Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เปิดเกมเศรษฐกิจ 2,400 ล้าน! เชียงรายเจ้าภาพ Spartan World Championship

เชียงรายจารึกประวัติศาสตร์กีฬาโลก คว้าเจ้าภาพ “Spartan SUPER World Championship” 3 ปีซ้อน (2026–2028) ผลักดันเมืองรองสู่เวทีนานาชาติ วางหมาก “Longer Stay” ปลุกเศรษฐกิจสะพัด 2,400 ล้านบาท

เชียงราย,20 กันยายน 2568 — ห้องไลบรารี่ เล้าท์ โรงแรมเฮอริเทจคึกคักตั้งแต่เช้า ผู้บริหารภาครัฐ–เอกชน นักวิ่งแนว OCR และสื่อมวลชนหลากสำนักจับจ้อง “จุดเปลี่ยน” ใหม่ของเมืองเหนือ เมื่อจังหวัดเชียงรายลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับพันธมิตร 4 องค์กร เพื่อเดินหน้าผลักดันสิทธิ์เจ้าภาพจัด Spartan SUPER World Championship ต่อเนื่อง 3 ปี (พ.ศ. 2569–2571) ถือเป็นก้าวประวัติศาสตร์ของเอเชีย หากได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการตามโรดแมปของผู้จัดสากล

เอกสารความร่วมมือครั้งนี้มีผู้แทนร่วมลงนามได้แก่

  1. นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย,

  2. ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) – TCEB,

  3. Mr. Matthew Brooke รองประธานอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการทั่วโลก Spartan Race Inc., และ

  4. นายบุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด

สารัตถะของ MOU ระบุกรอบความร่วมมือเพื่อผลักดันการจัดการแข่งขัน รอบชิงแชมป์โลกประเภท “Super 10K”สิงห์ปาร์ค เชียงราย ช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี โดยตั้งเป้าให้เชียงรายก้าวขึ้นเป็น “เมืองเทศกาลระดับโลก” ใช้งานกีฬามวลชนเสริมพลังเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างคน และสร้างแบรนด์เมืองระยะยาว จังหวัดเชียงรายกำลังกลายเป็น “หมุดหมาย” หน้าใหม่ของเมืองเหนือสุดในสยาม เมื่อ 4 ภาคี อย่างสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB, Spartan Race Inc. และบริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด—ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) เพื่อผลักดันให้เชียงรายเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน Spartan SUPER World Championship ต่อเนื่อง 3 ปี (ค.ศ. 2026–2028) ณ สิงห์ปาร์ค เชียงราย ช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี

สำหรับโลกกีฬา OCR (Obstacle Course Racing) นี่ไม่ใช่แค่งานวิ่ง แต่นี่คือ “บทพิสูจน์” ทั้งร่างกายและจิตใจ—คลาน ลุยโคลน ปีนป่าย แบกหาม และข้ามไฟ—การผสานความแข็งแกร่ง กำลังใจ และวินัยเข้าด้วยกัน ภายใต้แบรนด์ Spartan ซึ่งถือเป็นผู้บุกเบิกและกำหนดมาตรฐานชนิดกีฬานี้ในกว่า 40–45 ประเทศทั่วโลก มีทั้งรายการระดับสมัครเล่นไปจนถึงชิงแชมป์ทวีปและชิงแชมป์โลก โดยประเภท “Super” มีระยะ 10 กิโลเมตร พร้อมอุปสรรคเฉลี่ยราว 25 ด่าน—โครงสร้างการแข่งขันระดับสากลที่แฟน ๆ OCR ทั่วโลกคุ้นเคยดี

Mr. Matthew Brooke รองประธานอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการทั่วโลก และ บริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด

Spartan เป็นแบรนด์ระดับโลกที่สร้างชุมชนจาก ความยืดหยุ่น (resilience), ความมุ่งมั่น (grit), ความแข็งแกร่ง (strength) และเหนืออื่นใดคือ ความเป็นหนึ่งเดียว (togetherness). ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึงเชียงราย ผมเห็นทุกองค์ประกอบที่เราตามหา” — Matthew Brooke รองประธานอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการทั่วโลก Spartan Race Inc. กล่าวระหว่างพิธีลงนาม

จากห้องประชุม “ไลบรารี่ เล้าท์” สู่ปฏิทินโลก

พิธีลงนาม ณ ห้องไลบรารี่ เล้าท์ โรงแรมเฮอริเทจ จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 20 กันยายน 2568 เปรียบเสมือนการ “เลี้ยวเข้าสู่โค้งสุดท้าย” ของการเสนอสิทธิ์เมืองเจ้าภาพ โดยทั้ง 4 องค์กรแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันชัดเจน—เชียงรายพร้อมใช้มหกรรมกีฬาระดับโลกเป็น แม่เหล็ก (Magnet) กระตุ้นเศรษฐกิจ ฟื้นการท่องเที่ยวคุณภาพสูง และยกระดับสมรรถนะการจัดงานนานาชาติของเมืองรองอย่างเป็นระบบ

ในเดือนตุลาคม 2568 ที่งาน Spartan SUPER World Championship 2025 ณ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา จะมีพิธีประกาศชื่อ “เชียงราย” บนเวทีโลกอย่างเป็นทางการ พร้อมพิธีโบกธงชาติไทย ซึ่งหมายถึงชื่อ “Chiang Rai” จะถูกบรรจุอยู่ในปฏิทินนานาชาติของ Spartan ตั้งแต่เดือนมกราคม 2569 เป็นต้นไป—คือจุดเริ่มต้นของการนับถอยหลังสู่รอบไฟนอลประเภท Super บนผืนดินเอเชียเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเครือการแข่งขันนี้

“Spartan” คืออะไร ทำไมจึงเป็นเกมใหญ่ของเมือง

กีฬาประเภท OCR อยู่ภายใต้กรอบของ World Obstacle (FISO) องค์กรนานาชาติที่ทำงานด้านมาตรฐาน ความปลอดภัย และการยอมรับในระดับโลก โดย Spartan คือตัวแสดงหลักที่สร้างฐานแฟนจำนวนมากจาก “สนามมาตรฐาน + ประสบการณ์สนาม” ผ่านรายการหลากหลาย (Sprint/Super/Beast/Ultra ฯลฯ) และอีเวนต์เกือบตลอดทั้งปีในหลายทวีป

บุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด

สำหรับ ประเภท “Super” ที่เชียงรายจะเป็นเจ้าภาพรอบชิงแชมป์โลกนั้น กติกาสากลากำหนด “วิ่ง 10K + อุปสรรค ~25 ด่าน” และเป็นขั้นกลางที่ท้าทายกว่าสาย Sprint อย่างมีนัยสำคัญ—นักกีฬาต้องมีความฟิตทั้ง upper body และ lower body รวมถึงทักษะการทรงตัว/สมดุล (body balance) เพื่อผ่านอุปสรรคบนเส้นทางธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้างเฉพาะสนาม ซึ่งเป็นลายเซ็นของแบรนด์ Spartan ในทุกประเทศ

สปาร์ตันไม่ได้ต้องการ ‘การเอาชนะ’ แต่ต้องการ ‘การพิชิต’ (Conquer)—พิชิตสิ่งกีดขวางตรงหน้าไปทีละด่าน…” — บุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงปรัชญาของงาน

ในมุมเชิงการแข่งขัน “เวิลด์แชมเปียนชิพ” ไม่ได้เปิดกว้างแก่ทุกคน เพราะผู้เข้าชิงตำแหน่งต้องผ่านรอบคัดเลือกในระดับ National Series / Regional Series สะสมแต้ม ผ่านระบบจัดอันดับและ Token เพื่อได้สิทธิ์ลงไฟนอล “Super” ซึ่งเป็นเส้นทางที่เข้มข้นคล้ายสนามสอบระดับประเทศ—จึงไม่น่าแปลกใจว่าจากผู้เข้าร่วม Spartan ทั่วโลกนับ ล้านคน/ปี จะมีเพียง “หยิบมือ” ที่ได้ตั๋วสู่ไฟนอล ทว่า “เอฟเฟกต์มวลชน” ของแบรนด์ยังเกิดขึ้นควบคู่ผ่านรายการ open class และกิจกรรมคอมมูนิตี้ในสัปดาห์อีเวนต์ ที่เปิดให้คนทั่วไปสัมผัสประสบการณ์ Spartan ได้เช่นกัน (บริบทจำนวนประเทศ/กิจกรรมภายใต้ Spartan อ้างอิงหน้าองค์กร)

เมืองรองสู่ “World Sport Tourism Destination” ทำไมต้องเชียงราย

สิงห์ปาร์ค เชียงราย คือแลนด์สเคปโล่งกว้าง รายล้อมไร่ชา–เนินเขา มีพื้นที่เพียงพอสำหรับวางคอร์สอุปสรรคหลายเซกเมนต์ รวมถึงโซนรีคัฟเวอรี/เอ็กซ์โป/แฟนโซน ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงครอบครัวที่มีชื่อเสียงของจังหวัด—จุดถ่ายรูป, ปั่นจักรยาน, ไร่ชา, ซิปไลน์ และเทศกาลระดับนานาชาติอย่างบอลลูน—ช่วยผสาน “สนามแข่ง” กับ “เดสติเนชัน” ได้ในจุดเดียว (ข้อมูลทางการจาก ททท.)

ด้านการเดินทาง ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย (CEI) อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียงราว 8–9 กิโลเมตร ใช้เวลารถยนต์ประมาณ 15–20 นาที (ขึ้นกับสภาพจราจรและจุดหมายปลายทาง) ซึ่งเป็นระยะที่เอื้อให้เกิด “ฮับรับ–ส่ง” สำหรับนักกีฬาต่างชาติและทีมงานได้สะดวกกว่าหลายเมืองแข่งขันในต่างประเทศ (อ้างอิงข้อมูลระยะทางสนามบิน/เมือง)

ปัจจัยเชิงระบบที่ช่วยหนุนอีกชั้นคือบทบาทของ TCEB ในฐานะหน่วยงานรัฐด้าน MICE—การประชุม, นิทรรศการ, อีเวนต์ระดับนานาชาติ—ซึ่งมี “เครื่องมือสนับสนุน” ทั้งด้านการประสานงาน, กลไกสนับสนุนเชิงงบประมาณตามหลักเกณฑ์, และการทำงานร่วมกับจังหวัด/เอกชนเพื่อให้การเป็นเจ้าภาพเกิดผลทางเศรษฐกิจสูงสุด (อ้างอิงเอกสารและรายงานผลการสนับสนุนของ TCEB)

ภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการ และรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ TCEB

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ 800 ล้านบาท/ปี กับ “ตัวคูณเวลาพำนัก”

ฝ่ายจัด–ภาครัฐคาดการณ์นักกีฬาและผู้ติดตามรวมกว่า 60,000 คน จาก กว่า 50 ประเทศ ตลอด 3 ปี และประเมินเม็ดเงินหมุนเวียน ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาท/ปี (รวม 2,400 ล้านบาท) โดยมาจากค่าโดยสาร/โรงแรม/ร้านอาหาร/การท่องเที่ยวต่อเนื่อง–เชื่อมเมืองใกล้เคียง ตลอดจน มูลค่า PR ที่สะท้อนภาพลักษณ์จังหวัดสู่สายตาโลกผ่านคอนเทนต์ของแบรนด์และผู้ติดตามนับล้าน

แม้ตัวเลขดังกล่าวเป็น “ประมาณการ” จากเจ้าภาพ อย่างไรก็ดี ประสบการณ์ก่อนหน้าในไทยสะท้อนให้เห็นว่า Spartan ดึง ผู้เข้าร่วมเป็นพัน–หลักหมื่น และ ผู้ติดตามหลักหมื่น สร้างผลคูณรายได้ระดับ หลายร้อยล้านบาท ในเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ (รายงานจากสื่อกระแสหลัก) ซึ่งช่วยยืนยัน “ทิศทาง” ของตัวเลขที่เชียงรายตั้งความหวังไว้ได้ในระดับหนึ่ง

หัวใจสำคัญของผลคูณคือแผนยุทธศาสตร์ “Longer Stay Campaign”—ทำอย่างไรให้นักกีฬา/ทีมงาน/ผู้ติดตาม อยู่เชียงรายนานขึ้น ไม่ใช่แค่มา–แข่ง–กลับ หากยืดเวลาเป็น 7–14 วัน ผ่านกิจกรรมคู่ขนาน เช่น เทศกาลอาหาร “Taste of Spartan”, งานดนตรี After Party แนว world/ethnic, เส้นทางท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ–วัฒนธรรม (ไร่ชา, ดอยตุง, คาเฟ่–กาแฟพิเศษ, วิถีชนเผ่ามลายู–ลาหู่–อาข่า ฯลฯ) และกิจกรรมอาสาสมัครชุมชน—ทั้งหมดนี้สอดรับภาพใหญ่ของ TCEB/MICE ที่ผลักดันเมืองรองไทยให้เป็น Sport Hub / Training Center ระดับเอเชีย

“ทำอย่างไรให้เขาอยู่เชียงราย สองอาทิตย์ ได้ไหม—นี่คือโจทย์” — บุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ ชี้ทิศทางยุทธศาสตร์ที่ต้องขับเคลื่อนทั้งจังหวัดร่วมกัน

ชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

สนาม” กับ “เมือง” โจทย์ความพร้อมที่ต้องไปด้วยกัน

ชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวย้ำว่า “โอกาสแบบนี้ไม่เกิดขึ้นบ่อย หลายจังหวัดอยากได้ แต่วันนี้เกิดขึ้นที่เชียงราย” พร้อมระบุว่าทุกภาคส่วน—หน่วยงานรัฐ–เอกชน–สถาบันการศึกษา—จะบูรณาการกำลังคน/อาสาสมัคร/ลอจิสติกส์ เพื่อรองรับมาตรฐานสากลของงาน

โจทย์หลักที่ต้องเร่งวางแผนเชิงปฏิบัติการ ได้แก่

  1. ที่พัก–การเดินทาง: กระจายตัวรองรับนักกีฬาหลายหมื่นคนในสัปดาห์อีเวนต์ โดยเฉพาะช่วงไฮซีซันปลายปี (ธ.ค.) ที่นักท่องเที่ยวทั่วไปหนาแน่นอยู่แล้ว
  2. การจราจร–ความปลอดภัย: วางแผนเส้นทางเข้า–ออกสิงห์ปาร์ค, จุดจอดรับ–ส่ง, หน่วยแพทย์สนาม, ระบบสื่อสารฉุกเฉินตามมาตรฐาน OCR/Spartan
  3. สิ่งแวดล้อม–ชุมชน: จัดการขยะ/น้ำเสียจากอีเวนต์, ใช้วัสดุรีไซเคิลในแฟนโซน/เอ็กซ์โป, เปิดช่องทางให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นจำหน่ายสินค้า OTOP/Local และบริการทัวร์ชุมชน
  4. คน–ทักษะ (Upskill/Reskill): เตรียมอาสาสมัครสนาม/ล่าม/ช่างเทคนิคอุปสรรค, ฝึกอบรม first aid และความรู้ด้านมาตรฐานความปลอดภัยสากลของ OCR เพื่อสร้าง “ขีดความสามารถใหม่” ให้กับคนเชียงราย

นอกจากนั้น ภาคส่วนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–ไลฟ์สไตล์ต้อง “จับคู่–ต่อยอด” กับ คอมมูนิตี้สปาร์ตัน ที่มีพฤติกรรมบริโภคเฉพาะ—อาหารสุขภาพ, กาแฟพิเศษ, เวิร์กชอปโยคะ/ฟื้นฟู, สปอร์ตกายภาพ—เพื่อยืดเวลาพำนัก ให้เงินหมุนเวียนอยู่ในจังหวัดนานขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนเวทีแถลง

นางนิตยา เกิดจันทึก ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกีฬาอาชีพ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)

เรื่องเล่าจากสนาม จาก “โคลน–เชือก–ไฟ” สู่ “ภาพจำเชียงราย”

หากมองผ่านเลนส์สื่อสังคมออนไลน์ โพสต์จากนักกีฬาสปาร์ตันทรงพลังเสมอ—รอยยิ้มตอนข้ามไฟ, มือที่ยื่นดึงเพื่อนข้ามกำแพง, หรือภาพพื้นโคลนที่ใคร ๆ ภูมิใจจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก—ทุกเฟรมคือ “PR ธรรมชาติ” ที่ยากประเมินมูลค่า เมื่อเชียงรายกลายเป็นฉากหลังของคอนเทนต์ระดับโลก ภาพไร่ชา–ภูเขา–ศิลปะวัดวา (เช่น วัดร่องขุ่น/วัดร่องเสือเต้น) จะค่อย ๆ กลายเป็น ภาพจำใหม่ ของเดสติเนชันกีฬาเอาท์ดอร์ในเอเชีย—นี่คือ เสถียรภาพทางภาพลักษณ์ (reputation capital) ที่ขยายเวลานานกว่าสัปดาห์แข่งขัน

ประสบการณ์ในไทยก่อนหน้านี้ สะท้อนว่าเมืองเจ้าภาพได้รับแสงสปอร์ตไลต์ชัดเจน: The Nation เคยรายงานว่าอีเวนต์ Spartan Thailand 2023 สองสนามใหญ่ (พัทยา–ภูเก็ต) “คาดต้อนรับนักกีฬากว่า 10,000 คน และสร้างรายได้รวมกว่า 500 ล้านบาท” ขณะที่ Bangkok Post ระบุสนามเชียงใหม่ปี 2022 คาดผู้เข้าร่วมกว่า 4,000 คนจาก 30 ประเทศ และเม็ดเงินหมุนเวียนราว 300 ล้านบาท—กรณีศึกษาที่ส่งสัญญาณว่าหากเชียงรายวาง Longer Stay ได้ตรงใจและทำ “แพ็กเกจกีฬา + เที่ยว” ให้โดนตลาดสากล เม็ดเงิน 800 ล้านบาท/ปีอาจไม่ไกลเกินเอื้อม

เชียงรายในสมการ “MICE + Sport” จากสนามสู่ระบบนิเวศเศรษฐกิจ

บทบาทของ TCEB สำคัญยิ่งในเฟสหลังประกาศเมืองเจ้าภาพ—ไม่เพียงสนับสนุนอีเวนต์หลัก แต่ยังสามารถ “ต่อยอด” ด้วยการดึง การประชุม/ประชุมเชิงปฏิบัติการ ของเครือข่าย Spartan (เจ้าหน้าที่เทคนิค, ผู้ตัดสิน, ทีมจัดการความปลอดภัย, ผู้จัดซีรีส์ทวีป) มาจัดในไทยช่วงก่อน–หลังอีเวนต์ เพื่อให้การใช้จ่ายของคณะทำงานกระจายสู่ภาคบริการมากขึ้น และช่วยสร้าง “องค์ความรู้” ให้คนท้องถิ่น—จากการจัดสนาม, บริหารอุปสรรค, ไปจนถึงการทำ event operations ตามมาตรฐานโลก (ข้อมูลบทบาท/เครื่องมือสนับสนุน TCEB)

ในชั้นเชิงนโยบาย “Sport Tourism” กำลังกลายเป็น Soft Power ด้านสุขภาพ–ไลฟ์สไตล์ของไทย เมืองที่เคยเป็น MICE City อย่างพัทยา ภูเก็ต หรือเชียงใหม่ ต่างใช้กลยุทธ์ “เทศกาลกีฬา” ดึงเม็ดเงินคุณภาพ—และเชียงรายซึ่งมีทุนวัฒนธรรม–ธรรมชาติชัดเจน พร้อมเครือข่ายเอกชน–สถาบันการศึกษา เข้าสู่ “วงจรดี” เดียวกันได้ หากยกระดับมาตรฐานและเปลี่ยน “อีเวนต์หนึ่งสัปดาห์” เป็น ฤดูกาลกีฬา (Sporting Season) ที่ต่อเนื่องตลอดปี

คลี่ปม–จับมือ–เดินหน้า งานใหญ่ของ “ทั้งเมือง”

การเป็นเจ้าภาพ Spartan SUPER World Championship ไม่ใช่งานของคนกีฬาเพียงกลุ่มเดียว แต่เป็นงานของ “ทั้งเมือง”—ตั้งแต่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ผู้ผลิตของที่ระลึก ไปจนถึงชุมชนท้องถิ่นและเยาวชนที่จะเข้ามาเป็นอาสาสมัครสนาม ทุกวงจรล้วนอยู่ในสมการรายได้ของจังหวัดดังนี้

  • ก่อนงาน (T-12 ถึง T-1 เดือน): โฟกัสการก่อสร้าง/ทดสอบอุปสรรค, ฝึกกำลังคน, เปิดคอร์ส trial, เดินสายโปรโมต “แพ็กเกจ Longer Stay” และดีล early bird สำหรับทัวร์เนินเขา–ไร่ชา–คาเฟ่–งานคราฟต์ (ใช้หน้าที่วัด/ชุมชนเป็นเวทีย่อย)
  • สัปดาห์งาน (T-0): โฟกัสความปลอดภัย–โลจิสติกส์–การจราจร, จัดโซน Fan Village ที่เน้นสินค้าชุมชน/OTOP, ตั้ง “ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวกีฬา” เชื่อมเส้นทางต่อยอดหลังจบแข่ง
  • หลังงาน (T+1 ถึง T+4 สัปดาห์): เก็บข้อมูล spend per capita และ length of stay, ทำแผนเยียวยาสิ่งแวดล้อม (เก็บขยะ, คืนสภาพสนาม), ทำคอนเทนต์ “Best Moments of Chiang Rai” ร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์/ทีมถ่ายทอด เพื่อรีมาร์เก็ตติ้งสู่ฤดูกาลถัดไป

หากทุกฟันเฟืองเดินไปทิศเดียวกัน เป้าหมาย “เศรษฐกิจสะพัด 2,400 ล้านบาทใน 3 ปี” ย่อมมีฐานรองรับจริง—ไม่ใช่เพียงตัวเลขในสไลด์งานแถลง

จาก “สนามโลก” สู่ “เมืองโลก”

การเลือกเชียงรายเป็นเจ้าภาพ Spartan SUPER World Championship 2026–2028 คือ “สัญญาณ” ว่าเมืองรองของไทยพร้อมยืนบนเวทีกีฬาโลก—ไม่ใช่ด้วยสนามกีฬาอันทันสมัยเพียงอย่างเดียว แต่ด้วย ภูมิทัศน์ธรรมชาติ, ทุนวัฒนธรรม, และ ระบบคน–บริการ ที่กำลังจะได้รับการยกระดับครั้งใหญ่

“วันนี้ ทุกภาคส่วนจะร่วมมือกัน เพื่อเป็นเจ้าภาพร่วมอย่างสง่างาม”—คำกล่าวของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สอดรับกับวิสัยทัศน์ของ TCEB และพันธมิตร Spartan/รันริโอ

เส้นทางข้างหน้ามีทั้ง “โคลน–เชือก–กำแพง” ให้เชียงรายต้องพิชิตทีละด่าน—แต่หาก “ทีมเชียงราย” เดินไปพร้อมกัน เป้าหมาย เมืองกีฬา–ท่องเที่ยวระดับโลก ที่คนทั้งโลกอยากมา “วิ่ง–พัก–ใช้ชีวิต” ที่นี่อย่างน้อย สองสัปดาห์ ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม

ตัวเลข “ผู้เข้าร่วมรวม 60,000 คน” และ “เม็ดเงินสะพัด 800 ล้านบาท/ปี (รวม 2,400 ล้านบาท/3 ปี)” เป็น ประมาณการจากผู้จัดและหน่วยงานคู่สัญญาในการลงนาม MOU วันที่ 20 กันยายน 2568 ซึ่งผู้เขียนข่าวระบุแหล่งที่มาไว้โดยชัดแจ้ง และนำไปเทียบเคียงกับผลลัพธ์งาน Spartan ในไทยที่มีรายงานอย่างเป็นทางการจากสื่อกระแสหลักก่อนหน้าเพื่อประกอบการพิจารณา ทั้งนี้ ตัวเลขจริงอาจแตกต่างตามภาวะเศรษฐกิจโลก สภาพอากาศในช่วงจัดงาน กำลังซื้อ และปัจจัยหน้างานอื่น ๆ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • World Obstacle (FISO)
  • Spartan Race (Global/Thailand)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT)
  • ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย
  • Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB)
  • The Nation Thailand และ Bangkok Post.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พลังไมซ์สู่เศรษฐกิจยั่งยืน เชียงรายจับมือ PATA สู่ “เมืองแห่งการเดินทางที่เปี่ยมความหมาย”

เชียงรายจับมือ PATA จุดพลุไมซ์โลก สู่ “เมืองแห่งการเดินทางที่เปี่ยมความหมาย”

เกมรุกใหม่ของเมืองรอง ใช้พลังไมซ์–วัฒนธรรม–สุขภาวะ ปักธงเศรษฐกิจยั่งยืน

เชียงราย, 14 กันยายน 2568 — การประกาศให้จังหวัดเชียงรายเป็นเจ้าภาพ PATA Destination Marketing Forum 2025 (PDMF 2025) ระหว่างวันที่ 1–3 ธันวาคม 2568 ที่ Heritage Chiang Rai Hotel & Convention ไม่ใช่เพียงข่าวดีด้านอีเวนต์ หากคือ “ยุทธศาสตร์ใหม่” ที่ดึง “คุณภาพ” มากกว่า “ปริมาณ” มาเป็นคันเร่งเศรษฐกิจ หลังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยต้องรับแรงสั่นสะเทือนจากเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันในภูมิภาคที่ร้อนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากญี่ปุ่นที่ครึ่งปีแรก 2568 ทำสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติ 21.51 ล้านคน สร้างแรงกดดันต่อภูมิภาคทั้งอาเซียนและไทยให้เร่งยกระดับข้อเสนอจุดหมายปลายทางอย่างชัดเจน

ในฝั่งไทย รัฐบาลได้ปรับลดคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 ลงมาแถว 33 ล้านคน สะท้อนโจทย์ “คุณภาพรายจ่าย/หัว” และ “การกระจายรายได้สู่เมืองรอง” สำคัญกว่าการเร่งจำนวนผู้มาเยือนเพียงอย่างเดียวนั่นทำให้ “ไมซ์” กลายเป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ที่ตรงจุดที่สุดในเวลานี้

ทำไม “ไมซ์” ถึงเปลี่ยนเกมเศรษฐกิจได้จริง

ข้อมูลวิเคราะห์ของ Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB) แสดงภาพชัดว่า “นักท่องเที่ยวไมซ์” สร้างมูลค่าเข้มข้นกว่า “นักท่องเที่ยวเพื่อสันทนาการ” อย่างมีนัยสำคัญ โดยมี ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันราว 16,095.19 บาท เทียบกับ 4,616.49 บาท/วัน หรือราว 3.5 เท่า แม้ค้างคืนน้อยกว่าแต่ค่าใช้จ่ายรวมต่อทริปสูงกว่า ส่งผลให้เงินหมุนเวียนสู่ธุรกิจท้องถิ่นรวดเร็วและเป็นกอบเป็นกำ ทั้งที่พัก อาหาร โลจิสติกส์ และบริการสนับสนุน

PDMF 2025 จึงเป็นมากกว่าการประชุมฝ่ายการตลาด แต่คือ “เครื่องฟอกกำลังซื้อ” ที่ตั้งใจพาผู้ตัดสินใจ–ผู้กำหนดนโยบาย–นักการตลาดจุดหมายปลายทางจากเอเชียแปซิฟิก มาสัมผัสเชียงรายจริงก่อนกลับไปออกแบบแคมเปญการขายจุดหมายปลายทางยุคใหม่จึงเริ่มจาก “ประสบการณ์ตรง” ไม่ใช่แค่สไลด์พรีเซนต์.

โครงสร้างงานจากห้องประชุมสู่พื้นที่จริง

PATA ยืนยันรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ 1 วันประชุม ว่าด้วยเทรนด์–กรณีศึกษาเชิงกลยุทธ์ และ 1 วัน Destination Experience ที่คัดสรรเส้นทางเฉพาะกิจ 3 รูท เพื่อ “ให้สิ่งที่เล่าในห้องประชุมมีชีวิต” เมื่อออกไปอยู่ในพื้นที่จริง ได้แก่

  1. Creative City of Design for Sustainability – สัมผัส วัดร่องขุ่น ผลงานระดับสัญลักษณ์ของเมือง, รับประทานอาหารและเรียนรู้ “โมเดลพัฒนาดอยตุง” จากพื้นที่ปลูกฝิ่นสู่ป่า–เกษตร–แหล่งท่องเที่ยว และปิดท้ายที่ ชุมชนบ้านสันทางหลวง เพื่อดูของจริงว่า “ดีไซน์–ศิลป์–สุขภาวะ” แปลงเป็นรายได้ชุมชนอย่างไร
  2. Cave, Coffee and Contemporary Culture – เจาะ “แลนด์มาร์กกู้ภัยโลก” ถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน, ชงกาแฟกับชุมชนสูง ผาหมี และปิดท้ายที่ Chiang Rai Contemporary Art Museum (BIENNALE) เพื่อเชื่อมธรรมชาติ–ชาติพันธุ์–ศิลปะร่วมสมัย
  3. History, Locality and Artisans – ย้อนราก สามเหลี่ยมทองคำเมืองเก่าเชียงแสน, ทำเครื่องบูชาล้านนา, สักการะ วัดเจดีย์หลวง และชม Kwaidin Daag Art House

เส้นทางเหล่านี้คือ “สคริปต์การเล่าเรื่อง” ที่ทำให้ผู้ร่วมงานได้เห็น “เศรษฐกิจความหมาย” (meaningful economy) ของเชียงรายแบบจับต้องได้

คาร์บอนนิวทรัล มาตรฐานใหม่ของงานไมซ์

ปีนี้ PATA ขยับจากแนวคิดสู่การปฏิบัติด้วยการประกาศให้งานเป็น Carbon Neutral Event เก็บ ค่าชดเชยคาร์บอน 10 ดอลลาร์สหรัฐ/คน แม้เปิดลงทะเบียนฟรี ทั้งเพื่อชดเชยการปล่อยที่เลี่ยงไม่ได้ (เช่น การบิน) และเพื่อส่งเงินสู่โครงการสิ่งแวดล้อมในไทยนี่ไม่ใช่เพียง “ภาษีความเขียว” แต่คือสัญญาณว่ามาตรฐานความรับผิดชอบสิ่งแวดล้อมกำลังกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของอุตสาหกรรม

เชียงรายในฐานะเมืองดีไซน์” และทุนวัฒนธรรมที่พร้อมต่อยอด

ยูเนสโก ขึ้นทะเบียน เชียงราย Creative City of Design” เมื่อปี 2023 โครงสร้างนิเวศสร้างสรรค์ของเมืองจากงานสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ ไปจนถึงหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นระบบที่มี “ดีไซน์” กำกับการพัฒนา เมื่องาน PDMF 2025 หยิบ “ดีไซน์–สุขภาวะ–ท้องถิ่น” มาทำเป็นแกน ถ้อยคำบนเวทีจะยิ่ง “ลงล็อก” กับสิ่งที่ผู้ร่วมงานกำลังยืนอยู่ตรงหน้า

ในฝั่งชุมชน “บ้านสันทางหลวง” ได้รับ PATA Gold Awards 2025 – Women Empowerment ยืนยันพลังการจัดการตนเองของผู้นำสตรีและกลุ่มหลากหลายทางเพศที่พลิกความท้าทายภาคเกษตร สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ฐานชุมชนอย่างมีศักดิ์ศรีและปีนี้ชุมชนถูกบรรจุในเส้นทางเรียนรู้ของผู้ร่วมงานด้วยโดยตรง “รางวัล” จึงไม่ใช่เพียงถ้วย หากเป็น “ช่องทางขาย” ที่จะถูกพาผ่านสายตาผู้ตัดสินใจจากทั่วเอเชียแปซิฟิก

พันธมิตรเดินทางและโครงสร้างรองรับ

เว็บไซต์งานระบุ การบินไทย (THAI) เป็น Official Airline Partner พร้อมสิทธิพิเศษค่าโดยสารสำหรับผู้ร่วมงานการมีสายการบินแห่งชาติเข้ามาช่วย “เชื่อมต่อ–ลดอุปสรรค” จะเอื้อต่อการวางแผนเดินทางและขยายผลเครือข่ายธุรกิจรายทาง ทั้งในเชียงรายและเมืองรองใกล้เคียง

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ เงินที่หมุนเร็ว สู่วงจรชุมชน

เมื่อพิจารณาโครงสร้างค่าใช้จ่ายของผู้ร่วมงานไมซ์ (ค่าโรงแรมระดับกลาง–บน, อาหารคุณภาพ, รถรับ-ส่ง, ทีมโลจิสติกส์, เวิร์กชอปชุมชน, ซื้อของทำมือ) จะเห็นวงจรเงินที่ “ไหลเข้ม” และ “ไหลลึก” สู่เศรษฐกิจท้องถิ่นมากกว่าตลาดมวลชน โดยเฉพาะเมื่อเส้นทาง Destination Experience เน้น ไฮเปอร์โลคอล (hyper-local) เช่น ชุมชนผาหมี–บ้านสันทางหลวง–เชียงแสน ซึ่งผู้ร่วมงาน “ต้องจับจ่ายตรง” กับผู้ประกอบการ ตัวคูณทางเศรษฐกิจจึงปะทุในพื้นที่ทันที (จากช่างทอ–คนขับรถ–ไกด์–ร้านอาหาร–โฮมคาเฟ่–เวิร์กชอป) และต่อเนื่องยาวผ่านเครือข่ายที่ผู้เชี่ยวชาญต่างชาตินำกลับไปต่อยอด

บทเรียนสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ จาก “จำนวน” สู่ “คุณค่า”

เมื่อรัฐบาลลดเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้ลงมาแถว 33 ล้านคน ภาพใหญ่จึงมิใช่การไล่ตัวเลข “หัวคน” แต่เป็นการทำให้ “รายจ่ายเฉลี่ย/หัว” และ “การกระจายรายได้” สูงขึ้นงานไมซ์นำหน้าด้วยข้อได้เปรียบนี้อยู่แล้ว และ PDMF 2025 คือเวทีสาธิตคู่มือที่ทุกจังหวัดสามารถเรียนและทำตามได้ ยึดอัตลักษณ์–ยกบทบาทชุมชน–คุมความยั่งยืน–ใช้เทคโนโลยีเล่าเรื่องทั้งหมดนี้คือ “ภาษากลาง” ของการตลาดจุดหมายปลายทางยุคใหม่

ชาวเชียงรายได้ประโยชน์อะไร และ “เจ้าบ้าน” ควรเตรียมตัวอย่างไร

ประโยชน์โดยตรง

  1. รายได้ขยายสู่รากหญ้า โปรแกรมทัวร์แบบไฮเปอร์โลคอลบังคับให้เงินไปถึงผู้ผลิตตัวจริงช่างฝีมือ, โฮมคาเฟ่, รถท้องถิ่น, ไกด์ชุมชน
  2. อัปเกรดมาตรฐานบริการ การรับคณะไมซ์ต่างชาติเป็น “แรงกดดันเชิงบวก” ให้ผู้ประกอบการยกระดับเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย การสื่อสารหลายภาษา และระบบชำระเงินดิจิทัล
  3. เครือข่ายใหม่–โอกาสยาว ผู้ร่วมงานส่วนใหญ่เป็นมืออาชีพด้านท่องเที่ยว/การตลาดการ “ได้การ์ด–ได้ไอเดีย–ได้เพื่อนร่วมโปรเจกต์” มักมีมูลค่าต่อเนื่องหลังจบงาน

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติสำหรับเจ้าบ้าน

  • ร้าน–คาเฟ่–โฮมสเตย์ จัด “เมนูสั้นภาษาอังกฤษ” + ใส่ที่มา/วัตถุดิบท้องถิ่น (provenance) และตั้ง QR สำหรับจ่ายเงิน/ดาวน์โหลดโบรชัวร์
  • ช่างฝีมือ–เวิร์กชอป ทำ “แพ็กเกจ 45–90 นาที” (ราคาชัด วัสดุพร้อม ส่งงานกลับบ้านได้) ถ่ายรูป/วิดีโอสั้นเป็นตัวอย่างใน QR ให้ดูหน้างาน
  • ชุมชนท่องเที่ยวจัด “สคริปต์เล่าเรื่อง 3 นาที” (Who/What/Why it matters) และแบ่งบทบาทต้อนรับ (ยิ้ม–ทัก–เชิญ–ส่ง) ให้เด็กและผู้สูงวัยมีส่วนร่วม
  • ภาคบริการขนส่งเตรียม “Rate Card” ค่ารถรับ-ส่งเป็นมาตรฐาน/เส้นทางสั้น และฝึก greeting ภาษาอังกฤษง่าย ๆ (เช่น Welcome / This way / Enjoy!)
  • โรงแรมขนาดกลางและโฮสเทลเสนอ “Night Program” (ดูดาว–ชิมชา–เล่าเมืองเก่า) ให้ผู้ร่วมงานที่ว่างหลังประชุม เพื่อยืดเวลาจับจ่ายในเมือง
  • ความยั่งยืนตั้ง Green Corner เล็ก ๆ ในร้าน/ที่พัก (ขวดน้ำเติม, ถังแยกขยะ, ป้ายชวนลดพลาสติก) ให้สอดรับมาตรฐานงาน carbon neutral ของ PDMF 2025

เสียงจากเครือข่ายผู้จัดสารเดียวกันต่างภาษาคุณค่าท้องถิ่น + ความยั่งยืน

แถลงการณ์ของ PATA ชี้ชัดว่าเชียงรายเหมาะสมในฐานะ “เมืองศิลปะ–วัฒนธรรม–สุขภาวะ” และโครงสร้างงานที่ผสาน “เรียนในห้อง–เห็นของจริง” จะทำให้ผู้ร่วมงานกลับไปพร้อมเครื่องมือใช้งานได้จริง ขณะที่ TCEB–TAT–DASTA ต่างระบุร่วมกันว่าการยกระดับ “เมืองรองที่มีศักยภาพ” ให้เป็น MICE City คือหนทางสร้างความยั่งยืนและความต่างให้ไทยในตลาดเอเชียแปซิฟิกทั้งหมดนี้คือเมสเสจเดียวกันต่างภาษา: “พลังของชุมชน + ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม” คือหัวใจของการตลาดจุดหมายปลายทางยุคใหม่

จาก “การมาเยือน” สู่ “การเชื่อมโยง”

PDMF 2025 ทำให้เชียงรายก้าวพ้นคำว่าจุดหมายปลายทางสวยงาม สู่การเป็น “วงสนทนา” ระดับภูมิภาคว่าด้วยการตลาดการท่องเที่ยวที่ มีความหมาย และ มีความรับผิดชอบ ในจังหวะที่ไทยต้องเน้น “คุณภาพมากกว่าปริมาณ” งานนี้คือตัวอย่างชัดเจนว่าความร่วมมือข้ามหน่วยงาน + พลังชุมชน + มาตรฐานสิ่งแวดล้อม สร้างผลคูณเศรษฐกิจได้จริง และที่สำคัญทำให้ “เรื่องเล่าของเชียงราย” ถูกเล่าด้วยปากของผู้ร่วมงานมืออาชีพจากทั่วเอเชียแปซิฟิกต่อไปอย่างเป็นธรรมชาติ

สำหรับ “เจ้าบ้าน” เวลานี้คือโอกาส: ยิ้ม–เปิดบ้าน–เล่าเรื่อง—และทำให้ทุกการใช้จ่ายของผู้มาเยือน มีความหมาย ต่อคนเชียงรายมากที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Pacific Asia Travel Association (PATA)
  • PATA – หน้ารายละเอียดงานอย่างเป็นทางการ: โปรแกรม Destination Experience ทั้ง 3 เส้นทาง (วัดร่องขุ่น–ดอยตุง–บ้านสันทางหลวง / ถ้ำหลวง–ผาหมี–BIENNALE / สามเหลี่ยมทองคำ–เชียงแสน–วัดเจดีย์หลวง–Kwaidin Daag Art House)
  • Designated Areas for Sustainable Tourism Administration (DASTA): รายชื่อผู้ชนะ PATA Gold Awards 2025
  • UNESCO / TAT: สถานะ Chiang Rai – Creative City of Design
  • TCEB / Business Events Thailand
  • Reuters (สถานการณ์ท่องเที่ยวไทย)
  • The Asahi Shimbun / JNTO
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ตลาดกาแฟไทยโตสวนกระแส เชียงรายนำร่องยกระดับสู่กาแฟพิเศษ

Key Takeaways

  • ตลาดกาแฟโลกยังเติบโตต่อเนื่อง ขนาดตลาดปี 2024 ประมาณ 269,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มแตะ 369,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2030 (CAGR ราว 5.3%) ขณะที่ “ตลาดกาแฟไทย” ปี 2568 ประเมินมูลค่าราว 65,000 ล้านบาท สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่ดื่มกาแฟเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้ว/คน/ปีแล้ว และยังมีช่องว่างให้โตเทียบยุโรป (เฉลี่ยราว 600 แก้ว/คน/ปี)
  • ฝั่งอุปทาน ไทยผลิตเมล็ดกาแฟรวม 40,000–50,000 ตัน/ปี แต่ “กาแฟพิเศษ” (Specialty) มีเพียงราว 5,000 ตัน ไม่พอความต้องการในประเทศ ทำให้ช่วง ม.ค.–พ.ค. 2568 ต้องนำเข้าเมล็ดกาแฟคิดเป็นมูลค่า 8,387 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าส่งออกอยู่ราว 2,412 ล้านบาท ช่องว่างนี้คือทั้ง “โจทย์” และ “โอกาส”
  • เชียงรายกำลังถูกมองเป็นห้องทดลองเชิงนโยบายและพื้นที่สาธิตของ “ยุทธศาสตร์กาแฟคุณภาพ” ตั้งแต่ไร่ (agroforestry ลดไฟป่า-ยกระดับคุณภาพเมล็ด) ถึงปลายน้ำ (เครือข่ายร้านกาแฟกว่า 1,000 ร้าน–กิจกรรม MICE ด้านกาแฟ–อีโคซิสเต็มนวัตกรรมมหาวิทยาลัย) สอดรับเทรนด์ผู้บริโภคที่หันมาหา Specialty และประสบการณ์กาแฟเชิงเรื่องเล่า (story/brand experience)
  • ภาพรวมธุรกิจแข่งขันสูง กำไรสุทธิโดยรวมของอุตสาหกรรมเริ่มหดตัว แต่เชนขนาดใหญ่ (Franchise/Chain) ยังรักษา Net Profit Margin เฉลี่ย ~17.5% ได้ ขณะที่ร้านอิสระ (Independent) เฉลี่ย ~4.6% ทางรอดคือ “ความต่างบนคุณภาพและเรื่องเล่า” ควบคู่การบริหารต้นทุนรัดกุมและสร้างเครือข่ายจับคู่ธุรกิจ (matching)

 “กาแฟไทย” ทะยานบนทางแยก—เชียงรายชูธงคุณภาพ ยกระดับสู่เวทีโลก

กรุงเทพฯ/เชียงราย, 14 กันยายน 2568— กลิ่นหอมของผงกาแฟคั่วใหม่ ไม่ได้เป็นเพียงพิธีกรรมของคนทำงานอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น “เศรษฐกิจความหมาย” (meaning economy) ที่ขับเคลื่อนด้วยรสนิยม ประสบการณ์ และเรื่องเล่าเหนือแก้วกาแฟหนึ่งแก้ว ตัวเลขตอกย้ำทิศทางนั้นชัดเจน—ปี 2024 ตลาดกาแฟโลกมีมูลค่าราว 269,270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะขยายสู่ 369,460 ล้านดอลลาร์ ในปี 2030 (CAGR โดยเฉลี่ยราว 5.3%) ขณะที่ประเทศไทยเอง กำลังขยับขึ้นสู่ มูลค่าตลาด 65,000 ล้านบาท ในปี 2568 จากพฤติกรรมการดื่มที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้ว/คน/ปี

ใต้กราฟสวยงามมีปมซ้อนซ่อนอยู่—ฝั่งอุปทานไทยยัง “บาง” เกินกว่าจะรองรับดีมานด์ที่โตเร็ว เรามีพื้นที่ปลูกกว่า 220,053 ไร่ แบ่งเป็นอาราบิก้าในภาคเหนือ ~140,000 ไร่ และโรบัสต้าในภาคใต้ ~80,000 ไร่ แต่ “กำลังผลิตจริง” อยู่ราว 40,000–50,000 ตัน/ปี และที่สำคัญ กาแฟระดับพิเศษ (Specialty) มีเพียง ~5,000 ตัน เท่านั้น ผลคือไทยต้องนำเข้าเมล็ดกาแฟมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ—ช่วง ม.ค.–พ.ค. 2568 นำเข้ารวม 8,387 ล้านบาท ส่วนส่งออกมีเพียง 2,412 ล้านบาท สะท้อน “ช่องว่างมูลค่า” ที่ผู้เล่นไทยยังเติมไม่เต็ม

เมื่อ “รสนิยม” กลายเป็นแรงเหวี่ยงตลาด

ความเปลี่ยนแปลงทางดีมานด์ไม่ได้มาเล่น ๆ ผู้บริโภคไทยเคลื่อนจาก “กาแฟสำเร็จรูป” สู่ “กาแฟสด” และไกลไปถึง “กาแฟพิเศษ”—กลุ่มที่ยอมจ่ายตั้งแต่ 100–2,000 บาท/แก้ว เพื่อแลกรสชาติ/โพรไฟล์ และประสบการณ์ (experience) ตามมาตรฐานการให้คะแนนของ Specialty Coffee Association (SCA) เทรนด์นี้เด่นชัดในกลุ่ม Gen Y–Gen Z ที่มองกาแฟเป็น “ไลฟ์สไตล์” และ “เวทีแสดงตัวตน” ผ่านคาเฟ่ดีไซน์ งานคั่วละเอียด และเมนูซิกเนเจอร์ ขณะที่ Gen X ยังเน้นความสะดวก (กาแฟซอง/แคปซูล) และ Baby Boomer ยึดติดรสชาติเดิมจากร้านประจำ

ความซับซ้อนของผู้บริโภคทำให้ “กาแฟ” ไม่ใช่แค่วัตถุดิบเกษตรอีกต่อไป หากเป็นธุรกิจประสบการณ์ที่ต้องผสมผสานคุณภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยี ตั้งแต่ไร่ถึงแก้ว—ใครจับเส้นเรื่องนี้ได้ จะได้ “ส่วนเพิ่มมูลค่า” (premium) เหนือตลาดมวลรวม

เชียงราย แบบฝึกหัดสู่ “ศูนย์กลางกาแฟ” ด้วยคุณภาพและความยั่งยืน

ในแผนที่กาแฟไทย จังหวัดเชียงรายกำลังเร่งเครื่องอย่างมีระบบ จาก “ดินแดนอาราบิก้าดอยสูง” ไปสู่ “ต้นแบบนิเวศกาแฟคุณภาพ” ที่ผสานเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน

  1. ยกระดับคุณภาพด้วยมาตรฐานสากล
    ผู้ผลิตเชียงรายเข้าร่วมเวทีประกวด “สุดยอดกาแฟไทย 2568 (Thai Coffee Excellence 2025)” ของกรมวิชาการเกษตร ซึ่งใช้เกณฑ์ SCA เป็น “ภาษากลาง” ในการตัดสินคุณภาพ กาแฟเชียงรายคว้าเหรียญหลายรายการในประเภทกระบวนการต่าง ๆ—ตั้งแต่ Natural/Dry ไปจนถึง Honey (Semi-dry)—คะแนนระดับ 82–85+ คือ “ไฟฉาย” ให้เกษตรกรเห็นช่องว่างพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม และเปิดประตูสู่ตลาดพรีเมียมที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอย่างยั่งยืน (อ้างอิงประกาศผลการประกวดอย่างเป็นทางการของกรมวิชาการเกษตร)
  2. ปลูกอย่างรู้ป่า–แก้ปัญหาอย่างรู้โจทย์
    แนวทาง agroforestry หรือการปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ใหญ่กำลังขยายผลในพื้นที่ราว 41,000 ไร่ ของจังหวัด ช่วยกักความชื้น รักษาธาตุอาหาร ลดการชะล้างหน้าดิน และ—สำคัญยิ่ง—ลดแรงจูงใจการเผาป่า ซึ่งเป็นต้นตอหมอกควัน PM2.5 ในภาคเหนือ ยิ่งปลูกดี “รสชาติ” ยิ่งดี คุณภาพยิ่งดี “ราคา” ยิ่งดี เป็นวงจรคุณภาพที่เชื่อมเศรษฐกิจชุมชนกับสิ่งแวดล้อมเข้าหากัน
  3. เศรษฐกิจปลายน้ำร้านกาแฟ > 1,000 ร้าน และ MICE ดันดีมานด์คุณภาพ
    เชียงรายมีเครือข่ายร้านกาแฟมากกว่า 1,000 ร้าน—อันดับสามของประเทศ—หนุนดีมานด์เมล็ดคุณภาพและสร้างวัฒนธรรมกาแฟให้กลายเป็น “ประสบการณ์ท่องเที่ยว” ของเมือง นอกจากนี้ จังหวัดยังใช้ยุทธศาสตร์ MICE สร้างการจับคู่ธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านโครงการ “Chiangrai Specialty Coffee MICE Journey 2025” ที่ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) และเครือข่ายผู้ประกอบการกาแฟ สร้างยอดสั่งซื้อเฉลี่ย 1 ตัน/โรงคั่ว มูลค่ารวม ~4.4 ล้านบาท—ตัวเลขที่สะท้อนว่า “คุณภาพ” แปลงเป็น “สัญญาซื้อขาย” ได้จริง ไม่ใช่แค่คำขวัญ
  4. มหาวิทยาลัยเป็นหัวรถจักรนวัตกรรม
    งาน MFU Coffee Fest 2025 ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ต่อเชื้อไฟนวัตกรรมตั้งแต่งานวิจัย “ทิศทางกาแฟไทยสู่ความยั่งยืน” ถึงเวิร์กช็อปสร้างมูลค่าเพิ่มจากของเหลือในกระบวนการ (เช่น เทียน/น้ำหอม/ออยล์จากกาแฟ) และเวที Global Coffee & Tea Association Forum 2025 ที่ดึงผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกมาแลกเปลี่ยน ให้เชียงรายค่อย ๆ เปลี่ยนบทบาทจาก “ฐานผลิต” เป็น “ศูนย์กลางองค์ความรู้–นวัตกรรม” ของภูมิภาค

โครงสร้างอุตสาหกรรม แข่งขันดุเดือด—ผู้รอดคือผู้ที่ “แตกต่างบนมาตรฐาน”

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ชี้ว่าอุตสาหกรรมกาแฟไทย แข่งขันสูงมาก จำนวนกิจการใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง—ช่วง ม.ค.–มิ.ย. 2568 มีการจดทะเบียนตั้งใหม่ 415 ราย เพิ่มขึ้น 8.9% จากปีก่อน แต่ “ทุนจดทะเบียนรวม” หดลง 33.7% สะท้อนผู้เล่นหน้าใหม่ขนาดเล็ก (SMEs) เข้าตลาดถี่ขึ้น ขณะเดียวกัน ข้อมูลผลประกอบการรวมทั้งอุตสาหกรรมระบุว่า “รายได้รวม” ยังทรงตัว แต่ “กำไรสุทธิ” ลดต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตที่เผชิญต้นทุนผันผวนจากราคาวัตถุดิบโลกและสงครามราคาหน้าร้าน

อย่างไรก็ดี ภาพไม่ได้มืดสนิท—เชน/แฟรนไชส์ รายใหญ่ อาทิ Café Amazon, Inthanin, กาแฟพันธุ์ไทย, Starbucks ฯลฯ ยังเกาะส่วนแบ่งตลาดแมสและรักษา Net Profit Margin เฉลี่ย ~17.5% ได้ต่อเนื่องจาก economies of scale และระบบสนับสนุนหลังบ้าน ขณะที่ Independent ที่เด่นเรื่องประสบการณ์–คุณภาพ–บาริสต้า มีอัตรากำไรเฉลี่ยเพียง ~4.6% และผันผวนสูงกว่า ทางรอดจึงอยู่ที่ “การสร้างแบรนด์เฉพาะ” (story/concept) บนมาตรฐานคุณภาพที่พิสูจน์ได้ด้วยคะแนน/ประกวด ร่วมกับการบริหารต้นทุนที่เข้มงวด และการต่อยอดไปสู่รายได้หลายขา (เมล็ดคั่ว–อบรม–ทัวร์ไร่–ของที่ระลึก)

“ช่องว่างมูลค่า” ด้วย Specialty + นวัตกรรม

เมื่อเชื่อมโยงทั้งฝั่งดีมานด์ (รสนิยมยกระดับ) กับฝั่งซัพพลาย (ปริมาณ specialty ยังน้อย) คำตอบเชิงยุทธศาสตร์ชัดเจน—ไทยต้อง เร่งแปลงไร่สู่คุณภาพ และ แปลงคุณภาพสู่มูลค่า อย่างเป็นระบบ

  • ยกระดับเมล็ดสู่มาตรฐานสากลสนับสนุนเกษตรกรเข้าถึงความรู้เรื่องพันธุ์/การเก็บเกี่ยว/การแปรรูป ร่วมกับการใช้คะแนน SCA เป็นเข็มทิศพัฒนา (ทำให้เห็น “ช่องว่าง” และ “ทางไป”) พร้อมเปิดเวทีประกวดในระดับจังหวัด/ภูมิภาคเพื่อสร้างแรงจูงใจ
  • ขยาย agroforestry และลดไฟป่างบวิจัย–สร้างแรงจูงใจทางการเงิน (เช่น carbon credit ระดับชุมชน) เพื่อให้การปลูกใต้ร่มไม้ใหญ่เป็น “ดีลที่คุ้ม” ทั้งกับชาวบ้านและสิ่งแวดล้อม
  • MICE + Tourism เป็นตัวคูณขยายโมเดล “Chiangrai Specialty Coffee MICE Journey” ไปยังหัวเมืองกาแฟอื่น (เชียงใหม่–น่าน–แม่ฮ่องสอน) เพื่อจับคู่ซื้อขาย specialty แบบล่วงหน้า (forward) ลดความเสี่ยงผู้ผลิต และยกระดับภาพลักษณ์ “เส้นทางกาแฟไทย”
  • มหาวิทยาลัย/สถาบันวิจัยเป็นสะพานตั้ง “คลินิกกาแฟคุณภาพ” เชิงพื้นที่ บ่มเพาะนักคั่ว–บาริสต้า–นักพัฒนาผลิตภัณฑ์ เชื่อมกับผู้ประกอบการ ผ่านโครงการฝึกงาน/เร่งรัดนวัตกรรม (accelerator) สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น กาแฟไร้ของเสีย (zero-waste coffee products) หรือส่วนผสมฟังก์ชันนัล
  • ข้อมูล–มาตรการภาษี–การเงินพัฒนาฐานข้อมูล traceability แหล่งปลูก–กระบวนการ–คะแนนคุณภาพ เพื่อขึ้นทะเบียน “origin” ไทย พร้อมมาตรการสินเชื่อ/ภาษีที่จูงใจให้ยกระดับคุณภาพแทนเพิ่มปริมาณอย่างเดียว

เชียงรายในกระจกอนาคตจาก “แหล่งปลูก” สู่ “ศูนย์กลางความรู้–ประสบการณ์กาแฟ”

เชียงรายกำลังบันทึก “เรื่องเล่ากาแฟ” ฉบับใหม่ที่เริ่มต้นจากดินและจบลงในใจผู้ดื่ม—ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่ที่จำนวนไร่เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเห็น “กาแฟ” เป็นระบบคุณค่า (value system):

  • ในไร่—ชาวบ้านมีรายได้มั่นคงขึ้นด้วยเมล็ดคุณภาพและการปลูกที่ไม่ทำร้ายป่า
  • ในเมือง—ร้านกาแฟเป็น “พื้นที่วัฒนธรรม” ให้เยาวชน–ครีเอเตอร์–นักท่องเที่ยว
  • ในตลาด—คะแนน/ประกวดกลายเป็น “ภาษากลาง” เชื่อมไทยเข้ากับโลก
  • ในประเทศ—กาแฟพิสูจน์ว่าการท่องเที่ยว–เกษตร–นวัตกรรม สามารถขับเคลื่อนร่วมกันได้

และเมื่อวงการกาแฟไทยยืนบน 3 ขา—คุณภาพ (ที่พิสูจน์ได้), นวัตกรรม (ที่แตกต่างได้), และ ความยั่งยืน (ที่ตรวจสอบได้)—เราไม่ได้แค่ขายเครื่องดื่ม แต่ขาย “ประสบการณ์ที่มีความหมาย” ให้คนทั้งโลก

เชิงนโยบาย/ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ประกอบการ

  1. จับจุดแข็งของพื้นที่—ทำ origin story ให้ชัด (ดิน–ระดับความสูง–โพรไฟล์รสชาติ) แล้ว “แปล” เป็นภาษาแบรนด์/ป้ายหน้าเครื่อง/หน้าเมนู
  2. ลงทุนในคะแนน—ส่งเมล็ดเข้าทดสอบ/ประกวด ใช้ feedback เป็นเข็มทิศพัฒนา เมื่อมีคะแนน SCA ที่เสถียร ราคาจะขึ้นโดยอัตโนมัติ
  3. สร้างรายได้หลายขา—เมล็ดคั่ว–คอร์สชง–คาเฟ่ทัวร์–ของที่ระลึก เพื่อทนต่อรอบราคาวัตถุดิบ
  4. ใช้เครือข่าย MICE—เข้าร่วมเวทีจับคู่ธุรกิจ เจรจาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า แบ่งเสี่ยงกับคู่ค้า
  5. บริหารต้นทุนอย่างมืออาชีพ—ล็อกต้นทุนบางส่วนด้วยสัญญา/กลยุทธ์คลังสินค้า และบริหารเมนู/ไซซ์/โปรโมชั่น เพื่อลดแรงกดจากสงครามราคา

ตลาดกาแฟไทยกำลังยืนบนทางแยกที่หอมกรุ่นด้วยโอกาส—ดีมานด์พุ่ง คุณภาพเป็นที่ต้องการ “เรื่องเล่า” ขายได้ราคา แต่ก็แข่งขันเข้มข้น ต้นทุนผันผวน และกำไรเฉลี่ยของทั้งอุตสาหกรรมไม่ได้ง่ายเหมือนเดิม แบบฝึกหัดที่เชียงรายทำอยู่—ยกระดับคุณภาพด้วยมาตรฐานโลก ปลูกอย่างรู้ป่า สร้างอีโคซิสเต็มปลายน้ำที่ขับเคลื่อนด้วย MICE และมหาวิทยาลัย—กำลังบอกเราว่าคำตอบไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ หากอยู่ที่ “คุณค่า” ที่เราสร้างและพิสูจน์ได้

หากไทย “เติมช่องว่างมูลค่า” ให้เต็มด้วย Specialty และนวัตกรรมที่จับต้องได้ เราไม่เพียงปิดดุลการค้ากาแฟ แต่จะเปิดประเทศด้วย “เส้นทางกาแฟไทย” ที่โลกอยากมาลิ้มลอง—และอยากกลับมาอีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมวิชาการเกษตร
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.)
  • TCEB และเครือข่าย Chiangrai Coffee Lovers (CCL)
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า DBD
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เมืองแห่งชาและกาแฟ เชียงรายยกระดับกาแฟไทยสู่เวทีโลก สร้างมูลค่าพันล้าน

เชียงรายผงาด! ศูนย์กลางกาแฟโลก ผนึกกำลังรัฐ-เอกชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยั่งยืน

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – เชียงรายก้าวสู่ผู้นำกาแฟระดับโลก ด้วยสายพันธุ์-แบรนด์-นวัตกรรมครบเครื่อง กำลังก้าวเข้าสู่บทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางกาแฟระดับโลก ด้วยความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ พันธุ์กาแฟอาราบิก้าคุณภาพสูง การส่งเสริมจากภาครัฐ และการเติบโตของธุรกิจเอกชน ตั้งแต่ฟาร์มปลูกกาแฟจนถึงแบรนด์ร้านกาแฟระดับประเทศ

การขับเคลื่อนเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ด้วยแนวนโยบาย “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2565 ส่งผลให้เชียงรายกลายเป็นโมเดลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ผสานเกษตรกรรม การท่องเที่ยว และนวัตกรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างยั่งยืน

ตลาดกาแฟโตไม่หยุด “เชียงราย” ตัวแปรสำคัญขับเคลื่อนประเทศ

จากข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดปี 2567-2568 พบว่าตลาดกาแฟไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสูงถึง 3-5 เท่าของกาแฟทั่วไป และเชียงรายกลายเป็นจังหวัดที่ครองบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การผลิตนี้

กาแฟ GI อย่าง “ดอยตุง” และ “ดอยช้าง” เป็นเครื่องการันตีคุณภาพระดับประเทศ สอดรับกับแบรนด์ใหม่ที่เติบโตเร็ว เช่น 1:2 Coffee ที่เน้น “คุณภาพดี ราคาจับต้องได้” และขยายสาขาทั่วประเทศกว่า 50 แห่ง กลายเป็นตัวแบบสำเร็จในการต่อยอดผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่นสู่สเกลชาติ

เทศกาลกาแฟทั่วเชียงราย ยกระดับเมืองแห่งประสบการณ์กาแฟ

เชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแหล่งผลิตกาแฟเท่านั้น แต่ยังสร้าง “ประสบการณ์” ให้กับนักท่องเที่ยวผ่านงานเทศกาลตลอดปี 2568 ดังนี้

  • Tea & Coffee Central CEI 25–29 มิ.ย. 2568 ณ เซ็นทรัล เชียงราย
  • Eastern Lanna Tea & Coffee 25–28 ก.ค. 2568
  • Brewtopia ไร่แม่ฟ้าหลวง 17–20 ส.ค. 2568
  • TEDxChiangRai 23 ส.ค. 2568 (เจาะลึกองค์ความรู้และนวัตกรรมกาแฟ)
  • CCL Coffee Journey by TCEB 26–28 ส.ค. 2568

ภายในงานมีการแข่งขัน Latte Art ชิงแชมป์บาริสต้ามือทอง เวิร์คช็อปคั่วบด การชิมกาแฟเชิงลึก (cupping) และกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ ที่มีเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจภาคเหนือด้วยเม็ดเงินหมุนเวียนมากกว่า 700 ล้านบาทต่อปี

นวัตกรรม-วิจัย อาวุธลับสร้างความต่างสู่เวทีโลก

เชียงรายไม่เพียงแต่ผลิตกาแฟคุณภาพสูง หากแต่ยังลงทุนวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยกรมวิชาการเกษตรพัฒนาสายพันธุ์ “เชียงราย 1” และ “เชียงราย 2” ให้เหมาะกับภูเขาสูงโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ยังมีการสร้างต้นแบบ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์” ที่สามารถวิเคราะห์รสชาติเฉพาะของกาแฟแต่ละสายพันธุ์ และงานวิจัยลดปริมาณคาเฟอีนในกาแฟได้มากถึง 93.12% โดยไม่สูญเสียรสชาติ ถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ

ภาครัฐรวมพลังทุกภาคส่วน ยกระดับเมืองกาแฟ

การยกระดับ “เชียงรายเมืองแห่งชาและกาแฟ” ไม่ได้เกิดขึ้นจากหน่วยงานเดียว แต่เกิดจากการผนึกกำลังของภาครัฐ ภาควิชาการ และชุมชน ได้แก่

  • จังหวัดเชียงราย ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายตั้งแต่ปี 2565
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนทุนวิจัยด้านกาแฟ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ ราชภัฏเชียงราย ร่วมจัดกิจกรรมการศึกษา สัมมนา และหลักสูตรกาแฟ
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย ช่วยประสานเครือข่ายระดับประเทศและต่างประเทศ

การสนับสนุนนี้ครอบคลุมตั้งแต่การรับรองมาตรฐาน (GMP, HACCP, GAP) ไปจนถึงการขยายพื้นที่ผลิตแบบ Organic Thailand ที่ช่วยผลักดันกาแฟเชียงรายสู่ตลาดพรีเมียมได้อย่างมั่นคง

ความท้าทายที่ต้องรับมือ โอกาสแฝงในวิกฤต

แม้เชียงรายจะมีศักยภาพมหาศาล แต่ก็ยังเผชิญกับหลายปัจจัยท้าทาย

  • สภาพภูมิอากาศแปรปรวน ทำให้ผลผลิตผันผวนและต้นทุนสูงขึ้น
  • การแข่งขันจากกาแฟนำเข้า ที่มีต้นทุนต่ำกว่าในบางตลาด
  • การรับรู้ในระดับโลก กาแฟไทยยังไม่เป็นที่รู้จักในบางภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นโอกาสใหม่ เช่น การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงกาแฟ ผสานไร่กาแฟกับฟาร์มสเตย์ โรงคั่ว และร้านกาแฟท้องถิ่นในรูปแบบ Coffee Trail ซึ่งไม่เพียงสร้างรายได้จากการขายเมล็ด แต่ยังเพิ่มรายได้ผ่านการท่องเที่ยวและการให้บริการประสบการณ์กาแฟโดยตรง

ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ สู่อนาคตกาแฟยั่งยืน

  1. เกษตรกรและผู้ผลิต
    • รวมกลุ่มในรูปแบบสหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชน
    • พัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟพิเศษที่มีมาตรฐาน
    • ใช้นวัตกรรมเพิ่มมูลค่า ลดต้นทุน และรักษาสิ่งแวดล้อม
  2. ผู้ประกอบการและธุรกิจ
    • สร้างแบรนด์ที่มีเรื่องราว
    • ขยายช่องทางออนไลน์และส่งออก
    • พัฒนาโมเดลธุรกิจที่เข้าถึงได้ง่ายและแตกต่าง
  3. ภาครัฐและนโยบาย
    • ขยายผลแผน “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ให้เป็นนโยบายระดับชาติ
    • สนับสนุนทุนวิจัย แพลตฟอร์มประชาสัมพันธ์ และการเข้าถึงเงินทุน
    • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่ง บรรจุภัณฑ์ และลอจิสติกส์

เชียงรายไม่ใช่แค่แหล่งปลูกกาแฟ แต่คือเมืองแห่งอนาคต

เชียงรายกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไม่ใช่แค่เรื่องของการเกษตร แต่คือการออกแบบเศรษฐกิจอย่างชาญฉลาด ที่เชื่อมโยงผู้ผลิต นวัตกรรม วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน

หากเดินตามแนวทางอย่างต่อเนื่อง เชียงรายจะไม่ใช่แค่ “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ของไทย แต่จะเป็นหนึ่งใน “จุดหมายกาแฟระดับโลก” ที่สร้างทั้งรายได้ ความยั่งยืน และความภาคภูมิใจให้กับคนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย
  • งานวิจัย “จมูกอิเล็กทรอนิกส์วิเคราะห์กาแฟ GI” ปี 2567
  • รายงานการตลาด Specialty Coffee ปี 2567 โดย TCEB และ Cluster Coffee Lab
  • บันทึกการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเมืองแห่งชาและกาแฟ จังหวัดเชียงราย (3 พ.ค. 2565)
  • CCL Chiangrai Coffee Lovers
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

THACCA จัดใหญ่ 12 จังหวัดซ้อม Pitch แผนพัฒนาเมืองสู่เวทีโลก

 “อวดเมือง Pitching” เวทีปลุกพลัง 12 จังหวัดสร้างสรรค์เทศกาลระดับชาติ เตรียมชิงเจ้าภาพแลนด์มาร์คเทศกาลในงาน THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2025

กรุงเทพฯ, 19 มิถุนายน 2568 –  ในยุคที่ Soft Power กลายเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เมืองทั่วประเทศต่างตื่นตัวกับโอกาสใหม่ผ่านการต่อยอดทุนวัฒนธรรม สู่เทศกาลที่โดดเด่นและมีอัตลักษณ์ของตนเอง ล่าสุดกรุงเทพฯ เปิดบ้านต้อนรับ 12 จังหวัดเข้าร่วมโครงการ “อวดเมือง Pitching” เพื่อเฟ้นหาจังหวัดเจ้าภาพแลนด์มาร์คเทศกาลท่องเที่ยวไทยปี 2569 ที่จะเป็นต้นแบบของเมืองน่าลงทุน น่าอยู่ และน่าเที่ยว บนเวที THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2025

จุดเริ่มต้นและเป้าหมาย

เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ณ ห้องบอลรูม โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) และ Thailand Creative Culture Agency (THACCA) จัดกิจกรรม Mentoring Workshop ภายใต้โครงการ “อวดเมือง Pitching” โดยคัดเลือก 12 จังหวัดต้นแบบจากนักจัดเทศกาลทั่วประเทศ ผ่านกระบวนการนำเสนอแนวคิดและไอเดียเทศกาลท้องถิ่นที่ทรงพลัง

งานนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อยกระดับเทศกาลท้องถิ่นให้กลายเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาเมือง โดยผลักดันให้แต่ละจังหวัดสร้างจุดขายใหม่บนฐานทุนทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของท้องถิ่น พร้อมรองรับการเป็นเจ้าภาพเทศกาลใหญ่ระดับประเทศในอนาคต

 “Chiang Rai BREW Festival” พลิกวิถีล้านนา สู่ Soft Power

การเลือก Chiang Rai BREW Festival เป็นแลนด์มาร์คเทศกาลนำร่อง เกิดจากแนวคิดที่ผสานอัตลักษณ์ท้องถิ่นเข้ากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเทศกาลนี้หยิบ “ชา” และ “กาแฟ” ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของเชียงรายมาเป็นหัวใจหลัก สะท้อนรากเหง้าทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญา และพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ริเริ่มส่งเสริมการปลูกกาแฟบนพื้นที่สูง ทดแทนพืชเสพติด เมื่อครั้งพระราชทานต้นกาแฟให้ชนเผ่าบนดอยช้าง และสืบสานสู่ชาอัสสัมพันธุ์ล้านนาของดอยแม่สลอง

เทศกาลนี้ไม่ได้เป็นเพียงงานเฉลิมฉลอง หากแต่เป็นเวทีบูรณาการทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการ สถาบันการศึกษา ภาครัฐ เอกชน และชุมชนชาติพันธุ์ เชื่อมโยงให้เกิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สร้างรายได้จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิมสู่สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม

เวิร์กช็อปเข้มข้น เสริมแกร่งทุกมิติ

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และรองประธานคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “จากรากวัฒนธรรมสู่พลังสร้างชาติ : การขับเคลื่อน Soft Power ไทยผ่านเทศกาลท้องถิ่น” สะท้อนบทบาทของงานเทศกาลในฐานะสะพานเชื่อมทุนวัฒนธรรมและเศรษฐกิจยุคใหม่

นอกจากเวทีความรู้ ยังมี 7 MENTORS ตัวจริงระดับประเทศจากอุตสาหกรรม MICE และเทศกาล มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ติดอาวุธไอเดีย และให้คำแนะนำเจาะลึกในทุกมิติ ตั้งแต่การบริหารจัดการเทศกาลให้ยั่งยืน กลยุทธ์สร้างมูลค่าเพิ่ม การตลาดสร้างแบรนด์เมือง ไปจนถึงการพัฒนา Content ที่สามารถตอบโจทย์นักลงทุน นักท่องเที่ยว และผู้อยู่อาศัยอย่างครบถ้วน

สู่รอบ Final City Pitching เวที Soft Power แห่งชาติ

ผลจากกิจกรรม Mentoring Workshop ครั้งนี้ จะถูกนำไปใช้ต่อยอดในเวที Final City Pitching รอบสุดท้าย ภายใต้ธีม “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” ในงาน THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8–11 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 1–4 ชั้น G โดยแต่ละจังหวัดจะได้อวดแลนด์มาร์ค “ชวนเมือง Dream Box” ที่บูธเมืองพาวิลเลียน พร้อมนำเสนอแนวคิดและศักยภาพในฐานะเจ้าภาพเทศกาลปี 2569

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์และเทศกาลในประเทศไทย เมื่อจังหวัดต่าง ๆ ได้รับโอกาสในการแสดงศักยภาพ สร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญ และขยายโอกาสทางเศรษฐกิจสู่เวทีนานาชาติ

วิเคราะห์และบทสรุป

โครงการ “อวดเมือง Pitching” ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันนำเสนอแผนพัฒนาเมืองเท่านั้น หากแต่เป็นเวทีบ่มเพาะผู้นำเทศกาลท้องถิ่นรุ่นใหม่ เสริมพลังท้องถิ่นด้วยทุนวัฒนธรรม และผลักดัน Soft Power ไทยให้ขยายสู่ระดับโลกอย่างยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชน ตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางเทศกาลสร้างสรรค์ของภูมิภาคอาเซียน

การเดินหน้าปั้นแลนด์มาร์คเทศกาลทั่วประเทศในปีนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญที่เชื่อมโยงชุมชน ท้องถิ่น และความคิดสร้างสรรค์ ให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่อย่างแท้จริง

Soft Power – จุดแข็ง จุดท้าทาย ของเชียงราย

Chiang Rai BREW Festival สะท้อนความกล้าในการต่อยอด Soft Power ไทยให้ก้าวพ้นกรอบศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิม สู่การใช้ “พืชเศรษฐกิจ” อย่างชากาแฟเป็นเครื่องมือสร้างภาพจำใหม่ และพลิกบริบทการท่องเที่ยวสู่สายประสบการณ์ การเชื่อมโยงเทศกาลนี้กับพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 และแนวคิดพัฒนาที่ยั่งยืนของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและแรงบันดาลใจอย่างลึกซึ้ง

อย่างไรก็ตาม การดันชากาแฟเป็นซอฟต์พาวเวอร์หลักของเชียงรายอาจเผชิญข้อท้าทายในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่ยังยึดติดภาพจำเดิมของ Soft Power ไทย แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากเชียงรายสามารถผสานเรื่องเล่าและประสบการณ์เข้ากับการท่องเที่ยว อาจเป็นโมเดลใหม่ของเทศกาลสร้างสรรค์ไทยในเวทีโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • Thailand Creative Culture Agency (THACCA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI LIFESTYLE

กาแฟ ‘เชียงราย’ โกอินเตอร์ ผลักดันไมซ์ สร้างเศรษฐกิจชุมชน

จุดเริ่มต้นสู่เวทีระดับประเทศ เชียงรายร่วมขับเคลื่อนไมซ์ไทย

สุราษฎร์ธานี, 9 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงราย โดยการนำของ นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (Chiang Rai Coffee Lovers – CCL) ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานระดับประเทศ MICE City Summit 2025 และ Samui MICE Bazaar 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6–8 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมโนราบุรี รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

การเข้าร่วมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันสินค้าท้องถิ่นของเชียงราย โดยเฉพาะ “กาแฟเชียงราย” สู่ตลาดไมซ์ (MICE) ระดับประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ภาครัฐมุ่งสนับสนุนให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19

กาแฟเชียงรายจากชุมชนสู่แบรนด์ระดับประเทศ

“กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย” หรือ CCL ก่อตั้งขึ้นโดย นายพงศกร อารีศิริไพศาล มีจุดประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมกาแฟในท้องถิ่นและยกระดับมาตรฐานกาแฟให้สามารถแข่งขันในตลาดระดับชาติและสากล ปัจจุบันกลุ่มมีสมาชิกประกอบด้วยเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ร้านกาแฟ และผู้บริโภคจำนวนมาก กระจายอยู่ทั่วจังหวัดเชียงราย

กาแฟที่นำเสนอในงานเป็น กาแฟคุณภาพระดับ Specialty และ Commercial Grade ที่ผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถันจากไร่ในเขตแม่สรวย แม่จัน และเวียงป่าเป้า ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ที่มีสภาพภูมิอากาศเหมาะสมต่อการปลูกกาแฟชั้นดี

ภายในงาน Samui MICE Bazaar 2025 กลุ่ม CCL ได้รับโอกาสในการจัดบูธแสดงสินค้า เจรจาธุรกิจ และเข้าร่วมกิจกรรมแข่งขัน “The MICE Masterpiece Challenge” โดยใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น เช่น เมล็ดกาแฟแปรรูป น้ำผึ้งป่า และสมุนไพรพื้นบ้าน รังสรรค์เป็นเมนูอาหารว่างร่วมสมัย สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของเชียงราย

ขยายโอกาสไมซ์ เชียงรายกับศักยภาพรองรับงานระดับชาติ

เชียงรายในปัจจุบันเริ่มปรับตัวสู่เมืองรองรับอุตสาหกรรมไมซ์ โดยภาครัฐและเอกชนได้ร่วมกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับกิจกรรมไมซ์ เช่น ศูนย์ประชุมและนิทรรศการขนาดกลาง โรงแรมระดับมาตรฐาน รวมถึงเครือข่ายธุรกิจในพื้นที่ที่สามารถรองรับกลุ่มผู้เดินทางเพื่อจัดประชุม สัมมนา และแสดงสินค้า

ข้อมูลจากกลุ่ม CCL ระบุว่า พื้นที่ของกลุ่มสามารถรองรับกลุ่มไมซ์ได้ระหว่าง 40–50 คนต่อรอบกิจกรรม โดยเน้นประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมกาแฟ ผ่านกิจกรรมเวิร์กช็อป ชิมกาแฟ และการเรียนรู้เรื่องราวของต้นกาแฟในระดับชุมชน ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

งานใหญ่ระดับประเทศ Samui MICE Bazaar × MICE City Summit 2025

งาน MICE Bazaar 2025 และ MICE City Summit 2025 ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB กับภาคีเครือข่ายทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการไมซ์ทั่วประเทศ

MICE Bazaar 2025 เน้นการสร้างเครือข่ายธุรกิจในรูปแบบ B2B เจรจาธุรกิจระหว่างผู้ซื้อจาก 4 ภาค กับผู้ประกอบการในพื้นที่มากกว่า 35 ราย ส่วน MICE City Summit 2025 เป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ด้านกลยุทธ์การพัฒนาไมซ์ในยุคดิจิทัล ผ่านการบรรยายในหัวข้อ “MICE Marketing Leadership: Strategies for the Digital Age”

นอกจากนี้ ยังมีเวทีเสวนา การแข่งขันด้านอาหาร และกิจกรรมส่งเสริมชุมชนท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อนให้พื้นที่ไมซ์เมืองรองอย่างเกาะสมุย กลายเป็นจุดหมายของนักเดินทางธุรกิจ และนักลงทุนไมซ์จากทั่วโลก

เชียงรายกับยุทธศาสตร์ไมซ์ที่ยั่งยืน

การปรากฏตัวของเชียงรายในเวทีระดับประเทศครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการโปรโมตกาแฟท้องถิ่น แต่ยังสะท้อนภาพของ “เมืองไมซ์ทางวัฒนธรรม” ที่กำลังก้าวสู่ระดับชาติอย่างมั่นคง จุดแข็งของเชียงรายอยู่ที่ทรัพยากรธรรมชาติ ประเพณีท้องถิ่น และผลิตภัณฑ์ที่มีภูมิปัญญาชุมชนรองรับ เช่น กาแฟ ชา สมุนไพร ผ้า และของแปรรูป

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เชียงรายยังต้องเร่งพัฒนาคือโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบขนส่ง การสื่อสาร รวมถึงบุคลากรด้านการบริการไมซ์ที่ต้องผ่านการอบรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของนักเดินทางกลุ่มใหม่ที่ต้องการประสบการณ์เฉพาะตัว (personalized experience)

สถิติที่เกี่ยวข้อง ณ พฤษภาคม 2568

  • มูลค่าตลาดกาแฟในจังหวัดเชียงราย: 465 ล้านบาท/ปี (ที่มา: สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย)
  • จำนวนกลุ่มธุรกิจกาแฟในจังหวัดเชียงราย: 183 กลุ่ม/กิจการ (ที่มา: กลุ่ม CCL และสสว.)
  • จำนวนนักเดินทางไมซ์ในเชียงรายปี 2567: 78,430 คน (ที่มา: TCEB – สำนักงานภาคเหนือ)
  • ศักยภาพพื้นที่รองรับไมซ์ในเชียงราย: 10 สถานที่หลักที่รองรับได้ 30–500 คน/กิจกรรม
  • การเติบโตของธุรกิจไมซ์ไทย (รวม): ขยายตัวเฉลี่ย 7.2% ต่อปี (ข้อมูลจาก TCEB)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

กระตุ้นนักเดินทาง ดันเชียงใหม่ เชียงราย จัดประชุมจุดเด่นภูมิศาสตร์ ปลูกชาและกาแฟชั้นเลิศ

 

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่งเสริมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม MICE (Meetings, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions) ซึ่งขยายตัวต่อเนื่อง ครึ่งปีแรก 2566 สร้างรายได้แล้ว 2.5 หมื่นล้านบาท พร้อมส่งเสริมแผนงานบูรณาการผลักดันอุตสาหกรรม MICE ให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางจัดการประชุมใน 4 ภูมิภาค ด้วยการใช้จุดเด่นด้านอาหาร วัฒนธรรม และความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ดึงดูดนักเดินทาง MICE สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในประเทศ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB เผยอัตราการเติบโตของนักเดินทาง MICE ในไทย ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากในช่วงครึ่งปีงบประมาณ 2566 มีจำนวนนักเดินทาง MICE ในประเทศ จำนวน 10,974,350 คน สร้างรายได้กว่า 25,016 ล้านบาท พร้อมคาดการณ์ว่า สิ้นปีงบประมาณ 2566 นี้ จะมีจำนวนนักเดินทาง MICE ในประเทศ รวม 17,790,000 คน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 59,000 ล้านบาท 

TCEB ได้เตรียมแผนงานบูรณาการผลักดันอุตสาหกรรม MICE ภายใต้แนวคิด “มิติไมซ์ มิติใหม่ ไมซ์ดีดีที่เมืองไทย” ซึ่งได้กำหนดโครงสร้างฝ่ายงานส่งเสริม MICE ในประเทศ 360 องศา ให้ตอบโจทย์กลุ่มนักเดินทาง MICE ทั้งการพัฒนาสินค้าบริการ พื้นที่ สถานที่จัดงาน ผู้ประกอบการ ชุมชน และเครือข่ายในพื้นที่ รวมถึงการพัฒนาแคมเปญส่งเสริมการตลาด สนับสนุน การสื่อสารการตลาดครบวงจร ซึ่งในปี 2566 นี้ TCEB เน้นย้ำการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการผ่านสำนักงาน MICE ใน 4 ภูมิภาคของไทย ซึ่งมีการดำเนินการต่าง ๆ ดังนี้

– ภาคเหนือ นำเสนอการเป็นจุดหมายปลายทางด้านวัฒนธรรม แหล่งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ส่งเสริมการจัดงานประชุมทางด้านชาและกาแฟระดับนานาชาติ เช่น เชียงใหม่ และเชียงราย โดยอาศัยจุดเด่นทางภูมิศาสตร์ที่เป็นแหล่งเพาะปลูกชาและกาแฟชั้นเลิศ
– ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นตำแหน่งที่ตั้งเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ประตูสู่การท่องเที่ยวชายแดนและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยออกแบบเส้นทาง MICE “อีสานไมซ์ ไร้คาร์บอน” (ISAN MICE Neutral Carbon Routing) จัดทำโปรแกรมการเดินทาง MICE 3 วัน 2 คืน ตลอดทริปจะมีการวัดค่าการปล่อยคาร์บอน เพื่อคำนวณหาจำนวนการปล่อยคาร์บอนต่อคนต่อทริป
– ภาคกลาง ถือเป็นศูนย์กลางการจัดงาน MICE ระดับนานาชาติของประเทศ โดยมีงานใหญ่เตรียมจัดงานมากมาย เช่น งาน GMS Logistic งาน CVTEC MICE Business Roadshow 2023 และงาน EEC Cluster Fair เพื่อส่งเสริมเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมทั้งจะขยายพื้นที่ศักยภาพไปยังจังหวัดอื่น ๆ ในภาค เช่น จังหวัดกาญจนบุรี และประจวบคีรีขันธ์ 
– ภาคใต้ ส่งเสริมอัตลักษณ์ภาคใต้กับโครงการพัฒนาสินค้าและบริการของอุตสาหกรรมเรือสำราญและอาหารพื้นถิ่น โดยเตรียมจัดงาน MICE Bazaar ครั้งที่ 2 เปิดเวทีซื้อขายสินค้าบริการของอุตสาหกรรม MICE ณ เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในเดือนกันยายน 2566

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมการทำงานอย่างแข็งขันเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรม MICE อย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมั่นว่าแผนงานการจัดงาน MICE ทั้ง 4 ภูมิภาคของประเทศจะสามารถกระตุ้นให้เกิดการเดินทางและช่วยกระจายรายได้ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน ทั้งผู้ประกอบการ ชุมชน ธุรกิจ ตลอดจนการจ้างงาน และเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรม MICE จะเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจไทยให้หมุนเวียนเติบโต” นายอนุชาฯ กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ยกระดับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเชียงราย สู่ Product MICE Premium

 

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 66 นายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดการประชุมกิจกรรมการยกระดับการพัฒนาและการมีส่วนร่วมของชุมชนสู่ Product MICE Premium ครั้งที่ 2 จังหวัดเชียงราย โดยมีนายสุวัชชัย นิมมานเทวินทร์ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ภาคเหนือ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการ เข้าร่วม ที่ โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น อำเภอเมืองเชียงราย

 
ด้วยสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) สสปน. หรือ ทีเส็บ ผู้ดำเนินโครงการกิจกรรมการยกระดับการพัฒนาและการมีส่วนร่วมของชุมชนสู่ Product MICE Premium ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของจังหวัดเชียงราย มาสร้างเสน่ห์ที่แตกต่างเพื่อส่งมอบสินค้าและบริการของกิจกรรมไมซ์ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายหลายภาคส่วนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งการประชุมในครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งที่ 2 และเป็นการสรุปผลการคัดเลือกสินค้าและบริการจาก 14 ชุมชนให้เหลือ 5 ชุมชน ที่จะเป็นตัวแทนในการนำผลิตภัณฑ์ของท้องถิ่นในจังหวัดเชียงรายไปเผยแพร่ และจะได้รับการต่อยอด พัฒนาเป็นสินค้าหรือ ของชำร่วย ของที่ระลึก สร้างความประทับใจแก่นักเดินทางไมซ์ต่อไป
 
นายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่มีศักยภาพ ซึ่งจังหวัดเชียงรายเป็น 1 ใน 4 จังหวัดเป้าหมายของพื้นที่ภาคเหนือ ในการทำการตลาดเมือง (Destination Marketing) เพื่อมุ่งนำเสนออัตลักษณ์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชนผ่านกลไกไมซ์เพื่อชับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างรายได้ และพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ ชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับเชียงรายเป็นไมซ์ชิตี้ในอนาคต
 
ที่ผ่านมาจังหวัดเชียงราย ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของจังหวัดเชียงรายมาโดยตลอด ซึ่งสอดคล้องกับกิจกรรมยกระดับพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเชียงรายของทีเส็บ ที่จะนำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาสร้างเสน่ห์ที่ป็นอัตลักษณ์ มีความแตกต่างหลากหลาย เป็นสินค้าและบริการที่เกิดจากการทำงานของเครือข่ายหลายภาคส่วนในพื้นที่ มีกระบวนการคัดเลือกสินค้าและบริการจากชุมชนต่างๆ เพื่อให้ได้ตัวแทนชุมชนที่มีคุณภาพ ในนามผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของจังหวัดเชียงราย เพื่อนำไปเผยแพรให้เป็นที่รับรู้ได้กว้างขวาง และสามารถนำไปขยายผลเพิ่มเติม สร้างประโยชน์ สร้างรายได้ สร้างความเข้มแข็ง ให้ชุมชนของจังหวัดเชียงราย อย่างยั่งยืนต่อไป
 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

เชียงราย เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ ชุมชน-ตอบโจทย์ นักเดินทางกำลังซื้อสูง

เชียงราย เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ ชุมชน-ตอบโจทย์ นักเดินทางกำลังซื้อสูง

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 ที่ร้านสวรรค์บนดิน ฟาร์ม แอนด์ ที ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย นายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการบูรณาการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ ไมซ์สร้างสรรค์ รวมพลังชุมชนภาคเหนือยกระดับการพัฒนา และการมีส่วนร่วม สู่ Product MICE Premium จังหวัดเชียงราย โดยมีนางศุภาดา ชัยวงษ์ ผู้แทนสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) นำหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เข้าร่วม ซึ่งผู้เข้าร่วมการประชุมจะได้รับความรู้จากวิทยากรผู้ชำนาญการ รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลของผู้ประกอบการด้วยกัน เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการส่งเสริมช่องทางการตลาดอีกด้วย

นางศุภาดา ชัยวงษ์ ผู้แทนสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า Product MICE Premium โปรเจ็กต์ของทีเส็บ (TCEB) สำนักงานภาคเหนือ เป็นโครงการสนับสนุนการนำอัตลักษณ์ หรือภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นสินค้าโดยช่างฝีมือท้องถิ่น เช่น อาหาร ของชำร่วย หรือของฝาก ตอบโจทย์นักเดินทางไมซ์ (นักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง) ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม ยกระดับการพัฒนาสินค้าผ่านวัฒนธรรม วิถีชีวิต และทรัพยากรชุมชนให้เกิดประโยชน์ กระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงสร้างความแตกต่างให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเกิดความประทับใจ

ด้านนายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายเป็น 1 ใน 4 ของพื้นที่ภาคเหนือ ที่ทางทีเส็บให้ความสำคัญ ในฐานะเมืองที่มีศักยภาพ ทั้งยังเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ มีพรมแดนเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน (ลาว และเมียนมา) ซึ่งสามารถใช้กลไกไมซ์ เป็นเครื่องมือสร้างเครือข่ายในการบริหารจุดแข็งร่วมกัน และเตรียมพร้อมสู่การขยายความร่วมมือไปยังประเทศในกลุ่มอนุภาคลุ่มน้ำโขง หรือ Greater Mekong Subregion (GMS) ในอนาคต และยังเป็นชุมชนที่มีเอกลักษณ์หลากหลายทางชาติพันธุ์ ซึ่งสินค้าของที่ระลึก หรือของชำร่วยเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว หากได้รับการพัฒนาให้สินค้าที่สามารถสะท้อนอัตลักษณ์ที่โดดเด่น ของจังหวัดเชียงรายได้ จะทำให้เป็นที่จดจำสำหรับผู้มาเยือน

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวต่อไปว่า การพัฒนาสินค้าหรือของชำร่วย จึงจำเป็นต้องดำเนินการโดยอ้างอิงข้อมูลอื่น ที่เป็นตัวตนของจังหวัดเชียงราย ทำให้สินค้าหรือของชำร่วยของเรา มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่น เป็นที่จดจำ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มคุณค่าสินค้าให้ดูดี น่าใช้ น่าซื้อ อยู่ในระดับพรีเมี่ยม และสามารถนำไปใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ต่อไป
Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE