เวียดนามทุบสถิติโลก “ส่งออกกาแฟทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์” ท่ามกลางศึกภาษีสหรัฐฯ บทเรียนเชิงยุทธศาสตร์และแรงสั่นสะเทือนในอาเซียน
กรุงฮานอย/เวียดนาม, 7 ตุลาคม 2568 —ต้นไตรมาสสี่ บนถนนกาแฟย่านโบราณของกรุงฮานอย กลิ่นหอมเข้มจาก โรบัสตา ที่ถูกชงด้วย “ฟินฟิลเตอร์” ยังอยู่คู่วัฒนธรรมเวียดนามดังเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญคือ “มูลค่าทางเศรษฐกิจ” ของเมล็ดเล็ก ๆ เหล่านี้—ที่เพิ่งพาเศรษฐกิจทั้งชาติสร้างสถิติ มูลค่าการส่งออกกาแฟทะลุหลัก 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ท่ามกลางพายุการค้าโลกและมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ ที่ยังร้อนระอุ
รายงานจากหน่วยงานเศรษฐกิจเวียดนามสะท้อนภาพเดียวกัน ช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.–ก.ย. 2568) มูลค่าการส่งออกกาแฟพุ่งขึ้น 61% เมื่อเทียบปีก่อน แตะ 6.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อรวมระหว่าง ต.ค. 2567–ส.ค. 2568 ตัวเลขรายปี ทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์ แล้ว เป็น “การทุบเพดาน” ที่สะท้อนทั้งอุปสงค์โลกที่ยังแกร่ง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวนในทางบวก และความสามารถในการผลักดันห่วงโซ่มูลค่า (value chain) ของประเทศผู้ส่งออกอันดับสองของโลก รองจากบราซิล
ขณะเดียวกัน ในสนามการค้ารายใหญ่ที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา เวียดนามยังทำ ดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ ราว 9.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ในช่วง 9 เดือน เพิ่มขึ้นถึง 28% แม้จะเจอ “ภาษีทรัมป์ 20%” กับสินค้าหลายรายการตั้งแต่สิงหาคมเป็นต้นมา ภาพรวมจึงไม่ได้มีเพียง “กาแฟที่แพงขึ้น” แต่รวมถึงการ “ยืนระยะ” ด้านเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร และสินค้าที่อาศัยยุทธศาสตร์ China+1 เป็นแรงหนุนหลัง
กาแฟคือ “ทองคำดำ” ของปี
- ทำสถิติใหม่ใน 9 เดือน มูลค่าส่งออกกาแฟเวียดนาม 6.98 พันล้านดอลลาร์ เพิ่ม 61% YoY แซงทั้งปีที่ผ่านมาแล้ว
- รายปีทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์ เมื่ออิงรอบ 12 เดือน ต.ค. 2567–ส.ค. 2568 สื่อนานาชาติรายงาน ทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์ครั้งแรก
- โรบัสตาคือพระเอก สายพันธุ์โรบัสตายังเป็นแกนหลัก คิดเป็นมูลค่าราว 4.9 พันล้านดอลลาร์ ในปีนี้ ขณะที่อราบิกายังมีสัดส่วนรอง
- อานิสงส์ “ราคาโลก + ยุโรป” ราคากาแฟโลกทำจุดสูงสุดช่วงต้นปี ก่อนปรับฐานและดีดกลับใน ส.ค.–ก.ย. ขณะที่อุปสงค์ยุโรปยังแข็งแรง โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมกาแฟสำเร็จรูปและเบลนด์
ความหมายเชิงโครงสร้าง คือ เวียดนามไม่ได้ชนะเพียง “ปริมาณ” แต่ชนะที่ “มูลค่า” จาก ราคาตลาดโลกที่เป็นใจ + ความพร้อมของซัพพลายเชนปลายน้ำ ตั้งแต่การแปรรูปไปจนถึงการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (hedging) เพื่อบริหารความเสี่ยงราคา
ศึกภาษีสหรัฐฯ ทำไม “เกินดุล” ยังพุ่ง?
แม้สหรัฐฯ จะบังคับใช้มาตรการภาษีในอัตรา 20% กับสินค้าหลายหมวดจากเวียดนามตั้งแต่เดือนสิงหาคม เวียดนามยังรักษา “แรงส่ง” ได้ด้วย 4 ปัจจัยหลัก
- ค่าเงินดองอ่อนค่า ทำให้ราคาสินค้าเวียดนามถูกลงในสกุลดอลลาร์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
- ภาษีตอบโต้ยังแข่งขันได้ เทียบกับผู้ผลิตในเอเชียบางประเทศที่เผชิญอัตราภาษี 19%–50%
- ย้ายฐาน China+1 ผู้ผลิตข้ามชาติเร่งกระจายความเสี่ยงจากจีน สร้างคำสั่งซื้อใหม่ในเวียดนาม
- โครงสร้างสินค้า ไปสหรัฐฯ ยังมีหมวดที่ฟอร์มดี เช่น คอมพิวเตอร์/อิเล็กทรอนิกส์ (~30.3 พันล้านดอลลาร์) และ เครื่องจักร (~17.4 พันล้านดอลลาร์)
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ทุกหมวดจะชนะ เสื้อผ้า โทรศัพท์มือถือ และรองเท้า หดตัวแรง ตามรายงานรายเดือน สะท้อนว่า “ภาษี + อุปสงค์เฉพาะหมวด” สั่นคลอนอุตสาหกรรมที่พึ่งแรงงานเข้มข้นมากกว่าอุตสาหกรรมเทคและเครื่องจักร
GDP โต 8.2% ในไตรมาส 3 แต่เป้าหมายทั้งปียัง “โหด”
- GDP ไตรมาส 3/2568 = 8.2% YoY แข็งแกร่งอันดับสองตั้งแต่ปี 2554 แรงขับจาก อุตสาหกรรม–ก่อสร้าง–บริการ
- 9 เดือนแรก โต 7.85% และ เกินดุลการค้ารวม 16.8 พันล้านดอลลาร์
- โจทย์ไตรมาส 4 หากต้องการแตะเป้าหมายทั้งปี 8.5% จำเป็นต้องโต 10.2% ในไตรมาส 4 ซึ่งสูงกว่าฐานจริงของปีก่อน (ไตรมาส 4/2567 = 7.6%)
ภาพรวมเชิงนโยบาย เวียดนามยังคงยึดเส้นทาง “ประเทศกำลังพัฒนาฐานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ รายได้ปานกลางระดับบนภายในปี 2573” โดย GDP ต่อหัว ปี 2567 อยู่ราว 4,700 ดอลลาร์ หัวรถจักรคือภาคอุตสาหกรรม–บริการ ขณะที่เกษตร–ป่าไม้–ประมงมีสัดส่วนต่ำกว่า 10% แต่ยังมี “สินค้าเรือธง” อย่างกาแฟที่ต่อท่อรายได้สกุลดอลลาร์ให้ประเทศ
กลไกกาแฟเวียดนาม ทำไมถึง “วิ่งแซง” ตลาดโลก
- ฐานการผลิตกระจาย—แต่รวมศูนย์เชิงระบบ
ภูมิภาค Central Highlands (โดยเฉพาะดั๊กลั๊ก ลำดง เกียไล) ปลูกโรบัสตาเป็นหลัก มีระบบ สหกรณ์–ผู้ส่งออก–ผู้แปรรูป ที่เชื่อมต่อกันและเข้าถึงการเงิน/ความรู้มากขึ้น - ยกระดับหลังสวน (post-harvest) และมาตรฐาน
การคัดคุณภาพ การลดความชื้น การคั่ว–บด และมาตรฐานความปลอดภัยอาหารทำได้สม่ำเสมอมากขึ้น จึง ขายมูลค่า ไม่ใช่แค่ขาย “ตันละเท่าไร” - บริหารราคาเชิงรุก
ผู้เล่นรายใหญ่ใช้สัญญาล่วงหน้า (hedging) และกระจายตลาดทั้งยุโรป–เอเชีย–อเมริกา ช่วยคุมความเสี่ยง ราคาผันผวน และล็อกส่วนต่างกำไร - เล่าเรื่องชาติ—วางแบรนด์กาแฟ
จาก “กาแฟข้น–เข้ม–หวาน” เวียดนามขยับสู่ ความหลากหลายของเมนูและโพรไฟล์รสชาติ เปิดพื้นที่พรีเมียมควบคู่โรบัสตาแมส
สารสะท้อนถึงไทย โอกาสและแรงกดดัน “สองชั้น” ในตลาดกาแฟโลก
ไทย—โดยเฉพาะ ภาคเหนือ (เชียงใหม่–เชียงราย) และ ภาคใต้ (ชุมพร)—มีทรัพยากรภูมิอากาศเหมาะสมสำหรับ อราบิกา และโรบัสตาเชิงพาณิชย์ แต่จุดอ่อนคือ สเกลและมาตรฐานหลังสวน ที่ยังไม่สม่ำเสมอเท่าเวียดนาม หากไทยต้องการ “เข้าเส้นเลือด” ของตลาดยุโรป–ภูมิภาคที่เน้นมาตรฐาน จำเป็นต้อง:
- ยกระดับ post-harvest ให้ได้มาตรฐานเดียว (ความชื้น–การคัด–การเก็บรักษา)
- รวมกลุ่ม–สัญญาการตลาด กับผู้คั่ว–ผู้ซื้อรายใหญ่ เพื่อสร้างความแน่นอนด้านราคา
- แบรนด์ภูมิภาค ผลักดัน GI/Single Origin (เช่น ดอยตุง ดอยช้าง แม่สลอง) ให้มีเรื่องเล่า–มาตรฐาน–รสชาติที่คาดเดาได้
ในศึกส่งออกไปสหรัฐฯ และอาเซียน
หากเวียดนามยัง “รักษาระยะ” เกินดุลกับสหรัฐฯ ได้แม้ภาษีขึ้น ขณะที่ฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์–เครื่องจักร กระชับกับห่วงโซ่โลก มากขึ้น ไทยจำเป็นต้อง:
- ลดต้นทุนเชิงโครงสร้าง (โลจิสติกส์–พลังงาน–กฎระเบียบ) ให้แข่งขันได้
- เจาะช่องว่างที่เวียดนามอ่อนแรง จากภาษีในหมวดเสื้อผ้า/รองเท้า ด้วยคุณภาพ–ความเร็ว–ดีไซน์
- ดึง FDI คุณภาพสูง ในหมวดที่ไทยมีระบบซัพพลายเชนเข้มแข็ง (ยานยนต์ใหม่–ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เฉพาะทาง–อาหารแปรรูปพรีเมียม)
สงครามราคาที่ไม่ใช่แค่ “ราคา” บริหารความเสี่ยงเหวี่ยงของโภคภัณฑ์
ราคากาแฟที่พุ่งและผันผวนคือ ดาบสองคม ด้านดีช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออก ด้านเสี่ยงคือ ความผันผวนรายได้เกษตรกร–ผู้ประกอบการ หากไม่มีเครื่องมือบริหารความเสี่ยง ไทยและผู้ผลิตรายย่อยในอาเซียนควรเร่ง:
- เข้าถึงองค์ความรู้สัญญาล่วงหน้า–ประกันความเสี่ยง ผ่านสหกรณ์/ธนาคารของรัฐ
- กระจายพืช–กระจายตลาด เพื่อไม่ “ผูกชะตา” กับพืชชนิดเดียว
- ยกระดับข้อมูลตลาด (market intelligence) แบบใกล้เคียงเรียลไทม์ เพื่อปรับแผนการขาย–สต็อก
เวียดนามในเส้นทาง “ประเทศอุตสาหกรรมสมัยใหม่”
- เป้าหมาย 2573 เป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับบน ฐานอุตสาหกรรมสมัยใหม่
- โครงสร้าง GDP บทบาทบริการ >50%, อุตสาหกรรม–ก่อสร้าง >40%, เกษตร <10%
- เครื่องยนต์ กาแฟคือ soft power ทางเกษตรที่แปรเป็นดอลลาร์ ส่วนเครื่องจักร–อิเล็กทรอนิกส์คือฐานรายได้ใหม่
สำหรับไทย บทเรียนจากเวียดนามคือ “ความสม่ำเสมอเชิงระบบ” ตั้งแต่หลังสวน–แปรรูป–โลจิสติกส์–การเงิน ไปจนถึง สัญญาตลาดและแบรนด์ เมื่อองค์ประกอบทั้งห้า “ล็อกเข้าที่” ผลลัพธ์ที่ได้คือ ตัวเลขส่งออกที่ยืนระยะ แม้เผชิญแรงกดดันภายนอก
จะ “ไล่ให้ทัน” หรือ “แซงในเลนถนัด” ของไทย
- กาแฟไทย = คุณค่าไม่ใช่ปริมาณ
ใช้ “เรื่องเล่าภูมิประเทศ + มาตรฐานหลังสวน + นักคั่ว–บาริสต้ามืออาชีพ” จับตลาดพรีเมียม–ท่องเที่ยวกาแฟ (coffee tourism) โดยเฉพาะภาคเหนือ - เครื่องจักร–อิเล็กทรอนิกส์ = โฟกัสช่องเฉพาะ
ลงทุนใน นิคมอัจฉริยะ พลังงานสะอาด–โลจิสติกส์รวดเร็ว–ทักษะฝีมือขั้นสูง สร้างข้อได้เปรียบเชิงคุณภาพแทนสงครามราคาตรง ๆ - การค้ายุคภาษี–ภูมิรัฐศาสตร์
เร่ง ทำความตกลงย่อยกับรัฐ–เมือง–ผู้ซื้อรายใหญ่ สร้าง “ทางลัด” ให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงซัพพลายเชน แม้เผชิญภาษี - ข้อมูล–การเงิน–ความเสี่ยง
ตั้ง ศูนย์ข้อมูลโภคภัณฑ์ระดับจังหวัด/ภูมิภาค เชื่อมตลาดโลก + เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงสำหรับเกษตรกร–SMEs
การที่เวียดนาม ส่งออกกาแฟทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์ พร้อมรักษาแรงส่งการค้ากับสหรัฐฯ ในเงื่อนไขภาษีใหม่ สะท้อน ความพร้อมของระบบ มากกว่าวาระแห่งปี กาแฟจึงไม่ใช่เพียงเครื่องดื่ม แต่คือ ยุทธศาสตร์ชาติ ที่เชื่อมเกษตร—อุตสาหกรรม—การค้า—การเงินเข้าไว้ด้วยกัน
สำหรับไทย สัญญาณนี้เป็นทั้ง แรงบันดาลใจและสัญญาณเตือน ว่า การยกระดับ หลังสวน–มาตรฐาน–แบรนด์–ตลาด–การเงิน ต้องเดินพร้อมกัน จึงจะเปลี่ยน “ของดีในพื้นที่” ให้เป็น “มูลค่าในโลก” ได้อย่างยั่งยืน
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- Vietnam General Statistics Office (GSO)
- Vietnam Customs (General Department of Vietnam Customs)
- Nikkei Asia
- Xinhua News Agency
- Vietnam National Coffee & Cocoa Association (VICOFA)
- International Coffee Organization (ICO)
- U.S. Trade Policy/Notices
- กระทรวงอุตสาหกรรม–กระทรวงพาณิชย์ไทย / กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ




















































