Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

‘ไดกิ้น’ ส่ง “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ยกระดับอากาศสถานศึกษาเชียงราย

ห้องเรียนปลอดฝุ่นนวัตกรรมเพื่ออนาคตเด็กไทยจากไดกิ้น

เชียงราย, 21 พฤษภาคม 2568 – ในยามที่หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ปกคลุมท้องฟ้าของจังหวัดเชียงราย เด็ก ๆ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้องเผชิญกับภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของพวกเขา อากาศที่ปนเปื้อนมลพิษภายในอาคารกลายเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือที่เผชิญกับปัญหาฝุ่นควันอย่างต่อเนื่อง เรื่องราวของเด็กน้อยวัย 5 ขวบที่ต้องหยุดเรียนบ่อยครั้งเพราะอาการภูมิแพ้กำเริบจากฝุ่นละออง กลายเป็นภาพสะท้อนของความท้าทายที่สถานศึกษาทั่วประเทศกำลังเผชิญ

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ ไดกิ้น ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมระบบปรับอากาศ ได้ก้าวเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการเปิดตัว ห้องเรียนปลอดฝุ่น” โครงการต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ด้านคุณภาพอากาศภายในอาคารแห่งแรกในภาคเหนือ ณ โรงแรมแสนโฮเทล เชียงราย ซึ่งไม่เพียงเป็นการยกระดับมาตรฐานคุณภาพอากาศในสถานศึกษา แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืนสำหรับเด็กปฐมวัยทั่วประเทศไทย

เมื่อภัยเงียบจากฝุ่นละอองรุกคืบ

ในช่วงฤดูหนาวของทุกปี ภาคเหนือของประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านระบบทางเดินหายใจ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด เด็ก ๆ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมักใช้เวลานานในห้องเรียนที่มีระบบระบายอากาศไม่เพียงพอ ทำให้มลพิษจากภายนอกและภายในอาคารสะสมตัว ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วย เช่น ภูมิแพ้ หอบหืด หรือแม้แต่พัฒนาการที่ล่าช้า

ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่พื้นที่เปิดโล่ง แต่ภายในอาคารเองก็เป็นแหล่งสะสมของมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) จากวัสดุก่อสร้าง หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการหายใจของเด็ก ๆ และบุคลากรในห้องเรียนที่หนาแน่น สถานการณ์นี้กลายเป็นแรงผลักดันให้ไดกิ้นและพันธมิตรตระหนักถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาคุณภาพอากาศในสถานศึกษา โดยเฉพาะในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เด็ก ๆ ใช้เวลาเกือบทั้งวัน

การรวมพลังครั้งยิ่งใหญ่ ความร่วมมือเพื่ออนาคต

เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ ไดกิ้นได้จับมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน ได้แก่ กรมอนามัย กรมการปกครอง สมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี รวมถึง บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ร่วมกันพัฒนาโครงการ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ที่สามารถขยายผลไปยังสถานศึกษาอื่น ๆ ทั่วประเทศ

โครงการนี้ได้รับเกียรติจาก นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดตัวเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมแสนโฮเทล เชียงราย พร้อมด้วยผู้บริหารจากหน่วยงานพันธมิตรที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ภายในงานมีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ ปัญหาคุณภาพอากาศภายในอาคารและการจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคารสาธารณะและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของมลพิษทางอากาศและแนวทางการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

ห้องเรียนปลอดฝุ่น

หัวใจสำคัญของโครงการ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” คือการติดตั้ง ระบบระบายอากาศประสิทธิภาพสูง และ ระบบกรองอากาศ HRV (Heat Reclaim Ventilation) ที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และคุณภาพอากาศภายในอาคารอย่างครบวงจร ระบบนี้สามารถกรองฝุ่นละออง PM2.5 และมลพิษจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนนำอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ห้องเรียน พร้อมติดตั้ง เซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ครูและผู้ดูแลสามารถเฝ้าระวังและบริหารจัดการคุณภาพอากาศได้อย่างต่อเนื่อง

ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสถานที่ตั้งของห้องเรียนปลอดฝุ่นแห่งแรกในภาคเหนือ และได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากกรมอนามัยในฐานะที่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานด้านสุขภาพอนามัย นอกจากนี้ ยังมีการอบรมครูและเจ้าหน้าที่ในศูนย์เพื่อเสริมสร้างทักษะในการดูแลระบบคุณภาพอากาศอย่างยั่งยืน

นายคาสุฮิสะ ฮินาสึ กรรมการบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ไดกิ้นมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม คุณภาพอากาศที่ดีภายในอาคารมีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัยทั้งทางร่างกายและสติปัญญา เราเชื่อว่านวัตกรรมของเราจะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่เสี่ยง และสามารถขยายผลไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศไทย”

สร้างอนาคตที่ยั่งยืน

การเปิดตัวห้องเรียนปลอดฝุ่นไม่ใช่เพียงการติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการผสานนวัตกรรมและความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสังคม เด็ก ๆ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อจะได้รับโอกาสในการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจากมลพิษ ลดความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจและภูมิแพ้ ขณะที่ครูและบุคลากรได้รับความรู้และเครื่องมือในการบริหารจัดการคุณภาพอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

ผลลัพธ์ของโครงการนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งเดียว ไดกิ้นและพันธมิตรตั้งเป้าที่จะขยายผลไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยใช้ห้องเรียนปลอดฝุ่นแห่งนี้เป็นต้นแบบในการพัฒนามาตรฐานคุณภาพอากาศในอาคารที่ปลอดภัยและยั่งยืน การลงทุนในคุณภาพอากาศวันนี้จึงเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพและอนาคตของเด็กไทยในวันหน้า

ทำไมห้องเรียนปลอดฝุ่นถึงสำคัญ

การจัดการคุณภาพอากาศในสถานศึกษาไม่เพียงช่วยปกป้องสุขภาพของเด็กและบุคลากร แต่ยังส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้และพัฒนาการในระยะยาว การสัมผัสกับมลพิษทางอากาศ เช่น PM2.5 และ VOCs เป็นเวลานานอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น โรคหอบหืด ภูมิแพ้ หรือแม้แต่ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง การติดตั้งระบบระบายอากาศและกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสามารถลดความเข้มข้นของมลพิษเหล่านี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการเจริญเติบโตของเด็ก

นอกจากนี้ การอบรมบุคลากรในสถานศึกษาให้มีความรู้และทักษะในการจัดการคุณภาพอากาศยังช่วยสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ครูและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรมจะสามารถดูแลและบำรุงรักษาระบบได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงถ่ายทอดความรู้ให้กับชุมชนรอบข้าง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ฝุ่น PM2.5 และผลกระทบต่อเด็ก จากรายงานของ IQAir ในปี 2566 ประเทศไทยติดอันดับที่ 36 ของโลกในด้านมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่ภาคเหนือเผชิญกับระดับ PM2.5 สูงเกินมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งกำหนดไว้ที่ 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยเฉลี่ยในเชียงรายพบระดับ PM2.5 สูงถึง 50-100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในบางวัน
  • ผลกระทบต่อสุขภาพ การศึกษาโดยกรมอนามัยระบุว่า เด็กปฐมวัยที่สัมผัสกับ PM2.5 ในระดับสูงมีความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น 30% และอาจมีพัฒนาการทางสติปัญญาลดลง 10-15% เมื่อเทียบกับเด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศบริสุทธิ์
  • คุณภาพอากาศในอาคาร จากข้อมูลของสมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร พบว่า 80% ของอาคารสถานศึกษาในประเทศไทยมีระบบระบายอากาศที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้มีการสะสมของ CO2 และฝุ่นละอองภายในอาคารในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมอนามัย สมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร
  • บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด
  •  ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายลดจุดความร้อน คุมไฟป่า PM2.5 ลดฮวบ 84%

จังหวัดเชียงรายสรุปผลสำเร็จ “เชียงรายฟ้าใส” ปี 2568 จุดความร้อนลด 84% คุณภาพอากาศดีขึ้นด้วยนวัตกรรมและความร่วมมือ

เชียงราย, 13 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในการจัดการปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในปี 2568 โดยสามารถลดจุดความร้อนได้ถึง 84.3% พื้นที่เผาไหม้ลดลงกว่า 10,000 ไร่ และคุณภาพอากาศดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินงาน ณ ห้องธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 นำโดยนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สะท้อนถึงประสิทธิภาพของยุทธศาสตร์ “เชียงรายฟ้าใส” และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่ทำให้จังหวัดก้าวสู่เป้าหมายการเป็นเมืองสะอาดและยั่งยืน

ความท้าทายจากไฟป่าและหมอกควันในภาคเหนือ

จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญกับปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM2.5 อย่างรุนแรงในช่วงฤดูแล้งของทุกปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน สาเหตุหลักมาจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม การจัดการเชื้อเพลิงในป่า และหมอกควันข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่ยังกระทบต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจท้องถิ่น ซึ่งเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญกับวิกฤตหมอกควันที่มีจุดความร้อนสูงถึง 3,885 จุด และค่า PM2.5 เฉลี่ยเกินมาตรฐานถึง 64 วัน สร้างความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ จังหวัดเชียงรายได้กำหนดยุทธศาสตร์ “เชียงรายฟ้าใส” ซึ่งมุ่งเน้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างเป็นระบบ โดยผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ชุมชน และนานาชาติ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน

ผลสำเร็จของการดำเนินงาน “เชียงรายฟ้าใส” ปี 2568

การแถลงข่าวเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นำโดยนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาคี และสื่อมวลชน ได้นำเสนอผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM2.5 ในช่วงฤดูไฟป่า (1 กุมภาพันธ์ – 10 พฤษภาคม 2568) ซึ่งแสดงถึงความก้าวหน้าที่สำคัญในหลายมิติ

การลดจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้

จากรายงานของสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย (ทสจ.ชร.) และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ร่วมกับข้อมูลจากระบบดาวเทียม Suomi NPP และ VIIRS พบว่า จุดความร้อน (Hotspot) ในปี 2568 ลดลงจาก 3,885 จุดในปี 2567 เหลือเพียง 611 จุด คิดเป็นการลดลง 84.3% อำเภอที่มีจุดความร้อนสูงสุด ได้แก่ เวียงแก่น (114 จุด) เวียงป่าเป้า (95 จุด) และพาน (77 จุด) โดยตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น มีจุดความร้อนสูงสุดที่ 72 จุด

ด้านพื้นที่เผาไหม้ พบว่าพื้นที่เผาไหม้สะสมในปี 2568 อยู่ที่ 52,312 ไร่ ลดลงจาก 62,520 ไร่ในปี 2567 หรือลดลง 10,208 ไร่ (16.3%) ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 139,290 ไร่ ถึง 62% โดยพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์เป็นพื้นที่หลักที่เกิดการเผาไหม้ คิดเป็น 93.8% ของพื้นที่ทั้งหมด

การควบคุมคุณภาพอากาศ

คุณภาพอากาศในจังหวัดเชียงรายดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยค่าเฉลี่ย PM2.5 รายวันในปี 2568 อยู่ที่ 39.18 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ลดลงจาก 52.63 มคก./ลบ.ม. ในปี 2567 หรือลดลง 25.5% และจำนวนวันที่ PM2.5 เกินมาตรฐานลดลงจาก 64 วันในปี 2567 เหลือ 42 วันในปี 2568 หรือลดลง 34.4% สถานีตรวจวัดหลักในอำเภอเมืองเชียงราย แม่สาย และเชียงของ ต่างยืนยันถึงแนวโน้มการลดลงของฝุ่นละออง

มาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม

จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินมาตรการที่ครอบคลุม 3 ระดับ ดังนี้:

  1. การจัดการไฟในพื้นที่ป่า:
    • ปิดป่าหวงห้าม 26 แห่ง
    • จัดทำแนวกันไฟ 827.5 กิโลเมตร
    • ลาดตระเวน 1,297 ครั้ง และควบคุมไฟป่า 248 ครั้ง
    • สร้างฝายชะลอน้ำ 33 จุด เพื่อรักษาความชุ่มชื้นในป่า
  2. การจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่เกษตร:
    • ลงนาม MOU ควบคุมการเผาในภาคเกษตร 8 ครั้ง
    • อัดฟางด้วยเครื่องอัดฟาง 183,000 ตัน
    • ส่งเสริมการแปรรูปวัสดุเหลือใช้เป็นชีวมวล ปุ๋ย อาหารสัตว์ และเพาะเห็ด รวม 552,940 ตัน (ข้าว 449,790 ตัน และข้าวโพด 103,150 ตัน)
    • ดำเนินโครงการ “ไม่เผา ไม่เสียสิทธิ์” ซึ่งห้ามเกษตรกรที่มีประวัติการเผาเข้าร่วมโครงการสนับสนุนของรัฐ
  3. การดูแลสุขภาพและลดผลกระทบ:
    • แจกหน้ากากอนามัยและ N95 จำนวน 1,121,965 ชิ้น
    • เปิดห้องปลอดฝุ่น 903 แห่ง
    • ตรวจสุขภาพอาสาดับไฟป่า 3,686 ราย และคัดกรองกลุ่มเสี่ยง 5,694 ราย
    • เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงและกลุ่มโรคเรื้อรัง 11,261 ราย

การส่งเสริมเกษตรแบบไม่เผา

สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงรายได้ผลักดันโครงการ “เกษตรไม่เผา” โดยลดจุดความร้อนในพื้นที่เกษตรจาก 225 จุดในปี 2567 เหลือ 68 จุดในปี 2568 หรือลดลง 69.77% โดยเฉพาะการเผานาข้าว (61.8%) และข้าวโพด (17.6%) ผ่านการส่งเสริมการแปรรูปวัสดุเหลือใช้ เช่น ไถกลบ ทำปุ๋ยหมัก และผลิตชีวมวล รวมถึงการอบรมเกษตรกร 78,399 ราย และโครงการนำร่อง “PM2.5 Free Plus” ในอำเภอดอยหลวง ครอบคลุม 1,338 ไร่ เพื่อส่งเสริมการผลิตข้าวโพดแบบไม่เผา

ความยั่งยืนและการขยายผล

ผลสำเร็จของจังหวัดเชียงรายในปี 2568 เป็นผลจากการบูรณาการความร่วมมือในหลายระดับ รวมถึง:

  • ระดับชุมชน: การสร้างหมู่บ้านปลอดการเผา 438 หมู่บ้าน และพัฒนาศักยภาพอาสาดับไฟป่า “อส.สู้ไฟ” 372 นาย
  • ระดับจังหวัด: การใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและแอปพลิเคชัน GISTDA รวมถึงโดรนตรวจการณ์ เพื่อแจ้งเตือนและควบคุมไฟป่าแบบเรียลไทม์
  • ระดับนานาชาติ: การประชุมความร่วมมือข้ามพรมแดนไทย–ลาว–เมียนมา 2 ครั้ง เพื่อจัดการหมอกควันข้ามแดน
  • นวัตกรรม: การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตใน 111 หมู่บ้าน และส่งเสริมพืชทางเลือก เช่น กาแฟ แมคคาเดเมีย และอะโวคาโด เพื่อลดการเผาในภาคเกษตร

การดำเนินงานเหล่านี้ช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน เช่น การแปรรูปวัสดุเหลือใช้เป็นปุ๋ยและชีวมวล ซึ่งสามารถสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกร โครงการ “เชียงรายฟ้าใส” ยังเป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังจังหวัดอื่นในภาคเหนือ และเป็นแนวทางสำหรับการจัดการปัญหาหมอกควันในระดับภูมิภาค

ปัจจัยความสำเร็จและความท้าทายในอนาคต

ความสำเร็จของจังหวัดเชียงรายในปี 2568 เกิดจากปัจจัยหลัก 3 ประการ:

  1. ความร่วมมือระดับชุมชน: การมีส่วนร่วมของหมู่บ้าน ผู้นำท้องถิ่น และเกษตรกร ในการปฏิบัติตามนโยบาย “ไม่เผา ไม่เสียสิทธิ์” และการพัฒนาหมู่บ้านปลอดการเผา
  2. เทคโนโลยีและข้อมูล: การใช้ระบบดาวเทียม Suomi NPP และ VIIRS รวมถึงแอปพลิเคชันแจ้งเตือน ทำให้สามารถควบคุมไฟป่าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
  3. นโยบายที่ชัดเจน: การกำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้ เช่น การลดจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้ รวมถึงการใช้มาตรการจูงใจ เช่น คาร์บอนเครดิต และมาตรการลงโทษ เช่น การตัดสิทธิ์เกษตรกรที่เผา

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในระยะยาวยังคงมีอยู่ ได้แก่:

  • การพึ่งพาการเผาในภาคเกษตร: เกษตรกรบางกลุ่มยังคงใช้การเผาเป็นวิธีเตรียมพื้นที่เพาะปลูก เนื่องจากต้นทุนต่ำและสะดวก การเปลี่ยนพฤติกรรมจึงต้องอาศัยแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
  • หมอกควันข้ามพรมแดน: ปัญหาหมอกควันจากประเทศเพื่อนบ้านยังคงเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก ต้องอาศัยความร่วมมือในระดับนานาชาติที่เข้มข้นมากขึ้น
  • การขยายพื้นที่เกษตร: ความต้องการพื้นที่เพาะปลูกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวโพด อาจนำไปสู่การบุกรุกป่าและเพิ่มความเสี่ยงต่อไฟป่า

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ จังหวัดเชียงรายควรวางแผนระยะยาวที่เน้นการส่งเสริมเกษตรยั่งยืน การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิต และการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว เช่น การใช้โดรนและระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดฝุ่นละอองในระดับตำบล

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำเร็จและบริบทของการจัดการไฟป่าและหมอกควันในจังหวัดเชียงราย ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้:
    • จุดความร้อนลดลงจาก 3,885 จุดในปี 2567 เหลือ 611 จุดในปี 2568 (-84.3%)
    • พื้นที่เผาไหม้ลดลงจาก 62,520 ไร่ในปี 2567 เหลือ 52,312 ไร่ในปี 2568 (-16.3%)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (2568)
  2. คุณภาพอากาศ:
    • ค่าเฉลี่ย PM2.5 ลดลงจาก 52.63 มคก./ลบ.ม. ในปี 2567 เหลือ 39.18 มคก./ลบ.ม. ในปี 2568 (-25.5%)
    • จำนวนวันที่ PM2.5 เกินมาตรฐานลดลงจาก 64 วันในปี 2567 เหลือ 42 วันในปี 2568 (-34.4%)
    • แหล่งอ้างอิง: ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาไฟป่า PM2.5 จังหวัดเชียงราย (2568)
  3. การจัดการในภาคเกษตร:
    • จุดความร้อนในพื้นที่เกษตรลดลงจาก 225 จุดในปี 2567 เหลือ 68 จุดในปี 2568 (-69.77%)
    • ปริมาณวัสดุเหลือใช้ที่แปรรูป: ข้าว 449,790 ตัน และข้าวโพด 103,150 ตัน
    • เกษตรกรที่เข้าร่วมอบรม 78,399 ราย
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย (2568)
  4. การดูแลสุขภาพ:
    • แจกหน้ากากอนามัย 1,121,965 ชิ้น และเปิดห้องปลอดฝุ่น 903 แห่ง
    • ตรวจสุขภาพอาสาดับไฟป่า 3,686 ราย และเยี่ยมผู้ป่วย 11,261 ราย
    • แหล่งอ้างอิง: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (2568)

สรุปและคำแนะนำ

จังหวัดเชียงรายประสบความสำเร็จในการจัดการไฟป่าและหมอกควันในปี 2568 ผ่านยุทธศาสตร์ “เชียงรายฟ ฟ้าใส” ซึ่งแสดงถึงพลังของความร่วมมือและนวัตกรรม การลดจุดความร้อน พื้นที่เผาไหม้ และฝุ่น PM2.5 เป็นผลจากนโยบายที่ชัดเจน เทคโนโลยีทันสมัย และการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อรักษาความยั่งยืน ควรส่งเสริมเกษตรยั่งยืน พัฒนาคาร์บอนเครดิต และเสริมความร่วมมือข้ามพรมแดน

สำหรับชุมชนและ อปท. แนะนำให้เข้าร่วมโครงการหมู่บ้านปลอดการเผาและอบรม “อส.สู้ไฟ” ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรลงทุนในเทคโนโลยีตรวจวัดและขยายผลโครงการ “เกษตรไม่เผา” เพื่อลดผลกระทบจากหมอกควันในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ไฟป่า 2 จังหวัด แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ สร้างเสียหายแล้วกว่า 450,000 ไร่

 
เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 รายงานข่าวจาก GISTDA สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ระบุว่า จากสถานการณ์ไฟป่าที่มีความรุนแรงในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นอีก 2 พื้นที่ ไฟป่า แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เสียหายแล้วกว่า 450,000 ไร่
 
 
จากสถานการณ์ไฟป่าที่มีความรุนแรงในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นอีก 2 พื้นที่ที่พบว่ามีจุดความร้อนติดอันดับต้นๆ ของประเทศในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ล่าสุดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เผยข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม Landsat-8 ของวันที่ 31 มีนาคม 2567 เวลา 10.48 น. แสดงพื้นที่เผาไหม้ที่เกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ของอำเภอ แม่ลาน้อย แม่สะเรียง สบเมย ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งพบพื้นที่ความเสียหายทั้งสิ้น 251,037 ไร่ และ ในพื้นที่ของอำเภอ แม่แจ่ม จอมทอง ฮอด อมก๋อย ดอยเต่า ของจังหวัดเชียงใหม่ที่มีความเสียหายทั้งสิ้น 203,573 ไร่ โดยรวมพื้นที่ความเสียหายทั้งหมด 454,610 ไร่ สำหรับสาเหตุการเกิดไฟป่ายังคงมาจากการจุดไฟเผาเพื่อหาของป่า ล่าสัตว์ รวมถึงการเผาพื้นที่เกษตรก่อนเตรียมการเพาะปลูก และการเผาหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น
 
 
ข้อมูลดังกล่าวจะใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้าตรวจสอบในพื้นที่จริงร่วมกับจังหวัด เพื่อนำไปสู่การวางแผนฟื้นฟู ป้องกัน และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ในการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน อันจะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว และการรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน
 
 
ดาวเทียม Landsat 8 เป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับการพัฒนาโดยความร่วมมือ ระหว่างองค์การ NASA และ USGS (U.S. Geological Survey) มีการโคจรซ้ำตำแหน่งเดิมทุก ๆ 16 วัน ความกว้างของแนวถ่ายภาพ 185 กิโลเมตร ประกอบด้วยระบบบันทึกภาพ 2 ชนิด คือ Operation land Image (OIL) และ The Thermal Infrared Sensor (TIRS) จำนวน 11 ช่วงคลื่น ให้รายละเอียดจุดภาพช่วงคลื่น visible, NIR, SWIR  30 เมตร ช่วงคลื่น thermal 100 เมตร และ panchromatic 15 เมตร

ประโยชน์ของภาพที่จะนำไปใช้ : 

  • การจัดทำแผนที่ scale ใหญ่
  • การจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดิน
  • การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่
  • การวิเคราะห์ดินและพืชพรรณ – Soil/vegetative analysis
  • การศึกษาด้านธรณีวิทยา อาทิ น้ำมัน ก๊าซ เหมืองแร่ เป็นต้น
  • การติดตามพื้นที่ด้านสิ่งแวดล้อม
  • การวัดปริมาณน้ำ การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ชายฝั่ง
  • การวิเคราะห์มลภาวะ และหมอกควัน 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : GISTDA สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News