Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เชียงรายมีศักยภาพ “ดอยลังกาหลวง-ดอยช้าง” ติดท็อปเท็นภูเขาสูงสุดของไทย

เชียงรายชูศักยภาพภูเขา “ดอยลังกาหลวง–ดอยช้าง” ติดท็อปเท็นสูงสุดของไทย (เมื่อจัดจำแนกอย่างรอบด้าน) — เปิดความจริง-คลี่คลายความสับสนของตัวเลขและชื่อสถานที่ พร้อมข้อเสนอให้อัปเดตฐานข้อมูลทางการ

เชียงราย, 16 กันยายน 2568 — เมื่อพูดถึง “ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย” หลายคนตอบได้ทันทีว่า ดอยอินทนนท์ สูง 2,565 เมตร แต่พอไล่ลำดับถัดไป หลายสำนักกลับให้ตัวเลขและชื่อยอดเขาไม่ตรงกัน—ดอยผ้าห่มปก บางที่ 2,285 เมตร บางที่ 2,296 เมตร, ยอดภูสอยดาว บางที่ 2,102 บางที่ 2,120 เมตร ขณะที่ชื่อ “ดอยช้าง” ก็ยิ่งชวนสับสน เพราะบางแหล่งหมายถึง “ยอดเขา” แต่บางแหล่งหมายถึง “ชุมชนและแหล่งปลูกกาแฟ” ที่ระดับสูงเฉลี่ย 1,000–1,700 เมตร ไม่ใช่ยอด 1,962 เมตรตามลิสต์บางแห่ง

รายงานชิ้นนี้ได้ข้อมูลสารตั้งต้นมาจากเพจ “สุดยอดแห่งสยาม” ทางสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์อยากชวนผู้อ่านสำรวจอย่างเป็นระบบว่า “อะไรจริง อะไรคลาดเคลื่อน” โดยยึดหลักฐานจากหน่วยงานรัฐและเอกสารอ้างอิงที่เชื่อถือได้เป็นแกนหลัก ให้เห็นภาพตั้งแต่นักท่องเที่ยวเชิงผจญภัย และชุมชนท้องถิ่น ใช้ข้อมูลเดียวกันในการวางแผน—ทั้งด้านความปลอดภัย การอนุรักษ์ และการพัฒนาการท่องเที่ยว

ปมสับสน ตัวเลขสูง–ต่ำต่างกันได้อย่างไร

ข้อเท็จจริงที่ยืนยันได้แน่น

  • ดอยอินทนนท์ สูง 2,565 เมตร — เป็นความสูง “ทางการ” ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยืนยันไว้ในเอกสารของกรมอุทยานฯ ว่าดอยอินทนนท์เป็นยอดสูงสุดของประเทศ (เอกสารสำนักอุทยานแห่งชาติ ระบุช่วงความสูงพื้นที่อุทยาน 400–2,565 เมตร และระบุชัดเจนว่าอินทนนท์เป็นยอดสูงสุดของไทย)
  • ดอยผ้าห่มปก ยอดสูงสุดของอุทยานแห่งชาติผ้าห่มปก ระดับ 2,285 เมตร (ข้อมูลหน้าอย่างเป็นทางการของอุทยาน)
  • ดอยหลวงเชียงดาว มีสองค่าที่ถูกใช้งานคู่ขนาน 2,225 เมตร (ใช้กว้างขวางในเอกสารและป้ายสื่อสารของไทย เช่น มูลนิธิสืบนาคะเสถียร) และค่าจากสารานุกรมสากลบางแหล่งที่ลง 2,175 เมตร — สะท้อนปัญหา “ค่ามาตรฐาน” คนละชุดที่ยังไม่ถูกเทียบมาตรฐานร่วมกัน
  • โมโกจู (อุทยานแห่งชาติแม่วงก์) ยืนยันสูงสุดของอุทยานที่ 1,964 เมตร บนหน้าอย่างเป็นทางการของกรมอุทยานฯ (ระบุชัดที่หัวข้อสภาพภูมิประเทศ)
  • ดอยภูคา (จ.น่าน) ระดับสูงสุด 1,980 เมตร อ้างอิงจากหน้าจองที่พัก/แนะนำอุทยานของกรมอุทยานฯ (NPS)

ยอดที่ยืนยันโดยฐานข้อมูลมาตรฐานและสารานุกรม

  • ดอยลังกาหลวง — ยอดสูงสุดของเชียงราย อยู่แนวเทือกลังกา–ขุนแจ ค่าความสูงที่ปรากฏซ้ำมากที่สุดคือ 2,031 เมตร (พบในสารานุกรมภูมิประเทศที่สรุปยอดเด่นของไทย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลสื่อรัฐ/ท้องถิ่น)

ข้อสังเกตสำคัญ ตัวเลขความสูงที่ “ทางการ” รับรองกับตัวเลขจากฐานข้อมูลแผนที่/ชุมชน (เช่นสารานุกรมออนไลน์หรือฐานข้อมูลภูมิประเทศสากล) อาจต่างกันเพราะ (1) ระบบอ้างอิงระดับทะเล (datums) ต่างชุด, (2) ความละเอียดแบบจำลองภูมิประเทศ (DEM) ต่างความละเอียด และ (3) บางแหล่งนับ “ปุ่มยอด/สันเขาย่อย” เป็นยอดแยก ขณะที่รัฐนับเฉพาะยอดหลัก

ดอยลังกาหลวง, เชียงราย สูง 2,031 เมตร

เคสศึกษาเชียงราย “ดอยลังกาหลวง” ชัดเจน — “ดอยช้าง” ต้องระบุให้ตรง

ดอยลังกาหลวง — เสาหลักเหนือสุด

เชียงรายมีภูมิประเทศซับซ้อนเชื่อมเทือกเขาถนนธงชัยกับสันปันน้ำชายแดน ดอยลังกาหลวงจึงเป็น “เสาหลัก” ที่ยืนเด่นด้วยระดับกว่า 2 กิโลเมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ค่าที่พบซ้ำในแหล่งข้อมูลวิชาการ/สารานุกรมคือ 2,031 เมตร (และสอดคล้องกับสื่อราชการพื้นที่) ทำให้ดอยลังกาหลวงติดหนึ่งใน “คลับ 2,000+ เมตร” ของไทยร่วมกับอินทนนท์ ผ้าห่มปก และภูสอยดาว

แม้หน้าเว็บไซต์กลางของกรมอุทยานฯ จะไม่ได้ลงรายละเอียดความสูงยอดนี้ไว้ชัดเจนเท่าดอยยอดอื่น แต่ข้อมูลเชิงพื้นที่จากสื่อรัฐและชุมชนผู้เดินป่าระบุสอดคล้องกันมาอย่างยาวนาน จุดนี้สะท้อนโจทย์นโยบายสำคัญ—เราควรมีฐานข้อมูลยอดเขาทางการที่อัปเดตและค้นหาได้ง่าย เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนของตัวเลขในสื่อสาธารณะ

ดอยช้าง, เชียงราย สูง 1,962 เมตร

ดอยช้าง — ชื่อเดียว หลาย “ที่”

ชื่อ “ดอยช้าง” เป็นปมใหญ่ของความสับสน เพราะในเชียงรายมี อย่างน้อย 2–3 จุด ที่ถูกเรียกว่า “ดอยช้าง” ในชีวิตประจำวัน

  1. ดอยช้าง” ในลิสต์ยอดเขาสูง (1,962 เมตร) — บางฐานข้อมูลภูมิประเทศของชุมชนผู้ปีนเขาระบุยอดชื่อ Doi Chang สูง 1,962 เมตร (มีพิกัดชัดเจน) แม้จะไม่ใช่เอกสารราชการ แต่เป็นหลักฐานแผนที่จากชุมชนที่ใช้กันกว้างขวางในแวดวงเดินเขา จึงมีคุณค่าทางข้อมูลเชิงสำรวจ (ควรใช้คู่กับข้อมูลราชการเพื่อความรัดกุม)
  2. ดอยช้าง” แหล่งปลูกกาแฟ–ท่องเที่ยววาวี (1,000–1,700 เมตร) — พื้นที่ บ้านดอยช้าง ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย เป็น “โลเคชันดังระดับโลก” สำหรับกาแฟอาราบิก้า ไม่ใช่ยอดเขา 1,962 เมตร โดยหน่วยงานรัฐด้านเกษตรระดับจังหวัดระบุชัดว่าเขตปลูกอยู่ที่ระดับ 1,000–1,700 เมตร ซึ่งอธิบายความต่างของตัวเลขกับ “ยอดดอยช้าง” ที่โผล่ในลิสต์ภูเขาสูงได้เป็นอย่างดี 
  3. ดอยช้างมูบ” (1,504 เมตร) — จุดชมวิวชายแดนไทย–เมียนมา ทางแม่ฟ้าหลวง/แม่สาย เป็นอีกชื่อที่ใกล้เคียงและทำให้คนทั่วไปเข้าใจปะปนกับ “ดอยช้าง” ในวาวีอยู่บ่อยครั้ง (แม้ความสูงจะต่างกันมาก)

บทเรียนจากดอยช้าง การสื่อสารชื่อภูมิประเทศในสื่อสาธารณะควร “ระบุพิกัด/อำเภอ–ตำบล” ควบคู่เสมอ โดยเฉพาะชื่อสามัญอย่าง “ดอยช้าง/ดอยผาหม่น/ผาหัวช้าง” ที่มีหลายแห่งทั่วยอดดอยของภาคเหนือ

รายชื่อยอดเด่น 

เมื่อ “จัดจำแนก” ด้วยหลักฐานภาครัฐควบคู่กับสารานุกรม/แหล่งข้อมูลมาตรฐาน จะได้ภาพรวมของยอดเด่นดังนี้

  • ดอยอินทนนท์ 2,565 ม. — สูงสุดของไทย (อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ยืนยันในเอกสารกรมอุทยานฯ)
  • ดอยผ้าห่มปก 2,285 ม. — ยอดสูงสุดของอช. ผ้าห่มปกและสูงอันดับ 2 ของประเทศตามสื่อราชการของอุทยานเอง
  • ดอยหลวงเชียงดาว 2,225/2,175 ม. — มีสองค่าที่ใช้จริง (มูลนิธิสืบฯ ระบุ 2,225 ม. ขณะที่สารานุกรมสากลลง 2,175 ม.) จึงควรระบุแหล่งอ้างอิงควบคู่ทุกครั้งที่เผยแพร่
  • ยอดภูสอยดาว 2,120/2,102 ม. — สื่อวิชาการ–สารานุกรมไทยนิยม 2,120 ม. ในขณะที่สื่อไทยบางแห่งใช้ 2,102 ม. (แนะนำให้อ้างแหล่งที่ใช้ตัวเลขอย่างชัดเจนทุกครั้ง)
  • ดอยลังกาหลวง 2,031 ม. — ยอดสูงสุดของเชียงรายตามสารานุกรมภูมิประเทศ (ภาครัฐยังไม่มีหน้าเว็บกลางระบุค่าความสูงนี้อย่างเป็นทางการ)
  • ดอยภูคา 1,980 ม. — อ้างอิงหน้า NPS ของกรมอุทยานฯ
  • โมโกจู 1,964 ม. — ยอดสูงของอช. แม่วงก์ (ข้อมูลทางการ)

หมายเหตุ ชื่ออย่าง “กิ่วแม่ปาน” ซึ่งบางลิสต์นำไปจัดรวมเป็น “ยอด 2,000 เมตร” แท้จริงคือ “เส้นทางศึกษาธรรมชาติ” ใกล้ยอดอินทนนท์ (ไม่ใช่ยอดเขาเอกเทศ) จึงไม่ควรนับเป็นยอดแยกตามธรรมเนียมภูมิประเทศสากล

ทำไม “จัดอันดับ 1–10” ถึงยาก?

เพราะวิธี “นับยอด” ต่างกัน หลายสำนักนับเฉพาะ “ยอดหลัก” (prominence สูง) ขณะที่บางสำนักนับ “สัน/ปุ่ม” ที่สูงเกินเกณฑ์ด้วย จึงทำให้ลำดับ 5–10 ขยับขึ้นลงได้ นี่ยังไม่นับความต่างของฐานข้อมูล DEM/การยึด datum คนละชุด และความคลาดเคลื่อนจากการอ่านค่าสูงสุดของ cell พิกเซล DEM ที่หยาบ–ละเอียดต่างกัน

จังหวัดเชียงราย เป็น 2 ใน 10 ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย

ดอยลังกาหลวง และ ดอยช้าง ซึ่งเป็นยอดเขาสำคัญของจังหวัดเชียงราย ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 2 ใน 10 ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย โดย ดอยลังกาหลวง ติดอันดับที่ 5 และ ดอยช้าง ติดอันดับที่ 8

จากข้อมูลล่าสุด ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย 10 อันดับแรก ประกอบด้วย

1 ดอยอินทนนท์, เชียงใหม่ 2,565 เมตร

2 ดอยผ้าห่มปก, เชียงใหม่ 2,285 เมตร

3 ดอยหลวงเชียงดาว, เชียงใหม่ 2,225 เมตร

4 ยอดภูสอยดาว, อุตรดิตถ์ 2,102 เมตร

5 ดอยลังกาหลวง, เชียงราย 2,031 เมตร

6 กิ่วแม่ปาน, เชียงใหม่ 2,000 เมตร

7 ดอยภูคา, น่าน 1,980 เมตร

8 ดอยช้าง, เชียงราย 1,962 เมตร

9 โมโกจู, กำแพงเพชร 1,950 เมตร

10 ดอยม่อนจอง, เชียงใหม่ 1,925 เมตร

ความโดดเด่นของดอยทั้งสองในจังหวัดเชียงรายนี้ นอกจากจะมีความสูงที่ติดอันดับแล้ว ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและมีทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางไปสัมผัสความงามของธรรมชาติอยู่เสมอ

จากภูมิประเทศสู่การท่องเที่ยว ข้อมูลที่แม่นยำ = ความปลอดภัย + มูลค่าเศรษฐกิจ

ตัวเลขความสูงไม่ใช่เรื่อง “เอาไว้เถียงกันเท่านั้น” แต่มีผลต่อการสื่อสารความปลอดภัยและการบริหารจัดการท่องเที่ยวโดยตรง—ทั้งการประเมินสภาพอากาศ (ลม–ฝน–อุณหภูมิ), เวลาเดิน, ระดับความยากของเส้นทาง, การเตรียมอุปกรณ์ และการจำกัดจำนวนผู้เข้าพื้นที่อนุรักษ์ต่อวัน

  • กรณีโมโกจู (1,964 ม.) อช.แม่วงก์ระบุชัดเจนบนหน้าเว็บว่าเป็นยอดสูงสุดและบอกลักษณะภูมิประเทศ—ข้อมูลนี้ช่วยให้ผู้จัดการท่องเที่ยว/ไกด์กำหนดฤดูกาลเปิด–ปิดเส้นทาง และกำหนดมาตรการความปลอดภัยได้เหมาะสม
  • กิ่วแม่ปาน การสื่อสารให้ถูกต้องว่าเป็น “เส้นทางเรียนรู้” ใกล้ยอดอินทนนท์ ไม่ใช่ยอดเขาเอกเทศ ช่วยตั้งความคาดหวังนักท่องเที่ยวให้เหมาะสม และกระจายคนออกจากจุดเปราะบางทางนิเวศของยอดหลักได้ดีขึ้น
  • ดอยช้าง (วาวี) การยืนยันว่าพื้นที่ปลูกกาแฟอยู่ช่วง 1,000–1,700 เมตร ไม่ใช่ยอด 1,962 เมตร ช่วย “จัดวางผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว” ให้ถูกที่ถูกทาง (เน้นวัฒนธรรมกาแฟ วิถีชุมชน วิวไร่บนไหล่เขาสูง) แทนการนำเสนอเป็น “จุดพิชิตยอด” ที่อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและกระทบพื้นที่ป่าโดยไม่จำเป็น 

 ทำ “ฐานข้อมูลยอดเขาทางการ” กลางประเทศ

บทเรียนจากความสับสนของตัวเลขและชื่อสถานที่ชี้ไปที่โจทย์ร่วม 3 ประการ

  1. จัดทำฐานข้อมูล “ยอดเขาทางการ” กลางประเทศ — โดยหน่วยงานแกนกลาง เช่น กรมอุทยานฯ ร่วมกับกรมทรัพยากรธรณี/กรมแผนที่ทหาร เผยแพร่ชุดข้อมูลมาตรฐาน (ชื่อ–พิกัด–ระดับความสูง–prominence) พร้อมอธิบายที่มาของตัวเลขและระบบอ้างอิง (datum/DEM) อย่างโปร่งใส
  2. ระบุ “พิกัด + อำเภอ/ตำบล” ทุกครั้งในสื่อสาธารณะ — โดยเฉพาะชื่อสามัญที่ซ้ำกันในหลายจังหวัด เพื่อลดความเข้าใจผิด (กรณี “ดอยช้าง/ดอยผาหม่น/ดอยผ้าห่มปก–ดอยฝาง” เป็นต้น)
  3. ปรับคู่มือสื่อสารการท่องเที่ยว — แยก “ยอดเขา” ออกจาก “เส้นทาง/จุดชมวิว” ให้ชัดเจน (เช่นกิ่วแม่ปาน) และเน้นความพร้อมด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานของแต่ละพื้นที่ (ฤดู–อุปกรณ์–การขออนุญาต–โควตา)

เชียงรายได้อะไรจาก “ข้อมูลที่ตรงกัน”

ในมหากาพย์ “จัดอันดับความสูง” ที่ต่างสำนักลงตัวเลขไม่ตรงกัน เชียงราย ได้รับบทเรียนสำคัญสองชั้น

  • ชั้นแรก—ภาพจำเชิงพื้นที่ ดอยลังกาหลวง 2,031 เมตร คือเสาหลักบนแผนที่ภาคเหนือที่ยืนยันทักษะผจญภัยขั้นสูงของจังหวัด ส่วน ดอยช้าง (วาวี) คือภูมิทัศน์วัฒนธรรมกาแฟระดับโลกที่ต้องเล่าให้ชัดว่าคือ “พื้นที่ไหล่เขา 1,000–1,700 เมตร” ไม่ใช่ยอด 1,962 เมตร เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวให้ตรงประเด็น—ชุมชนได้ประโยชน์ นักท่องเที่ยวปลอดภัย
  • ชั้นที่สอง—โครงสร้างข้อมูลสาธารณะ ความต่างของตัวเลข ดอยหลวงเชียงดาว (2,225 กับ 2,175) หรือ ภูสอยดาว (2,120 กับ 2,102) สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนของ “ฐานข้อมูลยอดเขาทางการ” ที่ค้นหาได้ง่ายและอ้างอิงได้เหมือนกันทั่วประเทศ เพื่อยุติความสับสนและยกระดับความน่าเชื่อถือของข้อมูลท่องเที่ยว–ความปลอดภัยของไทยในสายตาโลก

ท้ายที่สุด—ตัวเลขคือ “ภาษาเดียวกัน” ระหว่างเจ้าหน้าที่ ผู้ประกอบการ นักเดินป่า และนักท่องเที่ยว หากเราพูดภาษาเดียวกันได้ ความเสี่ยงก็ลดลง โอกาสทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพก็เพิ่มขึ้น และธรรมชาติบนสันเขาไทยจะถูกดูแลได้ดีขึ้นด้วยข้อมูลที่เที่ยงตรง

ดอยอินทนนท์, เชียงใหม่ สูง 2,565 เมตร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช — เอกสารอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ระบุความสูงสูงสุดประเทศ 2,565 เมตร (สำนักอุทยานแห่งชาติ)
  • อุทยานแห่งชาติผ้าห่มปก (กรมอุทยานฯ) — ระบุยอดสูงสุด 2,285 เมตร และสถานะเป็นยอดสูงอันดับสองของไทย
  • อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ (กรมอุทยานฯ) — หน้าอย่างเป็นทางการ ระบุ “โมโกจู” สูง 1,964 เมตร เป็นยอดสูงสุดของอุทยาน (หัวข้อ Topographical features)
  • อุทยานแห่งชาติดอยภูคา (หน้า NPS ของกรมอุทยานฯ) — ระบุความสูงพื้นที่อุทยานและข้อมูลประกอบ (ยอด 1,980 เมตร)
  • มูลนิธิสืบนาคะเสถียร — บทความความรู้ ดอยเชียงดาว (ใช้ค่าความสูง 2,225 เมตรตามสื่อไทย)
  • สารานุกรม/รายการภูเขาไทย (วิกิพีเดียภาษาอังกฤษ “List of mountains in Thailand”) — ใช้ประกอบเทียบค่าที่ต่างกันของยอดเด่น (เช่น ดอยลังกาหลวง 2,031 ม., ดอยหลวงเชียงดาว 2,175 ม., ภูสอยดาว 2,120 ม.) ควรใช้อ้างอิงคู่กับแหล่งราชการทุกครั้ง
  • DNP 1362 (กรมอุทยานฯ)
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย (กระทรวงเกษตรฯ) — บทความแนะนำ ดอยช้าง–ดอยวาวี ยืนยัน “ระดับความสูงพื้นที่ปลูกกาแฟ 1,000–1,700 เมตร” ใช้แยกจาก “ยอดดอยช้าง 1,962 ม.” ในฐานข้อมูลนักปีนเขาได้ชัดเจน
  • ฐานข้อมูลภูมิประเทศชุมชนผู้ปีนเขา (Peakery) — ระบุยอด Doi Chang 1,962 เมตร 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นวัตกรรมปกป้องป่า! อุทยานฯ ดอยหลวงใช้ Smart Patrol รวบชายพกปืนเข้าเขตห้าม

อุทยานแห่งชาติดอยหลวงยกระดับมาตรการปกป้องผืนป่า-สัตว์ป่า “Smart Patrol” จับชายวัย 67 ปี พกปืนลอบเข้าป่า ตอกย้ำยุทธศาสตร์เชิงรุก สู่การอนุรักษ์อย่างยั่งยืน

เชียงราย, 4 สิงหาคม 2568 – ปรากฏการณ์ “Smart Patrol”: อุทยานฯ ยุคใหม่ ที่เทคโนโลยีขับเคลื่อนการอนุรักษ์ ในขณะที่สังคมไทยกำลังจับตามองประเด็นสิ่งแวดล้อมและการรักษาความสมบูรณ์ของผืนป่าเป็นหัวใจสำคัญ หนึ่งในแนวหน้าอย่างอุทยานแห่งชาติดอยหลวง จังหวัดเชียงราย ก็ได้ยกระดับกลยุทธ์เชิงรุกด้วย “Smart Patrol” หรือการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ได้เกิดเหตุการณ์สะท้อนความเข้มแข็งของมาตรการดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจสามารถจับกุมชายวัย 67 ปี พร้อมอาวุธปืน ขณะลอบเข้าไปในพื้นที่อุทยานโดยไม่ได้รับอนุญาต สร้างความประทับใจในประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมายและเทคโนโลยีสมัยใหม่

ที่มาเหตุการณ์ “Smart Patrol” พิสูจน์ฝีมือ

นายปัณณวิชญ์ ภูริรักษ์พิติกร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยหลวง รายงานว่าเจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจได้ดำเนินการลาดตระเวนในพื้นที่บ้านผาตุ้ม ตำบลป่าหุ่ง ถึงบ้านวังชมภู ตำบลม่วงคำ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ตามแผนลาดตระเวนคุณภาพ (Smart Patrol) ซึ่งใช้ระบบบันทึกข้อมูลการเดินทาง สังเกตการณ์ร่องรอยสัตว์ป่า และความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นตลอดเส้นทาง

ในระหว่างปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ได้สังเกตเห็นชายต้องสงสัยจึงเข้าตรวจสอบ พบว่านายผัด (สงวนนามสกุล) อายุ 67 ปี กำลังพกพาอาวุธปืนเข้าไปในเขตอุทยานโดยไม่มีใบอนุญาต ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายผิดกฎหมายชัดเจน ตามมาตรา 19(7) ประกอบมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ซึ่งห้ามนำอาวุธปืนเข้าสู่เขตอุทยานโดยไม่ได้รับอนุญาต

นายปัณณวิชญ์ได้สั่งการให้ควบคุมตัวนายผัดทันที ก่อนนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังและป้องกันการกระทำผิดในพื้นที่อนุรักษ์

Smart Patrol จากอดีตสู่ยุคดิจิทัล

นายเจษฎา เงินทอง ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) ระบุว่า ระบบ Smart Patrol ไม่เพียงแต่ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถเฝ้าระวังได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น แต่ยังเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมงานอนุรักษ์ในรูปแบบที่ทันสมัย อาทิ การเก็บข้อมูลการพบร่องรอยสัตว์ การกระทำผิด การบันทึกตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์ ตลอดจนสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปวางแผนปรับปรุงการลาดตระเวนให้ตรงจุดมากขึ้น

Smart Patrol เปลี่ยนเกมอนุรักษ์ป่า

  1. เพิ่มประสิทธิภาพการลาดตระเวน:
    การมีฐานข้อมูลแน่นหนาและเป็นระบบ ช่วยให้เจ้าหน้าที่วางแผนงานได้ดีขึ้น สามารถวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงและจัดชุดลาดตระเวนในจุดที่มีโอกาสเกิดการกระทำผิดสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระงานที่ไม่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิผลของแต่ละภารกิจ
  2. ลดความเสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่:
    การมีข้อมูลล่าสุดจาก Smart Patrol ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า ลดโอกาสเผชิญหน้ากับผู้กระทำผิดโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้การปฏิบัติงานปลอดภัยยิ่งขึ้น
  3. สร้างฐานข้อมูลงานอนุรักษ์ระยะยาว:
    ข้อมูลการลาดตระเวนและตรวจพบร่องรอยต่างๆ เมื่อสะสมเป็นระยะเวลานาน จะกลายเป็นฐานข้อมูลที่มีคุณค่า ช่วยวางนโยบายการอนุรักษ์ทั้งเรื่องการประเมินประชากรสัตว์ป่า การติดตามการเปลี่ยนแปลงของป่าไม้ รวมถึงการประเมินพื้นที่คุ้มครองเพิ่มเติมในอนาคต

มาตรการต่อเนื่องและความท้าทาย

เหตุการณ์ในครั้งนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นของการเฝ้าระวังเชิงรุกในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยเฉพาะภัยคุกคามจากการล่าสัตว์ การลอบนำอาวุธเข้าพื้นที่ หรือการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งทุกปัญหาล้วนกระทบต่อความสมบูรณ์ของระบบนิเวศโดยรวม

แม้จะมีเทคโนโลยีช่วยเหลือ แต่งานลาดตระเวนยังต้องอาศัยความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่ทั้งในเชิงปฏิบัติและความรู้ความเข้าใจในพื้นที่ เช่นเดียวกับการสร้างความร่วมมือกับชุมชนโดยรอบ เพื่อแจ้งเบาะแสและร่วมกันเฝ้าระวังพื้นที่อนุรักษ์

ก้าวสู่การอนุรักษ์ป่าไทยอย่างยั่งยืน

การจับกุมชายวัย 67 ปีที่ลักลอบพกอาวุธปืนเข้าสู่พื้นที่อุทยานในครั้งนี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของประสิทธิภาพและความจำเป็นในการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีอย่าง Smart Patrol มาประยุกต์ใช้ในงานอนุรักษ์ ตอกย้ำว่าการผสาน “มนุษย์” กับ “เทคโนโลยี” คือหนทางสำคัญในการปกป้องผืนป่าไทยในยุคสมัยใหม่

การลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (Smart Patrol) มิได้หยุดเพียงการจับกุมผู้กระทำผิด แต่ยังเป็นกลไกสร้างฐานข้อมูลเชิงลึกเพื่อพัฒนางานอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่าของไทยอย่างยั่งยืน ปลูกฝังจิตสำนึกให้สังคมร่วมกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นสมบัติของชาติให้คงอยู่อย่างมั่นคงต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • นายปัณณวิชญ์ ภูริรักษ์พิติกร: หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยหลวง
  • นายเจษฎา เงินทอง: ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย)
  • พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 19(7) และมาตรา 45
  • ข่าวประชาสัมพันธ์อุทยานแห่งชาติดอยหลวง/กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหาร-ป่าไม้เชียงราย ร่วมทำแนวกันไฟ ลด PM 2.5

มณฑลทหารบกที่ 37 บูรณาการร่วมทุกภาคส่วน ทำแนวกันไฟป้องกันไฟป่าในพื้นที่เชียงราย

ปฏิบัติการเชิงรุก ลดปัญหาหมอกควันและไฟป่า

เชียงราย, 3 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 ร่วมมือกับ เจ้าหน้าที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเชียงราย จัดกำลังพลดำเนินโครงการ ทำแนวกันไฟ ป้องกันไฟป่า” ณ สถานีพัฒนาการเกษตรพื้นที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อป้องกันไฟป่า ลดหมอกควัน และแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เป็นปัญหาสำคัญในช่วงฤดูแล้ง

ประกาศมาตรการเข้มงวด ห้ามเผา 92 วัน ลดปัญหาหมอกควัน

จังหวัดเชียงรายได้ออกมาตรการ ห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิดโดยเด็ดขาด” เป็นเวลา 92 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เพื่อควบคุมการเกิดไฟป่าและลดปัญหาหมอกควันในพื้นที่ โดยกำหนดให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันสร้างแนวป้องกันไฟป่า และรณรงค์ให้ประชาชนงดเว้นการเผาในที่โล่งทุกประเภท

ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและภาคประชาชน

การดำเนินโครงการในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย:

  • มณฑลทหารบกที่ 37 โดยมี ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดปฏิบัติงานประสานการคุ้มครองป้องกันชุมชน สถานีพัฒนาการเกษตรพื้นที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง นำกำลังพลจิตอาสาเข้าร่วม
  • สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเชียงราย
  • ชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนที่ 313 กองกำลังผาเมือง
  • ศูนย์ส่งเสริมการควบคุมไฟป่าเชียงราย
  • เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลแม่เงิน
  • ปลัดอำเภอ หัวหน้ากลุ่มงานความมั่นคง อำเภอเชียงแสน
  • ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนบ้านธารทอง หมู่ 11

แนวป้องกันไฟป่าและมาตรการเพิ่มเติม

ในครั้งนี้ ทีมปฏิบัติการได้ร่วมกันสร้างแนวป้องกันไฟป่าขนาด 4 – 6 เมตร ความยาว ประมาณ 3 – 4 กิโลเมตร บริเวณพื้นที่ป่าทึบที่มีภูเขาสูงชัน และพื้นที่แนวเขตชายป่าที่ติดกับพื้นที่เกษตรของประชาชน ซึ่งมีความเสี่ยงสูงจากการลักลอบเผาป่าเพื่อการเกษตร หรือการเผาเพื่อหาของป่าและล่าสัตว์

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการ ประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้ประชาชนในพื้นที่งดเผาทุกชนิด พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารจัดการวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างถูกวิธี เช่น การทำปุ๋ยหมักแบบไม่กลับกอง แทนการเผา การแยกขยะ และ การเก็บกิ่งไม้ใบไม้เพื่อใช้ประโยชน์แทนการเผา เพื่อช่วยลดการเกิดไฟป่าในระยะยาว

ความสำคัญของแนวกันไฟในการป้องกันปัญหาหมอกควัน

แนวกันไฟเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันไฟป่าที่อาจลุกลามจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง ช่วยลดความเสียหายต่อ ทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ และสุขภาพของประชาชน จากปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศ PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาคเหนือของไทยในทุกปี

ข้อคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายที่เห็นด้วยกับมาตรการห้ามเผาและทำแนวกันไฟ

  • เห็นว่าการดำเนินมาตรการห้ามเผาและการทำแนวกันไฟเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดปัญหาหมอกควันและป้องกันการเกิดไฟป่า
  • การเข้มงวดเรื่องการเผาเป็นแนวทางที่ช่วยลดฝุ่น PM 2.5 และช่วยปกป้องสุขภาพของประชาชนในพื้นที่
  • การบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ และการมีส่วนร่วมของประชาชนจะช่วยทำให้มาตรการเหล่านี้ประสบความสำเร็จ

ฝ่ายที่กังวลเกี่ยวกับมาตรการห้ามเผา

  • กังวลว่าการห้ามเผาโดยไม่มีมาตรการสนับสนุนทางเลือกที่เพียงพอ อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ต้องพึ่งพาการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่การเกษตร
  • การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดเกินไป อาจส่งผลให้ประชาชนบางส่วนไม่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างสะดวก
  • มาตรการเหล่านี้ต้องควบคู่ไปกับการให้ความรู้และการสนับสนุนทางเลือกที่เหมาะสมให้กับประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม:

  • จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ป่ารวมกว่า 4.7 ล้านไร่ คิดเป็น 67.4% ของพื้นที่จังหวัด ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องได้รับการปกป้องจากไฟป่า
  • อัตราการเกิดไฟป่าในภาคเหนือในช่วงฤดูแล้งสูงขึ้นทุกปี โดยในปี 2567 มี จุดความร้อน (Hotspots) กว่า 5,000 จุดทั่วภาคเหนือ โดย เชียงรายติดอันดับ 1 ใน 5 จังหวัดที่มีจุดความร้อนมากที่สุด
  • ค่า PM 2.5 ในภาคเหนือของไทยในช่วงฤดูแล้งมักเกินค่ามาตรฐานของ WHO ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
  • มาตรการห้ามเผา 92 วันของจังหวัดเชียงราย เป็นส่วนหนึ่งของแผนลดปัญหาหมอกควันและไฟป่าของรัฐบาล ที่มีการดำเนินการต่อเนื่องมาแล้วหลายปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช / กรมควบคุมมลพิษ/ กรมอุตุนิยมวิทยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ลุ้นสำนักงบประมาณสนับสนุนขึ้นเงินเดือนพิทักษ์ป่า

 
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ตามที่ได้ส่งหนังสือไปถึงอธิบดีกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา เพื่อขอปรับเพิ่มค่าตอบแทนหรือเงินเดือนของบุคคลภายนอกที่ปฏิบัติงานให้กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตำแหน่งผู้พิทักษ์ป่า จำนวน 13,419 อัตรา จาก 9,000 บาท เป็น 11,000 บาท ต่อเดือน 
 
 
หลังจากมีการปรับอัตราค่าตอบแทนครั้งสุดท้ายตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 นั้น เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2566 กรมบัญชีกลางมีหนังสือตอบกลับมาว่าอนุมัติให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เบิกจ่ายค่าตอบแทนให้กับบุคคลภายนอกซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ให้กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จำนวน 13,419 อัตรา ให้ไม่เกิน 11,000 บาท ต่อเดือน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป ซึ่งขณะนี้ กรมอุทยานฯ เตรียมประสานสำนักงบประมาณ เพื่อดำเนินการต่อไป
 
 
ทั้งนี้การขอปรับเพิ่มค่าตอบแทนหรือเงินเดือนของเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่านั้น เนื่องจากสภาพของเศรษฐกิจในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปส่งผลให้อัตราค่าครองชีพสูงขึ้น และค่าตอบแทนที่กรมบัญชีกลางอนุมัติให้กรมอุทยานแห่งชาติ ฯ ในอัตราไม่เกิน 9,000 บาท ตั้งแต่ปี 2555 นั้น ระยะเวลาได้ล่วงเลยมา 11 ปี แล้วจึงไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน และไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา 
 
 
เพราะภารกิจของกรมอุทยานฯ นั้น ต้องออกไปลาดตระเวนและพักแรมในพื้นที่ป่าทุรกันดารตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน มีความเสี่ยงต่ออันตรายที่อาจเกิดแก่สุขภาพจากสัตว์มีพิษ เชื้อโรค และภัยอันตรายต่างๆ ที่มีอยู่ในป่า รวมถึงอันตรายจากผู้กระทำผิดในป่าที่มุ่งร้ายต่อเจ้าหน้าที่อีกด้วย
 
 
การจ้างเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่เป็นราษฎรในท้องถิ่นผู้มีความรู้ความสามารถมีความชำนาญในสภาพภูมิประเทศ มีทักษะในการเดินป่าเพื่อร่วมปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าหน้าที่จึงมีความจำเป็น เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติภารกิจของกรมอุทยานแห่งชาติฯ ในการอนุรักษ์ คุ้มครอง ฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า การป้องกันปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรของชาติในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า วนอุทยาน และพื้นที่อนุรักษ์อื่น ๆ รวมกว่า 73 ล้านไร่.
 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News