เชียงรายเปิด “เชียงรายโมเดล” ยกระบบเตือนภัยอัจฉริยะ เปลี่ยนจาก ‘คาดเดา’ เป็น ‘คาดการณ์’ ด้วยข้อมูลท่วม 1,512 จุดและเทคโนโลยี Mobile Mapping Survey
เชียงราย, 13 ธันวาคม 2568 – ห้องประชุมธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เต็มไปด้วยตัวแทนจากหน่วยงานรัฐ มหาวิทยาลัย และชุมชนในเช้าวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา เมื่อจังหวัดเชียงรายประกาศ “เปลี่ยนเกม” การรับมืออุทกภัย ผ่านการเปิดตัวโครงการ Kick Off การพัฒนาชุมชน เพื่อรู้รับปรับฟื้นจากน้ำท่วม จังหวัดเชียงราย (Beyond Recovery Project) ที่มุ่งยกระดับการบริหารจัดการน้ำท่วมจากระบบเดิมที่อาศัยประสบการณ์และการคาดเดา ไปสู่ยุคใหม่ที่ใช้ข้อมูลจริงและเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นฐานในการตัดสินใจ
โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างจังหวัดเชียงราย มูลนิธิเตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งประเทศไทย (TDPF) เครือข่าย 19 มหาวิทยาลัยด้านภัยพิบัติ (Thai Network for Disaster Resilience – TNDR) หน่วยงานท้องถิ่น รวมทั้งเครือข่ายอาสาสมัครและชุมชนในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายสร้าง “ต้นแบบเชียงราย” ในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง เป็นระบบ และนำไปขยายผลสู่พื้นที่เสี่ยงอื่นของประเทศ
ในพิธีเปิด นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เน้นย้ำว่า น้ำท่วมไม่ใช่เพียงภัยธรรมชาติที่เกิดแล้วจบ แต่คือความท้าทายที่กระทบต่อชีวิต เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของจังหวัด จำเป็นต้องมี “ระบบใหม่” ที่ช่วยให้ทุกฝ่ายมองเห็นภาพเดียวกันของความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจรับมือในแต่ละครั้ง
หัวใจของเชียงรายโมเดล เก็บข้อมูลจริง 1,512 จุดด้วยเทคโนโลยี 3 มิติ
แกนกลางของโครงการ Beyond Recovery Project คือการสำรวจและทำเครื่องหมายระดับน้ำท่วม (Flood Marks) อย่างเป็นระบบควบคู่กับการใช้เทคโนโลยี Mobile Mapping Survey (MMS) เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่ละเอียดและเชื่อถือได้เป็นครั้งแรกของจังหวัด
ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 ทีมสำรวจจากมูลนิธิ TDPF ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย และหน่วยงานท้องถิ่น ได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลในเขตเมืองเชียงรายและตำบลที่เผชิญน้ำท่วมซ้ำซาก รวม 7 ตำบล ได้แก่ ตำบลดอยฮาง ริมกก เวียง แม่ข้าวต้ม บ้านดู่ รอบเวียง และแม่ยาว
ผลการสำรวจพบว่า สามารถติดตั้งและบันทึกหมุดน้ำท่วมรวมทั้งสิ้น 1,512 จุด แยกเป็น
- ต.ดอยฮาง 63 จุด
- ต.ริมกก 455 จุด
- ต.เวียง 35 จุด
- ต.แม่ข้าวต้ม 201 จุด
- ต.บ้านดู่ 272 จุด
- ต.รอบเวียง 387 จุด
- ต.แม่ยาว 99 จุด
ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียง “สถิติ” แต่คือร่องรอยระดับน้ำจริงในเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา ซึ่งบอกให้เห็นทั้งความสูง ระยะเวลาขัง และรูปแบบการไหลของน้ำในแต่ละย่าน เมื่อนำมาวิเคราะห์ร่วมกับภูมิประเทศ โครงสร้างพื้นฐาน และการใช้ประโยชน์ที่ดิน จะทำให้จังหวัดมี “แผนที่ความเสี่ยง” ที่ชัดเจนกว่าที่เคยมีมา
ข้อมูลระดับน้ำในแต่ละจุดถูกบันทึกด้วยเทคโนโลยี Mobile Mapping Survey (MMS) ที่ผสานกล้องถ่ายภาพรอบทิศและระบบ Lidar ทำให้ได้ภาพและข้อมูลเชิงพื้นที่แบบสามมิติที่มีความละเอียดในระดับเซนติเมตร ข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำไปพัฒนาเป็นแผนที่น้ำท่วมดิจิทัลฉบับปรับปรุงของจังหวัดเชียงราย โดยอ้างอิงกับระดับน้ำทะเลปานกลาง เพื่อใช้ในการจำลองสถานการณ์น้ำท่วมล่วงหน้า กำหนดระดับน้ำคาดการณ์ และระบุพื้นที่เสี่ยงได้อย่างแม่นยำกว่าการใช้แผนที่สองมิติแบบเดิม
ที่สำคัญ ชาวบ้านในแต่ละชุมชนไม่ได้เป็นเพียง “ผู้ให้ข้อมูล” แบบครั้งคราว แต่ถูกเชิญให้ร่วมบอกเล่าประสบการณ์น้ำท่วมในอดีต จุดที่ท่วมซ้ำซาก เส้นทางน้ำไหล รวมถึงจุดอพยพที่ใช้จริงในภาวะวิกฤติ ข้อมูลเชิงประสบการณ์เหล่านี้จึงถูกผสานเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อให้ฐานข้อมูลสะท้อนความเป็นจริงในพื้นที่อย่างแท้จริง
จากห้องประชุมสู่หมู่บ้าน ลงพื้นที่ฟังเสียงชุมชนเสี่ยงซ้ำซาก
ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน คณะผู้ร่วมประชุมจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาคได้ออกจากห้องประชุมไปพบปะตัวแทนชุมชนในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก ณ เทศบาลตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย และหมู่บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร พร้อมลงเรือสำรวจแนวตลิ่งและบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายบริเวณท่าปางช้างแม่ยาว
ผู้นำชุมชนสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่ยืดเยื้อจากอุทกภัย ทั้งในมิติรายได้ครัวเรือน การซ่อมแซมบ้านเรือน และผลต่อกิจกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่ ขณะเดียวกันก็เสนอแนวทางที่อยากเห็น เช่น จุดอพยพที่ปลอดภัยและเข้าถึงได้เร็ว เส้นทางเคลื่อนย้ายผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง การจัดตั้งเครือข่ายอาสาสมัครเตือนภัยในชุมชน รวมถึงการมีข้อมูลล่วงหน้าที่เชื่อถือได้ เพื่อไม่ให้ต้องรื้อของหนีน้ำ “แบบเดาสุ่ม” เหมือนหลายครั้งในอดีต
ข้อมูลจากการลงพื้นที่ครั้งนี้จะถูกนำกลับเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลดิจิทัล เพื่อใช้ในการกำหนดพื้นที่เปราะบาง ลำดับความเร่งด่วนของการแก้ปัญหา และออกแบบมาตรการเชิงพื้นที่ที่ตอบโจทย์บริบทของแต่ละชุมชนได้ดียิ่งขึ้น
TNDR ย้ำ 4 ภารกิจหลัก: งานวิจัยต้องลงสู่มือชุมชน
บนเวทีเสวนา ดร.พิจิตต รัตตกุล ประธานเครือข่าย 19 มหาวิทยาลัยด้านภัยพิบัติ (TNDR) ระบุชัดว่า เป้าหมายของเครือข่ายไม่ใช่การผลิตรายงานทางวิชาการเพื่อเก็บไว้บนชั้นหนังสือ หากแต่ต้องการสร้าง “ต้นแบบการจัดการน้ำท่วมที่ใช้ได้จริง” ในพื้นที่ โดยเฉพาะชุมชนที่เผชิญน้ำท่วมซ้ำซากทุกปี
TNDR จึงกำหนดภารกิจหลัก 4 ประการ ได้แก่
- พัฒนาโมเดลระบบจัดการน้ำท่วมและการคาดการณ์ล่วงหน้า ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นได้ในอนาคต
- ส่งเสริมให้ท้องถิ่นเข้าถึงและใช้ข้อมูล–เทคโนโลยีได้จริง ไม่ใช่จำกัดอยู่เพียงในวงนักวิชาการ
- ถ่ายทอดองค์ความรู้ สร้างศักยภาพให้หน่วยงานท้องถิ่นและชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว
- ขยายผลต้นแบบจากเชียงรายไปยังพื้นที่เสี่ยงอื่น เช่น อำเภอหาดใหญ่ และจังหวัดยะลา ที่มีรูปแบบความเสี่ยงจากน้ำท่วมแตกต่างกัน แต่สามารถใช้หลักคิดเดียวกันได้
การวางภารกิจในลักษณะนี้สะท้อนการเปลี่ยนบทบาทของสถาบันการศึกษาจาก “ผู้ศึกษาและวิเคราะห์” มาเป็น “หุ้นส่วนด้านการป้องกันและฟื้นฟู” ร่วมกับหน่วยงานรัฐและประชาชนในพื้นที่
เสียงจากปภ.และท้องถิ่น เมื่อระบบเตือนภัยยัง “จำกัดมาก”
การเสวนาเชิงระบบในเวทีเดียวกันได้เปิดพื้นที่ให้หน่วยงานด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสะท้อนภาพรวมของการบริหารจัดการน้ำท่วมในปัจจุบัน
ตัวแทนจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.) ชี้ให้เห็นว่า แม้จังหวัดเผชิญน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง แต่ระบบข้อมูลที่ใช้ในการคาดการณ์ยังมีข้อจำกัด ทั้งในด้านจำนวนสถานีวัดระดับน้ำ ความครอบคลุมของข้อมูลฝน และการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ทำให้การเตือนภัยล่วงหน้ายังทำได้จำกัด
ผู้นำท้องถิ่นและตัวแทนหน่วยงานโยธาธิการต่างยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการป้องกันน้ำท่วมเมือง หรือการปรับปรุงระบบระบายน้ำ มีความจำเป็น แต่จะไม่เพียงพอหากไม่มี “ระบบข้อมูลเตือนภัยที่ทันสมัย” ทำงานไปพร้อมกัน
ในอีกด้านหนึ่ง สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเชียงรายได้นำประสบการณ์หลังเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2567 มาสะท้อนมิติที่มักถูกมองข้าม นั่นคือความเสียหายทางเศรษฐกิจระดับจังหวัด โดยระบุว่า หลังเกิดเหตุทัวร์ท่องเที่ยวถูกยกเลิกมากถึงร้อยละ 98 รายได้ของโรงแรม ร้านอาหาร มัคคุเทศก์ และธุรกิจบริการเกี่ยวเนื่อง “หายไปเกือบทั้งระบบ” ซึ่งชี้ให้เห็นว่า น้ำท่วมไม่ใช่ภัยของชุมชนริมลำน้ำเท่านั้น แต่กระทบถึงเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างของทั้งจังหวัด
ข้อมูลเหล่านี้ทำให้การจัดทำ Flood Map และระบบเตือนภัยเชิงรุกไม่ได้เป็นเพียงประเด็นทางเทคนิค แต่กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวในระยะยาว
โมเดล “รู้–รับ–ปรับ–ฟื้น” สูตรใหม่ของเมืองที่ท่วมซ้ำ
หนึ่งในกรอบคิดที่ได้รับความสนใจอย่างมากในเวที คือแนวคิด “รู้–รับ–ปรับ–ฟื้น” ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้เป็นเข็มทิศให้เมืองที่เผชิญภัยน้ำท่วมซ้ำซาก
- รู้ความเสี่ยง – ใช้ข้อมูลสามมิติจาก MMS ผนวกกับ Flood Marks และการมีส่วนร่วมของชุมชน ทำให้ทุกฝ่ายมองเห็นภาพเดียวกันว่า พื้นที่ใดเสี่ยงมาก–เสี่ยงน้อย ระดับน้ำคาดการณ์จะสูงเพียงใด และเส้นทางน้ำหลักคือจุดใดบ้าง
- รับมือได้ – สร้างระบบเตือนภัยท้องถิ่น จุดอพยพ เส้นทางเคลื่อนย้าย และเครือข่ายอาสาสมัครในชุมชน โดยเน้นการดูแลกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียง เพื่อให้สามารถตัดสินใจอพยพได้ทันเวลาโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลางเพียงอย่างเดียว
- ปรับพื้นที่–ปรับชีวิตให้ทนทาน – นำข้อมูลจาก Flood Map มาใช้วางผังเมือง กำหนดพื้นที่แก้มลิงชุมชน ปรับโครงสร้างพื้นฐานและพื้นที่เกษตรให้เหมาะสม รวมถึงใช้การจำลองสถานการณ์สามมิติ (3D Simulation) เพื่อวางแผนโครงสร้างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อลดความเสียหายเมื่อเกิดน้ำท่วม
- ฟื้นฟูให้แข็งแรงกว่าเดิม – ใช้ข้อมูลมาตรฐานเป็นฐานในการฟื้นฟูบ้านเรือน ระบบสาธารณูปโภค และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิด “สร้างกลับให้ดีกว่าเดิม” ไม่ใช่เพียงการซ่อมให้กลับสู่สภาพเดิมก่อนเกิดเหตุ
แนวคิดดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเชียงราย แต่ถูกวางให้เป็นโมเดลที่ต่อยอดได้ทั้งในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และจังหวัดยะลา ซึ่งล้วนเผชิญปัญหาน้ำท่วมในรูปแบบที่แตกต่างกัน หากสามารถเชื่อมโยงข้อมูลและเทคโนโลยีเข้ากับบริบทท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสม
สามแรงประสาน สร้างภูมิคุ้มกันระดับจังหวัด
การประชุมในครั้งนี้ทำให้เห็นชัดเจนว่า การบริหารจัดการน้ำท่วมยุคใหม่ต้องใช้ “สามแรงประสาน” ทำงานคู่กันอย่างเป็นระบบ ได้แก่
หนึ่ง เทคโนโลยีใหม่ – ทั้ง Mobile Mapping Survey, ระบบ Lidar, แผนที่สามมิติ และฐานข้อมูลดิจิทัลที่เชื่อมโยงกับระบบภูมิสารสนเทศ ซึ่งจะช่วยให้การวิเคราะห์ความเสี่ยงและการคาดการณ์ระดับน้ำมีความแม่นยำและทันเวลา
สอง ข้อมูลจากชุมชนจริง – ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์น้ำท่วมซ้ำซาก จุดที่น้ำไหลบ่า หรือเส้นทางอพยพที่ใช้จริง ข้อมูลเหล่านี้เป็น “องค์ความรู้ท้องถิ่น” ที่จำเป็นต้องถูกบันทึกอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การวางแผนไม่ขัดกับวิถีชีวิตของคนในพื้นที่
สาม ความร่วมมือของทุกภาคส่วน – ตั้งแต่มหาวิทยาลัย หน่วยงานรัฐระดับชาติและจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคธุรกิจ ไปจนถึงเครือข่ายอาสาสมัครและชุมชน ความต่อเนื่องของกลไกความร่วมมือจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ “เชียงรายโมเดล” เดินหน้าได้จริง ไม่หยุดอยู่แค่บนเวทีสัมมนา
หากโครงการพัฒนาชุมชน เพื่อรู้รับปรับฟื้นจากน้ำท่วม สามารถขับเคลื่อนตามแผนที่วางไว้ เชียงรายจะไม่ใช่เพียงจังหวัดที่ “เคยประสบปัญหาน้ำท่วมหนัก” แต่จะกลายเป็นตัวอย่างของเมืองที่เปลี่ยนบทเรียนจากภัยพิบัติให้กลายเป็นโอกาสในการยกระดับระบบเตือนภัยและการบริหารจัดการความเสี่ยงของทั้งจังหวัด
จากวันนี้ที่ข้อมูลระดับน้ำท่วม 1,512 จุดเริ่มถูกแปลงเป็นแผนที่สามมิติและระบบเตือนภัยอัจฉริยะ เชียงรายจึงไม่ได้พึ่งพาเพียง “การคาดเดา” อีกต่อไป แต่กำลังก้าวสู่ยุคของ “การคาดการณ์บนฐานข้อมูลจริง” ที่พร้อมจะปกป้องชีวิต เศรษฐกิจ และอนาคตของชุมชนริมสายน้ำอย่างเป็นรูปธรรม
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
- มูลนิธิเตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งประเทศไทย (TDPF)
- เครือข่าย 19 มหาวิทยาลัยด้านภัยพิบัติ (Thai Network for Disaster Resilience – TNDR)
- มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย









