Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายเดินหน้าจัด ‘มหกรรมไม้ดอก 2025’ ปรับรูปแบบ ลดมหรสพ เน้นนิทรรศการน้อมรำลึก

จุดสมดุลเศรษฐกิจ-ความรู้สึก เชียงรายชวนนักท่องเที่ยวแต่ง ‘โทนสุภาพ’ ร่วมงานไม้ดอก

เชียงราย,28 ตุลาคม 2568 – ที่ห้องประชุมธรรมรับอรุณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย การประชุมราชการ (Morning Brief) ครั้งที่ 8/2568 มีวาระพิเศษที่ไม่ใช่แค่การติดตามผลการทำงานประจำเดือนเหมือนเช่นเคยอีกต่อไป หากแต่เป็นการประชุมเพื่อกำหนดทิศทางเชิงภาพรวมของจังหวัดในห้วงเวลาที่ทั่วประเทศกำลังอยู่ในความโศกเศร้าหลังจากสำนักพระราชวังประกาศข่าวการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งทั่วทั้งแผ่นดินต่างแสดงความอาลัยอย่างสุดหัวใจ

การประชุมครั้งนี้นำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร อาทิ นางทรงศรี คมขำ รองนายก อบจ.เชียงราย นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย และนางอัญญลักษณ์ กายาไชย เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย โดยมีนายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมประชุมกับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด เพื่อหารือภารกิจที่ต้องขับเคลื่อนต่อเนื่อง

หัวข้อสำคัญที่สุดของการประชุมครั้งนี้ คือทิศทางการจัดงาน “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025”

เดินหน้าตามกำหนดการเดิม แต่ไม่ใช่ในรูปแบบเดิมอีกต่อไป

หลังการประชุม นางอทิตาธรยืนยันอย่างชัดเจนว่า อบจ.เชียงรายจะยังคงจัดงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ตามกำหนดการที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ นั่นคือ

  • พื้นที่หลัก “สวนไม้งามริมน้ำกก” อำเภอเมืองเชียงราย ระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569
  • พื้นที่ขยายในอำเภอ ได้แก่ สวนสาธารณะหนองหลวง อำเภอเวียงชัย และวัดถ้ำเสาหินพญานาค อำเภอแม่สาย ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569

หมายความว่า จังหวัดยังคงมุ่งหวังให้ช่วงปลายปีไปจนถึงต้นปีใหม่เป็นระยะเวลาที่เชียงรายจะดึงดูดการท่องเที่ยว ทั้งนักท่องเที่ยวภายในประเทศที่นิยมเดินทางขึ้นเหนือในฤดูหนาว และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจวัฒนธรรมล้านนา ธรรมชาติ และอากาศเย็น

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “จะจัดหรือไม่จัด” แต่อยู่ที่ “จะจัดอย่างไร”

นางอทิตาธรระบุชัดว่า การจัดงานปีนี้ “จะต้องมีการปรับให้เหมาะสม” เพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความอาลัยจากการสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวง โดยย้ำว่าการจัดงานต้องดำเนินไป “ภายใต้กรอบมติคณะรัฐมนตรีและแนวทางกลางของรัฐบาล” ที่ระบุให้ส่วนราชการและหน่วยงานท้องถิ่นระมัดระวังกิจกรรมที่อาจถูกมองว่าไม่เหมาะสมหรือเกินความกาลเทศะ

เธอกล่าวในที่ประชุมว่า การดำเนินงานในครั้งนี้ต้องสะท้อนทั้ง “ความจงรักภักดี” และ “ความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้” ของพสกนิกรชาวเชียงรายและประชาชนชาวไทย

เมื่อแปลออกมาในเชิงปฏิบัติ รูปแบบของงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 จะถูกปรับใน 3 มิติใหญ่ คือ

  1. ลดกิจกรรมรื่นเริง
    กิจกรรมที่มีลักษณะเป็นความบันเทิง เช่น การแสดงมหรสพคึกคัก การแสดงคอนเสิร์ตเชิงบันเทิง หรือกิจกรรมที่เน้นความสนุกสนานเป็นหลัก จะถูกลดระดับหรือปรับโทน ไม่ใช่เพียงเพราะความเหมาะสมทางสังคม แต่เพื่อส่งสัญญาณถึงความเคารพและความอาลัยในระดับจังหวัด ซึ่งเป็นการแสดงจิตวิญญาณร่วมกับประชาชนทั้งประเทศ
  2. เพิ่มเนื้อหาเชิงวัฒนธรรม ศิลปะ และจารีตท้องถิ่น
    อบจ.เชียงรายกำหนดให้งานในปีนี้เน้นการจัดแสดงไม้ดอกไม้ประดับที่สะท้อนความอ่อนช้อย งดงาม และอัตลักษณ์ของเชียงราย เช่น ไม้ดอกฤดูหนาว ไม้ประดับหายาก การจัดสวนนิทรรศการเชิงศิลป์ และการออกแบบภูมิทัศน์ที่ใช้ดอกไม้เป็น “ภาษาทางความรู้สึก” มากกว่าจะเป็นเพียงฉากสำหรับท่องเที่ยวเช็คอิน
    กล่าวอีกนัยหนึ่ง ดอกไม้ในปีนี้จะไม่ใช่เพียง “สีสันของงาน” แต่น่าจะถูกตีความให้เป็น “สัญลักษณ์ของการรำลึกถึง” และ “การถวายความเคารพ”
  3. จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึก
    จะมีการจัดนิทรรศการเพื่อน้อมรำลึกและเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยมุ่งสะท้อนพระราชจริยวัตร พระราชกรณียกิจด้านศิลปวัฒนธรรมและหัตถกรรมพื้นถิ่น ตลอดจนพระราชดำริในการส่งเสริมอาชีพและคุณภาพชีวิตของราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ

ประเด็นนี้มีนัยสำคัญในทางสัญลักษณ์อย่างยิ่ง เพราะสมเด็จพระพันปีหลวงทรงได้รับการยกย่องมาโดยตลอดในฐานะ “แม่ของแผ่นดิน” ผู้ทรงมีบทบาทโดดเด่นในการผลักดันงานหัตถศิลป์ ผ้าไทย งานจักสาน งานทอมือ และงานอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย — ซึ่งล้วนเป็นรากฐานของอัตลักษณ์ภาคเหนือรวมถึงเชียงราย การนำแนวทาง “นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ” มาเป็นแกนของงานมหกรรมไม้ดอกในครั้งนี้ จึงไม่ใช่การแสดงความอาลัยเชิงพิธีเท่านั้น แต่เป็นการวางบทบาทของเชียงรายในฐานะเมืองที่เข้าใจคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม และพร้อมถ่ายทอดต่อสาธารณะ

เชียงรายต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่เชียงรายก็ต้องเป็นจังหวัดที่ “รู้กาลเทศะ”

อีกประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดอย่างชัดเจนในการประชาสัมพันธ์ของ อบจ.เชียงราย คือการ “ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยว” โดยเชิญชวนให้ผู้มาเยือนร่วมแต่งกายด้วยโทนสีไว้ทุกข์หรือสีสุภาพตลอดช่วงการจัดงาน

คำขอนี้สะท้อนความพยายามของจังหวัดในการสร้างบรรยากาศร่วมไว้อาลัยในพื้นที่สาธารณะ ไม่ใช่เพียงผ่านพิธีการหรือคำกล่าวเปิดงาน แต่ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นการยกระดับงานท่องเที่ยวให้เป็นพื้นที่แสดงความเคารพร่วมกันในฐานะ “สาธารณะทางความรู้สึก”

การขอความร่วมมือด้านการแต่งกายแบบนี้ มักจะปรากฏในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญเหตุการณ์สำคัญระดับสถาบัน ซึ่งสะท้อนว่านโยบายของจังหวัดในครั้งนี้ไม่ได้มองงานไม้ดอกเป็นเพียงอีเวนต์เชิงเศรษฐกิจ แต่ยกระดับไปสู่พื้นที่เชิงสังคมและจิตใจร่วม

ในอีกด้านหนึ่ง การเดินหน้าจัดงานตามกำหนดการเดิมในช่วงวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569 ก็มีความหมายเชิงเศรษฐกิจที่ไม่อาจปฏิเสธได้

เดือนธันวาคมถึงต้นมกราคมเป็นช่วงที่เชียงรายมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นที่สุดของปี อากาศเย็นเป็นแม่เหล็กตามธรรมชาติ ขณะที่สีสันทางวัฒนธรรม เช่น ประเพณีล้านนา อาหารพื้นถิ่น และภูมิทัศน์ริมน้ำกก ล้วนเป็นจุดขายของจังหวัดมาอย่างยาวนาน งานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนในอดีตมักถูกใช้เป็น “เวทีหลัก” ในการกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น ทั้งผู้ประกอบการที่พัก โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ร้านงานหัตถกรรม ตลอดจนเครือข่ายเกษตรกรไม้ดอกไม้ประดับ

กล่าวอีกมุมหนึ่ง งานนี้ไม่ใช่เพียงงานที่จัดเพื่อความสวยงาม แต่เป็น “จุดกระจายเม็ดเงินปลายปี” ของจังหวัดเชียงราย

การตัดสินใจ “เดินหน้าจัด – แต่ลดความรื่นเริง และเพิ่มความสงบสำรวม” จึงเป็นจุดสมดุลที่สะท้อนแนวทางของฝ่ายบริหารท้องถิ่น จังหวัดยังต้องขยับเศรษฐกิจและดูแลความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยบรรยากาศแห่งความโศกอาลัยระดับชาติ

ในที่ประชุม นางอทิตาธรยังย้ำประเด็นเรื่อง “การบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน” พร้อมมอบหมายให้ทุกภาคส่วนบูรณาการการทำงานร่วมกันทั้งด้านการจัดสถานที่ การรักษาความปลอดภัย การดูแลสภาพแวดล้อมจราจร และการบริการนักท่องเที่ยวในพื้นที่จัดงานทั้งสามจุดคือ ริมน้ำกก หนองหลวง เวียงชัย และวัดถ้ำเสาหินพญานาค แม่สาย ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวชายแดนสำคัญ

ถ้อยคำลักษณะนี้ชวนให้สังเกตว่า งานมหกรรมไม้ดอกฯ ไม่ใช่การจัดโดยหน่วยงานเดียว แต่เป็นงานที่ต้องใช้พลังของทั้งจังหวัด ทั้งหน่วยงานวัฒนธรรม เกษตรและสหกรณ์ การท่องเที่ยวและกีฬา หน่วยความมั่นคง ตำรวจ ท้องถิ่นอำเภอ รวมถึงชุมชนเจ้าของพื้นที่ร่วมกันดูแลภาพลักษณ์ของจังหวัดต่อสายตาคนทั้งประเทศ

มิติเชิงวัฒนธรรม ดอกไม้ในปีแห่งการอาลัย

หากมองเชิงสัญลักษณ์ การจัดงานดอกไม้ภายใต้บรรยากาศความอาลัย ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย ดอกไม้ถูกใช้เสมอในวัฒนธรรมไทยเพื่อแสดงความเคารพ ความระลึก และพระเกียรติคุณ โดยเฉพาะดอกไม้สีขาว สีอ่อนโทนสุภาพ หรือไม้ดอกที่จัดเป็นลวดลายเชิงสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์

เมื่อ อบจ.เชียงรายประกาศว่าจะ “เพิ่มเนื้อหาเชิงวัฒนธรรม ศิลปะ และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ” นั่นหมายความว่างานปีนี้อาจไม่ใช่เพียงการประกวดความสวยงามของไม้ดอก หากแต่อาจเป็นพื้นที่เล่าเรื่องความผูกพันระหว่างเชียงรายกับสถาบันฯ ผ่านการตีความด้วยสื่อที่อ่อนโยน เข้าใจง่าย และเข้าถึงได้สำหรับทุกเพศทุกวัย

ทิศทางเช่นนี้ยังสอดคล้องกับบทบาทของสมเด็จพระพันปีหลวงในประวัติศาสตร์สังคมไทย ทรงมีพระราชกรณียกิจด้านศิลปหัตถกรรมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ ทั้งงานผ้า การทอ การปัก การอนุรักษ์วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชุมชนบนพื้นที่สูง ซึ่งล้วนเกี่ยวพันกับจังหวัดในพื้นที่ล้านนา รวมทั้งเชียงรายด้วย การจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติภายในงานจึงอาจเป็นเวทีให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นบทบาทเหล่านี้ชัดเจนขึ้น

กล่าวในเชิงเนื้อหา งานไม้ดอกฯ ปีนี้อาจกลายเป็นพื้นที่สาธารณะให้คนรุ่นพ่อแม่และรุ่นลูกมายืนอยู่ในภาพเดียวกัน—ภาพที่ไม่ได้มีแค่ดอกไม้สวย ๆ ให้ถ่ายรูปลงโซเชียล แต่เป็นภาพของการเรียนรู้ร่วมกันว่า ความผูกพันของ “ชาติ-สถาบัน-ท้องถิ่น” มีมิติที่ลึกกว่าในเชิงอารมณ์

การบริหารจังหวัดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือการที่ผู้บริหาร อบจ.เชียงราย พูดถึง “ความโปร่งใส” และ “การใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ” ในการประชุม Morning Brief ครั้งที่ 8/2568 จุดนี้สะท้อนมุมมองการทำงานเชิงรุกด้านธรรมาภิบาลท้องถิ่น เพราะโดยปกติ งานท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมปลายปีมักถูกจับตาในสองเรื่องเสมอ คือค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมพื้นที่ (ตกแต่งภูมิทัศน์ ระบบแสง-เสียง การบริหารเวทีกิจกรรม โครงสร้างชั่วคราว) และความคุ้มค่าต่อประชาชนในพื้นที่

การย้ำเรื่อง “งบประมาณต้องโปร่งใสและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน” จึงเป็นการส่งสัญญาณล่วงหน้าว่า อบจ.จะวางตัวเองในฐานะองค์กรที่พร้อมถูกตรวจสอบในสายตาสังคม โดยเฉพาะในโครงการสาธารณะที่มีมูลค่าการใช้จ่ายสูงและอยู่ในความสนใจของสื่อและประชาชนทั้งในจังหวัดและนอกจังหวัด

การวางน้ำเสียงเช่นนี้ยังสะท้อนการทำงานเชิงป้องกันความเสี่ยงทางสังคมเช่นกัน เพราะในยุคปัจจุบัน โครงการของหน่วยงานท้องถิ่นสามารถถูกตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ผ่านโซเชียลมีเดีย หากกระบวนการใช้งบประมาณไม่ชัดเจน ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดการตั้งคำถามเชิงศรัทธาในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ง่ายขึ้น

งานดอกไม้ที่ไม่ใช่แค่งานดอกไม้

“มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” จึงไม่ใช่แค่งานท่องเที่ยวประจำฤดูหนาวของจังหวัดเชียงรายอีกต่อไป หากแต่มันกำลังถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่เชิงสาธารณะของความทรงจำร่วมและความอาลัย ขณะเดียวกันก็เป็นกลไกทางเศรษฐกิจในปลายปีที่ถูกคาดหวังว่าจะกระจายรายได้สู่คนในจังหวัด

ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งประเทศกำลังแสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง การจัดงานในบรรยากาศที่สำรวมขึ้น ลดความเป็น “มหรสพ” เพิ่มความเป็น “นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและศิลปวัฒนธรรม” อาจเป็นแบบจำลองใหม่ของการจัดงานสาธารณะในระดับจังหวัด ว่าจะสามารถผสานเศรษฐกิจ-วัฒนธรรม-ความรู้สึกร่วมของสังคมได้อย่างไรในเวลาเดียวกัน

ในทางปฏิบัติ การเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้แต่งกายโทนไว้ทุกข์ คือการส่งสารเชิงสังคมว่า ทุกคนที่มาเยือนเชียงรายในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ได้เป็นเพียง “นักท่องเที่ยว” แต่เป็น “ผู้ร่วมยืนในช่วงเวลาเดียวกันของประวัติศาสตร์ร่วมชาติ”

และในทางการบริหาร นี่คือบททดสอบสำคัญของ อบจ.เชียงราย ว่าจะสามารถเดินเชือกเส้นบาง ๆ ระหว่าง “การรักษาความรู้สึกของคนทั้งประเทศ” กับ “การรักษาความยืนยาวของเศรษฐกิจท้องถิ่น” ไปจนจบงานได้อย่างไร

เพราะเมื่อม่านดอกไม้ปิดลงในวันที่ 7 มกราคม 2569 สิ่งที่จังหวัดเชียงรายจะเหลืออยู่ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายสวนดอกไม้ยามรุ่งสางริมแม่น้ำกก แต่คือคำตอบว่า เชียงรายสามารถเป็นต้นแบบการจัดงานท้องถิ่นในยามที่ทั้งประเทศกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ร่วมได้หรือไม่ และคำตอบนั้น ไม่ได้สำคัญเฉพาะกับเชียงรายเท่านั้น แต่อาจกลายเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ ของไทยในอนาคตด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

Likhai Nature Walk ปี 3 ยกระดับ ‘ลิไข่’ สู่จุดหมายปลายทาง การท่องเที่ยวคุณภาพของเชียงราย

เปิดประสบการณ์ “อาบป่า” ที่ลิไข่! อบจ.เชียงราย หนุนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างรายได้ชุมชน

เชียงราย, 26 ตุลาคม 2568 – ยามเช้าที่หมอกบางๆ คลุมทิวเขา แสงแรกของวันค่อยๆ ไล้ตามแนวสันนาขั้นบันไดสีเขียวมรกต บ้านลิไข่ ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย เริ่มตื่นก่อนเมือง นักท่องเที่ยวบางส่วนกำลังยืดแขนรับอากาศเย็น ขณะชาวบ้านชงกาแฟคั่วสดในกระบอกไม้ไผ่ กลิ่นหอมของดินเปียก น้ำค้าง ใบหญ้า และควันอ่อนจากเตาถ่าน ประสานกันจนไม่แน่ชัดว่าเรากำลังอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว หรืออยู่ในพิธีกรรมบำบัดใจ

นี่คือบรรยากาศของกิจกรรม “Likhai Nature Walk – เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ บ้านลิไข่” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และกำลังถูกยกระดับให้เป็นต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและสุขภาพของจังหวัดเชียงราย โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ภายใต้นโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ที่มุ่งหมายให้การท่องเที่ยวไม่กระจุกอยู่เพียงจุดดัง แต่กระจายสู่ทุกพื้นที่ที่มีอัตลักษณ์ของตัวเอง

ในปีนี้ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ร่วมกิจกรรม ณ บ้านลิไข่ โดยมี นางยุรีพรรณ แสนใจยา ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายท้องถิ่นและภาคเอกชน ได้แก่ นายวิทยา เหล่าธีรศิริ ประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC หอการค้าจังหวัดเชียงราย) ซึ่งรายงานภาพรวมความร่วมมือ และนายพิษณุ เขื่อนเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลนางแล ซึ่งทำหน้าที่ต้อนรับในฐานะตัวแทนพื้นที่

หากมองเพียงผิวเผิน กิจกรรมนี้อาจเป็นเพียง “การเดินชมวิว” ของนักท่องเที่ยว แต่สำหรับคนเชียงราย โดยเฉพาะผู้ทำงานในพื้นที่มานาน กิจกรรม “Likhai Nature Walk” เป็นมากกว่านั้น มันคือพื้นที่ทดลองนโยบายสาธารณะในระดับพื้นที่จริง เป็นการจัดการสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน และการออกแบบรูปแบบ “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ” แทนที่จะเป็นการท่องเที่ยวที่เน้นตัวเลขปริมาณผู้มาเยือน

นาขั้นบันไดลิไข่” จากภูมิทัศน์ชาวบ้าน สู่แหล่งฮีลใจระดับประเทศ

นาขั้นบันไดบ้านลิไข่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลายเป็นชื่อที่เริ่มถูกพูดถึงในหมู่นักเดินทางที่ต้องการ “พักใจแท้ๆ” โดยไม่ต้องเดินทางไกลถึงชายแดนหรือยอดดอยสูง นาขั้นบันไดที่นี่ไม่ได้มีเพียงความสวยงามของผืนนาเรียงชั้นตามไหล่เขา แต่มีบริบทของคน ชุมชน และธรรมชาติที่ยังเชื่อมถึงกันอย่างใกล้ชิด

ภาพที่เห็นคือผืนนาข้าวโค้งเรียวรับไปตามสันคันนา มองได้ไกลสุดสายตาแบบไม่มีเสาไฟฟ้าแรงสูง ไม่มีป้ายโฆษณา ไม่มีร้านค้าสำเร็จรูปขนาดใหญ่ และไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่ตัดกับภูมิประเทศดั้งเดิม ความงดงามจึงไม่ใช่เพียง “ทิวทัศน์” แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างคนกับผืนดิน

กิจกรรม Likhai Nature Walk จึงไม่ใช่เพียงการพาคนนอกเข้ามาถ่ายภาพ แต่คือการนำผู้เข้าร่วม “เดินเข้าไปในระบบนิเวศของชุมชน” อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยยึดหลักการที่ผู้จัดเรียกว่า “อาบป่า” หรือ Shinrin-Yoku ซึ่งเป็นแนวคิดการบำบัดด้วยธรรมชาติที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ

ในพื้นที่ลิไข่ การ “อาบป่า” ไม่ได้จำกัดอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ หากแต่เกิดขึ้นในนาขั้นบันได ป่าชุมชน ลำธารเล็กๆ ทางเดินเก่าใต้ร่มไผ่ และพื้นที่เกษตรผสมผสาน — กล่าวคือ เป็นการยอมรับว่าภูมิทัศน์ทางการเกษตรแบบดั้งเดิมเองก็มีมิติการเยียวยาที่แท้จริง ไม่ต่างไปจากป่าดิบ

ผู้ร่วมกิจกรรมได้สัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้งสี่

  • เสียง: เสียงลมพัดผ่านยอดข้าว เสียงน้ำไหลเบาๆ จากร่องน้ำและลำธาร เสียงจั๊กจั่นในร่องป่าชื้น
  • กลิ่น: กลิ่นหญ้าเปียก กลิ่นข้าวอ่อน กลิ่นสมุนไพรพื้นถิ่นที่ชาวบ้านปลูกริมคันนา
  • ภาพ: ภาพพื้นที่สีเขียวไล่ระดับแบบไม่มีเส้นตึกตัดสายตา พร้อมหมอกลงสลับเงาเขา
  • สัมผัสและรส: การเดินเท้าเปล่าแตะบนดินเย็น แช่ปลายเท้าลงในลำธารธรรมชาติ จิบกาแฟร้อนที่คั่วโดยคนในพื้นที่ ยามอุณหภูมิยังต่ำกว่ายี่สิบนิดๆ

แนวคิดตรงนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นการเปลี่ยนการมาเยือนจาก “การบริโภคสถานที่” ไปสู่ “การอยู่กับสถานที่” ซึ่งเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ นักท่องเที่ยวไม่ได้ถูกปฏิบัติในฐานะลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่ในฐานะแขกที่ได้รับเชิญให้เรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกับภูมิทัศน์อย่างเคารพ

ไม่ใช่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติธรรมดา แต่คือเศรษฐกิจฐานรากแบบมีสติ

การผลักดัน Likhai Nature Walk ในปีนี้มีความหมายทางนโยบายในระดับจังหวัดอย่างชัดเจน นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ระบุถึงทิศทางดังกล่าวว่า การผลักดันกิจกรรมลักษณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนในทุกอำเภออย่างทั่วถึง พร้อมทั้งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการยกระดับเชียงรายให้เป็น “เมืองแห่งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน”

หากมองในเชิงโครงสร้าง จะเห็นว่ามีความพยายามผลักเชียงรายให้ก้าวข้ามการเป็น “จังหวัดท่องเที่ยวเชิงฤดูกาล” (เมืองหนาวปลายปี ดอยดัง คาเฟ่ดัง) ไปสู่การเป็น “พื้นที่การท่องเที่ยวคุณภาพที่เที่ยวได้ทั้งปี” โดยใช้ความหลากหลายของภูมิประเทศ ชาติพันธุ์ วิถีชุมชน และทรัพยากรธรรมชาติเป็นเสาหลักของการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยว

นโยบายดังกล่าวถูกสรุปในคำขวัญเชิงปฏิบัติการของ อบจ.เชียงราย คือ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” (นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ในชุดนโยบาย 7 เรือธงของ อบจ.) ซึ่งในทางปฏิบัติหมายถึง

  1. ลดการกระจุกของรายได้ท่องเที่ยว
    รายได้จากการท่องเที่ยวไม่ควรตกอยู่เฉพาะในอำเภอที่เป็นแม่เหล็กทางการตลาด เช่น เมืองเชียงราย แม่สาย แม่จัน หรือจุดแลนด์มาร์กที่ถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดียมาก่อนหน้านี้ แต่ควรไหลลงสู่พื้นที่ชนบท พื้นที่เกษตรดั้งเดิม และพื้นที่ชุมชนที่ยังพึ่งพาการผลิตภาคเกษตรเป็นหลัก
    บ้านลิไข่ ตำบลนางแล คือหนึ่งในพื้นที่เช่นนั้น
  2. เสริมความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
    การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่ออกแบบอย่างระมัดระวัง เช่น “อาบป่า” ไม่ได้ดึงดูดเฉพาะนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและกลุ่มวัยทำงานที่มองหาความสงบ แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับครัวเรือนในชุมชนผ่านการขายกาแฟพื้นถิ่น ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรแปรรูปเล็กๆ ของครัวเรือน อาหารเช้าแบบพื้นบ้าน ของฝากทำมือ รวมถึงบริการนำทางท้องถิ่น (local guide) ที่พึ่งพาความรู้ของคนในพื้นที่จริง ไม่ใช่บริษัททัวร์จากภายนอก
  3. ยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชียงรายสู่มาตรฐานเชิงสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
    กิจกรรมแนวธรรมชาติบำบัด (nature therapy) แบบนี้ตอบโจทย์เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์เชิงลึกมากกว่าการเช็กอิน
    แนวโน้มดังกล่าวมีนัยทางเศรษฐกิจสำคัญ เพราะเป็นฐานนักท่องเที่ยวที่ใช้เวลาพักนานขึ้น มีการใช้จ่ายสูงขึ้น และให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ

หรือกล่าวอีกแบบ การท่องเที่ยวในแนวทางนี้ไม่ได้ขาย “วิว” อย่างเดียว แต่ขาย “คุณภาพชีวิต” ที่นักท่องเที่ยวจะได้รับ — และรายได้ที่ชาวบ้านจะได้กลับคืน

การทำงานร่วมกัน ภาครัฐ – เอกชน – ชุมชน

หนึ่งในจุดเด่นของ Likhai Nature Walk คือการเป็นตัวอย่างของ “การขับเคลื่อนร่วม” ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ โดยไม่ได้ให้หน่วยงานภาครัฐทำงานแบบสั่งการฝ่ายเดียว แต่ทำในรูปแบบเครือข่าย

  • อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่สนับสนุนเชิงยุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนนโยบายในเชิงจังหวัด เชื่อมปรัชญาการท่องเที่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในระยะยาว
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ (เทศบาลตำบลนางแล) ซึ่งในครั้งนี้มีตัวแทนคือ นายพิษณุ เขื่อนเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลนางแล ทำหน้าที่เป็น “พื้นที่รองรับ” จัดระเบียบพื้นที่ ดูแลความพร้อมเชิงโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้น และเป็นจุดประสานกับชุมชน
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ซึ่งมี นางยุรีพรรณ แสนใจยา เป็นผู้อำนวยการ ทำหน้าที่เชื่อมการสื่อสารสู่สาธารณะและนักท่องเที่ยวในเชิงภาพลักษณ์การท่องเที่ยวคุณภาพ
  • หอการค้าจังหวัดเชียงรายและเครือข่ายนักธุรกิจรุ่นใหม่ (YEC) โดยมีนายวิทยา เหล่าธีรศิริ เป็นหนึ่งในกลไกผลักดัน เพื่อมองโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์อย่างสมดุลกับการรักษาพื้นที่ เช่น การสร้างแพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเชื่อมโยงระหว่างที่พัก ร้านอาหารพื้นถิ่น และประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม

โครงสร้างนี้สะท้อนความพยายามของเชียงรายในการทำให้ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” ไม่ใช่การผลักให้ชุมชนไปรับผิดชอบเองโดยลำพัง แต่เป็นการวางชุมชนให้อยู่กลางวง แล้วให้หน่วยงานรัฐและเอกชนทำหน้าที่สนับสนุน ช่วยการตลาด สร้างระบบความพร้อม และคุ้มครองความสมดุลเชิงนิเวศ

กล่าวอีกมุม นี่คือแบบจำลองของ “การพัฒนาที่ไม่บังคับชุมชนให้เป็นรีสอร์ต” แต่ให้ชุมชนเป็นชุมชน และทำมาหากินจากสิ่งที่เป็นตัวเอง

จากกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ สู่เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์จังหวัด

กิจกรรม Likhai Nature Walk ไม่ใช่งานครั้งแรก แต่จัดต่อเนื่องมาแล้ว 3 ปี และผู้จัดระบุว่า จำนวนผู้มาเยือนนาขั้นบันไดลิไข่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยววัยทำงาน กลุ่มคนเมืองที่ต้องการพัก-ฟื้น และครอบครัวรุ่นใหม่ที่เริ่มมองหากิจกรรมแนว “พาเด็กสัมผัสดินน้ำลมไฟ” มากกว่าพาไปศูนย์การค้า

ปรากฏการณ์ “คนกลับมาหาธรรมชาติ” ซึ่งเกิดขึ้นหลังช่วงวิกฤตสุขภาพโลกตลอดหลายปีที่ผ่านมา กำลังสร้างตลาดใหม่ที่จังหวัดเชียงรายมองเห็นอย่างจริงจัง — ตลาดของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สุขภาวะ และสมดุลชีวิต (wellbeing tourism)

สิ่งนี้กำลังสะท้อนชัดว่า จ.เชียงราย ไม่ต้องการยืนอยู่บนคำว่า “หน้าหนาวค่อยมา” อีกต่อไป แต่ต้องการยืนอยู่บนฐาน “เชียงราย = เมืองคุณภาพชีวิต” ที่เที่ยวได้ทั้งปี และแต่ละอำเภอมีสินค้าการท่องเที่ยวที่เป็นของตัวเอง

นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ซึ่งย้ำว่า “เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” จึงไม่ใช่คำขวัญเพื่อการประชาสัมพันธ์ แต่คือกรอบยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายเชิงโครงสร้าง ดังนี้

  1. ทำให้การท่องเที่ยวกลายเป็นฐานเศรษฐกิจที่พึ่งพาตนเองได้ในระดับอำเภอ
  2. ทำให้ชุมชนในพื้นที่เกษตร-พื้นที่ภูเขา ได้รับรายได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตจนสูญเสียตัวตน
  3. ลดแรงกดดันเชิงสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยม (overtourism) ด้วยการกระจายความนิยมไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ
  4. ปรับภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายสู่ “เมืองสุขภาวะ” (wellbeing destination) ซึ่งเชื่อมโยงได้ทั้งการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ อาหารพื้นถิ่น การทำสมาธิ การบำบัดด้วยป่า การเรียนรู้วิถีชุมชน

กล่าวในเชิงนโยบายสาธารณะ นี่คือการสร้างทางเลือกในระดับจังหวัด เพื่อเตรียมรับอนาคตเศรษฐกิจท่องเที่ยวที่แข่งขันสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงด้านสังคมของประเทศ เช่น สัดส่วนประชากรวัยทำงานที่เผชิญความเครียดเรื้อรัง และกลุ่มผู้สูงวัยที่มีความต้องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากขึ้น

เชียงรายจึงไม่ได้ขายแค่ภาพสวยของภูเขาอีกต่อไป แต่ขาย “การฟื้นตัวของตัวเราเอง” ในพื้นที่ที่ยังคงหายใจได้

เมืองท่องเที่ยว กับ เมืองน่าอยู่ ต้องเป็นเมืองเดียวกัน

ประเด็นที่ผู้บริหารท้องถิ่นในเชียงรายย้ำหลายครั้งในกิจกรรมนี้ คือการผลักดันการท่องเที่ยว ต้องไม่ผลักภาระให้คนในพื้นที่ต้องรับความเปลี่ยนแปลงจนชีวิตปกติถูกรบกวน

การท่องเที่ยวในรูปแบบ “เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ – อาบป่า” จึงถูกออกแบบต่างจากทัวร์เชิงปริมาณในหลายประเด็นสำคัญ เช่น

  • กลุ่มนักท่องเที่ยวถูกจำกัดขนาด ไม่ใช่การระดมคนจำนวนมากในคราวเดียว
  • กิจกรรมเน้นการเดินเท้า ไม่ใช่การขับยานพาหนะเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก
  • เวลาการจัดกิจกรรมสอดประสานกับวิถีเกษตรในพื้นที่ (เช้า–สาย) เพื่อลดการรบกวนการทำงานจริงของชาวบ้าน
  • รายได้เชื่อมตรงกับคนในพื้นที่ เช่น ร้านกาแฟชุมชน ผู้จัดกิจกรรมชุมชน วิสาหกิจท้องถิ่น มากกว่าการปล่อยให้เงินไหลออกนอกพื้นที่

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อนักท่องเที่ยวค่อยๆ สูดลมหายใจในป่าบ้านลิไข่ คนในพื้นที่เอง ก็ยังสามารถหายใจในบ้านเกิดของตนได้เช่นกัน

จากนาขั้นบันได สู่แบบจำลองการท่องเที่ยวเพื่อคุณภาพชีวิต

สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านลิไข่ ตำบลนางแล ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการเดินป่า หรือการจิบกาแฟกลางหมอก หากแต่เป็นการวางหมุดหมายด้านการพัฒนาในระดับจังหวัด โดยมี “สุขภาวะของคน” เป็นแกนกลาง

นี่คือการประกาศว่า เชียงรายจะไม่วัดความสำเร็จด้วยตัวเลขนักท่องเที่ยวอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะวัดด้วยคำถามว่า

  • คนในพื้นที่อยู่ได้ดีขึ้นหรือไม่
  • พื้นที่ยังคงความสมดุลทางธรรมชาติหรือไม่
  • นักท่องเที่ยวกลับไปพร้อมหัวใจที่เบาลงไหม
  • และในระยะยาว พื้นที่แบบลิไข่ จะยังคงเป็น “บ้าน” ของคนลิไข่ได้จริงหรือไม่

การผลักดันกิจกรรม Likhai Nature Walk ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และการเข้ามาหนุนอย่างชัดเจนของ อบจ.เชียงราย ททท.เชียงราย เทศบาลตำบลนางแล ภาคธุรกิจท้องถิ่น และชุมชน จึงสะท้อนว่าการท่องเที่ยวไม่ใช่อุตสาหกรรมที่ต้องแลกธรรมชาติกับเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสมอไป หากแต่สามารถเป็น “ระบบนิเวศของการอยู่ร่วมกัน” ที่ทุกฝ่ายมองเห็นคุณค่าของกันและกัน

และเมื่อคำขวัญ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ถูกนำลงสู่พื้นที่จริงผ่านกิจกรรมที่จับต้องได้แบบนี้ เชียงรายก็กำลังส่งสัญญาณชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า เมืองท่องเที่ยวที่ดีในศตวรรษนี้ ต้องเป็นเมืองที่คนอยู่ได้ดีเช่นกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • YEC Chiang Rai – กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ เชียงราย
  • อบจ.เชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • ตำบลนางแล
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายลุยติดตั้ง “เสาเตือนภัยอัจฉริยะ” ยกระดับความปลอดภัย สร้างศูนย์จัดการภัยแบบเบ็ดเสร็จ

อบจ.เชียงรายลุยติดตั้ง “เสาเตือนภัยอัจฉริยะ” ยกระดับความปลอดภัย สร้างศูนย์จัดการภัยแบบเบ็ดเสร็จ ตอบโจทย์เชียงรายปลอดภัย

เชียงรายเดินหน้าสู่เมืองปลอดภัย รับมืออุทกภัยด้วยเทคโนโลยีทันสมัย

เชียงราย,วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 –  จังหวัดเชียงรายยกระดับมาตรการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ โดยเฉพาะอุทกภัยที่เกิดซ้ำซากทุกปี ด้วยการนำร่องติดตั้ง “เสาเตือนภัยอัจฉริยะ” ในพื้นที่เสี่ยง พร้อมเร่งจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) ตอกย้ำความมุ่งมั่นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนและลดความสูญเสียจากภัยธรรมชาติอย่างเป็นรูปธรรม

ลงพื้นที่จริงประเมินจุดติดตั้งครอบคลุมพื้นที่เสี่ยง

เวลา 13.30 น. วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ซึ่งได้รับมอบหมายจากนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยนางสาวปราณปรียา โพธิเลิศ ผู้อำนวยการกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย ร่วมทีมบุคลากรสำนักช่างและทีมวิจัย ลงพื้นที่สำรวจจุดติดตั้งเสาเตือนภัยอัจฉริยะในตำบลแม่เปา อำเภอพญาเม็งราย หนึ่งในพื้นที่ที่เคยเผชิญกับน้ำท่วมบ่อยครั้ง เป้าหมายเพื่อประเมินจุดเสี่ยงและวางแผนติดตั้งระบบเตือนภัยให้ครอบคลุมพื้นที่วิกฤตมากที่สุด

เทคโนโลยีอัจฉริยะเสริมเขี้ยวเล็บการจัดการภัยพิบัติ

โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ อบจ.เชียงราย ที่เลือกนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเป็นเครื่องมือหลักในการรับมือและบรรเทาสาธารณภัย โดยเสาเตือนภัยอัจฉริยะจะทำหน้าที่แจ้งเตือนสถานการณ์น้ำท่วมและภัยธรรมชาติแบบเรียลไทม์ สามารถวัดระดับน้ำ ส่งสัญญาณเตือนและถ่ายทอดข้อมูลไปยังศูนย์ควบคุมกลางและประชาชนในพื้นที่ผ่านหลายช่องทาง เช่น เสียง ไฟไซเรน และข้อความแจ้งเตือนออนไลน์ เพื่อให้สามารถเตรียมรับมือและอพยพได้อย่างทันท่วงที

จัดตั้งศูนย์ PDOSS ศูนย์กลางข้อมูลและแผนฟื้นฟูครบวงจร

หัวใจของโครงการนี้ คือการจัดตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ” (PDOSS) เพื่อเป็นศูนย์กลางบูรณาการข้อมูล รับ-ส่ง-วิเคราะห์สถานการณ์แบบเรียลไทม์ ทั้งการรับมือ ป้องกัน และฟื้นฟูผลกระทบหลังเกิดภัยพิบัติ ศูนย์นี้จะช่วยเชื่อมโยงการทำงานทุกหน่วยงาน ให้ประสานงานอย่างรวดเร็ว ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากร และตอบสนองสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ

เป้าหมายและผลลัพธ์ที่วางไว้

  • เพิ่มศักยภาพตอบสนองเหตุฉุกเฉินของหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น
  • นำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้ลดความเสียหายชีวิตและทรัพย์สิน
  • เสริมสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย
  • สะสมข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำไปสู่การวางแผนฟื้นฟูและป้องกันภัยพิบัติระยะยาวอย่างยั่งยืน

ต้นแบบเมืองปลอดภัยในยุคภัยธรรมชาติถี่

จังหวัดเชียงรายถือเป็นพื้นที่ตัวอย่างของการปรับตัวสู่ “เมืองปลอดภัย” ด้วยการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกและการใช้เทคโนโลยีเสริมแกร่งการป้องกันภัยพิบัติ ภูมิประเทศที่มีแม่น้ำหลายสายและพื้นที่ภูเขาทำให้มีความเสี่ยงเกิดอุทกภัยซ้ำซาก การติดตั้งเสาเตือนภัยอัจฉริยะช่วยให้ชุมชนมีเวลารับมือ เตรียมอพยพ หรือเคลื่อนย้ายทรัพย์สินได้ก่อนเหตุการณ์รุนแรง

ศูนย์ PDOSS ยังช่วยสร้างเครือข่ายข้อมูลเชื่อมต่อทุกภาคส่วน ทั้งการแจ้งเตือน การเก็บสถิติภัยพิบัติ และการฝึกซ้อมอพยพให้กับประชาชน ช่วยลดความสูญเสียและสร้างมาตรฐานใหม่ในการรับมือภัยพิบัติในอนาคต

ความท้าทายและสิ่งที่ต้องเดินหน้าต่อ

ความสำเร็จของโครงการนี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงรักษาระบบเตือนภัยให้พร้อมใช้งานเสมอ การฝึกซ้อมการอพยพและถ่ายทอดความรู้สู่ประชาชนในพื้นที่ และการสื่อสารข้อมูลอย่างโปร่งใสและเข้าใจง่ายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบ

อบจ.เชียงรายกำลังปูทางให้จังหวัดก้าวสู่ต้นแบบการจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน ด้วยการผสานเทคโนโลยีและนวัตกรรมกับภูมิปัญญาชุมชน เชื่อมโยงภาครัฐกับประชาชนเข้าด้วยกัน พร้อมเป้าหมายสูงสุด “เชียงรายปลอดภัย” ท่ามกลางโลกที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย
  • รายงานพิเศษภัยพิบัติและเทคโนโลยีเตือนภัย, 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News