Categories
TOP STORIES

ป.ป.ช.ชี้ 3 จุดเสี่ยงทุจริตงานประเพณีท้องถิ่น ดันมหาดไทยแก้ระบบสู่ความโปร่งใส

ป.ป.ช. “จี้จุดเสี่ยง” งานประเพณีท้องถิ่น ชี้ช่องโหว่ทุจริต 3 แกนหลัก—ดันชุดมาตรการเชิงระบบ มหาดไทยถูกระบุบทบาท “แม่งาน” ขับเคลื่อนสู่ความโปร่งใสเพื่อประชาชน

เชียงราย, 28 สิงหาคม 2568 — ในรอบหลายปีที่ผ่านมา งานประเพณีและเทศกาลท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ถูกจับตามองว่าเป็น “จุดเปราะบาง” ของวินัยการเงินการคลัง—ตั้งแต่การจัดซื้อจัดจ้างแบบยกเว้นแข่งขัน ไปจนถึงการปล่อยให้เอกชนผูกขาดรายได้ในพื้นที่จัดงาน และการใช้ที่ดินสาธารณะโดยขาดการอนุญาตที่ถูกต้อง ผลคือรัฐเสียโอกาสจัดเก็บรายได้ ประชาชนและผู้ค้าท้องถิ่นเผชิญต้นทุนสูงขึ้น ความศรัทธาต่อภาครัฐถูกกัดกร่อน

บนฉากทัศน์ดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงจัดทำ “ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการจัดงานของ อปท.—กรณีศึกษา: การจัดงานประเพณี” เสนอไปยังฝ่ายนโยบาย โดยระบุความเสี่ยงหลัก 3 ประเด็น พร้อมมาตรการเชิงระบบ เทคโนโลยี และธรรมาภิบาลให้หน่วยงานกลาง โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย (มท.) ถือธงบูรณาการร่วมกระทรวงการคลังและคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) เพื่อยกระดับความโปร่งใสทั้งกระบวนการ ตั้งแต่ก่อน-ระหว่าง-หลังการจัดงานประเพณีในพื้นที่ทั่วประเทศ

ป.ป.ช. เปิด 3 ช่องโหว่—ชี้ทิศแก้เกม “จัดงานประเพณี” ให้คล่องและโปร่งใส

หนึ่ง—การจัดซื้อจัดจ้างโดยมิชอบ: ป.ป.ช. ระบุว่าในทางปฏิบัติ หลายพื้นที่หลีกเลี่ยงการแข่งขันราคา ใช้วิธีคัดเลือก/วิธีพิเศษบ่อยครั้ง ขณะที่ขอบเขตงาน (TOR) ไม่ชัดเจนพอ ทำให้ดุลพินิจ “ลื่นไหล” และเสี่ยงเอื้อผู้รับจ้างหน้าเดิม ป.ป.ช. เสนอให้ยึดกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พ.ศ. 2560 และมาตรฐาน TOR ตามหนังสือ กค (กวจ) 0405/ว 159 ที่ระบุสาระจำเป็นของ TOR ตั้งแต่ความเป็นมา วัตถุประสงค์ คุณสมบัติผู้ยื่นข้อเสนอ ไปจนถึงคุณลักษณะเฉพาะของงาน เพื่อให้ตัดสินได้บนหลักเกณฑ์วัดผล ไม่ใช่ความเห็นส่วนบุคคล

สอง—การจัดการรายได้งานประเพณีรั่วไหล เมื่อมอบสิทธิแก่เอกชนบริหารพื้นที่—ค่าที่จอดรถ ค่าเช่าแผงค้า ค่าบริการสุขา ฯลฯ—พบรูปแบบให้เอกชนผูกขาดเก็บรายได้เอง ขณะที่ อปท. ไม่ได้กำกับอัตราค่าธรรมเนียมอย่างเป็นธรรม ส่งผลให้รายได้รัฐหดหาย ผู้ค้าท้องถิ่นเสียเปรียบ ป.ป.ช. แนะให้ อปท. เปิดเผยโครงสร้างรายได้-รายจ่าย ข้อสัญญา และผลการดำเนินงานบนเว็บไซต์/ป้ายประกาศ เพื่อให้ชุมชนร่วมตรวจสอบได้ และให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจัดแนวทางตรวจสอบภายในประจำปีสำหรับกิจกรรมที่มีรายได้เกิดขึ้นโดยตรงจากประชาชน

สาม—การใช้ที่ดินสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต: ป.ป.ช. ชี้ว่า การใช้อุทยาน สวนสาธารณะ หรือที่ราชพัสดุจัดงานโดยไม่ผ่านการอนุญาตที่ถูกต้อง ทำให้รัฐเสียสิทธิและอาจเกิดข้อพิพาทกับหน่วยงานผู้ดูแล พ่วงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม จึงเสนอให้ อปท. ทำแผนที่ สอบเขตผู้ครอบครองสิทธิ และขออนุญาตล่วงหน้าตามขั้นตอน เพื่อปิดช่องว่างและสร้างความชัดเจนต่อสาธารณะ

กรอบกฎหมายและคู่มือปฏิบัติ “โครง” มีแล้ว—ต้อง “ยึด” ให้เป็นวินัยเดียวกัน

ในทางกรอบ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดงาน การจัดกิจกรรมสาธารณะ การส่งเสริมกีฬา และการแข่งขันกีฬาของ อปท. พ.ศ. 2564 วางหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายและการเบิกจ่ายไว้อย่างครอบคลุม—ตั้งแต่วิธีอนุมัติ การวางแผนงบประมาณ ไปจนถึงหลักฐานการจ่ายเงินและการตรวจรับงาน หากบังคับใช้อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้การจัดงานประเพณีเป็น “บริการสาธารณะ” ที่ตั้งอยู่บนการใช้เงินแผ่นดินอย่างคุ้มค่าและตรวจสอบได้ (มีเอกสารเผยแพร่มาตรฐานโดยหน่วยงานท้องถิ่นและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อใช้เป็นคู่มือ)

ขณะเดียวกัน หนังสือด่วนที่สุดของกรมบัญชีกลาง กค (กวจ) 0405/ว 159 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2566 กำหนดสาระสำคัญ TOR ที่หน่วยงานต้องจัดทำให้ครบถ้วน—เป็น “เช็กลิสต์” ที่ลดดุลพินิจส่วนบุคคล และยกระดับคุณภาพการเทียบข้อเสนอ โดยเฉพาะงานขนาดใหญ่ที่มีรายได้แฝงจากกิจกรรมพาณิชย์ (ค่าแผง ค่าโฆษณา ฯลฯ) การใช้ TOR ตามแบบแนะนำจึงเป็นหัวใจสำคัญของการทำสัญญาที่เที่ยงธรรมและโต้แย้งได้ด้วยข้อมูล

กลไกความโปร่งใส เปิดข้อมูล–เปิดเวทีชุมชน–เปิดประตูตรวจสอบ

ข้อเสนอของ ป.ป.ช. เน้น “เปิดข้อมูลเชิงรุก” เป็นมาตรการแกน—เผยแพร่ประกาศเชิญชวน ร่าง TOR แบบร่างสัญญา ราคากลาง รายงานผลการคัดเลือก แผนผังพื้นที่จัดงาน ปฏิทินงาน รายได้–รายจ่าย และเอกสารเบิกจ่ายที่เกี่ยวข้อง—ซึ่งสอดรับกับชุดตัวชี้วัด ITA (Integrity and Transparency Assessment) ที่ ป.ป.ช. ใช้ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสหน่วยงานรัฐทั่วประเทศทุกปี การยกระดับคะแนน ITA จึงไม่ใช่ “แค่คะแนน” แต่สะท้อนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐที่จับต้องได้ผ่านข้อมูลสาธารณะจริง ๆ

อีกด้าน ป.ป.ช. ผลักหลักคิด STRONG–จิตพอเพียงต้านทุจริต ให้ชุมชนร่วมเป็น “ผู้กำกับดูแล” ในพื้นที่ของตน ผ่านเครือข่ายภาคประชาสังคม โรงเรียน ชมรมผู้ค้า และอาสาสมัคร ให้ช่วยสอดส่องและแจ้งเบาะแสเมื่อพบเห็นความผิดปกติในขั้นตอนจัดงาน—จากเวทีรับฟังเสียงชาวบ้านถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อทำให้ “วัฒนธรรมไม่ทนต่อการทุจริต” เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน

มหาดไทย–การคลัง–ก.ก.ถ. บทบาท “สามเสาหลัก” ที่ต้องเดินไปด้วยกัน

แกนปฏิบัติการที่ ป.ป.ช. เสนอ คือให้ กระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่กำกับ–สั่งการ อปท. ให้ยึดกฎหมาย/ระเบียบและแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน, ให้ กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ชี้แนวทาง TOR/ราคากลาง/สัญญา—และอบรมเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ, ส่วน สำนักงาน ก.ก.ถ. ทำหน้าที่ปรับโครงสร้าง–ข้อกำหนดที่เกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้หน่วยปฏิบัติสามารถทำงานได้คล่องโดยไม่หลุดกรอบธรรมาภิบาล ทั้งหมดถูกออกแบบให้เชื่อมกับการประเมิน ITA เพื่อเป็น “ตัวชี้วัดผล” ที่เปิดเผยต่อสาธารณะในแต่ละปีงบประมาณ

ตัวเลขที่ชวนคิด เมื่อ “ต้นทุนแฝง” กลายเป็นภาระประชาชน

ประสบการณ์หลายพื้นที่สะท้อนรูปแบบคล้ายกัน—เมื่อเอกชนผูกขาดพื้นที่และตั้งอัตราค่าธรรมเนียมสูง ผู้ค้าท้องถิ่นต้องชำระค่าแผงแพงกว่าคู่แข่งที่มากับผู้จัดงาน รายได้ส่วนหนึ่งไม่ไหลเข้าท้องถิ่น ขณะที่ค่าใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้น (ค่าจอดรถ/เข้าห้องน้ำ/บริการสาธารณะ) ข้อเสนอ “เปิดข้อมูลรายได้–รายจ่ายทุกงาน” และ “กำหนดเพดานค่าธรรมเนียมเป็นธรรม” จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนในชุมชนมองเห็นเส้นทางเงินของงานประเพณี—ว่ากลับมาเป็นสวัสดิการสาธารณะมากน้อยเพียงใด ไม่ใช่เพียง “ภาพจำสวยงาม” ของงานรื่นเริงเท่านั้น

เชียงรายในภาพใหญ่ จากเทศกาลท้องถิ่น สู่บททดสอบธรรมาภิบาลระดับพื้นที่

เชียงรายเป็นจังหวัดที่งานประเพณี–เทศกาลคือ “แรงขับเศรษฐกิจชุมชน” ตั้งแต่เทศกาลท้องถิ่น งานวัฒนธรรมไปจนถึงกิจกรรมสร้างสรรค์ใหม่ ๆ สิ่งที่ ป.ป.ช. เสนอจึงไม่ใช่ “ภาระ” ของผู้ปฏิบัติ หากเป็น “เข็มทิศ” ให้ผู้ว่าฯ อปท. และท้องที่–ท้องถิ่น จัดวาระร่วมกัน

  1. แผนล่วงหน้า—กำหนดพื้นที่จัดงาน ตรวจสอบสิทธิการใช้ที่ดิน ทำหนังสือขออนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของกรรมสิทธิ์ให้ครบถ้วน
  2. จัดซื้อจัดจ้างโปร่งใส—ประกาศ TOR ตามคู่มือ กค (กวจ) 0405/ว 159, ใช้วิธีแข่งขันเท่าที่ทำได้, เปิดข้อมูลสัญญาและผลพิจารณา
  3. จัดเก็บรายได้เป็นธรรม—กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมที่ “เป็นมิตรต่อผู้ค้า–ประชาชนท้องถิ่น” มีโควตาพื้นที่ให้ผู้ค้าชุมชน และเปิดเผยรายได้–รายจ่ายหลังปิดงาน
  4. เวทีตรวจสอบสาธารณะ—ตั้งคณะทำงานร่วมภาคประชาชน–สื่อ–สภาเด็กและเยาวชน ทำบทเรียนหลังงาน (after action review) และรายงานผลบนเว็บไซต์ อปท.

จาก “เอกสาร” สู่ “พฤติกรรมองค์กร” เมื่อตัวชี้วัดต้องแปลเป็นภาคปฏิบัติ

ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่การมีระเบียบ–คู่มือ หากอยู่ที่ วินัยของผู้ปฏิบัติ และ แรงจูงใจขององค์กร การหนุนใช้ ITA เป็น “กระจกเงา” ให้หน่วยงาน—ควบคู่การสื่อสารความเสี่ยง (risk communication) และการฝึกอบรมแบบลงมือทำ—เป็นกุญแจให้คะแนนโปร่งใส “ไม่ใช่แค่คะแนน” แต่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมที่ประชาชนสัมผัสได้ เช่น เห็น TOR ล่วงหน้าจริง เห็นราคากลาง เห็นสัญญา เห็นรายรับ–รายจ่ายหลังจบงานทุกงาน และสามารถถาม–ทัก–ตรวจได้ตลอดเวลา

เส้นทางคลี่คลายปม แผนเดินหน้าที่ “ทำได้ทันที”

  • ยึดกฎหมาย–ระเบียบเป็นฐาน: ใช้ระเบียบ มท. 2564 เป็น “คัมภีร์การเงินงานประเพณี” และ TOR ตาม ว 159 เป็น “แบบมาตรฐาน” ลดความเสี่ยงดุลพินิจส่วนบุคคล
  • เปิดข้อมูลเชิงรุก: ตั้งหน้าเว็บ “ศูนย์ข้อมูลงานประเพณี” ของแต่ละ อปท.—รวมปฏิทินงาน แผนที่พื้นที่ TOR ราคากลาง แบบร่างสัญญา ผลคัดเลือก รายได้–รายจ่าย และบทเรียนหลังงาน
  • ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง: กำหนดเพดานค่าธรรมเนียมแผง–จอดรถ–ห้องน้ำที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อคนในพื้นที่ สัดส่วนพื้นที่ค้าชุมชนต้องชัด
  • สร้างเครือข่าย STRONG: ผนึกโรงเรียน กลุ่มสตรี ผู้สูงอายุ สภาเด็ก–เยาวชน และสื่อท้องถิ่น ร่วมสอดส่องทุกขั้นตอน—จากเวทีรับฟังจนถึงวันปิดงาน

ทำให้งานประเพณี “คืนประโยชน์สาธารณะ” อย่างแท้จริง

ข้อเสนอของ ป.ป.ช. ทำให้ “งานประเพณี” ซึ่งเคยถูกมองเป็นเพียงกิจกรรมรื่นเริง กลับมามีนิยามสาธารณะครบมิติ—วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และธรรมาภิบาล เมื่อโครงกฎหมาย–คู่มือพร้อม ข้อมูลเปิด และประชาชนร่วมกำกับดูแล เม็ดเงินที่เคยรั่วไหลย่อมกลับมาเป็นงบสาธารณะสำหรับพื้นที่ ขวัญกำลังใจผู้ค้า–ชุมชนดีขึ้น ผู้เสียภาษีเห็นภาพชัดว่าเงินที่จ่ายไป “เวียนกลับมา” ในรูปบริการและโครงสร้างพื้นฐานอย่างไร

สำหรับเชียงราย—เมืองที่วัฒนธรรมคือทุน ชุมชนคือหัวใจ—การยกระดับมาตรฐานการจัดงานประเพณีตามแนวทางนี้ ไม่เพียงสร้างความเชื่อมั่นต่อรัฐและผู้จัดงาน หากยังเป็น “แบบฝึกหัดธรรมาภิบาล” รายปี ที่ทำให้ท้องถิ่นแข็งแรง โปร่งใส และยั่งยืนกว่าที่เคย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงาน ป.ป.ช. – “ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการจัดงานของ อปท. (กรณีจัดงานประเพณี)” (เผยแพร่ก.ค. 2568) และบทความอธิบายแนวคิด–มาตรการ (ก.ค. 2568). เอกสารอ้างอิงข้อเท็จจริงเรื่องความเสี่ยง 3 ประเด็นและแนวทางปฏิบัติที่เสนอฝ่ายนโยบาย
  • สำนักงาน ป.ป.ช. – หมวด “มาตรการป้องกันการทุจริต ปีงบประมาณ 2568” ซึ่งแสดงสถานะการพิจารณาของข้อเสนอที่ส่งต่อฝ่ายนโยบาย
  • กรมบัญชีกลาง – หนังสือด่วนที่สุด กค (กวจ) 0405/ว 159 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2566 เรื่องแนวทางจัดทำ TOR และสาระสำคัญที่ต้องมี สร้างมาตรฐานการพิจารณาและลดดุลพินิจ.
  • ระเบียบกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2564 ว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดงาน/กิจกรรมสาธารณะ/กีฬา ของ อปท. แนวทางต้นแบบสำหรับวินัยการเงินการคลังของท้องถิ่น (มีเอกสารเผยแพร่ใช้อ้างอิงโดยหน่วยงานท้องถิ่น)
  • โครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) โดยสำนักงาน ป.ป.ช.—กรอบคิด ตัวชี้วัด และการประกาศผลการประเมินหน่วยงานรัฐ ซึ่งใช้เป็น “กระจก” สะท้อนความก้าวหน้าด้านความโปร่งใส
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ป.ป.ช.เริ่มไต่สวนข้อร้องเรียนทุจริตสอบนายอำเภอ 2568 เดิมพันศรัทธาระบบราชการ

เดินเกมสอบ “รายชื่อผู้เกี่ยวข้อง” ปมร้องทุจริตสอบเข้าอบรมนายอำเภอ 2568 ป.ป.ช.เริ่มไต่สวนเบื้องต้น—เปิดฉากทดสอบศรัทธาระบบคุณธรรมราชการ

เชียงราย, 28 สิงหาคม 2568 —ข้อร้องเรียนเรื่องความไม่โปร่งใสในการคัดเลือกเข้าอบรมหลักสูตรนายอำเภอปี 2568 กำลังไหลบ่าเป็น “แรงกดดันสาธารณะ” ครั้งใหญ่ต่อระบบคุณธรรม (merit system) ของงานปกครองไทย เมื่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยสำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐที่ 3 เดินเกม ทำหนังสือเรียกข้อมูล–ชี้แจงข้อเท็จจริง จากทั้งข้าราชการในและนอกสังกัดกรมการปกครองตามเอกสารร้องเรียน ตอกย้ำ “เดิมพัน” ที่สูงกว่าคำว่าได้–เสียตำแหน่ง คือศรัทธาของประชาชนต่อความยุติธรรมในระบบสอบคัดเลือกของรัฐเอง

ปมร้องเรียนปะทุ จาก “เบาะแสรายชื่อ” สู่การไต่สวนเบื้องต้น

ผู้สื่อข่าวพิเศษได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า สำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐที่ 3 ป.ป.ช. (ที่ตั้งนนทบุรี) ได้ทยอยส่งหนังสือไปยังเจ้าหน้าที่หลายรายเพื่อขอทราบข้อเท็จจริงและเชิญชี้แจงพร้อมแนบพยานเอกสาร หลังมี เอกสารร้องเรียน กล่าวหาความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการคัดเลือกเข้า หลักสูตรนายอำเภอ ปี 2568 ของกรมการปกครอง

แกนกลางของข้อมูลร้องเรียน—ซึ่งเคยถูกเผยต่อสาธารณะผ่าน สำนักข่าวอิศรา—ถูกระบุว่าเริ่มต้นจากผู้ใช้ชื่อ “ข้าราชการผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม” ในสังกัดกรมการปกครอง ส่ง รายชื่อผู้เกี่ยวข้อง “จำนวนมาก” พร้อมกล่าวหาการ “เอื้อประโยชน์พวกพ้อง” จนกระทบขวัญกำลังใจของผู้ไม่มีเส้นสาย และเสนอให้ ยกเลิกการสอบ ครั้งนี้ รวมถึงให้ หน่วยงานกลางที่ไม่ใช่กรมการปกครอง เป็นผู้จัดสอบใหม่เพื่อสร้างความเป็นธรรม

อีกด้านหนึ่ง แหล่งข่าววิเคราะห์ว่า รายชื่อที่ถูกจับตา “ส่วนใหญ่” มีความเชื่อมโยงกับ เครือข่ายทางการเมืองกลุ่มหนึ่ง โดยคาดว่า กว่า 20 รายชื่อ จะถูกเชิญเข้าชี้แจงต่อ ป.ป.ช. เป็นลำดับ ซึ่งหากพบมูล อาจขยายผลไปสู่กระบวนการไต่สวนเชิงลึกต่อไป

จุดที่สังคมเฝ้ามอง มีข้อกล่าวหาว่าผู้ผ่านเข้ารับการอบรม 300 คน (ในสังกัด 285 และนอกสังกัด 15 ตามเสียงร้องเรียน) มี “สายสัมพันธ์” ใกล้ชิดผู้มีอำนาจ ทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และนักการเมือง จึงเรียกร้องตรวจสอบความเชื่อมโยงอย่างเร่งด่วน

เดิมพัน” ตำแหน่งนายอำเภอ ทำไมการสอบครั้งนี้ถึงสำคัญ

นายอำเภอ คือข้าราชการฝ่ายปกครองระดับหัวหน้าอำเภอที่ทำหน้าที่บูรณาการนโยบายรัฐกับความมั่นคง–บริการประชาชนในพื้นที่ ตั้งแต่งานทะเบียนราษฎร ความสงบเรียบร้อย การปกครองท้องที่ ไปจนถึงบูรณาการภัยพิบัติ–เศรษฐกิจฐานราก จึงไม่น่าแปลกเมื่อการเปิดคัดเลือกเข้าอบรมปีนี้ดึงดูดความสนใจ ข้าราชการผู้สมัครราว 1,700 คน แย่ง ที่นั่ง 300 ที่ โดยแบ่งเป็น สอบแข่งขัน 195 และ สายผู้มีประสบการณ์ 105 ที่ ความต้องการสูง–ที่นั่งจำกัด ทำให้ “แรงจูงใจแสวงหาช่องลัด” พุ่งขึ้นเป็นเงาตามตัว และคือบริบทที่ก่อให้เกิดข้อกล่าวหานานารูปแบบ

ข้อกล่าวหาหนัก “ขายข้อสอบหัวละ 3 ล้าน” และเครือข่ายเงินการเมือง

เมื่อ 3 เม.ย. 2568 นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์” เปิดเผยต่อสาธารณะว่า มีการ ลักลอบนำข้อสอบ 100 ข้อไปจำหน่าย ในราคา หัวละ 3 ล้านบาท โดยให้วางมัดจำ 1.5 ล้านบาท และจ่ายส่วนที่เหลือในวันนัดรับข้อสอบ (อ้างว่า 4 เม.ย.) เพื่อท่องคำตอบก่อนสอบจริง (5 เม.ย.) พร้อมระบุว่ามีผู้สมัคร “หลายสิบคน” เข้าเกณฑ์ จนวงเงินหมุนเวียนทั้งกระบวนการ 200–600 ล้านบาท และโยงว่าเงินจำนวนนี้ถูกส่งต่อสู่ พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง โดยมีบุคคลชื่อเล่น “นายทอง” ทำหน้าที่จัดการ

ข้อกล่าวหาเหล่านี้ยัง อยู่ในชั้นกล่าวอ้าง ต้องรอการพิสูจน์ตามกระบวนการ แต่ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนทางสังคม–การเมือง เพราะหากมีมูลจริง จะเป็นคดีเชิงโครงสร้าง ที่พัวพันผลประโยชน์มหาศาลระหว่าง “ระบบสอบ” และ “ทุนการเมือง”

 “สุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้”

4 เม.ย. 2568 นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง แถลงยืนยันว่า กระบวนการสอบทุกระดับดำเนินไปอย่างสุจริต โปร่งใส และยุติธรรม พร้อมเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อการแอบอ้าง และกรมฯ จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้เรียกรับผลประโยชน์

ต่อมา 21 เม.ย. 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ได้รับรายงานว่า “โปร่งใส รอบคอบ และตรวจสอบได้” พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เสียงกล่าวหาอาจมาจากผู้ไม่ผ่านการสอบ ย้ำว่าเรื่องใดมีมูลจะให้หน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบตามขั้นตอน

สาระสำคัญเชิงวิชาชีพสื่อ ขณะนี้ข้อกล่าวหาและคำชี้แจงเดินคู่ขนาน—สื่อมวลชนจึงต้องรายงานอย่างเป็นกลาง ใช้ถ้อยคำระวัง และยึด “ข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้” เป็นหลัก จนกว่าจะมีผลการไต่สวนยืนยัน

บทเรียนที่ไม่ควรถูกลืม คดีทุจริตสอบนายอำเภอ ปี 2552

เหตุการณ์ปี 2552 เป็น หมุดหมายสำคัญ ที่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำพิพากษาคดีทุจริตสอบนายอำเภอ—มีจำเลยรวม หลักร้อยราย ในจำนวนนี้รวมถึง อดีตอธิบดีกรมการปกครอง และ อดีตผู้อำนวยการส่วนกำนันผู้ใหญ่บ้าน ศาลพิพากษาจำคุกผู้บริหารระดับสูง 3 ปีโดยไม่รอลงอาญา และลงโทษผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ ฐานสนับสนุนการกระทำผิด แผนทุจริตในคดีนั้น แตกต่าง จากข้อกล่าวหาปี 2568 อย่างมีนัยสำคัญ—คือเป็น การแก้ไขสมุดคำตอบหลังสอบ” โดยเจ้าหน้าที่วงใน มากกว่าจะเป็น “การขายข้อสอบก่อนสอบ” ตามข้อกล่าวหาในปีนี้

ความเหมือน ระบบตรวจสอบที่เปิดช่องให้ เครือข่ายอำนาจ แทรกตัวได้
ความต่าง: จาก “แก้ในห้อง” → สู่ “ลอบนำออกก่อนถึงห้อง” (ตามข้อกล่าวหา) สะท้อน วิวัฒน์ของกลโกง เพื่อตอบโต้มาตรการป้องกันที่เข้มขึ้น

เกมยาวของ “กฎหมาย–วินัย–ความน่าเชื่อถือ”

  1. ชั้นไต่สวนเบื้องต้น (ป.ป.ช.) — รวบรวมคำให้การ พยานหลักฐาน หนังสือสั่งการ/การเบิกจ่าย/การติดต่อสื่อสาร หากพบ “มูลพอสมควร” จะ ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน
  2. ชั้นวินัย (ต้นสังกัด) — กรมการปกครอง/มหาดไทย/ก.พ. ดำเนินการคู่ขนานได้ หากมีหลักฐานชัดว่ามีพฤติการณ์ผิดวินัยร้ายแรง
  3. ชั้นอาญา — หากเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่/เรียกรับผลประโยชน์/ปลอมเอกสาร ฯลฯ จะเข้าสู่กระบวนการพนักงานอัยการ–ศาล
  4. มาตรการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส — เป็นเงื่อนปมสำคัญ เพราะคดีเชิงโครงสร้างมักพัวพันผู้มีอำนาจ จำเป็นต้องมี ช่องทางที่ปลอดภัย ให้ผู้รู้เห็นกล้าให้ข้อมูล

ตัวเลข” ที่ชวนคิด

  • 1,700 : 300 ที่นั่ง — อัตราแข่งขันสูงเป็นดินแดนสีเทาที่ แรงจูงใจ ต่อ “ช่องทางพิเศษ” โตตาม
  • 3,000,000 บาท/หัว — ราคาที่ถูกกล่าวหาในการซื้อข้อสอบ สะท้อน ผลประโยชน์ที่คาดหวัง จากการได้สถานะนายอำเภอ
  • 200–600 ล้านบาท — ขนาดวงเงินหมุนเวียนในข้อกล่าวหา หากพิสูจน์ได้จริง เทียบเท่า ระบบซื้อ–ขาย” มากกว่าการทุจริตรายย่อย
  • บทเรียนปี 2552 — การลงโทษระดับ “อดีตอธิบดี” ยืนยันว่ากฎหมาย ไปถึงตัวใหญ่ได้ หากหลักฐานถึง

เสียงของผู้เดือดร้อน บทพิสูจน์ความเป็นธรรม

ในเอกสารร้องเรียน ผู้แจ้งระบุชัดว่า ผู้ไม่มีเส้นสายเสียขวัญกำลังใจ” นี่คือคำสั้น ๆ แต่สะท้อนความรู้สึกใหญ่ ๆ ของข้าราชการจำนวนมาก ที่มองว่า โอกาสในระบบราชการควรตั้งอยู่บนความสามารถ ไม่ใช่ “วงการ–สายสัมพันธ์” การไต่สวนครั้งนี้จึงไม่ได้ชี้ชะตาเฉพาะคนกลุ่มหนึ่ง หากแต่เป็น บทพิสูจน์ศรัทธาทั้งระบบ ว่า “กระบวนการสอบของรัฐ” ยังยืนอยู่บนหลักความเสมอภาคจริงเพียงใด

ทางสองแพร่งของนโยบาย ซ่อมระบบ หรือซ่อมเฉพาะคดี

ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมาภิบาลชี้ว่า ขณะไต่สวนเดินหน้า ฝ่ายนโยบาย ควรเดินคู่ขนานด้วย 3 วาระเร่งด่วน

  1. แยกผู้จัดสอบออกจากผู้ใช้คนสอบ — ให้ หน่วยงานกลางอิสระ ทำหน้าที่จัดสอบ–เก็บข้อสอบ–ตรวจข้อสอบ แทนหน่วยงานผู้บังคับบัญชาทางสายงาน เพื่อลดความขัดแย้งทางผลประโยชน์
  2. ใช้เทคโนโลยีปิดช่องทุจริต — ระบบ ธนาคารข้อสอบแบบสุ่ม (Randomized Pools), ตรวจอัตโนมัติ, วิเคราะห์แพตเทิร์นผิดปกติด้วย AI และ บันทึกเส้นทางเอกสาร (audit trail) ตั้งแต่ผลิต–ขนส่ง–เก็บรักษา
  3. คุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส — จัด แพลตฟอร์มร้องเรียนปลอดภัย พร้อมคุ้มครองสถานะการงานและข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อดึง “คนเห็นเหตุ” ออกมาเป็น “คนเห็นค่า”

เกมยาวที่ชื่อ “ความเชื่อมั่น”

การเริ่มไต่สวนของ ป.ป.ช. คือสัญญาณว่ารัฐรับฟังสังคม และพร้อมคลี่คลายข้อสงสัยด้วย กลไกที่ตรวจสอบได้ ทว่า ปลายทางของคดี ไม่ได้วัดเพียง “ลงโทษได้กี่ราย” แต่คือการ “ปิดวงจร” ให้ การทุจริตสอบ ไม่หวนกลับมาเป็นระลอกใหม่ แตกหน่อเป็นเครือข่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หากหน่วยงานเกี่ยวข้องสามารถ คลี่คลายข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบ รวดเร็ว และโปร่งใส พร้อมวางมาตรการเชิงระบบเพื่ออุดช่องโหว่ ตั้งแต่วันนี้ วิกฤตศรัทธาครั้งนี้อาจแปรเป็น จังหวะปฏิรูป ที่ทำให้การคัดเลือกบุคลากรในตำแหน่ง “หัวใจของรัฐ” กลับมายืนอยู่บน ความสามารถ–ความเสมอภาค–ความยุติธรรม อย่างแท้จริง

สาระสำคัญสำหรับประชาชนและผู้สมัครในอนาคต ติดตามประกาศอย่างเป็นทางการจาก ป.ป.ช., กรมการปกครอง และกระทรวงมหาดไทย ตรวจสอบช่องทางรับร้องเรียนที่ปลอดภัย เก็บหลักฐานการสื่อสาร–เอกสารทุกชิ้น และหากพบพฤติการณ์ผิดปกติ แจ้งหน่วยงานโดยทันที—เพราะ “ระบบคุณธรรม” ต้องการพยานความจริงจากทุกคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) — แนวทางรับเรื่องร้องเรียนและกระบวนการไต่สวนข้อกล่าวหาทุจริตภาครัฐ (สำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐที่ 3)
  • กรมการปกครอง (กระทรวงมหาดไทย) — เอกสารชี้แจงกระบวนการสอบคัดเลือกเข้าอบรมหลักสูตรนายอำเภอ ปี 2568 (แถลงโดยอธิบดี 4 เม.ย. 2568)
  • กระทรวงมหาดไทย — คำให้สัมภาษณ์รัฐมนตรีว่าการฯ (21 เม.ย. 2568) เกี่ยวกับความโปร่งใสในการจัดสอบและการตรวจสอบได้
  • สำนักข่าวอิศรา (isranews.org) — รายงานพิเศษและข้อมูลร้องเรียนจาก “ข้าราชการผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม” เกี่ยวกับรายชื่อ–ความเชื่อมโยงในการคัดเลือกเข้าอบรมหลักสูตรนายอำเภอ 2568
  • คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง (คดีทุจริตสอบนายอำเภอ ปี 2552) — สรุปคำพิพากษาและรายชื่อผู้ถูกลงโทษในคดีดังกล่าว
  • ข้อมูลสาธารณะจากการแถลงข่าว/ข่าวสารทางการ เกี่ยวกับจำนวนผู้สมัคร (~1,700 ราย) และโควตาที่นั่ง (สอบแข่งขัน 195/ผู้มีประสบการณ์ 105) ของหลักสูตรนายอำเภอปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ทุจริตซ้ำซาก ครม. สั่งคุมเข้ม คนโกง ห้ามคืนสู่ระบบราชการ

ครม.ไฟเขียวมาตรการป้องกันทุจริต บล็อกข้าราชการทุจริตคืนสู่ระบบ

แนวทางใหม่เพื่อคัดกรองบุคลากรราชการ

ประเทศไทย,วันที่ 22 เมษายน 2568 – ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ศศิกานต์ วัฒนจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติรับทราบมาตรการป้องกันการทุจริตในการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยถูกให้ออกจากราชการจากกรณีทุจริตกลับเข้ารับราชการอีกครั้ง ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญตามข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

มอบสำนักงาน ก.พ. ขับเคลื่อนมาตรการร่วมหน่วยงานกลาง

นอกจากนี้ ครม. ยังได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) รับเป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาร่วมกับองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของรัฐ หน่วยงานกฎหมาย เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อนำไปสู่ข้อยุติในการปฏิบัติร่วมกัน โดยต้องสรุปผลและส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน

แนวทางคัดกรองบุคลากรที่เคยทุจริต

ตามข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อเสนอที่ชัดเจนให้มีการใช้บทบัญญัติของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) เป็นแนวทางหลักในการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของรัฐ โดยเสนอให้ระบุชัดเจนว่า ข้าราชการที่เคยถูกให้ออกจากราชการด้วยเหตุทุจริตถือเป็น “ลักษณะต้องห้าม” ไม่สามารถกลับเข้ารับราชการหรือเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐได้อีก

บังคับใช้ทั่วทุกหน่วยงานรัฐ

ข้อเสนอของ ป.ป.ช. กำหนดให้มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับหน่วยงานของรัฐทุกประเภท โดยให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งมีบทลงโทษต่อผู้บังคับบัญชาที่ฝ่าฝืน เช่น กรณีรับผู้ที่เคยกระทำทุจริตกลับเข้ารับราชการ

ขอความร่วมมือใช้แนวทางเดียวกันทั่วประเทศ

นอกจากนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำมติ ก.พ. ลงวันที่ 23 กันยายน 2556 เรื่องการบรรจุบุคคลผู้เคยกระทำผิดวินัยฐานทุจริตกลับเข้ารับราชการ มาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ เพื่อปิดช่องโหว่ไม่ให้เกิดการแต่งตั้งบุคคลที่เคยกระทำผิดเข้าระบบราชการอีก

บังคับใช้ตามรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ การเสนอแนวทางเหล่านี้ เป็นไปตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งบัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจในการเสนอแนะมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ

ครม.ต้องตอบกลับภายในกรอบเวลา

เมื่อ ครม. ได้รับแจ้งข้อเสนอจาก ป.ป.ช. หากมีเหตุไม่สามารถดำเนินการได้ จำเป็นต้องแจ้งเหตุผลและอุปสรรคให้ ป.ป.ช. ทราบภายใน 90 วัน ซึ่งในกรณีนี้ครบกำหนดวันที่ 8 มิถุนายน 2568

จุดยืนของรัฐบาลต่อปัญหาทุจริต

มาตรการดังกล่าวถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่ารัฐบาลปัจจุบันมีจุดยืนที่เข้มงวดต่อปัญหาการทุจริตในระบบราชการ โดยการป้องกันการกลับเข้ารับราชการของผู้กระทำผิดในอดีต ถือเป็นการเสริมสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของระบบราชการไทย

ประเด็นถกเถียงและการวิเคราะห์

ในแง่มุมของนักวิชาการ บางฝ่ายตั้งคำถามถึงความสมดุลของมาตรการนี้ ระหว่างการป้องกันทุจริต กับหลักสิทธิมนุษยชน เช่น สิทธิในการกลับตัวหรือได้รับโอกาสครั้งที่สอง ในขณะเดียวกัน ฝ่ายสนับสนุนมองว่าหากไม่กำหนดแนวทางชัดเจน ระบบราชการอาจกลายเป็นแหล่งรวมผู้มีประวัติไม่โปร่งใส และกระทบความเชื่อมั่นของประชาชนในระยะยาว

ตัวอย่างนโยบายใกล้เคียงในต่างประเทศ

ประเทศอย่างสิงคโปร์และเกาหลีใต้ต่างมีแนวทางคล้ายกันในการจำกัดโอกาสของข้าราชการที่เคยกระทำผิดทางวินัยให้กลับเข้าสู่ระบบอีกครั้ง โดยถือเป็นหลักการพื้นฐานในการควบคุมคุณภาพบุคลากรภาครัฐ

แนวโน้มในอนาคตของระบบบริหารงานบุคคล

นักวิเคราะห์ชี้ว่า หากมาตรการนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานราชการทั่วประเทศ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยยกระดับมาตรฐานการคัดเลือกบุคลากรภาครัฐ และอาจนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายด้านระเบียบราชการให้รัดกุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจากสำนักงาน ก.พ. ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2560 – 2567 มีข้าราชการที่ถูกให้ออกจากราชการด้วยเหตุทุจริตมากกว่า 2,100 ราย
  • รายงานจาก ป.ป.ช. ระบุว่า ในปี 2567 เพียงปีเดียว มีการร้องเรียนข้าราชการกระทำผิดวินัย รวม 527 กรณี
  • จากผลสำรวจโดยสำนักงาน ก.พ. ในปี 2566 ประชาชนกว่า 78.2% สนับสนุนนโยบายห้ามบรรจุข้าราชการที่เคยทุจริตกลับเข้าสู่ระบบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)
  • คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
  • ราชกิจจานุเบกษา
  • สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
  • ThaiPBS, Bangkok Post (รายงานข่าวย้อนหลังเกี่ยวกับการบรรจุข้าราชการทุจริต)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS

กฎหมายป้องกันฟ้องปิดปากสำเร็จ ไทยชาติแรกเอเชีย ACT หนุนต่อยอด

ACT สนับสนุนกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก ปลดล็อก 10 ปีแห่งการรอคอย

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันชื่นชม “รัฐสภา-ป.ป.ช.” พร้อมเสนอแนวทางเพิ่มเติม

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ออกแถลงการณ์ต้อนรับการบังคับใช้ มาตรการป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP Law) ซึ่งช่วยปกป้องผู้แจ้งเบาะแส คุ้มครองสิทธิในการแสดงออก และเสริมสร้างความมั่นใจในการต่อต้านคอร์รัปชัน ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีกฎหมายนี้

มาตรการป้องกันการฟ้องปิดปาก” สร้างความมั่นใจให้ประชาชน

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT ระบุว่า กฎหมายดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้แจ้งเบาะแส นักกิจกรรม และสื่อมวลชนถูกฟ้องร้องหรือคุกคามโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งกฎหมายนี้เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้ประชาชนกล้าตรวจสอบและเปิดเผยพฤติกรรมทุจริตมากขึ้น

3 ประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งศึกษาเพิ่มเติม

  1. สิทธิผู้บริโภค – ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบและการปกปิดข้อมูลสำคัญของสินค้าและบริการ
  2. สิ่งแวดล้อม – การทำลายทรัพยากรธรรมชาติและการบุกรุกพื้นที่ป่า
  3. สิทธิมนุษยชน – การละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนโดยภาครัฐและเอกชน

ที่มาของกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก

กฎหมายนี้มีต้นกำเนิดจากข้อเรียกร้องของภาคประชาสังคมที่เห็นถึงปัญหาการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือข่มขู่และปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก โดยเริ่มต้นจากข้อเสนอของ สภาปฏิรูปแห่งชาติในปี 2558 และได้รับการผลักดันจนผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในปี 2568

หลักการสำคัญของกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก

  1. การปกป้องสิทธิในการแสดงออก – ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์และร้องเรียนเกี่ยวกับประเด็นสาธารณะได้โดยไม่ถูกฟ้องร้องโดยไม่มีเหตุผล
  2. การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส – ให้การป้องกันบุคคลที่เปิดเผยข้อมูลการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ
  3. การเร่งพิจารณาคดี – ศาลสามารถพิจารณายุติคดีที่เข้าข่ายการฟ้องปิดปากได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลดภาระของผู้ถูกฟ้อง

บทบาทของ “ป.ป.ช.” ในการบังคับใช้กฎหมาย

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและกำกับดูแลการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก โดยมีหน้าที่ดังนี้:

  • ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ถูกฟ้องร้อง
  • สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี
  • ประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อป้องกันการใช้กฎหมายโดยมิชอบ

ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

  1. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน – ผู้คนจะกล้าออกมาร้องเรียนและตรวจสอบการทุจริตมากขึ้น
  2. ลดการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือข่มขู่ – นักธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตจะไม่สามารถใช้กฎหมายเพื่อปิดปากผู้เห็นต่างได้
  3. เพิ่มความเชื่อมั่นของนานาชาติ – การมีกฎหมายนี้ช่วยให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นด้านสิทธิมนุษยชนและธรรมาภิบาล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากรายงานของ Transparency International ปี 2567 พบว่า 85% ของประชาชน เห็นว่าคอร์รัปชันเป็นปัญหาหลักของประเทศ
  • สถาบันเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย ระบุว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีกรณีฟ้องปิดปากเพิ่มขึ้น กว่า 150% ในภูมิภาคเอเชีย
  • สำนักข่าว Reuters รายงานว่า กว่า 60 ประเทศทั่วโลก ได้ออกกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน

สรุป

กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องสิทธิของประชาชนและส่งเสริมธรรมาภิบาลในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังต้องเร่งศึกษาแนวทางเพิ่มเติมเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพสูงสุด และครอบคลุมประเด็นสิทธิผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชนอย่างทั่วถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) / องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

สว. ยื่นเชือด “ทวี” กล่าวหาฮั้วเลือก ผิดอั้งยี่

มงคล” ยื่น ป.ป.ช. สอบ “ทวี-อธิบดีดีเอสไอ” ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีฮั้วเลือก ส.ว.

รัฐสภา, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – นาย มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ทำหนังสืออย่างเป็นทางการถึง ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้พิจารณาไต่สวน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณี ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหา ฮั้วเลือก ส.ว.” ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิด อั้งยี่และฟอกเงิน

การยื่นเรื่องนี้เป็นไปตาม ความประสงค์ของสมาชิกวุฒิสภา ที่ต้องการให้ ป.ป.ช. พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

ที่มาของการร้องเรียน: ข้อกล่าวหาเรื่อง “ฮั้วเลือก ส.ว.”

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พร้อมคณะ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายมงคล สุระสัจจะ ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.อ.ทวี และ พ.ต.ต.ยุทธนา โดยระบุว่าทั้งสองบุคคลมีพฤติกรรมเข้าข่าย

  • กระทำผิดมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
  • ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ตามมาตรฐานจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ
  • อาจเข้าข่ายความผิดฐานอั้งยี่และฟอกเงิน จากกรณีข้อกล่าวหาการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา

โดยหนังสือที่ยื่นถึงประธานวุฒิสภาเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ได้รับการพิจารณา และ ดำเนินการส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. ในวันที่ 28 ก.พ. อย่างเร่งด่วน

พ.ต.อ.ทวี – พ.ต.ต.ยุทธนา อาจถูกสอบสวนอย่างละเอียด

กรณีนี้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ต้องเผชิญกับการพิจารณาจาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งอาจนำไปสู่การไต่สวนในรายละเอียด และหากพบว่ามีมูลความผิดจริง อาจส่งผลให้ทั้งสองคนต้องรับโทษตามกฎหมายและมาตรฐานทางจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ

มาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ระบุว่า เจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อาจมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท

มาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ หากพิสูจน์ได้ว่า ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม อาจนำไปสู่โทษสูงสุดคือ ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง และเพิกถอนสิทธิทางการเมือง

ปฏิกิริยาทางการเมืองและผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล

การยื่นเรื่องสอบสวนในครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในแวดวงการเมือง โดยเฉพาะในกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสรรหา ส.ว.

นักวิเคราะห์การเมืองมองว่า กรณีนี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดแรงกดดันต่อรัฐบาลและฝ่ายบริหาร เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสูงในหน่วยงานสำคัญ และหากมีการดำเนินคดี อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของกระบวนการยุติธรรมของไทย

ขณะที่ สภาวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ อาจมีท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้น หากพบว่าข้อกล่าวหานี้มีมูลจริง

แนวโน้มการพิจารณาของ ป.ป.ช. และกระบวนการต่อไป

หลังจากการรับเรื่องจากประธานวุฒิสภา ป.ป.ช. มีอำนาจในการ

  • แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวน เพื่อสืบสวนข้อเท็จจริง
  • เรียกพยานบุคคลและเอกสารหลักฐาน ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว
  • ตรวจสอบเส้นทางการเงิน หากพบว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายฟอกเงิน
  • เสนอมาตรการลงโทษทางกฎหมายและทางจริยธรรม

กระบวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี ขึ้นอยู่กับปริมาณหลักฐานและความซับซ้อนของคดี

สถิติที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตในไทย

  • จำนวนคดีทุจริตที่ ป.ป.ช. รับเรื่องในปี 2567: 6,842 คดี (ที่มา: ป.ป.ช.)
  • จำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง: 1,253 คดี (ที่มา: ป.ป.ช.)
  • จำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกตั้ง ส.ว. และ ส.ส.: 187 คดี (ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง – กกต.)
  • คดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 157 ที่ ป.ป.ช. ส่งฟ้องในศาลอาญาคดีทุจริต: 82 คดี (ที่มา: ป.ป.ช.)

บทสรุป

กรณีนี้ถือเป็น ประเด็นร้อนทางการเมืองและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อ ภาพลักษณ์ของรัฐบาล และ ระบบการตรวจสอบภาครัฐ หาก ป.ป.ช. มีมติรับไต่สวน คดีนี้อาจนำไปสู่ การเปิดโปงขบวนการทุจริตในวงการเมืองระดับสูง อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

รัฐบาลและวุฒิสภาจะต้องจับตา ผลสรุปของ ป.ป.ช. อย่างใกล้ชิด และคาดว่าการพิจารณาคดีนี้ จะเป็นที่จับตามองจากประชาชน และองค์กรต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสทางการเมืองของไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : รัฐสภา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ป.ป.ช.เชียงราย ลุยตลาดร้าง 49 ล้าน ประชาชนร้องทิ้งขว้าง เทศบาลยังเงียบ!

ป.ป.ช.เชียงรายร่วมชมรม STRONG ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการตลาดชายแดนไทย-ลาว หลังถูกปล่อยร้าง

เชียงราย, 26 กุมภาพันธ์ 2568 (Reuters) – สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประจำจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ ชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่เทศบาลตำบลม่วงยาย อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจสอบ โครงการตลาดชายแดนไทย-ลาว ห้วยลึก ที่ใช้งบประมาณ 49.31 ล้านบาทในการก่อสร้าง แต่กลับถูกปล่อยร้าง ไม่มีการใช้งาน

การลงพื้นที่ติดตามและตรวจสอบข้อร้องเรียน

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 นายกิตติศักดิ์ พิมสาร ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ นายนั้ง แสงเพชรไพบูรณ์ หัวหน้ากลุ่มงานป้องกันการทุจริต พร้อมด้วย นางวันดี ราชชมภู ประธานกรรมการชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดเชียงราย นำคณะกรรมการชมรมลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อร้องเรียนที่ได้รับจากสมาชิกเกี่ยวกับ โครงการตลาดชายแดนไทย-ลาว ห้วยลึก

โครงการก่อสร้างที่ยังไร้การใช้งาน

โครงการดังกล่าวได้รับการก่อสร้างโดยใช้งบประมาณ 49,310,000 บาท แต่จากการตรวจสอบพบว่า ไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์ เทศบาลตำบลม่วงยายได้รับการถ่ายโอนโครงการจาก กรมโยธาธิการและผังเมือง เมื่อปี 2567 และแม้จะมีแผนการบริหารจัดการตลาด แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน

ป.ป.ช.ให้คำแนะนำแนวทางแก้ไข

ป.ป.ช.เชียงรายได้เสนอแนะให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งพิจารณานำสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับการถ่ายโอนมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงตรวจสอบสาเหตุของความล่าช้าในการดำเนินโครงการ พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายมีความโปร่งใสและคุ้มค่าต่องบประมาณที่ใช้จ่าย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • งบประมาณโครงการก่อสร้างตลาดชายแดนไทย-ลาว ห้วยลึก: 49.31 ล้านบาท (ที่มา: กรมโยธาธิการและผังเมือง)
  • จำนวนโครงการก่อสร้างในเชียงรายที่ได้รับการร้องเรียนเรื่องความล่าช้าและการทุจริตในปี 2567: 12 โครงการ (ที่มา: ป.ป.ช.เชียงราย)
  • ตลาดที่ยังไม่เปิดใช้งานในพื้นที่ภาคเหนือ: มากกว่า 25 แห่ง (ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • ความล่าช้าเฉลี่ยของโครงการภาครัฐในภาคเหนือ: 12-18 เดือน (ที่มา: สำนักงานงบประมาณแห่งชาติ)

สำนักงาน ป.ป.ช.เชียงรายระบุว่า จะยังคงติดตามความคืบหน้าของโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง และเปิดรับแจ้งเบาะแสจากประชาชนผ่านสายด่วน ป.ป.ช. หมายเลข 1205

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ป.ป.ช. ประเมินความโปร่งใส ปี 67 จ.เชียงราย ได้เฉลี่ย 91.62 คะแนน

 

เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 67 สำนักงาน ป.ป.ช. โดยสำนักประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส จัดงานประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และมอบรางวัล ITA AWARDS 2024 ขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐที่เข้าร่วมการประเมินได้รับทราบและนำผลการประเมินดังกล่าวไปพัฒนา ปรับปรุง และยกระดับให้หน่วยงานภาครัฐของประเทศไทยมีความโปร่งใส และมีการปฏิบัติงานตามหลักธรรมาภิบาล ตลอดจนสื่อมวลชน และสาธารณชนทั่วไป จะได้มีส่วนร่วมในการสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพในการเปิดเผยข้อมูล และบริการของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเป็นประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในระบบราชการ และเสริมสร้างให้เกิดกระแสการไม่ทนต่อการทุจริตต่อไป

 

โดยมี พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้ประกาศผลการประเมินคุณธรรมฯ และเป็นผู้มอบรางวัล ITA AWARDS 2024 พร้อมทั้ง นายนิวัติชัย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์พิเศษ ในหัวข้อ “สถานการณ์การทุจริตของประเทศไทยในปัจจุบัน : ปัญหาและทางออก” และนายทวิชาติ นิลกาญจน์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับการประเมินในหัวข้อ “การควบคุมคุณภาพการประเมิน ITA และการส่งเสริมธรรมาภิบาลในหน่วยงานภาครัฐ” ด้วย

 

พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า การประเมิน ITA ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 นี้ มีหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศที่เข้าร่วมการประเมิน ทั้งสิ้น 8,325 หน่วยงาน โดยเริ่มเข้าสู่กระบวนการประเมินตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 และสิ้นสุดการประเมินในวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ภายใต้การกำกับดูแลมาตรฐานการประเมินและความถูกต้องน่าเชื่อถือทางวิชาการ โดยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ซึ่งผลการดำเนินการที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐที่เข้ารับการประเมินทุกหน่วยงานและหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำกับดูแลและขับเคลื่อนการประเมิน ITA เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีส่วนร่วมในการเข้ามามีส่วนร่วมในการตอบแบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน (แบบวัด IIT) ของบุคลากรภาครัฐ และการตอบแบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (แบบวัด EIT) ของประชาชนที่มาติดต่อหรือรับบริการหน่วยงานภาครัฐ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,369,235 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 362,989 คน ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 461,440 คน และประชาชนผู้มาติดต่อหรือรับบริการหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 907,795 คน ซึ่งถือว่ามีผู้เข้ามามีส่วนร่วมในการประเมินเป็นจำนวนมาก ในสัดส่วนที่สามารถสะท้อนผลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐด้านคุณธรรมและความโปร่งใสได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีความน่าเชื่อถือทางวิชาการเช่นเดียวกันกับการดำเนินการในปีที่ผ่านมา อันจะเป็นข้อมูลสำคัญที่หน่วยงานภาครัฐจะได้นำไปปรับปรุงและพัฒนาหน่วยงานของตนเองได้อย่างเป็นมาตรฐานเดียวกัน

 

โดยผลคะแนนการประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ในภาพรวมระดับประเทศ พบว่า มีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 93.05 คะแนน ซึ่งมีทิศทางแนวโน้นที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 2.86 คะแนน และเมื่อพิจารณาสัดส่วนของหน่วยงานภาครัฐที่เข้ารับการประเมินที่มีคะแนนผลการประเมินในระดับ 85 คะแนนหรือระดับผ่านขึ้นไป พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 7,696 หน่วยงาน คิดเป็นสัดส่วน 92.44 % ของหน่วยงานทั้งหมด 8,325 หน่วยงาน โดยเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาถึง 11.50 % และค่าเป้าหมายแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น (21) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่ได้กำหนดให้คะแนนเฉลี่ยการประเมินคุณธรรมฯ ทุกหน่วยงานในประเทศต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 89 คะแนน ซึ่งปรากฎว่าผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 93.05 นั้น ผ่านตามค่าเป้าหมายตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ที่กำหนดไว้

 

สำหรับผลการประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ที่มีคะแนนผลการประเมินสูงสุดในแต่ละกลุ่มหน่วยงาน มีดังต่อไปนี้

  • กลุ่มหน่วยงานของศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ และหน่วยงานในรัฐสภา ได้แก่ สำนักงานศาลปกครอง ได้คะแนน 97.62 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดี”
  • กลุ่มส่วนราชการระดับกรม ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ได้คะแนน 99.31 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดีเยี่ยม”
  • กลุ่มรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ได้คะแนน 98.96 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดีเยี่ยม”
  • กลุ่มองค์การมหาชน สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ได้คะแนน 97.02 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดี”
  • กลุ่มหน่วยงานอื่นของรัฐ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
    และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ได้คะแนน 97.27 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดีเยี่ยม”
  • กลุ่มกองทุน ได้แก่ กองทุนยุติธรรมได้คะแนน 94.54 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่าน”
  • กลุ่มสถาบันอุดมศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี ได้คะแนน 98.70 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดี”
  • กลุ่มราชการส่วนภูมิภาค (จังหวัด) ได้แก่ จังหวัดแพร่ ได้คะแนน 100 คะแนน อยู่ในระดับ
    “ผ่านดีเยี่ยม”
  • กลุ่มองค์การบริหารส่วนจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้คะแนน 99.73 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดีเยี่ยม”
  • กลุ่มเทศบาลนคร ได้แก่ เทศบาลนครเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ได้คะแนน 99.47 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดีเยี่ยม”
  • กลุ่มเทศบาลเมือง ได้แก่ เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ได้คะแนน 99.67 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดีเยี่ยม”
  • กลุ่มเทศบาลตำบล ได้แก่ เทศบาลตำบลโคกสูงสัมพันธ์ อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น
    เทศบาลตำบลสามขา อำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด และเทศบาลตำบลเมืองไพร อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งได้คะแนนเท่ากันที่ 100 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดีเยี่ยม”
  • องค์การบริหารส่วนตำบล ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองไข่นก อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี และองค์การบริหารส่วนตำบลเอราวัณ อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งได้คะแนนเท่ากันที่ 100 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดีเยี่ยม”

 

รางวัลที่สอง ประเภทรางวัลจังหวัดที่ขับเคลื่อน ITA บรรลุเป้าหมาย ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ สูงสุด 10 จังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2567

  • จังหวัดแรก ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส ได้คะแนน 98.79 คะแนน
  • จังหวัดที่ 2 ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ได้คะแนน 97.93 คะแนน
  • จังหวัดที่ 3 ได้แก่ จังหวัดสิงห์บุรี ได้คะแนน 97.67 คะแนน
  • จังหวัดที่ 4 ได้แก่ จังหวัดแพร่ ได้คะแนน 97.63 คะแนน
  • จังหวัดที่ 5 ได้แก่ จังหวัดสกลนคร ได้คะแนน 97.32 คะแนน
  • จังหวัดที่ 6 ได้แก่ จังหวัดปทุมธานี ได้คะแนน 97.12 คะแนน
  • จังหวัดที่ 7 ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร ได้คะแนน 97.11 คะแนน
  • จังหวัดที่ 8 ได้แก่ จังหวัดบึงกาฬ ได้คะแนน 96.90 คะแนน
  • จังหวัดที่ 9 ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ ได้คะแนน 96.87 คะแนน
  • จังหวัดที่ 10 ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้คะแนน 96.87 คะแนน

 

รางวัลที่สามจะเป็นประเภทรางวัลหน่วยงานที่มีพัฒนาการสูงสุด ในแต่ละประเภท มีทั้งสิ้น
12 รางวัล
 

  • ลำดับที่ 1 กลุ่มรัฐวิสาหกิจ ได้แก่

    บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด 92.37 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 9.28 คะแนน

  • ลำดับที่ 2 กลุ่มสถาบันอุดมศึกษา ได้แก่

    มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช 90.75 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 34.25 คะแนน

  • ลำดับที่ 3 กลุ่มส่วนราชการระดับกรม ได้แก่

    สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ 99.31 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 34.2 คะแนน

  • ลำดับที่ 4 กลุ่มหน่วยงานของศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ และหน่วยงานรัฐสภา ได้แก่

    สถาบันพระปกเกล้า 95.19 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 4.28 คะแนน

  • ลำดับที่ 5 กลุ่มหน่วยงานอื่นของรัฐ ได้แก่

    สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน 95.92 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 3.31 คะแนน

  • ลำดับที่ 6 กลุ่มองค์การมหาชน ได้แก่

    สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) 87.99 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 35.63 คะแนน

  • ลำดับที่ 7 กลุ่มราชการส่วนภูมิภาค (จังหวัด) ได้แก่

    จังหวัดชลบุรี 96.43 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 10.04 คะแนน

  • ลำดับที่ 8 กลุ่มเทศบาลตำบล ได้แก่

    เทศบาลตำบลบ้านโป่ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ 96.34 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 50.52 คะแนน

  • ลำดับที่ 9 กลุ่มเทศบาลนคร ได้แก่

    เทศบาลนครรังสิต อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 98.25 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 15.58 คะแนน

  • ลำดับที่ 10 กลุ่มเทศบาลเมือง ได้แก่

    เทศบาลเมืองเพชรบุรี อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี 98.29 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 36.21 คะแนน

  • ลำดับที่ 11 กลุ่มองค์การบริหารส่วนจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี 99.65 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 7.58 คะแนน
  • ลำดับที่ 12 กลุ่มองค์การบริหารส่วนตำบล ได้แก่

    องค์การบริหารส่วนตำบลหนองจอก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี 95.16 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 49.61 คะแนน

 

รางวัลสุดท้าย ประเภทรางวัลหน่วยงานส่วนกลางที่มีผลการประเมิน “ผ่านดีเยี่ยม” จำนวนทั้งสิ้น 9 หน่วยงาน

  • ลำดับที่ 1 ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ได้คะแนน 99.31 คะแนน
  • ลำดับที่ 2 ได้แก่ กองทัพเรือ ได้คะแนน 99.21 คะแนน
  • ลำดับที่ 3 ได้แก่ ธนาคารออมสิน ได้คะแนน 98.96 คะแนน
  • ลำดับที่ 4 ได้แก่ การประปานครหลวง ได้คะแนน 98.84 คะแนน
  • ลำดับที่ 5 ได้แก่ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ได้คะแนน 98.46 คะแนน
  • ลำดับที่ 6 ได้แก่ กรมการศาสนา ได้คะแนน 98.30
  • ลำดับที่ 7 ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ได้คะแนน 97.94 คะแนน
  • ลำดับที่ 8 ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ ได้คะแนน  97.27 คะแนน
  • ลำดับที่ 9 ได้แก่ การยาสูบแห่งประเทศไทย ได้คะแนน 97.22 คะแนน

 

นอกจากการประกาศผลการประเมินแล้ว ภายในงานได้มีการมอบรางวัล ITA AWARDS 2024 ให้กับหน่วยงานภาครัฐที่เข้าร่วมการประเมินคุณธรรมฯ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่หน่วยงานภาครัฐที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ และมีผลการประเมินตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว โดยรางวัล ITA AWARDS 2024 มีรางวัลจำนวน 4 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่ 1 รางวัลหน่วยงานที่มีผลการประเมินสูงสุด ประเภทที่ 2 รางวัลจังหวัดที่ขับเคลื่อน ITA บรรลุเป้าหมาย ประเภทที่ 3 รางวัลหน่วยงานที่มีพัฒนาการสูงสุด และประเภทที่ 4 รางวัลหน่วยงานส่วนกลางที่มีผลการประเมิน “ผ่านดีเยี่ยม”

 

สำหรับประชาชนและผู้ที่สนใจ สามารถดาวน์โหลดเอกสารและเข้าดูรายละเอียดผลการประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และการประกาศผลการประเมินคุณธรรมฯ และการมอบรางวัล ITA AWARDS 2024 ได้ที่เว็บไซต์ https://itas.nacc.go.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส สำนักงาน ป.ป.ช. ทาง Line Official Account : @ITAS ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS TOP STORIES

พบทั่วโลกติดสินบน 2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5% ของจีดีพีโลก

 เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2567 ที่โรงแรมสวิสโซเทล สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต ร่วมกับหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย พร้อมจัดเสวนาหัวข้อ “การต่อต้านการทุจริตในภาคเอกชนและบทบาทของภาคเอกชนไทย” 

นายนิติพันธุ์ ประจวบเหมาะ รองเลขาธิการ ป.ป ช. กล่าวตอนหนึ่งว่า การคอร์รัปชัน ติดสินบนพนักงานของรัฐเป็นสิ่งที่เลวร้ายสำหรับการทำธุรกิจ ธนาคารโลกประมาณการว่าในแต่ละปีมีค่าใช้จ่ายสำหรับติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน world economic forum ประมาณการตัวเลขความเสียหายที่เกิดจากการทุจริตอยู่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5% ของจีดีพีโลก

 

สำหรับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ป.ป.ช. ได้ประสานการทำงานร่วมกับบริษัทต่างชาติ และทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ขณะเดียวกัน เมื่อเข้ามาแล้วต้องปฏิบัติตามมาตรฐานอนุสัญญาต่อต้านการทุจริต กำหนดให้รัฐภาคีจะต้องออกมาตรการส่งเสริมและป้องกันการทุจริต ส่งเสริมคุณธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรมองค์กรไม่ยอมรับการทุจริต ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน รวมถึงความรับผิดทางอาญากรณีการทุจริตทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐและเจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงนิติบุคคลที่มีส่วนร่วมในการทุจริต และให้สัญญาเป็นโมฆะ ทั้งนี้ ป.ป.ช. พยายามแก้ไขกฎหมายให้สามารถเอาผิดซ้ำใน 2 ประเทศอีกด้วย ขณะนี้ไทยมุ่งหวังจะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการติดสินบน ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 44 ประเทศ

 

ด้าน นางวีเบกเกอ เลอเซนด์ เลอแวก (Mrs.Vibeke Lyssand Leivag ) ประธานหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าต่างประเทศฯ ทำงานในประเทศไทยมา 48 ปีแล้ว มีสมาชิก 36 บริษัท มีเครือข่าย 8,000 – 9,000 บริษัท เพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคบริการที่เติบโตและยังมีโอกาสในการลงทุนมากมาย ประเทศไทยยังอยู่ในพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ที่สามารถนำไปสู่ตลาดอาเซียนได้ มีมาตรการจูงใจการลงทุนจำนวนมาก แต่โอกาสมาพร้อมกับความท้าทาย ทั้งการแข่งขันในภาคธุรกิจ และระบบราชการไทยที่ซับซ้อน เรื่องเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาจะมีการประท้วง มีการรัฐประหาร ที่จริงรัฐบาลปัจจุบันให้การส่งเสริมการลงทุนจำนวนไม่น้อย แต่สิ่งที่ต้องทำเพิ่มคือการปรับปรุงระบบการศึกษา เพิ่มทักษะการทำงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ รวมไปถึงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน โลจิสติกส์และสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อเอื้อต่อการทำธุรกิจ

 

เหตุผลที่กล่าวมาเหล่านี้ มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนและประกอบธุรกิจในประเทศไทย รวมถึงการทุจริตคอร์รัปชันซึ่งมีความเสี่ยงต่อชื่อเสียงไม่น้อย จะเห็นว่าดัชนีการทุจริตไม่ได้มีการพัฒนาขึ้น จากปี 2018 ตกลงจากอันดับที่ 99 มาอยู่ที่ลำดับ 108 จะเห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชันทำให้เกิดปัญหาในการประกอบธุรกิจ เกิดความไม่ยุติธรรมหากไม่มีการจ่ายค่าน้ำชา เราอยากมีส่วนร่วมในการก่อให้เกิดความยุติธรรม เป็นธรรมในการประกอบธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐ เอกชน และภาควิชาการจะต้องทำงานร่วมกัน

 

นางกุลภัทรา สิโรดม ประธานกรรมการสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย กล่าวว่า ถ้าบริษัทมีกรรมการที่ดี เราสามารถลดการติดสินบนและการทุจริตลงได้ทั้งในบริษัทและนอกบริษัท รวมถึงทั้งในประเทศและนอกประเทศด้วย ซึ่งสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2010 เพื่อป้องกันการคอร์รัปชันโดยสมัครใจ มีการจัดทำหลักสูตรการศึกษาเพื่อต่อต้านการทุจริต อิงตามมาตรฐานนานาชาติ ทำการอบรมการวิเคราะห์และควบคุมลดปัญหาการทุจริตภายในองค์กรของตัวเอง และยังมีโปรแกรมผู้นำจริยธรรมที่พยายามจะช่วยผู้บริหารให้ตัดสินใจเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ ได้

 

ขณะที่นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ กรรมการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เห็นว่า การสร้างคุณธรรมและค่านิยมต่อเยาวชนไทยในการต่อต้านการทุจริตถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะลดโอกาสการทุจริตในประเทศไทยลงได้ รวมถึงร่วมกับภาครัฐในการส่งเสริมการเปิดเผยการทุจริตทุกประเภท โดยเฉพาะการจัดจัดซื้อจัดจ้างในภาครัฐ การสนับสนุนการผลักดันการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กฎหมายเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ จะทำให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น.

  

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

 NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAMกองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News

MOST POPULAR
FOLLOW ME


Facebook


Times


Instagram


Youtube


Line

NEWS UPDATE
BREAKING NEWS


ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2566


ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2566



ข่าวเด่นน่าติดตามวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2566


ข่าวเด่นน่าติดตามวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2566



ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2566


ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2566

xemeaino


Categories
NEWS UPDATE

MOU ปราบปรามการทุจริต การสอบแข่งขันบรรจุพนักงานส่วนท้องถิ่น ปี 67

 

เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 67 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมราชสีห์ กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภาคีเครือข่ายการป้องกัน ต่อต้าน และปราบปรามการทุจริตการสอบแข่งขันท้องถิ่นเพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ประจำปี 2567 โดยมี นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย คือ นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายณรงวิทย์ สุวรรณสิทธิ์ ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. พลตำรวจตรี ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และนายคำรณ โกมลศุภกิจ ประธานกรรมการกลางการสอบแข่งขันพนักงานส่วนท้องถิ่น (กสถ.) ร่วมลงนาม

 

 

โอกาสนี้ นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทยรักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมที่ดิน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง นายอุทิศ บัวศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะผู้บริหารระดับสูง และสื่อมวลชน ร่วมงาน นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้กล่าวว่า กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จะมีการจัดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นในปี พ.ศ. 2567 นี้ ซึ่งมีตำแหน่งว่างประมาณ 6,238 อัตรา โดยคาดว่าจะมีผู้สมัครสอบมากกว่า 600,000 คน กระจายไปตามภูมิภาคของศูนย์สอบ และสนามสอบต่าง ๆ ทั่วประเทศ ได้ปรากฏข่าวว่ามีกระบวนการทุจริตการสอบแข่งขันหลายกลุ่ม 
 
 
ดังนั้น เพื่อให้การสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นเป็นไปด้วยด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ จึงได้จัดทำพิธีลงนามทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือภาคีเครือข่ายการป้องกัน ต่อต้าน และปราบปรามการทุจริตการสอบแข่งขันท้องถิ่นเพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ระหว่าง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) และคณะกรรมการกลางการสอบแข่งขันพนักงานส่วนท้องถิ่น (กสถ.) โดยมีเจตนารมณ์ในการร่วมเป็นภาคีเครือข่ายป้องกัน ต่อต้าน และปราบปรามการทุจริตทุกรูปแบบเกี่ยวกับการสอบแข่งขัน และจะร่วมกันส่งเสริม สนับสนุน เผยแพร่ และประสานงานให้เกิดความร่วมมือกันในการป้องกันการทุจริตการสอบแข่งขัน รวมทั้งรวมตัวกันในการจัดกิจกรรมต่อต้านการทุจริตการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นด้วย
 
 
“เพื่อแสดงจุดยืนของกระทรวงมหาดไทยในการ จึงมอบนโยบายและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น คือ 
 
1. มหาวิทยาลัยที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหน่วยงานในการจัดสอบแข่งขัน ต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดและรัดกุม เพื่อป้องกันมิให้ข้อสอบและคำตอบรั่วไหลในทุกขั้นตอน หากปรากฏหลักฐานว่ามีการทุจริตที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดสอบ มหาวิทยาลัยต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย 
 
2. ผู้สมัครสอบแข่งขัน ต้องให้ความร่วมมือ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติในการสมัครเข้าสอบแข่งขัน หากปรากฏหลักฐานว่ามีการสมยอมให้มีการเรียกรับเงิน เพื่อแลกกับการช่วยเหลือให้เป็นผู้สอบแข่งขันได้ ผู้สมัครสอบต้องถูกปรับให้ตก และถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้สมัครสอบแข่งขันเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น ไปตลอดชีวิต รวมทั้งต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา อีกด้วย 
 
3. ข้าราชการ ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น ห้ามมิให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในทางใดๆ อันจะส่งผลให้การสอบแข่งขันดังกล่าวมีการทุจริต หรือมีการเรียกรับเงินเกิดขึ้น หากปรากฏหลักฐานว่ามีการกระทำดังกล่าวต้องถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง 
 
4. บุคคลอื่นใด หรือกลุ่มบุคคลใด หรือสถาบันติวใด หากปรากฏหลักฐานว่ามีส่วนรู้เห็น หรือ ร่วมกระทำการทุจริต หรือเรียกรับผลประโยชน์เพื่อช่วยเหลือให้เป็นผู้สอบแข่งขันได้ ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา ด้วย” นายอนุทินฯ กล่าวเน้นย้ำ
 
 
สำหรับพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภาคีเครือข่ายการป้องกัน ต่อต้าน และปราบปรามการทุจริตการสอบแข่งขันท้องถิ่นเพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ประจำปี 2567 ว่า จากกรณีที่ปรากฎข่าวว่ามี
การทุจริตการสอบแข่งขันขึ้น มีการเรียกรับเงินจากผู้สมัครสอบในหลายจังหวัด ประชาชนถูกหลอกจำนวนมาก มีการฟ้องร้อง และเป็นคดีอยู่จำนวนมาก จากนโยบายที่ท่านรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ที่ต้องการให้การจัดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นในครั้งนี้ เป็นไปด้วยความโปรงใส ไร้ทุจริต กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น จึงต้องดำเนินการให้มีมาตรการเพื่อป้องกันการทุจริตในทุกช่องทาง รวมทั้งไม่ให้มีการเรียกรับเงิน เหมือนกับที่ปรากฎเป็นข่าวในอดีตที่ผ่านมา โดยการกำกับดูแลการจัดสอบแข่งขันให้เป็นไปด้วยความสุจริต ยุติธรรม และถูกต้อง ในทุกขั้นตอน 
 
 
ดังนั้น เพื่อให้การสอบแข่งขันบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น เป็นไปโดยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ จึงได้จัดให้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ฉบับนี้ขึ้น โดยมีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) และคณะกรรมการกลางการสอบแข่งขันพนักงานส่วนท้องถิ่น (กสถ.) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภาคีเครือข่ายการป้องกัน ต่อต้าน และปราบปรามการทุจริตการสอบแข่งขันท้องถิ่นเพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ประจำปี 2567 เพื่อขับเคลื่อนการสอบแข่งขันท้องถิ่นให้ปราศจากการทุจริต ร่วมกันให้คำปรึกษา เสนอแนะแนวทาง รวมถึงการติดตามและประเมินผลในการดำเนินการสอบแข่งขันท้องถิ่น
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองสารนิเทศ สป.มท.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ป.ป.ช.ชงฟ้องยึดทรัพย์ ส.อบจ. ดำรงตำแหน่ง 7 ปี รวยผิดปกติ 4.6 ล้าน

 

5 กันยายน 2566 สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 5 และสำนักงานป.ป.ช.ประจำจังหวัดพื้นที่ภาค 5 ร่วมแถลงข่าวการดำเนินงานประจำเดือนกันยายน 2566 โดย นายเนติพล ชุมยวง ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงราย เปิดเผยสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีกล่าวหานายจิรายุ เผ่ากา สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ว่า มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติไม่สัมพันธ์กับรายได้ หรือร่ำรวยผิดปกติ และปัจจุบันนายจิรายุ เผ่ากา ยังคงดำรงตำแหน่งสมาชิสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

จากการไต่สวนข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายจิรายุ เข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2555 พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 นายจิรายุ และคู่สมรส มีรายได้ตามแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตั้งแต่ปี 2555-2562 (7 ปี) เป็นจำนวนเงินประมาณ 1,584,309 บาท และไม่ปรากฏว่า นายจิรายุ ประกอบอาชีพเสริมอื่นใด มีรายได้เพียงค่าตอบแทนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายเท่านั้น

ส่วนคู่สมรสก็ไม่ได้ประกอบอาชีพ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติเกินกว่าฐานะและรายได้ เป็นเงินฝากในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเชียงราย ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชีนายจิรายุ เผ่ากา เปิดบัญชีเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2551 ทางการไต่สวนพบว่า มีรายการเคลื่อนไหวเป็นจำนวนมากเกินกว่าฐานะและรายได้ ซึ่งเป็นลักษณะฝากเงินเข้าบัญชีนอกเหนือจากเงินรายได้ที่ได้รับในตำเหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ช่วงระหว่างที่ดำรงตำแหน่งตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2561 รวม 63 รายการ เป็นเงินจำนวน 6,466,870 บาท

คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 87/2566 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 พิจารณาแล้วเห็นว่า ทรัพย์สินที่เป็นเงินฝากและเงินที่โอนเข้ามาในบัญชีธนาคารของผู้ถูกกล่าวหา ตามที่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา จำนวน 63 รายการ เป็นจำนวนเงิน 6,466,870 บาท นั้น มีทรัพย์สินที่มีแหล่งที่มา ซึ่งมิใช่เป็นการมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติหรือร่ำรวยผิดปกติ จำนวน 20 รายการ รวมเป็นเงินจำนวน 1,793,140 บาท กรณีดังกล่าวเห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหาเป็นอันตกไป

แต่กรณีแหล่งที่มาของทรัพย์สินที่เป็นเงินนำฝากและเงินโอนเข้าบัญชีธนาคารของผู้ถูกกล่าวหา อีกจำนวน 43 รายการ รวมเป็นเงินจำนวน 4,673,730 บาท เป็นกรณีมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ อันมีลักษณะเป็นการร่ำรวยผิดปกติ คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกกล่าวหาในกรณีนี้ ฟังไม่ขึ้น ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่มีเขตอำนาจ พิจารณาพิพากษาคดี

ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 43 รายการ รวมเป็นเงินจำนวน 4,673,730 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน ตามมาตรา 122 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

ทั้งนี้ หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติดังกล่าวได้ทั้งหมดหรือบางส่วน ก็ขอให้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาด้วย ตามมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 และแจ้งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุป ไปยังผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าทีตามมาตรา 122 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

 

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 5 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News