Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

4 จังหวัดเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ! เปลี่ยนโหมดบริหารสู่การแก้ฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน

“เขตควบคุมมลพิษ” ใน 4 จังหวัดภาคเหนือ—เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แม่ฮ่องสอน—ครอบคลุมช่วงเดือนวิกฤตของทุกปี การขยับตัวนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนป้ายชื่อพื้นที่ แต่เป็นการเปลี่ยน “โหมดการบริหาร”

เชียงราย, 20 สิงหาคม 2568 — ปัญหาฝุ่นควันข้ามฤดูกาลในภาคเหนือ—โดยเฉพาะ “ช่วงวิกฤต” ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์–พฤษภาคม—ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่ “ใหม่และสำคัญ” คือกรอบกฎหมายและคำพิพากษาที่กำลังผลักดันให้การแก้ปัญหาเดินหน้าอย่างเป็นระบบและวัดผลได้จริง หลังศาลปกครองสูงสุดสั่งการให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ใช้อำนาจตามมาตรา 59 แห่ง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ เพื่อกำหนด “เขตควบคุมมลพิษ” ใน 4 จังหวัดภาคเหนือ—เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แม่ฮ่องสอน—ครอบคลุมช่วงเดือนวิกฤตของทุกปี การขยับตัวนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนป้ายชื่อพื้นที่ แต่เป็นการเปลี่ยน “โหมดการบริหาร” จากการรับมือรายวัน ไปสู่การวางแผนแบบมีกลไก บทบาท และหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดชัดเจน ตั้งแต่การจัดทำแผนลดและขจัดมลพิษ ไปจนถึงการติดตามประเมินผลและการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง (อ้างคำพิพากษาและการอธิบายอำนาจตามกฎหมาย)

“ทำความเข้าใจกรอบกฎหมายเดียวกัน และจัดลำดับงานให้เห็นผลทันก่อนฤดูกาลฝุ่นปีหน้า”

ในห้องประชุมชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ภาพบนจอวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เชื่อมผู้บริหาร 4 จังหวัดภาคเหนือเข้าหากัน แนวทางประกาศ “เขตควบคุมมลพิษ” ถูกยกเป็นวาระเร่งด่วนของการประชุมชี้แจง โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ณ จุดศูนย์กลาง พร้อมด้วยนางกัญชลี นาวิกภูมิ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ร่วมชี้แจงจากจังหวัดเชียงใหม่ เป้าหมายคือ “ทำความเข้าใจกรอบกฎหมายเดียวกัน และจัดลำดับงานให้เห็นผลทันก่อนฤดูกาลฝุ่นปีหน้า” ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังผูกโยงการทำงานเข้ากับ “วาระแห่งชาติการแก้ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2568–2570)” เพื่อให้มาตรการภาคพื้นที่ไปในทิศทางเดียวกับยุทธศาสตร์ระดับชาติที่คณะรัฐมนตรีเพิ่งเห็นชอบเมื่อกลางปีนี้

จาก “คำสั่งศาล” สู่ “กลไกกฎหมาย” เขตควบคุมมลพิษหมายถึงอะไร

หัวใจของมาตรา 59 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 อยู่ที่การให้อำนาจรัฐกำหนด “เขตควบคุมมลพิษ” เมื่อปรากฏเหตุให้ต้องควบคุม ลด หรือขจัดมลพิษอย่างเข้มข้นในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เมื่อประกาศแล้ว กฎหมายจะเปิดสวิตช์มาตรการเฉพาะพื้นที่ ทั้งด้านการควบคุมแหล่งกำเนิด การติดตามคุณภาพอากาศ การสื่อสารความเสี่ยงเชิงรุก และการระดมความร่วมมือข้ามหน่วยงาน โดยมี “แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ” ตามมาตรา 60 เป็นเครื่องมือนำทาง ส่วนมาตรา 37–39 วางบทบาทให้จังหวัดจัดทำ “แผนสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด” สอดรับกับสถานการณ์และทรัพยากรที่มี เพื่อไม่ให้แผนบนกระดาษขาดตอนกับการปฏิบัติจริง

ก้าวยาวของกระบวนการยุติธรรม

คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่สั่งให้ประกาศเขตควบคุมมลพิษ 4 จังหวัดภาคเหนือ ชี้เหตุผลเชิงสัดส่วนระหว่าง “สิทธิในสุขภาพและชีวิตที่ปลอดภัยของประชาชน” กับ “ประโยชน์สาธารณะด้านภาพลักษณ์และเศรษฐกิจ” และลงท้ายด้วยข้อสั่งการเชิงปฏิบัติให้ใช้อำนาจตามมาตรา 59 ครอบคลุมช่วงเดือนกุมภาพันธ์–พฤษภาคมของทุกปีซึ่งเป็นหน้าต่างเวลาวิกฤตของฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือ การยกระดับปัญหาเข้าสู่กลไกตามกฎหมายจึงเป็นก้าวสำคัญที่จะผูก “ความรับผิดชอบ” เข้ากับ “เส้นตาย” และ “ตัวชี้วัด” อย่างเป็นระบบ แทนการแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า

ตัวเลขชวนคิด มาตรฐานไทย–แนวทางโลก–ภาวะเสี่ยงสุขภาพ

ประเทศไทยปรับเข้ม “ค่ามาตรฐาน PM2.5 ราย 24 ชั่วโมง” จาก 50 เหลือ 37.5 ไมโครกรัม/ลบ.ม. เพื่อสะท้อนหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์เรื่องผลกระทบสุขภาพและให้เท่าทันสถานการณ์ ในขณะที่แนวทางแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO AQG 2021) เสนอค่าระดับเป้าหมายยิ่งเข้มกว่าไว้ที่ 15 ไมโครกรัม/ลบ.ม.—ตัวเลขสองชุดนี้ช่วยอธิบายว่าเหตุใดพื้นที่ที่ “อยู่ต่ำกว่ามาตรฐานไทย” ยังอาจไม่ “ปลอดภัย” สำหรับกลุ่มเสี่ยง และเหตุใดการสื่อสารความเสี่ยงเชิงรุกจึงสำคัญไม่แพ้มาตรการควบคุมแหล่งกำเนิด

แพทย์เตือนอะไร—และประชาชนควรทำอย่างไร

คู่มือการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุขต่อสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ที่เผยแพร่ปี 2568 ย้ำให้หน่วยบริการและท้องถิ่นติดตามคุณภาพอากาศแบบรายวัน จัดเตรียมหน้ากากที่มีประสิทธิภาพ (เช่น มาตรฐานเทียบเท่า N95) ให้กลุ่มเปราะบาง ตั้งจุดปลอดฝุ่น (clean air shelter) และสื่อสารคำแนะนำสุขภาพเฉพาะพื้นที่อย่างต่อเนื่อง—ทั้งหมดนี้ต้อง “มาทีมเดียวกัน” ระหว่างฝ่ายสาธารณสุขกับฝ่ายปกครอง เมื่อพื้นที่เข้าสู่สถานะเขตควบคุมมลพิษ.

ฉากประชุมวันนี้ เปิดจอ–ไล่ภารกิจ–นับถอยหลังก่อนฤดูกาลฝุ่น

การประชุมทางไกลที่เชียงรายวันนี้มีสามวาระหลัก (1) ชี้แจงความหมายและผลทางกฎหมายของ “เขตควบคุมมลพิษ” และขั้นตอน/บทบาทของหน่วยงานในพื้นที่ (2) กำหนดกรอบการจัดทำ “แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ” (มาตรา 60) ให้ทันบังคับใช้ก่อนฤดูวิกฤตปีหน้า โดยยึดกรอบวาระแห่งชาติ PM2.5 ฉบับที่ 2 (2568–2570) เป็นแกน และ (3) จัดกลไกสื่อสารความเสี่ยงและแจ้งเตือนประชาชนแบบ “หนึ่งเสียง” ตั้งแต่ระดับตำบล/เทศบาลขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่เข้าใจง่ายและทันเวลา พร้อมมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจหรือโรคหัวใจ

การ “จับคู่ภารกิจ–ตัวชี้วัด–เส้นตาย” ถูกย้ำตลอดการประชุม เช่น การนับวันถอยหลังสู่เดือนกุมภาพันธ์—ก่อนถึงเวลานั้น แผนจังหวัดต้องตอบได้ว่า “แหล่งกำเนิดไหนลดเท่าไร ใครรับผิดชอบ และติดตามผลอย่างไร” ขณะที่ภาคประชาสังคมและสถาบันการศึกษาจะเข้ามาเสริมฐานข้อมูลจุลภาคและออกแบบระบบแจ้งเตือนที่ประชาชนเข้าถึงจริง

เมื่อ “เขตควบคุมมลพิษ” ลงสู่พื้นที่จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

การบังคับใช้มาตรการชั่วคราวเฉพาะฤดูกาล : ช่วง ก.พ.–พ.ค. หน่วยงานรัฐสามารถออกเงื่อนไขการควบคุมแหล่งกำเนิดชั่วคราว (เช่น การจำกัดกิจกรรมกลางแจ้งในบางช่วง การเข้มตรวจควันดำ/ควันขาว การห้ามเผาในที่โล่งอย่างมีข้อยกเว้นที่ชัดเจน และการเพิ่มความถี่ตรวจโรงงาน/ลานตากการเกษตร) โดยทั้งหมดต้องยึดหลักความจำเป็นและสัดส่วนตามที่กฎหมายกำหนด และการสื่อสารความเสี่ยงแบบแบ่งระดับ เมื่อค่าฝุ่นเข้าใกล้/เกินมาตรฐาน การแจ้งเตือนต้องระบุ “ทำอะไร–กับใคร–เมื่อใด” เช่น ระดับเตือนกลุ่มเสี่ยงให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง พร้อมเปิดจุดปลอดฝุ่นในศูนย์ชุมชน โรงเรียน หรือ รพ.สต. การติดตามและประเมินผลจังหวัดต้องรายงานผลมาตรการตามแผนมาตรา 60 และผนวกเข้ากับแผนสิ่งแวดล้อมจังหวัด (มาตรา 37–39) เพื่อไม่ให้มาตรการเฉพาะฤดูถูก “รีเซ็ตใหม่” ทุกปี

ทั้งหมดนี้คือการทำให้ “ความรับผิดชอบเชิงกฎหมาย” กลายเป็น “ผลลัพธ์เชิงสุขภาพและเศรษฐกิจ” ที่ตรวจสอบได้

มองเชิงระบบ: ทำไม “แผนจังหวัด” ต้องล็อกกับ “วาระแห่งชาติ”
วาระแห่งชาติการแก้ฝุ่น PM2.5 ฉบับที่ 2 (2568–2570) ที่ ครม. เห็นชอบ กำหนดทั้งมาตรการระยะเร่งด่วนและระยะยาว ตั้งแต่การจัดการเชื้อเพลิงการเกษตร (agri-residue) การปรับพฤติกรรมการขนส่งและยานยนต์ การยกระดับการตรวจวัดและเปิดเผยข้อมูล ไปจนถึงความร่วมมือข้ามพรมแดนในประเด็นหมอกควันภูมิภาคลุ่มน้ำโขง การที่ 4 จังหวัดจะยกเครื่องสู่ “เขตควบคุมมลพิษ” จึงต้อง “ล็อกเป้าและภาษานโยบาย” ให้ตรงกับแผนชาติ เพื่อใช้ประโยชน์จากงบกลาง มาตรการจูงใจ และเครือข่ายความร่วมมือที่วางไว้แล้ว ลดการซ้ำซ้อนและเร่งผลลัพธ์ในพื้นที่.

มุมวัดผล ใช้ตัวเลขอะไรติดตามความคืบหน้า

เพื่อให้การขับเคลื่อน “เขตควบคุมมลพิษ” ไม่ใช่แค่คำประกาศ ข่าวชิ้นนี้ขอเสนอ “4 ชุดตัวชี้วัด” ที่จับต้องได้ (และสอดคล้องกับกรอบสาธารณสุข/สิ่งแวดล้อมที่มีอยู่)

  1. คุณภาพอากาศ: จำนวนวัน PM2.5 เกินมาตรฐาน 37.5 µก./ลบ.ม. รายพื้นที่ + ค่าเฉลี่ยความเข้มสูงสุดราย 24 ชั่วโมงในช่วง ก.พ.–พ.ค. (เชื่อม Air4Thai/สถานีเครือข่ายมหาวิทยาลัย)
  2. แหล่งกำเนิด: ปริมาณเชื้อเพลิงการเกษตรที่ถูกนำไปใช้/กำจัดแบบไม่เผา (ตัน) + จำนวนการตรวจโรงงาน/ยานยนต์ควันดำ
  3. สุขภาพ: จำนวนผู้ป่วยกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ/หัวใจที่มารับบริการในช่วงเตือนภัย (เชื่อมระบบเฝ้าระวังของ สธ.)
  4. การสื่อสาร: จำนวนการแจ้งเตือนแบบแบ่งระดับและการเข้าถึง (reach) ของประชาชนในช่องทางจังหวัด/อปท.

“คำถามชวนคิด” ระหว่างทาง

– ถ้าค่ามาตรฐานไทย 37.5 ยังสูงกว่าเป้าหมาย WHO ที่ 15 ไมโครกรัม/ลบ.ม. เราจะตั้ง “เป้าหมายภายใน” ที่เข้มขึ้นสำหรับกลุ่มเสี่ยงได้อย่างไร โดยไม่ขัดกฎหมายแต่ทำให้คนปลอดภัยขึ้น
– เรามีข้อมูลเชื้อเพลิงการเกษตรรายพืช–รายอำเภอครบถ้วนหรือยัง เพื่อวางมาตรการจูงใจเศรษฐกิจ (เศษวัสดุไปเป็นพลังงาน/อาหารสัตว์/วัสดุชีวภาพ) แทนการเผา?
– ในฐานะ “เขตควบคุมมลพิษตามฤดูกาล” จะออกแบบมาตรการชั่วคราวที่ “เข้มพอ–ยุติธรรม–ไม่บั่นทอนเศรษฐกิจท้องถิ่น” อย่างไร โดยยึดหลักสัดส่วนตามที่ศาลวางไว้

เสียงจากโต๊ะประชุม

ผู้แทนจังหวัดย้ำแนวเดียวกัน 3 เรื่อง: หนึ่ง—ต้องเร่งทำความเข้าใจบทบาทของทุกหน่วย ทั้งฝ่ายปกครอง ท้องถิ่น สาธารณสุข ตำรวจ หน่วยป่าไม้ และภาคเอกชน เพื่อปิดช่องว่าง “ใครทำอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร” สอง—ให้เตรียมแผนปฏิบัติการตามมาตรา 60 โดยเลือก “มาตรการไม่เผา” ที่ทำได้จริงในบริบทพื้นที่ และกำหนดกลไกชดเชย/จูงใจชัดเจน สาม—ให้จัดตั้งศูนย์สื่อสารความเสี่ยงระดับจังหวัด เชื่อม รพ.สต.–เทศบาล–กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน เป็นโครงข่ายแจ้งเตือนเดียวกัน ลดความสับสนของประชาชนช่วงค่าฝุ่นแกว่งวันต่อวัน

ในภาพใหญ่ “เขตควบคุมมลพิษ” ไม่ได้ลดบทบาทประชาชน ในทางกลับกัน มันทำให้ “สิทธิรู้เท่าทัน” และ “สิทธิได้รับการคุ้มครอง” ชัดขึ้น—เมื่อค่าฝุ่นสูงไป ทางการต้องบอกล่วงหน้า ต้องเปิดจุดปลอดฝุ่น ต้องมีหน้ากากเพียงพอ และต้องมีมาตรการบรรเทาเฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่ฝากประชาชนแก้ปัญหาด้วยตัวเองเพียงลำพัง

ทางแยกสู่ “ความยั่งยืน”

แม้เขตควบคุมมลพิษจะตอบโจทย์ฤดูกาลวิกฤต แต่การแก้ฝุ่นอย่างยั่งยืนยังพิงปัจจัยโครงสร้าง—เศรษฐกิจการเกษตรที่ลดการพึ่งพาการเผา, ระบบขนส่งที่ปล่อยมลพิษต่ำ, อุตสาหกรรมที่จัดการมลพิษปลายปล่องอย่างโปร่งใส, และความร่วมมือข้ามพรมแดนที่จริงจัง—ทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบใน “วาระแห่งชาติ PM2.5 (2568–2570)” ที่จังหวัดต้องเชื่อมต่อ ไม่ใช่เดินคู่ขนานคนละทิศ เมื่อคำพิพากษาวางกรอบกฎหมายแล้ว สิ่งที่รออยู่ข้างหน้า คือ “กฎของผลลัพธ์” ที่จะวัดจากอากาศที่เด็กๆ สูดได้อย่างปลอดภัยขึ้นในฤดูกาลหน้า

ข้อเท็จจริงเชิงกฎหมาย (สรุปให้เข้าใจง่าย)

• มาตรา 59: หากมีเหตุจำเป็น รัฐสามารถกำหนดพื้นที่ใดเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” เพื่อควบคุม ลด และขจัดมลพิษแบบเข้มข้นตามแผนที่กำหนด
• มาตรา 60: ต้องมี “แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ” ระบุมาตรการ ผู้รับผิดชอบ ระยะเวลา และวิธีติดตามผล
• มาตรา 37–39: จังหวัดต้องมี “แผนสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด” เพื่อบูรณาการมาตรการต่างๆ และจัดสรรทรัพยากรให้ต่อเนื่อง
• คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด (ส.ค. 2568): สั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศ 4 จังหวัดภาคเหนือเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ช่วงเดือน ก.พ.–พ.ค. ของทุกปี โดยอาศัยหลักสัดส่วนเพื่อคุ้มครองสุขภาพประชาชนควบคู่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

เช็กสุขภาพสาธารณะมาตรฐาน–คำแนะนำ–การปฏิบัติ

อย่าลืมว่า “ค่ามาตรฐาน” ไม่ได้แปลว่า “ปลอดภัยสำหรับทุกคน” มาตรฐานไทย 37.5 µก./ลบ.ม. ช่วยให้หน่วยงานมีเกณฑ์ปฏิบัติ แต่มาตรการดูแลกลุ่มเสี่ยงควรขยับเข้มขึ้นสู่ระดับแนะนำของ WHO ที่ 15 µก./ลบ.ม. โดยเฉพาะช่วงค่าฝุ่นแกว่งสูง การเตรียมแผนหน้ากากคุณภาพ จุดปลอดฝุ่น การแจ้งเตือนกิจกรรมภายนอก (เช่น การงดกิจกรรมกลางแจ้งในสถานศึกษาเมื่อค่า AQI/PM2.5 เกินเกณฑ์) ล้วนอยู่ในคู่มือของ สธ. แล้ว และควรถูกยกเป็น “มาตรฐานจังหวัด” เมื่อสถานะเขตควบคุมมลพิษมีผลใช้

จาก “คำพิพากษา” สู่ “อากาศที่หายใจได้”

การเตรียมประกาศ 4 จังหวัดเหนือเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ไม่ได้ตอบโจทย์เฉพาะหน้าเท่านั้น แต่คือการวางรางเหล็กให้ขบวนการทำงานของรัฐ–ท้องถิ่น–ภาคเอกชน–ภาคประชาชน แล่นไปในทิศเดียวกันภายใต้กรอบกฎหมายเดียวกัน ตัวเลขมาตรฐาน PM2.5 ที่เข้มขึ้น เสียงเตือนจากวงการแพทย์ และคำพิพากษาที่วางหลักสัดส่วน ล้วนมาบรรจบกันที่จุดเดียว: สุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนเหนือที่ต้อง “ปลอดภัยขึ้นจริง” ภายในเวลาที่วัดได้—เริ่มจากฤดูกาลหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด สั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติกำหนด 4 จังหวัดเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษช่วง ก.พ.–พ.ค. ของทุกปี (อ้างอิงข่าวสรุปโดยสำนักข่าวอิศรา, 1 ส.ค. 2568)
  • พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
  • ค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศของไทย (PM2.5 ราย 24 ชม. = 37.5 µก./ลบ.ม.
  • WHO Air Quality Guidelines 2021 – ค่าเป้าหมาย PM2.5 ราย 24 ชม. = 15 µก./ลบ.ม. และเหตุผลด้านสุขภาพ
  • แนวทางกระทรวงสาธารณสุขต่อสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 (พ.ศ. 2568)

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ศาลปกครองสูงสุดสั่ง 4 จังหวัดภาคเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ แก้ไขวิกฤต PM2.5

ศาลปกครองสูงสุดสั่ง 4 จังหวัดเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ สู้วิกฤต PM2.5

เชียงราย, 1 สิงหาคม 2568 – ท้องฟ้าสีเทาหม่นที่ปกคลุมภาคเหนือของประเทศไทยทุกฤดูหนาวและต้นฤดูร้อน ได้กลายเป็นฝันร้ายที่คุ้นชินของชาวบ้านในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตและสุขภาพของผู้คนนับแสน ได้ผลักดันให้เกิดการต่อสู้ทางกฎหมายครั้งประวัติศาสตร์ และในวันนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศ 4 จังหวัดดังกล่าวเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมของทุกปี เพื่อยุติวิกฤตที่ยืดเยื้อมานานนับทศวรรษ

จุดเริ่มต้นของการต่อสู้เสียงจากประชาชน

เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากนายภูมิ วชร เจริญผลิตผล ชาวบ้านจากอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากหมอกควันไฟป่าทุกปีจนทนไม่ไหว เขาตัดสินใจยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติต่อศาลปกครองในปี 2566 โดยชี้ว่าหน่วยงานนี้ละเลยหน้าที่ในการจัดการปัญหา PM2.5 ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาคเหนือ “ทุกเช้าที่ตื่นมา ลูกผมไอจนแทบหายใจไม่ออก ผมทนเห็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้” นายภูมิเล่าด้วยน้ำเสียงหนักแน่นในวันแถลงข่าวหลังการพิจารณาคดี

คดีนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ของนายภูมิเพียงคนเดียว แต่เป็นตัวแทนของชาวบ้านนับล้านที่ต้องสูดอากาศพิษเข้าไปในปอดทุกวัน ข้อมูลจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ระบุว่า ในช่วงฤดูหมอกควันระหว่างปี 2561-2564 ผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ โรคตาอักเสบ และโรคผิวหนังใน 4 จังหวัดนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ

การตัดสินใจที่สร้างประวัติศาสตร์

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าของการจัดการมลพิษในประเทศไทย โดยสั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศให้จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอนเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าฝุ่น PM2.5 มักพุ่งสูงเกินมาตรฐานจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ศาลให้เหตุผลว่า คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบถึงปัญหามลพิษ PM2.5 มานาน แต่การดำเนินการที่ผ่านมา เช่น แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ยังไม่เพียงพอที่จะลดระดับมลพิษให้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานได้อย่างต่อเนื่อง ศาลชี้ว่า การที่หน่วยงานนี้ไม่ประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่ที่มีปัญหาวิกฤต ถือเป็นการ “ละเลยต่อหน้าที่” ตามที่กฎหมายกำหนด

อย่างไรก็ตาม ศาลยังคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการปกป้องสุขภาพประชาชนและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการลงทุนในพื้นที่ จึงกำหนดให้การประกาศเขตควบคุมมลพิษมีผลเฉพาะในช่วงเวลาที่ปัญหาหมอกควันรุนแรงที่สุด เพื่อลดผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของจังหวัดเหล่านี้ในช่วงเวลาอื่นของปี

ผลกระทบของคำตัดสิน ก้าวแรกสู่ท้องฟ้าที่ใสสะอาด

การประกาศเขตควบคุมมลพิษจะนำมาซึ่งมาตรการที่เข้มข้นและเป็นรูปธรรมมากขึ้นในการจัดการปัญหา PM2.5 โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจะต้องดำเนินการภายใน 90 วันนับจากวันที่คำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งรวมถึงการออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาและกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษ เช่น การจำกัดการเผาในที่โล่ง การควบคุมมลพิษจากโรงงานและยานพาหนะ และการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิเคราะห์ว่า คำตัดสินนี้จะเป็นแรงกดดันให้หน่วยงานรัฐต้องทำงานอย่างบูรณาการมากขึ้น “การเป็นเขตควบคุมมลพิษจะให้อำนาจแก่หน่วยงานท้องถิ่นในการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด เช่น การปรับผู้ที่เผาในที่โล่งโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการสั่งปิดโรงงานที่ปล่อยมลพิษเกินมาตรฐาน นอกจากนี้ ยังจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีตรวจวัดและควบคุมมลพิษ รวมถึงการให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่”

ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า

แม้คำพิพากษานี้จะเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของประชาชน แต่การแก้ไขปัญหา PM2.5 ในระยะยาวยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ประการแรกคือการจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษที่หลากหลาย ตั้งแต่การเผาในภาคเกษตรกรรม ไฟป่า ไปจนถึงมลพิษข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในระดับท้องถิ่นและนานาชาติ

ประการที่สองคือการสร้างความสมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายและการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น การเผาในที่โล่งมักเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและการทำเกษตรกรรมของชาวบ้านในพื้นที่ การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดโดยไม่มีการให้ทางเลือกที่เหมาะสม เช่น การสนับสนุนเทคโนโลยีการจัดการเศษพืชผลเกษตร อาจสร้างความขัดแย้งและลดความร่วมมือจากชุมชน

สุดท้าย การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับประกันว่ามาตรการต่างๆ จะนำไปสู่การลดมลพิษอย่างยั่งยืน หากในอนาคต ระดับ PM2.5 ลดลงอย่างต่อเนื่องจนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติสามารถพิจารณาเพิกถอนการประกาศเขตควบคุมมลพิษได้ ซึ่งจะเป็นสัญญาณของความสำเร็จในการแก้ไขปัญหานี้

จุดเปลี่ยนของการปกป้องสิ่งแวดล้อม

คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแก้ไขปัญหา PM2.5 ในภาคเหนือเท่านั้น แต่ยังเป็นการย้ำเตือนถึงบทบาทของกระบวนการยุติธรรมในการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการมีสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดี นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงพลังของประชาชนในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงผ่านการใช้สิทธิทางกฎหมาย

ในมุมมองของผู้เขียน คำตัดสินนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่อาจนำไปสู่การจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนมากขึ้นทั่วประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของภาครัฐในการดำเนินการตามคำสั่งศาล ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการสนับสนุนจากประชาชนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดมลพิษ

สู่ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ความหวังของคนเหนือ

สำหรับชาวบ้านอย่างนายภูมิและครอบครัว คำตัดสินในวันนี้คือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ “ผมหวังว่าลูกๆ จะได้หายใจอากาศที่สะอาด และไม่ต้องกลัวว่าวันหนึ่งจะป่วยเพราะฝุ่นควัน” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความหวัง

เมื่อมองไปข้างหน้า การต่อสู้กับวิกฤต PM2.5 ในภาคเหนืออาจเป็นตัวอย่างให้กับพื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทยและทั่วโลก ว่าด้วยพลังของประชาชน ความยุติธรรม และความร่วมมือ เราสามารถเอาชนะภัยคุกคามที่มองไม่เห็นแต่ร้ายแรงนี้ได้ และคืนท้องฟ้าสีครามให้กับลูกหลานของเราในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศาลปกครองสูงสุด: คำพิพากษาคดีนายภูมิ วชร เจริญผลิตผล ฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (1 สิงหาคม 2568)
  • พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, และแม่ฮ่องสอน: รายงานสถิติผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับ PM2.5 (2561-2564)
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” (2566-2568)
  • รายงานสถานการณ์ไฟป่าและมลพิษทางอากาศในภาคเหนือ พ.ศ. 2566-2568, กรมควบคุมมลพิษ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

‘ไดกิ้น’ ส่ง “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ยกระดับอากาศสถานศึกษาเชียงราย

ห้องเรียนปลอดฝุ่นนวัตกรรมเพื่ออนาคตเด็กไทยจากไดกิ้น

เชียงราย, 21 พฤษภาคม 2568 – ในยามที่หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ปกคลุมท้องฟ้าของจังหวัดเชียงราย เด็ก ๆ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้องเผชิญกับภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของพวกเขา อากาศที่ปนเปื้อนมลพิษภายในอาคารกลายเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือที่เผชิญกับปัญหาฝุ่นควันอย่างต่อเนื่อง เรื่องราวของเด็กน้อยวัย 5 ขวบที่ต้องหยุดเรียนบ่อยครั้งเพราะอาการภูมิแพ้กำเริบจากฝุ่นละออง กลายเป็นภาพสะท้อนของความท้าทายที่สถานศึกษาทั่วประเทศกำลังเผชิญ

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ ไดกิ้น ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมระบบปรับอากาศ ได้ก้าวเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการเปิดตัว ห้องเรียนปลอดฝุ่น” โครงการต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ด้านคุณภาพอากาศภายในอาคารแห่งแรกในภาคเหนือ ณ โรงแรมแสนโฮเทล เชียงราย ซึ่งไม่เพียงเป็นการยกระดับมาตรฐานคุณภาพอากาศในสถานศึกษา แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืนสำหรับเด็กปฐมวัยทั่วประเทศไทย

เมื่อภัยเงียบจากฝุ่นละอองรุกคืบ

ในช่วงฤดูหนาวของทุกปี ภาคเหนือของประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านระบบทางเดินหายใจ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด เด็ก ๆ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมักใช้เวลานานในห้องเรียนที่มีระบบระบายอากาศไม่เพียงพอ ทำให้มลพิษจากภายนอกและภายในอาคารสะสมตัว ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วย เช่น ภูมิแพ้ หอบหืด หรือแม้แต่พัฒนาการที่ล่าช้า

ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่พื้นที่เปิดโล่ง แต่ภายในอาคารเองก็เป็นแหล่งสะสมของมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) จากวัสดุก่อสร้าง หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการหายใจของเด็ก ๆ และบุคลากรในห้องเรียนที่หนาแน่น สถานการณ์นี้กลายเป็นแรงผลักดันให้ไดกิ้นและพันธมิตรตระหนักถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาคุณภาพอากาศในสถานศึกษา โดยเฉพาะในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เด็ก ๆ ใช้เวลาเกือบทั้งวัน

การรวมพลังครั้งยิ่งใหญ่ ความร่วมมือเพื่ออนาคต

เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ ไดกิ้นได้จับมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน ได้แก่ กรมอนามัย กรมการปกครอง สมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี รวมถึง บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ร่วมกันพัฒนาโครงการ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ที่สามารถขยายผลไปยังสถานศึกษาอื่น ๆ ทั่วประเทศ

โครงการนี้ได้รับเกียรติจาก นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดตัวเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมแสนโฮเทล เชียงราย พร้อมด้วยผู้บริหารจากหน่วยงานพันธมิตรที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ภายในงานมีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ ปัญหาคุณภาพอากาศภายในอาคารและการจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคารสาธารณะและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของมลพิษทางอากาศและแนวทางการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

ห้องเรียนปลอดฝุ่น

หัวใจสำคัญของโครงการ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” คือการติดตั้ง ระบบระบายอากาศประสิทธิภาพสูง และ ระบบกรองอากาศ HRV (Heat Reclaim Ventilation) ที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และคุณภาพอากาศภายในอาคารอย่างครบวงจร ระบบนี้สามารถกรองฝุ่นละออง PM2.5 และมลพิษจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนนำอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ห้องเรียน พร้อมติดตั้ง เซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ครูและผู้ดูแลสามารถเฝ้าระวังและบริหารจัดการคุณภาพอากาศได้อย่างต่อเนื่อง

ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสถานที่ตั้งของห้องเรียนปลอดฝุ่นแห่งแรกในภาคเหนือ และได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากกรมอนามัยในฐานะที่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานด้านสุขภาพอนามัย นอกจากนี้ ยังมีการอบรมครูและเจ้าหน้าที่ในศูนย์เพื่อเสริมสร้างทักษะในการดูแลระบบคุณภาพอากาศอย่างยั่งยืน

นายคาสุฮิสะ ฮินาสึ กรรมการบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ไดกิ้นมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม คุณภาพอากาศที่ดีภายในอาคารมีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัยทั้งทางร่างกายและสติปัญญา เราเชื่อว่านวัตกรรมของเราจะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่เสี่ยง และสามารถขยายผลไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศไทย”

สร้างอนาคตที่ยั่งยืน

การเปิดตัวห้องเรียนปลอดฝุ่นไม่ใช่เพียงการติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการผสานนวัตกรรมและความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสังคม เด็ก ๆ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อจะได้รับโอกาสในการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจากมลพิษ ลดความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจและภูมิแพ้ ขณะที่ครูและบุคลากรได้รับความรู้และเครื่องมือในการบริหารจัดการคุณภาพอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

ผลลัพธ์ของโครงการนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งเดียว ไดกิ้นและพันธมิตรตั้งเป้าที่จะขยายผลไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยใช้ห้องเรียนปลอดฝุ่นแห่งนี้เป็นต้นแบบในการพัฒนามาตรฐานคุณภาพอากาศในอาคารที่ปลอดภัยและยั่งยืน การลงทุนในคุณภาพอากาศวันนี้จึงเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพและอนาคตของเด็กไทยในวันหน้า

ทำไมห้องเรียนปลอดฝุ่นถึงสำคัญ

การจัดการคุณภาพอากาศในสถานศึกษาไม่เพียงช่วยปกป้องสุขภาพของเด็กและบุคลากร แต่ยังส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้และพัฒนาการในระยะยาว การสัมผัสกับมลพิษทางอากาศ เช่น PM2.5 และ VOCs เป็นเวลานานอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น โรคหอบหืด ภูมิแพ้ หรือแม้แต่ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง การติดตั้งระบบระบายอากาศและกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสามารถลดความเข้มข้นของมลพิษเหล่านี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการเจริญเติบโตของเด็ก

นอกจากนี้ การอบรมบุคลากรในสถานศึกษาให้มีความรู้และทักษะในการจัดการคุณภาพอากาศยังช่วยสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ครูและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรมจะสามารถดูแลและบำรุงรักษาระบบได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงถ่ายทอดความรู้ให้กับชุมชนรอบข้าง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ฝุ่น PM2.5 และผลกระทบต่อเด็ก จากรายงานของ IQAir ในปี 2566 ประเทศไทยติดอันดับที่ 36 ของโลกในด้านมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่ภาคเหนือเผชิญกับระดับ PM2.5 สูงเกินมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งกำหนดไว้ที่ 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยเฉลี่ยในเชียงรายพบระดับ PM2.5 สูงถึง 50-100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในบางวัน
  • ผลกระทบต่อสุขภาพ การศึกษาโดยกรมอนามัยระบุว่า เด็กปฐมวัยที่สัมผัสกับ PM2.5 ในระดับสูงมีความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น 30% และอาจมีพัฒนาการทางสติปัญญาลดลง 10-15% เมื่อเทียบกับเด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศบริสุทธิ์
  • คุณภาพอากาศในอาคาร จากข้อมูลของสมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร พบว่า 80% ของอาคารสถานศึกษาในประเทศไทยมีระบบระบายอากาศที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้มีการสะสมของ CO2 และฝุ่นละอองภายในอาคารในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมอนามัย สมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร
  • บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด
  •  ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายลดจุดความร้อน คุมไฟป่า PM2.5 ลดฮวบ 84%

จังหวัดเชียงรายสรุปผลสำเร็จ “เชียงรายฟ้าใส” ปี 2568 จุดความร้อนลด 84% คุณภาพอากาศดีขึ้นด้วยนวัตกรรมและความร่วมมือ

เชียงราย, 13 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในการจัดการปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในปี 2568 โดยสามารถลดจุดความร้อนได้ถึง 84.3% พื้นที่เผาไหม้ลดลงกว่า 10,000 ไร่ และคุณภาพอากาศดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินงาน ณ ห้องธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 นำโดยนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สะท้อนถึงประสิทธิภาพของยุทธศาสตร์ “เชียงรายฟ้าใส” และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่ทำให้จังหวัดก้าวสู่เป้าหมายการเป็นเมืองสะอาดและยั่งยืน

ความท้าทายจากไฟป่าและหมอกควันในภาคเหนือ

จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญกับปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM2.5 อย่างรุนแรงในช่วงฤดูแล้งของทุกปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน สาเหตุหลักมาจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม การจัดการเชื้อเพลิงในป่า และหมอกควันข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่ยังกระทบต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจท้องถิ่น ซึ่งเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญกับวิกฤตหมอกควันที่มีจุดความร้อนสูงถึง 3,885 จุด และค่า PM2.5 เฉลี่ยเกินมาตรฐานถึง 64 วัน สร้างความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ จังหวัดเชียงรายได้กำหนดยุทธศาสตร์ “เชียงรายฟ้าใส” ซึ่งมุ่งเน้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างเป็นระบบ โดยผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ชุมชน และนานาชาติ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน

ผลสำเร็จของการดำเนินงาน “เชียงรายฟ้าใส” ปี 2568

การแถลงข่าวเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นำโดยนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาคี และสื่อมวลชน ได้นำเสนอผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM2.5 ในช่วงฤดูไฟป่า (1 กุมภาพันธ์ – 10 พฤษภาคม 2568) ซึ่งแสดงถึงความก้าวหน้าที่สำคัญในหลายมิติ

การลดจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้

จากรายงานของสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย (ทสจ.ชร.) และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ร่วมกับข้อมูลจากระบบดาวเทียม Suomi NPP และ VIIRS พบว่า จุดความร้อน (Hotspot) ในปี 2568 ลดลงจาก 3,885 จุดในปี 2567 เหลือเพียง 611 จุด คิดเป็นการลดลง 84.3% อำเภอที่มีจุดความร้อนสูงสุด ได้แก่ เวียงแก่น (114 จุด) เวียงป่าเป้า (95 จุด) และพาน (77 จุด) โดยตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น มีจุดความร้อนสูงสุดที่ 72 จุด

ด้านพื้นที่เผาไหม้ พบว่าพื้นที่เผาไหม้สะสมในปี 2568 อยู่ที่ 52,312 ไร่ ลดลงจาก 62,520 ไร่ในปี 2567 หรือลดลง 10,208 ไร่ (16.3%) ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 139,290 ไร่ ถึง 62% โดยพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์เป็นพื้นที่หลักที่เกิดการเผาไหม้ คิดเป็น 93.8% ของพื้นที่ทั้งหมด

การควบคุมคุณภาพอากาศ

คุณภาพอากาศในจังหวัดเชียงรายดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยค่าเฉลี่ย PM2.5 รายวันในปี 2568 อยู่ที่ 39.18 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ลดลงจาก 52.63 มคก./ลบ.ม. ในปี 2567 หรือลดลง 25.5% และจำนวนวันที่ PM2.5 เกินมาตรฐานลดลงจาก 64 วันในปี 2567 เหลือ 42 วันในปี 2568 หรือลดลง 34.4% สถานีตรวจวัดหลักในอำเภอเมืองเชียงราย แม่สาย และเชียงของ ต่างยืนยันถึงแนวโน้มการลดลงของฝุ่นละออง

มาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม

จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินมาตรการที่ครอบคลุม 3 ระดับ ดังนี้:

  1. การจัดการไฟในพื้นที่ป่า:
    • ปิดป่าหวงห้าม 26 แห่ง
    • จัดทำแนวกันไฟ 827.5 กิโลเมตร
    • ลาดตระเวน 1,297 ครั้ง และควบคุมไฟป่า 248 ครั้ง
    • สร้างฝายชะลอน้ำ 33 จุด เพื่อรักษาความชุ่มชื้นในป่า
  2. การจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่เกษตร:
    • ลงนาม MOU ควบคุมการเผาในภาคเกษตร 8 ครั้ง
    • อัดฟางด้วยเครื่องอัดฟาง 183,000 ตัน
    • ส่งเสริมการแปรรูปวัสดุเหลือใช้เป็นชีวมวล ปุ๋ย อาหารสัตว์ และเพาะเห็ด รวม 552,940 ตัน (ข้าว 449,790 ตัน และข้าวโพด 103,150 ตัน)
    • ดำเนินโครงการ “ไม่เผา ไม่เสียสิทธิ์” ซึ่งห้ามเกษตรกรที่มีประวัติการเผาเข้าร่วมโครงการสนับสนุนของรัฐ
  3. การดูแลสุขภาพและลดผลกระทบ:
    • แจกหน้ากากอนามัยและ N95 จำนวน 1,121,965 ชิ้น
    • เปิดห้องปลอดฝุ่น 903 แห่ง
    • ตรวจสุขภาพอาสาดับไฟป่า 3,686 ราย และคัดกรองกลุ่มเสี่ยง 5,694 ราย
    • เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงและกลุ่มโรคเรื้อรัง 11,261 ราย

การส่งเสริมเกษตรแบบไม่เผา

สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงรายได้ผลักดันโครงการ “เกษตรไม่เผา” โดยลดจุดความร้อนในพื้นที่เกษตรจาก 225 จุดในปี 2567 เหลือ 68 จุดในปี 2568 หรือลดลง 69.77% โดยเฉพาะการเผานาข้าว (61.8%) และข้าวโพด (17.6%) ผ่านการส่งเสริมการแปรรูปวัสดุเหลือใช้ เช่น ไถกลบ ทำปุ๋ยหมัก และผลิตชีวมวล รวมถึงการอบรมเกษตรกร 78,399 ราย และโครงการนำร่อง “PM2.5 Free Plus” ในอำเภอดอยหลวง ครอบคลุม 1,338 ไร่ เพื่อส่งเสริมการผลิตข้าวโพดแบบไม่เผา

ความยั่งยืนและการขยายผล

ผลสำเร็จของจังหวัดเชียงรายในปี 2568 เป็นผลจากการบูรณาการความร่วมมือในหลายระดับ รวมถึง:

  • ระดับชุมชน: การสร้างหมู่บ้านปลอดการเผา 438 หมู่บ้าน และพัฒนาศักยภาพอาสาดับไฟป่า “อส.สู้ไฟ” 372 นาย
  • ระดับจังหวัด: การใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและแอปพลิเคชัน GISTDA รวมถึงโดรนตรวจการณ์ เพื่อแจ้งเตือนและควบคุมไฟป่าแบบเรียลไทม์
  • ระดับนานาชาติ: การประชุมความร่วมมือข้ามพรมแดนไทย–ลาว–เมียนมา 2 ครั้ง เพื่อจัดการหมอกควันข้ามแดน
  • นวัตกรรม: การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตใน 111 หมู่บ้าน และส่งเสริมพืชทางเลือก เช่น กาแฟ แมคคาเดเมีย และอะโวคาโด เพื่อลดการเผาในภาคเกษตร

การดำเนินงานเหล่านี้ช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน เช่น การแปรรูปวัสดุเหลือใช้เป็นปุ๋ยและชีวมวล ซึ่งสามารถสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกร โครงการ “เชียงรายฟ้าใส” ยังเป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังจังหวัดอื่นในภาคเหนือ และเป็นแนวทางสำหรับการจัดการปัญหาหมอกควันในระดับภูมิภาค

ปัจจัยความสำเร็จและความท้าทายในอนาคต

ความสำเร็จของจังหวัดเชียงรายในปี 2568 เกิดจากปัจจัยหลัก 3 ประการ:

  1. ความร่วมมือระดับชุมชน: การมีส่วนร่วมของหมู่บ้าน ผู้นำท้องถิ่น และเกษตรกร ในการปฏิบัติตามนโยบาย “ไม่เผา ไม่เสียสิทธิ์” และการพัฒนาหมู่บ้านปลอดการเผา
  2. เทคโนโลยีและข้อมูล: การใช้ระบบดาวเทียม Suomi NPP และ VIIRS รวมถึงแอปพลิเคชันแจ้งเตือน ทำให้สามารถควบคุมไฟป่าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
  3. นโยบายที่ชัดเจน: การกำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้ เช่น การลดจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้ รวมถึงการใช้มาตรการจูงใจ เช่น คาร์บอนเครดิต และมาตรการลงโทษ เช่น การตัดสิทธิ์เกษตรกรที่เผา

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในระยะยาวยังคงมีอยู่ ได้แก่:

  • การพึ่งพาการเผาในภาคเกษตร: เกษตรกรบางกลุ่มยังคงใช้การเผาเป็นวิธีเตรียมพื้นที่เพาะปลูก เนื่องจากต้นทุนต่ำและสะดวก การเปลี่ยนพฤติกรรมจึงต้องอาศัยแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
  • หมอกควันข้ามพรมแดน: ปัญหาหมอกควันจากประเทศเพื่อนบ้านยังคงเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก ต้องอาศัยความร่วมมือในระดับนานาชาติที่เข้มข้นมากขึ้น
  • การขยายพื้นที่เกษตร: ความต้องการพื้นที่เพาะปลูกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวโพด อาจนำไปสู่การบุกรุกป่าและเพิ่มความเสี่ยงต่อไฟป่า

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ จังหวัดเชียงรายควรวางแผนระยะยาวที่เน้นการส่งเสริมเกษตรยั่งยืน การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิต และการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว เช่น การใช้โดรนและระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดฝุ่นละอองในระดับตำบล

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำเร็จและบริบทของการจัดการไฟป่าและหมอกควันในจังหวัดเชียงราย ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้:
    • จุดความร้อนลดลงจาก 3,885 จุดในปี 2567 เหลือ 611 จุดในปี 2568 (-84.3%)
    • พื้นที่เผาไหม้ลดลงจาก 62,520 ไร่ในปี 2567 เหลือ 52,312 ไร่ในปี 2568 (-16.3%)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (2568)
  2. คุณภาพอากาศ:
    • ค่าเฉลี่ย PM2.5 ลดลงจาก 52.63 มคก./ลบ.ม. ในปี 2567 เหลือ 39.18 มคก./ลบ.ม. ในปี 2568 (-25.5%)
    • จำนวนวันที่ PM2.5 เกินมาตรฐานลดลงจาก 64 วันในปี 2567 เหลือ 42 วันในปี 2568 (-34.4%)
    • แหล่งอ้างอิง: ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาไฟป่า PM2.5 จังหวัดเชียงราย (2568)
  3. การจัดการในภาคเกษตร:
    • จุดความร้อนในพื้นที่เกษตรลดลงจาก 225 จุดในปี 2567 เหลือ 68 จุดในปี 2568 (-69.77%)
    • ปริมาณวัสดุเหลือใช้ที่แปรรูป: ข้าว 449,790 ตัน และข้าวโพด 103,150 ตัน
    • เกษตรกรที่เข้าร่วมอบรม 78,399 ราย
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย (2568)
  4. การดูแลสุขภาพ:
    • แจกหน้ากากอนามัย 1,121,965 ชิ้น และเปิดห้องปลอดฝุ่น 903 แห่ง
    • ตรวจสุขภาพอาสาดับไฟป่า 3,686 ราย และเยี่ยมผู้ป่วย 11,261 ราย
    • แหล่งอ้างอิง: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (2568)

สรุปและคำแนะนำ

จังหวัดเชียงรายประสบความสำเร็จในการจัดการไฟป่าและหมอกควันในปี 2568 ผ่านยุทธศาสตร์ “เชียงรายฟ ฟ้าใส” ซึ่งแสดงถึงพลังของความร่วมมือและนวัตกรรม การลดจุดความร้อน พื้นที่เผาไหม้ และฝุ่น PM2.5 เป็นผลจากนโยบายที่ชัดเจน เทคโนโลยีทันสมัย และการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อรักษาความยั่งยืน ควรส่งเสริมเกษตรยั่งยืน พัฒนาคาร์บอนเครดิต และเสริมความร่วมมือข้ามพรมแดน

สำหรับชุมชนและ อปท. แนะนำให้เข้าร่วมโครงการหมู่บ้านปลอดการเผาและอบรม “อส.สู้ไฟ” ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรลงทุนในเทคโนโลยีตรวจวัดและขยายผลโครงการ “เกษตรไม่เผา” เพื่อลดผลกระทบจากหมอกควันในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายคุมไฟป่าดีขึ้น เตรียมมอบรางวัล “หมู่บ้านสีเขียว”

เชียงรายชนะศึกไฟป่า ลดจุดความร้อนกว่า 72% ปี 2568

เชียงรายตั้งเป้าสู้ไฟป่าหมอกควันอย่างจริงจัง

เชียงราย,23 เมษายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าจริงจังกับปัญหาไฟป่าและหมอกควัน โดยกำหนดห้ามเผาเด็ดขาดในที่โล่ง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2568 ผลลัพธ์ที่ได้คือจุดความร้อนลดลงกว่า 72% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สร้างความพึงพอใจให้กับหน่วยงานและชุมชนในพื้นที่อย่างมาก

สถิติพื้นที่เผาไหม้ลดลงต่อเนื่อง

ในช่วงเดือนมกราคม 2568 พื้นที่เผาไหม้จังหวัดเชียงรายลดลงจากปี 2567 ถึง 6.57% โดยปีที่แล้วมีการเผาไหม้จำนวน 23,027 ไร่ ปีนี้ลดเหลือ 21,514 ไร่ เดือนกุมภาพันธ์พื้นที่เผาไหม้ลดลง 1.05% จาก 47,760 ไร่ เหลือ 47,260 ไร่ และเดือนมีนาคมลดลงอย่างชัดเจนถึง 65.77% จากเดิม 14,760 ไร่ เหลือเพียง 5,052 ไร่เท่านั้น

ประชุมวางแผนป้องกันไฟป่าอย่างเข้มข้น

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ที่ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงราย ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานประชุมติดตามสถานการณ์ไฟป่าครั้งที่ 7/2568 โดยมีตัวแทนจากทุกอำเภอเข้าร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ พร้อมรายงานสถานการณ์และผลดำเนินการป้องกันไฟป่าในพื้นที่อย่างละเอียด

อำเภอแม่สายไร้จุดความร้อนตลอดฤดู

จากรายงานของที่ประชุมพบว่า อำเภอแม่สายไม่มีจุดความร้อนเลยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงวันที่ 21 เมษายน 2568 แสดงให้เห็นถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมจากประชาชนที่ให้ความร่วมมืออย่างดีเยี่ยม ถือเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นได้เรียนรู้และปฏิบัติตาม

บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด ล่าตัวผู้กระทำผิด

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถจับกุมผู้ลักลอบเผาป่าในพื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวงและอำเภอแม่ลาวได้ โดยดำเนินคดีตามกฎหมายทันที รองผู้ว่าฯ ย้ำชัดว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างต่อเนเชื่อมโยงกับการลดปัญหาหมอกควันในอนาคต

มอบรางวัลพลเมืองดี สนับสนุนการมีส่วนร่วม

ในที่ประชุมมีการพิจารณามอบเงินรางวัลให้พลเมืองดี 2 ราย ที่แจ้งเบาะแสการกระทำผิดเกี่ยวกับการเผาป่า ถือเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ชาวบ้านช่วยกันสอดส่องดูแลพื้นที่ของตนเอง

เตรียมมอบ “รางวัลหมู่บ้านสีเขียว” สร้างแรงจูงใจ

จังหวัดเชียงรายเตรียมจัดกิจกรรมมอบ “รางวัลหมู่บ้านสีเขียว” เพื่อยกย่องหมู่บ้านที่มีการจัดการไฟป่าอย่างมีประสิทธิภาพในระดับหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ โดยหวังว่ารางวัลนี้จะช่วยกระตุ้นให้ชุมชนมีแรงบันดาลใจในการดูแลพื้นที่ของตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลดการเกิดไฟป่าในอนาคต

ปรับกลยุทธ์บริหารจัดการเชื้อเพลิงอย่างเหมาะสม

ในที่ประชุมยังมีการหารือถึงการปรับช่วงเวลาการบริหารจัดการเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากหมอกควันอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ประชาสัมพันธ์กฎหมาย สร้างความตระหนักรู้

หน่วยงานต่างๆ ได้เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์กฎหมายและบทลงโทษที่เกี่ยวข้องกับการเผาป่าในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้แก่ประชาชนทุกระดับ โดยเชื่อว่าความเข้าใจที่ชัดเจนจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ยั่งยืน

สถิติสำคัญในการลดปัญหาไฟป่า

สถิติพื้นที่เผาไหม้ของจังหวัดเชียงรายตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม 2568 ลดลงเฉลี่ยถึง 24.46% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะจุดความร้อนลดลงถึง 72.60% นับเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความสำเร็จของมาตรการต่างๆ ที่จังหวัดเชียงรายนำมาใช้อย่างจริงจังในปีนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ (รายงานสถานการณ์คุณภาพอากาศและหมอกควันปี 2568)
  • สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (รายงานสถิติการเผาไหม้ปี 2567-2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารเชียงราย เคาะประตูบ้าน ต้านไฟป่า PM2.5

มทบ.37 เดินหน้ากิจกรรม “เคาะประตู สู่ความห่วงใย” รณรงค์ลดหมอกควัน PM2.5 เชียงแสน

กองทัพภาคที่ 3 ผสานพลังจิตอาสา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” ลงพื้นที่หมู่บ้านแนวชายแดนจังหวัดเชียงราย ย้ำความร่วมมือทุกภาคส่วนในการหยุดเผา ลดปัญหาฝุ่นพิษ

ประเทศไทย, 16 เมษายน 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 โดยกำลังพลจิตอาสาพระราชทานภายใต้โครงการ “เราทำความดีด้วยหัวใจ” ลงพื้นที่จัดกิจกรรม “เคาะประตู สู่ความห่วงใย ใส่ใจสุขภาพประชาชน” ณ บ้านปงของ หมู่ 5 บ้านปงของเหนือ หมู่ 10 และบ้านธารทอง หมู่ 11 ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ตามนโยบายของจังหวัดเชียงราย ที่ได้ประกาศมาตรการ “92 วันปลอดการเผา” ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 อย่างเข้มข้น

ร้อยตรี ณัฐพลพล บุญทับ นำจิตอาสาลงพื้นที่

การปฏิบัติงานครั้งนี้ นำโดย ร้อยตรี ณัฐพลพล บุญทับ หัวหน้าชุดประสานการคุ้มครองป้องกันชุมชน สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านธารทอง พร้อมด้วยกำลังพลจิตอาสา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” ของมณฑลทหารบกที่ 37 ซึ่งได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการลงพื้นที่พบปะประชาชนอย่างใกล้ชิด ให้คำแนะนำ สร้างความเข้าใจ และแจกจ่ายอุปกรณ์ป้องกันสุขภาพในห้วงสถานการณ์ฝุ่นควัน

สร้างการรับรู้ หยุดไฟ หยุดควัน อย่างยั่งยืน

กิจกรรมในครั้งนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวก และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการแก้ปัญหาเชิงรุก โดยเฉพาะเรื่องการหลีกเลี่ยงการเผาในที่โล่งทุกชนิด และการลดการก่อให้เกิดเชื้อเพลิงที่อาจลุกลามเป็นไฟป่าในฤดูแล้ง โดยจุดเน้นที่ถ่ายทอดแก่ประชาชนในพื้นที่ ได้แก่

  • หลีกเลี่ยงการเผาขยะ หญ้าแห้ง ตอซังข้าว กิ่งไม้ หรือวัสดุใด ๆ ที่ติดไฟง่าย
  • สอนแนวทางการทำปุ๋ยหมักจากเศษพืชแทนการเผา
  • ส่งเสริมการแยกขยะอย่างถูกวิธี และการนำวัสดุอินทรีย์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
  • สนับสนุนการทำแนวกันไฟในพื้นที่ล่อแหลมใกล้แนวป่า
  • แนะนำการจัดการเชื้อไฟในพื้นที่การเกษตรอย่างปลอดภัย

แจกหน้ากากอนามัย รับมือ PM2.5 เกินมาตรฐาน

จากการตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่พบว่ามีค่า PM2.5 เกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนด ส่งผลต่อสุขภาพโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง มณฑลทหารบกที่ 37 จึงได้แจกจ่ายหน้ากากอนามัยให้ประชาชนในพื้นที่ เพื่อใช้ป้องกันตนเองจากฝุ่นละอองขนาดเล็กที่อาจก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ ทั้งนี้การแจกจ่ายหน้ากากอนามัยได้รับความร่วมมือจากผู้นำชุมชนและอสม.ในพื้นที่อย่างดียิ่ง

ประกาศ 92 วันปลอดการเผา – กลไกขับเคลื่อนสู่การลดฝุ่นควัน

จังหวัดเชียงรายได้ประกาศ “92 วัน ปลอดการเผาในที่โล่ง” ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เป็นนโยบายสำคัญในช่วงฤดูแล้ง เพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM2.5 อย่างเป็นรูปธรรม โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างยั่งยืน พร้อมตั้งเป้าหมายการลดจุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่ให้ลดลงอย่างน้อย 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ชุมชนคือหัวใจสำคัญของการป้องกันไฟป่า

แม้จะมีมาตรการจากภาครัฐอย่างเข้มข้น การลดปัญหาไฟป่าและหมอกควันจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดความร่วมมือจากประชาชนในระดับรากหญ้า การลงพื้นที่พบประชาชนของจิตอาสาทหารในกิจกรรม “เคาะประตู สู่ความห่วงใย” ครั้งนี้ จึงถือเป็นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมจาก “การเผาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์” ให้กลายเป็น “ความเข้าใจและการมีส่วนร่วม” ได้อย่างแท้จริง

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง และแหล่งอ้างอิง

  • ข้อมูลจาก กรมควบคุมมลพิษ (PCD) ระบุว่า จังหวัดเชียงรายพบจุดความร้อน (Hotspot) เฉลี่ย 1,800 จุดต่อปีในช่วงฤดูแล้ง โดยมากเกิดจากการเผาในพื้นที่เกษตร
  • จากข้อมูล กรมอนามัย ปี 2566 พบว่า ค่าเฉลี่ย PM2.5 ในภาคเหนือตอนบนในช่วงมีนาคม-เมษายน สูงถึง 55-70 µg/m³ ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ไม่เกิน 50 µg/m³
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การสัมผัส PM2.5 ต่อเนื่องสามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคระบบทางเดินหายใจได้ถึง 20–30%
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายรับมือ PM2.5 คุมเผา-แล้งเข้ม สั่งปิดป่าบางพื้นที่

เชียงรายประชุมคณะกรรมการป้องกันภัย ยกระดับมาตรการรับมือฝุ่น PM 2.5 และภัยแล้ง เตรียมการเชิงรุกปกป้องสุขภาพประชาชน

เชียงราย, 25 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายจัดประชุมคณะกรรมการกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ครั้งที่ 1/2568 เพื่อยกระดับมาตรการรับมือสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และภัยแล้งที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

มาตรการป้องกันและเฝ้าระวังฝุ่น PM 2.5 แบบเข้มข้น

การประชุมได้เน้นย้ำแผนการป้องกันไฟป่าและฝุ่นละออง โดยมีมาตรการเพิ่มความถี่ในการลาดตระเวนพื้นที่เสี่ยง จัดชุดเฝ้าระวัง และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามเผาในที่โล่ง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตร หรือชุมชนเมือง รวมถึงการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ เช่น โรงงาน เตาเผาถ่าน และเตาเผาขยะ พร้อมตั้งจุดตรวจวัดมลพิษจากยานพาหนะในจุดเสี่ยงสำคัญ

ดูแลสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยง – แจกหน้ากาก N95 ครอบคลุม

ในด้านสุขภาพประชาชน จังหวัดได้ดำเนินมาตรการแจกจ่ายหน้ากากอนามัย N95 และยาขยายหลอดลมให้กลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ และเด็กในสถานศึกษา พร้อมทั้งจัดบริการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และจัดระบบส่งยาถึงบ้านเพื่อลดความเสี่ยงในการเดินทาง

หากค่าฝุ่น PM 2.5 เกินระดับ 75.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรต่อเนื่อง 2 วัน จะมีการพิจารณาปรับรูปแบบการเรียนการสอน หรือปิดสถานศึกษาชั่วคราว พร้อมสนับสนุนให้ประชาชนปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from Home) และลดกิจกรรมกลางแจ้งในพื้นที่เสี่ยง

นอกจากนี้ ยังมีการจัดทีมแพทย์ 3 หมอ และ อสม. เคลื่อนที่เร็ว ออกตรวจเยี่ยมบ้านประชาชน พร้อมแจกหน้ากากและมุ้งสู้ฝุ่นให้ครอบคลุม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยติดเตียง

การประชาสัมพันธ์สถานการณ์ฝุ่นและภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง

หน่วยงานด้านประชาสัมพันธ์จังหวัด ได้รับมอบหมายให้เร่งกระจายข่าวสารผ่านทุกช่องทาง โดยเฉพาะหอกระจายข่าวในหมู่บ้าน เพื่อแจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 และแนวทางการปฏิบัติตัวให้ปลอดภัย พร้อมรณรงค์สร้างความเข้าใจเรื่องผลกระทบจากการเผาในที่โล่งที่ยังเป็นปัจจัยสำคัญของปัญหาฝุ่นในภาคเหนือ

ปิดป่า คุมเข้มบุคคลเข้าออก พร้อมวิจัยทางเลือกการเกษตร

เพื่อควบคุมการเผาในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จังหวัดมีนโยบาย “ปิดป่า” ชั่วคราว ยกเว้นแหล่งท่องเที่ยว โดยพื้นที่ป่าสงวนจะมีการควบคุมบุคคลเข้าออกอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกันมีการประสานมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพื่อคิดค้นสารอินทรีย์ย่อยสลายเศษวัสดุทางการเกษตร ใช้แทนการเผาในพื้นที่สูง

ด้านการส่งเสริมอาชีพเกษตรกร มีการผลักดันให้เปลี่ยนจากพืชเชิงเดี่ยวเป็นการทำเกษตรผสมผสานหรือเกษตรมูลค่าสูง เพื่อลดการเผาเศษพืชที่ก่อฝุ่นอย่างยั่งยืน

รับมือภัยแล้ง – จัดการน้ำ บูรณาการข้อมูลภาคเกษตร

โครงการชลประทานเชียงรายและการประปาส่วนภูมิภาค ได้รับมอบหมายให้ติดตามระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างใกล้ชิด หากพบว่าน้ำมีแนวโน้มต่ำกว่า 50% ต้องแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้าและจัดแผนสำรองน้ำให้เพียงพอ

สำนักงานเกษตรจังหวัดร่วมสำรวจพื้นที่เพาะปลูก แยกตามการใช้น้ำฝนและน้ำชลประทาน เพื่อใช้ในการวางแผนส่งเสริมพืชใช้น้ำน้อย พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรหลีกเลี่ยงการปลูกข้าวนาปรังในฤดูแล้ง

สำหรับแหล่งน้ำที่ตื้นเขิน มีการเตรียมแผนขุดลอกเร่งด่วน ได้แก่

  • หนองฮ่าง ตำบลทานตะวัน
  • อ่างเก็บน้ำห้วยแก้ว อำเภอพาน
  • ท้ายอ่างเก็บน้ำแม่ฉางข้าว อำเภอเวียงป่าเป้า

สร้างแรงจูงใจชุมชนต้นแบบ – ให้รางวัลหมู่บ้านไร้หมอกควัน

เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ปัญหาหมอกควัน ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอแนวทาง “หมู่บ้านต้นแบบไร้หมอกควัน” โดยให้รางวัลกับหมู่บ้านที่สามารถจัดการปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 ได้สำเร็จ สร้างแรงจูงใจและต้นแบบให้กับชุมชนอื่นในพื้นที่

ความร่วมมือภาครัฐและเอกชน – เส้นทางสู่การจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน

นอกจากการประสานภายในจังหวัด เชียงรายยังดำเนินการเชื่อมโยงกับภาคเอกชนและหน่วยงานระดับประเทศ เพื่อร่วมกันสนับสนุนการเพาะปลูก การจัดหาแหล่งน้ำสำรอง และส่งเสริมเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการเตรียมความพร้อมระยะยาวในการบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความคิดเห็นจากสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการ
มองว่าการยกระดับมาตรการของจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่สาธารณสุข เกษตร ไปจนถึงงานชลประทาน ซึ่งเป็นพื้นฐานของการจัดการวิกฤติอย่างรอบด้าน การแจกจ่ายหน้ากากและบริการแพทย์ทางไกลยังแสดงให้เห็นถึงการคำนึงถึงคุณภาพชีวิตประชาชนเป็นหลัก

ฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกต
ชี้ว่ามาตรการเหล่านี้ แม้จะมีความรัดกุม แต่หากขาดการบังคับใช้อย่างจริงจังโดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือเขตภูเขา จะไม่สามารถลดปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเรื่องงบประมาณสนับสนุนที่อาจไม่เพียงพอต่อการดำเนินการอย่างครอบคลุมทุกกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยติดเตียงในชนบท

สถิติที่เกี่ยวข้อง (อัปเดต 25 มีนาคม 2568)

  • ค่าฝุ่น PM 2.5 เฉลี่ยรายวัน (พื้นที่เมืองเชียงราย): 78–92 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำค่ามาตรฐาน PM 2.5: ไม่เกิน 15 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • พื้นที่ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงไฟป่าและฝุ่นละออง: อำเภอแม่สรวย, เวียงป่าเป้า, แม่ฟ้าหลวง
  • จำนวนอ่างเก็บน้ำที่อยู่ในระดับน้ำต่ำกว่า 50%: 3 แห่ง (ข้อมูลจากโครงการชลประทานเชียงราย)
  • จำนวนหมู่บ้านเป้าหมายในการแจกมุ้งสู้ฝุ่นและหน้ากาก N95: 67 หมู่บ้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศกรมควบคุมมลพิษ
  • รายงานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 1/2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS

เหนือวิกฤต ฝุ่น PM2.5 สูง ลำพูนนำ-แม่ฮ่องสอนท้าทาย

คนเหนือระทม! ฝุ่นพิษ-สังคมแก่-รายได้ฝืด

กรุงเทพฯ, 20 มีนาคม 2568 – สกสว. หนุน SDG Move จัดเวทีระดมสมองเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเหนือ

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ให้การสนับสนุน ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการจัดเวที นำเสนอข้อมูลความท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับภูมิภาค และรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระดับพื้นที่ (ภาคเหนือ)”สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยความร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และทีมงานระดับภาคเหนือ

ภาควิชาการร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในโอกาสนี้ ผศ. ดร.ไพรัช พิบูลย์รุ่งโรจน์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เน้นบทบาทของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการวิจัยและนวัตกรรมที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

ด้าน ศ.สุริชัย หวันแก้ว ประธานเครือข่ายวิชาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนประเทศไทย (SDSN Thailand) กล่าวถึงความสำคัญขององค์ความรู้และความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา ในการเป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนสังคมสู่ความยั่งยืน พร้อมผลักดันให้เกิด นโยบายแบบบูรณาการ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับนานาชาติ

SDG Index เผยลำพูนคะแนนสูงสุดในภาคเหนือ แต่แม่ฮ่องสอนยังเผชิญปัญหา

จากการนำเสนอข้อมูล SDG Index ระดับจังหวัดและภูมิภาค ของทีม SDG Move พบว่า ภาคเหนือเผชิญกับปัญหาหลักที่เกี่ยวข้องกับ 8 เป้าหมายของ SDGs ได้แก่:

  • SDG 1: การขจัดความยากจน
  • SDG 2: การขจัดความหิวโหย
  • SDG 3: สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
  • SDG 8: งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • SDG 9: โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
  • SDG 12: การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
  • SDG 17: หุ้นส่วนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ค่าฝุ่น PM2.5 ที่สูงขึ้น ถูกจัดอยู่ใน SDG 11 (เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน) ซึ่งสะท้อนถึง ปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงในหลายจังหวัดของภาคเหนือ

แม่ฮ่องสอนมีคะแนน SDG Index ต่ำสุด และเป็นจังหวัดที่เผชิญความท้าทายอย่างมากในเรื่อง:

  • SDG 1: การขจัดความยากจน
  • SDG 5: ความเท่าเทียมทางเพศ
  • SDG 6: น้ำสะอาดและสุขาภิบาล
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
  • SDG 13: การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • SDG 15: ระบบนิเวศบนบก

ขณะที่ ลำพูนมีคะแนน SDG Index สูงสุด ในภาคเหนือ แต่ยังต้องแก้ไขปัญหา สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (SDG 3) และเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน (SDG 11) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน

3 ปัญหาเร่งด่วนที่ภาคเหนือเผชิญ

  1. มลพิษ PM 2.5 ที่รุนแรงขึ้นทุกปี
    • ภาคเหนือประสบปัญหาค่าฝุ่นสูงสุดในประเทศ
    • มีผลต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ
  2. สังคมสูงวัย และมาตรการรองรับที่ยังไม่เพียงพอ
    • ต้องพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดูแลผู้สูงอายุ
    • เพิ่มมาตรการสนับสนุนด้านสุขภาพและสวัสดิการ
  3. รายได้ต่ำและค่าครองชีพสูง
    • รายได้ของประชาชนไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
    • ปัญหาการเข้าถึงที่อยู่อาศัยยังเป็นอุปสรรคสำคัญ

แนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะ

  1. ศึกษาวิจัยผลกระทบและสาเหตุของ PM2.5
    • พัฒนานโยบายแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างมีประสิทธิภาพ
    • สนับสนุนเกษตรกรเปลี่ยนไปใช้วิธีการเผาที่ลดมลพิษ
  2. ปรับปรุงการจัดการศึกษาสู่ตลาดแรงงาน
    • เชื่อมโยงการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
    • ส่งเสริมอาชีพใหม่ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล
  3. เพิ่มการสนับสนุนด้านที่อยู่อาศัย
    • วิจัยแนวทางช่วยให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม
    • ลดความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดิน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ระบุว่า:

  • ค่าฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือสูงกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) ถึง 4 เท่า ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน
  • ประชากรสูงวัย (60 ปีขึ้นไป) ในภาคเหนือคิดเป็น 22% ของประชากรทั้งหมด สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ
  • รายได้เฉลี่ยของประชาชนในภาคเหนืออยู่ที่ 8,500 บาทต่อเดือน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 12,000 บาท

สรุป

การพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเหนือยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะ ปัญหาฝุ่น PM2.5 สังคมสูงวัย และค่าครองชีพสูง ขณะที่ ลำพูนมีความก้าวหน้า แต่แม่ฮ่องสอนยังคงเป็นจังหวัดที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก เวทีระดมสมองครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการออกแบบแนวทางพัฒนาให้เหมาะสมกับพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567 / สกสว.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงรายพ่นละอองน้ำ ดักฝุ่นหลังน้ำท่วม สู้ PM2.5

เทศบาลนครเชียงรายเร่งสร้างละอองน้ำลดฝุ่น PM2.5 และฟื้นฟูหลังอุทกภัย

มาตรการเร่งด่วนเพื่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมในเขตเทศบาล

เชียงราย, 7 มีนาคม 2568 – เทศบาลนครเชียงราย นำโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และ นายธเนศ โกมลธง รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วยข้าราชการ เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ภาคีเครือข่าย และโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค นำโดย นายแพทย์ณัฐชัย เครือจักร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค ได้ร่วมกันดำเนินมาตรการ พ่นละอองน้ำในเขตเทศบาลนครเชียงราย เพื่อลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) และช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมหลังอุทกภัยที่เพิ่งผ่านพ้นไป

แนวทางปฏิบัติและพื้นที่ดำเนินการ

มาตรการพ่นละอองน้ำของเทศบาลนครเชียงรายครอบคลุมพื้นที่ที่มีปัญหาฝุ่นละอองและได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยในช่วงเช้าได้มีการ ล้างถนนและดูดโคลนเลน ตามถนนสายหลักในเขตเมืองเชียงราย จากนั้นได้ดำเนินการพ่นละอองน้ำในจุดสำคัญ ได้แก่:

  • ถนนสิงหไคล (หน้ารพ.โอเวอร์บรุ๊ค)
  • บริเวณอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช
  • สวนตุงและโคมนครเชียงราย

นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายพื้นที่การพ่นละอองน้ำไปยังจุดที่มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น และจุดที่มีค่าฝุ่นละออง PM2.5 สูง เพื่อให้มาตรการนี้สามารถช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วัตถุประสงค์ของโครงการพ่นละอองน้ำ

นายแพทย์ณัฐชัย เครือจักร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค กล่าวว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมสุขภาพของประชาชนโดยตรง เพราะฝุ่น PM2.5 เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจและโรคหัวใจ อีกทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นอกจากประโยชน์ด้านสุขภาพแล้ว มาตรการพ่นละอองน้ำยังช่วย บรรเทาความร้อนในช่วงฤดูร้อน ทำให้ประชาชนรู้สึกสบายขึ้น และช่วยลดอุณหภูมิในเขตเมืองเชียงราย ซึ่งได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน

การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า: ถังน้ำจากภารกิจช่วยเหลืออุทกภัย

หนึ่งในแนวทางที่เทศบาลนครเชียงรายนำมาใช้คือการ ปรับใช้ถังน้ำขนาดใหญ่ที่เคยนำไปช่วยเหลือประชาชนในช่วงประสบอุทกภัย โดยนำกลับมาบรรจุน้ำสะอาดเพื่อใช้ในการพ่นละอองน้ำ ซึ่งช่วยลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรและเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงาน

สถิติและข้อมูลเกี่ยวกับฝุ่น PM2.5 และผลกระทบต่อสุขภาพ

จากรายงานของ กรมควบคุมมลพิษ พบว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM2.5 สูงสุดในภาคเหนือ โดยในช่วงเดือนมีนาคม ค่าฝุ่น PM2.5 มีค่าเฉลี่ยสูงกว่า 80 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

จากสถิติของ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ระบุว่า จำนวนผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นกว่า 35% ในช่วงเดือนที่มีค่าฝุ่น PM2.5 สูง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)

เสียงสะท้อนจากประชาชนต่อมาตรการพ่นละอองน้ำ

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการ: ชาวเชียงรายหลายคนเห็นด้วยกับมาตรการพ่นละอองน้ำ โดยให้ความเห็นว่าเป็นแนวทางที่สามารถช่วยลดฝุ่นได้ในระยะสั้น และช่วยให้สภาพอากาศดีขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผู้สัญจรและชุมชนหนาแน่น

นายสมพงษ์ ชาวเชียงราย ให้ความเห็นว่า พ่นละอองน้ำช่วยให้หายใจโล่งขึ้น ลดฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศ รู้สึกดีขึ้นเวลาขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านจุดที่มีการพ่นน้ำ”

ฝ่ายที่มีข้อกังวล: บางกลุ่มมองว่ามาตรการพ่นละอองน้ำเป็นเพียงการแก้ปัญหาชั่วคราวและไม่สามารถแก้ไขต้นเหตุของปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้อย่างถาวร โดยเฉพาะปัญหาหมอกควันจากการเผาป่าและการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศหลักของภาคเหนือ

นางสาวปรียานุช นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การพ่นละอองน้ำช่วยลดฝุ่นได้ชั่วคราว แต่ต้นเหตุของปัญหามาจากการเผาป่าและการเผาเศษวัสดุการเกษตร หากไม่แก้ไขที่ต้นตอ ปัญหาฝุ่น PM2.5 ก็จะกลับมาเหมือนเดิม”

แนวทางเพิ่มเติมในการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5

นักวิชาการและหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมเสนอว่า ควรมี มาตรการควบคุมการเผาในที่โล่ง และ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีลดควันในการเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ การติดตั้ง เครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ในพื้นที่สาธารณะ และ การใช้รถบรรทุกน้ำฉีดพ่นถนนในพื้นที่ที่มีฝุ่นสะสมสูง ก็เป็นอีกทางเลือกที่ควรได้รับการพิจารณา

สรุป

มาตรการพ่นละอองน้ำของเทศบาลนครเชียงรายถือเป็นแนวทางเร่งด่วนที่สามารถช่วย ลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ ได้ในระยะสั้น และช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมหลังอุทกภัย อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของมาตรการดังกล่าว และความจำเป็นในการจัดการต้นตอของปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างจริงจัง

ในระยะยาว การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อสร้างแนวทางที่สามารถลดฝุ่น PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายรณรงค์ งดเผาป่า-ลด PM2.5 ห้ามเผา 1 มีนาคม

เชียงรายเดินหน้ารณรงค์ “วันปลอดควันพิษจากไฟป่า” ลดเผา สู้วิกฤต PM2.5

สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 เร่งเครื่องรณรงค์แก้ปัญหาไฟป่า

เชียงราย,28 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) จัดกิจกรรม “24 กุมภาพันธ์ วันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า” โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่

เป้าหมายหลัก: ลด ละ เลิก การเผาในที่โล่ง

กิจกรรมนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อ รณรงค์ให้ประชาชนลด ละ เลิก การเผาป่าและการเผาในที่โล่งทุกชนิด โดยเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีอัตราการเกิดไฟป่าสูงสุด โดยมี นายเจษฎา เงินทอง ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และเครือข่ายแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันจากเชียงรายและพะเยาเข้าร่วมงาน

เดินหน้าประชาสัมพันธ์ต่อเนื่อง

เพื่อให้การรณรงค์เกิดผล ขบวนรถประชาสัมพันธ์กว่า 22 คัน ถูกส่งออกไปกระจายข่าวสารและสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงฤดูไฟป่า

24 กุมภาพันธ์: วันสำคัญในการลดหมอกควันไฟป่า

มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2543 กำหนดให้ 24 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหานี้

เชียงรายในกลุ่มเสี่ยงสูง: เผาป่าทำให้ PM2.5 พุ่งสูง

เชียงรายเป็น 1 ใน 9 จังหวัดภาคเหนือที่เผชิญปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 จากปัจจัยหลักดังนี้:

  • การเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก
  • การลักลอบเผาป่าเพื่อใช้ประโยชน์จากที่ดิน
  • หมอกควันข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน

ภาวะแห้งแล้งในช่วงต้นปีเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้มลพิษทางอากาศเพิ่มขึ้น กระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง

มาตรการเข้ม: ห้ามเผาเด็ดขาด 1 มี.ค. – 31 พ.ค. 2568

จังหวัดเชียงรายได้ออกประกาศห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิด ตั้งแต่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 โดยมีการกำหนดมาตรการควบคุมดังนี้:

  • บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน
  • ช่องทางแจ้งเหตุเมื่อพบการเผา
  • มาตรการเฝ้าระวังและควบคุมพื้นที่เสี่ยง

เป้าหมายคือการแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างยั่งยืนและลดผลกระทบจากหมอกควันในระยะยาว

สถิติไฟป่าและผลกระทบต่อ PM2.5

จากข้อมูลกรมควบคุมมลพิษ พบว่าในปี 2567 เชียงรายมีจุดความร้อน (Hotspot) กว่า 3,500 จุด และค่าฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยในช่วงเดือนมีนาคมแตะระดับ 150 µg/m³ ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนด (50 µg/m³) หลายเท่าตัว

ที่มา: สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15, กรมควบคุมมลพิษ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE