Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

โปร่งใสกว่าเดิม อำเภอแม่สายเปิดให้ยื่นขอสัญชาติโดยตรงหลังมีข่าวร้องเรียนเรื่องเรียกรับเงิน

ที่ว่าการอำเภอแม่สายปฏิรูประบบ “ยื่นขอสัญชาติไทย” เปิดทางประชาชนเข้าถึงบริการตรง ลดทุจริต-เพิ่มความโปร่งใส

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – การขอสัญชาติไทยในพื้นที่ชายแดนไม่เคยเป็นเรื่องง่ายสำหรับประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อย หรือผู้อพยพที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติสูง และมีประชาชนจำนวนมากยังขาดสถานะทางทะเบียนหรือสถานะทางสัญชาติ ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ ทั้งด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล และสวัสดิการของรัฐ

ที่ผ่านมา มีเสียงสะท้อนจากประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาในการยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยว่า ต้องผ่านตัวกลางอย่างกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่บางรายที่อาจเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญของคนที่ต้องการเพียงแค่ “การรับรองว่าเขาคือคนไทย”

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ที่ว่าการอำเภอแม่สาย ได้ออกประกาศฉบับสำคัญที่อาจถือได้ว่าเป็น “จุดเปลี่ยนของระบบราชการชายแดน” โดยระบุว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ผู้ที่ประสงค์จะยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยจะต้อง “เดินทางมายื่นเรื่องด้วยตนเองเท่านั้น” ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย และขอรับบัตรคิวจากเจ้าหน้าที่โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องผ่านผู้นำชุมชนอีกต่อไป เพื่อให้กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และเท่าเทียม

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจากเสียงร้องเรียน สู่การปรับระบบ

การประกาศเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีที่มาจากเสียงร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่ ทั้งในโซเชียลมีเดียและการยื่นคำร้องผ่านช่องทางต่าง ๆ ว่ามีการเรียกรับเงินในการดำเนินเรื่องสัญชาติ โดยเฉพาะกลุ่มคนไร้สถานะซึ่งอยู่ในสถานะเปราะบางและเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร

สถานการณ์ดังกล่าวสร้างแรงกดดันต่อภาครัฐในระดับอำเภอ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายโดยนายวรายุทธ  ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย ที่ได้เร่งสั่งการเปิด “ห้องสถานะบุคคลและสัญชาติ” ขึ้นอย่างเป็นทางการ และจัดตั้ง “ศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ” หรือ OSS (One Stop Service) เพื่อให้ประชาชนสามารถยื่นคำร้องได้โดยตรงกับเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจ โดยไม่ต้องผ่านระบบเดิมที่เปิดช่องให้เกิดความไม่โปร่งใส

ระบบใหม่ชัดเจน โปร่งใส และลดความเหลื่อมล้ำ

เพื่อให้กระบวนการยื่นคำร้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อำเภอแม่สายได้วางแนวทางดำเนินการไว้ 3 ประการหลัก ได้แก่:

  1. ยื่นคำร้องด้วยตนเอง: ผู้มีความประสงค์ต้องเดินทางมาด้วยตนเองและรับบัตรคิวที่อำเภอ โดยไม่มีการลงชื่อจองคิวล่วงหน้า
  2. จำกัดจำนวนผู้ยื่นคำร้อง: เปิดรับเพียง 50 รายต่อวัน โดยเริ่มแจกคิวเวลา 08.00 น. เพื่อควบคุมปริมาณและรักษาคุณภาพของการบริการ
  3. ตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจ: มีการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นเพื่อตรวจสอบเอกสาร และให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน

นอกจากนี้ ยังได้กระจายจุดบริการ OSS ไปยังตำบลต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและกระจายภาระงานอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ

  • ห้องทะเบียนราษฎร: สำหรับตำบลแม่สายและเกาะช้าง
  • อาคาร OSS กลาง: สำหรับตำบลเวียงพางคำและโป่งงาม
  • สำนักงานเทศบาลตำบลห้วยไคร้: สำหรับตำบลห้วยไคร้และบ้านแซว

วิเคราะห์มิติของการเปลี่ยนแปลงก้าวใหม่ของระบบราชการไทย

  1. การต่อสู้กับทุจริตระดับรากหญ้า

การที่อำเภอแม่สายตัดระบบ “ตัวกลาง” ออกจากกระบวนการรับคำร้อง คือการหักวงจรแห่งการเรียกรับผลประโยชน์อย่างจริงจัง เป็นการแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติจริงจังตามนโยบายของรัฐในการต่อต้านคอร์รัปชันระดับท้องถิ่น และเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ “กลไกจากข้างล่าง” มาสร้างความโปร่งใสในระบบราชการ

  1. ยกระดับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

การได้สถานะทางทะเบียนและสัญชาติไทย หมายถึงสิทธิในการได้รับการรักษาในระบบสาธารณสุข สิทธิทางการศึกษา และการเข้าถึงสวัสดิการอื่น ๆ จากรัฐ สำหรับกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในประเทศมานานโดยไม่ได้รับสถานะ สิ่งนี้คือการ “เปลี่ยนชีวิต” อย่างแท้จริง

  1. นวัตกรรมการบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ

การนำระบบ OSS มาใช้ เป็นสัญญาณว่า ราชการในระดับอำเภอกำลังปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และมีแนวโน้มขยายแนวทางนี้ไปยังอำเภออื่น ๆ ที่เผชิญปัญหาเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มศักยภาพของกลไกรัฐ

ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากความหวัง สู่ความเป็นจริง

ผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงคือกลุ่มเป้าหมาย 37,987 ราย ที่อยู่ในพื้นที่อำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่ในไทยมานาน บางรายเกิดในประเทศไทยแต่ไม่มีหลักฐานแสดงตัวตนหรือทะเบียนบ้าน การได้สัญชาติไทยอย่างถูกต้องคือการได้ตัวตนทางกฎหมาย

นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้ เช่น ครู เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้นำชุมชน และนักพัฒนาสังคม ก็จะสามารถทำงานช่วยเหลือผู้ไม่มีสถานะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยกระบวนการที่เปิดเผยและตรวจสอบได้

ข้อคิดและแนวทางในอนาคต

แม้การปฏิรูประบบในครั้งนี้จะเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” แต่ก็ถือว่าเป็นต้นแบบที่ดีในการนำระบบราชการให้ใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น การตัดวงจรการทุจริตด้วยนโยบายเชิงรุกที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงรัฐได้โดยตรง คือแนวทางที่ควรได้รับการยกย่องและขยายผลในระดับนโยบาย

หากหน่วยงานอื่นในพื้นที่ชายแดน หรือพื้นที่ที่มีปัญหาคล้ายคลึงกัน ได้นำแนวคิดเดียวกันนี้ไปประยุกต์ใช้ ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราชการในระดับรากฐานของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

ผู้จัดปางอ่ายโอเพ่นคัพไกล่เกลี่ยจบ! ย้ำจุดยืนกีฬาต้องไร้ความรุนแรง หลังเหตุทำร้ายผู้ตัดสิน

 “ปางอ่ายโอเพ่นคัพ 2025” ปิดดราม่าความรุนแรงในสนามบอล หลังผู้จัดประสานไกล่เกลี่ยสำเร็จ ย้ำจุดยืนกีฬาต้องไร้ความรุนแรง

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – การแข่งขันฟุตบอลสมัครเล่นในระดับชุมชนที่ควรจะเป็นเวทีแห่งมิตรภาพ กลับกลายเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการฟุตบอลท้องถิ่น เมื่อการแข่งขันรายการ “ปางอ่ายโอเพ่นคัพ 2025 ครั้งที่ 3 รุ่น VIP SENIOR 35+” ต้องหยุดลงกลางคัน จากเหตุการณ์ผู้เล่นทีม CREATIVE. FC ทำร้ายร่างกายผู้ตัดสินหลังไม่พอใจคำตัดสินใบแดง เหตุการณ์ดังกล่าวจุดกระแสสังคมออนไลน์ให้ลุกเป็นไฟ เรียกร้องให้ผู้จัดการแข่งขันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาแสดงความรับผิดชอบและจัดการกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด

จุดเริ่มต้นของความรุนแรง ใบแดงที่กลายเป็นหมัด

ในนาทีที่ 24 ของครึ่งหลัง ในการแข่งขันรอบ 8 ทีมสุดท้ายระหว่าง “ทีมเอื้องฟ้า A” และ “ทีม CREATIVE. FC” ณ สนามโรงเรียนบ้านปางอ่ายห้วยชมภู ต.แม่เจดีย์ใหม่ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ขณะที่สกอร์ยังคง 0-0 ผู้เล่นหมายเลข 7 ของทีม CREATIVE. FC ได้ยกเท้าสูงเข้าใส่คู่ต่อสู้อย่างอันตราย ผู้ตัดสินจึงตัดสินใจแจกใบแดงไล่ออกจากสนามทันที

อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นรายดังกล่าวกลับไม่ยอมรับคำตัดสิน และแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวโดยการชกใบหน้าผู้ตัดสินอย่างต่อเนื่อง และมีผู้เล่นอีกคนจากทีมเดียวกันวิ่งเข้ามาร่วมทำร้าย ทำให้บรรยากาศในสนามตึงเครียดจนต้องยุติการแข่งขันทันที

เสียงสะท้อนในโลกออนไลน์ความเสียใจที่กลายเป็นพลังเรียกร้องความยุติธรรม

ผู้ตัดสินผู้ได้รับบาดเจ็บได้โพสต์ภาพใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมข้อความว่า “แล้วผมจะกลับมาได้อีกไหม จิตใจผมจะเป็นยังไง” ทำให้เกิดความห่วงใยและเสียงสนับสนุนจากชาวโซเชียลเป็นจำนวนมาก หลายคนแสดงความไม่พอใจต่อการกระทำอันรุนแรง และตั้งคำถามถึงมาตรการของฝ่ายจัดงานที่ควรต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดซ้ำอีก

จากโซเชียลสู่สถานีตำรวจบทบาทของกฎหมายเข้ามามีส่วน

ผู้ตัดสินได้เดินทางไปแจ้งความ ณ สภ.แม่เจดีย์ เพื่อดำเนินคดีกับผู้เล่นทั้งสองรายที่เกี่ยวข้อง โดยมีการบันทึกหลักฐานและเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายควบคู่ไปกับการพิจารณาทางด้านจริยธรรมกีฬา โดยสภาแม่เจดีย์ได้มีบทบาทสำคัญในการเป็นพื้นที่กลางสำหรับการเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างคู่กรณี เพื่อหาทางออกอย่างสันติ

การไกล่เกลี่ยที่นำไปสู่บทสรุปความเสียใจที่กลายเป็นบทเรียน

เพจเฟซบุ๊ก “แม่ไหมมีทุกอย่าง Jewliannaire” ในนามของผู้จัดการแข่งขัน ได้โพสต์ชี้แจงเหตุการณ์ พร้อมทั้งยืนยันว่า “พ่อฑน” ผู้จัดงาน ได้เร่งดำเนินการประสานงานเพื่อให้คู่กรณีได้พบกันที่ สภ.แม่เจดีย์ เพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยอย่างเป็นทางการ

ผลลัพธ์ของการเจรจาเป็นไปในทางที่ดี เมื่อผู้เล่นทั้งสองคนที่กระทำผิดได้ยอมรับผิดทุกข้อกล่าวหา ขอโทษต่อหน้าสาธารณะ และรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล พร้อมทั้งซื้อนาฬิกาใหม่แทนเรือนที่เสียหายให้กับผู้ตัดสิน ขณะเดียวกัน ผู้ตัดสินได้แสดงความให้อภัย และไม่ติดใจเอาความ

วิเคราะห์ผลกระทบเชิงสังคมกีฬาในชุมชนควรสร้างสันติ ไม่ใช่ความรุนแรง

แม้เหตุการณ์จะคลี่คลายลงได้ด้วยการไกล่เกลี่ยและการให้อภัย แต่ก็สะท้อนถึงความเปราะบางของการแข่งขันกีฬาในระดับชุมชนที่อาจไม่ได้มีระบบควบคุมหรือกติกาที่เข้มแข็งพอ การที่เหตุการณ์ความรุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นในกลุ่ม VIP 35+ ซึ่งควรจะเป็นผู้มีวุฒิภาวะ กลับกลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับเยาวชนที่อาจได้รับชมการแข่งขันอยู่

การเรียกร้องของสังคมให้ผู้จัดการแข่งขันมีบทลงโทษที่ชัดเจน และวางแนวทางป้องกันในอนาคต จึงไม่ใช่เพียงการลงโทษบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นการวางกรอบทางสังคมสำหรับการแข่งขันกีฬาในระดับชุมชนทั้งหมด

ความเคลื่อนไหวในอนาคตสร้างมาตรฐานใหม่ให้กีฬาเดินสาย

จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ผู้จัดการแข่งขันได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะทบทวนกติกา มาตรฐานการคัดเลือกนักกีฬา รวมถึงการอบรมด้านจิตวิทยาและจริยธรรมให้กับนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนร่วมทุกคน เพื่อให้การแข่งขันกีฬาในระดับชุมชนเป็นพื้นที่แห่งความสามัคคี ความสุข และสุขภาพที่ดีอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้มีการสร้าง “มาตรการความปลอดภัยในสนาม” สำหรับการแข่งขันกีฬาเดินสาย เช่น การจัดให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย การติดตั้งกล้องวงจรปิด หรือการจัดทำทะเบียนประวัตินักกีฬาที่เข้าร่วมในแต่ละปี เพื่อสามารถควบคุมพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อส่วนรวมได้มากขึ้น

ข้อคิดและบทเรียนสำหรับสังคม

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนบทเรียนครั้งใหญ่ที่ตอกย้ำว่า “กีฬาไม่ใช่พื้นที่ของอารมณ์” และไม่ควรถูกใช้เป็นเวทีระบายความรุนแรง แม้การแข่งขันจะเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แต่ความเคารพต่อกติกาและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องคือสิ่งที่ต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด

หากทุกภาคส่วน ทั้งผู้จัด ผู้เล่น และผู้ชม ต่างร่วมกันสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมคุณค่าของกีฬา ความเชื่อมั่นต่อการแข่งขันในระดับชุมชนจะกลับมาอีกครั้ง และกีฬาจะเป็นพื้นที่แห่งความรัก ความสามัคคี และสุขภาพที่แท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เพจเฟซบุ๊ก “แม่ไหมมีทุกอย่าง Jewliannaire” (โพสต์วันที่ 6 สิงหาคม 2568)
  • บัญชีเฟซบุ๊กผู้ตัดสินที่ได้รับบาดเจ็บ (โพสต์ภาพและข้อความหลังเหตุการณ์)
  • ข้อมูลจากสถานีตำรวจภูธรแม่เจดีย์ จังหวัดเชียงราย
  • รายงานข่าวจากกลุ่มฟุตบอลสมัครเล่นในเชียงราย และผู้จัด “ปางอ่ายโอเพ่นคัพ 2025”
  • ข้อมูลพื้นฐานจากชมรมฟุตบอลสมัครเล่นแห่งประเทศไทย (AFAT)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นวัตกรรมปกป้องป่า! อุทยานฯ ดอยหลวงใช้ Smart Patrol รวบชายพกปืนเข้าเขตห้าม

อุทยานแห่งชาติดอยหลวงยกระดับมาตรการปกป้องผืนป่า-สัตว์ป่า “Smart Patrol” จับชายวัย 67 ปี พกปืนลอบเข้าป่า ตอกย้ำยุทธศาสตร์เชิงรุก สู่การอนุรักษ์อย่างยั่งยืน

เชียงราย, 4 สิงหาคม 2568 – ปรากฏการณ์ “Smart Patrol”: อุทยานฯ ยุคใหม่ ที่เทคโนโลยีขับเคลื่อนการอนุรักษ์ ในขณะที่สังคมไทยกำลังจับตามองประเด็นสิ่งแวดล้อมและการรักษาความสมบูรณ์ของผืนป่าเป็นหัวใจสำคัญ หนึ่งในแนวหน้าอย่างอุทยานแห่งชาติดอยหลวง จังหวัดเชียงราย ก็ได้ยกระดับกลยุทธ์เชิงรุกด้วย “Smart Patrol” หรือการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ได้เกิดเหตุการณ์สะท้อนความเข้มแข็งของมาตรการดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจสามารถจับกุมชายวัย 67 ปี พร้อมอาวุธปืน ขณะลอบเข้าไปในพื้นที่อุทยานโดยไม่ได้รับอนุญาต สร้างความประทับใจในประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมายและเทคโนโลยีสมัยใหม่

ที่มาเหตุการณ์ “Smart Patrol” พิสูจน์ฝีมือ

นายปัณณวิชญ์ ภูริรักษ์พิติกร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยหลวง รายงานว่าเจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจได้ดำเนินการลาดตระเวนในพื้นที่บ้านผาตุ้ม ตำบลป่าหุ่ง ถึงบ้านวังชมภู ตำบลม่วงคำ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ตามแผนลาดตระเวนคุณภาพ (Smart Patrol) ซึ่งใช้ระบบบันทึกข้อมูลการเดินทาง สังเกตการณ์ร่องรอยสัตว์ป่า และความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นตลอดเส้นทาง

ในระหว่างปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ได้สังเกตเห็นชายต้องสงสัยจึงเข้าตรวจสอบ พบว่านายผัด (สงวนนามสกุล) อายุ 67 ปี กำลังพกพาอาวุธปืนเข้าไปในเขตอุทยานโดยไม่มีใบอนุญาต ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายผิดกฎหมายชัดเจน ตามมาตรา 19(7) ประกอบมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ซึ่งห้ามนำอาวุธปืนเข้าสู่เขตอุทยานโดยไม่ได้รับอนุญาต

นายปัณณวิชญ์ได้สั่งการให้ควบคุมตัวนายผัดทันที ก่อนนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังและป้องกันการกระทำผิดในพื้นที่อนุรักษ์

Smart Patrol จากอดีตสู่ยุคดิจิทัล

นายเจษฎา เงินทอง ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) ระบุว่า ระบบ Smart Patrol ไม่เพียงแต่ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถเฝ้าระวังได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น แต่ยังเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมงานอนุรักษ์ในรูปแบบที่ทันสมัย อาทิ การเก็บข้อมูลการพบร่องรอยสัตว์ การกระทำผิด การบันทึกตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์ ตลอดจนสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปวางแผนปรับปรุงการลาดตระเวนให้ตรงจุดมากขึ้น

Smart Patrol เปลี่ยนเกมอนุรักษ์ป่า

  1. เพิ่มประสิทธิภาพการลาดตระเวน:
    การมีฐานข้อมูลแน่นหนาและเป็นระบบ ช่วยให้เจ้าหน้าที่วางแผนงานได้ดีขึ้น สามารถวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงและจัดชุดลาดตระเวนในจุดที่มีโอกาสเกิดการกระทำผิดสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระงานที่ไม่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิผลของแต่ละภารกิจ
  2. ลดความเสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่:
    การมีข้อมูลล่าสุดจาก Smart Patrol ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า ลดโอกาสเผชิญหน้ากับผู้กระทำผิดโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้การปฏิบัติงานปลอดภัยยิ่งขึ้น
  3. สร้างฐานข้อมูลงานอนุรักษ์ระยะยาว:
    ข้อมูลการลาดตระเวนและตรวจพบร่องรอยต่างๆ เมื่อสะสมเป็นระยะเวลานาน จะกลายเป็นฐานข้อมูลที่มีคุณค่า ช่วยวางนโยบายการอนุรักษ์ทั้งเรื่องการประเมินประชากรสัตว์ป่า การติดตามการเปลี่ยนแปลงของป่าไม้ รวมถึงการประเมินพื้นที่คุ้มครองเพิ่มเติมในอนาคต

มาตรการต่อเนื่องและความท้าทาย

เหตุการณ์ในครั้งนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นของการเฝ้าระวังเชิงรุกในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยเฉพาะภัยคุกคามจากการล่าสัตว์ การลอบนำอาวุธเข้าพื้นที่ หรือการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งทุกปัญหาล้วนกระทบต่อความสมบูรณ์ของระบบนิเวศโดยรวม

แม้จะมีเทคโนโลยีช่วยเหลือ แต่งานลาดตระเวนยังต้องอาศัยความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่ทั้งในเชิงปฏิบัติและความรู้ความเข้าใจในพื้นที่ เช่นเดียวกับการสร้างความร่วมมือกับชุมชนโดยรอบ เพื่อแจ้งเบาะแสและร่วมกันเฝ้าระวังพื้นที่อนุรักษ์

ก้าวสู่การอนุรักษ์ป่าไทยอย่างยั่งยืน

การจับกุมชายวัย 67 ปีที่ลักลอบพกอาวุธปืนเข้าสู่พื้นที่อุทยานในครั้งนี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของประสิทธิภาพและความจำเป็นในการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีอย่าง Smart Patrol มาประยุกต์ใช้ในงานอนุรักษ์ ตอกย้ำว่าการผสาน “มนุษย์” กับ “เทคโนโลยี” คือหนทางสำคัญในการปกป้องผืนป่าไทยในยุคสมัยใหม่

การลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (Smart Patrol) มิได้หยุดเพียงการจับกุมผู้กระทำผิด แต่ยังเป็นกลไกสร้างฐานข้อมูลเชิงลึกเพื่อพัฒนางานอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่าของไทยอย่างยั่งยืน ปลูกฝังจิตสำนึกให้สังคมร่วมกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นสมบัติของชาติให้คงอยู่อย่างมั่นคงต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • นายปัณณวิชญ์ ภูริรักษ์พิติกร: หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยหลวง
  • นายเจษฎา เงินทอง: ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย)
  • พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 19(7) และมาตรา 45
  • ข่าวประชาสัมพันธ์อุทยานแห่งชาติดอยหลวง/กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ลำไยล้นตลาด-น้ำท่วมหนัก เกษตรกรเชียงรายวิกฤตซ้ำซ้อน

วิกฤตลำไยเชียงรายน้ำท่วมซ้ำเติมราคาตกต่ำ เกษตรกรบ้านวังผา-ป่าแดดเดือดร้อนหนัก ร้องรัฐเร่งหาทางออก

เชียงราย, 29 กรกฎาคม 2568 – เมื่อดินแดนลำไยกลายเป็นพื้นที่ความทุกข์ชีวิตจริงหลังม่านสวนผลไม้ กลางฤดูเก็บเกี่ยวลำไยที่ควรจะคึกคัก บ้านวังผา ตำบลสันมะค่า อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย กลับปกคลุมด้วยบรรยากาศเงียบเหงาและวิตกกังวล ชาวสวนลำไยที่นี่ในปีนี้ต้องพายเรือเข้าไปเก็บผลผลิตกลางน้ำท่วม ขณะที่ราคาลำไยตกต่ำถึงขีดสุดจนเจ้าของสวนแทบไม่อยากพูดถึง ตัวเลข “ร่วงจนน่าตกใจ” กลายเป็นวลีที่สะท้อนหัวใจของเกษตรกร และถึงแม้จะเก็บผลผลิตมาได้ ก็ยังหาที่ขายได้ยากยิ่ง

สถานการณ์เลวร้ายนี้สะท้อนให้เห็นผ่านโพสต์ในโซเชียลของชาวบ้านและเพจท้องถิ่นที่ออกมาเรียกร้องให้หน่วยงานเกี่ยวข้องช่วยเหลือ ทั้งในเรื่องถนนที่ใช้ขนผลผลิต (ซึ่งถูกน้ำท่วมขังเสียหาย) และการเข้ามารับซื้อลำไยในราคายุติธรรม หลังโรงงานรับซื้อส่วนใหญ่ประกาศรับจำนวนจำกัด บางแห่งถึงขั้นปิดรับซื้อเพราะโกดังล้น แม้ชาวสวนบางรายถึงกับประกาศ “แจกฟรี” ลำไยทั้งสวนเพื่อให้มีพื้นที่ปลูกใหม่ในปีหน้า ก็ยังไม่มีใครมาเก็บ เพราะเก็บแล้ว “ขาดทุน” หรือ “ไม่มีที่ขาย” อยู่ดี

คลื่นน้ำและคลื่นราคาซัดซ้ำปัญหาตกค้างข้ามจังหวัด

วิกฤตราคาลำไยปี 2568 ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะเชียงรายเท่านั้น แต่ลุกลามไปยังจังหวัดลำพูน เชียงใหม่ และลี้ (ลำพูน) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตสำคัญของประเทศเช่นกัน ลำไยคุณภาพดี ลูกโต รสหวาน ก็เริ่มมีสีดำ เน่าเสียในสวน และโรงรับซื้อจำนวนมากหยุดรับซื้อหรือไม่แสดงราคาซื้อขาย ข้อมูลล่าสุดจากแหล่งข่าวพื้นที่ต่างๆ ระบุว่า ราคาลำไยเกรด AA เหลือเพียง 9-14 บาท/กก., A 4-7 บาท/กก., B 2 บาท/กก. ส่วน C ไม่มีใครรับซื้อ ขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงกว่านั้นมาก

นอกจากราคาตลาดตกต่ำแล้ว ปัญหาน้ำท่วมหนักที่ซ้ำเติมหลายพื้นที่ ทำให้ชาวสวนไม่สามารถขนส่งผลผลิตได้ทันเวลา ผลผลิตตกค้าง เริ่มเน่าเสีย ต้นทุนแรงงานในการหักลำไยออกจากต้นก็สูงเกินคุ้ม แม้แต่ผู้รับซื้อเหมาสวนที่เคยคึกคักในอดีตอย่าง “นายแก้ว” ชาวไทใหญ่ ยังต้องยอมแพ้ เพราะรับซื้อไปก็ขาดทุนไม่มีที่ระบายผลผลิต

วัฏจักร “ราคาดิ่ง-น้ำท่วม” กับความเปราะบางโครงสร้างลำไยภาคเหนือ

สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาลำไยดิ่งลงเหวในปีนี้ คือ “ผลผลิตล้นตลาด” สูงสุดในรอบหลายปี โดยผลผลิตรวมในภาคเหนือปีนี้เพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 10-17% (จากอิทธิพลสภาพอากาศและเทคนิคกระตุ้นการออกดอก) การเก็บเกี่ยวลำไยกระจุกตัวในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ก่อให้เกิด “คลื่นซัพพลาย” ถาโถมเข้าสู่ตลาดพร้อมกัน ขณะที่การส่งออกไปตลาดหลักอย่างจีนชะลอตัวลง เพราะจีนผลิตลำไยได้เองมากขึ้นและตั้งกฎระเบียบเข้มงวดเรื่องสารตกค้าง เวียดนามซึ่งเคยเป็นทางออกของลำไยเกรดรอง ก็ลดความต้องการลง ผลักให้ปริมาณลำไยเกรด B และ C กลับมาไหลบ่าลงสู่ตลาดในประเทศ

โรงงานแปรรูปในพื้นที่ต้อง “เลือกซื้อ” เฉพาะเกรดดี บางแห่งต้องหยุดรับเพราะปัญหาล้นคลัง ต้นทุนแรงงานและการแปรรูปสูง สินเชื่อจากธนาคารภาคเกษตรก็เข้มงวดขึ้น แรงงานรับจ้างขาดแคลน ผลผลิตที่เก็บแล้วขายไม่ออกจึง “ให้ฟรีก็ยังไม่มีใครเอา” สุดท้าย เกษตรกรต้องกลับไปวนเวียนกับหนี้สินรอฤดูใหม่

มาตรการรัฐ – ยุทธศาสตร์หรือแค่แก้เฉพาะหน้า?

รัฐบาลไทยรับรู้ปัญหานี้มานาน มีมาตรการช่วยเหลือหลายระดับ ทั้งเงินอุดหนุน (1,400 บาท/ไร่), โครงการสินเชื่อปลอดดอกเบี้ย, รับประกันราคาขั้นต่ำในอดีต, การผลักดันตลาดส่งออกใหม่ (อินเดีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ฮ่องกง ฯลฯ), ส่งเสริมการแปรรูป และสนับสนุนอีคอมเมิร์ซ อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้แม้มีส่วนบรรเทาแต่ “เกษตรกรยังคงขาดความเชื่อมั่น” ว่าจะเพียงพอ และมองว่าเป็นการ “ดับไฟเฉพาะหน้า” มากกว่าการแก้ไขเชิงโครงสร้าง

วิกฤตซ้ำซากกับความจำเป็นในการปฏิรูป

ปัญหาลำไยล้นตลาด วนเวียนมาทุก 3-5 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะ “ผลิตมาก-ส่งออกน้อย” แต่เกิดจากความเปราะบางเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไป การขาดแผนการผลิตที่สอดคล้องกับอุปสงค์จริง ระบบสหกรณ์ที่ยังไม่เข้มแข็ง และเทคโนโลยีแปรรูปที่ยังจำกัด ข้อเสนอจากนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญจึงชี้ไปที่

  • การวางแผนการผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลตลาด: รัฐต้องสร้างระบบข่าวกรองตลาดทันสมัย ชี้นำการปลูกและบริหารผลผลิตอย่างแม่นยำ
  • การลงทุนในเทคโนโลยีแปรรูปและนวัตกรรม: สร้างมูลค่าเพิ่ม ลดความเสี่ยงจากตลาดล้น
  • กระจายตลาดและส่งเสริมอีคอมเมิร์ซ: เพิ่มช่องทางขาย-ลดการพึ่งพาจีน
  • แก้ปัญหาแรงงานและโลจิสติกส์: ปรับนโยบายแรงงานและสนับสนุนขนส่ง
  • พัฒนาสหกรณ์และการขายตรง: ลดอำนาจต่อรองของพ่อค้าคนกลาง

ท้ายที่สุด วิกฤตราคาลำไย 2568 ที่เชียงราย-เหนือ-ลำพูน กำลังเป็น “สัญญาณเตือน” ให้สังคมไทยตระหนักว่าการแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมเกษตรไทยอย่างจริงจัง มิใช่แค่การแจกเงินหรือรับประกันราคาเฉพาะปีต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • สมาคมเกษตรกรผู้ปลูกลำไยภาคเหนือ
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเชียงราย
  • เพจหมู่บ้านโป่งศรีนคร เชียงราย
  • รายงานสถานการณ์ราคาผลไม้ปี 2568 (Thai Fruit Board)
  • ข้อมูลและรายงานสื่อท้องถิ่นภาคเหนือ (เชียงราย, ลำพูน, เชียงใหม่)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายไม่ประมาท! เสริมแนวป้องกันน้ำกก พร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน

เชียงรายระทึก! น้ำแม่น้ำกกจ่อล้นตลิ่งกลางดึก เทศบาลนครเร่งอุดช่องน้ำ-เตรียมรถสูบน้ำ วอนประชาชนเฝ้าระวังสูงสุด

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำในแม่น้ำกกของจังหวัดเชียงรายกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เมื่อมีการคาดการณ์ว่ามวลน้ำจำนวนมากจะเดินทางถึงสะพานพ่อขุนเม็งราย ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำของเขตเมืองได้

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมระดมทรัพยากรทุกชนิดเข้าป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอย่างเร่งด่วน หลังจากได้รับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ระดับน้ำในแม่น้ำกกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ศูนย์ประสานเฝ้าระวังรายงานสถานการณ์วิกฤต

เมื่อเวลา 17.00 น. วันนี้ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลนครเชียงราย ร่วมกับโครงการวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองจังหวัดเชียงราย และส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ ได้รายงานสถานการณ์ร่วมกันว่า ระดับน้ำในแม่น้ำกกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะจากสถานีแม่นาวาง-ท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นต้นน้ำของระบบ

การประเมินจากทีมวิจัยระบุว่า มวลน้ำจะเดินทางถึงสะพานพ่อขุนเม็งราย ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ภายในเวลา 02.00 น. ของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 โดยคาดการณ์ว่าจะมีระดับน้ำประมาณ 6.00 เมตร และอัตราการไหลราว 655 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

หากแนวโน้มระดับน้ำยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกันต่อไป อาจส่งผลให้แม่น้ำกกล้นตลิ่งในพื้นที่เมือง โดยเฉพาะบริเวณลุ่มต่ำริมแม่น้ำ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกน้ำท่วม

คาดการณ์วิกฤตสูงสุดในช่วงกลางดึก

การคาดการณ์ล่าสุดเมื่อเวลา 17.00 น. ระบุว่า แม้ระดับน้ำที่สถานีแม่นาวาง-ท่าตอนจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงมาเป็นชั่วโมงละ 5 เซนติเมตร แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ในเวลา 21.00 น. คืนนี้ ระดับน้ำจะขึ้นถึงระดับตลิ่งที่ 6.50 เมตร มีปริมาณน้ำ 619 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ ผลกระทบจะส่งไปยังสถานีสะพานพ่อขุนเม็งราย ซึ่งระดับน้ำจะเพิ่มสูงถึงระดับตลิ่ง 6.00 เมตร มีปริมาณน้ำ 655 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในช่วงเวลา 06.00 น. ของวันพรุ่งนี้ (29 กรกฎาคม 2568)

ทีมผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ระดับน้ำจะสูงสุดที่สถานีสะพานพ่อขุนเม็งรายในช่วงระดับประมาณ 6.10-6.30 เมตร ในตอนสายของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ซึ่งระดับน้ำดังกล่าวจะล้นตลิ่งในพื้นที่ต่ำริมตลิ่งอย่างแน่นอน

เทศบาลนครเชียงรายเร่งมาตรการป้องกันด่วน

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะมาถึง เทศบาลนครเชียงรายได้ดำเนินการป้องกันอย่างเร่งด่วนในหลายมาตรการ

เจ้าหน้าที่ได้นำทรายจำนวนมากเข้ามาอุดตามช่องระบายน้ำในหมู่บ้านป่าแดง ซอยหลังโรงเรียนเทศบาล 6 ซึ่งตั้งอยู่ติดกับศูนย์ราชการจังหวัดเชียงราย ที่ว่าการอำเภอเมือง และองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อป้องกันการไหลย้อนของน้ำจากแม่น้ำกกเข้ามาสู่ชุมชน

นอกจากนี้ ทางเทศบาลยังได้เตรียมรถสูบน้ำจำนวน 2 คัน เพื่อพร้อมปฏิบัติงานหากสถานการณ์แนวโน้มระดับน้ำยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน และมีการจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

การบริหารจัดการประตูน้ำอย่างเป็นระบบ

เทศบาลนครเชียงรายยังคงเฝ้าระวังระดับน้ำและประตูน้ำในจุดสำคัญต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยที่ประตูน้ำฝั่งเข้าเมืองได้ถูกปิดทั้งหมดแล้ว เพื่อป้องกันน้ำท่วมเข้าสู่เขตเมือง

ส่วนประตูน้ำฝั่งหนองด่าน ซึ่งเป็นทางระบายน้ำจากแม่น้ำกรณ์ลงสู่แม่น้ำกก ได้เปิดทั้ง 4 บาน เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประตูน้ำดอยสะเก็น ซึ่งอยู่บนแม่น้ำกรณ์ ก็เปิดระบายน้ำ 5 บาน ทำให้น้ำไหลได้ตามปกติ

สถานการณ์ปัจจุบันยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ณ เวลา 17.00 น. วันนี้ ระดับน้ำในแม่น้ำกกที่สะพานพ่อขุนเม็งราย วัดได้ 5.24 เมตร แม้จะยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเริ่มเข้าใกล้ระดับเฝ้าระวังที่ 5.50 เมตร

ในขณะที่สถานีสะพานขัวพญามังราย ในชุมชนบ้านใหม่ ระดับน้ำอยู่ที่ 3.90 เมตร แม้จะยังอยู่ในระดับปลอดภัย แต่ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

เทศบาลนครเชียงรายขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์และติดตามข้อมูลอัปเดตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน

การบูรณาการวิทยาศาสตร์กับการบริหารจัดการท้องถิ่น

สถานการณ์น้ำในแม่น้ำกกที่กำลังเพิ่มระดับอย่างน่าเป็นห่วงในจังหวัดเชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงและคาดเดาได้ยากขึ้นในยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการของเทศบาลนครเชียงราย ร่วมกับทีมวิจัยและหน่วยงานด้านทรัพยากรน้ำ แสดงให้เห็นถึงการนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และกลไกการบริหารจัดการท้องถิ่นมาใช้ในการรับมือเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ

การคาดการณ์ที่แม่นยำและการแจ้งเตือนเชิงรุกเป็นจุดเด่นสำคัญ การที่ทีมวิจัยสามารถคาดการณ์ระดับน้ำและเวลาที่มวลน้ำจะถึงจุดสำคัญได้อย่างละเอียด เช่น เวลา 02.00 น. ที่สะพานพ่อขุนเม็งราย และเวลา 06.00 น. ที่ระดับตลิ่ง ถือเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารจัดการภัยพิบัติยุคใหม่ การแจ้งเตือนล่วงหน้าเช่นนี้ทำให้เทศบาลและประชาชนมีเวลาเตรียมพร้อมรับมือ

การบูรณาการข้อมูลและกลไกการทำงานระหว่างเทศบาลนครเชียงรายกับทีมวิจัยระบบเตือนภัยและส่วนอุทกวิทยาของกรมทรัพยากรน้ำ แสดงให้เห็นถึงการนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เข้ากับการปฏิบัติการในพื้นที่ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่แม่นยำและทันท่วงที

มาตรการป้องกันเฉพาะจุด เช่น การนำทรายไปอุดตามช่องระบายน้ำในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้แม่น้ำ และการเตรียมรถสูบน้ำ บ่งชี้ถึงการวางแผนป้องกันที่ละเอียดอ่อนและตรงจุด โดยพิจารณาจากลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการถูกน้ำไหลย้อน

การบริหารจัดการประตูระบายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำในแต่ละจุดอย่างเหมาะสม เป็นการควบคุมการไหลของน้ำเพื่อลดผลกระทบในเขตเมือง แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำของเทศบาล

ความท้าทายที่ยังคงอยู่

ความรุนแรงของสถานการณ์ในคืนนี้และเช้าพรุ่งนี้จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด การที่น้ำจะขึ้นถึงระดับตลิ่งและอาจล้นในพื้นที่ต่ำริมตลิ่งในช่วงกลางดึกถึงเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนในการปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด

ผลกระทบระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสำคัญผันผวนและรุนแรงขึ้นบ่อยครั้ง เป็นสัญญาณที่เชียงรายอาจต้องพิจารณาแผนบริหารจัดการน้ำระยะยาวที่ครอบคลุมและยั่งยืนยิ่งขึ้น

การประสานงานกับพื้นที่ต้นน้ำ แม้จะมีการติดตามข้อมูลจากต้นน้ำ แต่การประสานงานเชิงลึกกับหน่วยงานที่รับผิดชอบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ เพื่อให้มีการควบคุมการระบายน้ำอย่างเหมาะสม จะช่วยลดความรุนแรงของมวลน้ำที่จะไหลเข้าสู่พื้นที่ปลายน้ำ

การเตรียมพร้อมและการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นของเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้ เป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องประชาชน และเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำวิทยาศาสตร์มาผนวกกับการบริหารจัดการท้องถิ่นเพื่อเผชิญกับภัยธรรมชาติในยุคปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย
  • โครงการวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมือง จังหวัดเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายลุ้น! แม่น้ำกกใกล้จุดวิกฤต เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวัง 24 ชม. หวั่นน้ำทะลักเข้าเมือง

เชียงรายลุ้น! แม่น้ำกกใกล้จุดวิกฤต เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวัง 24 ชม. หวั่นน้ำทะลักเข้าเมือง

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำกกขยับใกล้จุดวิกฤต – วอร์รูมเทศบาลฯ ระดมแผนฉุกเฉินช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญสถานการณ์ที่สร้างความกังวลอย่างยิ่งให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ริมลุ่มน้ำกก เมื่อฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ต้นน้ำอย่างอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำกกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รายงานล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. ที่สถานีแม่นาวาง ระดับน้ำเพิ่มสูงถึง 12 เซนติเมตรในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง และอยู่ห่างจากระดับวิกฤตเพียง 31 เซนติเมตรเท่านั้น สัญญาณเตือนอันตรายที่ไม่อาจนิ่งนอนใจ

เทศบาลนครเชียงรายโดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรี ได้เรียกประชุมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมด่วนที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ภายในสถานีขนส่งแห่งที่ 1 พร้อมประชุมออนไลน์ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานระดับจังหวัด เพื่อสรุปและเร่งประสานแผนรับมือสถานการณ์

ข้อมูลน้ำ-ฝนจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เผยตัวเลขใกล้เสี่ยงล้นตลิ่ง

จากรายงานของทีมวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย รวมถึงข้อมูลจากส่วนอุทกวิทยาที่ 2 สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ พบว่าปริมาณน้ำกกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นน้ำในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

  • เวลา 12.00 น. ที่สถานีแม่นาวาง-ท่าตอน ระดับน้ำอยู่ที่ 5.99 เมตร (ค่าวิกฤต 6.50 เมตร) ปริมาณน้ำ 487 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  • เวลา 13.00 น. ที่สะพานพ่อขุนฯ ระดับน้ำอยู่ที่ 5.07 เมตร ปริมาณน้ำ 442 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  • เวลาเดียวกัน ที่สะพานขัวพญามังราย ต.ริมกก ระดับน้ำอยู่ที่ 3.64 เมตร จากระดับวิกฤต 6.00 เมตร

ทีมวิจัยระบบเตือนภัยฯ ยังระบุว่าหากแนวโน้มฝนและระดับน้ำยังเป็นเช่นนี้ ระดับน้ำในเมืองเชียงรายอาจถึงจุดวิกฤตและล้นตลิ่งได้ภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงริมแม่น้ำกกเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมย้ายของขึ้นที่สูง

เตรียมพร้อมรอบด้าน – เฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาล ออกสำรวจระดับน้ำและเฝ้าติดตามสถานการณ์รอบพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาสาสมัคร และประชาชนในชุมชนริมฝั่งแม่น้ำกก เพื่อเตรียมพร้อมแผนอพยพและการแจ้งเตือนล่วงหน้าหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจความพร้อมของศูนย์พักพิงและสถานที่อพยพฉุกเฉิน เช่น วัด โรงเรียน และอาคารสาธารณะ ตลอดจนการจัดเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือประชาชน อาทิ กระสอบทราย เรือท้องแบน และเครื่องสูบน้ำ เพื่อให้พร้อมใช้งานได้ทันที

ภัยคุกคาม “น้ำกก” กับมาตรการเชิงรุกของเชียงราย

สถานการณ์น้ำกกใกล้แตะจุดวิกฤตในวันนี้ สะท้อนถึงความเปราะบางของพื้นที่เมืองเชียงรายต่อภัยน้ำหลากที่อาจเกิดขึ้นจากฝนหนักในพื้นที่ต้นน้ำอย่างฉับพลัน ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาและถือเป็นบทเรียนเชิงนโยบายมีดังนี้

  • การเฝ้าระวังต้นน้ำอย่างรอบด้าน: การติดตามข้อมูลน้ำฝนและปริมาณน้ำตั้งแต่สถานีต้นน้ำถึงปลายน้ำ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้หน่วยงานท้องถิ่นมีข้อมูลสำหรับวางแผนรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที
  • ข้อมูลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี: การใช้ข้อมูลจากทีมวิจัยและส่วนอุทกวิทยา สะท้อนให้เห็นถึงการบูรณาการระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการบริหารจัดการภาครัฐอย่างเป็นระบบ เพิ่มความแม่นยำของการตัดสินใจและการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชน
  • ความพร้อมของหน่วยงานท้องถิ่น: การตั้งวอร์รูม ประชุมร่วมกับหน่วยงานจังหวัด และจัดชุดเจ้าหน้าที่ออกสำรวจเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง เป็นมาตรการเชิงรุกที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและความพร้อมในการป้องกันและบรรเทาผลกระทบ
  • การสื่อสารกับประชาชน: เทศบาลนครเชียงรายเน้นการแจ้งเตือนประชาชนริมฝั่งแม่น้ำกกให้ทราบความเสี่ยงและวิธีเตรียมตัวล่วงหน้า ลดความสูญเสียและสร้างความตื่นตัวให้กับชุมชนอย่างทั่วถึง

โจทย์ท้าทายและประเด็นที่ต้องติดตาม

  • ความเร็วของกระแสน้ำ: ระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (12 เซนติเมตรใน 1 ชั่วโมง) เป็นสัญญาณเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งยกระดับการแจ้งเตือนและการอพยพ
  • ผลกระทบต่อชุมชนริมฝั่ง: หากน้ำล้นตลิ่งในเขตเมือง พื้นที่ชุมชนริมฝั่งและตลาดจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก จำเป็นต้องเตรียมสถานที่พักพิงและการช่วยเหลือให้พร้อม
  • การบริหารจัดการเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต้นน้ำ: ประสานงานกับหน่วยงานรับผิดชอบเขื่อนและอ่างเก็บน้ำเพื่อลดการระบายน้ำในช่วงวิกฤต เป็นกลยุทธ์สำคัญในการควบคุมปริมาณน้ำปลายน้ำ
  • การประสานงานกับชุมชน: การสร้างเครือข่ายสื่อสารภาคประชาชนและอาสาสมัคร ช่วยกระจายข้อมูลข่าวสารและรับมือภัยพิบัติอย่างรวดเร็วและทั่วถึง

สรุป

สถานการณ์แม่น้ำกกใกล้แตะจุดวิกฤตในครั้งนี้ นับเป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมเชิงรุก การวางระบบสื่อสารที่เข้มแข็ง และการประสานทุกภาคส่วนร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เชียงรายผ่านพ้นภัยพิบัติด้วยความเสียหายน้อยที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • ทีมวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
  • ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายคลี่คลายแต่ไม่ประมาท! ผู้ว่าฯ ลุยเชียงของมอบถุงยังชีพ ปภ.สรุป 15 อำเภอ

เชียงรายคลี่คลายแต่ไม่ประมาท! ผู้ว่าฯ ลุยเชียงของมอบถุงยังชีพ ปภ.สรุป 15 อำเภอได้รับผลกระทบ เร่งฟื้นฟูหลังน้ำลด

เชียงราย, 27 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย หลายพื้นที่กลับสู่ปกติ แต่ยังต้องเร่งฟื้นฟูและเฝ้าระวังต่อเนื่อง แม้สถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดเชียงรายที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน “วิภา” จะเริ่มคลี่คลาย หลายพื้นที่มีแนวโน้มฟื้นตัว แต่การฟื้นฟูยังดำเนินต่อเนื่องโดยไม่ลดความระมัดระวัง เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้กลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็วที่สุด

ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่เชียงของ มอบถุงยังชีพ 252 ชุด สร้างกำลังใจให้ผู้ประสบภัย

เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 เวลา 16.00 น. นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย นายอำเภอเชียงของ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เทศบาลตำบลห้วยซ้อ อำเภอเชียงของ มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวน 252 ชุด พร้อมกล่าวให้กำลังใจแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบและกำชับหน่วยงานในพื้นที่ให้ความช่วยเหลือต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนสามารถก้าวข้ามวิกฤตไปด้วยกัน

ปภ.เชียงรายสรุป 15 อำเภอ 79 ตำบล 454 หมู่บ้าน ได้รับผลกระทบ สัตว์เศรษฐกิจเสียหายหนัก

รายงานสถานการณ์ล่าสุดจากกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย) ระบุว่า ระหว่างวันที่ 16-27 กรกฎาคม 2568 มีฝนตกสะสมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มใน 15 อำเภอ 79 ตำบล 454 หมู่บ้าน มีครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบประมาณ 13,036 ครัวเรือน

ความเสียหายที่เกิดขึ้นครอบคลุมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและทรัพย์สินสำคัญ ได้แก่ โรงเรียน 8 แห่ง ถนน 19 สาย สะพาน 1 แห่ง คอสะพาน 4 แห่ง วัด 3 แห่ง สัตว์เศรษฐกิจเสียหายอย่างหนัก เช่น โค 4,445 ตัว กระบือ 1,987 ตัว สุกร 3,387 ตัว แพะ-แกะ 43 ตัว สัตว์ปีก 230,879 ตัว แปลงหญ้า 699 ไร่ ส่วนพื้นที่เกษตรกรรมยังอยู่ระหว่างการสำรวจและรวบรวมข้อมูล

โชคดีที่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้

สถานการณ์รายอำเภอ หลายแห่งน้ำลด หลายจุดยังต้องเฝ้าระวัง

อำเภอเทิง พญาเม็งราย (ต.ตาดควัน ต.ไม้ยา) เมืองเชียงราย เชียงของ เวียงแก่น เวียงป่าเป้า (บ้านเรือนแห้งแล้ว) แม่สรวย แม่ลาว และยางฮอม (อ.ขุนตาล) ระดับน้ำลดลงและกลับสู่ภาวะปกติ

อย่างไรก็ตาม ยังมีอำเภอพญาเม็งราย (ต.แม่เปา ต.เม็งราย ต.แม่ต๋ำ) ป่าแดด ขุนตาล (ต.ต้า ต.ป่าตาล) เวียงเชียงรุ้ง เวียงชัย พาน ดอยหลวง และแม่จัน ที่น้ำยังคงท่วมขังบางส่วน หรือมีน้ำขังบนผิวจราจรและพื้นที่เกษตร ต้องเฝ้าระวังฝนที่อาจตกซ้ำและปริมาณน้ำที่อาจไหลสมทบจากภูเขาตลอด 24 ชั่วโมง

เร่งฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน เน้นซ่อมแซมจุดเสี่ยงคอสะพานและถนน

พื้นที่อำเภอเชียงของยังมีจุดเสี่ยงสำคัญคือ คอสะพานถนนทางหลวงชนบทสาย ชร.4027 ที่เกิดน้ำท่วมขังและมีการเซาะใต้ฐานสะพานบางส่วน แม้ยังสามารถสัญจรได้แต่ขอให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมแผนซ่อมแซมทันทีที่สถานการณ์เอื้ออำนวย ทั้งนี้ หากมีการปิดเส้นทางหรือซ่อมแซมจะมีการแจ้งข่าวสารให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง

 เชียงรายผ่านวิกฤตแต่ยังต้องไม่ประมาท

สถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับจังหวัดเชียงราย แม้จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างพื้นฐาน สัตว์เศรษฐกิจ และภาคเกษตรกรรมยังคงต้องใช้เวลาและงบประมาณในการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง

ประเด็นที่ควรให้ความสำคัญในระยะต่อไป

  • การซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน: คอสะพานและถนนหลายสายที่ถูกเซาะหรือพังเสียหาย ต้องได้รับการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วนเพื่อคืนความปลอดภัยและความสะดวกในการสัญจร
  • การฟื้นฟูภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์: ด้วยจำนวนสัตว์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบสูง จำเป็นต้องเร่งเยียวยา จัดหาพันธุ์สัตว์ทดแทน และสนับสนุนสินเชื่อหรือเงินช่วยเหลือเพื่อให้เกษตรกรกลับมาดำรงชีพได้อย่างมั่นคง
  • การเยียวยาและประเมินความเสียหายอย่างทั่วถึง: ต้องมีการสำรวจและรวบรวมข้อมูลครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบอย่างละเอียด เพื่อจัดสรรการช่วยเหลือและเยียวยาอย่างเป็นธรรมและครอบคลุม
  • การป้องกันระยะยาว: จำเป็นต้องทบทวนและเสริมสร้างมาตรการป้องกันอุทกภัยระยะยาว อาทิ การบริหารจัดการน้ำต้นน้ำ การวางแผนที่ดินและพื้นที่เกษตรกรรมให้สอดคล้องกับความเสี่ยง การเสริมสร้างชุมชนให้มีศักยภาพในการรับมือภัยพิบัติ และการใช้เทคโนโลยีสื่อสารแจ้งเตือนภัย

ก้าวผ่านวิกฤตด้วยความร่วมมือ เดินหน้าฟื้นฟูอย่างยั่งยืน

ภาพรวมสถานการณ์และการตอบสนองของทุกหน่วยงานสะท้อนถึงการเตรียมความพร้อมและการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เชียงรายก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ด้วยความร่วมมือและกำลังใจ พร้อมเดินหน้าฟื้นฟูและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย, วันที่ 27 กรกฎาคม 2568
  • ศูนย์อำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
  • ข่าวประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

กลิ่นกาแฟชาหอมฟุ้ง! เชียงรายจัดใหญ่ Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025

 “เทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2025” เปิดฉากยิ่งใหญ่! เชียงรายนำทัพ 4 จังหวัดล้านนาตะวันออก ชูศักยภาพชา-กาแฟ สู่ศูนย์กลางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเศรษฐกิจฐานรากยั่งยืน

เชียงราย, 25 กรกฎาคม 2568 – ลานกาสะลองแน่นขนัด “Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025” ชูเสน่ห์กาแฟ-ชาล้านนา สร้างโอกาสใหม่สู่ตลาดโลก กลิ่นหอมของกาแฟคั่วบดและชาชั้นดีล่องลอยคลอเสียงเพลงสดจากศิลปินชื่อดัง ณ ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย สะท้อนความคึกคักและสีสันของ “เทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2025” (Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025) ที่เปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ในวันนี้ ท่ามกลางผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย-ต่างชาติที่เข้าร่วมแน่นขนัด

งานนี้ถือเป็นความร่วมมือบูรณาการของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้แก่ เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน เพื่อนำศักยภาพกาแฟและชาคุณภาพระดับโลกของภูมิภาคล้านนาตะวันออก ก้าวสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน พร้อมเชื่อมโยงเรื่องราววัฒนธรรม-วิถีชีวิตกับประสบการณ์ท่องเที่ยว

ล้านนาตะวันออก แหล่งปลูกชา-กาแฟระดับโลก

นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ในฐานะผู้จัดงาน เปิดเผยว่า กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีศักยภาพด้านการผลิตชาและกาแฟสูงสุดแห่งหนึ่งของประเทศ เชียงรายเป็นแหล่งปลูกกาแฟอาราบิก้าคุณภาพดี มีพื้นที่เพาะปลูกกว่า 30% ของประเทศ และสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 721 ล้านบาทต่อปี ขณะที่อุตสาหกรรมชาก็เติบโตโดดเด่น โดยชาและกาแฟเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงพืชเศรษฐกิจสำคัญ แต่ยังมีบทบาทในการอนุรักษ์ป่าไม้ รักษาดุลยภาพระบบนิเวศและสร้างเสถียรภาพให้เกษตรกรในพื้นที่

นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเพิ่มเติมว่า “ภาคเหนือตอนบน 2 มีภูมิประเทศและสภาพอากาศที่เหมาะสม ชาและกาแฟของแต่ละพื้นที่จึงมีรสชาติ กลิ่น และเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์ ต่อยอดเป็นอัตลักษณ์การท่องเที่ยวได้ดี” งานนี้จึงเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญผลักดันเศรษฐกิจฐานราก ขยายตลาดใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยบนเวทีโลก ภายใต้นโยบายชาติว่าด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์และยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก พ.ศ.2561-2580

ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างสุขภาพ สานวัฒนธรรม-การท่องเที่ยว

งาน “Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025” ไม่ได้เป็นเพียงเวทีแสดงสินค้ากาแฟและชา แต่ยังสร้างการรับรู้ใหม่ให้กับแบรนด์กาแฟท้องถิ่น-ระดับโลกในภูมิภาคล้านนา เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพด้วยกิจกรรมหลากหลาย เช่น การสาธิตชงชา-กาแฟโดยบาริสต้าระดับประเทศ เวิร์กช็อปปลูกและดูแลต้นกาแฟ/ชา การประกวดชงกาแฟ การจับคู่เมล็ดกาแฟกับขนมพื้นเมือง ไปจนถึงเวทีสัมมนาเรื่อง “โอกาสชา-กาแฟไทยสู่ตลาดโลก” โดยผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันต่างประเทศ

การจัดงานครั้งนี้ ยังช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ SME อย่างเป็นรูปธรรม โดยประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อกาแฟ ชา ผลิตภัณฑ์แปรรูปหลากหลาย พร้อมรับคำแนะนำจากผู้ปลูกโดยตรง สัมผัสเสน่ห์ความเป็นล้านนาแท้จริงผ่าน “กาแฟถ้วยโปรด ชาจอกสุขภาพ”

อนาคตเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของล้านนา

“Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025” เป็นโมเดลสำคัญของการสร้างเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ด้านการท่องเที่ยว และบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ธุรกิจ SME สู่ตลาดสากล กิจกรรมตลอด 4 วัน เปิดให้ชมฟรี พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่แห่งวัฒนธรรมเครื่องดื่มและสุขภาพแก่ผู้ร่วมงาน ทั้งยังเป็นเวทีสร้างความร่วมมือระหว่างภาคประชาสังคม ภาครัฐ เอกชน และกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่

เทศกาลนี้ สะท้อนความพร้อม “เชียงราย-ล้านนาตะวันออก” สู่ศูนย์กลางกาแฟ-ชาเอเชีย

ความสำเร็จของ “Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025” เป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพและความพร้อมของเชียงรายและกลุ่มจังหวัดล้านนาตะวันออก ไม่เพียงแต่ในฐานะ “แหล่งปลูกกาแฟ-ชา” ที่ใหญ่ที่สุดของไทย แต่ยังพร้อมก้าวเป็น “ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ สุขภาพ และวัฒนธรรม” ระดับภูมิภาค สร้างรายได้ เสริมความยั่งยืน และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้เกษตรกร-ผู้ประกอบการท้องถิ่น

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  • ส่งเสริมการสร้างแบรนด์ “กาแฟ-ชาล้านนา” และสนับสนุนการตลาดออนไลน์เชิงรุก
  • สนับสนุนวิสาหกิจชุมชนให้เข้าถึงองค์ความรู้-เทคโนโลยี และตลาดต่างประเทศ
  • พัฒนาเทศกาลนี้ให้เป็นอีเวนต์ประจำปีระดับนานาชาติ ดึงดูดนักท่องเที่ยว-นักลงทุน
  • ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ผสานวัฒนธรรม-อาหาร-ภูมิปัญญาล้านนา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงราย
  • ข่าวประชาสัมพันธ์กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2
  • ข้อมูลการปลูกกาแฟ-ชาของกระทรวงเกษตรฯ
  • งานสัมมนา Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

คลายกังวล! กปภ. เปิดพิสูจน์น้ำประปาเชียงราย “สะอาด-ปลอดภัย-ไร้สารหนู” เกินมาตรฐาน WHO

กปภ. ย้ำความเชื่อมั่น: น้ำประปาเชียงราย “ปลอดภัย ไร้สารหนู” หลังปรับกระบวนการผลิตและตรวจสอบเข้มงวด

เชียงราย, 25 กรกฎาคม 2568 – คลายกังวลน้ำประปาเชียงราย กปภ.เปิดบ้านให้สื่อพิสูจน์มาตรฐาน “สะอาด-ปลอดภัย-ไร้สารหนู” ย้ำมาตรการเหนือ WHO ภายหลังจากที่มีรายงานตรวจพบความขุ่นผิดปกติและสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบหลักในการผลิตน้ำประปาของจังหวัดเชียงราย ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความกังวลต่อความปลอดภัยในการใช้น้ำอย่างกว้างขวาง การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จึงรีบเร่งขับเคลื่อนมาตรการสร้างความเชื่อมั่น โดยจัดกิจกรรม “สื่อมวลชนสัญจร” นำผู้สื่อข่าวในพื้นที่ลงพื้นที่จริงเยี่ยมชมกระบวนการผลิต ตรวจสอบห้องควบคุมและห้องปฏิบัติการคุณภาพน้ำประปา ณ กปภ.สาขาเชียงราย พร้อมเปิดเผยข้อมูลและแผนการจัดการเชิงรุกอย่างโปร่งใส

ผู้ว่าการ กปภ. ลงนามการันตี “น้ำดื่มได้จริง” มาตรการผลิตเข้มข้นเกิน WHO

นายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค ชี้แจงต่อสื่อมวลชนว่า กปภ.เฝ้าระวังคุณภาพน้ำดิบในแม่น้ำกกตลอด 24 ชั่วโมง และเพิ่มมาตรการควบคุมการผลิตน้ำประปาให้เข้มข้นกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) เช่น ค่าความขุ่น WHO อนุโลม 5 NTU แต่ กปภ.กำหนดสูงสุดเพียง 4 NTU เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน

กระบวนการผลิตน้ำดื่มของ กปภ.เชียงรายมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย

  • การปรับสัดส่วนเคมีเพื่อเร่งการตกตะกอน ดึงโลหะหนักออกจากน้ำดิบ
  • เติมคลอรีน ทั้ง Pre-Chlorine และ Post-Chlorine เพื่อฆ่าเชื้อโรคและคุมคุณภาพ
  • เสริมการเติมโพลิเมอร์และสารแทร็ก เพื่อให้โลหะหนัก (สารหนู แคดเมียม ฯลฯ) ตกตะกอนออกก่อนจ่ายเข้าสู่กระบวนการกรองขั้นสูง
  • ตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยนักวิทยาศาสตร์ กำกับทุกขั้นตอนจนถึงปลายทาง
  • สุ่มเก็บตัวอย่างน้ำทั้งระบบ ส่งตรวจบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด ทุก 2 สัปดาห์

“น้ำประปา กปภ. สะอาด ปลอดภัย และดื่มได้จริงตามมาตรฐานสากล ผมกล้าการันตี” ผู้ว่าการ กปภ. กล่าว

รายงานผลตรวจล่าสุด ยืนยันไร้สารหนู-ประชาชนใช้น้ำได้ตามปกติ

ผลการสุ่มตรวจคุณภาพน้ำประปาล่าสุดจาก กปภ.เชียงราย เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ยืนยันว่า น้ำประปาทุกจุดปลอดภัย ไร้สารหนู และผ่านค่ามาตรฐานทุกด้าน โดยมีการเปิดเผยผลการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ผ่านแฟนเพจของ กปภ.สาขาเชียงรายและแม่สายทุก 3 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน และเน้นย้ำว่า หากพบค่าความขุ่นหรือสารปนเปื้อนเกินค่าควบคุมแม้แต่น้อย กปภ.จะดำเนินการหยุดจ่ายน้ำและหาแหล่งน้ำใหม่ทันที

นายสุทัศน์ นุชปาน รองผู้ว่าการ กปภ. (ปฏิบัติการ 1) กล่าวย้ำกับประชาชนชาวเชียงรายว่า “มั่นใจได้น้ำประปาที่ผ่านการผลิตของ กปภ. ใช้อุปโภคบริโภคได้แน่นอน แต่ขอให้หลีกเลี่ยงการนำน้ำดิบจากแม่น้ำกกไปใช้โดยตรง”

มาตรการและแนวทางเตรียมพร้อม กรณีวิกฤตสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำดิบ

หากสถานการณ์น้ำดิบจากแม่น้ำกกในอนาคตมีสารปนเปื้อนเกินศักยภาพการบำบัด กปภ. มีแผนรองรับทันที ได้แก่

  • เปลี่ยนแหล่งน้ำดิบใหม่ ค้นหาน้ำดิบจากแหล่งที่มีปริมาณและคุณภาพเหมาะสม
  • เพิ่มการเฝ้าระวังและสุ่มตรวจอย่างเข้มข้น
  • สื่อสารแจ้งเตือนประชาชนอย่างโปร่งใส

บทพิสูจน์ “กอบกู้ศรัทธา” ด้วยมาตรการโปร่งใส-วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

การดำเนินการของ กปภ.เชียงรายในวิกฤตครั้งนี้ ถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญของหน่วยงานรัฐที่กล้าเปิดบ้านให้สื่อพิสูจน์และสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา เป็นการ “สร้างศรัทธาเชิงรุก” ต่อประชาชน และสร้างความมั่นใจด้วยข้อเท็จจริงเชิงวิทยาศาสตร์

  • การลงทุนเครื่องจ่ายสารเคมีและเทคโนโลยีทันสมัย มูลค่ากว่า 15 ล้านบาท ยืนยันถึงความจริงจังในคุณภาพน้ำ
  • โปร่งใส เปิดเผยผลตรวจคุณภาพน้ำ สร้างบรรทัดฐานใหม่ในการสื่อสารความเสี่ยงภาครัฐ
  • วางแผนรับมือเหตุฉุกเฉินอย่างเป็นระบบ สะท้อนความพร้อมต่อปัญหาเชิงโครงสร้างของแม่น้ำกก

ขณะเดียวกัน กปภ. ยอมรับข้อเท็จจริงว่า ปัญหาสารหนูในแม่น้ำกกเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือระยะยาวจากทุกหน่วยงาน ไม่ใช่แค่การประปา แต่ต้องร่วมแก้ไขที่ต้นน้ำและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  • จัดทำแผนประชาสัมพันธ์วิทยาศาสตร์น้ำ ให้ประชาชนเข้าใจการบำบัดน้ำ
  • สนับสนุนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการใช้น้ำดิบโดยตรง
  • ยกระดับการดูแลแหล่งน้ำต้นน้ำ ร่วมกับหน่วยงานสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข
  • เตรียมงบฉุกเฉินและแผนปฏิบัติการกรณีพบสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

บทสรุป

การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงรายกำลังยกระดับมาตรฐานความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการสื่อสารเชิงรุก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนอย่างยั่งยืน ในวิกฤตที่หลายพื้นที่ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม “ความจริงใจและมาตรฐานสูงสุด” คือหัวใจที่ต้องยึดมั่นต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.)
  • บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด
  • รายงานคุณภาพน้ำประปา กปภ.สาขาเชียงราย
  • สัมภาษณ์ผู้ว่าการ กปภ.
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ กปภ.
  • WHO Guidelines for Drinking-water Quality
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายรวมพลังต้าน “วิภา” อุทกภัยรุนแรงท้าทายความเข้มแข็งของชุมชน

เชียงรายรวมพลังต้านพายุ “วิภา” อุทกภัยรุนแรงท้าทายความเข้มแข็งของชุมชน

เชียงราย, 23 กรกฎาคม 2568 – เมื่อพายุโซนร้อน “วิภา” พัดถล่มจังหวัดเชียงรายตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในพื้นที่ 8 อำเภอ 23 ตำบล 114 หมู่บ้าน ประชาชนกว่า 400 ครัวเรือนเผชิญวิกฤต บ้านเรือนจมน้ำ พื้นที่เกษตรเสียหาย และโครงสร้างพื้นฐานพังพินาศ ภาพของชาวบ้านที่ต้องทิ้งบ้านเรือนหนีน้ำป่าไหลหลากกลายเป็นสัญลักษณ์ของความท้าทายครั้งนี้ แต่ท่ามกลางความโกลาหล ความหวังยังคงปรากฏผ่านการตอบสนองอย่างรวดเร็วของผู้นำท้องถิ่นและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

อำเภอเทิง หัวใจของวิกฤตและการตอบสนอง

ที่อำเภอเทิง หมู่บ้านร่องขามป้อมและบ้านใหม่ ตำบลเวียง กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความเสียหาย น้ำท่วมสูงเกิน 1 เมตร ทำให้บ้านเรือนกว่า 200 หลังคาเรือนจมอยู่ใต้มวลน้ำ ชาวบ้านกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุและผู้พิการ ต้องอพยพอย่างเร่งด่วนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่จัดตั้งโดยองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เวียง นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัด เดินทางลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

“ตอนเช้าน้ำสูงมาก แต่ตอนนี้เริ่มลดลงแล้ว ถ้าไม่มีฝนเพิ่ม คาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในไม่ช้า” ผู้ว่าฯ ชรินทร์กล่าว ขณะตรวจเยี่ยมศูนย์พักพิงที่ให้ที่พัก อาหาร และสิ่งของจำเป็นแก่ผู้ประสบภัย 18 ราย ด้านนายเอนก ปันทะยม นายอำเภอเทิง รายงานว่า อุทกภัยกระทบ 7 ตำบล 22 หมู่บ้าน รวม 420 ครัวเรือน โดยน้ำป่าจากลำน้ำหงาวเป็นสาเหตุหลัก การแจ้งเตือนล่วงหน้า 3-5 วันช่วยให้ชาวบ้านเตรียมพร้อมย้ายข้าวของขึ้นที่สูง ลดความสูญเสียได้ส่วนหนึ่ง

ความช่วยเหลือในพื้นที่นี้ไม่ได้มาจากภาครัฐเท่านั้น นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ส่งทีมบรรเทาสาธารณภัย 30 นาย พร้อมเครื่องมือหนัก เข้าสนับสนุนการอพยพและฟื้นฟูพื้นที่ ร่วมกับทหารจากกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17, โครงการชลประทานจังหวัด, มูลนิธิกู้ภัย และจิตอาสา การผนึกกำลังนี้แสดงให้เห็นถึงพลังของชุมชนที่รวมใจรับมือภัยพิบัติ

วงกว้างของความเสียหายจากพญาเม็งรายถึงเมืองเชียงราย

นอกจากอำเภอเทิง พื้นที่อื่นๆ ของเชียงรายก็เผชิญสถานการณ์ไม่ต่างกัน อำเภอพญาเม็งรายมีครัวเรือนได้รับผลกระทบถึง 7,000 ครัวเรือน โดยเฉพาะตำบลแม่เปาและตาดควัน น้ำป่าไหลหลากทำให้ถนนสายเม็งราย-แม่ต๋ำสัญจรได้เพียงช่องทางเดียว ในอำเภอเวียงแก่น คอสะพานใกล้วัดถ้ำผาแลขาดจากมวลน้ำ ส่วนอำเภอดอยหลวงต้องเร่งกำจัดสิ่งกีดขวางในลำน้ำบงเพื่อลดความเสี่ยงน้ำท่วมเพิ่ม

ในเขตอำเภอเมืองเชียงราย สถานการณ์ยิ่งน่ากังวล ตำบลดอยลานเผชิญน้ำป่าท่วมโรงเรียนและหมู่บ้าน ตำบลสันทรายมี 9 หมู่บ้านถูกน้ำท่วมขัง และตำบลนางแลมีน้ำล้นตลิ่งกระทบพื้นที่โรงพยาบาลและชุมชน การสัญจรในหลายพื้นที่ถูกตัดขาดจากดินสไลด์และน้ำท่วมถนน นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย ระบุว่า ทีมงานกำลังเร่งแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการฟื้นฟูเส้นทางที่ถูกตัดขาด

แม่น้ำลาวภัยเงียบที่รออยู่

เมื่อเวลา 19.00 น. ของวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้รับแจ้งเตือนจากโครงการวิจัยระบบการเตือนภัยฯ ว่า ระดับน้ำในแม่น้ำลาวที่สถานีวัด G10 เพิ่มขึ้น 10-15 เซนติเมตรต่อชั่วโมง และอาจล้นตลิ่งที่ระดับ 3.50 เมตรในเวลา 02.00 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่เทศบาลเร่งติดตั้งบิ๊กแบ็กและยกระดับแนวกั้นน้ำบริเวณประตูน้ำลาวใกล้ชุมชนทุ่งพญาหมี เพื่อป้องกันน้ำไหลเข้าท่วมเขตเมือง

“เราต้องทำงานแข่งกับเวลา” นายวันชัยกล่าว “การแจ้งเตือนล่วงหน้าช่วยให้เราเตรียมพร้อมได้ทันท่วงที แต่ทุกคนต้องช่วยกันจับตาสถานการณ์” การเตรียมการเชิงรุกนี้สะท้อนถึงความพยายามของหน่วยงานท้องถิ่นในการลดผลกระทบจากภัยพิบัติที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น

ความท้าทายและพลังแห่งความสามัคคี

สถานการณ์อุทกภัยจากพายุ “วิภา” เป็นบททดสอบครั้งสำคัญของเชียงราย การตอบสนองอย่างรวดเร็วของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของกลไกการจัดการภัยพิบัติ การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายก อบจ. การแจ้งเตือนล่วงหน้า และการบูรณาการกำลังจากทุกภาคส่วน ล้วนเป็นจุดแข็งที่ช่วยลดความสูญเสียและสร้างความมั่นใจให้ประชาชน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ การที่น้ำในแม่น้ำลาวอาจล้นตลิ่งในคืนนี้บ่งชี้ถึงความผันผวนของสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและสะพาน จะเป็นอุปสรรคสำคัญในการฟื้นฟูหลังน้ำลด และการเยียวยาครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบกว่า 400 ครัวเรือนใน 8 อำเภอ จำเป็นต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและเป็นธรรม

เมื่อมองไปข้างหน้า การฟื้นฟูเชียงรายจะต้องครอบคลุมทั้งการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน การเยียวยาพื้นที่เกษตร และการสนับสนุนจิตใจของประชาชนที่สูญเสียทรัพย์สิน ความร่วมมือที่แข็งแกร่งในวันนี้เป็นสัญญาณว่าเชียงรายพร้อมเผชิญหน้ากับความท้าทาย และจะก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • โครงการวิจัยระบบการเตือนภัยล่วงหน้าภาคเหนือ
  • กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17
  • หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 สำนักงานพัฒนาภาค 3 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา
  • โครงการชลประทานจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News