสหสาขาวิชาชีพนี้ไม่เพียงมุ่งการรักษาอาการของโรคเท่านั้น แต่เน้นให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมขยายผลการดูแลสุขภาพไปสู่สมาชิกในครอบครัวและสังคม เพื่อสร้างระบบนิเวศด้านสุขภาพที่ยั่งยืนสำหรับคนทุกวัย

ป้องกันโรคเบาหวานและ NCDs

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ยังมุ่งเน้นการป้องกันโรคเบาหวานและ NCDs ด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยง พร้อมส่งเสริมการออกกำลังกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางขององค์การอนามัยโลกที่แนะนำให้ประชาชนออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง

ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ได้มุ่งมั่นดำเนินงานเพื่อพัฒนาสุขภาพของผู้คนในสังคมไทยให้ดียิ่งขึ้น ผ่านการสร้างต้นแบบการทำงานแบบทีมสหสาขาวิชาชีพ การพัฒนาวิชาชีพใหม่ เช่น ผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน นักกำหนดอาหาร และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเท้า และการทำงานส่งเสริมแนวคิดการป้องกันโรคในชุมชน ด้วยเป้าหมายสูงสุดในการลดภาระของโรค NCDs และสร้างสังคมไทยที่มีสุขภาพดีในระยะยาว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘อทิตาธร’ ชี้แจงภาพกับ ‘อนุทิน’ ยันไปแจกการ์ดเชิญแต่งงานให้ลูกสาว

อทิตาธร วันไชยธนวงค์ ปฏิบัติธรรม 10 วัน หลังเลือกตั้ง อบจ. เชียงราย พร้อมชี้แจงภาพร่วมเฟรมกับอนุทิน

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 18.00 น. ณ วัดห้วยปลากั้ง ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้ทำการติดตามกิจวัตรประจำวันส่วนตัวของ ว่าที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงค์ ซึ่งทราบมาว่าจะเข้ามาสวดสวดมนต์และทำสมาธิที่วัดห้วยปลากั้ง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับภารกิจในอนาคต 

อย่างไรก็ตาม ทางทีมข่าวจึงขอสัมภาษณ์หลังมีประเด็นที่กำลังเป็นกระแสในช่วงนี้คือ ภาพถ่ายที่ปรากฏตัวร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียของนายอนุทิน พร้อมข้อความว่า
ให้การต้อนรับและแสดงความยินดีเบื้องต้นกับทีมงานผู้ชนะการเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงราย ที่แวะมาสวัสดีปีใหม่และตรุษจีนที่กระทรวงมหาดไทย”

ภาพดังกล่าวนำไปสู่การตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับจุดยืนทางการเมืองของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงค์ หลังเสร็จศึกเลือกตั้งในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งผลคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางหารได้รับการเลือกตั้ง 261,301 คะแนน ในการชิงแบบพรรคอิสระ ทให้เกิดคำถามจากประชาชนในชาวเชียงราย

อทิตาธร เปิดใจถึงภาพถ่ายกับอนุทิน และเหตุผลของการเดินทางไปกระทรวงมหาดไทย

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้สัมภาษณ์อทิตาธรถึงประเด็นดังกล่าว โดยเธอชี้แจงว่า การเดินทางไปกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพาลูกสาว (น้องป่าน)ไปแจกการ์ดงานแต่งงาน ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 8 มีนาคม 2568

ที่จริงตามมารยาทต้องเชิญผู้ใหญ่อย่างน้อยสองเดือนล่วงหน้า แต่เพราะติดช่วงเลือกตั้ง ทำให้ไม่มีเวลาทำหน้าที่แม่เลย หลังเลือกตั้งเสร็จ จึงรีบไปเชิญผู้ใหญ่ที่กระทรวง”

นอกจากนี้ อทิตาธรยังเปิดเผยว่า ได้ใช้โอกาสดังกล่าวหารือกับนายอนุทินเกี่ยวกับปัญหาสำคัญของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะเรื่องเงินเยียวยาน้ำท่วมและถนนการเกษตร ซึ่งได้รับคำมั่นจากรัฐมนตรีว่าจะดำเนินการช่วยเหลือ

หารือปัญหาเยียวยาน้ำท่วมและโครงสร้างพื้นฐาน

ในโอกาสเดียวกัน อทิตาธรได้ใช้โอกาสนี้ นำเสนอปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเชียงราย โดยเฉพาะเรื่องเงินเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ยังมีประชาชนจำนวนมาก ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ 10,000 บาท จากทางรัฐบาล

“พี่ได้แจ้งกับท่านรัฐมนตรีถึงปัญหาที่ค้างคาอยู่ เช่น ถนนบ้านฟาร์มเมืองงิมที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม และสะพานที่พังในอำเภอเวียงแก่นและอำเภอเทิงซึ่งส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าเกษตร”

อทิตาธรเปิดเผยว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่านเมตตาจะเดินทางมา ตรวจ ราชการ รับฟังข้อมูลที่เชียงราย ใน อาทิตย์หน้า และจะหาแนวทางช่วยเหลือ ชาวเชียงราย และจะหาแนวทางแก้ไขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

แผนงานหลังเลือกตั้ง เตรียมพบกระทรวงอื่นๆ

อทิตาธรระบุว่า หลังจากเข้าพบกระทรวงมหาดไทยแล้ว ก็มีวางแผนที่จะ เดินทางไปพบกระทรวงอื่นๆ เพื่อผลักดันโครงการที่เกี่ยวข้องกับเชียงราย เช่น

  • กระทรวงเกษตรฯ: หารือเรื่องการแก้ปัญหาวัชพืชและการเผาไหม้
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ: พูดคุยเรื่องไฟป่าและ PM 2.5
  • กรมโยธาธิการฯ: วางแผนแก้ไขโครงสร้างพื้นฐานและระบบน้ำ

“พี่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเชียงราย ก็จะเดินหน้าทำงานต่อทันที”

เหตุผลที่เลือกไปกระทรวงมหาดไทยหลังวันเลือกตั้ง

เมื่อถูกถามว่าทำไมจึงเลือกเดินทางไปกระทรวงมหาดไทยในวันถัดจากการเลือกตั้ง อทิตาธรตอบว่า เป็นเรื่องของเวลาที่จำกัด เพราะต้องเตรียมงานแต่งของลูกสาว และลูกสาวเองก็สอบถามตลอดว่าจะเชิญผู้ใหญ่ตอนไหน

ลูกสาวยังพูดติดตลกเลยว่า รอหลังเลือกตั้งแล้วผลออกก่อนก็ดีเหมือนกัน เผื่อว่าแพ้เลือกตั้งจะได้ไม่ต้องพิมพ์การ์ดเยอะ”

ยืนยันจุดยืน “อิสระ” ไม่สังกัดพรรคการเมือง

สำหรับคำถามที่ว่าการปรากฏตัวร่วมกับนายอนุทินจะสะท้อนถึงการสังกัดพรรคการเมืองหรือไม่ อทิตาธรได้ย้ำชัดว่า

ยังเป็นอิสระ ไม่สังกัดพรรคใด นอกจากฟังเสียงของประชาชน และมีอิสระทางความคิด”

ทางด้านอทิตาธรยังอธิบายเพิ่มเติมว่า การเป็นอิสระทำให้สามารถเข้าถึงและทำงานร่วมกับทุกฝ่ายได้ง่ายขึ้น เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนเชียงราย

รัฐบาลเป็นรัฐบาลผสม มีรัฐมนตรีจากหลายพรรค ถ้าจำกัดตัวเองอยู่กับพรรคใดพรรคหนึ่ง จะทำให้การประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนยากขึ้น”

อทิตาธรได้ฝากข้อความถึงประชาชนเชียงรายว่า

“พี่นกอยากให้ทุกคนมั่นใจว่า เราจะทำงานเพื่อพัฒนาเชียงรายต่อไป และไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งหรือความแตกแยกทางการเมือง เราทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างอนาคตของจังหวัด” ย้ำอีกครั้งว่า การเลือกตั้งจบแล้ว และสิ่งสำคัญในตอนนี้คือ การพัฒนาจังหวัดเชียงรายให้ก้าวไปข้างหน้า

สร้างความเข้าใจกับประชาชนเชียงราย

อทิตาธรฝากข้อความถึงประชาชนเชียงรายว่า ความตั้งใจในการพัฒนาจังหวัดยังเหมือนเดิม และขอให้ทุกคนมั่นใจว่าจะทำงานเพื่อผลประโยชน์ของเชียงรายอย่างเต็มที่

พี่นกไปทุกกระทรวงและพูดคุยกับทุกพรรค ที่สามารถช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้เชียงรายได้ ขอให้ทุกคนมั่นใจในตัวพี่ค่ะ”

สรุปข่าว

  • อทิตาธร วันไชยธนวงค์ เริ่มปฏิบัติธรรม 10 วัน หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง อบจ.เชียงราย
  • ชี้แจงว่า ภาพถ่ายกับอนุทิน เป็นเพียงการเข้าพบเพื่อเชิญร่วมงานแต่งของลูกสาว และหารือปัญหาน้ำท่วม
  • ยืนยันว่า ยังคงเป็นนักการเมืองอิสระ ไม่สังกัดพรรคใด
  • เตรียมเข้าพบ กระทรวงอื่นๆ เพื่อผลักดันโครงการพัฒนาเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ลุ้น “พญ.อัจฉรา” ผอ.โฮงยาไทย 3 รายชื่อเข้าชิงเลขา สปสช. คนใหม่

คณะกรรมการสรรหาฯ ประกาศ 3 รายชื่อเข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 คณะกรรมการสรรหาเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก 3 คนสุดท้ายจากผู้สมัครทั้งหมด 9 คน เพื่อเข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ แทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งกำลังจะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายนนี้

“พญ.อัจฉรา” ผ่านเข้ารอบสุดท้าย พร้อมอีก 2 รายชื่อ

จากการประชุมของคณะกรรมการสรรหาฯ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 ได้มีการสัมภาษณ์ผู้สมัคร พร้อมรับฟังการแสดงวิสัยทัศน์และแผนการบริหารงานของแต่ละคน ก่อนจะคัดเลือกให้เหลือเพียง 3 คนสุดท้าย โดยรายชื่อที่ผ่านการพิจารณามีดังนี้

  1. นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี – เลขาธิการ สปสช. คนปัจจุบัน
  2. นพ.ดิเรก สุดแดน
  3. พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช

รายชื่อดังกล่าวจะถูกเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อพิจารณาคัดเลือกและแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ต่อไป

กระบวนการคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการสรรหาฯ ได้เปิดรับสมัครผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ารับการคัดเลือกตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. โดยมีผู้สมัครทั้งหมด 9 คน ผ่านการคัดเลือกรอบแรก จากนั้นได้เข้าสู่กระบวนการสัมภาษณ์ในวันที่ 31 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นการพิจารณาด้านวิสัยทัศน์ นโยบาย และความสามารถในการบริหารงาน

หลังการสัมภาษณ์ คณะกรรมการสรรหาฯ ได้คัดเลือก 3 รายชื่อสุดท้าย โดยใช้เกณฑ์พิจารณาความสามารถในการบริหารงาน ระบบสุขภาพ และความเข้าใจในภารกิจของ สปสช. ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ดูแลระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศ

ขั้นตอนต่อไป: การพิจารณาของบอร์ด สปสช.

คณะกรรมการสรรหาฯ จะส่งผลการคัดเลือกไปยังคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งคาดว่าจะมีการพิจารณาแต่งตั้งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ในการประชุมวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568

ผู้ได้รับการแต่งตั้งจะดำรงตำแหน่งแทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งจะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยเลขาธิการคนใหม่จะต้องเข้ามารับผิดชอบด้านการบริหารงบประมาณด้านสุขภาพ ดูแลระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และผลักดันนโยบายให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของตำแหน่งเลขาธิการ สปสช.

เลขาธิการ สปสช. ถือเป็นตำแหน่งสำคัญที่มีบทบาทโดยตรงต่อการบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งครอบคลุมประชากรกว่า 48 ล้านคนทั่วประเทศ โดยผู้ดำรงตำแหน่งจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารงบประมาณ ดูแลการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น

ข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ

ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขระบุว่า การคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. ครั้งนี้เป็นกระบวนการที่ได้รับความสนใจจากหลายภาคส่วน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านงบประมาณและการให้บริการที่ต้องพัฒนาให้ทันต่อสถานการณ์

“บุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ ต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการงบประมาณขนาดใหญ่ และต้องมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้มีความยั่งยืน” นักวิชาการด้านสุขภาพให้ความเห็น

สรุป

การคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย โดย 3 รายชื่อที่ผ่านการคัดเลือก ได้แก่ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี, นพ.ดิเรก สุดแดน และ พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช ทั้งสามรายชื่อจะเข้าสู่การพิจารณาโดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะมีการประชุมตัดสินในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ก่อนที่ผู้ได้รับการแต่งตั้งจะเข้ารับตำแหน่งแทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ที่จะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายนนี้

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมต้องมีการคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่?
    ตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. มีวาระการดำรงตำแหน่ง เมื่อครบกำหนดต้องมีการคัดเลือกบุคคลใหม่เพื่อสานต่อภารกิจด้านหลักประกันสุขภาพ
  2. ใครเป็นตัวเต็งในการได้รับตำแหน่งครั้งนี้?
    นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งเป็นเลขาธิการคนปัจจุบัน ถือเป็นตัวเต็ง เนื่องจากมีประสบการณ์ตรงกับงานใน สปสช.
  3. ขั้นตอนสุดท้ายของการคัดเลือกเป็นอย่างไร?
    รายชื่อ 3 คนสุดท้ายจะถูกเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะพิจารณาและแต่งตั้งบุคคลที่เหมาะสมที่สุด
  4. บทบาทของเลขาธิการ สปสช. มีอะไรบ้าง?
    บริหารงบประมาณหลักประกันสุขภาพ ดูแลการให้บริการสาธารณสุข และพัฒนานโยบายด้านสุขภาพให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม
  5. การแต่งตั้งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่จะมีผลเมื่อใด?
    หลังการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 และจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 เมษายน 2568

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการสรรหาเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ฝึกเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศในภาวะไฟป่าและฝุ่น PM 2.5

กองทัพอากาศฝึกปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศในภาวะไฟป่าและฝุ่น PM 2.5

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 กองทัพอากาศได้จัดการฝึกปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกบินควบคุมไฟป่าและหมอกควันประจำปี 2568 โดยมีการจัดฝึกในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาภาวะไฟป่าและฝุ่นควัน PM 2.5 ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

การฝึกปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศ

ในการฝึกครั้งนี้ กองทัพอากาศได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์และโรงพยาบาลเชียงรายราม โดยมีการฝึกการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศด้วยอากาศยานจริง ทั้งเฮลิคอปเตอร์แบบ EC-725 ของกองทัพอากาศและเฮลิคอปเตอร์แบบ H130 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเครื่องบินที่สามารถใช้ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในสถานการณ์ฉุกเฉิน

การฝึกครั้งนี้ใช้สถานการณ์สมมติในการฝึกการแก้ไขปัญหาภาวะฉุกเฉิน ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่ไฟป่าหรือหมอกควัน PM 2.5 ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย การฝึกนี้จึงมุ่งเน้นให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

การร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ

การฝึกในครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือระหว่างกองทัพอากาศและโรงพยาบาลทั้งสองแห่ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งหวังให้สามารถใช้ทักษะที่ได้ฝึกมาในครั้งนี้ในการจัดการปัญหาภัยพิบัติในอนาคต โดยเฉพาะในเรื่องของการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ (HADR) ในภาคเหนือและพื้นที่อื่นๆ ที่ประสบปัญหาภัยพิบัติ

ฝูงบิน 416 มุ่งมั่นพัฒนา

การฝึกปฏิบัติการครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการฝึกทักษะการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังเป็นการพัฒนาหน่วยงานและทักษะของข้าราชการในภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาภัยพิบัติ ฝูงบิน 416 ของกองทัพอากาศจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและเสริมสร้างความสามารถในการช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะในช่วงที่ไฟป่าและหมอกควันมีความรุนแรง การฝึกในครั้งนี้ถือเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนในภาคเหนือและทั่วประเทศมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของการฝึกในครั้งนี้

ฝึกการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศในครั้งนี้มีความสำคัญต่อการสร้างมาตรฐานในการบรรเทาภัยพิบัติและการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะในกรณีของไฟป่าและมลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ที่มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน กองทัพอากาศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องร่วมมือกันในการพัฒนาระบบการช่วยเหลือให้เกิดความมีประสิทธิภาพและสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที

สรุป

การฝึกปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศที่จัดขึ้นในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมเพื่อจัดการกับภัยพิบัติในภาคเหนือ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดไฟป่าและปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน การฝึกนี้ช่วยเสริมสร้างทักษะของบุคลากรทางการแพทย์และกองทัพอากาศ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ตำรวจแม่จันจับกุมผู้เผาใบไม้ สร้างควันกระทบจราจรและฝุ่น PM2.5

ตำรวจแม่จันจับกุมผู้เผาเศษใบไม้และหญ้าแห้ง ฝ่าฝืนกฎหมายกระทบปัญหาฝุ่น PM2.5

เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่จัน จังหวัดเชียงราย ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และ พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ จิตรประสาร ผู้กำกับการ สภ.แม่จัน ได้ดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการเผาในที่โล่งซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศและการจราจร

จับกุมรายแรก: พบเผาเศษใบไม้ริมทาง

เมื่อเวลา 13.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดจราจร สภ.แม่จัน ออกตรวจตราพื้นที่รับผิดชอบบริเวณ เขตเทศบาลตำบลสันทราย และพบว่ามีชาวบ้านกำลังก่อไฟเผาเศษใบไม้ข้างทาง ส่งผลให้เกิดควันฟุ้งกระจายและอาจส่งผลต่อการสัญจรของรถยนต์บนถนน เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบและควบคุมตัวบุคคลที่กระทำผิด ทราบชื่อภายหลังคือ นายอุดร อายุ 65 ปี ชาวตำบลสันทราย อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย

หลังจากเจ้าหน้าที่ช่วยดับไฟที่กำลังลุกไหม้และทำให้ควันสงบลง จึงได้นำตัว นายอุดร ไปยัง สภ.แม่จัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

จับกุมรายที่สอง: เผาหญ้าแห้งริมถนนสาธารณะ

ในช่วงบ่ายเวลา 15.00 น. พ.ต.ท.นิติการณ์ แก้วรากมุก สารวัตรป้องกันและปราบปราม สภ.แม่จัน พร้อมด้วย ร.ต.ท.สมศักดิ์ ทรายหมอ และเจ้าหน้าที่สายตรวจ ได้ออกตรวจในพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อไปถึงบริเวณ ริมถนนสายแม่จัน-แม่อาย หมู่ 8 ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย พบกลุ่มควันจากการเผาหญ้าแห้งลอยขึ้นจากข้างทาง เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบและพบ นายวิชัย อายุ 63 ปี อยู่ใกล้จุดที่เกิดเหตุ

เมื่อตรวจสอบและสอบถาม นายวิชัย ได้ให้การยอมรับว่าเป็นผู้ลงมือเผาหญ้าแห้งเอง เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาและควบคุมตัวไปยัง สภ.แม่จัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

ข้อกล่าวหาและมาตรการทางกฎหมาย

ผู้ต้องหาทั้งสองรายถูกตั้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ฐาน เผาหรือกระทำการใดๆ ภายในระยะ 500 เมตรจากทางเดินรถ ซึ่งก่อให้เกิดควันหรือสิ่งอื่นใดในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการจราจร” โดยเป็นไปตามมาตรการบริหารจัดการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ของ ตำรวจภูธรภาค 5

จากนั้นพนักงานสอบสวน สภ.แม่จัน ได้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.พินัย พ.ศ.2565 โดยมีบทลงโทษเป็นการชำระค่าปรับ

ตำรวจเชียงรายเน้นย้ำเข้มงวด ห้ามเผาเด็ดขาด

ด้าน พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ได้กำชับให้ตำรวจในสังกัดเข้มงวดตรวจตราและป้องกันการเผาในที่โล่งทุกพื้นที่รับผิดชอบของแต่ละสถานีตำรวจ เนื่องจากปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดจากการเผา ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน และเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ประชาชนในพื้นที่เชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงจึงควร หลีกเลี่ยงการเผาในที่โล่ง และหันมาใช้วิธีการกำจัดขยะหรือเศษพืชที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแทน เช่น การหมักปุ๋ยหรือการกำจัดผ่านกระบวนการอื่นที่ไม่ส่งผลกระทบต่ออากาศ

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการห้ามเผาในที่โล่ง

  1. การเผาเศษพืชในที่โล่งมีความผิดหรือไม่?
    ใช่ การเผาในที่โล่งโดยไม่มีมาตรการควบคุมอาจผิดกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535
  2. โทษของการเผาขยะหรือใบไม้ข้างทางคืออะไร?
    ผู้กระทำผิดอาจถูกปรับตามกฎหมาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นที่และข้อบังคับของแต่ละจังหวัด
  3. มีวิธีใดที่สามารถกำจัดเศษพืชโดยไม่ต้องเผา?
    สามารถใช้วิธีหมักเป็นปุ๋ย ทำปุ๋ยอินทรีย์ หรือใช้เครื่องกำจัดขยะชีวภาพเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  4. การเผาหญ้าแห้งหรือขยะกระทบต่อปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างไร?
    การเผาทำให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กซึ่งสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจและส่งผลต่อสุขภาพโดยตรง
  5. หากพบเห็นการเผาในที่โล่ง ควรแจ้งหน่วยงานใด?
    สามารถแจ้งตำรวจในพื้นที่ หรือสายด่วนสำนักงานสิ่งแวดล้อมจังหวัด เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE