Categories
TOP STORIES

‘หลิว จงอี้’ ขอโทษคนไทย ทำรู้สึกถูกรุกล้ำอธิปไตย

ภูมิธรรม’ เผย ‘หลิว จงอี้’ ขอโทษคนไทย ย้ำเคารพอธิปไตยไทย เตรียมประชุมไตรภาคีเร่งด่วน

กรุงเทพ, 19 กุมภาพันธ์ 2568 – รองนายกรัฐมนตรี ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ เปิดเผยผลการหารือกับ ‘หลิว จงอี้’ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงจีน ยืนยันเดินหน้าความร่วมมือไตรภาคี ไทย-จีน-เมียนมา ในการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ พร้อมส่งตัวชาวจีน 600 รายกลับประเทศภายในสัปดาห์นี้

จีนขอโทษไทย ประสานความร่วมมือไตรภาคี

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวหลังจากการประชุมร่วมกับนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่กระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง

นายหลิว จงอี้ ได้กล่าวขอโทษประชาชนชาวไทยที่เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับปฏิบัติการของจีนในประเทศไทย และย้ำว่า จีนเคารพในอธิปไตยของไทย พร้อมให้ความร่วมมือในการขจัดปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับชาวจีนในเมียนมา

 ไทยเดินหน้าประชุมไตรภาคี ร่วมจีน-เมียนมา

นายภูมิธรรม เปิดเผยว่า ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมไตรภาคีระหว่าง ไทย-เมียนมา-จีน ภายในสัปดาห์หน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดกลไกความร่วมมือที่ชัดเจนขึ้น ในการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ โดยขณะนี้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากเมียนมาเดินทางมาถึงไทยแล้วเพื่อเตรียมการประชุม

“เราจะดำเนินการให้เรื่องนี้คลี่คลายอย่างมีประสิทธิภาพ และจีนก็พร้อมให้ข้อมูลสำคัญกับไทย เพื่อขุดรากถอนโคนขบวนการนี้” นายภูมิธรรมกล่าว

 ส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ 600 คน เริ่มพรุ่งนี้

 4 เที่ยวบินแรก ออกจากแม่สอด 20 ก.พ.

ในการหารือครั้งนี้ ฝ่ายจีนได้ประสานกับรัฐบาลไทยในการส่งตัวชาวจีนจำนวน 600 คนกลับประเทศ โดยจะใช้เที่ยวบิน 3 รอบ แต่ละรอบห่างกัน 3 วัน โดยรอบแรกจะเริ่มในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 รวม 4 เที่ยวบินจากสนามบินแม่สอด จ.ตาก

เหตุผลที่ต้องใช้สนามบินแม่สอด เนื่องจากสถานการณ์ในเมียนมายังคงมีความไม่ปลอดภัย ทั้งด้านการสู้รบและอุปสรรคด้านโลจิสติกส์ เช่น กับระเบิดตามเส้นทางภาคพื้นดิน

จีนรับปากว่า หากพบข้อมูลเชื่อมโยงกับเครือข่ายในไทย จะส่งข้อมูลให้ทางการไทยทันที เพื่อขยายผลสู่การปราบปรามเพิ่มเติม

จีน-เมียนมาชื่นชมมาตรการของไทย

นายหลิว จงอี้ ยังแสดงความชื่นชมมาตรการของไทยที่ดำเนินการตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต และตัดน้ำมันในพื้นที่อิทธิพลของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา โดยมาตรการดังกล่าวได้รับคำชมจากทั้งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ของจีน รวมถึงรัฐบาลเมียนมา

 ไทยปฏิเสธข้อเสนอจีนในการปิดกั้นสินค้าไปเมียนมา

แม้ว่าฝ่ายจีนเสนอให้ไทยปิดกั้นการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคไปยังเมียนมาเพื่อเป็นมาตรการกดดันเพิ่มเติม แต่ไทยได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้ โดยให้เหตุผลว่า การดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม ซึ่งไทยต้องคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมเป็นสำคัญ

เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสินค้าต้องห้าม

จีนยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการลักลอบนำเข้าสินค้าต้องห้ามผ่านตู้คอนเทนเนอร์จากไทยไปเมียนมา ซึ่งฝ่ายไทยได้รับปากว่าจะนำประเด็นนี้เข้าสู่การพิจารณาและปรับปรุงมาตรการตรวจสอบสินค้าให้เข้มงวดขึ้น โดยจีนพร้อมส่งเครื่องมือพิเศษเข้ามาช่วยเหลือในการตรวจสอบ

การบริหารจัดการผู้ลี้ภัยและชาวต่างชาติ

สำหรับกรณีชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวจีนที่อยู่ในเมียนมา และอาจต้องการลี้ภัยเข้ามาในไทย นายภูมิธรรมย้ำว่า ไทยไม่มีนโยบายจัดตั้งค่ายผู้อพยพใหม่ และจะต้องประสานให้สถานทูตของแต่ละประเทศเข้ามารับตัวประชาชนของตนไปดำเนินการ

“หากมีจำนวนมาก เราจะต้องวางแผนใหม่ โดยสถานทูตแต่ละประเทศต้องรับผิดชอบประชาชนของตน” นายภูมิธรรมกล่าว

สรุป: ไทย-จีน-เมียนมา เดินหน้าปราบปรามข้ามชาติ

การหารือระหว่างไทยและจีนครั้งนี้เป็นการยกระดับความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ไทยยืนยันความร่วมมือไตรภาคี พร้อมส่งตัวชาวจีนที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับประเทศโดยเร็ว ในขณะที่จีนรับปากจะให้ข้อมูลที่เกี่ยวโยงกับไทยเพื่อขยายผลต่อไป

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมจีนต้องขอโทษไทย?

จีนขอโทษไทยเนื่องจากเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทของเจ้าหน้าที่จีนในไทย ทำให้ประชาชนบางส่วนรู้สึกว่าถูกละเมิดอธิปไตย

  1. การประชุมไตรภาคีจะมีขึ้นเมื่อไหร่?

การประชุมไตรภาคีระหว่างไทย-จีน-เมียนมาคาดว่าจะมีขึ้นภายในสัปดาห์หน้า โดยไทยเป็นเจ้าภาพ

  1. ทำไมต้องใช้สนามบินแม่สอดในการส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ?

สนามบินแม่สอดถูกเลือกเนื่องจากสถานการณ์ในเมียนมายังไม่ปลอดภัยสำหรับการเดินทางภาคพื้นดิน

  1. ไทยจะดำเนินการอะไรเพิ่มเติมในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์?

ไทยจะดำเนินมาตรการตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต และตัดน้ำมันในพื้นที่อิทธิพลของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่อไป พร้อมเร่งตรวจสอบเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในไทย

  1. ไทยปฏิเสธข้อเสนอจีนในเรื่องใด?

ไทยปฏิเสธข้อเสนอจีนในการปิดกั้นสินค้าอุปโภคบริโภคไปเมียนมา เนื่องจากต้องคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
NEWS UPDATE

กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ติดตามการดำเนินงานตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ ที่จังหวัดเชียงราย

Categories
TOP STORIES

ไทยปราบแก๊งคอลฯ ผนึกกำลัง ทหาร-ตำรวจ ลุยชายแดน

รอง นรม./รมว.กห. หารือร่วมกับนายกฯ เร่งเดินหน้านโยบาย ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ และยาเสพติด

กรุงเทพฯ, 15 กุมภาพันธ์ 2568 – นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมหารือกับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และผู้นำหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อเร่งเดินหน้านโยบาย ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการค้ามนุษย์ และปัญหายาเสพติด ที่ยังคงเป็นภัยต่อประชาชน

การประชุมจัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกสนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมระดมความคิดเห็นเพื่อกำหนดแนวทางบูรณาการกำลังพลและทรัพยากรของกองทัพให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล

แนวทางปฏิบัติการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติ

พลตรีธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า มาตรการเด็ดขาดของรัฐบาลที่ดำเนินมาแล้ว เช่น การตัดเส้นทางลำเลียงน้ำมันเชื้อเพลิง การปิดกั้นสัญญาณอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์ ได้ส่งผลให้การก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ การพนันผิดกฎหมาย และการหลอกลวงทางคอลเซ็นเตอร์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

นายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดให้คณะกรรมการนโยบายด้านชายแดนดำเนินการขยายแผนการทำงาน และให้รายงานผลความคืบหน้าภายใน 1 เดือน โดยเน้นการปิดช่องโหว่ของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งอาศัยพื้นที่ชายแดนไทยเป็นฐานปฏิบัติการ

ผลลัพธ์จากมาตรการเชิงรุกของรัฐบาล

จากปฏิบัติการที่เข้มข้นและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง พบว่ามีการปิดสถานบันเทิงที่เกี่ยวข้องกับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีการระบุเป้าหมายของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการสอบสวนคัดแยก และส่งตัวกลับประเทศต้นทางโดยได้รับความร่วมมือจากกองกำลังป้องกันชายแดน

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า ไทยจะไม่เป็นศูนย์อพยพของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรม โดยมีแนวทางที่ชัดเจนคือ

  1. ขจัดเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้ออกจากประเทศไทย
  2. ปิดกั้นไม่ให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์และยาเสพติด

การสร้างกำแพงชายแดน และความร่วมมือระดับภูมิภาค

ประเด็นที่ได้รับความสนใจในการประชุมคือ แนวคิดการสร้างกำแพงชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณปอยเปต ซึ่งเป็นศูนย์กลางของแก๊งมิจฉาชีพที่ใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเป็นฐานปฏิบัติการ อย่างไรก็ตาม รองนายกรัฐมนตรีระบุว่ายังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย และต้องมีการศึกษารายละเอียดเชิงลึกก่อน

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ดำเนินความร่วมมือระดับภูมิภาคกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันและปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นระบบ และร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ

ความเข้มข้นของมาตรการปราบปรามอาชญากรรม

นายภูมิธรรม เวชยชัย เน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยจะไม่ลดระดับความเข้มข้นของมาตรการ แม้จะได้รับสัญญาณจากกองกำลังต่าง ๆ ของประเทศเพื่อนบ้านว่ามีมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ภายในประเทศของตนเองแล้ว โดยยืนยันว่ามาตรการต้องเป็นไปตามเป้าหมายและให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน

“ปัญหาสำคัญของเราคือ ต้องกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ออกไปให้ได้ และจะไม่ให้ใช้พื้นที่ของไทยเป็นแหล่งเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ” นายภูมิธรรมกล่าว

บทสรุป

รัฐบาลไทยกำลังดำเนินมาตรการเชิงรุกในการ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการค้ามนุษย์ และปัญหายาเสพติด อย่างจริงจัง โดยเน้นความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค พร้อมใช้มาตรการที่เด็ดขาดในการสกัดกั้นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ให้มีที่ยืนในประเทศไทย

การดำเนินการเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับแรก และจะเดินหน้ากำจัดภัยคุกคามเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE

กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ติดตามการดำเนินงานตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ ที่จังหวัดเชียงราย

Categories
TOP STORIES

กองบัญชาการตำรวจสั่งย้ายข้าราชการเอี่ยวบ่อนชายแดนเมียนมา

ผบ.ตร. สั่งช่วยราชการนายพลตำรวจ 2 นาย เซ่นปมเชื่อมโยงธุรกิจผิดกฎหมายชายแดน

กรุงเทพฯ, วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ปมร้อน! นายพลตำรวจพัวพันธุรกิจสีเทา-ค้ามนุษย์ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 63/2568 และ 64/2568 ให้ข้าราชการตำรวจระดับนายพล 2 นาย ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากตำแหน่งเดิม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

พล.ต.ต. เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ

คำสั่งที่ 63/2568 ระบุถึงกรณีที่ปรากฏข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ว่า พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 5 มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจเมวดีคอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นสถานบันเทิงและบ่อนคาสิโน รวมถึงเป็นแหล่งฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมายขนาดใหญ่ บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีดังกล่าว และเพื่อความโปร่งใสจึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือประการใด เนื่องจากเป็นประเด็นสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและสังคมในวงกว้างซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าการกระทำความผิดทางวินัยหรืออาญา หากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2566 จึงให้ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย

พล.ต.ต. สัมฤทธิ์ เอมกมล

คำสั่งที่ 64/2568 ระบุถึงกรณีที่ปรากฏข่าวสารในสื่อมวลชนเกี่ยวกับการหายตัวไปของนักท่องเที่ยวบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวสารในสื่อมวลชนต่างๆ เผยแพร่ข่าวนักท่องเที่ยวถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมาที่ประเทศไทยแล้วหายตัวไปบริเวณชายแดนประเทศเมียนมาร์ อีกทั้งมีการลักลอบข้ามชายแดนช่องทางธรรมชาติในเขตพื้นที่อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก กรณีดังกล่าวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ของสถานีตำรวจภูธรแม่สอด สถานีตำรวจภูธรแม่ระมาดและสถานีตำรวจภูธรพบพระ จังหวัดตาก ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล

เพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือไม่ประการใด เนื่องจากเป็นกรณีที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีที่เป็นสงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทำความผิดวินัยหรืออาญา หากปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 และมาตรา 105 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2565 ประกอบกับระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2566 จึงให้ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย

การรักษาราชการแทน

ในส่วนของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.วีรพรรษ อมรมุนีพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตากอีกหนึ่งหน้าที่

คำสั่งมีผลบังคับใช้ทันที

คำสั่งทั้งสองฉบับมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

ความโปร่งใสและการตรวจสอบ

การดำเนินการในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการรักษาความโปร่งใสและตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวด หากพบว่ามีการกระทำความผิดจริง จะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายคุมเข้ม ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ป้องกันลักลอบข้ามแดน

เชียงรายเข้มงวด! ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ป้องกันลักลอบขนส่งข้ามแดน ฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย พร้อมแนวทางซื้อน้ำมันอย่างถูกต้อง

เชียงราย, 9 กุมภาพันธ์ 2568  –เชียงรายประกาศเตือน ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ฝ่าฝืนดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายปรศักดิ์ งามสมภาค พลังงานจังหวัดเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ ตรวจสอบและแจ้งเตือน สถานีบริการน้ำมันทุกแห่ง ห้ามกรอกน้ำมันลงภาชนะ เช่น ถังน้ำมัน กระป๋องน้ำมัน หรือแกลลอน โดยเด็ดขาด ตามมาตรการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงและนโยบายปราบปรามเครือข่าย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งใช้เชื้อเพลิงจากชายแดนไทยไปดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายในเมียนมา

มาตรการเข้มงวด: ห้ามจำหน่ายน้ำมันลงภาชนะ

จากการพิจารณาของ จังหวัดเชียงราย พบว่า การจำหน่ายน้ำมันลงภาชนะอื่นนอกเหนือจากการเติมในยานพาหนะ ไม่เป็นไปตาม พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2544 มาตรา 4 ซึ่งกำหนดให้สถานีบริการน้ำมันต้องให้บริการแก่ยานพาหนะเท่านั้น

ประกอบกับรัฐบาลไทยได้ ระงับการส่งออกน้ำมันไปยังเมียนมา เพื่อตัดวงจรการลักลอบใช้น้ำมันในกิจกรรมผิดกฎหมาย จึงมีการแจ้งเตือนไปยังผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน หากฝ่าฝืนคำสั่งจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

หากต้องการซื้อน้ำมันในภาชนะ ต้องทำอย่างไร?

สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อน้ำมันเพื่อใช้งานในภาชนะสามารถซื้อได้จากแหล่งที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่:

  1. สถานที่เก็บรักษาน้ำมันลักษณะที่ 1 (สำหรับปริมาณน้อย)
  • น้ำมันชนิดไวไฟมาก: เก็บได้ไม่เกิน 40 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟปานกลาง: เก็บได้ไม่เกิน 227 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟน้อย: เก็บได้ไม่เกิน 454 ลิตร

สามารถซื้อจากร้านค้าปลีกที่ได้รับอนุญาต เช่น ร้านค้าที่มีการกรอกน้ำมันใส่ขวดหรือแกลลอนขายภายใต้ข้อกำหนดทางกฎหมาย

  1. สถานที่เก็บรักษาน้ำมันลักษณะที่ 2 (สำหรับปริมาณมาก ต้องได้รับอนุญาตจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
  • น้ำมันชนิดไวไฟมาก: เก็บได้ตั้งแต่ 40 – 454 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟปานกลาง: เก็บได้ตั้งแต่ 227 – 1,000 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟน้อย: เก็บได้ตั้งแต่ 454 – 15,000 ลิตร

หากต้องการใช้ในปริมาณมาก ผู้ประกอบการต้อง ขอใบอนุญาตเก็บรักษาน้ำมัน จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้ดำเนินการได้ถูกต้องตามกฎหมาย

มาตรการนี้ช่วยป้องกันอะไร?

  • ป้องกัน การลักลอบนำน้ำมันข้ามพรมแดน ไปใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย
  • ควบคุม การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นไปตามกฎหมาย และลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
  • สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และ กลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

จังหวัดเชียงราย ขอความร่วมมือจากประชาชนและผู้ประกอบการทุกฝ่าย ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าวเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากพบเห็นการฝ่าฝืน สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายได้ทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานพลังงานจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE

กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ติดตามการดำเนินงานตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ ที่จังหวัดเชียงราย

Categories
WORLD PULSE

‘ไทย’ กดดัน ‘เมียนมา’ เริ่มเห็นผล หลังมีเจ้าหน้าที่ท่าขี้เหล็กกวาดล้างหลายพื้นที่

ไทยกดดันเมียนมา ตัดไฟ-จำกัดน้ำมัน สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เมียนมา, 9 กุมภาพันธ์ 2568  – burmese.shannews และ tachileik NEWS รายงานว่า หลังจากที่ประเทศไทยเริ่ม ตัดกระแสไฟฟ้า งดขายน้ำมัน และตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ส่งไปยังสหภาพเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อสกัดกลุ่มขบวนการ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งใช้พื้นที่ชายแดนเมียนมาเป็นฐานในการหลอกลวงประชาชนในหลายประเทศ ส่งผลให้สถานการณ์ในเมืองท่าขี้เหล็กได้รับผลกระทบอย่างหนัก

เมืองท่าขี้เหล็กมืดสนิท คาสิโนขาดพลังงาน

แหล่งข่าวในพื้นที่ระบุว่า โรงแรมและสถานบันเทิงหลายแห่งที่เป็นศูนย์กลางของคาสิโนในเมืองท่าขี้เหล็ก ต้องลดไฟส่องสว่างลง เนื่องจากขาดแคลนกระแสไฟฟ้า หลังจากที่ลาวจำกัดการส่งไฟจาก 30 เมกะวัตต์ เหลือเพียง 13 เมกะวัตต์ ทำให้เมืองทั้งเมืองมืดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงกลางคืน

นอกจากนี้ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารท่าขี้เหล็ก ได้ระดมกำลังกวาดล้างบ่อนการพนันและเว็บพนันออนไลน์ ที่ลักลอบเปิดอยู่ในพื้นที่ริมแม่น้ำสาย และเขตป่าเขาลึก ส่งผลให้มีการจับกุมเจ้าของบ่อน พนักงาน และผู้เกี่ยวข้องได้จำนวนมาก

แก๊งคอลเซ็นเตอร์-เว็บพนันเริ่มทยอยปิดตัว

จากแหล่งข่าวในท่าขี้เหล็ก พบว่าปัจจุบัน กลุ่มเว็บพนันออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทยอยปลดพนักงานออกกว่า 100 คน เนื่องจากขาดแคลนกระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อได้ นายจ้างชาวจีนจึงจำเป็นต้อง ปลดพนักงานออก ทำให้แรงงานต่างชาติรวมถึงคนไทยจำนวนมากต้องเดินทางกลับประเทศไทย ผ่านด่านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

คาดการณ์ว่า หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไป กลุ่มเหล่านี้อาจพยายามย้ายฐานปฏิบัติการเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นโจทย์สำคัญของรัฐบาลไทยในการควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

รัฐบาลเมียนมาเร่งกวาดล้าง ขยายผลจับกุม

สื่อท้องถิ่นของเมียนมารายงานว่า ระหว่างวันที่ 6-8 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจของท่าขี้เหล็ก ได้ดำเนินการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมในหลายพื้นที่ ทั้งการทลายบ่อนการพนัน สแกมเมอร์ และฐานปฏิบัติการหลอกลวงทางออนไลน์ ส่งผลให้มีผู้ต้องหาถูกจับกุมหลายสิบคน รวมถึงชาวจีนและเวียดนามที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมเหล่านี้

ขณะเดียวกัน กองทัพเมียนมายัง ดำเนินการบุกเข้าพื้นที่ควบคุมของกองกำลังติดอาวุธบางกลุ่ม ที่ให้การสนับสนุนธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้ และมีการปะทะกันในบางพื้นที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและถูกจับกุมเพิ่มเติม

บีจีเอฟ-รัฐบาลเมียนมาขอไทยทบทวนมาตรการ

พันโทหน่ายหม่อง โซ รองผู้บังคับกองพัน กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ) รัฐกะเหรี่ยง เปิดเผยว่า กองกำลังบีจีเอฟและรัฐบาลเมียนมาต้องการให้ไทยทบทวนมาตรการตัดกระแสไฟฟ้าและจำกัดน้ำมัน เนื่องจากประชาชนเมียนมาได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยย้ำว่า ไทยและเมียนมาเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมานาน และขอให้รัฐบาลไทยพิจารณามาตรการที่เหมาะสมมากขึ้น

พันโทหน่ายหม่อง โซ ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า บีจีเอฟได้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาโดยตลอด และกำลังดำเนินการช่วยเหลือแรงงานชาวอินโดนีเซียกว่า 100 คน ที่ตกเป็นเหยื่อให้เดินทางกลับประเทศ โดยใช้เส้นทางผ่านไทย

สรุปสถานการณ์ชายแดนเมียนมา-ไทย

การดำเนินมาตรการของไทยส่งผลกระทบโดยตรงต่อเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และทำให้เมืองท่าขี้เหล็กที่เคยเป็นศูนย์กลางของธุรกิจผิดกฎหมายต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนพลังงานและแรงงานอย่างหนัก ขณะที่รัฐบาลเมียนมาได้เพิ่มมาตรการเข้มงวดและเร่งขยายผลจับกุมอาชญากรข้ามชาติ โดยมีความร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ยังต้องจับตาดูว่าการย้ายฐานของกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ และไทยจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไรในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : tachileik / burmese.shannews

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

บีจีเอฟรับจีนเทาหลอกใช้พื้นที่ สู่ศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์

บีจีเอฟเมียนมารับเสียรู้จีนเทา แปลงพื้นที่สู่ศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่งเหยื่อกว่า 2,000 รายกลับไทย พร้อมช่วยเหลือชาวอินโดนีเซียอีก 100 คน

เมียนมา, 8 กุมภาพันธ์ 2568  – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับเป็นครั้งแรกที่ พันโทหน่ายหม่อง โซ รองผู้บังคับกองพัน กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ) ประจำจังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ได้กล่าวยอมรับถึงปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่จีนเทา ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเมียวดี ตรงข้ามอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย

บีจีเอฟรับ ‘เสียรู้’ จีนเทา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้พื้นที่โดยไม่แจ้งล่วงหน้า

พันโทหน่ายหม่อง โซ เปิดเผยว่า กลุ่มทุนจีนที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่เขตอิทธิพลของกองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟ ในช่วงแรกระบุว่า จะใช้พื้นที่ทำ คาสิโนและสถานบันเทิง เพื่อพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้มีเศรษฐกิจดีขึ้นและให้ประชาชนมีงานทำ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป พบว่ามีปัญหาการดำเนินกิจกรรมของ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งกองกำลังบีจีเอฟไม่สามารถจัดการได้โดยลำพัง เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่

พันโทหน่ายหม่อง โซ ระบุว่า รายได้ที่ได้รับจากนักลงทุนจีนนั้นถูกนำไปพัฒนา ถนนและสะพาน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่เมื่อมีปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์เข้ามา ฝ่ายบีจีเอฟต้องพยายามแก้ไขร่วมกับทางการเมียนมา รวมถึงได้รับความร่วมมือจากสถานทูตและรัฐบาลไทย โดยปัจจุบันได้ดำเนินการ ส่งตัวเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับประเทศแล้วกว่า 2,000 คน ส่วนใหญ่ถูกส่งไปทางประเทศไทย เนื่องจากสะดวกและใกล้กว่าส่งไปยังเมืองย่างกุ้ง

เตรียมส่งตัวเหยื่อต่างชาติอีก 100 คน ส่วนใหญ่อินโดนีเซีย

ล่าสุด บีจีเอฟช่วยเหลือชาวต่างชาติจำนวนกว่า 100 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวอินโดนีเซีย ซึ่งตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีแผนส่งตัวพวกเขาไปให้ทางการไทยในเร็วๆ นี้ โดยใช้ด่านพรมแดนแม่สอด-เมียวดี สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 เป็นจุดส่งตัว

พันโทหน่ายหม่อง โซ ยืนยันว่า กองกำลังบีจีเอฟได้พยายามแก้ไขปัญหานี้มาโดยตลอด โดยมีการประสานกับฝ่ายรัฐบาลเมียนมา รวมถึงรัฐบาลไทย และแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหานี้ให้หมดไป

บีจีเอฟวอนไทยทบทวนมาตรการตัดไฟ-จำกัดน้ำมัน

นอกจากนี้ พันโทหน่ายหม่อง โซ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยพิจารณา ทบทวนมาตรการตัดกระแสไฟฟ้า และการจำกัดน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ส่งเข้าพื้นที่ชายแดนเมียนมา เนื่องจากประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก พร้อมย้ำว่า ไทยและเมียนมาเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมานาน ชาวกะเหรี่ยงและประชาชนชาวเมียนมามีความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ไทย และต้องการให้รัฐบาลไทยช่วยพิจารณาผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL WORLD PULSE

สื่อจีนมอง ‘กลยุทธ์ตัดไฟ-ตัดเน็ต’ ของขวัญไทยก่อนเยือน ‘รัฐบาลจีน’

ไทยใช้มาตรการเข้ม ปราบอาชญากรรมข้ามพรมแดน ได้ใจจีน รัฐบาลจีนชื่นชมมาตรการไทยในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน

กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน, 6 กุมภาพันธ์ 2568 jeenthainews รายงานว่านายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เดินทางเยือนจีนเป็นวันที่สอง โดยพบปะกับผู้นำจีน ณ อาคารมหาศาลาประชาชน ทั้งสองฝ่ายได้หารือเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-จีน และความร่วมมือระดับภูมิภาคที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ได้รับความสนใจจากทั้งสองฝ่าย คือมาตรการของรัฐบาลไทยที่ใช้จัดการกับอาชญากรรมข้ามพรมแดน อาทิ การฉ้อโกงทางโทรศัพท์และการพนันออนไลน์

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์จีน หลิวชิ่งปิน ได้ให้ข้อมูลในเว็บไซต์ news.qq.com ของจีน ระบุว่าท่าทีของรัฐบาลจีนที่ชื่นชมมาตรการดังกล่าวของไทย ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้รัฐบาลไทยว่ามาตรการที่ดำเนินอยู่นั้นเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง นอกจากนี้ การได้รับการยอมรับจากรัฐบาลจีนอาจส่งผลให้ไทยได้รับความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและปฏิบัติการด้านความมั่นคงเพิ่มเติมในอนาคต

มาตรการตัดไฟ-ตัดเน็ตชายแดนไทย-เมียนมา: ข้อพิสูจน์ความจริงจังของไทย

ก่อนเดินทางมายังกรุงปักกิ่ง นายกรัฐมนตรีแพทองธารได้ออกคำสั่งให้ตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต และระงับการส่งน้ำมันไปยังพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกระบุว่ามีการดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายสูงมาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์มองว่ามาตรการดังกล่าวเป็น “ของขวัญ” ที่รัฐบาลไทยมอบให้แก่จีน เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการจัดการปัญหาที่จีนให้ความกังวลมาโดยตลอด โดยเฉพาะกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการในการฉ้อโกงประชาชนจีนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การดำเนินการครั้งนี้ไม่เพียงแต่ได้รับเสียงชื่นชมจากรัฐบาลจีนเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของรัฐบาลไทยว่าให้ความสำคัญกับหลักนิติธรรมและความปลอดภัยในระดับภูมิภาค

กลยุทธ์ของแพทองธาร ได้รับแรงสนับสนุนจากอดีตนายกฯ ทักษิณ

มีข้อสังเกตจากนักวิเคราะห์ว่า แนวทางของนายกรัฐมนตรีแพทองธารอาจได้รับการแนะนำจากอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ซึ่งเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ไทยควรเร่งให้ความร่วมมือกับจีนอย่างใกล้ชิดเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดน รวมถึงการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในด้านเศรษฐกิจและการค้า

นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเชื่อว่าทักษิณมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายต่างประเทศของไทย โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ของไทยมาอย่างยาวนาน นโยบายของแพทองธารในครั้งนี้อาจสะท้อนให้เห็นถึงความต่อเนื่องในแนวทางของพรรคเพื่อไทย ที่ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว

การดำเนินมาตรการที่เข้มงวดของรัฐบาลไทยก่อนการเยือนจีน มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มนักเดินทางหลักที่มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) การลดลงของนักท่องเที่ยวจีนหลังจากเกิดเหตุการณ์อาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนชาวจีนในไทย ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การเดินทางเยือนจีนของแพทองธารในครั้งนี้ จึงถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความมั่นใจและกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนให้กลับคืนมา

ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ในอนาคต

หนึ่งในเป้าหมายหลักของการเยือนจีนครั้งนี้ คือการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) อย่างน้อย 14 ฉบับ ระหว่างไทยและจีน ในด้านต่างๆ อาทิ

  • โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน
  • การเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมกับรถไฟจีน-ลาว
  • การขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน

นักวิเคราะห์มองว่า ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างบทบาทของไทยในภูมิภาคอาเซียน ในฐานะศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนจากจีนให้เข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจไทยมากขึ้น

ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า

แม้ว่าการดำเนินนโยบายเชิงรุกของรัฐบาลไทยจะได้รับการตอบรับที่ดีจากจีน แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะการบริหารจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน นักวิเคราะห์เตือนว่าหากไทยไม่สามารถรักษาความเข้มงวดของมาตรการเหล่านี้ได้ ก็อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของจีนในระยะยาว

นอกจากนี้ การที่ไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตรของกลุ่ม BRICS ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากจะส่งผลต่อทิศทางนโยบายเศรษฐกิจและความมั่นคงของไทยในอนาคต

บทสรุป

การเดินทางเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่สะท้อนถึงความพยายามของไทยในการเสริมสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับจีน ไม่เพียงแต่ในด้านความมั่นคงและการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน แต่ยังรวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวผ่านข้อตกลงระดับทวิภาคีที่มีนัยสำคัญ

แม้ว่ามาตรการที่เข้มงวดของไทยจะได้รับการสนับสนุนจากจีน แต่รัฐบาลไทยยังต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจว่าความร่วมมือครั้งนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : jeenthainews / 刘庆彬

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE SOCIETY & POLITICS

ป้องกันความมั่นคง ไทยยุติส่งไฟฟ้า 5 จุดชายแดนเมียนมา

ประเทศไทยยุติการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมา 5 จุด เพื่อความมั่นคงของชาติ

กรุงเทพฯ, 5 กุมภาพันธ์ 2568 – นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการยุติการส่งกระแสไฟฟ้าไปยังเมียนมาใน 5 จุดชายแดน ตามมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

การดำเนินการนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานใหญ่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการ กฟภ. ร่วมเป็นสักขีพยาน

การตัดกระแสไฟฟ้าทั้ง 5 จุดใช้ระบบสั่งการอัตโนมัติควบคุมระยะไกล โดยทันทีที่กดปิดระบบ แผงวงจรที่แสดงบนหน้าจอจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว และจำนวนวัตต์ที่จ่ายไฟจะเปลี่ยนเป็น 0 แอมป์ทันที

จุดที่ถูกยุติการส่งไฟฟ้า ได้แก่:

  1. บ้านพระเจดีย์สามองค์ – เมืองพญาตองซู รัฐมอญ
  2. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
  3. บ้านเหมืองแดง – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
  4. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 – เมืองเมียวดี
  5. บ้านห้วยม่วง – เมืองเมียวดี

รวมกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ถูกยุติการส่งทั้งสิ้น 20.37 เมกะวัตต์

นายอนุทินกล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามมติของ สมช. ที่ประชุมเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งพบว่าการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมามีการนำไปใช้ไม่เป็นไปตามสัญญา และส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ

“เมื่อมีข้อสั่งการที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย กระทรวงมหาดไทยและ กฟภ. ก็สามารถดำเนินการได้ทันที” นายอนุทินกล่าว

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้ประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นไม่ถึง 1% ของรายได้รวมจากการขายไฟฟ้า ซึ่งนายอนุทินระบุว่าเป็นการเสียสละที่คุ้มค่าเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน

“การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามสัญญาข้อที่ 14 ที่กำหนดว่าหากจ่ายไฟฟ้าไปแล้วเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานและความมั่นคงของชาติ สามารถงดจ่ายไฟได้” นายอนุทินกล่าว

เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ที่เมียนมาอาจร้องขอซื้อไฟฟ้าใหม่ นายอนุทินกล่าวว่า “รัฐบาลสั่งให้หยุดเพราะเมียนมานำกระแสไฟฟ้าไปใช้ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อไทยด้วย เขาจึงต้องไปแก้ไขและต้องมีการเจรจาใหม่”

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นมาตรการที่มุ่งเน้นการป้องกันและจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน ซึ่งรวมถึงปัญหาการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติที่อาจใช้พลังงานไฟฟ้าในการดำเนินกิจกรรม

นายอนุทินย้ำว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ประชาชนชาวเมียนมาโดยตรง แต่เป็นมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันและจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน

“เรายังคงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และพร้อมให้ความร่วมมือกับทางการเมียนมาในการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างเหมาะสมต่อไป” นายอนุทินกล่าว

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การดำเนินการครั้งนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทยในการดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การยุติการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมาในครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การดำเนินการครั้งนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทยในการดำเนินมาตรการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

ผบ.ทบ. ขอทุกภาคส่วนสร้างความมั่นคง ปลื้ม กอ.รมน. ขับเคลื่อนงานสังคม

 

เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 67 ที่ กอ.รมน. พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ.ในฐานะ รอง ผอ.รมน. ได้เป็นประธานการประชุม หน่วยขึ้นตรง กอ.รมน. ประจำเดือนมีนาคม 67 โดยมีคณะผู้บริหารระดับสูง พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผช.ผบ.ทบ.ในฐานะผช.ผอ.รมน., พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ เสธ.ทบ.ในฐานะ เลขาฯ กอ.รมน. ตลอดจนหัวหน้าหน่วยขึ้นตรง กอ.รมน. เข้าร่วมประชุมฯ ในขณะเดียวกัน ผอ.รมน.ภาค และ กอ.รมน.จังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วมประชุมผ่านระบบทางไกล

 

นางทศยาพร ดิเรกวุฒิ รองโฆษก กอ.รมน. กล่าวว่า ในช่วงแรกของการประชุม หน่วยขึ้นตรง กอ.รมน. ได้รายงานผลการปฏิบัติตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ได้มอบหมายให้ กอ.รมน. ดำเนินการขับเคลื่อนและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วยความคืบหน้าในการดำเนินการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบทหารกองประจำการแบบสมัครใจที่ผ่านมาพบว่ามียอดผู้สมัครเข้าร่วมโครงการในปีนี้สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

 

สำหรับการแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่ง และการแก้ไขไฟป่าหมอกควันขอให้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อมุ่งสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ส่วนการบริหารจัดการที่ดินของกองทัพให้ประชาชนใช้ประโยชน์ ปัจจุบันได้มีการจัดสรรที่ดินในความครอบครองของกองทัพให้ประชาชนใช้ประโยชน์แล้ว 2 พื้นที่ คือ ที่ดินของกองทัพบก หนองวัวซอ โมเดล จ.อุดรธานี และที่ดินของกองบัญชาการกองทัพไทย บริเวณบ้านแก่งประลอมและบ้านพุราด อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี มีประชาชนได้รับประโยชน์จำนวน 519 ราย โดย กอ.รมน. จะเร่งขยายผลการบริหารจัดการที่ดินในความรับผิดชอบของกองทัพเรือและกองทัพอากาศต่อไป

 

รอง ผอ.รมน. ได้มอบนโยบายแนวทางในการปฏิบัติงานในเรื่องการใช้งานยุทโธปกรณ์พิเศษในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเน้นย้ำการปฏิบัติงานให้เป็นเชิงรุกมากกว่าเชิงป้องกัน เพิ่มการเชื่อมโยงระบบยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและให้พิจารณาในส่วนของยุทโธปกรณ์ให้สามารถตอบสนอง และรองรับต่อภารกิจในปัจจุบันและอนาคตได้ เพื่อให้รองรับแผนที่จะมีการปรับลดกำลังพลด้านความมั่นคงภายในปี 2570 และเตรียมส่งต่อความรับผิดชอบงาน ให้มีการมอบอาสารักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทรวงมหาดไทย

การขับเคลื่อนงานด้านความมั่นคงในทุกมิติทั่วประเทศนั้นมีความสำคัญโดย รอง ผอ.รมน. ได้กำชับถึงบทบาทหน้าที่ของ รอง ผอ.รมน.จังหวัด ว่าต้องเป็นบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ โดยมีความเชี่ยวชาญ และสามารถประเมินวิเคราะห์สถานการณ์และปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ได้ รวมถึงบทบาทในการประสานงาน บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยให้ กอ.รมน. (ส่วนกลาง) จัดทำคู่มือเพื่อวางแนวทางการปฏิบัติงาน การประเมินผลงาน และกำหนดตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้มีการรับมอบและแบ่งมอบหน้าที่ให้กับ รอง ผอ.รมน.จังหวัด ได้อย่างชัดเจน และช่วยให้การปฏิบัติงานของ กอ.รมน. ในระดับจังหวัดมีประสิทธิผล ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ว่าราชการจังหวัดในการดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ส่วนสถานการณ์ชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน รอง ผอ.รมน. ขอบคุณ กอ.รมน.ภาค 3 และกองทัพ ที่มีส่วนสำคัญและช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งมอบความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ร่วมกับสภากาชาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศ ให้แก่ประชาชนเมียนมาผู้พลัดถิ่นด้วยความเรียบร้อย ถือเป็นบทบาทหน้าที่หนึ่งในการดูแลสันติภาพประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นการส่งความปรารถนาดีของประชาชนไทยต่อประชาชนเมียนมาทุกกลุ่มโดยไม่เลือกปฏิบัติ ในขณะเดียวกันเน้นย้ำให้ กอ.รมน. (ส่วนกลาง) ตลอดจนทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง เร่งสร้างการรับรู้ให้ข้อมูลกับสังคมในเรื่องต่างๆ ตลอดจนการประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ครบถ้วนให้กับประชาชนได้ทราบเพื่อลดทอนสิ่งที่ประชาชนเข้าใจผิดหรือมีความสงสัยในประเด็นต่างๆ

 

พล.อ.เจริญชัย ได้กล่าวขอบคุณ กอ.รมน. และเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความสำเร็จ จนได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลในการขับเคลื่อนและบูรณาการแก้ไขปัญหา

 

ทั้งนี้ ขอให้ กอ.รมน. ในบทบาทนักประสานงาน อำนวยการ ใช้กลไกการบูรณาการในการขับเคลื่อนแผนงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับสังคม และประเทศชาติ สุดท้ายนี้เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 2 เมษายน 2567 ที่ใกล้จะถึงนี้ ขอเชิญชวนกำลังพล ข้าราชการและประชาชนร่วมกันทำความดี ร่วมกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ที่จัดโดยส่วนราชการต่างๆ ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติฯ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงออกซึ่งความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News