Categories
WORLD PULSE

องค์กรวิชาชีพสื่อไทยตัดสัมพันธ์ CCJ โต้ข้อกล่าวหาหมิ่นสื่อไทย-ข่าวเท็จชายแดน

องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนไทยประกาศ “ระงับสัมพันธ์” CCJ ปมหมิ่นสื่อไทย-ข้อมูลเท็จชายแดน

ประเทศไทย, 31 กรกฎาคม 2568 – จุดเริ่มต้นไฟขัดแย้งชายแดน จุดไฟศรัทธาสื่อระหว่างประเทศ
ในห้วงเวลาที่ปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาทวีความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนไทยประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย ได้ออกแถลงการณ์สำคัญในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ประกาศ “ระงับความสัมพันธ์” กับ สมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club of Cambodian Journalists: CCJ) อย่างเป็นทางการ หลัง CCJ ออกแถลงการณ์กล่าวหาสื่อไทยขาดจริยธรรม และมีการดูหมิ่นต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพฝั่งไทย

จุดแตกหัก สื่อไทยลุกขึ้นสู้เพื่อศักดิ์ศรี – CCJ แค่กระบอกเสียงรัฐบาลกัมพูชา

แกนหลักของแถลงการณ์ฝ่ายไทย มีใจความสำคัญคือการปฏิเสธข้อกล่าวหาจาก CCJ ที่ระบุว่าสื่อไทยขาดจริยธรรมในการนำเสนอข่าวสถานการณ์ชายแดน พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าสื่อไทย “ยึดมั่นในจริยธรรม ความเป็นกลาง ไม่ยั่วยุให้เกิดความเกลียดชัง” และให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมสันติภาพโดยไม่ตกเป็นเครื่องมือปลุกปั่นระหว่างชาติ อีกทั้งยังเรียกร้องให้ CCJ หยุดแทรกแซงกิจการภายในของสื่อมวลชนไทย และกลับไปเข้มงวดกับการตรวจสอบข้อมูลข่าวปลอมและข่าวบิดเบือนที่มีต้นตอมาจากฝั่งกัมพูชาเอง

ในแถลงการณ์ยังยกตัวอย่างข้อมูลเท็จที่ถูกเผยแพร่จากกัมพูชา เช่น

  • การกล่าวหาว่าเครื่องบิน F-16 ของไทยทิ้งสารเคมีลงในกัมพูชา
  • ข่าวลือไทยใช้ระเบิด MK ที่มีอานุภาพร้ายแรง
  • ข่าวปลอมเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2
    ซึ่งล้วนเป็น “ข่าวบิดเบือน” ที่สร้างความเข้าใจผิดและบ่อนทำลายบรรยากาศสันติภาพระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ

ประกาศตัดสัมพันธ์ – ส่งสารถึง CCJ ให้ทบทวนจรรยาบรรณตนเอง

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยในฐานะผู้มีข้อตกลงความร่วมมือกับ CCJ ได้ประกาศระงับความสัมพันธ์นี้เป็นการชั่วคราวโดยทันที พร้อมย้ำถึงความตั้งใจดั้งเดิมที่ต้องการให้กลไกความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนมีบทบาทสร้างสรรค์ต่อประชาชนสองประเทศ และขอให้ CCJ กลับไปปฏิบัติหน้าที่ในฐานะองค์กรวิชาชีพที่มีความเป็นอิสระและยึดถือจรรยาบรรณ

ท่าที CCJ โต้กลับ – สื่อไทยรายงานเท็จ ทำลายศรัทธา

ขณะเดียวกัน ฝ่าย CCJ จากพนมเปญ ได้ออกแถลงการณ์โต้กลับ โดยกล่าวหาสื่อไทยบางสำนัก เช่น Khaosod และ The Nation Thailand ว่าเผยแพร่ข้อมูลเท็จและขาดจรรยาบรรณวิชาชีพ อันส่งผลต่อสถานการณ์ชายแดนในช่วงเวลาวิกฤต พร้อมทั้งเรียกร้องให้สื่อไทยปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพด้านสื่อสารมวลชนอย่างเข้มงวดและช่วยกันลดความตึงเครียดด้วยการนำเสนอข่าวอย่างสร้างสรรค์
นอกจากนี้ CCJ ยังเน้นย้ำเจตนารมณ์ปกป้องเสรีภาพสื่อ พร้อมร่วมต้านข่าวปลอมในทุกมิติ

วิกฤตการณ์ศรัทธาสื่อ – ศึกปากกาและข้อมูลบนเวทีอาเซียน

การปะทะกันทาง “แถลงการณ์” ในครั้งนี้ ไม่ได้สะท้อนเพียงปัญหาข้อเท็จจริงตามแนวชายแดน แต่คือ “วิกฤตความเชื่อมั่น” ระหว่างวิชาชีพสื่อสองประเทศที่เคยร่วมมือกันมาอย่างใกล้ชิด จุดแตกหักเกิดขึ้นเมื่อ CCJ ถูกมองว่าไม่อิสระจากรัฐบาลกัมพูชา ขณะที่ฝ่ายไทยยืนยันความเป็นกลางและการตรวจสอบกันเองอย่างเข้มงวด

ประเด็นที่ต้องจับตา:

  • บทบาทของสื่อในการส่งเสริมสันติภาพหรือยั่วยุความขัดแย้ง
  • การต่อสู้กับข่าวปลอมที่ข้ามพรมแดนและส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  • อนาคตความร่วมมือขององค์กรวิชาชีพสื่อไทย-กัมพูชา ที่อาจส่งผลกระทบต่อการรายงานข่าวและภาพลักษณ์ของทั้งสองประเทศในประชาคมอาเซียน
  • การรักษาสมดุลระหว่างเสรีภาพสื่อ ความรับผิดชอบ และจรรยาบรรณ ในยุคที่ข้อมูลเคลื่อนที่รวดเร็วและสามารถบิดเบือนในวงกว้าง

ในท้ายที่สุด เหตุการณ์นี้อาจกลายเป็น “บทเรียนสำคัญ” สำหรับองค์กรสื่อทั่วทั้งภูมิภาค ในการยึดมั่นต่อจริยธรรมวิชาชีพ เคารพเสรีภาพ และใช้บทบาทของสื่อสร้างสรรค์สันติภาพ ไม่ตกเป็นเครื่องมือให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • แถลงการณ์สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
  • แถลงการณ์สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์
  • แถลงการณ์สมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club of Cambodian Journalists)
  • สำรวจข่าวสารจาก Khaosod, The Nation, ช่องทางสื่อไทยและกัมพูชา
  • วิเคราะห์แนวโน้มจากนักวิชาการอาเซียน (อ้างอิง: [Press Freedom Index, RSF 2025], สำนักข่าวอาเซียน, กระทรวงการต่างประเทศ)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา: “ภูมิธรรม” นำทีมเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซีย ผู้นำโลกจับตา

ภูมิธรรม” บินมาเลเซีย! เจรจาหยุดยิงไทย-กัมพูชา ผู้นำโลกเข้าร่วม ด้านไทยยังไม่มั่นใจความจริงใจกัมพูชา

ประเทศไทย, 28 กรกฎาคม 2568 – การประชุมหยุดยิงชายแดนผู้นำเอเชีย-มหาอำนาจโลกร่วมเจรจา เมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาทวีความรุนแรงขึ้นเป็นวันที่ 5 และส่อเค้าจะลุกลามจนไม่อาจควบคุมได้ รัฐบาลไทยจึงได้มอบหมายให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เดินทางด่วนถึงมาเลเซียในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อร่วมประชุมเจรจาหาทางยุติข้อพิพาทกับรัฐบาลกัมพูชาในเวทีนานาชาติ

การประชุมครั้งสำคัญนี้จัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐมนตรีมาเลเซีย เมืองปุตราจายา โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนประจำปี เป็นผู้ชูธงความพยายามหยุดยิง และยังได้รับความร่วมมือจากนานาชาติ โดยเฉพาะเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ และจีนที่เดินทางเข้าร่วม พร้อมแรงสนับสนุนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่แถลงจุดยืนต้องการให้ไทย-กัมพูชาหยุดยิงทันที และขู่งดข้อตกลงทางเศรษฐกิจกับทั้งสองประเทศหากยังสู้รบต่อ

แนวรบชายแดนเดือด – สองฝ่ายกล่าวหา ยกระดับใช้ปืนใหญ่

ความขัดแย้งปะทุขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนก่อนเมื่อเกิดเหตุปะทะระหว่างกำลังทหารชายแดน จนมีทหารกัมพูชาเสียชีวิต หลังเหตุการณ์นั้นทั้งสองฝ่ายต่างระดมเสริมกำลังและกล่าวหาอีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มสู้รบ จุดปะทะสำคัญครอบคลุมแนวชายแดนยาว 817 กิโลเมตร ก่อนจะยกระดับถึงขั้นยิงปืนใหญ่หนักในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ประชาชนสองฝั่งชายแดนเกิดความหวาดกลัวและต้องอพยพหนีภัย

นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชาได้โพสต์ผ่าน X (Twitter เดิม) ระบุเป้าหมายการประชุมครั้งนี้ว่า “ต้องหยุดยิงทันที” ตามข้อเสนอของโดนัลด์ ทรัมป์ และตกลงระหว่างสองฝ่าย ขณะที่กัมพูชายังคงเรียกร้องให้ประชาคมโลกประณามไทยและกล่าวหาว่าไทยโจมตีพลเรือน

ในด้านไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย เปิดเผยต่อสื่อมวลชนก่อนออกเดินทางว่า “เราไม่มั่นใจในกัมพูชา การกระทำที่ผ่านมาไม่แสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา กัมพูชาละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เราทุกคนต้องการสันติภาพ” ท่าทีนี้สะท้อนความไม่ไว้วางใจและข้อกังขาต่อความตั้งใจจริงของอีกฝ่าย

วิกฤตการทูตโยงถึงความมั่นคงภายใน – รัฐบาลผสมไทยเกือบล่มสลาย

สถานการณ์ที่ร้อนแรงบนแนวชายแดนในรอบ 10 ปีนี้ ไม่เพียงสั่นคลอนเสถียรภาพระหว่างประเทศ หากแต่ยังสั่นสะเทือนเสถียรภาพรัฐบาลผสมของไทยที่เปราะบางจากแรงกดดันการเมืองภายใน วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา จึงเป็นทั้งโจทย์ทางทูตและความมั่นคงที่มีผลต่อเนื่องถึงอนาคตการเมืองไทย

แถลงการณ์ 3 องค์กรสื่อ ยกระดับจรรยาบรรณ-ห่วงสงครามข่าวสารยุคดิจิทัล

ในภาวะที่ข่าวสารไหลหลากอย่างรวดเร็ว สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP), สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ “ขอความร่วมมือการรายงานข่าวความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา” โดยมีข้อปฏิบัติที่เข้มงวดสำหรับสื่อมวลชน เพื่อป้องกันข้อมูลผิดพลาด สร้างความเกลียดชัง หรือกระทบต่อขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ เช่น ห้ามเปิดเผยพิกัดทหาร งดการรายงานสดขณะยังมีปฏิบัติการ งดหัวข่าวเกินจริง และตรวจสอบข่าวที่แชร์ในโซเชียลก่อนเผยแพร่

นอกจากนี้ ยังเน้นให้สื่อไทยระวังการถูกโจมตีทางไซเบอร์ หลังเกิดปฏิบัติการ DDoS กับสื่อที่ใช้ชื่อไทย, Thai, Thailand จากฝั่งกัมพูชา โดยแนะนำประสานสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์และขอความช่วยเหลือจาก กสทช. และกระทรวงดิจิทัลฯ

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์(SONP) สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้ร่วมหารือกันเป็นวาระพิเศษในประเด็นแนวทางการรายงานข่าวท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อขอแสวงหาความร่วมมือกับสื่อมวลชนในการรายงานข่าวและเพื่อแก้ไขปัญหาการสื่อสารในภาวะวิกฤตตามที่ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบดังนี้

  1. ห้ามเปิดเผยที่ตั้งทางทหาร ชื่อ ผบ.หน่วย อาวุธหรือยุทโธปกรณ์ที่ใช้
  2. งดการรายงานสดในพื้นที่ขณะที่ยังมีปฏิบัติการทางทหารอยู่
  3. ระมัดระวังการให้ข่าวที่ทำลายขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่ปฏิบัติหน้าที่
  4. หลีกเลี่ยงการนำเสนอข่าว-ภาพข่าว ที่บ่งบอกหรือสร้างความเข้าใจผิดถึงความรุนแรงของฝ่ายไทย ที่เกินสัดส่วนของการตอบโต้
  5. ตรวจสอบข่าวที่ถูกแชร์ต่อๆ มา ทางโซเชียลมีเดียกับหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงก่อนนำมาเผยแพร่
  6. ไม่ควรนำเสนอข่าวที่มีลักษณะเป็นการสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ
  7. หลีกเลี่ยงการวิเคราะห์ข่าวโดยไม่มีข้อมูลสนับสนุน เพราะอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด หรือเกิดความตื่นตระหนก
  8. ระมัดระวังการพาดหัวข่าวที่ใช้ถ้อยคำเกินจริงเพื่อดึงความสนใจ
  9. ไม่สัมภาษณ์ ถ่ายภาพ หรือเปิดเผยภาพเจ้าหน้าที่ในขณะปฏิบัติภารกิจที่เสี่ยงภัย โดยไม่ได้รับอนุญาต
  10. เคารพสิทธิส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่และครอบครัวผู้ที่สูญเสีย
  11. คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ

ที่ประชุมยังมีการหารือและมีข้อเสนอแนะต่อการสื่อสารของหน่วยงานรัฐ ดังนี้

  1. ขอให้หลีกเลี่ยงการนำเสนอข้อมูลที่สร้างด้วย AI
  2. ต้องกำชับการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในทุกช่องทาง ต้องไม่สร้างความสับสนและข้อมูลขัดแย้งกันเอง เพื่อลดความสับสนของประชาชน
  3. ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่เผยแพร่ข่าวสาร เพื่อลดการใช้ภาษายั่วยุ รุนแรงและใช้ความคิดเห็นส่วนตัวในการนำเสนอข้อมูลในภาวะที่ประชาชนต้องการข้อเท็จจริง
  4. เสนอให้จัดทำแนวปฏิบัติให้ชัดเจนและสามารถปฏิบัติที่ตรงกันทุกหน่วยงานในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในสถานการณ์ปัจจุบัน

วิกฤตทูต-สื่อ-ไซเบอร์และโจทย์ความไว้วางใจในภูมิภาค

การเดินทางของผู้นำไทยไปมาเลเซียครั้งนี้ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจตัดสินอนาคตของข้อพิพาท ซึ่งอยู่บนความเปราะบางของความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ขณะที่บทบาทของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน และการมีส่วนร่วมของมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐฯ และจีน สะท้อนถึงความสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อเสถียรภาพระหว่างประเทศ

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา

  • ความจริงใจของคู่เจรจา: ท่าทีไม่มั่นใจในความจริงใจของกัมพูชาและความไม่ไว้วางใจที่สั่งสมมา ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ในการหยุดยิงที่ยั่งยืน
  • วิกฤตการทูตกับเสถียรภาพการเมือง: วิกฤตชายแดนโยงถึงความเปราะบางของรัฐบาลไทย กระทบทั้งการเมืองภายในและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  • ภัยไซเบอร์-สงครามข้อมูล: สงครามข่าวสารและการโจมตีระบบสื่อด้วยเทคนิค DDoS ยกระดับความซับซ้อนของความขัดแย้งในยุคดิจิทัล
  • บทบาทของสื่อกับจรรยาบรรณ: ข้อเสนอของ 3 องค์กรสื่อ ช่วยลดความสับสน รักษาความน่าเชื่อถือของข้อมูล และป้องกันการสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชน

ข้อเสนอแนะต่อทุกภาคส่วน

การเจรจาหยุดยิงนี้จึงต้องอาศัยทั้งความจริงใจของคู่ขัดแย้ง การเป็นกลางของผู้ไกล่เกลี่ย และความรับผิดชอบของสื่อและรัฐในการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง รอบคอบ และลดการยั่วยุ เพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์บานปลายจนกระทบต่อชีวิตประชาชนและเสถียรภาพของภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าวต่างประเทศ (AP, Reuters, Nikkei Asia, CNA)
  • สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP)
  • สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ
  • สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
  • กระทรวงการต่างประเทศไทย
  • รายงานข่าวจากสนามชายแดน/ศูนย์ข่าวมาเลเซีย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

“สารพิษแม่น้ำกก ไทย-เมียนมาผนึกกำลัง รัฐบาลย้ำความปลอดภัยประชาชน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันนายกรัฐมนตรีสั่งเร่งแก้ปัญหาน้ำกกปนเปื้อนสารพิษ เตรียมส่งทีมผู้เชี่ยวชาญร่วมถกเมียนมา-จีนและหน่วยงานระหว่างประเทศ ดันแนวทางจัดการต้นเหตุเหมืองทองฝั่งเมียนมา ยกระดับความร่วมมือข้ามพรมแดนสู่ความยั่งยืน

การขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วนจากรัฐบาลกลาง


เชียงราย, 29 มิถุนายน 2568 – นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า พล.อ.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายด้วยตนเองและติดตามปัญหาคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกกอย่างใกล้ชิด หลังมีรายงานการปนเปื้อนสารพิษจากกิจกรรมเหมืองในประเทศเมียนมา โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของประชาชนในทุกมิติ ทั้งด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

“นายกรัฐมนตรีได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจัง รวมถึงประสานขอความร่วมมือจากจีนและองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำอย่างเร่งด่วนและยั่งยืน” นายมาริษกล่าว

เร่งเดินหน้าเจรจาเชิงเทคนิคกับเมียนมา-จีน

ในสัปดาห์หน้า ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะนำคณะผู้เชี่ยวชาญไทยเข้าหารือกับผู้เชี่ยวชาญเมียนมาที่กรุงเนปิดอว์ เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาและออกแบบแนวทางแก้ไขเชิงระบบ ตั้งแต่การป้องกันต้นทาง การพัฒนาเครื่องมือเฝ้าระวัง การควบคุมไม่ให้สารพิษไหลลงสู่แม่น้ำกก โดยมีเป้าหมายในการยุติผลกระทบระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเปิดทางขอรับความช่วยเหลือทางเทคนิคจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNEP, UNDP และ GEF

ศูนย์อำนวยการคุณภาพน้ำส่วนหน้า สื่อสารใกล้ชิดประชาชน

น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) เปิดเผยถึงการเร่งขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาในพื้นที่จริง โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบคุณภาพน้ำทุกมิติทั้งประปา สัตว์น้ำ พืชผล เกษตรกรรม ตลอดจนสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ พร้อมจัดเวทีสาธารณะรับฟังข้อเสนอแนะ เปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมกำหนดแนวทางแก้ไข และสื่อสารความคืบหน้าผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เพจ “ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์น้ำเชียงราย (AIM)”, วิทยุชุมชน, เสียงตามสาย และหอกระจายข่าว

ความร่วมมือข้ามพรมแดน สู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ เนื่องจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นทรัพยากรร่วมระหว่างไทย-เมียนมา การแก้ไขจึงต้องเน้นความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด ล่าสุดกรมกิจการชายแดนทหารได้หารือกับกองทัพเมียนมาเกี่ยวกับปัญหาสารหนู โดยเมียนมามอบหมายให้กรมทรัพยากรสิ่งแวดล้อมส่งทีมลงพื้นที่สำรวจเพื่อเตรียมพร้อมร่วมประชุม Regional Border Committee (RBC) 2–3 กรกฎาคมนี้ ซึ่งฝ่ายไทยจะเสนอแนวทางความร่วมมืออย่างยั่งยืน และเตรียมการเจรจาระดับรัฐบาลในอนาคต

วิเคราะห์และแนวโน้มผลลัพธ์

การเดินหน้าเชิงรุกของรัฐบาล ทั้งในมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การมีส่วนร่วมของประชาชน การตรวจสอบคุณภาพน้ำ และการขอความร่วมมือจากนานาชาติ สะท้อนความตั้งใจที่จะปกป้องสุขภาพประชาชนและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำกกอย่างยั่งยืน หากสามารถบรรลุข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมจากทุกฝ่าย จะช่วยสร้างความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาและสร้างแบบอย่างความร่วมมือชายแดนเพื่อปกป้องทรัพยากรน้ำของภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการต่างประเทศ
  • กระทรวงมหาดไทย
  • ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์น้ำเชียงราย (AIM)
  • กรมกิจการชายแดนทหาร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

เกาะกูด สยบข่าวลวง ยืนยันดินแดนไทย ไร้ข้อสงสัย

เจาะลึกปัญหาข่าวลวงเกาะกูด: ความจริงที่ต้องรู้เพื่อรักษาความสมานฉันท์

ตราด,วันที่ 18 มิถุนายน 2568 – โรงแรมตราดซิตี้ ในงานครบรอบ 34 ปีประชามติตราด และ 28 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติส่วนภูมิภาคจังหวัดตราด การเสวนาในหัวข้อ “เจาะปัญหาข่าวลวง ข่าวปลอม กรณีเกาะกูด จังหวัดตราด” ได้นำเสนอประเด็นร้อนที่ครองความสนใจของทั้งสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป เกาะกูด ดินแดนแห่งท้องทะเลบูรพาที่งดงามด้วยธรรมชาติและวัฒนธรรม กลับถูกพูดถึงในฐานะประเด็นข้อพิพาทด้านเขตแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา โดยมีข่าวลือและข้อมูลที่บิดเบือนทำให้เกิดความสับสนและความกังวลในหมู่ประชาชน

การเสวนาครั้งนี้มีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ผศ.ดร.เสาวนีย์ วรรณประภา ผู้ช่วยคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จันทบุรี, นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี อดีตบรรณาธิการบริหาร The Nation, นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ แอดมินตราดทีวีและเว็บไซต์ตราดออนไลน์ และ นายเดชาธร จันทร์อบ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เกาะกูด ร่วมกันถกประเด็นอย่างเข้มข้นเพื่อคลายปมปัญหาข่าวลวงและนำเสนอข้อเท็จจริงในมิติต่างๆ

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี บรรณาธิการบริหาร 'The Nation'

ปฐมบทแห่งความขัดแย้ง เกาะกูดกับประเด็นเขตแดน

เรื่องราวของเกาะกูดเริ่มต้นจากความซับซ้อนของเขตแดนทางทะเลในอ่าวไทย ซึ่งนายสุภลักษณ์ได้อธิบายอย่างละเอียดถึงที่มาของปัญหา เขากล่าวว่า ประเทศไทยและกัมพูชามีการอ้างสิทธิในพื้นที่ทับซ้อน (Overlapping Claims Area – OCA) ในอ่าวไทยตั้งแต่ปี 2516 โดยพื้นที่ดังกล่าวครอบคลุมราว 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมที่มีศักยภาพสูง อย่างไรก็ตาม การเจรจาเพื่อแบ่งเขตและพัฒนาทรัพยากรร่วมกันยังไม่บรรลุผล โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเกาะกูด ซึ่งกัมพูชาเคยอ้างสิทธิในอดีต แต่ในทางนิตินัย เกาะกูดได้รับการยืนยันว่าเป็นของประเทศไทยตามสนธิสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศสในปี 2450 และการอยู่อาศัยของประชากรไทยในพื้นที่นี้อย่างต่อเนื่อง

นายสุภลักษณ์ย้ำว่า “ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ เกาะกูดเป็นของไทยอย่างชัดเจนทั้งในแง่นิตินัยและพฤตินัย ไม่มีเอกสารใดจากกัมพูชาที่สามารถยืนยันการอ้างสิทธิได้อย่างถูกต้อง” เขายังชี้ว่า การเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนไม่ได้หมายถึงการยอมจำนนหรือเสียดินแดน แต่เป็นการหาทางออกเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะทรัพยากรปิโตรเลียม ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อตกลงการพัฒนาร่วม (Joint Development Area) คล้ายกรณีของไทยและมาเลเซีย

นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ แอดมินตราดทีวีและเวปไซด์ตราดออนไลน์

ข่าวลวง ภัยเงียบที่บั่นทอนความมั่นใจ

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็วผ่านโซเชียลมีเดีย ข่าวลวงเกี่ยวกับเกาะกูดกลายเป็นประเด็นที่สร้างความตื่นตระหนก โดยเฉพาะเมื่อมีการปล่อยข้อมูลที่บิดเบือน เช่น การอ้างว่าเกาะกูดกำลังจะถูกยกให้กัมพูชา หรือมีการสู้รบในพื้นที่ นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ จากตราดทีวี ซึ่งเป็นสื่อท้องถิ่นที่มีผู้ติดตามกว่า 250,000 คน เปิดเผยว่า “ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีการนำประเด็นเกาะกูดมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสการเมืองร้อนแรง บางครั้งสื่อบางแห่งหรือกลุ่มบุคคลพยายามสร้างความตื่นตระหนกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว”

เขายังเล่าถึงความท้าทายในการนำเสนอข่าวสารในฐานะสื่อท้องถิ่นว่า “เราไม่สามารถนำเสนอข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพราะมันอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวและความมั่นใจของประชาชน เราเช็คข้อมูลจากหลายแหล่ง โดยเฉพาะจากนายก อบต. เกาะกูด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่เผยแพร่มีความถูกต้องและไม่สร้างความเสียหาย”

ผศ.ดร.เสาวนีย์ วรรณประภา ผู้ช่วยคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ รำไพพรรณี จันทบุรี

ด้าน ผศ.ดร.เสาวนีย์ เน้นย้ำถึงบทบาทของนักวิชาการและการสอนนิเทศศาสตร์ในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบข้อมูล “ในฐานะนักวิชาการ เราเน้นให้นักศึกษาเรียนรู้การตรวจสอบแหล่งข่าว โดยเฉพาะในยุคที่ข่าวลวงแพร่กระจายง่ายผ่านโซเชียลมีเดีย การเช็คข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและการวิเคราะห์อย่างรอบด้านเป็นสิ่งสำคัญ” เธอยังแนะนำว่า การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจนำไปสู่ผลกระทบร้ายแรง เช่น การละเมิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ซึ่งกำหนดโทษสำหรับการแชร์ข้อมูลเท็จ

เสียงจากเกาะกูดความจริงจากคนในพื้นที่

นายเดชาธร จันทร์อบ นายก อบต. เกาะกูด ตัวแทนของประชาชนในพื้นที่ ยืนยันว่า ชีวิตของชาวเกาะกูดยังคงดำเนินไปอย่างปกติ แม้จะเผชิญกระแสข่าวลวง “ชาวเกาะกูดไม่ได้ตื่นตระหนก เรายังใช้ชีวิตตามปกติ การท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่นอาจลดลงบ้าง แต่เมื่อเทียบกับช่วงที่มีข่าวลือหนักๆ ปีที่แล้ว การท่องเที่ยวลดลงถึง 30% เพราะนักท่องเที่ยวบางส่วนกลัวว่าจะมีสู้รบหรือสถานการณ์ไม่ปลอดภัย แต่ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้น นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่รู้จักเกาะกูดผ่านโซเชียลมีเดีย

นายเดชาธร จันทร์อบ นายก อบต.เกาะกูด

นายเดชาธรยังย้ำว่า “เกาะกูดคือหัวใจของคนไทยและเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดตราดอย่างชัดเจน เราไม่กังวลเรื่องการสูญเสียดินแดน เพราะมีหลักฐานทั้งทางประวัติศาสตร์และการอยู่อาศัยที่ยืนยันความเป็นไทย” เขายังเรียกร้องให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวอย่างสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน

สื่อมวลชน ผู้กำหนดทิศทางความเข้าใจ

นายสุภลักษณ์ ซึ่งมีประสบการณ์ในวงการสื่อมวลชนมากว่า 30 ปี กล่าวถึงหลักการสำคัญของการรายงานข่าวว่า “สื่อมวลชนต้องรายงานตามความเป็นจริง โดยไม่เลือกข้างหรือสร้างวาทกรรมที่บิดเบือน การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องอาจสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความรู้สึกของประชาชน” เขายังเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับชายแดนไทย-กัมพูชา โดยยกตัวอย่างกรณีเขาพระวิหาร ซึ่งเคยเกิดความขัดแย้งจากการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก สร้างความเสียหายต่อชุมชนท้องถิ่นที่หวังพึ่งพาการท่องเที่ยว

“การเจรจาคือทางออกที่ดีที่สุด” นายสุภลักษณ์กล่าว “ในยุโรปมีตัวอย่างมากมายที่ชุมชนในเขตแดนสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องขีดเส้นแบ่งแยกอย่างเข้มงวด เราไม่ควรปล่อยให้วาทกรรมชาตินิยมหรือผลประโยชน์ทางการเมืองมากำหนดทิศทางของสื่อ”

งาน 34 ปีประชามติตราด และ 28 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติส่วนภูมิภาคจังหวัดตราด ที่โรงแรมตราดชิตี้ อ.เมือง จ.ตราด

ทางออกของปัญหาข่าวลวง

การเสวนาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ข่าวลวงเกี่ยวกับเกาะกูดไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของการสื่อสาร แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว วิทยากรทั้งสี่ท่านเห็นพ้องกันว่า การแก้ไขปัญหานี้ต้องเริ่มจากการสร้างความตระหนักรู้ในหมู่ประชาชนและสื่อมวลชน โดยเฉพาะการตรวจสอบข้อมูลก่อนเผยแพร่ การนำเสนอข่าวในเชิงสร้างสรรค์ และการส่งเสริมความเข้าใจในบริบทของพื้นที่ทับซ้อน

ผศ.ดร.เสาวนีย์ เสนอว่า “การศึกษาและการอบรมเยาวชนให้รู้เท่าทันสื่อเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในโรงเรียนและชุมชนท้องถิ่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของข่าวลวง” ขณะที่นายกฤษฎาพงษ์เน้นย้ำถึงบทบาทของสื่อท้องถิ่นในการเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ “เราต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เช่น อบต. และกองทัพเรือ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน”

นายเดชาธรทิ้งท้ายด้วยข้อความที่สร้างความมั่นใจว่า “เกาะกูดคือบ้านของเรา และเราจะปกป้องมันด้วยความสมานฉันท์ ไม่ใช่ด้วยความขัดแย้ง ทุกคนที่มาเกาะกูดจะได้สัมผัสกับความสวยงามและความสงบสุขที่เรามี”

ร่วมสร้างความจริงเพื่ออนาคต

การเสวนาครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยคลายปมปัญหาข่าวลวงเกี่ยวกับเกาะกูด แต่ยังเป็นการย้ำเตือนถึงความรับผิดชอบของสื่อมวลชน นักวิชาการ และผู้นำชุมชนในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและสร้างสรรค์ เกาะกูดไม่ใช่แค่ดินแดนแห่งความงามทางธรรมชาติ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสมานฉันท์ระหว่างพี่น้องไทยและกัมพูชา การรักษาความสงบสุขและความมั่นใจของประชาชนจึงเป็นภารกิจร่วมกันของทุกฝ่าย

ในยุคที่ข่าวลวงสามารถจุดกระแสได้ในพริบตา การยึดมั่นในความจริงและการเจรจาด้วยเหตุผลคือกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหา เกาะกูดจะยังคงเป็นอัญมณีแห่งท้องทะเลบูรพา และเป็นบ้านของคนไทยที่พร้อมต้อนรับทุกคนด้วยความอบอุ่นและรอยยิ้ม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การเสวนา “เจาะปัญหาข่าวลวง ข่าวปลอม กรณีเกาะกูด จังหวัดตราด” จัดโดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติส่วนภูมิภาคจังหวัดตราด
  • ข้อมูลจาก ผศ.ดร.เสาวนีย์ วรรณประภา, นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี, นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์, และนายเดชาธร จันทร์อบ
  • เอกสารสนธิสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศส (2450) และบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2544
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เชียงราย รับมือน้ำท่วมปี 68 ผู้ว่าฯ นำทัพเตรียมพร้อมเต็มสูบ

ผู้ว่าฯ เชียงราย นำทีมร่วมประชุม บกปภ.ช. เตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยฤดูฝน 2568 และติดตามแผนฝึกซ้อมเต็มรูปแบบ

เชียงราย, 16 มิถุนายน 2568 – ในช่วงฤดูฝนปี 2568 จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับความท้าทายเรื่องภัยพิบัติทางน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุทกภัยที่มีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำรอยในหลายพื้นที่ ตามประวัติศาสตร์เหตุการณ์น้ำหลากและน้ำท่วมใหญ่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) ได้ขับเคลื่อนการประชุมระดับชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ดังกล่าว ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วน

วางโครงสร้างบริหารจัดการน้ำและภัยพิบัติ – มาตรการเชิงรุก

การประชุมครั้งสำคัญนี้ จัดขึ้นในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 โดยมีนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน พร้อมด้วย นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหัวหน้าส่วนราชการจากส่วนกลางและภูมิภาคร่วมประชุมผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไปยังจังหวัดที่มีความเสี่ยงอุทกภัยทั่วประเทศ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้นำทีมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมจากห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย รายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างละเอียด โดยจังหวัดเชียงรายมีอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็ก 126 แห่ง ปัจจุบันมีปริมาณน้ำเฉลี่ย 53.29% ของความจุรวม 190.842 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งยังบริหารจัดการได้ตามแผน Rule Curve นอกจากนี้ จังหวัดยังเร่งดำเนินโครงการขุดลอกตะกอนดินในอ่างเก็บน้ำ แก้มลิง และหน้าฝายทดน้ำ เพื่อเพิ่มศักยภาพการระบายน้ำหลาก มีปริมาณดินขุดรวมกว่า 5 ล้านลูกบาศก์เมตร

ยกระดับระบบเตือนภัย–เครือข่ายภาคประชาชน

เชียงรายได้ลงทุนติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ 4 จุด ในพื้นที่แม่สาย และมีแผนติดตั้งอุปกรณ์วัดระดับน้ำ (STAFF GAUGE) อีก 21 จุด ตลอดแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ควบคู่กับการอบรมเครือข่ายประชาชนจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อเสริมศักยภาพการแจ้งเตือนภัยและประสานข้อมูลในภาวะฉุกเฉินอย่างทั่วถึง

สำหรับการฝึกซ้อมตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน จังหวัดเชียงรายร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ กำหนดจัดการฝึก Table Top Exercise (TTX) และฝึกปฏิบัติจริง (Field Exercise) ในพื้นที่แม่สายและชุมชนริมแม่น้ำกก รวม 3 กิจกรรมใหญ่ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ตลอดจนเตรียมความพร้อมเครื่องจักรกลหนัก รถดูดเลน เครื่องสูบน้ำ และกำลังพลประจำจุดเสี่ยงทุกอำเภอ รวมถึงจัดลำดับความสำคัญเฝ้าระวังพื้นที่สำคัญอย่างโรงพยาบาล ท่าอากาศยาน สนามบิน และสถานีผลิตไฟฟ้า

ชูบทบาทการสื่อสารข้อมูลจริง – คลายกังวลปัญหาสารปนเปื้อนน้ำกก

นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเน้นย้ำในที่ประชุมว่า จังหวัดเชียงรายยังต้องเผชิญปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำ ซึ่งเป็นผลกระทบจากกิจกรรมเหมืองแร่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา) ที่ไหลลงสู่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) ได้ประสานเจรจากับรัฐบาลเมียนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาทางออกเชิงระบบและลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในระยะยาว พร้อมเน้นการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง ให้ประชาชนได้รับข่าวสารอย่างชัดเจนและครบถ้วน เพื่อลดความตื่นตระหนกและสร้างศักยภาพในการป้องกันตนเองจากสารปนเปื้อน

การมีส่วนร่วมของชุมชน–กุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืน

การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความพร้อมด้านบริหารจัดการภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างข้อมูล สาธารณูปโภค หรือเครือข่ายความร่วมมือจากภาคประชาชน ตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงระดับจังหวัด ทั้งยังได้เน้นย้ำเรื่องแผนซ้อมและการกระจายข้อมูลจริงที่มีคุณภาพ เพื่อเสริมศักยภาพในการเผชิญเหตุและลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้ได้มากที่สุด

บทสรุปและข้อเสนอแนะ

จากมาตรการต่าง ๆ ที่จังหวัดเชียงรายร่วมกับส่วนกลางกำลังดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการน้ำ เตรียมพื้นที่เสี่ยง การเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัย การบูรณาการข้อมูล และการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ล้วนเป็นรากฐานสำคัญในการปกป้องประชาชนจากภัยธรรมชาติและสร้างความมั่นใจในคุณภาพชีวิตในระยะยาว หากทุกภาคส่วนยังคงเดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะสามารถลดผลกระทบและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพในฤดูฝนนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.)
  • ศูนย์ข้อมูลข่าวสารจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์น้ำและแผนบริหารจัดการน้ำจังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

นิด้าโพลชี้! กองทัพไทยได้รับความไว้วางใจสูงสุด ปมขัดแย้งกัมพูชา

นิด้าโพลเผยคนไทย “รักสงบแต่ไม่ขลาด” กองทัพยังได้รับความไว้วางใจสูงสุด ปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา สะท้อนภาพความเชื่อมั่นต่อสถาบันหลักและระดับชาตินิยมในสังคม

ประเทศไทย, 15 มิถุนายน 2568 – ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจล่าสุดเรื่อง “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” สะท้อนความรู้สึก ความไว้วางใจ และความพอใจของประชาชนต่อบทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ผลสำรวจดังกล่าวดำเนินการระหว่างวันที่ 9-11 มิถุนายน 2568 ด้วยกลุ่มตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่างทั่วประเทศ ผ่านวิธีสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) และสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ กำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น 97.0%

กองทัพ” ยังคงเป็นที่พึ่งหลัก ประชาชนให้ความไว้วางใจสูงสุด

ผลสำรวจในประเด็น “ความไว้วางใจในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ” พบว่ากองทัพได้รับความไว้วางใจสูงสุด โดยร้อยละ 62.52 ระบุว่า “ไว้วางใจมาก” รองลงมาร้อยละ 23.74 “ค่อนข้างไว้วางใจ” ขณะที่ “ไม่ค่อยไว้วางใจ” และ “ไม่ไว้วางใจเลย” อยู่ที่ร้อยละ 8.85 และ 4.89 ตามลำดับ ส่วนรัฐบาลไทยมีสัดส่วนความไม่ไว้วางใจสูงถึงร้อยละ 37.48 “ไม่ไว้วางใจเลย” และร้อยละ 31.68 “ไม่ค่อยไว้วางใจ” ขณะที่ร้อยละ 18.85 “ค่อนข้างไว้วางใจ” และร้อยละ 11.99 “ไว้วางใจมาก” กระทรวงการต่างประเทศเองก็มีแนวโน้มคล้ายกัน โดยร้อยละ 35.42 “ไม่ค่อยไว้วางใจ” และร้อยละ 30.76 “ไม่ไว้วางใจเลย” สะท้อนความรู้สึกสงสัยและขาดความมั่นใจในกลไกบริหารจัดการด้านการทูต

ความพอใจต่อการทำงาน “กองทัพ” โดดเด่น ขณะที่รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศยังเผชิญความท้าทาย

เมื่อถามถึง “ความพอใจต่อบทบาท” ของแต่ละภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา พบว่า กองทัพได้รับคะแนน “พอใจมาก” ร้อยละ 61.76 “ค่อนข้างพอใจ” ร้อยละ 23.97 ส่วนกลุ่ม “ไม่ค่อยพอใจ” และ “ไม่พอใจเลย” รวมกันเพียงร้อยละ 14.27 สำหรับรัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศยังคงต้องเผชิญความท้าทายในการสร้างความเชื่อมั่นจากประชาชน เนื่องจากร้อยละ 37.94 “ไม่พอใจเลย” กับบทบาทของรัฐบาลและร้อยละ 30.99 “ไม่ค่อยพอใจ” ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศร้อยละ 35.73 “ไม่ค่อยพอใจ” และร้อยละ 29.00 “ไม่พอใจเลย”

คนไทยส่วนใหญ่ “สนับสนุนหนักแน่น” แนวคิดไทยรักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด

สำหรับทัศนคติต่อข้อความในเพลงชาติไทย “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” ร้อยละ 69.39 ของกลุ่มตัวอย่างสนับสนุนมาก ร้อยละ 19.24 “ค่อนข้างสนับสนุน” ขณะที่กลุ่มที่ไม่ค่อยสนับสนุนและไม่สนับสนุนเลยมีเพียงร้อยละ 7.02 และ 3.05 ตามลำดับ นี่คือการสะท้อน “ใจรักชาติ” และความพร้อมที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาติในมุมมองประชาชน

แนวคิด “ชาตินิยม” ในประชากรไทย ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์

เมื่อลงลึกถึงแนวคิด “ชาตินิยม” พบว่าร้อยละ 48.24 ระบุว่ามีความเป็นชาตินิยม “มาก” ขณะที่ร้อยละ 31.60 มองว่า “ขึ้นอยู่กับสถานการณ์” และร้อยละ 14.20 ระบุว่า “ค่อนข้างมีความเป็นชาตินิยม” สะท้อนถึงพลวัตในความคิดและพฤติกรรมทางสังคมของประชาชนที่พร้อมปรับตัวตามสภาพแวดล้อมและสถานการณ์โลก

โครงสร้างประชากร – สะท้อนมิติเชิงสังคมและเศรษฐกิจ

ลักษณะของกลุ่มตัวอย่างครั้งนี้มีความหลากหลายทั้งด้านภูมิภาค เพศ อายุ ศาสนา ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ สัดส่วนประชากรหญิง 52.06% ชาย 47.94% อาศัยอยู่ทุกภูมิภาค โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (33.28%) ภาคเหนือ (17.79%) ภาคกลาง (18.70%) ภาคใต้ (13.82%) กรุงเทพฯ (8.55%) และภาคตะวันออก (7.86%) กลุ่มอายุหลากหลายโดยร้อยละ 26.34 อยู่ในช่วง 46-59 ปี รองลงมา 60 ปีขึ้นไป (25.80%) กลุ่มวัยแรงงาน (18-45 ปี) รวมกว่า 47.66% สะท้อนมุมมองข้ามช่วงวัย ขณะเดียวกัน ระดับการศึกษาหลักอยู่ที่มัธยมศึกษา (38.32%) และปริญญาตรี (31.60%)

กลุ่มอาชีพและรายได้กระจายหลากหลาย ได้แก่ พนักงานเอกชน เจ้าของธุรกิจ อาชีพอิสระ เกษตรกร/ประมง รับจ้างทั่วไป และนักเรียน/นักศึกษา โดยกว่า 20% ไม่มีรายได้ และ 31.45% มีรายได้ 10,001-20,000 บาทต่อเดือน

ข้อเท็จจริงที่ซ่อนอยู่ในตัวเลข

ผลสำรวจนี้ชี้ชัดถึงความเชื่อมั่นของประชาชนที่ยังคงมอบให้กับกองทัพในฐานะสถาบันหลักของประเทศ แม้ว่าบทบาทของรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศจะถูกตั้งคำถามด้านความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความคิดชาตินิยมและการสนับสนุนหลักคิด “รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด” ยังคงแน่นแฟ้นในสังคมไทย สะท้อนถึงทัศนคติและจุดยืนต่อสถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาค การวิเคราะห์เชิงลึกจากนิด้าโพลจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสะท้อนภาพความรู้สึกของสังคมที่มีต่อปัจจัยด้านความมั่นคง และความคาดหวังต่อภาคส่วนต่าง ๆ ในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
  • รายงานผลสำรวจ 15 มิถุนายน 2568
  • ข้อมูลประกอบจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • รายงานสรุปประเด็นข่าวจาก “นิด้าโพล”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยจำใจคุมชายแดน กัมพูชาเสริมกำลัง หลังเหตุปะทะช่องบก

กระทรวงการต่างประเทศแถลงจุดยืนไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเหตุปะทะช่องบก ยืนยันใช้สันติวิธีแก้ปัญหา ยกระดับมาตรการรักษาความมั่นคง พร้อมเปิดกลไกเจรจาทวิภาคี

ประเทศไทย, 7 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเริ่มมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 จนส่งผลให้รัฐบาลไทยจำเป็นต้องแถลงจุดยืนต่อสาธารณชน โดยย้ำเจตนารมณ์ในการรักษาอธิปไตย ควบคู่กับการแสวงหาทางออกอย่างสันติ และยืนยันความพร้อมในการเปิดเวทีเจรจาแบบทวิภาคี

เมื่อเวลา 16.30 น. ที่ห้องแถลงข่าว กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ.ดังใจ สุวรรณกิตติ โฆษกกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงพัฒนาการของสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนภาคตะวันออก

เหตุปะทะชายแดนและจุดยืนไทยในการป้องกันประเทศ

นายนิกรเดช เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม เป็นผลจากการที่ฝ่ายทหารไทยจำเป็นต้องป้องกันตนเองอย่างเหมาะสมและชอบธรรม เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ โดยเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และแนวทางปฏิบัติสากล ซึ่งภายหลังเหตุการณ์ ฝ่ายไทยได้ดำเนินการอย่างอดทนอดกลั้น และพยายามหาทางคลี่คลายปัญหาด้วยการสื่อสารและเจรจาทั้งในระดับรัฐบาลและระดับทหารอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้เรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินมาตรการลดระดับความตึงเครียดในพื้นที่ และจำกัดสถานการณ์ให้อยู่เฉพาะบริเวณจุดปะทะเท่านั้น โดยมีกระบวนการหารือผ่านนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม และผู้บัญชาการกองทัพของทั้งสองฝ่าย

“แม้ฝ่ายไทยจะใช้ความอดทนและเน้นการเจรจาเป็นหลัก แต่การดำเนินการของฝ่ายกัมพูชา กลับไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์สันติภาพ” นายนิกรเดช กล่าว

กัมพูชาปฏิเสธแนวทางลดความตึงเครียด ขัดข้อตกลง MOU 2543

ในช่วงวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา มีการประชุมหารือระดับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ ที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอให้มีการปรับลดกำลังทหารกลับสู่ระดับก่อนเกิดเหตุการณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเผชิญหน้าทางทหาร และลดผลกระทบต่อประชาชนบริเวณชายแดน

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชากลับปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวโดยทันที และยังคงเสริมกำลังทหารในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปฏิเสธการดำเนินงานตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ที่วางแนวทางไว้สำหรับการเจรจาอย่างสันติ ซึ่งโฆษกกระทรวงการต่างประเทศมองว่า การกระทำดังกล่าวสะท้อนถึงการขาดเจตจำนงร่วมในการยุติความขัดแย้ง

ไทยตอบสนองด้วยมาตรการควบคุมชายแดนแบบขั้นตอน

ภายใต้สถานการณ์ที่มีแนวโน้มจะขยายตัว สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ประชุมเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 และมีมติเห็นชอบให้ยกระดับมาตรการรักษาความมั่นคง โดยมอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 รวมถึงกองกำลังจันทบุรีและตราด กำหนดแนวทางควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตามความเหมาะสมและสภาพการณ์

พล.ต.วินธัย สุวารี ระบุว่า มาตรการดังกล่าวจะดำเนินการเป็น 4 ขั้นตอน เริ่มจากการจำกัดการผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การรักษาพยาบาล หรือการศึกษา จากนั้นจะมีการควบคุมช่วงเวลาเปิด-ปิดจุดผ่านแดน และอาจดำเนินมาตรการ “Selective Closure” หรือการปิดบางจุดผ่านแดนชั่วคราวในพื้นที่เสี่ยง สุดท้ายหากสถานการณ์รุนแรงถึงระดับวิกฤต อาจมีการปิดแนวชายแดนทั้งหมดในระยะสั้น

“แม้จะมีคำสั่งให้ควบคุมชายแดน แต่กองทัพยังคงประสานงานกับทุกหน่วยเพื่อไม่ให้กระทบกับชีวิตประจำวันของประชาชนโดยไม่จำเป็น” พล.ต.วินธัย กล่าว

กระทรวงกลาโหมยืนยันยังยึดสันติวิธี รัฐบาลไทยพร้อมเปิดเวทีเจรจา

พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ.ดังใจ สุวรรณกิตติ กล่าวเสริมว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กำชับหน่วยในพื้นที่ให้เฝ้าระวังอย่างเข้มข้น และยืนยันว่าฝ่ายไทยยังไม่ปิดโอกาสการเจรจา โดยยังคงยึดมั่นแนวทางสันติวิธี และความร่วมมือกับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคี อาทิ การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยเขตแดน (JBC) ที่จะจัดขึ้น ณ กรุงพนมเปญ ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยเน้นย้ำว่าการดำเนินการของตนมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ รวมถึงความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน โดยจะพยายามอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้มาตรการควบคุมกระทบต่อการค้า วิถีชีวิต หรือความสัมพันธ์ของประชาชนตามแนวชายแดน

สรุปสถานการณ์

สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาตามแนวชายแดนตะวันออก แม้จะมีร่องรอยความรุนแรงจากเหตุปะทะ แต่รัฐบาลไทยยังคงเดินหน้าด้วยแนวทางที่รอบคอบบนพื้นฐานของสันติวิธี มุ่งเน้นการรักษาอธิปไตย ควบคู่ไปกับความพยายามลดผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนและความสัมพันธ์ระดับประชาชนกับประชาชน อนาคตของเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดนจะขึ้นอยู่กับการตอบสนองของฝ่ายกัมพูชา และประสิทธิภาพของกลไกเจรจาทางการทูตที่ทั้งสองประเทศได้วางไว้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย, แถลงข่าวอย่างเป็นทางการ 7 มิถุนายน 2568
  • สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
  • กองทัพบกไทย
  • สำนักข่าวความมั่นคงชายแดนภาคตะวันออก
  • บันทึกความเข้าใจ MOU ปี 2543 ไทย-กัมพูชา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL WORLD PULSE

ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา 75 ปี แห่งการเติบโต

75 ปีความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ยิ่งรู้ ยิ่งเข้าใจ ยิ่งร่วมมือ สู่อนาคตประชาชนสองแผ่นดิน

จุดเริ่มต้นแห่งมิตรภาพ รากฐานทางการทูตและวัฒนธรรมอันมั่นคง

เมื่อย้อนเวลากลับไปในปี พ.ศ. 2493 ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังตื่นตัวหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งสองประเทศมีพรมแดนติดกัน และวัฒนธรรมที่โยงใยกันอย่างแน่นแฟ้น นี่คือจุดตั้งต้นของ “สะพานมิตรภาพ” ที่ไม่ใช่เพียงระดับรัฐบาล แต่หยั่งรากลึกสู่หัวใจของประชาชน ชุมชน และภาคส่วนต่างๆ ในสังคม

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาต้องผ่านอุปสรรคหลากหลาย ทั้งเรื่องพรมแดน ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และความเข้าใจผิดที่ถูกปลูกฝังจากอดีต อย่างไรก็ดี ด้วยจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นในการร่วมมือ ทั้งสองชาติสามารถเดินข้ามความยากลำบาก ผ่านการเจรจาอย่างมีวุฒิภาวะ การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และโครงการร่วมมือหลากหลายที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาค

เมืองชายแดนอย่างจังหวัดสระแก้วของไทยและจังหวัดบันเตียเมียนเจย (Banteay Meanchey) ของกัมพูชา กลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้า ความคึกคักของตลาดชายแดน กิจกรรมวัฒนธรรม งานประเพณีข้ามพรมแดน และความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนทั้งสองประเทศ ล้วนขยายขอบเขตของมิตรภาพให้แน่นแฟ้นขึ้นในทุกยุคสมัย

แกนกลางแห่งความร่วมมือ เศรษฐกิจ การลงทุน การค้า และประชาชน เศรษฐกิจและการค้าไทย-กัมพูชา เส้นทางที่เติบโตต่อเนื่อง

ข้อมูลจาก คุณนฤมล รินเรืองสิน รองประธานสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา (Thai Business Council in Cambodia- TBCC) ชี้ว่า ในปี 2567 มูลค่าการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาทะยานสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปกัมพูชา ได้แก่ อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค วัสดุก่อสร้างและเครื่องจักรกลการเกษตร ขณะที่กัมพูชาส่งออกสินค้าการเกษตรและวัตถุดิบสำคัญมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ธุรกิจไทยยังขยายตัวในกัมพูชาอย่างมั่นคง เช่น ปตท. ซึ่งมีสถานีบริการน้ำมัน 184 แห่ง คาเฟ่อเมซอนกว่า 154 สาขา และกลุ่มค้าปลีกอย่างบิ๊กซี แมคโคร เซเว่น อีเลฟเว่น ของซีพี ออลล์ ที่มีทั้งหมด 120 แห่ง ขยายสาขาในเมืองสำคัญของกัมพูชา เช่น พนมเปญ สีหนุวิลล์ และเสียมราฐ เอสซีจีลงทุนก่อสร้างโรงงานปูนซิเมนต์ อย่าง K Cement โรงงานผลิตพีวีซี และไทยยังมีบทบาทสำคัญในธุรกิจสุขภาพและการแพทย์ โดยเฉพาะโรงพยาบาลรอยัลพนมเปญในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพและเครือข่ายคลินิกไทย

คุณชลธิศ เทพยศ ที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ย้ำว่ากัมพูชาเปิดกว้างอย่างจริงจังต่อนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะการออกนโยบายยกเว้นภาษี 12 ปี และยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักรในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยแสดงความสนใจขยายธุรกิจในกัมพูชามากขึ้นทุกปี

เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมการยกระดับความร่วมมือเพื่อความมั่นคงอาหารภูมิภาค

กัมพูชามีศักยภาพสูงด้านการผลิตมะม่วงหิมพานต์ มะม่วง ทุเรียน และข้าวโพด โดยเฉพาะบริเวณทะเลสาบโตนเลสาบซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญ ไทยจึงสามารถเข้าไปลงทุนในโรงงานแปรรูปทุเรียนอบแห้ง มะม่วงแห้ง เพื่อตอบสนองตลาดในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลกัมพูชาเน้นพัฒนาพื้นที่สี่จังหวัดสำคัญ ได้แก่ กระแจะ สตึงแตรง รัฒนคีรี มณฑลคีรี เพื่อดึงดูดนักลงทุนไทยในอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร

การลงทุนและห่วงโซ่อุปทานความเชื่อมโยงใหม่ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

ตุลย์ ไตรโสรัส เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การลงทุนของไทยในกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา (Thai Business Council in Cambodia) รายงานว่า ไทยเป็นนักลงทุนอันดับ 4 ในกัมพูชา ครอบคลุมธุรกิจค้าปลีก พลังงาน เกษตร อุตสาหกรรมอาหาร และบริการทางการแพทย์ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่และดิจิทัล

การพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ระหว่างสองประเทศช่วยให้สินค้าไทยมีโอกาสเข้าสู่ตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ได้สะดวกขึ้น ขณะเดียวกันกัมพูชาก็สามารถใช้ไทยเป็นประตูออกสู่ตลาดสากลผ่านนิคมอุตสาหกรรมและด่านโลจิสติกส์ชายแดน

การศึกษาและวัฒนธรรม สร้างพื้นฐานความเข้าใจระหว่างประชาชน ความร่วมมือทางการศึกษา สะพานแห่งโอกาสสำหรับเยาวชน

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ของไทยและมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรในกัมพูชาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการพัฒนาบุคลากรสาขาเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร และเทคโนโลยีแปรรูปอาหาร ขณะที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและมหาวิทยาลัยพระตะบอง ร่วมมือกันจัดหลักสูตรภาษาไทยพิเศษ ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่นักศึกษากัมพูชา โดยในปี 2567 จำนวนนักศึกษากัมพูชาที่เลือกเรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้า

นอกจากนั้น วัฒนธรรมไทยได้รับความนิยมสูงในกัมพูชา สะท้อนผ่านละคร ภาพยนตร์ เพลง และศิลปินไทยที่ครองใจเยาวชนกัมพูชา กระแส Soft Power นี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงความรู้สึกและความเข้าใจระหว่างประชาชน

กิจกรรมเยาวชนและโครงการแลกเปลี่ยน สร้างมิตรภาพข้ามพรมแดน

นายฮก โซะเพีย (H.E. Mr. Hok Sophea) รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา และคณะ เพื่อรับฟังข้อมูลนโยบายด้านการต่างประเทศของกัมพูชา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศในทุกๆ ระดับชั้น  ตลอด 75 ปีที่ผ่านมา โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและเยาวชนระหว่างสองชาติขยายตัวต่อเนื่อง เช่น โครงการโฮมสเตย์และโครงการ Summer Camp สำหรับนักเรียนมัธยมปลาย กิจกรรมเยาวชนเหล่านี้ช่วยให้เยาวชนได้เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม และสร้างสายสัมพันธ์ที่จะหล่อเลี้ยงมิตรภาพในอนาคต

การท่องเที่ยวเชื่อมโยงเศรษฐกิจและวัฒนธรรมด้วยประสบการณ์จริง นักท่องเที่ยวไทย-กัมพูชา ตัวเลขที่เติบโตสู่เป้าหมายร่วม

ในปี 2567 นักท่องเที่ยวไทยเดินทางมากัมพูชาจำนวนกว่า 2.6 ล้านคน ถือเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดในกัมพูชา ขณะที่ไทยก็เป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวกัมพูชา แคมเปญ “Two Kingdoms, One Destination” ที่ทั้งสองประเทศร่วมกันส่งเสริม สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวข้ามพรมแดนใหม่ ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เส้นทางมรดกโลก และกิจกรรมวัฒนธรรมร่วม

กิจกรรมเด่น เช่น ฟุตบอลมิตรภาพเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และวิ่งมาราธอนข้ามสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชาในเดือนมีนาคม 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 700 คน ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างชุมชนชายแดน

โลจิสติกส์และคมนาคมพื้นฐานเศรษฐกิจอนาคต

การพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างเมืองสำคัญของทั้งสองชาติด้วยถนน รถไฟ เรือ และเที่ยวบินตรง มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว พร้อมผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

การรับมือกับความท้าทาย การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและความมั่นคงอาหาร

การเข้าไปได้ลองศึกษาดูงานภาคการเกษตรของกัมพูชาที่ไร่ La Plantation ซึ่งเป็นไร่พริกไทย และผลไม้ ใน จ.กำปอต และเป็น Argro-Tourism Site ที่ได้รับการรับรองโดยกระทรวงท่องเที่ยวของกัมพูชา เห็นได้ว่าทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านการเกษตรยั่งยืนและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และประสบการณ์จริงด้านสิ่งแวดล้อมช่วยให้ไทยและกัมพูชารับมือกับปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างความมั่นคงอาหารในภูมิภาค 

เสียงจากภาคประชาชนและนักวิชาการมุมมองใหม่ต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา สัมภาษณ์และข้อคิดเห็นจากผู้นำชุมชนและผู้เชี่ยวชาญ

ในการเดินทางเยือนกรุงพนมเปญของคณะสื่อมวลชนไทย มีการสัมภาษณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชา ผู้นำชุมชน และนักธุรกิจไทยในพื้นที่ ซึ่งต่างสะท้อนมุมมองว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามีความแน่นแฟ้นจากระดับผู้นำสู่ระดับประชาชน แม้จะมีประเด็นละเอียดอ่อน เช่น ปัญหาเขตแดน OCA (Overlapping Claim Area) แต่ทั้งสองชาติยังคงให้ความสำคัญกับการเจรจาและเคารพซึ่งกันและกัน

ฝ่ายค้านในทั้งสองประเทศยังมีบทบาทในการกำหนดทิศทางนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะในกัมพูชา ซึ่งเยาวชนกว่า 30% ต้องการปฏิรูปการเมือง ผู้เชี่ยวชาญเน้นว่าความสำเร็จในการพัฒนาร่วมต้องฟังเสียงประชาชนและไม่ผูกขาดการตัดสินใจไว้ในกลุ่มอำนาจเดิม

บทบาทของสื่อและการตรวจสอบข้อมูลจุดเปลี่ยนของความเข้าใจ

ในยุคที่โซเชียลมีเดียเป็นปัจจัยสำคัญต่อการรับรู้ข่าวสาร ข้อมูลผิดพลาดและข่าวปลอมสามารถสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนได้ง่าย สถานเอกอัครราชทูตไทยและสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา ตลอดจนสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ จึงร่วมกันผลักดันโครงการอบรมสื่อทั้งสองประเทศ ส่งเสริมการรายงานข่าวที่สร้างสรรค์ และการตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นระบบ อ้างอิงจากการเข้าพบ Dr. Vannarith Chheang ประธานที่ปรึกษารัฐสภาแห่งชาติ (Chairman of advisory council of the National Assembly of the Kingdom of Cambodia)

ประสบการณ์จริงจากทีมข่าว “ยิ่งรู้ยิ่งเข้าใจ” กับบทเรียนจากพนมเปญ เมื่อการเดินทางเปลี่ยนมุมมอง

ทีมข่าวไทยที่เดินทางร่วมกับคณะสื่อมวลชนต่างชาติ สัมผัสบรรยากาศพนมเปญเมืองหลวงที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อาคารสูงทันสมัย ถนนหนทางสะอาด ผู้คนมีระเบียบวินัยและเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม การได้สัมผัสชีวิตจริงของคนกัมพูชา เปลี่ยนความคิดที่เคยมีจากภาพจำเก่าๆ ที่รับรู้ผ่านข่าวหรืออคติทางประวัติศาสตร์ กลายเป็นความเข้าใจใหม่ที่ลึกซึ้ง

หลายคนเล่าว่า “ความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นเพียงเปลือกนอก แต่หัวใจของประชาชนทั้งสองประเทศเหมือนกัน คืออยากให้ครอบครัวมีความสุข มีบ้านที่ปลอดภัย มีอาชีพมั่นคง และมีโอกาสทางการศึกษา”

มิตรภาพที่แท้จริง สื่อมวลชน นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่การทูตในบทบาท ‘คนกลาง’

สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ อธิบายว่า บทบาทของ “คนกลาง” คือการฟังและเข้าใจหัวใจคนทั้งสองฝั่ง ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดความเห็นแต่เป็นสะพานที่เชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างกันโดยไม่ใช้อีโก้

การพบปะกับสมาคมนักข่าวกัมพูชาและสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา เปิดมุมมองใหม่ว่า แม้สื่อกัมพูชาจะยังไม่เสรีอย่างเต็มที่ แต่สามารถควบคุมกระแสข่าวปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลกัมพูชาเปิดรับฟังเสียงประชาชนและให้โอกาสแก่ผู้ประกอบการรายใหม่

ความสำเร็จและโอกาสในอนาคต

  • การค้ารวม 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 (อ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์แห่งประเทศไทย)
  • ไทยเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับ 4 ในกัมพูชา (อ้างอิง: สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา)
  • นักท่องเที่ยวไทยเดินทางมากัมพูชามากถึง 2.6 ล้านคนในปีเดียว (อ้างอิง: การท่องเที่ยวแห่งชาติกัมพูชา)
  • นักศึกษากัมพูชาที่เลือกเรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้น 20% (อ้างอิง: มหาวิทยาลัยพระตะบอง)
  • โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนและทุนการศึกษาร่วมกว่า 2,000 ทุน

ความท้าทายที่ต้องจับตาหลังสื่อไทยแลกเปลี่ยนข้อมูลสื่อกัมพูชาได้ นายปุย เกีย นายกสมาคมฯ ของคณะสื่อมวลชนกัมพูชาจากสมาคมนักข่าวกับพูชา (Club of Cambodian Journalists)

  • ข่าวสารผิดพลาดในโซเชียลมีเดียและปัญหาข่าวปลอม
  • ความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันด้านห่วงโซ่อุปทาน
  • โครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ชายแดนที่ต้องพัฒนา
  • ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและช่องว่างระหว่างรุ่น

ข้อเสนอเพื่อความร่วมมือและเติบโตอย่างยั่งยืน

  1. ส่งเสริมการอบรมสื่อมวลชนและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง
  2. ขยายโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนและนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง
  3. เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน รถไฟ และด่านชายแดนให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
  4. สนับสนุนการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ การแปรรูปสินค้าเกษตร และนวัตกรรมเทคโนโลยีร่วม
  5. เสริมสร้างกลไกเจรจาแก้ปัญหาข้อพิพาทโดยใช้ช่องทางระหว่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 
เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

“รังสิมันต์” ชี้เหมืองเมียนมาต้นตอ จี้รัฐบาลใช้การทูตและความมั่นคงแก้ไข

เชียงรายเร่งแก้ปัญหามลพิษแม่น้ำกก การประชุมระดับชาติเพื่อสุขภาพประชาชนและความมั่นคงลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำสาขาในจังหวัดเชียงรายได้กลายเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนและเศรษฐกิจท้องถิ่น การประชุมคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ได้สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการหาแนวทางแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน การท่องเที่ยว และความมั่นคงของลุ่มน้ำโขงในระยะยาว

วิกฤตมลพิษจากชายแดนสู่ใจกลางชุมชน

แม่น้ำกกเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวเชียงราย ทั้งในด้านการเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การตรวจพบสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักอย่างสารหนู ในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขาได้สร้างความกังวลให้กับประชาชนและหน่วยงานท้องถิ่น การสอบสวนเบื้องต้นระบุว่าต้นตอของปัญหามาจากการทำเหมืองทองที่ผิดกฎหมายในพื้นที่ฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะในเขตรัฐฉานระหว่างเมืองยอนและเมืองสาด ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มว้า ปัญหานี้ไม่เพียงกระทบต่อคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก แต่ยังมีความเสี่ยงที่จะขยายวงไปถึงแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การประชุมเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 นำโดยนายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ ร่วมด้วยนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย การประปาส่วนภูมิภาค และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการรวบรวมข้อมูลและข้อเสนอเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาที่ครอบคลุมทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการทูตระหว่างประเทศ

ต้นตอปัญหาและผลกระทบที่รุนแรง

นายรังสิมันต์ โรม เปิดเผยว่า สารพิษในแม่น้ำกกมีสาเหตุหลักจากการทำเหมืองทองที่ผิดกฎหมายกว่า 30 แห่งในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งกลุ่มว้ามีบทบาทสำคัญในการควบคุมพื้นที่ดังกล่าว การใช้สารเคมีในกระบวนการสกัดทองได้ปล่อยสารพิษ เช่น สารหนูและโลหะหนักอื่นๆ ลงสู่ลำน้ำที่ไหลผ่านแม่น้ำกก ส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนในระบบนิเวศและกระทบต่อประชาชนที่พึ่งพาแหล่งน้ำนี้ในการดำรงชีวิต

ผลกระทบจากมลพิษนี้ครอบคลุมหลายมิติ:

  • สุขภาพประชาชน: การปนเปื้อนของสารหนูในน้ำอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น โรคผิวหนังและมะเร็ง ประชาชนในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำต่างรู้สึกไม่ปลอดภัยในการใช้น้ำเพื่อการบริโภคและการเกษตร
  • การเกษตรและประมง: เกษตรกรและชาวประมงในจังหวัดเชียงรายเผชิญกับความสูญเสีย เนื่องจากน้ำที่ปนเปื้อนส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรและสัตว์น้ำ
  • การท่องเที่ยว: จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง อาจสูญเสียความน่าสนใจหากปัญหามลพิษในแม่น้ำกกไม่ได้รับการแก้ไข
  • ความมั่นคงของชาติ: การปนเปื้อนข้ามพรมแดนไม่เพียงเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของลุ่มน้ำโขง ซึ่งประเทศไทยมีส่วนได้ส่วนเสียอย่างมาก

ในที่ประชุม นายรังสิมันต์เน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในระดับท้องถิ่นและระหว่างประเทศ การเจรจากับทางการเมียนมาและกลุ่มว้ายังไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายผลักภาระความรับผิดชอบต่อกัน เขาเสนอว่ารัฐบาลไทยควรใช้ความสัมพันธ์ทางการทูต โดยเฉพาะกับประเทศจีน ซึ่งมีอิทธิพลต่อกลุ่มว้าในด้านการค้าและการลงทุน เพื่อกดดันให้มีการควบคุมการทำเหมืองที่ผิดกฎหมาย

มาตรการรับมือและแนวทางแก้ไข

จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อลดผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขา ดังนี้:

  1. การตรวจสอบแหล่งกำเนิดมลพิษ หน่วยงานท้องถิ่นได้ตรวจสอบการปล่อยน้ำเสียจากภาคอุตสาหกรรม ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และชุมชนเมือง เพื่อควบคุมแหล่งมลพิษภายในประเทศ
  2. การประชาสัมพันธ์เพื่อลดความตื่นตระหนก การประปาส่วนภูมิภาคและประปาหมู่บ้านยืนยันว่าน้ำประปามีความปลอดภัยสำหรับการบริโภค พร้อมแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับระดับความเป็นพิษของสารหนูในน้ำ
  3. การเพิ่มความถี่ในการตรวจน้ำ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่จะตรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย 2 ครั้งต่อเดือน เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
  4. การจัดตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำ คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในระดับลุ่มน้ำโขงเหนือจะประสานงานระหว่างหน่วยงานเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขในระยะยาว
  5. การศึกษาโครงสร้างฝายดักตะกอน มีการเสนอแนวคิดในการสร้างฝายดักตะกอนในแม่น้ำกก โดยแบ่งเป็นฝายชั่วคราว ฝายกึ่งถาวร และฝายถาวร เพื่อลดการสะสมของสารพิษและสนับสนุนการใช้น้ำในภาคการเกษตร

นายรังสิมันต์เสนอให้รัฐบาลตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วน รวมถึงหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม ความมั่นคง และการทูต เพื่อกำหนดกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งการเจรจาระหว่างประเทศและการจัดการภายในประเทศ เขายังเรียกร้องให้มีการใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์ เช่น การร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีผลประโยชน์ในภูมิภาค เพื่อกดดันกลุ่มว้าให้ยุติการทำเหมืองที่ผิดกฎหมาย

โอกาสและความท้าทายในการแก้ไขวิกฤต

ปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกสะท้อนถึงความซับซ้อนของปัญหาข้ามพรมแดน ซึ่งต้องการความร่วมมือในหลายระดับ การที่ต้นตอของปัญหาอยู่ในเมียนมา ซึ่งมีข้อจำกัดด้านการควบคุมอำนาจในพื้นที่รัฐฉาน ทำให้การเจรจาโดยตรงกับทางการเมียนมาไม่เพียงพอ การใช้ความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งมีอิทธิพลในภูมิภาค อาจเป็นทางออกที่เป็นไปได้ แต่ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคี

ในระดับท้องถิ่น มาตรการที่จังหวัดเชียงรายดำเนินการ เช่น การตรวจสอบคุณภาพน้ำและการประชาสัมพันธ์ เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาในระยะยาวต้องอาศัยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ฝายดักตะกอน และระบบบำบัดน้ำ ซึ่งอาจต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก การระดมทุนจากรัฐบาลกลางหรือความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) หรือธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) อาจช่วยลดภาระงบประมาณของจังหวัด

โอกาสสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้คือการยกระดับความตระหนักรู้ในระดับภูมิภาคเกี่ยวกับความสำคัญของลุ่มน้ำโขง การที่ปัญหานี้มีศักยภาพที่จะกระทบต่อแม่น้ำโขงอาจกระตุ้นให้ประเทศสมาชิกในคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) เช่น ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา การสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคจะช่วยเพิ่มน้ำหนักในการกดดันให้มีการควบคุมการทำเหมืองในเมียนมา

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญคือการขาดความชัดเจนในการเจรจากับกลุ่มว้า ซึ่งมีอำนาจควบคุมพื้นที่รัฐฉานอย่างไม่เป็นทางการ การที่กลุ่มว้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาอื่นๆ เช่น ยาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำให้การเจรจาต้องครอบคลุมประเด็นที่หลากหลาย การจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการทูตและความมั่นคงจะช่วยให้การเจรจามีประสิทธิภาพมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้อง

เพื่อให้เห็นภาพรวมของปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกและบริบทที่เกี่ยวข้อง ต่อไปนี้คือสถิติที่สำคัญ:

  • จำนวนเหมืองทองที่ผิดกฎหมายในรัฐฉาน: มากกว่า 30 แห่ง
    ที่มา: รายงานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ, 2568
  • ความยาวของแม่น้ำกก: ประมาณ 130 กิโลเมตร
    ที่มา: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, 2567
  • ประชากรที่พึ่งพาแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงราย: ประมาณ 200,000 คน
    ที่มา: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2567
  • จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย (2566): 2.5 ล้านคน (ในประเทศ 2.2 ล้านคน, ต่างประเทศ 0.3 ล้านคน)
    ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สำนักงานเชียงราย, 2567
  • ปริมาณสารหนูที่ตรวจพบในแม่น้ำกก (2567): สูงกว่ามาตรฐานน้ำดื่มขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในบางพื้นที่
    ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่, 2567
  • พื้นที่เกษตรกรรมในลุ่มน้ำกก: ประมาณ 150,000 ไร่
    ที่มา: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย, 2567

สถิติเหล่านี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของแม่น้ำกกในฐานะทรัพยากรหลักของจังหวัดเชียงราย และความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารพิษอย่างเร่งด่วน การประชุมครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับภูมิภาค เพื่อปกป้องทั้งสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ, 2568
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, 2567
  • สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2567
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สำนักงานเชียงราย, 2567
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่, 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

‘หลิว จงอี้’ ขอโทษคนไทย ทำรู้สึกถูกรุกล้ำอธิปไตย

ภูมิธรรม’ เผย ‘หลิว จงอี้’ ขอโทษคนไทย ย้ำเคารพอธิปไตยไทย เตรียมประชุมไตรภาคีเร่งด่วน

กรุงเทพ, 19 กุมภาพันธ์ 2568 – รองนายกรัฐมนตรี ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ เปิดเผยผลการหารือกับ ‘หลิว จงอี้’ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงจีน ยืนยันเดินหน้าความร่วมมือไตรภาคี ไทย-จีน-เมียนมา ในการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ พร้อมส่งตัวชาวจีน 600 รายกลับประเทศภายในสัปดาห์นี้

จีนขอโทษไทย ประสานความร่วมมือไตรภาคี

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวหลังจากการประชุมร่วมกับนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่กระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง

นายหลิว จงอี้ ได้กล่าวขอโทษประชาชนชาวไทยที่เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับปฏิบัติการของจีนในประเทศไทย และย้ำว่า จีนเคารพในอธิปไตยของไทย พร้อมให้ความร่วมมือในการขจัดปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับชาวจีนในเมียนมา

 ไทยเดินหน้าประชุมไตรภาคี ร่วมจีน-เมียนมา

นายภูมิธรรม เปิดเผยว่า ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมไตรภาคีระหว่าง ไทย-เมียนมา-จีน ภายในสัปดาห์หน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดกลไกความร่วมมือที่ชัดเจนขึ้น ในการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ โดยขณะนี้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากเมียนมาเดินทางมาถึงไทยแล้วเพื่อเตรียมการประชุม

“เราจะดำเนินการให้เรื่องนี้คลี่คลายอย่างมีประสิทธิภาพ และจีนก็พร้อมให้ข้อมูลสำคัญกับไทย เพื่อขุดรากถอนโคนขบวนการนี้” นายภูมิธรรมกล่าว

 ส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ 600 คน เริ่มพรุ่งนี้

 4 เที่ยวบินแรก ออกจากแม่สอด 20 ก.พ.

ในการหารือครั้งนี้ ฝ่ายจีนได้ประสานกับรัฐบาลไทยในการส่งตัวชาวจีนจำนวน 600 คนกลับประเทศ โดยจะใช้เที่ยวบิน 3 รอบ แต่ละรอบห่างกัน 3 วัน โดยรอบแรกจะเริ่มในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 รวม 4 เที่ยวบินจากสนามบินแม่สอด จ.ตาก

เหตุผลที่ต้องใช้สนามบินแม่สอด เนื่องจากสถานการณ์ในเมียนมายังคงมีความไม่ปลอดภัย ทั้งด้านการสู้รบและอุปสรรคด้านโลจิสติกส์ เช่น กับระเบิดตามเส้นทางภาคพื้นดิน

จีนรับปากว่า หากพบข้อมูลเชื่อมโยงกับเครือข่ายในไทย จะส่งข้อมูลให้ทางการไทยทันที เพื่อขยายผลสู่การปราบปรามเพิ่มเติม

จีน-เมียนมาชื่นชมมาตรการของไทย

นายหลิว จงอี้ ยังแสดงความชื่นชมมาตรการของไทยที่ดำเนินการตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต และตัดน้ำมันในพื้นที่อิทธิพลของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา โดยมาตรการดังกล่าวได้รับคำชมจากทั้งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ของจีน รวมถึงรัฐบาลเมียนมา

 ไทยปฏิเสธข้อเสนอจีนในการปิดกั้นสินค้าไปเมียนมา

แม้ว่าฝ่ายจีนเสนอให้ไทยปิดกั้นการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคไปยังเมียนมาเพื่อเป็นมาตรการกดดันเพิ่มเติม แต่ไทยได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้ โดยให้เหตุผลว่า การดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม ซึ่งไทยต้องคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมเป็นสำคัญ

เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสินค้าต้องห้าม

จีนยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการลักลอบนำเข้าสินค้าต้องห้ามผ่านตู้คอนเทนเนอร์จากไทยไปเมียนมา ซึ่งฝ่ายไทยได้รับปากว่าจะนำประเด็นนี้เข้าสู่การพิจารณาและปรับปรุงมาตรการตรวจสอบสินค้าให้เข้มงวดขึ้น โดยจีนพร้อมส่งเครื่องมือพิเศษเข้ามาช่วยเหลือในการตรวจสอบ

การบริหารจัดการผู้ลี้ภัยและชาวต่างชาติ

สำหรับกรณีชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวจีนที่อยู่ในเมียนมา และอาจต้องการลี้ภัยเข้ามาในไทย นายภูมิธรรมย้ำว่า ไทยไม่มีนโยบายจัดตั้งค่ายผู้อพยพใหม่ และจะต้องประสานให้สถานทูตของแต่ละประเทศเข้ามารับตัวประชาชนของตนไปดำเนินการ

“หากมีจำนวนมาก เราจะต้องวางแผนใหม่ โดยสถานทูตแต่ละประเทศต้องรับผิดชอบประชาชนของตน” นายภูมิธรรมกล่าว

สรุป: ไทย-จีน-เมียนมา เดินหน้าปราบปรามข้ามชาติ

การหารือระหว่างไทยและจีนครั้งนี้เป็นการยกระดับความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ไทยยืนยันความร่วมมือไตรภาคี พร้อมส่งตัวชาวจีนที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับประเทศโดยเร็ว ในขณะที่จีนรับปากจะให้ข้อมูลที่เกี่ยวโยงกับไทยเพื่อขยายผลต่อไป

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมจีนต้องขอโทษไทย?

จีนขอโทษไทยเนื่องจากเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทของเจ้าหน้าที่จีนในไทย ทำให้ประชาชนบางส่วนรู้สึกว่าถูกละเมิดอธิปไตย

  1. การประชุมไตรภาคีจะมีขึ้นเมื่อไหร่?

การประชุมไตรภาคีระหว่างไทย-จีน-เมียนมาคาดว่าจะมีขึ้นภายในสัปดาห์หน้า โดยไทยเป็นเจ้าภาพ

  1. ทำไมต้องใช้สนามบินแม่สอดในการส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ?

สนามบินแม่สอดถูกเลือกเนื่องจากสถานการณ์ในเมียนมายังไม่ปลอดภัยสำหรับการเดินทางภาคพื้นดิน

  1. ไทยจะดำเนินการอะไรเพิ่มเติมในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์?

ไทยจะดำเนินมาตรการตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต และตัดน้ำมันในพื้นที่อิทธิพลของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่อไป พร้อมเร่งตรวจสอบเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในไทย

  1. ไทยปฏิเสธข้อเสนอจีนในเรื่องใด?

ไทยปฏิเสธข้อเสนอจีนในการปิดกั้นสินค้าอุปโภคบริโภคไปเมียนมา เนื่องจากต้องคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE