Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ล้านนาตะวันออกฟื้น! ชวนเที่ยวงานใหญ่ Consumer Fair

ภาคเหนือตอนบน 2 ฟื้นตัวหลังวิกฤติน้ำท่วม จัดงานใหญ่กระตุ้นการท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ภายหลังจากที่ภาคเหนือตอนบน 2 ได้เผชิญกับสถานการณ์อุทกภัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง ในวันนี้ กลุ่มจังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน ได้ร่วมกันประกาศความพร้อมในการฟื้นฟูและส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยการจัดงาน Consumer Fair and Road Show เพื่อกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวล้านนาตะวันออก

ภาคเหนือฟื้นตัวแล้ว พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว

นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวในการแถลงข่าวว่า “แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากภัยธรรมชาติ แต่ชาวล้านนาตะวันออกก็มีความมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูและพัฒนาภูมิภาคให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง งาน Consumer Fair and Road Show นี้ ถือเป็นหนึ่งในความพยายามที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคส่วนสำคัญของจังหวัด”

งาน Consumer Fair and Road Show: สุดยอดโปรโมชั่นและวัฒนธรรมล้านนา

งาน Consumer Fair and Road Show จะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลบางนา และเซ็นทรัล เวสต์เกต โดยมีกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ

  • ตลาดสินค้า OTOP: พบกับสินค้าหัตถกรรมท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด
  • มุมอาหารรสเด็ด: ลิ้มลองรสชาติอาหารเหนือรสเด็ดที่ปรุงสดใหม่
  • การแสดงศิลปวัฒนธรรม: ดื่มด่ำกับการแสดงดนตรีและศิลปวัฒนธรรมที่งดงาม สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์และความเป็นมาของชาวล้านนา
  • โปรโมชั่นพิเศษ: โรงแรมและบริษัทท่องเที่ยวต่างนำเสนอแพ็คเกจท่องเที่ยวสุดคุ้ม
  • กิจกรรม Business Matching: เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในภาคการท่องเที่ยวได้พบปะกับนักลงทุนและขยายธุรกิจ

เป้าหมายของการจัดงาน:

  • ฟื้นฟูเศรษฐกิจ: กระตุ้นการท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
  • ส่งเสริมวัฒนธรรม: สร้างความตระหนักถึงมรดกทางวัฒนธรรมของล้านนาตะวันออก และส่งเสริมการอนุรักษ์
  • เชื่อมโยงภาคการท่องเที่ยว: สร้างเครือข่ายและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในภูมิภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เชิญชวนนักท่องเที่ยวสัมผัสเสน่ห์ล้านนา

การจัดงานครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของภาคเหนือตอนบน 2 ในการต้อนรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในการฟื้นฟูและพัฒนาภูมิภาคให้กลับมาเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

พะเยา ทุ่มงบประมาณ 208 ล้านบาท สร้างศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ พื้นที่ 7,000 ตร.ม.

โครงการสำคัญในจังหวัดพะเยาที่ รมช.อัคราเร่งขับเคลื่อน

การปลูกข้าวหลากสีเพื่อเพิ่มมูลค่าและส่งเสริมการท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2567 นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่จังหวัดพะเยาเพื่อขับเคลื่อนโครงการปลูกข้าวหลากสี ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับการผลิตข้าวในพื้นที่ โดยโครงการนี้ได้รับการดำเนินการโดยกรมการข้าว ซึ่งมีเป้าหมายที่จะพัฒนาพื้นที่นาข้าวในตำบลสันป่าม่วง อำเภอเมืองพะเยา ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาเรียนรู้และสัมผัสกับอัตลักษณ์ของจังหวัดพะเยา

คุณค่าของข้าวหลากสีและความเป็น Super Food แห่งอนาคต

ข้าวหลากสีที่ปลูกในโครงการนี้มีลักษณะพิเศษเนื่องจากเป็นข้าวที่มีโปรตีนสูงที่สุดในโลก จัดว่าเป็น Super Food แห่งอนาคต ซึ่งมีคุณสมบัติทางโภชนาการที่ดีเยี่ยม อีกทั้งข้าวชนิดนี้ยังมีใบที่มีสีสันหลากสี ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมชมแปลงนาข้าวที่สวยงาม

การปลูกข้าวหลากสีแบบปลอดสารเคมีเพื่อความยั่งยืน

หนึ่งในจุดเด่นของโครงการข้าวหลากสี คือ การปลูกแบบปลอดสารเคมี ทำให้ผู้บริโภคและผู้ผลิตสามารถมั่นใจได้ว่าข้าวนี้มีความปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเป็นการช่วยส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

การแปรรูปข้าวหลากสีเพื่อเพิ่มมูลค่า

นอกจากการปลูกแล้ว โครงการนี้ยังเน้นการแปรรูปข้าวหลากสี เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ โดยเมื่อข้าวหลากสีได้รับการแปรรูปแล้ว จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงมาก ซึ่งเป็นโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรในพื้นที่ให้สามารถผลิตและแปรรูปข้าวได้ด้วยตนเอง

การสนับสนุนจากภาครัฐและความร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่น

โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และยังมีการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรท้องถิ่น ภาควิชาการ และภาคธุรกิจ ซึ่งถือเป็นความร่วมมือที่สำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนโครงการให้ประสบความสำเร็จ

แผนการปลูกข้าวหลากสีในเดือนตุลาคม 2567

กรมการข้าวได้วางแผนที่จะดำเนินการปลูกข้าวหลากสีในเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยวข้าวเพื่อรองรับการท่องเที่ยวในช่วงปีใหม่

ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา: แหล่งการเรียนรู้ด้านประมงในอนาคต

โครงการสำคัญอีกหนึ่งโครงการที่ได้รับการขับเคลื่อนในจังหวัดพะเยา คือ การสร้างศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการโดยกรมประมง โดยศูนย์นี้จะเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์สัตว์น้ำ และเป็นแหล่งการเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์น้ำจืดและพันธุ์ไม้น้ำ เพื่อให้ความรู้กับนักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ที่สนใจในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ

แผนการจัดตั้งศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ

ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา จะถูกจัดตั้งขึ้นบริเวณสวนสาธารณะเทศบาลเมืองพะเยา โดยพื้นที่ที่จะใช้ในการจัดตั้งศูนย์นั้นมีขนาดประมาณ 7,000 ตารางเมตร และประกอบด้วยอาคารศึกษาและจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ พื้นที่อนุบาลพันธุ์สัตว์น้ำ พื้นที่กิจกรรมกลางแจ้ง และพื้นที่บริการ

วัตถุประสงค์ของศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา

วัตถุประสงค์หลักของศูนย์นี้คือการให้ความรู้และสร้างความตระหนักในการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำในท้องถิ่น รวมถึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงการศึกษา ที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับจังหวัดพะเยาในระยะยาว

การเชื่อมโยงโครงการข้าวหลากสีและศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ

ทั้งสองโครงการนี้มีจุดเชื่อมโยงที่สำคัญ คือ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นการพัฒนาที่มุ่งเน้นความยั่งยืนและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทั้งภาคการเกษตรและการท่องเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งที่สวนสมเด็จย่า 90 ริมกว๊านพะเยา ซึ่งมีโครงการก่อสร้างศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา (อควาเรียม) พื้นที่ 7,000 ตารางเมตร งบประมาณ 208 ล้านบาท โดยนางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ศูนย์ฯ ดังกล่าวมีลักษณะเดียวกับบึงฉวาก จ.สุพรรณบุรี ได้รับงบประมาณปี 2568 สามารถดำเนินการก่อสร้างภายในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์สัตว์น้ำในการศึกษาการดำรงชีวิตและอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำประจำถิ่นให้ยั่งยืน และเป็นสถานที่ให้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์น้ำจืด พรรณไม้น้ำ แก่นักเรียน นักศึกษา ประชาชน เกษตรกร หรือผู้สนใจทั่วไป เป็นการสร้างความตระหนัก รับรู้ เห็นคุณค่า ของการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำจืด และส่งเสริมการท่องเที่ยวของจ.พะเยา กรมประมงจึงมีความประสงค์ขอใช้พื้นที่สวนสาธารณเทศบาลเมืองพะเยา บริเวณสวนสมเด็จย่า 90พรรษา เพื่อก่อสร้างศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา เป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จย่าของแผ่นดิน อีกโอกาสหนึ่งด้วย

การขับเคลื่อนนโยบายการเกษตรของ รมช.อัครา

รมช.อัครา พรหมเผ่า ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายการเกษตรในจังหวัดพะเยา โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์เกษตรให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น

การสนับสนุนงบประมาณสำหรับโครงการในอนาคต

สำหรับโครงการศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา ได้มีการเสนอขอจัดสรรงบประมาณในปี 2568 เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อสร้างและพัฒนาโครงการนี้ให้เป็นจริง โดยมีเป้าหมายที่จะให้ศูนย์นี้กลายเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญและเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดพะเยา

ความสำคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในพะเยา

จังหวัดพะเยามีศักยภาพสูงในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร โดยการนำทรัพยากรทางธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์ ซึ่งทั้งโครงการข้าวหลากสีและศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา เป็นตัวอย่างของการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับพื้นที่

บทสรุป

การลงพื้นที่ของ รมช.อัครา ในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการสำคัญในจังหวัดพะเยา ไม่ว่าจะเป็นการปลูกข้าวหลากสีเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และการสร้างศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำที่เป็นแหล่งการเรียนรู้และอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ ซึ่งทั้งสองโครงการนี้จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและการพัฒนาชุมชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

FAQs

  1. ข้าวหลากสีมีคุณสมบัติพิเศษอย่างไร? ข้าวหลากสีเป็นข้าวที่มีโปรตีนสูงที่สุดในโลก และถือเป็น Super Food แห่งอนาคต

  2. โครงการปลูกข้าวหลากสีช่วยเกษตรกรอย่างไร? โครงการนี้ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับการผลิตข้าว และยังช่วยพัฒนาเกษตรกรให้สามารถแปรรูปผลิตภัณฑ์ได้ด้วยตนเอง

  3. ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยามีวัตถุประสงค์อะไร? ศูนย์นี้มีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมพันธุ์สัตว์น้ำ และให้ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สัตว์น้ำจืด

  4. การปลูกข้าวหลากสีมีผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร? การปลูกข้าวหลากสีใช้วิธีการปลูกแบบปลอดสารเคมี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อิ๊งค์ ลุยนำทีมพรรคเพื่อไทยเดินสายช่วยหาเสียงนายก อบจ. พะเยา

 

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) นำทีมพรรคเพื่อไทยเดินทางถึงท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย โดยมีประชาชนจำนวนมากมาต้อนรับและให้กำลังใจอย่างอบอุ่น ก่อนที่ น.ส.แพทองธาร จะเดินทางต่อไปยัง จ.พะเยา เพื่อช่วยนายธวัช สุทธวงค์ ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) พะเยา หมายเลข 2 หาเสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะมีขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคม 2567

น.ส.แพทองธาร และทีมพรรคเพื่อไทย ได้เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัด ณ วัดศรีโคมคำ อ.เมืองพะเยา พร้อมทักทายพี่น้องประชาชนชาวพะเยาที่มาต้อนรับอย่างอบอุ่น ท่ามกลางฝนโปรยปราย ทั้งนี้ พระครูพิศาลสรกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดศรีโคมคำ (พระอารามหลวง) ได้ให้พรแก่ทีมงานทุกคนด้วย

จากนั้น น.ส.แพทองธาร พร้อมด้วย นายธวัช และคณะ ได้เดินทางต่อไปยังหน้าลานอนุเสาวรีย์พ่อขุนงำเมือง อ.เมืองพะเยา เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพะเยา โดย น.ส.แพทองธาร ได้กล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มารอต้อนรับ แม้ฝนจะโปรยปรายแต่ก็ยังอยู่ให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอให้นายธวัช ผู้สมัครนายก อบจ.พะเยา หมายเลข 2 จากพรรคเพื่อไทย ได้รับการเลือกตั้งเพื่อกลับเข้าไปรับใช้พี่น้องประชาชน ด้วยนโยบายมุ่งเน้นส่งเสริมคุณภาพชีวิตทั้งด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจของคนพะเยา และมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจพะเยาให้เติบโตตั้งแต่ระดับชุมชนไปถึงระดับจังหวัด

ท่ามกลางเสียงเชียร์ของชาวพะเยาที่เข้ามาทักทายอย่างหนาแน่น น.ส.แพทองธาร ได้แสดงความขอบคุณและยืนยันถึงความมุ่งมั่นของพรรคเพื่อไทยในการทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง จากนั้น น.ส.แพทองธาร ได้เดินทางไปพูดคุยกับผู้ประกอบการที่กาดหล่ายต้าในช่วงบ่ายต่อไป

การเลือกตั้งท้องถิ่นใน จ.พะเยา นี้ ยังสะท้อนถึงภาพรวมของการเมืองระดับประเทศที่พรรคเพื่อไทยมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งนโยบายการพัฒนาที่จะถูกผลักดันจากระดับท้องถิ่นจะเชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเมือง

บทบาทของการเมืองท้องถิ่นใน จ.พะเยา นั้นมีผลกระทบอย่างมากต่อภาพรวมของรัฐบาลไทย เพราะการเลือกตั้งนายก อบจ. และการพัฒนาท้องถิ่นนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการเมืองระดับประเทศ การพัฒนาท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพและการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริงจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในรัฐบาล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

คืบหน้าสร้าง ถนน อ.เทิง-อ.จุน เชื่อม 2 จังหวัด เชียงรายและพะเยา

 

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสายแยก ทล.1020 – บ้านกิ่วแก้ว อำเภอเทิง, จุน จังหวัดเชียงราย, พะเยา โดยปัจจุบันโครงการมีความคืบหน้ากว่าร้อยละ 82 อยู่ระหว่างดำเนินงานชั้นโครงสร้างทาง งานก่อสร้าง

 
ผิวจราจรแอสฟัลท์ติกคอนกรีต งานก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก และงานไฟฟ้าส่องสว่าง คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในเดือนธันวาคม 2567 นี้ เมื่อก่อสร้างเสร็จจะสามารถใช้เป็นเส้นทางลัดจากอำเภอเชียงของมายังกรุงเทพมหานครโดยไม่ต้องผ่านตัวอำเภอภูซาง อำเภอเชียงคำ และอำเภอจุน ช่วยลดระยะทาง ได้ประมาณ 20 กิโลเมตร พร้อมสนับสนุนการเดินทางและการขนส่งภาคเหนือตอนบน ช่วยยกระดับการคมนาคม การท่องเที่ยวระหว่างประเทศ เนื่องจากจังหวัดพะเยาและจังหวัดเชียงรายมีเขตติดกับประเทศเมียนมา สปป.ลาว และสามารถเชื่อมต่อไปยังตอนใต้ของประเทศจีนได้ 
 
 
จึงใช้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อการขนส่งลำเลียงสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยรองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นจากการพัฒนาเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ตลอดจนประชาชนที่จะใช้เส้นทางผ่านสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ – ห้วยทราย) และจากท่าเรือเชียงของได้อีกด้วย โครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสายแยก ทล.1020 – บ้านกิ่วแก้ว อำเภอเทิง, จุน จังหวัดเชียงราย, พะเยา มีระยะทางรวม 43.709 กิโลเมตร 
 
 
ในการก่อสร้างแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือการปรับปรุงขยายถนนเดิมในบริเวณทับซ้อนถนนสาย พย.4025 เดิมช่วง กม.ที่ 5+000 – 11+900 และ กม.ที่ 13+000 – 15+500 ระยะทางประมาณ 9.4 กิโลเมตร และการก่อสร้างถนนใหม่ บริเวณ กม.ที่ 0+000 – 5+000, 11+900 – 13+000 และ 15+500 – 43+709 รวมระยะทาง 34.309 กิโลเมตร 
 
 
ซึ่งก่อสร้างเป็นถนนแอสฟัลท์ติกคอนกรีตขนาด 2 – 4 ช่องจราจร กว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้าง 2.50 เมตร พร้อมก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่ข้ามแม่น้ำลาว 1 แห่ง สะพานคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดเล็ก 12 แห่ง รวมถึงโครงสร้างระบายน้ำ อุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย สัญญาณไฟจราจร และไฟฟ้าส่องสว่างตลอดสายทาง โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 1,199 ล้านบาท
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เตรียมงบประมาณ 35 ล้าน ปี 68 สร้างถนนเข้าตลาด อ.พาน ตลาดหกแยก

 

เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.2567 09.00 น.ที่หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เทศบาลตำบลเมืองพาน อ.พาน จ.เชียงราย แขวงทางหลวงพะเยา ประกอบไปด้วย นายพูนศักดิ์ เมาะราษี ผอ.แขวงทางหลวงพะเยา,นายสมัย จันทัน รอง ผอ.ฝ่ายวิศวกรรม แขวงการทางพะเยา,นายวรวุฒิ ชำนาญชัย หัวหน้าหมวดแขวงทางหลวงแม่ใจ แขวงทางหลวงพะเยา,นายสุดเขต วิเศษ วิศวกรแขวงทางหลวงพะเยา พร้อมด้วยภาคส่วนท้องที่ท้องถิ่น เช่น นายวชิร ดวงแสงทอง นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเมืองพาน,ผู้แทนจากนายวุฒิกร คำมา ฝ่ายอำเภอพาน,ผู้แทนจากส.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตอำเภอพาน และตัวแทนภาคประชาชนท้องที่ท้องถิ่นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประมาณ 200 คน ร่วมกันทำประชาพิจารณ์โครงการปรับปรุงโครงสร้างทางหลวง บริเวณแยกบ้านดอย กม.889+000 ถึง กม.889+725

 

นายพูนสวัสดิ์ เมาะราษี ผอ.แขวงทางหลวงพะเยาเปิดเผยว่า แขวงทางหลวงพะเยาจะดำเนินการก่อสร้างปรับปรุงทางแยกบ้านดอย ปรับปรุงผิดจราจรเป็นพื้นคอนกรีตเพคเม้นท์ หนา 25 เซนติเมตร ทั้งขาขึ้นและขาล่องบริเวณแยกบ้านดอย พร้อมติดตั้งเสาไฟแสงสว่าง ไฮแมส สูง 25 เมตร จำนวน 4 ต้น และปรับปรุงช่องทางซ้ายผ่านตลอดมีฉนวนกั้นช่วงขาขึ้นมุ่งหน้าไปจังหวัดเชียงราย ใช้งบประมาณ 30 ล้านบาท ดำเนินการ 180 วัน แล้วเสร็จ เดือน พ.ย.67  พร้อมทั้งเผย โครงการถนนบายพาสเข้าตลาดอำเภอพานบริเวณตลาดนัดคลองถมหกแยก ว่า จะใช้งบประมาณ 35 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2568 ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการสำรวจออกแบบ เมื่อออกแบบเสร็จก็จะมีการทำประชาพิจารณ์อีกครั้งประมาณเดือนสิงหาคม 2567

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : แขวงทางหลวงพะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

แม่น้ำลาวยังคงความอุดมสมบูรณ์ หลังพบเต่าปูลูตัวแรกในรอบ 2 ปี ที่พะเยา

 

เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 ทางสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตได้รับการแจ้งจากชุมชนว่ามีชาวบ้านพบตัวเต่าปูลูในแม่น้ำลาว บ้านคะแนง ตำบลแม่ลาว อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ทางทีมงานจึงได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจเก็บข้อมูลถิ่นที่อยู่อาศัยเฉพาะของเต่าปูลู และทำการบันทึกข้อมูลสัญฐานเต่า ก่อนให้ชุมชนนำไปปล่อยไว้ตามที่อยู่เดิมในชุมชน

 

จากการสำรวจ เป็นเต่าปูลูหรือเต่าปากนกแก้ว เพศเมีย น้ำหนัก 0.290 กิโลกรัม กระดองมีความยาว 120.4 มิลลิเมตร กระดองส่วนกลางกว้าง 95.5 มิลลิเมตร มีชาวบ้านได้ไปหาปลาตอนหัวค่ำเจอตัวเต่าปูลูกำลังว่ายเข้าหลบในซอกหิน
นายวีระวัฒน์ พากเพียร ชาวบ้านคะแนง อายุ 23 ปี ได้กล่าวว่า
 
 
“ตอนเย็นผมไปเดินเล่นหาปลา ดำจับปลาในน้ำเจอเต่าปูลูกำลังว่ายผ่านหน้าเข้าหลบในซอกหิน บริเวณต้นน้ำแม่ลาว ห่างจากชุมชนประมาณ 2 กิโลเมตร เจอตัวในเย็นวันที่ 2 เมษายน เวลาประมาณ หกโมงกว่าเกือบหนึ่งทุ่มครับในหมู่บ้านมีคนพบเต่าปูลูบ่อย แต่ผมพึ่งเจอเป็นครั้งแรก”
 
 
เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำลาว เป็นระบบนิเวศน์ลำธาร ที่ตั้งชุมชนบ้านคะแนงตั้งอยู่ในหุบเขา ลักษณะเป็นที่ราบเชิงเขา มีลำห้วยสาขาล้อมรอบ มีแม่น้ำลาวเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านหมู่บ้าน มีแม่น้ำสาขาที่สำคัญในชุมชนจำนวน 10 ลำห้วย ได้แก่ ห้วยคะแนง ห้วยผาลาด ห้วยตาดเก๊าซาง ห้วยปูลู ห้วยผีหลอก ห้วยสวนหมาน ห้วยหินแดง ห้วยขุนลาว ห้วยน้ำลาวฝั่งซ้าย และห้วยน้ำตกขุนลาว ชาวบ้านยังมีการพบเจอตัวเต่าปูลูอยู่เป็นระยะๆ และมีชุกชุมในชุมชน
น้ำแม่ลาวมีต้นกำเนินในเทือกเขาภูลังกา ในเขตอำเภอเชียงคำ ไหลผ่านอำเภอเชียงคำ และไปบรรจบแม่น้ำอิงที่อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย รวมความยาวประมาณ 40 กิโลเมตร
 
 
เต่าปูลูหรือเต่าปากนกแก้ว มีสถานภาพการอนุรักษ์ อยู่ในระดับใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง(Critically Endangered-CR มีลักษณะจำเพาะกระดองหลังมีสีน้ำตาลดำ กระดองท้องสีเหลืองอมส้ม หัวใหญ่ จงอยปากแหลมคล้ายปากนกแก้ว หดหัวเข้ากระดองได้ไม่เต็มที่ ขาใหญ่และหดเข้ากระดองไม่ได้ เท้ามีเล็บ หางยาวกว่าความยาวของกระดอง มีเดือยแหลมขนาดเล็กบริเวณขา รอบ ๆ รูทวารและที่โคนหาง กินเนื้อ กินปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำอื่นๆ รวมถึงผลไม้ป่าเป็นอาหาร กินเหยื่อโดยการฉกงับ เต่าปูลูมีเล็บแหลมคมมีความสามารถปีนป่ายขอนไม้ หรือโขดหินได้เก่ง หากินในเวลาตอนเย็นหรือกลางคืน ส่วนกลางวันจะหลบซ่อนตามซอกหิน ในฤดูหนาวจะจำศีลซ่อนตัวอยู่ตามหลืบหินหรือโพรงน้ำในลำห้วย
 
 
นายสายัณห์ ข้ามหนึ่ง ผู้อำนวยการสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ได้กล่าวถึงการเก็บข้อมูลครั้งนี้ว่า “วันนี้ทางสมาคมได้ทำการตีแปลงวิทยาศาสตร์และวัดข้อมูลตัวเต่า ศึกษาจุดระบบนิเวศน์ที่เจอตัวเต่าเต่าปูลู การพบเต่าปูลูครั้งนี้เป็นการพบเต่าตัวแรกในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาจากการลงมาศึกษาเต่าปูลูร่วมกับชุมชนบ้านคะแนง และแนวทางต่อไปจะปรึกษาชุมชนหาแนวทางการอนุรักษ์เต่าปูลูโดยการมีส่วนร่วมชุมชนต่อไป เต่าปูลูเป็นตัวชี้วัดสำคัญของระบบนิเวศน์ การพบตัวเต่าปูลูแสดงว่าต้นแม่น้ำลาวยังคงความอุดมสมบูรณ์”
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

‘คลองแม่สุก’ โอตารุ แห่งพะเยา เตรียมพร้อมเช็คอินให้ได้ฟิลญี่ปุ่น

 

เมื่อวันที่  28 มี.ค. 67 ผู้สื่อข่าวนครเชียงรายนิวส์รายงาน บ้านแม่สุก อ.แม่ใจ จ.พะเยา  นายรัฐพล  นราดิศร ผู้ว่าราชการ จ.พะเยา นายพิรัช จันธิมา นายอำเภอแม่ใจและนายจาตุรงค์ สุวรรณะ นายก อบต.แม่สุก ลงเยี่ยมชมให้กำลังใจในการสร้างสรรค์งานศิลปะ คลองแม่สุข

หลังมีอาสาสมัครศิลปินจิตอาสา กลุ่มสายน้ำกว๊าน  เข้าเขียนและวาดภาพ ให้กับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของ จ.พะเยา ในชุมชนบ้านแม่สุก ซึ่งทางเพจ พะเยาน่าอยู่ ได้บอกถึงตำแหน่งการเดินทางคือ เริ่มจากแยกแม่สุก ถ.ซุปเปอร์ไฮเวย์ หรือจากไปรษณีย์แม่ใจ (แม่ใจสายใน) เลี้ยวไปทางทิศตะวันตก ผ่านบ้านทุ่งโป่ง แล้วถึงบ้านแม่สุก ไปสุดหมู่บ้าน เลี้ยวขวาเข้าซอยข้างโรงเรียนแม่สุก ไปอีกหน่อยก็จะเจอคลองแม่สุข (รวมระยะทางราว 4 ก.ม.)

คาดว่าโครงการแลนด์มาร์คท่องเที่ยวแห่งใหม่”คลองแม่สุก” ของอำเภอแม่ใจ แหล่งท่องเที่ยวในอนาคตที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวและรายได้เศรษฐกิจของ อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา ในอนาคต 

ความเป็นมาของชื่อชุมชน เนื่องบริเวณที่ตั้งหมู่บ้านมีต้นไม้ชนิดหนึ่ง ขึ้นอยู่ตามลำห้วยของหมู่บ้าน และออกดอกส่งกลิ่นหอมตลบอบอวนไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านได้รับกลิ่นหอมจากดอกไม้ชนิดนี้มาตลอด คนในหมู่บ้านจึงเรียกต้นไม้ชนิดนี้ว่า “ต้นสีสุก” (ต้นอโศกอินเดียสีทอง) และใช้ชื่อนี้ในการตั้งหมู่บ้าน

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เพจฮักแม่ใจ ,เพจพะเยาน่าอยู่

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“ดร.มนพร” ตรวจโครงข่ายทางถนน เพิ่มประสิทธิภาพ เชียงราย-พะเยา

 
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2567 ดร.มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมพร้อมด้วย นายทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายสรพันธ์ คุณากรวงศ์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจความคืบหน้าการพัฒนาโครงข่ายทางถนน จ.เชียงราย-พะเยา พร้อมทั้งรับฟังปัญหาและความต้องการของประชาชน
 
 
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ติดตามโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 1020 เชียงราย – อ.เชียงของ ตอน อ.เทิง – บ.ต้า เพื่อเพิ่มความจุของถนน รองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้น ระยะทาง 16 กม. ค่าก่อสร้าง 998.9 ล้านบาท กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2567 จากนั้น ดร.มนพร ได้ลงพื้นที่ด่านชายแดนบ้านฮวก อ.ภูซาง จ.พะเยา ร่วมกับนายกรัฐมนตรี รับฟังข้อเสนอจากทางจังหวัดที่ขอให้กรมทางหลวง เร่งรัดดำเนินการสำรวจและออกแบบถนนให้เป็นเส้นทาง 4 ช่องจราจร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเดินทางและการขนส่งสินค้าที่สะดวกรวดเร็วขึ้น และเดินทางมาที่มหาวิทยาลัยพะเยา ติดตามโครงการก่อสร้างทางลอดหน้ามหาวิทยาลัยพะเยา ที่อยู่ระหว่างดำเนินการของบประมาณก่อสร้างในปีงบประมาณ 2568 
 
 
 
เนื่องจากปัจจุบันทางเข้ามหาวิทยาลัยพะเยา มีการจราจรหนาที่หนาแน่น และมีแนวโน้มการสัญจรที่สูงขึ้น เนื่องจากเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าประกอบกับมีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง กรมทางหลวงจึงแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการก่อสร้างทางแยกต่างระดับ ระหว่างจุดตัดทางหลวงหมายเลข 1 กับทางเข้ามหาวิทยาลัยพะเยา ซึ่งมุ่งเน้นการทำให้การจราจรมีความคล่องตัว มีความปลอดภัยลดผลกระทบต่อชุมชน โดยการศึกษาที่เหมาะสมคือออกแบบเป็นทางแยกต่างระดับแบบวงเวียน โดยก่อสร้างทางลอด บนทางหลวงหมายเลข 1 ทำให้การเดินทางเป็นอิสระ (free flow) และการจัดการจราจรบริเวณจุดตัดเป็นวงเวียน (Roundabout) มีระยะทางทั้งหมดประมาณ 1.7 กม.
 
 
 
ดร.มนพร กล่าวว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้ลงพื้นที่ติดตามการพัฒนาโครงข่ายทางถนน จ. เชียงราย – พะเยา เพื่อติดตามความก้าวหน้า และรับฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ ซึ่งการพัฒนาเส้นทางคมนาคมดังกล่าวทำให้เพิ่มประสิทธิภาพแก้ไขปัญหาด้านการจราจร สอดคล้องกับแผนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงในอนาคต ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนและลดการเกิดอุบัติเหตุ อีกทั้งเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในพื้นที่รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อการคมนาคมขนส่งโดยรวม 
 
 
ทั้งนี้จากการลงพื้นที่ได้เน้นย้ำในเรื่องการก่อสร้างให้เคร่งครัดในมาตรการความปลอดภัย และการเร่งรัดให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด เพื่อให้ประชาชนมีระบบคมนาคมที่มีประสิทธิภาพ สามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็วและปลอดภัย รวมทั้งช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในการขนส่งสินค้าและท่องเที่ยวของประเทศให้ดีขึ้น
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ประชาสัมพันธ์กระทรวงคมนาคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

รมว.ธรรมนัส นำทีมเกษตร ขึ้นเหนือม่วนใจ๋ เช็กอิน ‘พะเยา’

 
เมื่อวันที 14 มีนาคม 2567  ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการเตรียมลงพื้นที่ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะรัฐมนตรี ในการลงพื้นที่ตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (จังหวัดน่าน พะเยา เชียงราย และแพร่) และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2567 ณ จังหวัดพะเยา ระหว่างวันที่ 18 – 19 มีนาคม 2567 ซึ่งการลงพื้นที่ตรวจราชการครั้งนี้ รัฐบาลมีเป้าหมายกำหนดทิศทางการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคเหนือนตอนบน 2 (จังหวัดน่าน พะเยา เชียงราย และแพร่) ในทุกมิติ ทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ มิติด้านสุขภาพ และมิติด้านสภาพแวดล้อมที่ดี มีเป้าหมายให้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ภายในปี 2570 โดยในส่วนของประเด็นการพัฒนาด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะผลักดันและขับเคลื่อน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่
 

        ประเด็นการพัฒนาที่ 1 พัฒนาเป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง มุ่งลดต้นทุนการผลิต ใช้ระบบ AI ช่วยการผลิต และส่งเสริมเกษตรกรแบบอัจฉริยะ สร้างความเข้มแข็งให้เครือข่ายเกษตรกรที่เป็น Smart Farmer, Young Smart Farmer และ Smart Product, จัดระบบตลาดและโลจิสติกส์เกษตรชุมชน ส่งเสริมการส่งออก การทำตลาดเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย (Niche Market) และส่งเสริมความรู้ด้านเทคโนโลยีในการทำตลาดการเกษตรแบบดิจิทัล
 

        และประเด็นการพัฒนาที่ 2 ส่งเสริมและพัฒนาสุขภาวะวิถีใหม่สู่ความยั่งยืน (new normal to sustainable โดยส่งเสริมและเพิ่มขีดความสามารถการเป็นคลังอาหารปลอดภัย ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรมาตรฐานควบคุมคุณภาพ GAP ส่งเสริมการใช้สารชีวภัณฑ์และการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ การทำตราสินค้า (Branding) และตรารับรองคุณภาพสินค้า (Quality Mark) พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและแปรรูป เช่น สมุนไพร ให้ได้มาตรฐาน
 

        ขณะที่กำหนดการประชุม ครม.สัญจรนอกสถานที่ครั้งนี้ ได้ปักหมุด ณ จังหวัดพะเยา ซึ่งปัจจุบันจังหวัดพะเยา มีพื้นที่ทั้งหมด 3.959 ล้านไร่ หากพิจารณามิติด้านการเกษตร พบว่า มีการใช้ที่ดินเพื่อทำการเกษตร 1.503 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 37.96 ของพื้นที่ทั้งหมด ครัวเรือนเกษตร 77,868 ครัวเรือน พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา ลำไย ลิ้นจี่ กระเทียม หอมแดง และมันสำปะหลัง มีผลิตภัณฑ์มวลรวม (GPP) กว่า 35,000 ล้านบาท นอกจากนี้ จังหวัดพะเยายังมีสินค้าโดดเด่น ที่ได้รับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) มีจำนวน 3 ชนิด ได้แก่ ข้าวก่ำล้านนา ข้าวหอมมะลิพะเยา และ ลิ้นจี่พันธุ์ฮงฮวย และมีสินค้า OTOP ของจังหวัด รวมทั้งสิ้นกว่า 2,098 ผลิตภัณฑ์ มียอดจำหน่ายสินค้ามากถึง 2,394 ล้านบาท/ปี โดยกระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินงานตามนโยบายการผลักดันสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง 1 ท้องถิ่น 1 สินค้าเกษตรมูลค่าสูง คัดเลือกประเภทสินค้าเกษตร จำนวน 6 ชนิด ได้แก่
 
1) โคเนื้อ ต.บ้านถ้ำ อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา 
2) ข้าวหอมมะลิ ต.จำป่าหวาย อ.เมือง จ.พะเยา 
3) มันฝรั่ง ต.แม่ลาว อ.เชียงคำ จ.พะเยา 
4) ปลานิล ต.แม่ปืม ต.บ้านตั้ม อ.เมือง จ.พะเยา 
5) ลิ้นจี่ ต.แม่สุก อ.แม่ใจ จ.พะเยา 
และ 6) ลำไย ต.ภูซาง อ.ภูซาง จ.พะเยา
 

   ทั้งนี้ จังหวัดพะเยา ถือเป็นจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองที่สำคัญ ลักษณะภูมิประเทศเต็มไปด้วยบรรยากาศและทัศนียภาพที่น่าค้นหา เป็นเมืองเก่าที่น่าย้อนรอยอดีตในบรรยากาศเมืองล้านนาร่วมสมัย โดยเฉพาะชื่อเสียงของกว๊านพะเยา ที่ถือเป็นหัวใจของจังหวัด จนมากลายมาเป็นต้นกำเนิด พิธีการเวียนเทียนหนึ่งเดียวของโลก ตลอดจนมีแหล่งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ สวยงาม มีเสน่ห์ตามภูมิประเทศของเมืองเหนือ ทั้งภูเขา สายหมอก และผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งการลงพื้นที่ของ ครม.สัญจร ที่จังหวัดพะเยาครั้งนี้ ได้เตรียมหารือและขับเคลื่อนในส่วนของการพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อาทิ โครงการพัฒนาด่านชายแดน จุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา การก่อสร้างรถไฟรางคู่ แนวทางการผลิตสุราชุมชน โครงการชลประทานพะเยา โครงการก่อสร้างระบบน้ำหลัก เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนเมือง รวมทั้งการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่น เป็นต้น
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ประชุมพะเยาวิจัยปี 2567 อนาคตธุรกิจคาร์บอนเครดิตและอุตสาหกรรมบริการไทย

 

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2567 มหาวิทยาลัยพะเยาจัดให้มีการประชุมวิชาการระดับชาติพะเยาวิจัย ครั้งที่ 13 ขึ้น ในวันที่ 24 – 26 มกราคม 2567 ภายใต้หัวข้อ “Frontier area-based research for sustainable development goals” ซึ่งเป็นเวทีทางวิชาการในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างเครือข่ายระดับชาติ พัฒนาศักยภาพของนักวิจัย และสถาบันการศึกษาของไทย ที่เป็นพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ด้วยการวิจัยและการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการการนําเสนอผลงานวิจัย นิทรรศการ และกิจกรรมสัมมนาทางวิชาการต่าง ๆ ที่หลากหลาย โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ คือ Section: “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: การท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์” ได้มีเวทีการเสวนา “อนาคตธุรกิจคาร์บอนเครดิตและอุตสาหกรรมบริการไทย” รวมทั้งการบรรยายพิเศษ เรื่อง “ทิศทางและแนวโน้มการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” และ “การส่งเสริมสุขภาพและการเที่ยวไทย” นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการ “การท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในอุทยานแห่งชาติและการส่งเสริมใช้แอพพลิเคชั่น ZERO CARBON” ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารงานโดยแผนงานการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.สุภกร พงศบางโพธิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยพะเยา เป็นประธานกล่าวเปิดงานการประชุมวิชาการพะเยาวิจัย โดยได้รับเกียรติจาก ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว. และประธานอนุกรรมการแผนงานกลุ่มการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บพข. ร่วมเปิดงานซึ่งจัดเป็นครั้งที่ 13 ในวันที่ 25 มกราคม 2567 ณ อาคาร 99 ปี พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ มหาวิทยาลัยพะเยา

 

สำหรับการเสวนา “อนาคตธุรกิจคาร์บอนเครดิตและอุตสาหกรรมบริการไทย” ประกอบด้วยผู้ร่วมเสวนา 5 ท่าน คือ ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว. รศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน ผู้อำนวยการแผนงานท่องเที่ยวบนฐานมรดกทางธรรมชาติ การท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิ บพข. นายคมกริช เศรษฐบุบผา ผู้อำนวยการส่วนวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ในฐานะผู้แทนอธิบดีกรมอุทยานกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช นางสาวภคมน สุภาพพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำองค์กรบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) และ Mr.James Andrew Moore ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WAVE BCG Co., Ltd.

 

 

 

 

ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช กล่าวถึงความเป็นมาของ บพข. ซึ่งเป็นผู้ที่ริเริ่มในการส่งเสริมแนวคิดการวิจัยด้านการท่องเที่ยวสุทธิเป็นศูนย์ ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2563 โดย แผนงานการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บพข. ได้จำลองแบบ net zero pathways ในช่วงปี 2569-2570 เนื่องจากว่ากว่าด้านวิทยาศาสตร์และวิจัยนวัตกรรมของเราได้รับ งบประมาณจากรัฐบาลมาต่อเนื่องให้เราทำงานวิจัย โดยเราจะออกแบบแผนงานที่เป็น Marketing CNT ในปี 2567  ทำร่วมกับกับ TEATA และตัวชี้วัดที่สำคัญ คือ ดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง เข้ามาในเมืองไทยเพื่อที่จะเตรียมความพร้อมการรองรับนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง จะให้พำนัก 10 ขึ้นไป โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละ 5000 บาท  มีหน่วยงานต่างๆเข้ามาร่วมเป็นภาคีเครือข่าย เราทำการท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และเราทำเรื่องของงานเชิงนโยบาย นักท่องเที่ยวคุณภาพสูง ต้องจัดการการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพด้วย  และในปลายปี 2568 -270 เราจะมี Net Zero pathways ออกมาให้พี่น้องชาวไทย เราสามารถที่จะบริการจัดภาคการท่องเที่ยว และนำไปสู่ Net Zero pathways เป็นลักษณะของการให้การทดลองการท่องเที่ยวต่างๆในโปรแกรม

 

 ด้าน รศ. ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน กล่าวว่า การท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ถ้ามองย้อนกลับไปตั้งแต่ต้น คือมาจากปัญหาโลกร้อนและเกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วนร่วมถึงภาคการท่องเที่ยว แล้วภาคการท่องเที่ยวได้มองถึงการแก้ไขปัญหาหรือเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา โดยมีประเด็นดังนี้ 1.ตัวกลางวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมต่างๆ 2.หลังจากที่ทราบตัวเลขแล้ว ควรจะมีมาตรการหรือแนวทางลดให้มากที่สุด 3.ชดเชย 4.ทุกภาคส่วนทุกฝ่ายต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกัน

 

 

สำหรับคุณคมกริช เศรษฐบุบผา เผยถึง ในฐานะตัวแทนของทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่มีนโยบายเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือการท่องเที่ยวสุทธิเป็นศูนย์ คือหน่วยงานมีวิสัยทัศน์เพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์ร้อยละ 25 ของพื้นที่ประเทศ ภายในปี 2569 และมีภารกิจงานด้านอนุรักษ์วิจัย งานด้านการจัดการทรัพยากรป่าไม้ งานมีส่วนร่วม และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยว และมียุทธศาสตร์ ประเด็นที่ 18 การเติบโตอย่างยั่งยืน

 

 

ด้าน คุณภคมน สุภาพพันธ์ กล่าวว่า ปัจจุบันองค์กรบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกมีแอพพลิเคชั่น Zero Carbon ที่เกิดจาก ความร่วมมือกับ บพข. ซึ่งต้องบอกว่า ประโยชน์ของแอพพลิเคชันของทาง อบก. เขาเห็นถึงการท่องเที่ยวที่มีการจัดการก๊าซเรือนกระจก 1.การเดินทางของผู้ร่วมงาน 2.ที่พัก 3.อาหาร  4.ของเสีย ซึ่งเป็นข้อมูลที่สามารถบอกเลขได้ เมื่อนำไปทดลอง พบว่า ชุมชนสามารถใช้ได้ และนอกจากนี้เด็กมัธยมต้นก็สามารถใช้แอพนี้ได้และใช้โดยไม่ใช้เงินอะไรเลย ในอนาคตเรามีการพัฒนาแอพที่ดี เราจะตัดระบบผู้ทวนสอบ  เพื่อให้งานนั้นหรือว่าการท่องเที่ยวนั้น โดยสามารถที่จะซื้อคาร์บอนในระบบได้เช่นเดียวกัน

 

ในด้านของภาคเอกชน คุณเจมส์ แอนดริว มอร์ กล่าวว่า บริษัท เวฟบีซีจี จำกัด ของเราเป็นบริษัทมหาชน เรามีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนมาก เราเป็นผู้สนับสนุน ในการที่จะบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน ในการเป็น Net Zero และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลกได้ ที่ปรึกษาในการประเมิน และเมื่อประเทศมีการตั้งเป้าหมายแล้วจึงส่งผลต่อภาคเอกชน ทำให้ภาคเอกชนมีการตั้งเป้า เพราะเรื่องนี้เป็นการแข่งขันในภาคเอกชน เช่น ณ วันนี้ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ส่งออกสินค้าไปเข้ายุโรป เราจะต้องจ่ายภาษีคาร์บอนแพงกว่าคู่แข่งที่ยุโรป ดังนั้นความสามมารถในการแข่งขันส่งออกเราจะลดลงเรื่อย ๆ และ CBAM ที่เป็นภาษีคาร์บอนของยุโรป จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยประมาณ 14,700 ล้านบาท ถ้าเราไม่มีการปรับตัว

สำหรับโซนนิทรรศการ “การท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในอุทยานแห่งชาติและการส่งเสริมใช้แอพพลิเคชั่น ZERO CARBON” และการนำเสนอผลงานวิชาการรูปแบบ Oral Presentation แบบ Onsite ใน Section“การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: การท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ครั้งที่ 1” มีผู้นำเสนอผลงานวิชาการเป็นเจ้าหน้าที่กรมอุทยานกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จากอุทยานฯ 12 แห่ง และนักวิชาการ รวมจำนวน 15 ผลงาน ตลอดจนการประกวดผลงานสร้างสรรค์แบบออนไลน์ ประเภทภาพถ่ายและคลิปวีดีโอนักสื่อความหมายด้านการท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ โดยมีผู้ร่วมส่งผลงานจำนวน 48 ราย โดยการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ได้นำแอพพลิเคชั่น ZERO CARBON มาใช้คำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการการจัดการประชุมและกิจกรรม  ซึ่งมีปริมาณ 14.90 ตันคาร์บอนฯ และได้ชดเชยคาร์บอน เป็นจำนวน 2,700 บาท สำหรับผู้ร่วมงานในครั้งนี้แล้วจำนวน 200 คน ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานวิจัยการยกระดับการบริหารจัดการการท่องเที่ยวและความร่วมมือการพัฒนาคุณภาพอุทยานแห่งชาติในพื้นที่ภาคเหนือมุ่งสู่การท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ โดยมี ผศ.ดร.สุขทัย พงศ์พัฒนศิริ สังกัดมหาวิทยาลัยพะเยา เป็นหัวหน้าโครงการ ซึ่งได้รับการอุดหนุนทุนวิจัยจาก  แผนงานกลุ่มการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์  (บพข.) กองทุน ววน. ซึ่งมีพื้นที่วิจัยหลัก คือ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน และอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า และเครือข่ายอุทยานแห่งชาติสีเขียวอีก 9 แห่งของภาคเหนือ ในปี พ.ศ. 2566 โดยงานวิจัยนี้คาดว่า การท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutral Tourism: CNT) นั้น จะเป็น Mega trend ที่จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศไทยและพัฒนาคุณภาพการท่องเที่ยวมูลค่าสูง และจากการติดตามร่องรอยทางนิเวศของนักท่องเที่ยว (Tracking Survey) พบว่า ค่าใช้สอยในการท่องเที่ยวเป็นจำนวนเงินเฉลี่ย 2,921 บาท/วัน ซึ่งจะกระจายรายได้แก่ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจที่พักรองรับนักท่องเที่ยวโดยรอบอุทยานฯ จำนวน  144 แห่ง และจากการสร้างความร่วมมือเครือข่ายผู้ประกอบการ 63 แห่ง ที่จะสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบ CNT นำร่องแคมเปญการเตรียมตัวแบบการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนสุทธิ์เป็นศูนย์มีเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนจากเดินทางท่องเที่ยว ลดการใช้ไฟฟ้าในที่พัก คัดแยกขยะ ลดการใช้การเกิด และทำการชดเชย โดยคำนวณจากแอพพลิเคชั่น ZERO CARBON คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวที่จะร่วมกิจกรรมนี้ 1,560 คน/ปี เป็นรายได้เพิ่มขึ้น 1,760,000 บาท/ปี จากผู้ประกอบการที่พัก 9 แห่ง

 

ทั้งนี้อุทยานฯ และผู้ประกอบการร่วมโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (LESS)  โดยการคัดแยกขยะเพื่อการรีไซเคิล การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อใช้เองและการผลิตปุ๋ยหมักจากขยะอินทรีย์  32 แห่ง คิดเป็นการลดก๊าซเรือนกระจก 4.9 tCO2eq โดยในอนาคตอุทยานฯ ต้องยกระดับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกภายในปี พ.ศ. 2573 ตามการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด หรือ Nationally Determined Contributions (NDCs) ของประเทศ โดยในงานวิจัยได้คาดการณ์จากแนวโน้มในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ 3 อุทยานฯ ร้อยละ 4 ต่อปี จะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าของการให้บริการของอุทยานฯจำนวน 4,898 kWh  เชื้อเพลิง 5,102 ลิตร 5.1 ตัน การใช้น้ำ 1,087 ลบ.ม. คิดเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ลดลง 60 tCO2eq/ปี ซึ่งคิดเป็นเงินต้นทุนที่ลด 229,125 บาท/ปี ในส่วนของการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น สำนักงานอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์มีการใช้ผลิตภัณฑ์ในบัญชีตะกร้าเขียว ฉลากเขียว ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้น  ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5  ฉลากประสิทธิภาพสูงและวัสดุธรรมชาติสูงถึง  45.28 เปอร์เซ็นต์  

 

ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการเตรียมความพร้อมในการรองรับกิจกรรมทางการท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์เพื่อสร้างประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) เมื่อนักท่องเที่ยวมาใช้บริการจะทำให้เป็นท่องเที่ยวที่เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติต่ำ อีกทั้งในอนาคตจะมีการสื่อสารและเรียนรู้ผ่านคู่มือการท่องเที่ยว Green Travel Plans (GTPs) สำหรับท่านที่จองบ้านพักภายในอุทยานฯและและที่พักชุมชนในเครือข่ายเพื่อการเตรียมตัวมา “ท่องเที่ยวกลุ่มอุทยานแห่งชาติสีเขียวสไตล์คาร์บอนเป็นศูนย์” และ การเป็นองค์ชั้นนำในการบริการการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนของกรมอุทยานฯ ก้าวสู่ Net Zero Pathway และ Climate-Smart National Park

 

นอกจากนี้ยังมีการบรรยายพิเศษใน 2 เรื่องสำคัญคือ “ทิศทางและแนวโน้มการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” โดย ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และ“การส่งเสริมสุขภาพและการเที่ยวไทย” โดย นายณัฐพงศ์ โพธิ์วัฒนะชัย ตัวแทนสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

 

ทั้งนี้สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม “สานพลังการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไทย พลิกโฉมให้ประเทศมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและยั่งยืน ยกระดับความสามารถในการ แข่งขันด้วยเศรษฐกิจสร้างคุณค่า และพร้อมก้าวสู่อนาคต” พร้อมส่งเสริม ความร่วมมือเพื่อผลิตกําลังคนระดับสูงเฉพาะทาง และความร่วมมือในด้านการวิจัยและการสร้างสรรค์นวัตกรรมกับหน่วยงาน ภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และบุคคลหรือหน่วยงานในต่างประเทศต่อไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News