Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลเชียงรายต้อนรับสปสช. พัฒนาสาธารณสุข

เทศบาลนครเชียงรายต้อนรับ สปสช. ศึกษาดูงานการพัฒนาระบบสุขภาพท้องถิ่น มุ่งสร้าง “เมืองแห่งความสุข” อย่างยั่งยืน

เชียงราย, 27 พฤษภาคม 2568 – เทศบาลนครเชียงราย เปิดบ้านต้อนรับคณะศึกษาดูงานจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อนำเสนอแนวทางการยกระดับระบบบริการสาธารณสุขแบบบูรณาการ ที่เน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่มวัยบนฐานของการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ พร้อมเดินหน้ายกระดับ “นครเชียงราย เมืองน่าอยู่ นครแห่งความสุข” อย่างเป็นรูปธรรม

ภายใต้การนำของ พ.จ.อ. อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาล ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่เทศบาล ได้ให้การต้อนรับ นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ, นายแพทย์พงศ์เทพ วงศ์วัชระไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และ นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

เชียงรายเมืองน่าอยู่” เริ่มต้นจากชุมชนเข้มแข็ง

เทศบาลนครเชียงรายได้นำเสนอแนวคิด “เมืองสร้างคน คนสร้างเมือง” ซึ่งเป็นแกนหลักในการพัฒนาเมืองอย่างต่อเนื่องผ่านการบูรณาการทุกภาคส่วน ตั้งแต่หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน องค์กรเอกชน และสถาบันการศึกษา โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางการวางนโยบาย เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุขที่เป็นกลไกสำคัญของคุณภาพชีวิต

ความร่วมมือระดับชาติสู่พื้นที่จริง

การต้อนรับคณะจาก สปสช. ครั้งนี้ มุ่งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และประเมินความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้านสุขภาพของเทศบาลนครเชียงราย ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, กองทุนสุขภาพระดับท้องถิ่น, สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), รวมถึงหน่วยบริการสุขภาพในพื้นที่และสถาบันการศึกษาชั้นนำในภาคเหนือ

มหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมเป็นเครือข่าย ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, มหาวิทยาลัยพะเยา, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเชียงราย ซึ่งมีบทบาทในการสนับสนุนองค์ความรู้ การวิจัย และการพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพชุมชน

สามมิติสู่เมืองแห่งความสุข

การดำเนินการขับเคลื่อนเมืองแห่งความสุขของเทศบาลนครเชียงราย ถูกจัดวางภายใต้แนวคิด นครเชียงราย เมืองน่าอยู่ นครแห่งความสุข” ใน 3 มิติ ได้แก่

  1. สุขภาพดี – ประชาชนเข้าถึงบริการด้านสุขภาพอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง กลุ่มคนพิการ และผู้มีรายได้น้อย
  2. สังคมดี – การสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาพื้นที่ของตนเอง
  3. สิ่งแวดล้อมดี – การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การจัดการขยะ การส่งเสริมพื้นที่สีเขียว เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน

กองทุนสุขภาพท้องถิ่น กลไกสำคัญของความยั่งยืน

เทศบาลนครเชียงรายได้เป็นหนึ่งในพื้นที่ต้นแบบที่บริหารจัดการกองทุนสุขภาพในระดับท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกองทุนสุขภาพ 3 รูปแบบสำคัญที่ดำเนินการแล้ว ดังนี้

  • กองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น (กปท.): ทั่วประเทศมีการจัดตั้งแล้วกว่า 7,760 แห่ง
  • กองทุน LTC (Long Term Care): สำหรับการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน จัดตั้งแล้ว 7,423 แห่ง
  • กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพระดับจังหวัด: มีการดำเนินงานแล้ว 72 แห่ง จากทั้งหมด 76 แห่งในประเทศไทย (ข้อมูล ณ เมษายน 2568)

ผลงานจริง ประชาชนสัมผัสได้

นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี กล่าวว่า “เทศบาลนครเชียงรายถือเป็นตัวอย่างของพื้นที่ที่สามารถบูรณาการกองทุนจากหลายหน่วยงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่มีงบประมาณซ้ำซ้อน และมีระบบติดตามผลที่วัดได้จริง ส่งผลให้ประชาชนในทุกกลุ่มวัยได้รับการดูแลที่มีคุณภาพ ทั้งด้านสุขภาพกาย ใจ และสังคม”

จากการรายงานผลลัพธ์ของการดำเนินงานในรอบปี 2567 พบว่า เทศบาลสามารถให้บริการประชาชนได้ครอบคลุมกว่า 96% ของจำนวนประชากรในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่เข้าถึงบริการเพิ่มขึ้นถึง 82% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเริ่มโครงการ

วิเคราะห์ผลกระทบของการดำเนินโครงการสุขภาพท้องถิ่น

ผลกระทบเชิงบวก

  • ประชาชนได้รับบริการด้านสุขภาพแบบองค์รวม ครอบคลุมทุกกลุ่มวัย
  • งบประมาณด้านสาธารณสุขมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการซ้ำซ้อน
  • การบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐและชุมชน ทำให้เกิดนโยบายจากล่างขึ้นบน (Bottom-Up Policy)
  • สร้างความร่วมมือระยะยาวกับภาคการศึกษาและภาคประชาสังคม

ข้อท้าทาย

  • ความต่อเนื่องของโครงการยังขึ้นอยู่กับงบประมาณประจำปี
  • ความแตกต่างทางบริบทชุมชนอาจทำให้การดำเนินงานไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่
  • ความเข้าใจและทักษะของบุคลากรท้องถิ่นในการบริหารกองทุนยังต้องได้รับการพัฒนา

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากข้อมูล สปสช. ณ เมษายน 2568 ประเทศไทยมี 7,760 กองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น, 7,423 กองทุน LTC และ 72 กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพระดับจังหวัด
  • เทศบาลนครเชียงรายมีประชากรประมาณ 71,000 คน โดยมีหน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิจำนวน 12 แห่ง
  • ร้อยละ 96 ของประชากรในเขตเทศบาลเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพประจำปี
  • เทศบาลใช้จ่ายงบประมาณเฉลี่ยต่อหัวในการพัฒนาระบบสุขภาพ ประมาณ 256 บาท/คน/ปี โดยมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากการบริหารแบบบูรณาการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • เทศบาลนครเชียงราย

  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

  • สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

  • รายงานติดตามผลโครงการกองทุนสุขภาพเทศบาลนครเชียงราย ปี 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

“สมศักดิ์หนุน” รพ.ใช้ยาสมุนไพรไทย รับงบ 60 ล้าน!

สปสช. หนุน รพ.ใช้สมุนไพรไทยแทนยาแผนปัจจุบัน พร้อมงบสนับสนุน 60 ล้านบาท

กระทรวงสาธารณสุขเร่งผลักดันยาสมุนไพรไทย

กรุงเทพฯ, 24 กุมภาพันธ์ 2568 – นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศมาตรการส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรในโรงพยาบาลภาครัฐ โดยมีเป้าหมายให้โรงพยาบาลนำยาสมุนไพรมาใช้แทนยาแผนปัจจุบันใน 5 รายการหลัก เพื่อรับงบสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รวมกว่า 60 ล้านบาท ภายในปีงบประมาณ 2568 หากดำเนินการสำเร็จ โรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับงบประมาณเฉลี่ยแห่งละ 200,000 บาท

10 สมุนไพรไทยรักษาโรคพบบ่อย

รมว.สาธารณสุขเผยว่า ปัจจุบันมีการใช้ยาสมุนไพร 10 รายการที่ได้รับการรับรองให้ใช้รักษา 10 กลุ่มอาการของโรคที่พบบ่อย ได้แก่

  • ยาไพล แก้ปวดกล้ามเนื้อและข้อ
  • ยาฟ้าทะลายโจร รักษาไข้หวัดและโควิด-19
  • ยาขมิ้นชัน แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • ยาเพชรสังฆาต รักษาริดสีดวงทวาร
  • ยาขิง บรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ
  • ยามะระขี้นก แก้อาการเบื่ออาหาร
  • ยากล้วย บรรเทาอาการท้องเสีย
  • ยาหอมเทพจิตร ช่วยเรื่องนอนไม่หลับ
  • ยาพริก บรรเทาอาการชาจากอัมพฤกษ์ อัมพาต
  • ยาว่านหางจระเข้ ใช้รักษาแผลและดูแลผิวหนัง

5 สมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบัน

เพื่อส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรแทนยาแผนปัจจุบัน สปสช. ได้ประกาศ 5 รายการสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้แทนยาแผนปัจจุบัน ได้แก่

  1. ครีมไพล แทนยาบาล์มแก้ปวด
  2. ยาประสะมะแว้ง แทนยาแก้ไอ
  3. ขมิ้นชัน ธาตุอบเชย แทนยาขับลม
  4. เพชรสังฆาต แทนยาริดสีดวง
  5. มะขามแขก แทนยาระบาย

งบประมาณสนับสนุนและเป้าหมายอนาคต

กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าหมายขยายงบประมาณสนับสนุนการใช้ยาสมุนไพรให้เพิ่มขึ้นจาก 1,500 ล้านบาทในปี 2568 เป็น 3,000 ล้านบาทในปี 2569 โดยคาดหวังว่าการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยจะช่วยลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยเข้าสู่ตลาดโลก

ขยายตลาดสมุนไพรไทยสู่ต่างประเทศ

นอกจากการส่งเสริมให้ใช้สมุนไพรภายในประเทศแล้ว รัฐบาลยังมีแผนขยายตลาดสมุนไพรไทยไปสู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะการนำยาดมและยาหม่องไปเปิดตลาดในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ในช่วงพิธีฮัจย์ ซึ่งมีนักแสวงบุญนับล้านคนเดินทางไปยังประเทศซาอุดิอาระเบียในแต่ละปี

สถิติการใช้ยาสมุนไพรและผลกระทบทางเศรษฐกิจ

จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขในปี 2567 พบว่า

  • มูลค่าการใช้ยาในระบบประกันสุขภาพแห่งชาติอยู่ที่ 70,500 ล้านบาท
  • ในจำนวนนี้เป็นการใช้ยาแผนปัจจุบัน 69,000 ล้านบาท
  • ขณะที่การใช้ยาสมุนไพรอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท
  • คาดการณ์ว่าการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยจะช่วยเพิ่มมูลค่าตลาดสมุนไพรจาก 13,000 ล้านบาท เป็น 190,000 ล้านบาท ในอนาคต

บทสรุป

การผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับและใช้ทดแทนยาแผนปัจจุบันในโรงพยาบาลของรัฐ ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ลดการพึ่งพายานำเข้า และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ หากมาตรการนี้ประสบความสำเร็จ จะช่วยให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านสมุนไพรและการแพทย์แผนไทยที่มีศักยภาพในระดับโลกได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

“มะเร็งรักษาทุกที่” กลับสู่แนวทางเดิม ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว

“มะเร็งรักษาทุกที่” กลับสู่แนวทางเดิม ผู้ป่วยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว

กุมภาพันธ์ 2568 –  นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ยกเลิกประกาศหลักเกณฑ์ “มะเร็งรักษาทุกที่” ฉบับใหม่แล้ว และกลับไปใช้ประกาศฉบับเดิม ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้ารับการรักษาได้ที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพ โดยไม่จำเป็นต้องมีใบส่งตัว

การแก้ไขปัญหา “มะเร็งรักษาทุกที่”

จากกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้สั่งการให้ สปสช. ดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีการเข้ารับบริการตามนโยบาย “มะเร็งรักษาทุกที่” นั้น ล่าสุด นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ได้รายงานว่าได้ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้เรียบร้อยแล้ว

ผู้ป่วยมะเร็งรับบริการได้ตามแนวทางเดิม

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป รวมถึงวันที่ 1 เมษายน 2568 ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้ารับบริการตามนโยบาย “มะเร็งรักษาทุกที่” ได้ตามแนวทางบริการเดิมที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพดูแลผู้ป่วยมะเร็ง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบส่งตัวรับรองสิทธิในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากหน่วยบริการประจำ

สปสช. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเช่นเดิม

สปสช. ยังคงรับผิดชอบดูแลการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายตามนโยบายเช่นเดิม หน่วยบริการสามารถเบิกได้ทั้งค่ารังสีรักษา ยาเคมีบำบัด การผ่าตัด โรคแทรกซ้อนของมะเร็ง และโรคอื่นที่คนไข้มะเร็งเป็นร่วม

ระบบส่งข้อมูลผู้ป่วย

สำหรับการส่งข้อมูลผู้ป่วยนั้น มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ TCB Plus ของสถาบันมะเร็ง กรมการแพทย์ และ Health Link ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อใช้ลงทะเบียน รับส่งต่อและดูข้อมูลผู้ป่วยอยู่แล้ว โดยทางโรงพยาบาลรับส่งต่อสามารถดูข้อมูลผู้ป่วยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวนี้ได้

ยกเลิกประกาศฉบับใหม่ กลับไปใช้ฉบับเดิม

เลขาธิการ สปสช. ได้ลงนามคำสั่งยกเลิกประกาศหลักเกณฑ์ “มะเร็งรักษาทุกที่” ฉบับใหม่ ที่จะบังคับใช้ 1 เมษายน 2568 แล้ว ซึ่งจะมีผลทำให้กลับไปใช้ประกาศหลักเกณฑ์ฯ ฉบับเดิม ปี 2566-2567 และได้ส่งหนังสือแจ้งเวียนหน่วยบริการทั่วประเทศรับทราบแล้ว

รัฐบาลใส่ใจสุขภาพประชาชน

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีความใส่ใจอย่างยิ่งต่อภาวะเจ็บป่วยของประชาชน โดยมะเร็งเป็นโรคที่มีภาวะร้ายแรงต่อสุขภาพ การเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุดจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเพิ่มโอกาสการรักษาและลดความรุนแรงของโรค รวมถึงลดการเสียชีวิตลงได้ จึงนำมาสู่นโยบายมะเร็งรักษาทุกที่ โดยมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งยืนยันว่า ณ วันนี้รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ซึ่งรวมถึง สปสช. ยังคงยืนยันหลักการนี้เช่นเดิม

สรุป

การกลับไปใช้ประกาศหลักเกณฑ์ “มะเร็งรักษาทุกที่” ฉบับเดิม ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่ายยิ่งขึ้น และได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องจากโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มอบแว่นสายตาดีแก้ปัญหานักเรียนมองไม่ชัด เชียงราย 2568

สปสช.-เทศบาลนครเชียงราย มอบแว่นสายตาดี แก้ปัญหาการมองเห็นในนักเรียนม.ต้น

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 ณ หอประชุมพญามังราย โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. พร้อมด้วย ทพญ.ปาริชาติ ลุนทา ผอ.กลุ่ม สปสช. เขต 1 เชียงใหม่ ร่วมพิธีมอบแว่นสายตาดีใน โครงการแก้ไขปัญหาการมองเห็นไม่ชัดในนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ในสังกัดเทศบาลนครเชียงราย ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมี ดร.วันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เป็นประธานในงาน

โครงการแก้ปัญหาสายตาผิดปกติในนักเรียน

ดร.วันชัย เปิดเผยว่า โครงการนี้ดำเนินการตามนโยบายของ สปสช. ที่มอบสิทธิประโยชน์ “แว่นตาสำหรับเด็กที่มีภาวะสายตาผิดปกติ” ภายใต้สิทธิสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เพื่อให้เด็กอายุ 3-15 ปี มีการมองเห็นที่ชัดเจน อันเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเรียนรู้

โครงการแก้ไขปัญหาการมองเห็นไม่ชัดในนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนเทศบาล 5 เด่นห้า และโรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย ได้ตรวจคัดกรองนักเรียนจำนวน 2,435 คน พบความผิดปกติของสายตา 737 ราย (ร้อยละ 30.27)

  • โรงเรียนเทศบาล 5 เด่นห้า: 120 คน (เลนส์สต๊อก 115 คน เลนส์แล็บ 5 คน)
  • โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย: 619 คน (เลนส์สต๊อก 599 คน เลนส์แล็บ 18 คน)

งบประมาณและเป้าหมายโครงการ

การตัดแว่นสายตาในโครงการนี้ใช้งบประมาณจากกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลนครเชียงราย โดยตั้งเป้าหมายให้เด็กนักเรียนทุกคนที่มีปัญหาสายตาได้รับแว่นสายตาเพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต

ทพ.อรรถพร กล่าวว่า การมอบแว่นสายตาให้กับนักเรียนในปีนี้ถือเป็นของขวัญวันเด็ก (11 มกราคม 2568) ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนที่มีปัญหาสายตา สามารถเรียนรู้และใช้ชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น

ผลกระทบต่อการศึกษาและการพัฒนาเด็ก

ทพ.อรรถพร กล่าวเพิ่มเติมว่า การมีสายตาที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญในช่วงพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก หากสายตาไม่ดีจะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และพัฒนาการ

ดร.วันชัย ย้ำว่า เทศบาลนครเชียงรายมุ่งมั่นผลักดันให้เป็น “นครแห่งการศึกษา” ตั้งแต่ปี 2542 โดยมีโรงเรียนในสังกัดทั้งหมด 8 แห่ง มีนักเรียนรวมกว่า 8,000 คน โครงการนี้จึงเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ช่วยสนับสนุนวิสัยทัศน์ดังกล่าว

ขยายโอกาสให้ท้องถิ่นอื่น

ทพ.อรรถพร เชิญชวนท้องถิ่นที่ต้องการดำเนินโครงการคัดกรองและตัดแว่นสายตาให้เด็กและผู้สูงอายุ สามารถเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุน กปท. ที่ สปสช. ร่วมอุดหนุนได้ทุกปี

“การช่วยให้กลุ่มเด็กและผู้สูงอายุมีสายตาที่ดีขึ้น เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่สำคัญ โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในช่วงพัฒนาการเรียนรู้” ทพ.อรรถพร กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

พบโลโก้นี้ “30 รักษาทุกที่” ยื่นบัตรประชาชนใบเดียว ไม่ต้องมีใบส่งตัว

 

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เปิดเผยว่า ในการดำเนินการ “30 บาทรักษาทุกที่” ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความสับสนและเข้ารับบริการได้อย่างถูกต้องตามนโยบายที่จะเริ่มให้บริการในวันที่ 26 สิงหาคมนี้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้มอบให้ สปสช.จัดทำแนวทางการเข้ารับบริการ และยังเป็นแนวทางการให้บริการสำหรับหน่วยบริการที่เข้าร่วมให้บริการด้วย เพื่อความชัดเจนในการดูแล 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับโลโก้ 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อใช้ในการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ ได้มอบให้ สปสช. ดำเนินการจัดทำโลโก้ใหม่ ที่มีความโดดเด่น ชัดเจน และสังเกตได้ง่าย ทำให้ประชาชนเข้ารับบริการได้โดยสะดวก

การออกแบบนั้นในโลโก้นี้นอกจากจะประกอบด้วยข้อความ “30 บาทรักษาทุกที่” แล้ว ยังมีเครื่องหมาย “ถูก” ที่สะท้อนว่า ที่นี่ให้บริการอย่างมีคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข บนสัญลักษณ์เครื่องหมายกากบาทสีแดง “กาชาด” และได้ใช้สีแดงที่สื่อถึงการรักษาพยาบาล ที่บ่งบอกถึงความอุ่นใจในบริการดูแล   

ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคมนี้ ซึ่งจะเป็นวันคิกออฟ 30 บาทรักษาทุกที่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะเห็นสัญลักษณ์ “30 บาทรักษาทุกที่” ติดที่หน่วยบริการในระดับปฐมภูมิ ท่านสามารถเดินเข้ารับบริการได้เลย ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ใช้แค่บัตรประชาชนใบเดียว โดยใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาทแต่ถ้าอาการเกินจากศักยภาพที่หน่วยบริการปฐมภูมิและหน่วยบริการนวัตกรรมจะให้การดูแลได้ก็จะได้รับการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่รับส่งต่อ

เรียกว่า เป็นการเพิ่มการเข้าถึงบริการ เพิ่มความสะดวก ลดความแออัดการเข้ารับบริการให้กับประชาชน โดยการมีส่วนร่วมจากหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน

สำหรับตราสัญลักษณ์ใหม่นั้นจะเริ่มติดที่หน่วยบริการที่เข้าร่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครก่อน หลังจากนั้นจะทยอยติดที่หน่วยบริการในจังหวัดนำร่องที่ผ่านมาให้ครบถ้วน เพื่อให้ประชาชนใช้บริการได้สะดวกและง่ายขึ้น นายสมศักดิ์ กล่าว

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การที่มีตราสัญลักษณ์ 30 บาทรักษาทุกที่ติดที่หน่วยบริการนั้น หมายความว่า หน่วยบริการนั้นคือหน่วยบริการในระดับปฐมภูมิที่เข้าร่วมให้บริการประชาชนสิทธิบัตรทอง 30 บาท หรือสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ซึ่งจะต้องผ่านหลักเกณฑ์ 3 ข้อ ดังนี้

1.มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการยืนยันตัวตนผู้ใช้บริการทั้งก่อนการใช้บริการและหลังการใช้บริการ หรือที่เรียกว่าการเปิดและปิดสิทธิในการให้บริการผู้ใช้สิทธิบัตรทองได้

2.ได้ทำการเชื่อมข้อมูลสุขภาพกับ สปสช. แล้ว

3. มีระบบส่งต่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Referral) เพื่อเชื่อมข้อมูลกับโรงพยาบาลรับส่งต่อในเครือข่ายในกรณีที่อาการผู้ป่วยเกินศักยภาพให้บริการได้ 

สำหรับการเข้ารับบริการนั้น ประชาชนผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท นอกจากจะเข้ารักษาตามขั้นตอนปกติที่หน่วยบริการประจำของท่านแล้ว ยังมีทางเลือกใหม่สามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการที่มีตราสัญลักษณ์ (โลโก้) “30 บาทรักษาทุกที่” ปรากฏอยู่ด้านหน้า ซึ่งจะเป็นหน่วยบริการในระดับปฐมภูมิ ได้แก่ รพ.สต., สถานีอนามัย, ศูนย์สุขภาพชุมชน, โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) ประจำอำเภอ, และ โรงพยาบาลศูนย์ (รพศ.)/โรงพยาบาลทั่วไป (รพท.) ประจำจังหวัด

ขณะที่ในกรุงเทพมหานคร หน่วยบริการระดับปฐมภูมิจะเป็น คลินิกชุมชนอบอุ่น และศูนย์บริการสาธารณสุข นอกจากนั้นยังมีหน่วยปฐมภูมิของโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์เข้าร่วมด้วย สำหรับโรงพยาบาลรัฐสังกัดอื่น ๆ นั้น เป็นหน่วยบริการในระดับทุติยภูมิและตติยภูมิ ถือเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อที่จะต้องใช้ใบส่งตัวในการเข้ารักษา

นอกจากนั้น ยังมีหน่วยบริการนวัตกรรมที่เป็นทางเลือกใหม่ ได้แก่ ร้านยาคุณภาพและคลินิกเอกชนที่เข้าร่วมกับ สปสช. เช่น คลินิกเวชกรรม คลินิกทันตกรรม คลินิกพยาบาล คลินิกเทคนิคการแพทย์ คลินิกแพทย์แผนไทย คลินิกกายภาพบำบัด เป็นต้น

ในกรณีที่อาการป่วยเกินศักยภาพที่หน่วยบริการที่จะให้การรักษาได้ ก็จะได้รับการส่งต่อไปรับบริการที่โรงพยาบาลในเครือข่าย ซึ่งระบบการส่งต่อจะมีทั้งในรูปแบบใบส่งตัวกระดาษและใบส่งตัวอิเล็กทรอนิกส์หรือแบบออนไลน์ขึ้นอยู่กับความพร้อมของหน่วยบริการในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ในส่วนของหน่วยบริการที่เข้าร่วมและจะเข้าร่วมกับ สปสช.ทุกแห่งนั้น

ขอให้มั่นใจในการเรื่องการเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการ ซึ่ง สปสช. ได้มีการปรับการจ่ายบริการในรูปแบบใหม่ รวมถึงระบบการเบิกจ่ายเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เข้ากับระบบสุขภาพในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่ง สปสช. จะมีการจัดแถลงข่าวชี้แจงทำความเข้าใจขั้นตอนการใช้สิทธิของประชาชน การเชื่อมข้อมูล การส่งต่อผู้ป่วย และการเบิกจ่ายต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและหน่วยบริการ ในวันที่ 20 สิงหาคม 2567 นี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

บอร์ด สปสช. เห็นชอบ “ท้องไม่พร้อม” บัตรทอง “สายด่วน 1663” ให้คำปรึกษา

 

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2567 ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) วันที่ 5 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานการประชุม โดยมีวาระพิจารณาและเห็นชอบ “ข้อเสนอการกำหนดสถานบริการสาธารณสุขอื่นตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2545 กรณีหน่วยบริการปรึกษาทางเลือกสำหรับการให้คำปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อม (สายด่วน 1663) นำเสนอโดย รศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ บอร์ด สปสช. วันที่ 3 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมาได้เห็นชอบให้บริการมิตรภาพบําบัด สายด่วนวัยรุ่น สายด่วนตั้งครรภ์ไม่พร้อม 1663 เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท โดยใช้งบประมาณจากงบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในปีงบประมาณ 2568 และในการประชุมครั้งนี้ก็ได้เห็นชอบให้สายด่วน 1663 เป็นหน่วยบริการปรึกษาทางเลือกเพิ่มเติม สำหรับการให้คำปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อม 

ทั้งนี้ สายด่วน 1663 อยู่ภายใต้การบริหารของ “มูลนิธิเข้าถึงเอดส์” โดยเริ่มดำเนินงานให้คำปรึกษาเรื่องโรคเอดส์เมื่อปี 2534 และได้เพิ่มบริการให้คำปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อมในปี 2556 มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการการให้คำปรึกษาปัญหาด้านการตั้งครรภ์หรือท้องไม่พร้อม เพื่อช่วยลดอัตรากรณีท้องไม่พร้อมรายใหม่ หรือการท้องไม่พร้อมซ้ำ ทั้งเป็นการช่วยลดอัตราการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการยุติการตั้งครรภ์ที่ไม่ปลอดภัย โดยมีการส่งต่อผู้รับบริการไปยังหน่วยบริการที่ให้การดูแลสอดคล้องกับปัญหา โดยเน้นกลุ่มเป้าหมาย คือ 1.กลุ่มหญิงที่มีปัญหาการตั้งครรภ์หรือท้องไม่พร้อม 2.บุคคลในครอบครัว หรือบุคคลที่พบปัญหาหญิงตั้งครรภ์หรือท้องไม่พร้อม

“ขอบเขตการให้บริการของสายด่วน 1663 จะเป็นหน่วยแรกรับหรือเป็นช่องทางสำหรับผู้ประสบปัญหาท้องไม่พร้อม รวมทั้งประสานส่งต่อผู้รับบริการไปยังหน่วยบริการต่างๆ ที่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของผู้รับบริการ ทั้งบริการด้านการแพทย์และด้านสวัสดิการสังคม ตลอดจนติดตามผลหลังจากส่งต่อไปรับบริการแล้ว เพื่อตรวจสอบว่าปัญหาได้คลี่คลาดและไม่มีผลกระทบด้านสุขภาพและจิตใจ ซึ่งการติดตามผลนี้ ยังจะมีกระบวนการ Preventive Counseling เพื่อป้องกันการท้องไม่พร้อม และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เป็นการลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้” ประธานบอร์ด สปสช. กล่าว 

รศ.ภญ.ดร.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของสายด่วน 1663 ในปีงบประมาณ 2566 ที่ผ่านมา จากข้อมูลโดยมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ มีผู้โทรเข้ามารับคำปรึกษาทั้งหมด 51,574 ราย แบ่งเป็นอายุน้อยกว่า 20 ปี 8,445 ราย ในจำนวนนี้เป็นการปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อม 96.4% และกลุ่มที่อายุมากกว่า 20 ปี อีกจำนวน 43,129 ราย ในจำนวนนี้เป็นการปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อม 84% 

ทั้งนี้ การจัดบริการสายด่วนท้องไม่พร้อม 1663 นี้ เป็นหนึ่งในแผนการขยายหน่วยบริการ มาตรา 3 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 โดยขึ้นทะเบียนเป็น “หน่วยบริการรับส่งต่อเฉพาะด้านขององค์กรภาคประชาชน” เพื่อให้เกิดการเข้าถึงบริการผู้ใช้สิทธิบัตรทองทุกกลุ่ม โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางที่เข้าไม่ถึงบริการ ด้วยการรับบริการบางอย่างที่มีความจำเพาะ จำเป็นต้องใช้กลไกการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการจัดบริการที่ทำให้เกิดการเข้าถึง เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพ ซึ่งนำมาสู่การนำเสนอบอร์ด สปสช. เห็นชอบในวันนี้

“ตามที่บอร์ด สปสช. ได้เห็นชอบนี้ หลังจากนี้ สปสช. จะมีประสานกับมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เพื่อให้มีการขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งภายหลังจากที่ได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทาง สปสช. จะแจ้งให้ประชาชนรับทราบในการใช้สิทธิบัตรทองเพื่อเข้ารับบริการสายด่วน 1663 ต่อไป” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว  

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

บอร์ด สปสช. เห็นชอบ 30 บาท บัตรใบเดียวขยายพื้นที่ ระยะที่ 3

 
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ครั้งแรกภายหลังจากที่ได้เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดย พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร ในฐานะตัวแทนบอร์ด สปสช. ได้มอบดอกไม้ต้อนรับ ซึ่งในวันนี้มีวาระพิจารณาและเห็นชอบการขยายพื้นที่ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล “30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” ระยะที่ 3 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยเริ่มดำเนินการในเดือนพฤษภาคม 2567 และในกรุงเทพมหานคร พร้อมรับทราบการดำเนินงานนโยบายรัฐบาล “30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” ตั้งแต่ 7 ม.ค. – 7 พ.ค. 67
 
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” โดยแบ่งพื้นที่การดำเนินการในจังหวัดต่างๆ เป็น 4 ระยะ และได้รับความเห็นชอบจากบอร์ด สปสช. แล้วเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2566 ในการร่วมขับเคลื่อน พร้อมกับเห็นชอบการของบกลางเพื่อรองรับการดำเนินการ ทั้งในส่วนการบริหารจัดการและการให้บริการสุขภาพประชาชน ซึ่งรวมถึงหน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่ 7 ประเภท ที่เข้ามามีส่วนขับเคลื่อน ในวันนี้บอร์ด สปสช. จึงได้เห็นชอบให้เดินหน้าสนับสนุนต่อเนื่องในระยะที่ 3 เพิ่มเติมในเขตสุขภาพที่ 1 ภาคเหนือตอนบน เขตสุขภาพที่ 4, ภาคกลางตอนกลาง เขตสุขภาพที่ 9, ภาคอีสานตอนใต้ เขตสุขภาพที่ 12, ภาคใต้ตอนล่าง เขตสุขภาพที่ 3 และเขสุขภาพที่ 8 รวมทั้งสิ้น 33 จังหวัด โดยเริ่มดำเนินการในเดือนพฤษภาคมนี้
 
 
สำหรับในส่วนของกรอบงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนนโยบายฯ นั้น ภาพรวมการดำเนินการทั้ง 4 ระยะ สปสช. กำหนดงบประมาณไว้รองรับทั้งสิ้น 7,120.07 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนระยะที่ 1 จำนวน 366.57 ล้านบาท ระยะที่ 2 จำนวน 807.16 ล้านบาท และระยะที่ 3 ตามที่บอร์ด สปสช. เห็นชอบครั้งนี้จำนวน 2,813.08 ล้านบาท รวมถึงระยะที่ 4 ที่ให้ขยายทั่วประเทศ อีกจำนวนจำนวน 3,254.60 ล้านบาท
 
 
จากงบประมาณภาพรวมดังกล่าวนี้ แยกเป็นงบประมาณดำเนินการในส่วนหน่วยบริการนวัตกรรมสาธารณสุขวิถีใหม่ 7 ประเภท จำนวน 4,368.62 ล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมการให้บริการทั้งที่ร้านยาชุมชนอบอุ่น คลินิกเทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น คลินิกการพยาบาลชุมชนอบอุ่น คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น และคลินิการแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น นอกจากนี้เป็นงบประมาณการบริการในหน่วยบริการอื่นกรณีที่มีเหตุสมควร จำนวน 2,684.75 ล้านบาท และงบประมาณเพื่อใช้ในการบริหารจัดการ จำนวน 66,700 ล้านบาท
 
 
“งบประมาณดำเนินการ 30 บาทรักษาทุกที่ฯ ในส่วนของระยะที่ 2 และ 3 นั้น วันนี้บอร์ด สปสช. ยังได้เห็นชอบให้ สปสช. เสนองบกลางเพื่อดำเนินการ เพื่อให้การดำเนินนโยบายเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในระหว่างนี้ให้ สปสช. ดำเนินการสำรองจ่ายจากกองทุนหลักประกันสุขภาพก่อน และเมื่อได้รับงบกลางให้จัดสรรทดแทนคืนเงินตามกองทุนที่ได้เบิกจ่ายไป” ประธานบอร์ด สปสช. กล่าว
 
 
ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ บอร์ด สปสช. ยังได้รับทราบการดำเนินงานนโยบายรัฐบาล “30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” ในช่วงระยะที่ 1 และระยะที่ 2 โดยรวมมีประชาชนเข้ารับบริการตามนโยบาย จำนวน 3,493,101 คน เป็นจำนวน 4,810,812 ครั้ง ในจำนวนนี้เป็นการรับบริการที่หน่วยบริการนวัตกรรมฯ จำนวน 944,778 คน เป็นจำนวน 1,280,458 ครั้ง หรือคิดเป็นร้อยละ 26.62 ของจำนวนการรับบริการทั้งหมด (ที่มา: ผลงานบริการจากฐานข้อมูล NHSO_OneID ที่รวบรวมข้อมูลบริการจาก FDH ของกระทรวงสาธารณสุข ข้อมูล Eclaim และ DMIS สปสช. ข้อมูลตั้งแต่ 7 ม.ค. – 7 พ.ค. 67)
 
 
ส่วนการรับรู้และความพึงพอใจต่อนโยบายฯ นั้น จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนที่เข้ารับบริการฯ ใน 4 จังหวัดนำร่อง โดยสายด่วน สปสช. 1330 ในช่วงวันที่ 19 – 27 เม.ย. 67 นั้น พบว่าประชาชนมีการรับรู้ต่อนโยบายฯ อยู่ที่ร้อยละ 75-82 การรับบริการส่วนใหญ่รอคอยไม่เกิน 30 นาที และส่วนใหญ่เห็นด้วยต่อการดำเนินนโยบายฯ นี้ ทั้งในด้านความสะดวกในการเข้ารับบริการ ความพึงพอใจในการเข้ารับบริการ ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อรับการรักษาพยาบาล และระยะเวลาการให้บริการ โดยรวมแล้วประชาชนมีความพึ่งพอใจต่อนโยบายฯ ในภาพรวมอยู่ที่ร้อยละ 98.77 สะท้อนให้เห็นว่า เป็นนโยบายที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง และได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างมาก และข้อมูลนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อการเดินหน้านโยบายฯ ในระยะต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

โครงการผ้าอ้อมผู้ใหญ่ครอบคุลมคนไทยทุกสิทธิแล้ว

 

วันนี้ 13  สิงหาคม  2566  น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้บรรจุให้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับเป็นสิทธิประโยชน์บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. 2565 โดยได้ดำเนินการภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) ที่ สปสช.ร่วมดำเนินการกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดด้านกฎหมาย ทำให้ที่ผ่านมาโครงการได้ดำเนินการเฉพาะกลุ่มผู้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. ได้มีความพยายามแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าว เพื่อให้โครงการนี้ครอบคลุมผู้ป่วยติดเตียงและผู้มีปัญหาการกลั้นขับถ่ายทุกสิทธิ กระทั่งได้มีมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 66 ที่ยืนยันว่า สปสช. สามารถดำเนินบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้กับคนไทยทุกคน จึงมีผลให้ปัจจุบันโครงการผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิแล้ว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ทางด้านหลักเกณฑ์ต่างๆ ก็ได้มีออกมารองรับเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2566

ทั้งนี้ ภายหลังมีความชัดเจนทางกฎหมาย จะทำให้เจ้าหน้าที่ของ อปท. ซึ่งดำเนินการกองทุน กปท. เกิดความมั่นใจว่าการจัดทำโครงการผ้าอ้อมและแผ่นรองซับสามารถให้การดูแลให้ผู้ป่วยทุกสิทธิไม่เฉพาะผู้มีสิทธิบัตรทองเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ สปสช. อยู่ระหว่างการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ อปท. ทั่วประเทศที่มีการจัดตั้งกองทุน กปท. ที่ปัจจุบันมีอยู่ 7,753 แห่ง ร่วมจัดทำโครงการนี้เพื่อให้ดูแลผู้ป่วยได้ครอบคลุมมากขึ้น จากปัจจุบันที่มี อปท. จัดทำโครงการแล้ว 1,876 แห่ง รวม 2,295 โครงการ ดูแลผู้ป่วยทั่วประเทศอยู่ 44,667 คน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า  สำหรับคุณสมบัติผู้ที่จะได้สิทธิตามโครงการนั้นจะต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง หรือ ผู้มีปัญหากลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ ไม่จำกัดอายุ โดยจะได้รับไม่เกิน 3 ชิ้นต่อคนต่อวัน  ซึ่งปัจจุบัน สปสช. มีฐานข้อมูลผู้ป่วยติดเตียงและผู้มีปัญหาการกลั้นการขับถ่ายอยู่ประมาณ 50,000 คน ซึ่งในบางพื้นที่จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อไปยังครอบครัวและว่าผู้ป่วยได้รับสิทธิผ้าอ้อมผู้ใหญ่

แต่หากครอบครัวใดมีผู้ป่วยอยู่และยังไม่มีเจ้าหน้าที่ติดต่อไป ขอให้ดำเนินการแจ้งขอรับสิทธิโดยการโทรสายด่วน สปสช. 1330 เพื่อเจ้าหน้าที่รับเรื่องและส่งให้พื้นที่ดำเนินการตามขั้นตอน หรือติดต่อลงทะเบียนได้ ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หรือศูนย์บริการสารธารณสุขใกล้บ้าน (ไม่จำเป็นต้องเป็นที่อยู่ตามบัตรประชาชน) หรือที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือเทศบาล

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS NEWS UPDATE

ย้ำ ผู้มีสิทธิบัตรทอง (บัตร 30 บาท) สามารถเปลี่ยนสถานพยาบาล ได้ 4 ครั้งต่อปี

ย้ำ ผู้มีสิทธิบัตรทอง (บัตร 30 บาท) สามารถเปลี่ยนสถานพยาบาล ได้ 4 ครั้งต่อปี

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพประชาชนและการเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง ได้เพิ่มคุณภาพและบริการให้ผู้ถือบัตรทอง (บัตร 30 บาท) สามารถเข้ารับการรักษาได้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้  เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการรักษาพยาบาล สามารถเปลี่ยนสิทธิรักษามีผลทันทีไม่ต้องรอ 15 วัน ผ่านแอปพลิเคชันของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. โดยเปลี่ยนได้ได้ง่าย ๆ 3 ช่องทางดังนี้
 
1 Application สปสช. เพียงดาวน์โหลดแอป สปสช. ดาวน์โหลดฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย ได้ทั้งระบบ Android และ iOS ระบบ Android https://play.google.com/store/apps/developer ระบบ OShttps://apps.apple.com/us/app/สปสช/id1111681040
2 Line Official Account สปสช.” add เป็นเพื่อน… เพียงสแกน QR Code หรือพิมพ์ค้นหาใช้ช่อง ID ว่า @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6
3 ติดต่อด้วยตนเอง ดังนี้  กรณีต่างจังหวัด ได้แก่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต) สถานีอนามัย ศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง โรงพยาบาลของรัฐ ในส่วนของกรุงเทพมหานคร ได้แก่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ชั้น 2 อาคารบี (ทิศตะวันตก) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ในวันเวลาราชการ หรือ โทรสายด่วน 1330
 
สำหรับเอกสารที่ต้องใช้ดังนี้ – บัตรประจำตัวประชาชน – เด็กเล็กใช้สูติบัตร (ใบเกิด) คู่กับบัตรประจำตัวประชาชนผู้ปกครอง  เลือกสถานพยาบาล (หน่วยบริการ) หากไม่ตรงตามที่อยู่บัตรประชาชน ให้แสดงหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้ 1 หนังสือรับรองของเจ้าบ้าน 2 หนังสือรับรองของผู้นำชุมชน 3 หนังสือรับรองผู้ว่าจ้างหรือนายจ้าง 4 เอกสารหรือหลักฐานที่มีชื่อของผู้ประสงค์ลงทะเบียน เช่น ใบเสร็จค่าน้ำค่าไฟ ค่าเช่าที่พัก สัญญาเช่าที่พัก ฯลฯ
 
“ผู้มีสิทธิบัตรทอง (บัตร 30 บาท) หากย้ายที่พักอาศัย สามารถเปลี่ยนสถานพยาบาล (หน่วยบริการ) ประจำตัวได้ 4 ครั้งต่อปี ใช้สิทธิรักษาได้ทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รัฐบาลพร้อมดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม มุ่งมั่นยกระดับเพิ่มสิทธิการดูแลด้านสาธารณสุขไทยให้ครอบคลุมอย่างมีคุณภาพ” นางสาวรัชดา กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE