Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สู้ราคาตกต่ำ! พาณิชย์เชียงรายมอบกล่องไปรษณีย์ฟรี ช่วยเกษตรกรขายผลไม้ตรงสู่ผู้บริโภค

พาณิชย์เชียงรายคิกออฟมอบ “กล่องไปรษณีย์ฟรี” ช่วยเกษตรกรดันลำไยพ้นวิกฤตราคาตก

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 –  วิกฤตราคาผลไม้ในเชียงรายปี 2568 สะท้อนปัญหาซ้ำซากเรื่องผลผลิตล้นตลาดและต้นทุนขนส่งสูง เกษตรกรรายย่อยเผชิญอำนาจต่อรองจำกัด ขณะเดียวกันพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาซื้อออนไลน์มากขึ้น โอกาสจึงอยู่ที่ “เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง” เพื่อลดชั้นกลางและเพิ่มรายได้สุทธิ กิจกรรม “Kick off มอบกล่องไปรษณีย์ช่วยเหลือเกษตรกร” และ 6 มาตรการเชิงรุกของจังหวัด มุ่งปลดล็อกประเด็นคอขวดทั้งฝั่งตลาด การรวบรวมผลผลิต และโลจิสติกส์ จุดแข็งคือความร่วมมือรัฐ–เอกชน และเครื่องมือโลจิสติกส์ที่จับต้องได้ อย่างไรก็ดี ความสำเร็จจะยั่งยืนเมื่อมีการสื่อสารคุณภาพสินค้า การติดตามคำสั่งซื้อ และบริหารอุปทานอย่างสมดุล ทั้งหมดนี้ชี้ว่าประชาชนทั่วไปได้ประโยชน์จากราคาที่เป็นธรรมและการเข้าถึงผลไม้คุณภาพถึงหน้าบ้าน

พาณิชย์เชียงราย “คิกออฟกล่องไปรษณีย์ช่วยเกษตรกร” ดันลำไย–ส้มโอพ้นวิกฤตราคาตก

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายเปิดกิจกรรม “Kick off มอบกล่องไปรษณีย์ช่วยเหลือเกษตรกรจังหวัดเชียงราย” ณ ลานหน้าศาลากลางจังหวัด โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน วัตถุประสงค์เพื่อเร่งกระจายผลผลิตจากสวนสู่ผู้บริโภคโดยตรง ท่ามกลางวิกฤตผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ โดยเฉพาะ ลำไย และ ส้มโอ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของพื้นที่

ฉากหลังวิกฤตเมื่อผลผลิตมากกว่าความต้องการ

8 สิงหาคม 2568 สถานการณ์ราคาผลไม้ในหลายอำเภออ่อนแรงลงจากอุปทานที่พุ่งสูง ขณะที่การรับซื้อของภาคเอกชนไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้เกษตรกรแบกรับต้นทุนเก็บเกี่ยว แพ็กกิ้ง และขนส่ง การแทรกแซงเชิงระบบจึงจำเป็น ทั้งในมิติ “ตลาด” และ “โลจิสติกส์ระยะสุดท้าย” เพื่อพยุงราคาและรักษาคุณภาพผลผลิต

6 มาตรการเชิงรุก: จากสวนถึงมือผู้บริโภค

นางณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดแผนบริหารจัดการผลผลิตลำไยส่วนเกินปี 2568 จำนวน 6 มาตรการ ดังนี้

  1. เชื่อมโยงตลาดลำไยสดช่อ ผ่านเครือข่ายพาณิชย์จังหวัด สหกรณ์ และสภาเกษตรกรทั่วประเทศ
  2. รณรงค์บริโภคในจังหวัด จัดระบบพรีออเดอร์พร้อมส่งฟรีผ่านไปรษณีย์ไทย และนัดรับทุกวันพฤหัสบดีที่ศาลากลาง เชื่อมโยงผลผลิตแล้ว 1,329 กก. มูลค่า 57,400 บาท
  3. งานแสดงสินค้า ทั้งใน–นอกจังหวัด เพื่อเปิดหน้าร้านชั่วคราวและฐานลูกค้าใหม่
  4. เพิ่มประสิทธิภาพการรวบรวมรับซื้อ ลดความสูญเสียและจัดคิวตัด–คัด–แพ็กอย่างมีมาตรฐาน
  5. โครงการ “ลำไยบินได้” ส่งลำไยเกรด AA+A จากเชียงรายสู่ภูเก็ตด้วยเที่ยวบินพาณิชย์ เป้าหมาย 24,000 กก. มูลค่า 1,080,000 บาท
  6. ตลาดออนไลน์ สนับสนุนกล่องบรรจุผลไม้ 10 กก. จำนวน 35,000 กล่อง และตะกร้าพลาสติก 3,000 ใบ พร้อมค่าจัดส่งฟรีผ่านไปรษณีย์ไทย ช่วยลดต้นทุนและขยายการขายทั่วประเทศ

กล่องส่งฟรี” หัวใจโลจิสติกส์ระยะสุดท้าย

มาตรการเด่นคือการมอบกล่องผลไม้ขนาด 10 กก. พร้อม จัดส่งฟรี ผ่านบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ช่วยให้เกษตรกรเข้าสู่ตลาดออนไลน์ได้ทันที ลดค่าแพ็กกิ้งและค่าส่ง ซึ่งเป็นต้นทุนใหญ่ในช่วงผลผลิตออกมาก การจัดสรร 35,000 กล่อง ถูกออกแบบให้รองรับคำสั่งซื้อกระจายทั่วประเทศ สร้างเสถียรภาพด้านการระบายสินค้าในเวลาจำกัด

บทสะท้อนจากพื้นที่เมื่อรัฐ–เอกชนจับมือ

ภาพการทำงานร่วมกันระหว่างพาณิชย์จังหวัด หน่วยงานท้องถิ่น ไปรษณีย์ไทย และเครือข่ายสหกรณ์ ทำให้ “การสั่ง–แพ็ก–ส่ง” เดินหน้าอย่างเป็นระบบ เกษตรกรได้ช่องทางขายโดยตรง ผู้บริโภคได้ผลไม้สดใหม่ในราคายุติธรรม จังหวัดได้เครื่องมือระบายผลผลิตอย่างรวดเร็วในฤดูกาลสำคัญ

วิเคราะห์ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

ระยะสั้น มาตรการช่วย พยุงราคา และ เร่งระบายของ ลดความเสี่ยงของผลไม้ค้างสต็อก ระยะกลาง การสร้างฐานลูกค้าออนไลน์และช่องทางขนส่งที่คาดการณ์ได้ จะเพิ่ม รายได้สุทธิ ให้เกษตรกร ขณะที่ภาครัฐได้ข้อมูลดีมานด์จริงเพื่อวางแผนผลิตปีต่อไป หากควบคู่ด้วยมาตรฐานคัดเกรด การติดตามพัสดุ และบริการลูกค้า จะยิ่งสร้าง ความเชื่อมั่นซ้ำซื้อ ซึ่งเป็นกุญแจของความยั่งยืน

ประชาชนได้อะไร

ผู้บริโภคเข้าถึงผลไม้คุณภาพใหม่สด ราคาตรงจากสวน ประหยัดค่าขนส่ง และได้รับความสะดวกในการรับสินค้า ทั้งแบบ ส่งถึงบ้าน และ นัดรับวันพฤหัสบดี ที่ศาลากลาง นอกจากนี้ เศรษฐกิจท้องถิ่นหมุนเวียนเร็วขึ้นจากเม็ดเงินกระจายสู่ชุมชน และลดการสูญเสียอาหารจากการตกค้าง

จังหวัดเตรียมสื่อสารอย่างต่อเนื่องเรื่องคุณภาพลำไย–ส้มโอ มาตรฐานแพ็กกิ้ง และเงื่อนไขส่งฟรี พร้อมขยายจุดรับพรีออเดอร์ในอำเภอหลัก ตลอดจนติดตามตัวชี้วัดการขายและระยะเวลาขนส่ง เพื่อปรับแผนสัปดาห์ต่อสัปดาห์ในช่วงพีกผลผลิต

สรุป

กิจกรรม “Kick off มอบกล่องไปรษณีย์ช่วยเหลือเกษตรกร” คือเครื่องมือเชื่อมสวนกับครัวเรือนทั่วประเทศ ผ่านโลจิสติกส์ที่รัฐสนับสนุนและแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้งานง่าย เมื่อทำงานร่วมกับ 6 มาตรการครบวงจร จึงมีศักยภาพพยุงราคา สร้างรายได้ที่เป็นธรรม และทำให้ผู้บริโภคได้ผลไม้คุณภาพในต้นทุนเหมาะสม โมเดลนี้หากเดินหน้าต่อเนื่องและวัดผลอย่างโปร่งใส จะต่อยอดเป็น “ระบบระบายผลผลิตอัจฉริยะ” ของเชียงรายในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
  • ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
  • บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงราย ค้าชายแดนพุ่ง แต่ลมต้านยังแรง

ส่องทิศทางการค้าชายแดนเชียงรายปี 2568 ศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งอาเซียนที่ยังต้องฝ่าลมต้าน

เชียงราย, 6 กรกฎาคม 2568 – ท่ามกลางคลื่นเศรษฐกิจโลกและความเปลี่ยนแปลงของภูมิภาค จังหวัดเชียงรายยังคงยืนหยัดเป็น “ประตูการค้า” ของภาคเหนือสู่ตลาดอาเซียนและจีนอย่างแข็งแกร่ง รายงานดัชนีความเชื่อมั่นการค้าชายแดนปี 2568 ชี้การเติบโตสูงถึง ร้อยละ 7.6 สูงกว่าคาดการณ์เดิมอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนบทบาทของเชียงรายในฐานะศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ใหม่ในระดับภูมิภาค ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ประกอบการและนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

ประตูสู่มังกรผลไม้ไทยคือแรงขับเคลื่อนสำคัญ

หนึ่งในแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้การค้าชายแดนเชียงรายทะยานไม่หยุดในปี 2568 คือ อุปสงค์ผลไม้ไทยจากตลาดจีนตอนใต้ โดยเฉพาะผลไม้สดอย่าง “ทุเรียน มังคุด ลำไย” ที่กำลังเป็นดาวรุ่งในตลาดนำเข้า สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายรายงานว่า ในเดือนพฤษภาคม 2568 การค้ากับจีนตอนใต้พุ่งสูงกว่า 13,200 ล้านบาท คิดเป็นกว่า 83% ของการค้ารวมทั้งจังหวัด และเฉพาะการส่งออกผลไม้สดเพียงอย่างเดียว เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 100% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

จุดแข็งของเชียงรายไม่ใช่แค่คุณภาพผลไม้ แต่คือการเชื่อมต่อระบบโลจิสติกส์สู่จีนทั้งทางถนน R3A และโครงการรถไฟจีน-ลาว ทำให้เราขนส่งผลไม้สดถึงตลาดจีนได้เร็วกว่าเดิม ต้นทุนลดลง กำไรก็เพิ่มขึ้น”

แต่ความรุ่งเรืองนี้ ก็เปรียบเสมือนดาบสองคม หากเศรษฐกิจจีนผันผวน หรือมาตรการนำเข้าผลไม้มีการปรับเปลี่ยน การพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไป อาจสร้างความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมแผนสำรองไว้เสมอ

เมียนมา-ลาวโอกาสและอุปสรรคของชายแดนตะวันตกและตะวันออก

แม้จีนจะเป็นเป้าหมายหลัก แต่การค้าชายแดนของเชียงรายยังผูกโยงกับ “เมียนมา” และ “สปป.ลาว” อย่างเหนียวแน่น โดยมูลค่าการค้ากับเมียนมาในเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่กว่า 10% ของภาพรวมจังหวัด แม้จะเผชิญปัญหาความไม่สงบและการปิดด่านบางส่วน สินค้าไทยที่ยังเป็นที่ต้องการ คือ เครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องจักร และการลงทุนของทุนจีนในฝั่งเมียนมาที่ท่าขี้เหล็ก ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษสำคัญ

สำหรับ “สปป.ลาว” ซึ่งมีเส้นทางรถไฟจีน-ลาว เป็นเส้นเลือดใหม่ของภูมิภาค ดัชนีความเชื่อมั่นการค้าอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ด้วยบทบาทของ “สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4” (เชียงของ-ห้วยทราย) ทำให้การขนส่งและผ่านแดนไปจีนมีความคล่องตัว มูลค่าการค้าเติบโตมั่นคง โดยเฉพาะการส่งออกน้ำมันและสินค้าพื้นฐานจากไทย

แต่ปัญหาหลักของเชียงรายยังคงเป็น การสร้างมูลค่าเพิ่มในพื้นที่ สินค้าส่งออกหลักยังคงมาจากภาคกลาง ไม่ใช่ผลผลิตหรืออุตสาหกรรมในจังหวัด ส่งผลให้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ “รั่วไหล” ไปยังส่วนกลาง และเกิดการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นไม่มากนัก

นักเศรษฐศาสตร์ชายแดน วิเคราะห์ว่า “ศักยภาพของเชียงรายคือการเป็นศูนย์กลางค้าขาย แต่หากขาดการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปในท้องถิ่น ก็จะเป็นเพียงเส้นทางผ่าน ไม่เกิดการสร้างงานหรือยกระดับเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน”

โครงสร้างพื้นฐานและนโยบายรัฐกุญแจสำคัญการเปลี่ยนผ่าน

ภาครัฐจึงเร่งผลักดัน “เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZs)” ครอบคลุมอำเภอแม่สาย เชียงแสน และเชียงของ ควบคู่กับโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น “รถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ” ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ ในปี พ.ศ. 2571 (ค.ศ. 2028) โครงการนี้จะลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มโอกาสค้าขายและสร้างอุตสาหกรรมแปรรูปในพื้นที่ได้มากขึ้น

บริษัทโลจิสติกส์เชียงของ มองว่า “การมีรถไฟทางคู่จะเป็น Game Changer เปลี่ยนรูปแบบขนส่งให้สะดวกและประหยัดกว่าเดิม เพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการไทยในการแข่งกับทุนจีน ทุนเวียดนามที่กำลังขยายอิทธิพลในภูมิภาค”

ศึกสินค้าเกษตรไทย-ทุนจีน โจทย์ใหม่ของท้องถิ่น

หนึ่งในความท้าทายที่เชียงรายต้องเผชิญในปี 2568 คือการแข่งขันกับ “ทุนจีน” ทั้งในฝั่งไทยและประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกษตร ทุนจีนเริ่มเข้ามาลงทุนในศูนย์รวบรวมผลไม้ เปิดร้านค้าปลีกและแปรรูปสินค้าเกษตรในเขตชายแดน ส่งผลให้เกษตรกรไทยต้องยกระดับมาตรฐานสินค้า ปรับตัวสู่ระบบ GAP และเพิ่มศักยภาพต่อรองด้านราคา

ในขณะที่มาตรการกีดกันทางการค้าและนโยบายนำเข้าสินค้าของจีนที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ก็เป็นความเสี่ยงที่ภาครัฐและผู้ประกอบการต้องติดตามใกล้ชิด เพื่อลดผลกระทบจากการผันผวนของตลาดนำเข้าและต้นทุนการผลิต

ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

  1. เสริมสร้างมูลค่าเพิ่มในท้องถิ่น – รัฐบาลควรส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมแปรรูป สร้างคลัสเตอร์สินค้าเกษตร พัฒนาเกษตรกรและ SME ให้มีมาตรฐานสากลและเข้าถึงตลาดโลกได้
  2. ยกระดับโลจิสติกส์และระบบศุลกากร – เร่งพัฒนา Single Window, ระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ และศูนย์กระจายสินค้าอัจฉริยะริมชายแดน เพื่อรองรับปริมาณการค้าที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง
  3. กระจายความเสี่ยง ขยายตลาดใหม่ – สนับสนุนสินค้าและบริการที่หลากหลาย ลดการพึ่งพาผลไม้สดเป็นหลัก ค้นหาตลาดใหม่ ๆ ทั้งอาเซียน ตะวันออกกลาง และยุโรป พร้อมใช้ประโยชน์จาก FTA ที่ไทยมีอยู่
  4. พัฒนาบุคลากรและเครือข่ายธุรกิจ – ลงทุนในการอบรมทักษะโลจิสติกส์ ภาษา และเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมทั้งจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) อย่างต่อเนื่อง เช่น งาน “Northern Border Trade Festival” ที่เชียงรายจัดต่อเนื่องทุกปี
  5. บูรณาการข้อมูลและยุทธศาสตร์ภูมิภาค – สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับจังหวัดเพื่อนบ้าน ผลักดันนโยบาย NEC (Northern Economic Corridor) ให้เกิดการเชื่อมโยงเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

วิเคราะห์ผลลัพธ์และทิศทางในอนาคต

ภาพรวมของการค้าชายแดนเชียงรายปี 2568 สะท้อนทั้งโอกาสและความท้าทาย การเป็นศูนย์กลางการค้าระดับภูมิภาคไม่ใช่เป้าหมายที่ได้มาโดยง่าย หากขาดการเสริมสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น การเติบโตที่เห็นในตัวเลขอาจไม่ได้แปลเปลี่ยนเป็นคุณภาพชีวิตและความมั่นคงของคนเชียงรายได้อย่างยั่งยืน

ทิศทางในระยะต่อไป จึงต้องอาศัยการบูรณาการทุกมิติ ทั้งนโยบายรัฐ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเกษตรกร ผู้ประกอบการ SME และการเชื่อมโยงข้อมูลภูมิภาคเพื่อสร้างอำนาจต่อรองใหม่ให้เชียงราย พร้อมเดินหน้าเป็น “ศูนย์กลางการค้าชายแดน” ที่ประโยชน์ตกถึงคนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย

  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (สำนักงานภาคเหนือ)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เริ่มแล้ว “ลิ้นจี่เมืองเชียงราย” งานดีที่เซ็นทรัล ถึง 20 พ.ค. นี้

ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” เปิดพื้นที่กลางเมืองช่วยเหลือเกษตรกร สู้ราคาตกช่วงผลผลิตล้นตลาด

เชียงรายระดมทุกภาคส่วน เปิดพื้นที่จำหน่ายลิ้นจี่คุณภาพจากสวนโดยตรง

เชียงราย, 15 พฤษภาคม 2568 – ท่ามกลางสถานการณ์ผลผลิตลิ้นจี่จังหวัดเชียงรายออกสู่ตลาดพร้อมกัน ส่งผลให้ราคาผลไม้ฤดูร้อนชนิดนี้ตกต่ำลงกว่าทุกปี หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่เร่งหามาตรการรองรับ โดยเฉพาะการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้เกษตรกรสามารถส่งตรงลิ้นจี่คุณภาพดีถึงมือผู้บริโภคโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง

ล่าสุด สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย และสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย ร่วมกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดผลผลิตลิ้นจี่ ภายใต้ชื่องาน ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” ระหว่างวันที่ 15 – 20 พฤษภาคม 2568 ณ ชั้น G โซนทางเชื่อมกาดจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการกระจายผลผลิตคุณภาพสู่ผู้บริโภคในราคาที่เป็นธรรม และสร้างการรับรู้ให้กับลิ้นจี่จังหวัดเชียงรายในฐานะผลไม้คุณภาพของประเทศ

ผลผลิตล้นตลาด ราคาตกต่ำ เกษตรกรได้รับผลกระทบหนัก

จากข้อมูลของสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ในปี 2568 จังหวัดเชียงรายมีผลผลิตลิ้นจี่รวมกว่า 2,145 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 89.9% เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยและพื้นที่ปลูกขยายตัว ผลผลิตจำนวนมากจึงออกสู่ตลาดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ราคาลิ้นจี่ลดลงเฉลี่ยเหลือเพียง 25 – 40 บาท/กิโลกรัม ในบางพื้นที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต

สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับเกษตรกรในหลายอำเภอ เช่น แม่จัน แม่สาย พาน เวียงแก่น และเวียงป่าเป้า ที่ถือเป็นพื้นที่ปลูกหลักของจังหวัดเชียงราย จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนในด้านการตลาดอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันความเสียหายจากผลผลิตล้นตลาด

กิจกรรมส่งเสริมการขาย เพิ่มช่องทางกระจายผลผลิต

กิจกรรม “ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” จึงเป็นความร่วมมือเชิงบูรณาการที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที โดยเปิดพื้นที่จำหน่ายผลผลิตสดจากสวนโดยตรงจำนวน 2 จุดหลัก ได้แก่

  1. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ระหว่างวันที่ 15 – 20 พฤษภาคม 2568 โดยมีเกษตรกรเข้าร่วม 10 ราย แบ่งพื้นที่ออกเป็นบูทขายผลผลิตแบบคละเกรด ราคาเริ่มต้น 35 – 80 บาท/กิโลกรัม ตามคุณภาพ
  2. บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย ภายใต้ตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน คนเชียงราย เน้นจำหน่ายผลผลิตแบบคัดคุณภาพ AA และ A ในราคาคงที่ 50 บาท/กิโลกรัม

ภายในงานยังมีกิจกรรมเสริม เช่น ลิ้นจี่ชิมฟรี โปรโมชั่นลดราคา และการจำหน่ายลิ้นจี่ของฝาก ซึ่งช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาเดินจับจ่ายอย่างต่อเนื่อง

การรับคำสั่งซื้อล่วงหน้า เสริมรายได้เกษตรกรแบบไม่ต้องตั้งร้าน

อีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรคือระบบรับคำสั่งซื้อแบบ Pre Order ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายจัดทำขึ้น โดยมีการรวบรวมคำสั่งซื้อจากหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่

ในรอบแรกของการจำหน่ายเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ลิ้นจี่คุณภาพ AA+A ถูกบรรจุในตะกร้าน้ำหนัก 5 กิโลกรัม จำหน่ายในราคาตะกร้าละ 250 บาท และมีการส่งมอบที่หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยสามารถระบายผลผลิตได้กว่า 1.6 ตัน คิดเป็นมูลค่ารวม 80,000 บาท

ศูนย์การค้าเซ็นทรัลฯ สนับสนุนพื้นที่ฟรี ดึงกลุ่มผู้บริโภคเข้าถึงผลผลิต

การดำเนินงานในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ที่เปิดพื้นที่ให้เกษตรกรจำหน่ายผลผลิตฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ถือเป็นการแบ่งเบาภาระด้านต้นทุนให้กับผู้ปลูกลิ้นจี่ และเพิ่มโอกาสการขายในทำเลศูนย์กลางเมืองซึ่งมีผู้คนพลุกพล่าน

ขณะเดียวกัน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ยังร่วมกันประชาสัมพันธ์และเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาซื้อผลผลิตผ่านกิจกรรมดังกล่าว เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้เกษตรกรฝ่าวิกฤตครั้งนี้ได้

ความร่วมมือที่เป็นต้นแบบการจัดการผลผลิตเกษตรกรรม

สถานการณ์ราคาผลไม้ตกต่ำในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกัน เป็นปัญหาซ้ำซากที่เกิดขึ้นทุกปี หากไม่มีมาตรการรองรับเชิงระบบ อาจทำให้เกษตรกรสูญเสียรายได้และขาดแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพผลผลิต

กิจกรรม “ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” สะท้อนให้เห็นว่า ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชน สามารถบรรเทาผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเปิดพื้นที่การตลาดตรงถึงผู้บริโภค ช่วยลดความเสี่ยงจากการขายผ่านพ่อค้าคนกลาง และยังเสริมสร้างแบรนด์ผลไม้ของจังหวัดเชียงรายให้เป็นที่จดจำ

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ผลผลิตลิ้นจี่จังหวัดเชียงรายปี 2568: 2,145 ตัน (เพิ่มจากปี 2567 เกือบ 90%)
  • ราคาเฉลี่ยลิ้นจี่ตกต่ำบางพื้นที่ต่ำกว่า 30 บาท/กิโลกรัม
  • ยอดจำหน่ายวันที่ 15 พฤษภาคม 2568: 1.6 ตัน มูลค่า 80,000 บาท
  • จุดจำหน่ายหลัก: 2 จุด ได้แก่ เซ็นทรัลเชียงราย และศาลากลางจังหวัดเชียงราย
  • ราคา Pre Order แบบคัดคุณภาพ: 50 บาท/กิโลกรัม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย

  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย

  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

  • รายงานผลผลิตและราคาตลาดลิ้นจี่: กรมส่งเสริมการเกษตร ปี 2568

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

หอมหัวใหญ่ถูก เชียงรายหาทางออก พยุงราคาเกษตรกร

ผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งแก้ราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำ จับมือพาณิชย์ดันราคาสู่ความยั่งยืน

ปัญหาหอมหัวใหญ่ราคาตกต่ำสะเทือนเกษตรกรเชียงราย

เชียงราย,วันที่ 26 มีนาคม 2568 – ห้องประชุมเวียงกาหลง ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย มีการจัดประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเกษตรกรระดับจังหวัด ครั้งที่ 1/2568 โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย นำโดย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม

หนึ่งในวาระหลักของการประชุมคือ การหารือแนวทางแก้ไขปัญหาราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำ ซึ่งเป็นผลผลิตทางการเกษตรสำคัญของอำเภอเวียงป่าเป้า ที่กำลังเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวและออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก

แนวทางการแก้ไขปัญหาด้านราคาแบบเร่งด่วน

เกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ในปีการผลิต 2567/68 ได้ร้องเรียนเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการช่วยเหลือ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ บริหารจัดการผลผลิตในช่วง 2 สัปดาห์แรกที่ผลผลิตออกสู่ตลาด ด้วยการกระจายผลผลิตไปยังผู้บริโภคภายในจังหวัด

โดยกำหนดราคาขายอยู่ที่ 12 บาทต่อกิโลกรัม พร้อมตั้งเป้าหมายกระจายผลผลิตจำนวน 271 ตัน ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน จะเข้ามารับซื้อเพิ่มอีก 500 ตัน รวมผลผลิตที่ได้รับการบริหารทั้งหมดอยู่ที่ 751 ตัน

การสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา

แผนงานดังกล่าวมุ่งหวังให้สามารถ ดึงผลผลิตออกจากระบบตลาดส่วนหนึ่ง เพื่อพยุงราคาซื้อขายของหอมหัวใหญ่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับต้นทุนของเกษตรกร ช่วยลดแรงกดดันและป้องกันไม่ให้ราคาตกต่ำลงไปกว่านี้

ในที่ประชุมยังได้หารือการขอรับสนับสนุนงบประมาณจาก กองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) โดยเสนอในโครงการเชื่อมโยงการกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่แหล่งผลิต-

ขยายแผนช่วยเหลือสินค้าเกษตรอื่น

ไม่เพียงแต่หอมหัวใหญ่เท่านั้น ที่ประชุมยังได้ติดตามความเคลื่อนไหวของสินค้าเกษตรอื่นในพื้นที่ อาทิ ลิ้นจี่ฮงฮวย สับปะรด และลำไย ซึ่งกำลังจะออกสู่ตลาดในเร็ว ๆ นี้ โดยมีมติให้เร่งเสนอแผนเพื่อรองรับสถานการณ์ราคาตกต่ำที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

โครงการกระจายผลผลิตเหล่านี้จะช่วยให้เกษตรกรมีช่องทางระบายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงที่เกิดจากตลาดผันผวน

เสียงสะท้อนจากเกษตรกรในพื้นที่

ตัวแทนเกษตรกรอำเภอเวียงป่าเป้า ได้แสดงความพึงพอใจกับแผนการของจังหวัดที่มุ่งเน้นช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผลผลิตหอมหัวใหญ่เริ่มทะยอยเข้าสู่ตลาดแล้ว

ในขณะเดียวกัน เกษตรกรบางรายยังมีความกังวลเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งค่าปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และแรงงาน ซึ่งยังไม่ได้รับการเยียวยาโดยตรงจากโครงการนี้

ความเห็นจากฝ่ายราชการ

ฝ่ายราชการยืนยันว่าทางจังหวัดพร้อมทำงานเชิงรุก ร่วมกับหน่วยงานระดับชาติ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อเกษตรกร โดยตั้งเป้าจะประเมินผลของมาตรการในช่วง 2 สัปดาห์ เพื่อวางแผนระยะกลางและยาว

นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายจะพัฒนาระบบข้อมูลการผลิตและการตลาดให้แม่นยำมากขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางวางแผนการผลิตในฤดูกาลถัดไป ลดความเสี่ยงจากปัญหาซ้ำซาก

สรุปภาพรวมสถานการณ์และทิศทางในอนาคต

สถานการณ์ราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำในปี 2568 ถือเป็น บททดสอบสำคัญ ของทั้งเกษตรกรและหน่วยงานภาครัฐในการทำงานเชิงระบบ โดยการบริหารจัดการผลผลิตในระยะสั้นร่วมกับแผนระยะยาวน่าจะเป็นคำตอบที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจฐานรากได้

อย่างไรก็ตาม การสร้างเสถียรภาพให้กับภาคเกษตรต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งด้านนโยบายการค้า การเงิน และการส่งเสริมความรู้ให้แก่เกษตรกร

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • ราคาหอมหัวใหญ่ ณ เดือนมีนาคม 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 6-8 บาท/กิโลกรัม (แหล่งข้อมูล: กรมการค้าภายใน)
  • ต้นทุนเฉลี่ยของการปลูกหอมหัวใหญ่ในภาคเหนือ อยู่ที่ประมาณ 7.50 บาท/กิโลกรัม (แหล่งข้อมูล: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร)
  • ผลผลิตหอมหัวใหญ่จังหวัดเชียงราย ปี 2567/68 คาดการณ์ไว้ที่กว่า 10,000 ตัน (แหล่งข้อมูล: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย)

ทัศนคติที่เป็นกลางจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายเกษตรกร มองว่ามาตรการช่วยเหลือที่ออกมายังไม่ครอบคลุมต้นทุนที่แท้จริง แต่ก็เป็นก้าวแรกที่น่ายินดี ขณะที่ ฝ่ายภาครัฐ เห็นว่าต้องอาศัยเวลาปรับตัว และย้ำว่ารัฐบาลไม่ทอดทิ้งเกษตรกร พร้อมเดินหน้าสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

ความร่วมมือที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้เมื่อมี การรับฟังซึ่งกันและกัน และดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยยึดเกษตรกรเป็นศูนย์กลาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘พาณิชย์’ ตามสถานการณ์น้ำท่วม ห้ามราคาสินค้าฉวยโอกาสขึ้นเด็ดขาด

 

เมื่อวันที่ 23 ส.ค.67 ได้ประชุมร่วมกับห้างค้าส่ง-ค้าปลีก ห้างท้องถิ่น ร้านสะดวกซื้อ ห้างจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง สมาคมขนส่งสินค้านำเข้าและส่งออก สมาคมรถบรรทุก ที่เป็นภาคีเครือข่าย ดังนี้ ห้างโฮมโปร ห้างไทวัสดุ ห้างดูโฮม ห้างโกลบอลเฮ้าส์ ห้างเมกาโฮม ห้างแม็คโคร ห้างบิ๊กซี ห้างโลตัส ห้างโกโฮลเซลล์ ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ชมรมทายาทห้างค้าปลีก-ค้าส่งไทย บริษัท นิ่มซี่เส็ง จำกัด และ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยได้รับแจ้งว่า สาขาในพื้นที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และสามารถเปิดให้บริการประชาชนได้ตามปกติ และมีแผนการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ เช่น เตรียมกระสอบทราย พร้อมกับยืนยันว่า สต๊อกสินค้ามีเพียงพอ ไม่มีการปรับขึ้นราคา พร้อมจัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้าเพื่อช่วยเหลือประชาชน

ทั้งนี้ได้กำชับทุกห้างร้าน หากมีปัญหาในการจัดส่งให้แจ้งกรมฯ เพื่อจะได้ประสานต่อหน่วยราชการในพื้นที่หรือ กอ.รมน. เข้าช่วยเหลือแก้ปัญหาการขนส่ง รวมทั้งไม่ปรับขึ้นราคาสินค้า และจัดเตรียมสินค้าไว้ให้เพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าขาดแคลน โดยเฉพาะของใช้จำเป็น รวมทั้งวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมและทำความสะอาด เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบภัยด้วย 

สำหรับการขนส่งสินค้าผู้ประกอบการขนส่งทางภาคเหนือ ยืนยันว่ายังไม่ได้รับผลกระทบต่อการขนส่งสินค้า แต่อาจมีน้ำท่วมในเส้นทางสายรองบ้าง แต่ยังสามารถขนส่งสินค้าได้ตามปกติ พร้อมเตรียมแผนเส้นทางสำรองและรูปแบบในการขนส่ง ทั้งนี้หลังน้ำลดจะได้ให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดจัดสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยด่วน

นอกจากนี้ ได้กำชับให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัด กำกับดูแลให้มีการปิดป้ายแสดงราคาสินค้า และเข้มงวดไม่ให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า กรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคาจะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และกรณีจำหน่ายสินค้าแพงเกินสมควรจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากพบเห็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่เป็นธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานพาณิชย์จังหวัด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ระดมผู้ประกอบการ 17 จังหวัดภาคเหนือ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดนภาคเหนือ 2024

 

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 เวลา 14.00 น. ที่โรงแรมไชยนารายณ์ ริเวอร์ไซด์ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานแถลงข่าว โครงการ “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดนภาคเหนือ 2024 NORTHERN BORDER ECONOMY ACCELERATION 2024 ภายใต้ โครงการสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก ด้วยเศรษฐกิจมูลค่าสูงภาคเหนือ ประจำปีงบประมาณ 2566 ไปพลางก่อน” โดยมี นางณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย พร้อมหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดเชียงราย หอการค้าจังหวัดเชียงราย และผู้ประกอบการธุรกิจในภาคเหนือ 17 จังหวัดเข้าร่วม

 

นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของประเทศ เป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ มีนักท่องเที่ยวมาเยือนสูงถึง 5 ล้านคน มีรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 34,400 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ของภาคเหนือ ทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา, และสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้มีการพัฒนาเส้นทางคมนาคมจากเชียงรายสู่ประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ โดยมีด่านการค้าชายแดน 4 ด่าน ใน 3 อำเภอ ได้แก่ แม่สาย, เชียงของ, และเชียงแสน ซึ่งมีปริมาณการค้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มียอดมูลค่าการส่งออกปีละประมาณ 1 แสนล้านบาท รัฐบาลจึงกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ โดยจังหวัดเชียงราย, เชียงใหม่, ลำปาง, และลำพูน ถูกกำหนดให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ หรือ Northern Economic Corridor: NEC – Creative LANNA เพื่อพัฒนาเป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์หลักของประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อโครงสร้างพื้นฐานพัฒนา การค้าเติบโตเศรษฐกิจก็จะดี คนต้องพัฒนาตาม

 

ซึ่งการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว ประกอบด้วย 4 กิจกรรมหลักดังนี้

  1. การอบรมสัมมนาผู้ประกอบการ Boost Up Trader to Overseas วันที่ 21-22 มีนาคม 2567 ณ โรงแรม ไชยนารายณ์ ริเวอร์ไซด์
  2. การศึกษาดูงานการค้าชายแดน ที่จังหวัดหนองคาย และ จังหวัดตากในเดือนเมษายน 2567
  3. การประชุม/ สัมมนาร่วมภาครัฐ และเอกชนกลุ่มภาคเหนือของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านระหว่างวันที่ 1-2 พฤษภาคม 2567 ณ โรงแรมเฮอริเทจ แกรนด์ คอนเวนชั่นเชียงราย
  4. กิจกรรม Focus Group การอภิปรายหารือ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาทางการค้า ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 ณ โรงแรมเฮอริเทจ แกรนด์คอนเวนชั่น เชียงราย

 

ทางด้านนางณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายมีจุดผ่านแดนถาวร 6 จุด และจุดผ่อนปรนทางการค้าติดกับชายแดนเมียนมา 5 จุด ติดกับ สปป.ลาว อีก 5 จุดเป็นด่านการค้าที่เชื่อมกับเส้นทาง R3B และ R3A จุดหมายปลายทางของการส่งสินค้าจะส่งเข้าสู่ประเทศจีนทำให้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ เป็นจุดเชื่อมโยงการค้าชายแดนที่สำคัญ เป็นประตูการค้าชายแดนโดยตรงกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และยังเป็นช่องทางการผ่านแดนที่สำคัญในการเชื่อมโยงกับสาธารณรัฐประชาชนจีน มีศักยภาพในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าชายแดน-ผ่านแดน จากการเปิดเสรีทางการค้า กรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคต่าง ๆ ที่บรรลุข้อตกลงระหว่างกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เพิ่มช่องทางการขายสินค้าเด่นเชียงรายลุยตลาดภูเก็ต

 

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 จังหวัดเชียงราย โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าดี สินค้าเด่นเชียงราย (Chiang Rai Fair) ระหว่างวันที่ 3-5 พฤศจิกายน 2566 ณ The bay ศูนย์การค้าจังซีลอน ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต โดยมีนางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยภาครัฐและภาคเอกชน จังหวัดเชียงราย และจังหวัดภูเก็ตร่วมพิธีเปิดงาน

 

การจัดงานฯ ครั้งนี้ เป็นการดำเนินการภายใต้โครงการเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการและการพัฒนาตลาดเชิงสร้างสรรค์ โครงการตามแผนปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ 2566 จังหวัดเชียงราย ซึ่งบูรณาการร่วมกับโครงการส่งเสริมสินค้า BCG และสินค้าสร้างสรรค์อัตลักษณ์ท้องถิ่นไทยโกอินเตอร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสและส่งเสริมการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ผลิตผู้ประกอบการจังหวัดเชียงราย กับผู้ซื้อ นักธุรกิจจังหวัดภูเก็ต อีกทั้งเพื่อต่อยอดในเชิงพาณิชย์ สอดคล้อง กับนโยบาย “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
 
 
จังหวัดเชียงราย มีเป้าหมายที่จะส่งเสริมขีดความสามารถด้านการตลาดให้กับผู้ประกอบการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ผลิตภัณฑ์จังหวัดเชียงราย (Chiangrai Brand) และสินค้าบริการเพื่อสุขภาพ (Wellness) ตามนโยบายผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายพุทธิพงษ์ ศิริมาตย์ เพื่อขับเคลื่อนเชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Chiangrai Wellness City)
ภายในงานฯ มีการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าจากผู้ประกอบการกว่า 26 คูหา ระดมทั้งสินค้า GI เสื่อผ้าเครื่องแต่งกาย สินค้าเกษตรแปรรูป ของฝากของที่ระลึก สินค้าเพื่อสุขภาพ มาจัดจำหน่ายแก่พี่น้องชาวภูเก็ต และนักท่องเที่ยว พร้อมกับการจับคู่เจรจาธุรกิจ โดยในวันนี้ได้มีการจับคู่เจรจาธุรกิจระหว่างหอการค้าจังหวัดเชียงราย กับ หอการค้าจังหวัดภูเก็ต และ ศูนย์การค้าจังซีลอน เพื่อตกลงร่วมมือทางการค้า การลงทุน ในอนาคตต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News