Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ ชูชีพ-นายก นก นำทัพ! เชียงรายระดมพลัง “ฮัก หาดใหญ่” 4 ตัน ถึงมือควนลัง ผ่านโลจิสติกส์ไม่เพิ่มภาระ

เชียงรายระดมพลัง “ฮัก หาดใหญ่” ส่งกองหนุน 4 ตันช่วยอุทกภัยสงขลา เดินเกม “ถึงมือ ไม่เพิ่มภาระ” ผ่านโลจิสติกส์–เชื่อต่อท้องถิ่นผู้ประสบภัย

เชียงราย, 2 ธันวาคม 2568 – บรรยากาศโถงชั้นหนึ่ง อบจ.เชียงราย จุดเริ่มต้นของธารน้ำใจจากเหนือสุดแดนสยาม  สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย แน่นขนัดไปด้วยผู้แทนจากภาครัฐ เอกชน สื่อมวลชน และภาคประชาชนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในภารกิจสำคัญ “เหนือช่วยใต้” ภายใต้ชื่อโครงการ ฮัก หาดใหญ่” ควบคู่กับความร่วมมือ ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล”

ข้างหน้าคือเวทีเรียบง่ายแต่เปี่ยมความหมาย ด้านหลังคือกองสิ่งของบรรเทาทุกข์ที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะถูกขนขึ้นรถบรรทุกหกล้อของไปรษณีย์ไทย จังหวัดเชียงราย น้ำหนักรวมกว่า 4 ตัน เพื่อเดินทางไกลจากดินแดนเหนือสุดของประเทศลงสู่ เทศบาลเมืองควนลัง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในภาคใต้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568

นี่ไม่ใช่เพียงภาพของ “การบริจาค” แต่คือภาพของ การออกแบบความช่วยเหลือ ที่คิดครบทั้ง “ต้นทาง–ปลายทาง” อย่างรอบด้าน

คำกล่าว “นายก นก” เปิดภารกิจเหนือช่วยใต้ 293 ชีวิตในศูนย์ฯ – 50,000 คนในเมืองขยายที่ต้องไม่ถูกลืม

นายก นก – อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวในพิธีเปิดการส่งมอบสิ่งของว่า ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นมา อบจ.เชียงรายได้เปิดจุดรับบริจาค ณ โถงชั้นหนึ่งของสำนักงานฯ เพื่อระดมสิ่งของจากประชาชนและภาคีเครือข่ายในจังหวัด

“จากวันที่ 24 พฤศจิกายนเป็นต้นมา จังหวัดเชียงรายและองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้จับมือไปรษณีย์ไทย จังหวัดเชียงราย และภาคีเครือข่ายในจังหวัด เดินหน้าภารกิจเหนือช่วยใต้ วันนี้เราพร้อมจัดส่ง ‘ธารน้ำใจล็อตแรก’ น้ำหนักรวม 4 ตัน ด้วยรถบรรทุกหกล้อของไปรษณีย์ไทย จากข้อมูลสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ ได้ประสานงานกับสำนักข่าวสงขลาโฟกัส เครื่อข่ายท้องถิ่น จะนำไปยังเทศบาลเมืองควนลัง ซึ่งเป็นศูนย์อพยพให้ที่พักพิงแก่ผู้ประสบภัยจำนวน 293 คน และเป็นจุดช่วยเหลือประชาชนเกือบ 50,000 คนในพื้นที่เมืองขยายที่ต้องรับมือกับภัยพิบัติในทุกมิติ”

นายก อบจ.เชียงราย ยังอธิบายโครงสร้างและความท้าทายในพื้นที่ปลายทางอย่างชัดเจน โดยแบ่งออกเป็น 3 มิติสำคัญที่กลายเป็น “เหตุผลหลัก” ว่าทำไมต้องให้ความสำคัญกับเทศบาลเมืองควนลังเป็นพิเศษ

มิติที่ 1 การดูแลผู้อพยพในศูนย์ฯ

ศูนย์อพยพ ณ อาคารเทศบาลเมืองควนลัง ชั้น 5 มีผู้อพยพรวม 293 คน ซึ่งทั้งหมดได้รับการดูแลภายใต้มาตรฐานด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางจำนวน 25 คน ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

นายก อบจ.เชียงรายกล่าวว่า

“ในศูนย์อพยพ กลุ่มเสี่ยงพิเศษ 25 คน ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ เด็ก หรือผู้ป่วย ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่เราต้องคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้ประสบภัยทุกคน ศูนย์มีโรงครัวที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการอาหารร้อนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ให้อิ่ม แต่ให้เขารู้สึกว่ามีคนดูแลอยู่ใกล้ ๆ”

มิติที่ 2 ความท้าทายเชิงพื้นที่ของ ‘เมืองขยาย’

แม้ตัวเลข 293 คนในศูนย์ฯ จะเป็นภาพที่จับต้องได้ แต่เมื่อมองทั้งพื้นที่ จะพบว่าประชากรในเขตเทศบาลเมืองควนลังมีเกือบ 50,000 คน และนี่คือ “ความจริงอีกด้าน” ที่ทำให้ภารกิจการจัดการภัยพิบัติใหญ่กว่าที่เห็น

“ตัวเลข 293 คนในศูนย์ฯ เป็นเพียงส่วนน้อยของผู้เดือดร้อนจริง เมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมดเกือบ 50,000 คนในเทศบาลเมืองควนลัง ซึ่งเป็นเขตเมืองขยาย มีอัตราการเติบโตของประชากรสูงกว่า 20% ใน 10 ปี ความเสี่ยงและความเสียหายจากน้ำท่วมจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ภารกิจของเราจึงไม่ใช่แค่ดูแลคนในศูนย์ฯ แต่ต้องคิดถึงการเยียวยาและฟื้นฟูทั้งเมือง”

มิติที่ 3 การจัดการและการสื่อสารในฐานะศูนย์บัญชาการ

อาคารเทศบาลเมืองควนลังไม่ได้เป็นเพียงที่พักพิงชั่วคราว แต่ทำหน้าที่เป็น ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ ที่ประเมินความเสียหาย วางแผนเยียวยา และจัดการการสื่อสารกับประชาชน

“ศูนย์กลางที่เทศบาลไม่ใช่แค่สถานที่รองรับผู้อพยพ แต่เป็นจุดศูนย์กลางในการประเมินความเสียหายและเตรียมแผนการเยียวยาและฟื้นฟูสำหรับประชากรเกือบ 50,000 คน ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ที่อพยพมาอยู่ในศูนย์ฯ เท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราต้องโฟกัสไปที่ควนลังอย่างจริงจัง”

ในช่วงท้ายของคำกล่าว นายก อบจ.เชียงรายได้เชิญชวนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายขึ้นรับมอบสิ่งของบริจาคและกล่าวขอบคุณภาคีเครือข่าย ถือเป็นการเชื่อมต่อ “ระดับนโยบายจังหวัด” เข้ากับ “การปฏิบัติการจริง” ในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

ผู้ว่าฯ ชูชีพ จากบทเรียนเชียงรายสู่การยืนเคียงข้างภาคใต้

เมื่อถึงเวลาอันสมควร พิธีกรได้เรียนเชิญ นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ขึ้นกล่าวในนามตัวแทนชาวเชียงราย เพื่อมอบกำลังใจไปยังผู้ประสบภัยในภาคใต้

แม้จะเริ่มต้นด้วยการขอให้ผู้ร่วมงานขยับเข้าร่มเพื่อลดความร้อนจากแดดกลางลาน แต่บรรยากาศไม่เป็นทางการเล็กน้อยนี้กลับทำให้เห็น “ความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ” ที่สะท้อนบุคลิกของผู้ว่าฯ ซึ่งต้องการให้ทุกคนที่มาร่วมงานรู้สึกสบายพอจะยืนร่วมกันจนจบพิธี

จากนั้น ผู้ว่าฯ ชูชีพได้กล่าวชื่นชมบทบาทของ อบจ.เชียงราย และภาคีเครือข่ายที่ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการ “ฮัก หาดใหญ่” และ “ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล” โดยเน้นย้ำว่า การโฟกัสไปยังเทศบาลเมืองควนลัง คือการทำงานแบบ “เจาะจุด” ที่สอดคล้องกับแนวคิดการจัดการภัยพิบัติยุคใหม่

เขายังอ้างอิงข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ว่า ในรอบวิกฤตครั้งนี้ มีประชาชนใน 9 จังหวัดภาคใต้ ได้รับผลกระทบรวมกันเกือบ 3 ล้านคน หลายแสนครัวเรือนต้องเผชิญกับน้ำท่วมและการฟื้นตัวที่ต้องใช้เวลา อีกทั้งจุดสำคัญอย่างเทศบาลนครหาดใหญ่ก็ต้องรับมือกับปริมาณน้ำฝนมากกว่า 600 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่า “หนักที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายสิบปี”

“เมื่อเช้า ผมได้ฟังสรุปจาก ปภ. เราเห็นชัดว่ามี 9 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ หลายแสนครัวเรือน เกือบ 3 ล้านคนที่ต้องเผชิญกับผลจากอุทกภัย โดยเฉพาะเทศบาลนครหาดใหญ่ที่เผชิญปริมาณน้ำฝนระดับที่เรียกได้ว่าหนักที่สุดในรอบหลายปี การที่เชียงรายเลือกโฟกัสไปยังควนลัง ซึ่งเป็นพื้นที่เมืองขยายที่ต้องดูแลทั้ง 293 คนในศูนย์ฯ และเกือบ 50,000 คนทั้งเมือง จึงถือเป็นการทำงานที่เข้าตรงเป้าหมาย”

ผู้ว่าฯ ยังเชื่อมโยงไปถึงประสบการณ์ของเชียงรายในฐานะจังหวัดที่เคยประสบภัยพิบัติมาแล้วหลายครั้ง ทั้งเหตุแผ่นดินไหวและน้ำท่วม พร้อมย้ำว่า เมื่อครั้งเชียงรายลำบาก ก็มีคนไทยจากทั่วประเทศส่งแรงใจและสิ่งของมาช่วยเหลือ วันนี้จึงเป็น “เวลาของเชียงราย” ที่จะตอบแทนสังคม

“เราเคยได้รับน้ำใจจากคนทั้งประเทศ ตอนเชียงรายประสบภัย วันนี้เรากำลังคืนกลับไปในฐานะพี่น้องชาติเดียวกัน สิ่งที่ อบจ.เชียงราย ไปรษณีย์ไทย ภาคเอกชน สื่อมวลชน และสถาบันการศึกษาทำร่วมกัน ไม่ใช่แค่การส่งของ แต่เป็นการส่งต่อความผูกพัน ความเป็นมิตรภาพระหว่างเหนือสุดแดนสยามและปลายด้ามขวาน”

เขายังกล่าวถึงการระดมสรรพกำลังอื่น ๆ ของจังหวัด ทั้งกำลังคนจากอาสาสมัคร เครื่องจักรกลหนัก และการสนับสนุนผ่านช่องทางของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย เพื่อช่วยเสริมภารกิจในพื้นที่ภาคใต้ควบคู่กันไป

ท้ายที่สุด ผู้ว่าฯ ได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ ซีพี ออลล์ เซ็นทรัลเชียงราย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเชียงราย ไปรษณีย์ไทย และสื่อมวลชน ที่ร่วมกันทำให้ “น้ำใจจากเชียงราย” เดินทางออกจากโถงชั้นหนึ่งของ อบจ. ไปสู่มือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ในภาคใต้

อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัด

ฮัก หาดใหญ่–ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล” พันธมิตร 6 หน่วย + 1 มหาวิทยาลัย ขับเคลื่อนภารกิจ

ภายใต้ภารกิจครั้งนี้ มีอย่างน้อย 6 หน่วยงานหลักในจังหวัดเชียงราย และ 1 สถาบันการศึกษา ทำหน้าที่เป็นแกนกลางความร่วมมือ ได้แก่

  1. จังหวัดเชียงราย และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
    • แกนกลางด้านนโยบาย การประสานงาน และการรวบรวมสิ่งของบริจาค
    • นำโดย นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ นายก นก – อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร อบจ.
  2. ไปรษณีย์ไทย จังหวัดเชียงราย
    • ทำหน้าที่เป็น “ขนส่งธารน้ำใจ” ด้วยระบบโลจิสติกส์ทางบก
    • มี นายวุฒิพงษ์ เดชมนต์ ไปรษณีย์จังหวัดเชียงราย เป็นแกนนำด้านการขนส่ง
  3. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยพิสันต์ จันทร์ศิลป์
    • สนับสนุนการสื่อสารและเชื่อมโยงกับชุมชน วัด กลุ่มวัฒนธรรม และเครือข่ายภาคประชาชน
    • มีบุคลากรด้านวัฒนธรรมและชุมชนเป็นผู้ประสานงานหลัก
  4. สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และสำนักข่าวสงขลาโฟกัส
    • ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมข้อมูลระหว่าง “ผู้ให้” ในเชียงราย และ “ผู้รับ” ในสงขลา
    • สงขลาโฟกัสทำหน้าที่รับมอบและกระจายความช่วยเหลือร่วมกับเทศบาลเมืองควนลัง
  5. บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
    • สนับสนุนพื้นที่และทรัพยากรในเครือข่ายธุรกิจค้าปลีก 7-Eleven ในการเป็นจุดประชาสัมพันธ์และส่งต่อข้อมูล
    • นำโดยทีมผู้บริหารในพื้นที่ เช่น คุณสงกรานต์ จำปาคำ และคณะ
  6. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
    • ภายใต้การบริหารของ คุณสายัณห์ นักบุญ General Manager ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
    • ทำหน้าที่เป็นจุดรับบริจาคสำคัญในเขตเมือง ภายใต้โครงการ “ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล”
  7. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย (มทร.ล้านนาเชียงราย)
    • ทำหน้าที่เป็นจุดรับบริจาคหลักในเครือข่ายสถาบันการศึกษา
    • เปิดโอกาสให้เยาวชน นักศึกษา และบุคลากร ได้เข้ามามีส่วนร่วมในภารกิจบรรเทาทุกข์ระดับชาติ

เมื่อพิจารณาภาพรวม ความร่วมมือครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียง “งานของรัฐ” แต่เป็น การบูรณาการภาครัฐ–เอกชน–สถาบันการศึกษา–สื่อ–ประชาชน ที่รวมกันเป็นพลังเดียวกันเพื่อช่วยเหลือภาคใต้

ฮัก” ที่มากกว่าความรัก อ้อมกอดจากภาคเหนือในวันที่ภาคใต้ลำบาก

ชื่อโครงการ ฮัก หาดใหญ่” ได้รับการออกแบบอย่างมีความหมาย คำว่า “ฮัก” ในภาษาเหนือหมายถึง “รัก” แต่ในเชิงสัญลักษณ์ยังเชื่อมโยงกับคำว่า “Hug” ในภาษาอังกฤษที่หมายถึง “การกอด”

ความช่วยเหลือที่ถูกส่งลงไปภาคใต้จึงไม่ใช่เพียง “สิ่งของ” แต่ถูกออกแบบให้เป็น “อ้อมกอดทางใจ” จากชาวเชียงรายที่ต้องการบอกพี่น้องหาดใหญ่และสงขลาว่า “คุณไม่ได้อยู่ลำพัง”

การใช้ภาษาถิ่นผสมกับความหมายสากลในชื่อโครงการ ช่วยสร้างมิติทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง ทำให้ผู้รับรู้สึกว่า สิ่งของแต่ละชิ้นบรรจุด้วยความห่วงใย ไม่ใช่เพียงการทำตามหน้าที่เชิงพิธีการของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

ยุทธศาสตร์ “ถึงมือ ไม่เพิ่มภาระ” โลจิสติกส์มนุษยธรรมที่คิดจากปลายทาง

สิ่งที่ทำให้โครงการนี้โดดเด่น คือแนวคิดด้านการจัดการโลจิสติกส์ที่มุ่งเน้น “คุณภาพของกระบวนการ” ไม่ใช่แค่ “ปริมาณของสิ่งของ”

ในภาวะวิกฤต หน่วยงานราชการในพื้นที่ประสบภัยต้องทำงานหนักในการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน ซ่อมแซมถนน ระบบสาธารณูปโภค และดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง หากยังต้องแบกรับภาระงานด้านการรับมอบ คัดแยก และจัดกระจายสิ่งของจากพื้นที่อื่นอีก ก็ยิ่งเพิ่ม “ต้นทุนทางธุรการ” จนอาจกระทบต่อภารกิจหลัก

โครงการ “ฮัก หาดใหญ่” จึงเลือกใช้ยุทธศาสตร์ ถึงมือ ไม่เพิ่มภาระ” คือ

  • ใช้ไปรษณีย์ไทยเป็นกลไกหลักด้านขนส่ง ด้วยระบบที่ติดตามได้
  • ประสานงานให้สิ่งของไปถึง “มือของสื่อท้องถิ่นและเทศบาลในพื้นที่” อย่างสงขลาโฟกัสและเทศบาลเมืองควนลัง ที่มีเครือข่ายในชุมชน และสามารถประเมินได้ว่าพื้นที่ใดต้องการอะไร

แนวทางนี้ช่วยให้ความช่วยเหลือถูกนำไปใช้ได้เร็ว ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน ลดการคัดแยกซ้ำ และลดภาระงานเอกสารของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่กำลังทำงานแข่งกับเวลา

ในเชิงนโยบาย นี่คือรูปธรรมของ การลดภาระทางธุรการ (Administrative Burden Reduction)” ในบริบทของการจัดการภัยพิบัติสมัยใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและผลกระทบจริงต่อผู้รับ มากกว่าการเน้นพิธีการและภาพลักษณ์เพียงอย่างเดียว

กองหนุน” ที่ส่งในเวลาที่ใช่ เมื่อการช่วยเหลือไม่จบแค่ตอนน้ำท่วมสูงสุด

จุดยืนสำคัญของโครงการนี้ คือการนิยามความช่วยเหลือจากเชียงรายว่าเป็น กองหนุน” ไม่ใช่ “กองหลัก”

ความหมายของคำว่า “กองหนุน” ในที่นี้ คือการยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า สิ่งของที่ส่งไปอาจไม่มากพอจะทำให้ผู้ประสบภัย “ตั้งตัวได้ทันที” แต่มีความสำคัญในฐานะ “แรงเสริม” ที่ถูกส่งไปใน ช่วงเวลาที่เหมาะสม

ในขณะที่ช่วงแรกของภัยพิบัติมักมีความช่วยเหลือหลั่งไหลเข้าไปจำนวนมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจจากสาธารณะเริ่มลดลง ขณะที่ผู้ประสบภัยยังคงต้องฟื้นฟูชีวิตและสภาพแวดล้อมต่อไปอีกยาวนาน การส่ง “กองหนุน” ในช่วงหลังจึงเป็นสัญญาณว่า “เรายังไม่ลืม”

คำพูดอย่างเรียบง่ายว่า เราเข้าใจความยากลำบาก เราเจอมาก่อน” จากตัวแทนผู้ประสานงานโครงการ และจากสื่อท้องถิ่นในสงขลา จึงไม่ได้เป็นแค่ถ้อยคำปลอบใจ แต่เป็นการยืนยันว่า ความช่วยเหลือนี้ตั้งอยู่บนฐานของ “ประสบการณ์จริง” ที่เชียงรายเคยเผชิญมาแล้ว

บทเรียนและข้อคิด จาก “ฮัก หาดใหญ่” สู่การออกแบบการช่วยเหลือในอนาคต

จากกรณีศึกษาของโครงการ “ฮัก หาดใหญ่” สามารถสรุปบทเรียนสำคัญที่มีคุณค่าต่อการออกแบบระบบช่วยเหลือในภัยพิบัติได้หลายข้อ อาทิ

  1. คิดถึงต้นทุนทางธุรการของพื้นที่ปลายทาง
    • ความช่วยเหลือที่ดีต้องไม่ทำให้พื้นที่ที่กำลังลำบากต้องรับภาระเพิ่มขึ้นจากงานเอกสารหรือการจัดการสิ่งของที่ซับซ้อนเกินไป
  2. เลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการส่งกองหนุน
    • ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องรีบส่งทันทีในวันแรกของภัยพิบัติ บางครั้งการส่งในช่วง “ฟื้นฟู” อาจตอบโจทย์ความต้องการมากกว่า
  3. ใช้เครือข่ายท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์
    • สื่อท้องถิ่น เทศบาล องค์กรชุมชน และเครือข่ายภาคประชาชน มักรู้ดีที่สุดว่าชุมชนต้องการอะไร และควรส่งไปที่ไหนก่อน
  4. สร้างพันธมิตรข้ามภาคส่วนอย่างจริงจัง
    • การบูรณาการภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และสื่อ ทำให้ระบบช่วยเหลือมีประสิทธิภาพ ทนทาน และต่อเนื่องกว่าการทำงานแบบโดดเดี่ยว
  5. ให้ความสำคัญกับภาษาความรู้สึก ไม่ใช่แค่ภาษาทางการ
    • ชื่อโครงการ การสื่อสาร และถ้อยคำที่ใช้ ล้วนมีผลต่อการสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงระหว่างผู้ให้และผู้รับ

ในยุคที่ภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนมีแนวโน้มเกิดถี่และรุนแรงขึ้น การเรียนรู้จากกรณีความร่วมมือระหว่างเชียงรายและสงขลาในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของ “ข่าวหนึ่งวัน” หากแต่เป็นกรอบคิดที่สามารถนำไปต่อยอดสู่การจัดการภัยพิบัติในระดับพื้นที่และระดับประเทศได้ในอนาคต

โครงการ “ฮัก หาดใหญ่” เป็นตัวอย่างของการช่วยเหลือในภัยพิบัติที่ออกแบบมาอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงทั้งความต้องการของผู้รับและข้อจำกัดของผู้ให้ การใช้แนวทาง “กองหนุน” ที่ส่งไปในเวลาที่เหมาะสม การเลือกช่องทางการส่งมอบที่ “ถึงมือ ไม่เพิ่มภาระ” และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรข้ามภาคส่วน ล้วนสะท้อนถึงความเข้าใจในการบริหารจัดการภัยพิบัติที่ลึกซึ้ง

การที่จังหวัดเชียงรายซึ่งเคยประสบภัยพิบัติมาแล้วหลายครั้ง เลือกที่จะส่งต่อทั้งความช่วยเหลือและบทเรียนไปยังพี่น้องภาคใต้ที่กำลังเผชิญวิกฤต นั้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็น “พี่น้อง” ที่แท้จริง ที่ไม่เพียงแต่ส่งของ แต่ส่ง “ใจ” และ “ความเข้าใจ” ไปด้วย

โครงการนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการช่วยเหลือในภัยพิบัติ แต่เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการสร้างสังคมที่เข้มแข็ง มีความเอื้ออาทร และพร้อมยืนเคียงข้างกันในยามที่ใครสักคนต้องเผชิญความลำบาก

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • ภาพโดย : กีรติ ชุติชัย
  • จังหวัดเชียงราย และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด – ไปรษณีย์ไทย จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และสำนักข่าวสงขลาโฟกัส
  • บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และเครือข่ายร้าน 7-Eleven ในจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ภายใต้โครงการ “ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล”
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย (มทร.ล้านนาเชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

เหนือจรดใต้ ศาสนาพหุวัฒนธรรมเชียงรายผนึกกำลังส่งน้ำใจช่วยน้ำท่วมสงขลา

เชียงรายส่งน้ำใจ “เหนือจรดใต้” ศาสนาพหุวัฒนธรรมรวมพลังช่วยน้ำท่วมสงขลา เมื่อพี่น้องภาคใต้ต้องเผชิญวิกฤตน้ำท่วมหนัก ชาวเชียงรายจากทุกศาสนาไม่นิ่งนอนใจ ผนึกกำลังส่งมอบความหวังผ่านโครงการ “ฮัก” หาดใหญ่! พิสูจน์ว่าความเป็นไทยไม่แบ่งแยกศาสนา ไม่จำกัดภูมิภาค

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ที่สำนักงานนครเชียงรายนิวส์ อำเภอเมืองเชียงราย ภาพที่ปรากฏไม่ใช่แค่การส่งมอบกล่องสิ่งของธรรมดา แต่เป็นภาพสะท้อนความสามัคคีที่ทรงพลังของสังคมพหุวัฒนธรรม ขณะที่ผู้แทนจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาซิกข์ และสมาคมชาวไทย-อินเดีย ในจังหวัดเชียงราย ร่วมกันนำสิ่งของจำเป็น น้ำดื่ม และอาหารแห้ง มาร่วมสมทบในโครงการ “ฮัก” หาดใหญ่! เพื่อส่งต่อกำลังใจไปยังพี่น้องผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดสงขลาและพื้นที่ใกล้เคียงที่กำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

วิกฤตน้ำท่วมใต้ – ภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบต่อเนื่อง

สถานการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมในจังหวัดสงขลาและพื้นที่ใกล้เคียงในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ศาสนสถาน และผู้นำศาสนาทุกศาสนาอย่างหนัก ผู้คนจำนวนมากต้องอพยพหนีน้ำ บ้านเรือนเสียหาย ทรัพย์สินถูกทำลาย และที่สำคัญคือความเดือดร้อนในการดำรงชีวิตประจำวันที่ขาดแคลนสิ่งของจำเป็นขั้นพื้นฐาน

ในขณะที่ภาคใต้กำลังเผชิญวิกฤต เสียงตอบรับจากทั่วประเทศก็ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากจังหวัดเชียงราย ดินแดนล้านนาทางภาคเหนือที่ห่างไกลกว่า 2,000 กิโลเมตร แต่กลับใกล้ชิดด้วยน้ำใจและความเป็นพี่น้องคนไทยเดียวกัน

ฮัก” หาดใหญ่ – โครงการที่เกิดจากหัวใจ

โครงการ “ฮัก” หาดใหญ่! และ “ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล” ชาวเชียงรายรวมพลัง ส่งน้ำใจช่วยน้ำท่วมสงขลา เป็นโครงการที่เกิดจากการผนึกกำลังขององค์กรสำคัญหลายภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือการรับบริจาคข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยารักษาโรค และของใช้จำเป็นต่างๆ เพื่อส่งต่อให้ผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย

การดำเนินงานของโครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากองค์กรและหน่วยงานสำคัญทั้งภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย 6 องค์กรหลัก ได้แก่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์, CPALL บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน), ไปรษณีย์จังหวัดเชียงราย, และศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย

โดยศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงรายได้เปิดจุดรับบริจาค “ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล” เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนทั่วไปสามารถร่วมบริจาคสิ่งของได้อย่างสะดวก ขณะที่สำนักงานนครเชียงรายนิวส์ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางรับบริจาคหลัก ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากหลายภาคส่วนในจังหวัดเชียงรายตั้งแต่เริ่มโครงการ

เมื่อศาสนาพหุนำพาความหวัง

สิ่งที่น่าประทับใจอย่างยิ่งในครั้งนี้คือการเข้าร่วมของกลุ่มศาสนาที่หลากหลาย โดยเฉพาะผู้แทนจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาซิกข์ และสมาคมชาวไทย-อินเดีย ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้นำสิ่งของมาร่วมสมทบในโครงการดังกล่าว การมีส่วนร่วมของกลุ่มศาสนาเหล่านี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมของสังคมไทย แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าสากลของทุกศาสนาที่ส่งเสริมความเมตตาและการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

นายสุเรชเจริญ อุปรา หนึ่งในคณะกรรมการของสมาคมชาวไทย-อินเดีย จังหวัดเชียงราย และผู้แทนศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาซิกข์ในจังหวัดเชียงราย ได้ให้สัมภาษณ์อย่างประทับใจถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้

“สมาคมชาวไทย-อินเดีย จังหวัดเชียงราย ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์ เป็นองค์กรทางศาสนาที่อยู่ร่วมกับชุมชนในท้องถิ่น เรารู้สึกสงสารและเห็นใจพี่น้องชาวใต้ พี่น้องชาวหาดใหญ่เป็นอย่างมาก” นายสุเรชเจริญ อุปรา กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ

บทเรียนจากอดีต – เมื่อเชียงรายเคยเป็นผู้รับความช่วยเหลือ

สิ่งที่น่าสนใจและสะท้อนถึงหลักการ “กรรมดี” ของสังคมไทยคือการที่นายสุเรชเจริญ อุปราได้ย้อนระลึกถึงช่วงเวลาที่จังหวัดเชียงรายเองก็เคยประสบภัยพิบัติในอดีต และได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องชาวใต้และภาคอื่นๆ ของประเทศอย่างเอื้ออาทร

“ในคราวที่เชียงรายเกิดภัยพิบัติ ทางภาคใต้ หลายจังหวัด รวมทั้งภาคอีสาน และกรุงเทพมหานคร ก็ได้ให้ความช่วยเหลือกับทางจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะพี่น้องเราที่อยู่ในแม่สาย ซึ่งมีชาวอินเดียอยู่ ก็ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก และได้รับการช่วยเหลือจากพี่น้องทั่วแผ่นดิน” นายสุเรชเจริญ อุปราเล่าถึงความทรงจำที่ฝังใจ

การระลึกถึงความดีที่เคยได้รับนี้เองที่กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ชุมชนชาวไทย-อินเดียและกลุ่มศาสนาในเชียงรายตัดสินใจร่วมมือกันส่งความช่วยเหลือกลับไปยังภาคใต้ในครั้งนี้ มันคือการตอบแทนคุณและการส่งต่อน้ำใจที่สวยงาม แสดงให้เห็นว่าความช่วยเหลือที่เราให้ไปจะกลับมาหาเราในรูปแบบของวัฏจักรแห่งความดีที่ไม่มีวันสิ้นสุด

น้ำใจที่ไร้พรมแดน – ข้ามภูมิภาค ข้ามศาสนา

นายสุเรชเจริญ อุปราได้กล่าวต่อด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมว่า “เมื่อประชาชนหรือพวกเราทุกคนเกิดเหตุภัยพิบัติ วันนี้เราก็อยากจะมีส่วนร่วมอย่างน้อยๆ เป็นกำลังใจให้กับพี่น้องชาวใต้ให้รู้สึกดีขึ้น ให้ไม่ต้องวิตกกังวลจนเกินไป ผมเชื่อว่าคนทั่วแผ่นดินยินดีที่จะเข้าร่วม และเราก็ขอเป็นส่วนหนึ่งในนั้น”

คำพูดของนายสุเรชเจริญ อุปราสะท้อนให้เห็นถึงจิตสำนึกที่ดีงามของการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มใด ศาสนาใด หรือภูมิภาคใด เมื่อเห็นเพื่อนมนุษย์ตกทุกข์ได้ยาก ก็พร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือด้วยความจริงใจ

ในช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์ นายสุเรชเจริญ อุปราได้แสดงความปรารถนาดีด้วยความศักดิ์สิทธิ์และความเคารพต่อศาสนาทุกศาสนา โดยกล่าวว่า “ขอพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้า เทพยดาทุกพระองค์ในศาสนา และคุรุในศาสนา โปรดพรหมบันดาลให้ภัยพิบัติในครั้งนี้ได้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย ให้พี่น้องชาวใต้ พี่น้องชาวหาดใหญ่ กลับมาฟื้นคืนชีพ และกลับมาใช้ชีวิตโดยปกติสุขโดยเร็ว”

เขายังขอให้พระองค์ทุกศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ สถาบันศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ และศาสนาซิกข์ โปรดประทานพรให้พี่น้องชาวใต้และประชาชนทั้งหมดผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วยดี การอธิษฐานข้ามศาสนาเช่นนี้สะท้อนถึงความเชื่อที่ว่าทุกศาสนามีแก่นแท้เดียวกันคือความรัก ความเมตตา และความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์

การยอมรับจากภาครัฐ – ความสามัคคีที่เป็นรูปธรรม

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้เข้าร่วมการส่งมอบสิ่งของในครั้งนี้ และได้กล่าวขอบคุณผู้แทนศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาซิกข์ และสมาคมชาวไทย-อินเดีย ในจังหวัดเชียงราย ที่เล็งเห็นความสำคัญในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องคนไทยในทุกศาสนา

นายพิสันต์ได้เน้นย้ำว่า การให้ความช่วยเหลือพี่น้องคนไทยในทุกศาสนาถือเป็นการแสดงออกถึงความสามัคคีและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติอย่างแท้จริง การที่หน่วยงานภาครัฐอย่างสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายให้การสนับสนุนและยกย่องการกระทำของกลุ่มศาสนาเหล่านี้ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างศาสนาและการสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในการช่วยเหลือสังคม

ภาคใต้ไม่ได้อยู่ลำพัง – ศูนย์รับบริจาคเชื่อมโยงทั่วประเทศ

ขณะที่ความช่วยเหลือหลั่งไหลมาจากภาคเหนือ ภาคใต้เองก็ได้จัดระบบรองรับอย่างเป็นระบบ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสงขลา ได้ร่วมมือกับคณะสงฆ์จังหวัดสงขลา และองค์การศาสนา 5 ศาสนา เปิดศูนย์รับบริจาคช่วยผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ เพื่อจัดส่งสิ่งของจำเป็นลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างทันท่วงที

การประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรศาสนา และภาคเอกชนทั้งในพื้นที่ภัยพิบัติและพื้นที่ที่ส่งความช่วยเหลือ แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของระบบการจัดการภัยพิบัติของไทย และที่สำคัญคือความสามัคคีของคนไทยที่พร้อมจะช่วยเหลือกันเมื่อเกิดวิกฤต

เมื่อความแตกต่างกลายเป็นพลังรวม

เหตุการณ์ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ที่สำนักงานนครเชียงรายนิวส์ ไม่ใช่แค่การส่งมอบสิ่งของบรรเทาภัยธรรมดา แต่เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าสังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง ที่ผู้คนจากศาสนาที่แตกต่างกันสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ และพร้อมจะร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม

น้ำใจจากชาวเชียงรายและกลุ่มศาสนาที่มากล้นในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงคุณค่าของการอยู่ร่วมกันในสังคมที่เคารพความแตกต่าง แต่รวมกันด้วยความเป็นมนุษย์ ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา หรือภูมิภาค เมื่อมีคนตกทุกข์ได้ยาก ทุกคนก็พร้อมที่จะเป็นพี่น้องกันและยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

โครงการ “ฮัก” หาดใหญ่! คำว่า “ฮัก” ในภาษาถิ่นหมายถึง “รัก” หรือ “เอ็นดู” ซึ่งสื่อถึงความรู้สึกที่อบอุ่นและความเป็นพี่น้อง ชื่อโครงการนี้จึงสะท้อนถึงแก่นแท้ของการช่วยเหลือครั้งนี้ที่ไม่ได้มาจากหน้าที่หรือภาระบังคับ แต่มาจากความรักและความเอื้ออาทรที่มีต่อกันในฐานะคนไทยและเพื่อนมนุษย์

ในยามที่ภัยพิบัติทำให้ผู้คนต้องแยกจากกัน น้ำใจของคนไทยกลับทำให้ทุกคนใกล้ชิดกันมากขึ้น ระยะทาง 2,000 กิโลเมตรระหว่างเชียงรายกับหาดใหญ่ดูเหมือนจะหายไปเมื่อความเป็นพี่น้องเชื่อมโยงหัวใจของผู้คนเข้าด้วยกัน

สิ่งของที่ส่งไปอาจไม่ได้มากมายมหาศาล แต่ความหมายที่อยู่เบื้องหลังนั้นยิ่งใหญ่ มันคือการส่งต่อความหวัง ความอบอุ่น และข้อความที่ว่า “พี่น้องไม่ได้อยู่คนเดียว เรายังอยู่ที่นี่และพร้อมจะช่วยเหลือเสมอ”

การรวมพลังครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในระยะสั้น แต่ยังเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างภูมิภาค ระหว่างศาสนา และระหว่างผู้คนที่มีความแตกต่างหลากหลาย แต่มีหัวใจเดียวกันคือหัวใจของการให้ การแบ่งปัน และความเป็นพี่น้อง

ในอนาคต เมื่อมองย้อนกลับมาที่เหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ปี 2568 นอกจากความเสียหายและความทุกข์ยากแล้ว สิ่งที่จะถูกจดจำคือเรื่องราวของความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และพลังของน้ำใจที่ไหลจากทุกทิศทั่วประเทศมาบรรจบกันที่ภาคใต้ รวมถึงเรื่องราวของกลุ่มชาวไทย-อินเดียและกลุ่มศาสนาในเชียงรายที่แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าเราจะมีที่มาจากไหน นับถือศาสนาใด เราล้วนเป็นคนไทยและเป็นมนุษย์ที่พร้อมจะช่วยเหลือกันในยามยาก

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • สมาคมชาวไทย-อินเดีย จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

‘พิสันต์’ ดันภาพปิดทอง สินค้าศาสนาระดับจังหวัดเชียงราย

เชียงรายเดินหน้ายกระดับผลิตภัณฑ์ศาสนา “ภาพเทคนิคการปิดทอง” หวังปั้นสินค้าระดับจังหวัด สร้างรายได้ชุมชน

เชียงราย, 24 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงราย โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแนวทางการยกระดับและพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ในมิติศาสนาให้เป็นสินค้าระดับจังหวัด ภายใต้โครงการพลังบวรในมิติศาสนา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ “ภาพเทคนิคการปิดทอง” ของชุมชนคุณธรรมพลังบวรวัดดงชัย ตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่

เวทีประชุมบูรณาการรัฐ–ศาสนา–ชุมชน

การประชุมจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 24 มีนาคม 2568 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมวัดดงชัย โดยได้รับความเมตตาจากพระครูวิสิฐวรนารถ เจ้าคณะอำเภอเวียงเชียงรุ้ง และเจ้าอาวาสวัดดงชัย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งจากภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคการศึกษา และผู้นำชุมชน เข้าร่วมประชุมเพื่อร่วมกันวางแนวทางและกำหนดบทบาทของแต่ละหน่วยงานในการสนับสนุนผลิตภัณฑ์เชิงศาสนาให้เกิดความยั่งยืน

ภาพเทคนิคการปิดทอง – อัตลักษณ์ทางศิลป์ควบศรัทธา

ผลิตภัณฑ์ภาพเทคนิคการปิดทอง ถือเป็นศิลปกรรมพื้นถิ่นที่ผสมผสานศรัทธาในพระพุทธศาสนาเข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งชุมชนวัดดงชัยมีการสืบทอดมาช้านาน โดยเฉพาะในรูปแบบของการวาดภาพพระพุทธเจ้า เทวดา และสัญลักษณ์มงคลต่าง ๆ ประดับตกแต่งวัด รวมถึงการจัดทำเป็นของที่ระลึกและงานประณีตศิลป์เพื่อใช้ในงานบุญ งานประเพณี และงานพิธีกรรมทางศาสนา

ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายจึงได้เสนอแนวทางผลักดันให้ผลิตภัณฑ์นี้ก้าวสู่การเป็น “สินค้าระดับจังหวัด” ที่มีเอกลักษณ์ สะท้อนอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และสามารถต่อยอดเชิงเศรษฐกิจให้กับชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

หน่วยงานภาครัฐหนุนหลัง สนับสนุนงบ–องค์ความรู้

กรมการศาสนาได้จัดสรรงบประมาณภายใต้โครงการพลังบวรในมิติศาสนา เพื่อสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความทันสมัย และสามารถเข้าถึงตลาดระดับจังหวัดหรือระดับประเทศได้ โดยมีแผนการอบรมเชิงปฏิบัติการแก่กลุ่มช่างในพื้นที่ พร้อมกับส่งเสริมการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ และเชื่อมโยงกับช่องทางการตลาดออนไลน์และออฟไลน์ในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมสนับสนุน อาทิ

  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ดำเนินการเชื่อมโยงกลุ่มผลิตภัณฑ์เข้าสู่ระบบ OTOP
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย สนับสนุนการวิเคราะห์ตลาดและแผนกลยุทธ์การขาย
  • สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ส่งเสริมการบูรณาการผลิตภัณฑ์เข้ากับเส้นทางท่องเที่ยววัฒนธรรม
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดและองค์การบริหารส่วนตำบล เตรียมจัดสรรงบประมาณสนับสนุนงานฝึกอบรมและการพัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิต

โรงเรียนในพื้นที่ร่วมขับเคลื่อนการเรียนรู้ สร้างแรงบันดาลใจสู่เยาวชน

ในการประชุมครั้งนี้ ยังมีการนำเสนอแผนความร่วมมือกับโรงเรียนบ้านทุ่งก่อ (ใจประชานุเคราะห์) และโรงเรียนวัดดงชัยพิทยา เพื่อบูรณาการองค์ความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมเข้ากับหลักสูตรท้องถิ่น โดยจัดกิจกรรมฝึกอบรมศิลปะการปิดทองให้แก่เยาวชน เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และอาจต่อยอดเป็นอาชีพในอนาคต

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุน
มองว่าโครงการนี้เป็นต้นแบบของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากโดยใช้วัฒนธรรมเป็นตัวขับเคลื่อน ไม่เพียงแต่ช่วยอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ยังสามารถสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมบทบาทของวัดในฐานะศูนย์กลางการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแนวทาง “บวร” คือ บ้าน–วัด–โรงเรียน

ฝ่ายตั้งข้อสังเกต
มีความเห็นว่าแม้แนวคิดการต่อยอดศิลปวัฒนธรรมสู่สินค้าเชิงพาณิชย์จะน่าสนใจ แต่ยังต้องคำนึงถึงการรักษาความศักดิ์สิทธิ์และคุณค่าทางจิตใจของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการจำหน่ายสู่ตลาดในเชิงพาณิชย์ ควรมีมาตรฐานกำกับดูแลไม่ให้ผลิตภัณฑ์เชิงศาสนาถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม หรือขาดความเคารพต่อความเชื่อของประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้อง (อัปเดต ณ วันที่ 24 มีนาคม 2568)

  • จำนวนผลิตภัณฑ์ “ภาพเทคนิคการปิดทอง” ที่มีอยู่ในชุมชน: 57 ชิ้น (สำรวจโดยสำนักงานวัฒนธรรมฯ)
  • กลุ่มช่างศิลป์ในชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ: 12 คน
  • จำนวนนักเรียนที่เข้าร่วมฝึกอบรมเบื้องต้น: 38 คน จาก 2 โรงเรียน
  • งบประมาณสนับสนุนจากกรมการศาสนา: 240,000 บาท
  • เป้าหมายยอดผลิตภัณฑ์ที่พร้อมจำหน่ายในปี 2568: 150 ชิ้น
  • เป้าหมายการยกระดับสู่ OTOP ระดับจังหวัด: ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2568

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • รายงานการประชุมวันที่ 24 มีนาคม 2568 ณ วัดดงชัย
  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย
  • กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

วิ่ง-ปั่น ขึ้นดอยตุง 1000 คนร่วมใจ ไหว้สาพระธาตุ

เชียงรายจัดกิจกรรม “วิ่ง – ปั่น 2007 ปีสืบสาน สู่ลานพระธาตุดอยตุง” ส่งเสริมสุขภาพและอนุรักษ์วัฒนธรรม

กิจกรรมออกกำลังกายเชื่อมโยงประเพณีและความศรัทธา

เชียงราย,9 มีนาคม 2568 เวลา 07.00 น. จังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรม วิ่ง – ปั่น 2007 ปีสืบสาน สู่ลานพระธาตุดอยตุง” เพื่อส่งเสริมสุขภาพและร่วมสืบทอดวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยได้รับเกียรติจาก นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ กล่าวรายงาน ณ สถานีขนส่งดอยตุง (ท่ารถม่วง) ตำบลแม่ไร่ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย

ผู้เข้าร่วมกว่า 1,000 คน ร่วมสร้างบรรยากาศแห่งสุขภาพและศรัทธา

กิจกรรมครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากประชาชนในจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงผู้เข้าร่วมจาก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยมีผู้สมัครเข้าร่วมทั้งสิ้น 1,000 คน แบ่งเป็น ประเภทปั่นจักรยาน 431 คน และประเภทวิ่ง 569 คน

จังหวัดเชียงรายเดินหน้าส่งเสริมประเพณีนมัสการพระธาตุดอยตุง

กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของงาน “2007 ปี สืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง” ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญของจังหวัดเชียงรายที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและวัฒนธรรม เช่น การเดินจาริกแสวงบุญ พิธีสืบชะตาหลวงแบบล้านนา และพิธีสรงน้ำพระธาตุดอยตุง เพื่อให้ประชาชนและพุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสร่วมทำบุญและแสดงความเคารพต่อพระธาตุดอยตุง

กำหนดการงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง 2568

จังหวัดเชียงรายกำหนดจัดงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 12-13 มีนาคม 2568วัดพระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย โดยมีไฮไลท์สำคัญ ได้แก่:

  • พิธีสมโภชน้ำสรงพระราชทาน
  • พิธีบวงสรวงพระธาตุดอยตุง
  • กิจกรรมทำบุญตักบาตร
  • พิธีสืบชะตาหลวงแบบล้านนา

สถิติกิจกรรมและผลกระทบต่อสุขภาพชุมชน

จากการสำรวจพบว่า การจัดกิจกรรมลักษณะนี้ช่วยส่งเสริมสุขภาพประชาชนและลดอัตราการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ได้ถึง 30% จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุข นอกจากนี้ ยังมีผลสำรวจจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายที่ระบุว่า กว่า 85% ของผู้เข้าร่วมกิจกรรม รู้สึกพึงพอใจและต้องการให้มีการจัดกิจกรรมต่อเนื่องในปีถัดไป

บทสรุป: กิจกรรมที่ควรค่าแก่การสืบสาน

กิจกรรม วิ่ง – ปั่น 2007 ปีสืบสาน สู่ลานพระธาตุดอยตุง” ไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการอนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรมล้านนาให้คงอยู่ต่อไป การที่ภาครัฐและประชาชนให้ความร่วมมือกันในกิจกรรมลักษณะนี้ ถือเป็นแนวทางที่ดีในการพัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองแห่งสุขภาพและศรัทธาอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

แฟชั่นผ้าไทยเชียงราย ดีไซน์ใหม่ สร้างสรรค์สู่สากล

เชียงรายจัดประกวดออกแบบแฟชั่นผ้าไทย ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ ผ้าอัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย ประจำปี 2568

เชียงราย, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายจัดงาน การประกวดออกแบบแฟชั่นผ้าไทย ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ ผ้าอัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย ประจำปีงบประมาณ 2568” เพื่อส่งเสริมการใช้ผ้าไทยและพัฒนาตลาดสินค้าแฟชั่นเชิงสร้างสรรค์ โดยมี นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน ณ โรงแรมเอ็มบูทีค รีสอร์ท เชียงราย ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย

ส่งเสริมผ้าไทย เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญา

การจัดงานในครั้งนี้อยู่ภายใต้ โครงการพัฒนากิจกรรมและการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายเพื่อ

  • สนับสนุนการนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดเป็น มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
  • ส่งเสริมและสืบสาน มรดกภูมิปัญญาด้านการทอผ้า ให้คงอยู่ต่อไป
  • กระตุ้นให้ภาครัฐ เอกชน เยาวชน และประชาชนทั่วไปให้ความสนใจในการอนุรักษ์ผ้าไทย

นักออกแบบและช่างฝีมือร่วมส่งผลงานเข้าประกวด 15 ผลงาน

การประกวดครั้งนี้ได้รับความสนใจจาก ดีไซน์เนอร์ นักออกแบบ ช่างทอผ้า ช่างเย็บผ้า และผู้ประกอบการในท้องถิ่น ที่ร่วมส่งผลงานเข้าประกวดทั้งสิ้น 15 ผลงาน โดยผลงานที่ได้รับรางวัลจะถูกนำไปจัดแสดงใน งานแสดงแบบแฟชั่นและกิจกรรมสาธิตภูมิปัญญาผ้าทอ ระหว่างวันที่ 19 – 21 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย

เชียงรายเมืองแฟชั่นผ้า” การยกระดับอุตสาหกรรมสิ่งทอพื้นเมือง

จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มี ความโดดเด่นด้านสิ่งทอพื้นเมือง โดยเฉพาะ ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ และผ้าทอมือที่เป็นเอกลักษณ์ ของชุมชนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

  • ผ้าทอลื้อ จากอำเภอเชียงของ
  • ผ้าทอไทใหญ่ จากอำเภอแม่สาย
  • ผ้าปักลาหู่ และผ้าม้ง จากชุมชนชาติพันธุ์บนดอย

การจัดประกวดแฟชั่นผ้าไทยในครั้งนี้เป็น โอกาสสำคัญที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมผ้าทอในเชียงราย ให้ก้าวไกลสู่ตลาดที่กว้างขึ้น รวมถึง การเชื่อมโยงภูมิปัญญากับการออกแบบร่วมสมัย เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่

สถิติที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสิ่งทอพื้นเมืองในประเทศไทย

  • อุตสาหกรรมสิ่งทอในไทยมีมูลค่าตลาด กว่า 6 แสนล้านบาทต่อปี (ข้อมูลจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม)
  • ตลาดแฟชั่นผ้าทอพื้นเมืองมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 5-7% ต่อปี โดยเฉพาะตลาดสินค้า Eco Fashion และ Sustainable Fashion (ข้อมูลจากสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ)
  • การส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยในปี 2567 มีมูลค่า ประมาณ 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีตลาดหลักคือ จีน สหรัฐฯ และยุโรป (ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์)
  • ปัจจุบัน กว่า 80% ของผู้บริโภคไทยสนใจเสื้อผ้าที่มีอัตลักษณ์พื้นเมืองและผ้าทอมือ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสนับสนุนสินค้าที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ข้อมูลจาก TCDC – ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ)

แหล่งอ้างอิง

  • กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
  • สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ
  • กระทรวงพาณิชย์
  • ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC)

การจัดงานประกวดออกแบบแฟชั่นผ้าไทยครั้งนี้ ถือเป็น ก้าวสำคัญในการผลักดันเชียงรายให้กลายเป็น “เมืองแฟชั่นผ้าพื้นเมือง” ที่สามารถเชื่อมโยง วัฒนธรรม งานฝีมือ และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ให้เติบโตไปพร้อมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
CULTURE

เปิดงาน “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” สร้างสรรค์มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม

 

เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 มีการเปิดงาน “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” (Thai Taste Thai Fest 2024) โดย นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และนายประสพ เรียงเงิน อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม งานนี้จัดขึ้นที่ Royal Park Plaza ชั้น 1 ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค กรุงเทพฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและยกระดับอาหารไทยท้องถิ่นและมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าของประเทศ

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ได้มอบเกียรติบัตรให้แก่จังหวัดที่ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจำนวน 18 รายการจาก 15 จังหวัด นอกจากนี้ยังมีการมอบโล่เชิดชูเกียรติแก่ผู้ทำคุณประโยชน์ในการรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจำนวน 23 ราย และมอบเกียรติบัตรให้กับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม 1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ประจำปี 2567 จำนวน 76 จังหวัดรวมถึงกรุงเทพมหานคร

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวถึงความสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมว่าเป็นอัตลักษณ์ที่สะท้อนตัวตนของชาติ โดยมีมิติที่ครอบคลุมทั้งด้านวรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา ศิลปะการแสดง พิธีกรรม ประเพณี ทักษะงานช่างฝีมือดั้งเดิม และอื่นๆ ที่ถูกส่งต่อกันมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นทุนทางวัฒนธรรมที่สำคัญในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ

งานนี้ยังมีการนำเสนอเมนูอาหารท้องถิ่นที่หายากจากแต่ละจังหวัด และการสาธิตทางวัฒนธรรม เช่น การปักชุดไทย การแกะสลัก การทอผ้า และการเขียนเทียนบนผ้าม้ง นอกจากนี้ยังมีการแสดงพื้นบ้านจาก 4 ภูมิภาค ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 20-22 กันยายน 2567 เพื่อสร้างบรรยากาศและความบันเทิงให้กับผู้เข้าร่วมงาน

ภายในงานยังมีการสาธิตคอสเพลย์เยอร์ภายใต้ธีม “4 COS คอสเพลย์ 4 ภาค ไทยแลนด์” ที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก พร้อมทั้งเสวนาเกี่ยวกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยการนำเสนอแนวคิด Soft Power ที่ใช้วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทย

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการนำเสนอเมนูอาหารท้องถิ่นจาก 77 จังหวัด เช่น แกงส้มใบสันดานจากจันทบุรี แกงอีเหี่ยวจากเพชรบูรณ์ ยำไก่ผีปู่ย่าจากสุโขทัย และเมนูแกงแคกุ้ง ถือเป็นเมนูที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานของชาวภาคเหนือ โดย พิสันต์ จันทรศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้ให้ข้อมูลว่า แกงแคเป็นอาหารที่ประกอบไปด้วยผักหลากหลายชนิด ผสมกับเนื้อสัตว์ตามที่หาได้ เช่น กุ้งฝอย ไก่ กบ หรือปลาแห้ง ผักที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นผักพื้นบ้าน เช่น ผักตำลึง ชะอม ใบชะพลู ผักชีฝรั่ง และเห็ดลม การทำแกงแคกุ้งในอดีตนั้นเกิดจากการเก็บกุ้ง ปลาเล็ก และผักพื้นบ้านตามท้องไร่ท้องนา เพื่อปรับสมดุลของร่างกายและตอบสนองตามฤดูกาล

งาน “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ครั้งนี้ถือเป็นงานที่มีความสำคัญในการส่งเสริมมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ และยังเป็นการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI

วธ. รวมใจ 5 ศาสนา ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ จ.เชียงราย

 

เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2566 เวลา 08.00 น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานพิธีมอบเครื่องสมณบริขาร เครื่องอุปโภคบริโภค และของใช้ที่จําเป็น ช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงราย โดยนําเครื่องสมณบริขาร เครื่องอุปโภค-บริโภค มอบให้แก่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจังหวัด เชียงราย จํานวน 2 แห่ง ได้แก่ วัดพรหมวิหาร อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดย พระครูวิสุทธิธรรมภาณี เจ้าคณะอําเภอแม่สาย เจ้าอาวาสวัดวิเชตร์มณี เพื่อนําไปถวายให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณรท่ีได้รับความเดือดร้อน และสํานักงาน วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย อําเภอเมือง มอบให้ศาสนิกชนผู้ประสบภัยน้ําท่วมในพ้ืนที่ ณ จังหวัดเชียงราย โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายชัยพล สุขเอ่ียม อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหารกระทรวง วัฒนธรรม พร้อมด้วย ผู้แทนองค์การทางศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาซิกข์ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธี ณ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม

 

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลากที่ อ.แม่สาย และอีกหลายอำเภอ ในพื้นที่ จ.เชียงราย ทําให้บ้านเรือนพี่น้องประชาชน สถานที่ราชการ หน่วยงานต่าง ๆ สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และศาสนสถานหลายแห่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา ร่วมกับ ดร. สมศักดิ์ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล วัดและองค์กรเครือข่ายทางศาสนา 5 ศาสนา ประกอบด้วย องค์การทางศาสนา ทั้ง 15 องค์การ ได้แก่ องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พ.ส.ล.) พุทธสมาคมแห่ง ประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปรียญธรรมสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ฯ สำนักจุฬาราชมนตรี สภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย สภาคริสตจักรในประเทศไทย สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย มูลนิธิคริสตจักรคณะแบ๊บติสต์ มูลนิธิคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทย สำนักพราหมณ์พระราชครู ในสำนักพระราชวัง สมาคมฮินดูสมาช สมาคมฮินดูธรรมสภา สมาคมศรีคุรุสิงห์สภา สมาคมนามธารีสังคัตแห่งประเทศไทย วัดชินวราราม วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก วัดวชิรธรรมสาธิต วัดหัวลำโพง วัดบำเพ็ญเหนือ วัดลาดปลาเค้า วัดคลองเตยนอก วัดเวฬุวนาราม วัดบรมสถล วัดโพธิ์ลอย วัดเทพสรธรรมาราม วัดสะพาน มูลนิธิวัดพระศรีมหาอุมาเทวี วิทยาลัยเทคโนโลยีตั้งตรงจิตรพณิชยการ บริษัท มาดามฟิน จำกัด และมูลพิธิพุทธไธสวรรย์ อยุธยา จัดพิธีมอบสมณบริขาร เครื่องอุปโภคบริโภค และของใช้ที่จำเป็น เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนแก่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ผู้นำ ศาสนา และศาสนิกชนผู้ประสบภัย เป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยและเอื้ออาทรต่อกัน ถึงแม้อยู่ต่างพื้นที่ ต่างศาสนา หรือ ต่างความเชื่อในฐานะพี่น้องประชาชนคนไทยด้วยกัน

ทั้งนี้ จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่า ศาสนสถานในพื้นที่อำเภอเมือง และอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้รับ ผลกระทบอย่างหนัก กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา ได้นำเครื่องสมณบริขาร จำนวน 200 ชุด ประกอบด้วย ผ้าไตร จีวร ผ้าห่ม ผ้าขนหนู อังสะไหมพรม ถุงเท้า ย่าม และสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น ประกอบด้วย ข้าวสาร จำนวน 3,000 ถุง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จำนวน 500 ลัง อาหารกระป๋อง จำนวน 6,000 กระป๋อง น้ำดื่ม ไฟฉาย ยาสามัญประจำบ้าน เครื่องอุปโภคบริโภค และเสื้อผ้า ไปช่วยเหลือในครั้งนี้ เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยธรรมชาติในเบื้องต้นอีกด้วย

 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวทิ้งท้ายว่า การจัดพิธีมอบเครื่องสมณบริขาร เครื่องอุปโภคบริโภค และ ของใช้ที่จำเป็น ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงรายครั้งนี้แสดงถึงความห่วงใยของภาครัฐ องค์การทางศาสนา ทุกศาสนา และองค์กรเครือข่ายภาคเอกชนที่มีต่อประชาชนชาวไทย ซึ่งที่ผ่านมา องค์การทางศาสนาต่าง ๆ ในสังคม พหุวัฒนธรรม ได้ร่วมกันช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยมุ่งหวังที่จะบรรเทาความเดือดร้อนให้กับ ศาสนิกชน เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างหน่วยงานของรัฐและ ศาสนิกชนทุกศาสนา ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมแก่ประชาชน บนพื้นฐาน

 

หลักธรรมทางศาสนา หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นการสร้างความรัก ความสามัคคีในสังคมไทย โดยทุกองค์การ ศาสนาในประเทศไทยต้องร่วมกันสร้างสังคม แห่งความเอื้ออาทร มีน้ำใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ส่งเสริมให้ศาสนิกชนนำ หลักธรรมทางศาสนาไปสู่การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ศาสนิกชนเป็นคนดี มีคุณธรรม ร่วมเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ร่วมทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนต่าง ศาสนา ทำให้ประเทศมีความสงบร่มเย็นในมิติศาสนาอย่างยั่งยืนสืบไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ถุงพระราชทานช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัยเชียงราย

 

เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2567 เวลา 13.30 น. ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย (ศูนย์บ้านน้ำลัด) ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าที่ปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงพระกรุณาโปรดให้นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เชิญถุงพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคมอบแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

ภายในพิธี นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ได้เชิญถุงพระราชทานเพื่อมอบให้กับราษฎรผู้ประสบอุทกภัยจำนวน 100 ราย ซึ่งเป็นราษฎรในเขตเทศบาลนครเชียงราย โดยถุงพระราชทานที่ได้รับประกอบไปด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้

ในพิธีมอบถุงพระราชทานครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วนที่มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ อาทิ นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย, พ.อ. อัศม์พงษ์ นิลพันธ์ ผู้แทนมณฑลทหารบกที่ 37, นางบังอร มะลิดิน รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย และพระครูสุตวัฒนบัณฑิต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระแก้ว พระอารามหลวง ซึ่งทั้งหมดนี้ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพิธีมอบถุงพระราชทาน เพื่อแสดงความห่วงใยและช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่

นอกจากนี้ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และทีมงานเจ้าหน้าที่กลุ่มพิธีการฯ ได้มอบหมายให้ นายพิพัฒน์ สุ่มมาตย์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ และนายภัทรพงษ์ มะโนวัน นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ เป็นผู้แทนในการปฏิบัติพิธีมอบถุงพระราชทานให้แก่ประชาชน

เหตุการณ์อุทกภัยครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างหนักในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย ซึ่งเทศบาลนครเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างเร่งดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในเขตเทศบาลนครเชียงรายอย่างเต็มที่ เพื่อให้ผู้ประสบภัยสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อย่างเร็วที่สุด

นอกจากการมอบถุงพระราชทานแล้ว ทางศูนย์จิตอาสายังได้จัดเตรียมข้าวกล่องจำนวนมากเพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนในด้านอาหารและสิ่งของที่จำเป็น

ทั้งนี้ การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคประชาชน โดยมีการประสานงานและบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และครอบคลุมทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม

นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการฟื้นฟูและการให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ชุมชนต้องการความช่วยเหลือจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น ทั้งในด้านอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถฟื้นฟูบ้านเรือนและชีวิตประจำวันได้อย่างรวดเร็วที่สุด

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายได้จากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง หรือติดต่อสอบถามได้ที่เทศบาลนครเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

สมเด็จพระมหาธีราจารย์ลงพื้นที่เชียงราย มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

 

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน 2567 สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ และประธานฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบกัปปิยภัณฑ์เพื่อให้กำลังใจแก่พระภิกษุสามเณร และประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ อำเภอเทิง และ อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย

ในการนี้ พระธรรมวชิโรดม เจ้าคณะภาค 6 เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยพระราชวิชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย พระครูวรกิตติวิมล เจ้าคณะอำเภอขุนตาล นายอดิเรก ไลไธสง นายอำเภอขุนตาล นายโสไกร ใจหมั้น ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี ณ มณฑลพิธี วัดป่าข่า ตำบลป่าตาล อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย

สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ได้มอบถุงยังชีพจำนวน 500 ชุด เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอเทิง ณ บ้านเหล่า ตำบลตับเต่า โดยการมอบถุงยังชีพครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในพื้นที่

นอกจากนี้ คณะสงฆ์ พร้อมด้วยส่วนราชการยังได้มอบถุงยังชีพเพิ่มเติมอีก 500 ชุดแก่ประชาชนในพื้นที่ อำเภอขุนตาล ณ วัดป่าข่า ตำบลป่าตาล อำเภอขุนตาล เพื่อให้การช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น โดยการมอบถุงยังชีพครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยบรรเทาความทุกข์ยาก และเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับประชาชนที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากน้ำท่วมในครั้งนี้

พื้นที่อำเภอเทิง และ อำเภอขุนตาล เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเป็นอย่างมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เหตุการณ์น้ำป่าหลากและน้ำท่วมในพื้นที่ได้สร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทำให้หลายครอบครัวต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

การลงพื้นที่ในครั้งนี้ของสมเด็จพระมหาธีราจารย์และคณะสงฆ์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การฟื้นฟูและเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยสามารถดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยการมอบถุงยังชีพและการให้กำลังใจนี้จะช่วยบรรเทาความทุกข์ยากให้กับชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากน้ำท่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ขยายผลเครือข่ายโรงเรียนคุณธรรม จัดกิจกรรม “โชว์ แชร์ เชื่อม” ที่เชียงราย

 

เมื่อวันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2567 เวลา 09.00 น. ณ หอประชุมสุนทราภิรมย์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 ได้มีการจัดกิจกรรมภายใต้โครงการส่งเสริมและขยายผลการพัฒนาเครือข่ายโรงเรียนสู่กระบวนการรับรองมาตรฐานปี 2567 โดยศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) เป็นผู้สนับสนุนการจัดงาน ซึ่งเป็นความร่วมมือของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 ถึง 4 และโรงเรียนป่าแดงวิทยา ซึ่งรับผิดชอบโครงการนี้โดยตรง

กิจกรรมที่จัดขึ้นในครั้งนี้มีชื่อว่า “โชว์ แชร์ เชื่อม” มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรมในจังหวัดเชียงราย โดยได้รับเกียรติจาก นายจรัญ แจ้งมณี ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 เป็นประธานในพิธีเปิดงาน

 

การสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในพิธีเปิดงาน นางสาว พรทิพา พุทธวงค์ ผู้อำนวยการกลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยมี ผศ.ดร.สมปรารถนา วงศ์บุญหนัก ผู้ทรงคุณวุฒิจากศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และบุคคลสำคัญจากหน่วยงานต่างๆ เช่น นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, นายสมพงษ์ บุตรวัน รองผู้อำนวยการ สพป.เชียงราย เขต 4 และ นางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม พร้อมทั้งครูและนักเรียนจากโรงเรียนเครือข่ายคุณธรรมเข้าร่วมงานนี้

 

พิธีมอบรางวัลและเกียรติบัตรแก่โรงเรียนที่มีผลงานโดดเด่น

กิจกรรมสำคัญในวันนั้นเริ่มต้นด้วยการมอบเกียรติบัตรและรางวัลให้กับโรงเรียนที่มีผลงานโดดเด่นในด้านคุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีผลงาน Best Practice โดยโรงเรียนเหล่านี้ได้แสดงผลงานที่เกี่ยวข้องกับการน้อมนำ พระบรมราโชบาย สู่การปฏิบัติในสถานศึกษา และการขับเคลื่อน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ให้กลายเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาการศึกษา

การมอบรางวัลในครั้งนี้ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้โรงเรียนอื่นๆ ได้มุ่งมั่นพัฒนาและปรับใช้แนวทางการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรมที่มีประสิทธิภาพ

 

เสวนา “การพัฒนาคุณธรรม โดยครูรุ่นใหม่ หัวใจโค้ช”

หนึ่งในกิจกรรมที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือการเสวนาในหัวข้อ “การพัฒนาคุณธรรม โดยครูรุ่นใหม่ หัวใจโค้ช” ซึ่งได้รับเกียรติจาก ผศ.ดร.สมปรารถนา วงศ์บุญหนัก ผู้ทรงคุณวุฒิจากศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ร่วมเสวนากับทีมโค้ชเครือข่ายครูคุณธรรมจากจังหวัดเชียงรายทั้งหมด 4 เขต

การเสวนาครั้งนี้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้แนวทางการพัฒนาคุณธรรมในโรงเรียนอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันระหว่างครูและนักเรียนเพื่อส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในชีวิตประจำวัน ผ่านการใช้บทบาทของครูเป็นโค้ชในการชี้แนะแนวทาง

 

นิทรรศการผลงานและการน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ในงานยังมีการจัด นิทรรศการผลงานคุณธรรม จริยธรรม ที่นักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ ในจังหวัดเชียงรายได้แสดงผลงานที่น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในกิจกรรมของโรงเรียน โดยผลงานที่นำมาแสดงมีความหลากหลายและสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นการแสดงถึงการขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ

นิทรรศการเหล่านี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความสำเร็จของโรงเรียนคุณธรรม แต่ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมงานได้เห็นถึงผลลัพธ์ของการประยุกต์ใช้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนานักเรียนและชุมชนโรงเรียน

 

ความสำคัญของโครงการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรม

โครงการส่งเสริมและขยายผลการพัฒนาเครือข่ายโรงเรียนคุณธรรมนี้ มีเป้าหมายสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมแห่งคุณธรรมในสถานศึกษา โดยใช้แนวทางการเรียนรู้แบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งคุณธรรม จริยธรรม และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การจัดกิจกรรม โชว์ แชร์ เชื่อม ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจในแนวทางการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายระหว่างโรงเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันการพัฒนาการศึกษาในระดับท้องถิ่น

การมีส่วนร่วมของหน่วยงานทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงการสนับสนุนจากศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า การพัฒนาโรงเรียนคุณธรรมในจังหวัดเชียงรายเป็นโครงการที่มีคุณค่า และจะนำไปสู่การสร้างสังคมที่มีคุณธรรมในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News