Categories
FEATURED NEWS

เหนือวิกฤต ฝุ่น PM2.5 สูง ลำพูนนำ-แม่ฮ่องสอนท้าทาย

คนเหนือระทม! ฝุ่นพิษ-สังคมแก่-รายได้ฝืด

กรุงเทพฯ, 20 มีนาคม 2568 – สกสว. หนุน SDG Move จัดเวทีระดมสมองเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเหนือ

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ให้การสนับสนุน ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการจัดเวที นำเสนอข้อมูลความท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับภูมิภาค และรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระดับพื้นที่ (ภาคเหนือ)”สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยความร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และทีมงานระดับภาคเหนือ

ภาควิชาการร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในโอกาสนี้ ผศ. ดร.ไพรัช พิบูลย์รุ่งโรจน์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เน้นบทบาทของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการวิจัยและนวัตกรรมที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

ด้าน ศ.สุริชัย หวันแก้ว ประธานเครือข่ายวิชาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนประเทศไทย (SDSN Thailand) กล่าวถึงความสำคัญขององค์ความรู้และความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา ในการเป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนสังคมสู่ความยั่งยืน พร้อมผลักดันให้เกิด นโยบายแบบบูรณาการ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับนานาชาติ

SDG Index เผยลำพูนคะแนนสูงสุดในภาคเหนือ แต่แม่ฮ่องสอนยังเผชิญปัญหา

จากการนำเสนอข้อมูล SDG Index ระดับจังหวัดและภูมิภาค ของทีม SDG Move พบว่า ภาคเหนือเผชิญกับปัญหาหลักที่เกี่ยวข้องกับ 8 เป้าหมายของ SDGs ได้แก่:

  • SDG 1: การขจัดความยากจน
  • SDG 2: การขจัดความหิวโหย
  • SDG 3: สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
  • SDG 8: งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • SDG 9: โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
  • SDG 12: การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
  • SDG 17: หุ้นส่วนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ค่าฝุ่น PM2.5 ที่สูงขึ้น ถูกจัดอยู่ใน SDG 11 (เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน) ซึ่งสะท้อนถึง ปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงในหลายจังหวัดของภาคเหนือ

แม่ฮ่องสอนมีคะแนน SDG Index ต่ำสุด และเป็นจังหวัดที่เผชิญความท้าทายอย่างมากในเรื่อง:

  • SDG 1: การขจัดความยากจน
  • SDG 5: ความเท่าเทียมทางเพศ
  • SDG 6: น้ำสะอาดและสุขาภิบาล
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
  • SDG 13: การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • SDG 15: ระบบนิเวศบนบก

ขณะที่ ลำพูนมีคะแนน SDG Index สูงสุด ในภาคเหนือ แต่ยังต้องแก้ไขปัญหา สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (SDG 3) และเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน (SDG 11) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน

3 ปัญหาเร่งด่วนที่ภาคเหนือเผชิญ

  1. มลพิษ PM 2.5 ที่รุนแรงขึ้นทุกปี
    • ภาคเหนือประสบปัญหาค่าฝุ่นสูงสุดในประเทศ
    • มีผลต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ
  2. สังคมสูงวัย และมาตรการรองรับที่ยังไม่เพียงพอ
    • ต้องพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดูแลผู้สูงอายุ
    • เพิ่มมาตรการสนับสนุนด้านสุขภาพและสวัสดิการ
  3. รายได้ต่ำและค่าครองชีพสูง
    • รายได้ของประชาชนไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
    • ปัญหาการเข้าถึงที่อยู่อาศัยยังเป็นอุปสรรคสำคัญ

แนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะ

  1. ศึกษาวิจัยผลกระทบและสาเหตุของ PM2.5
    • พัฒนานโยบายแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างมีประสิทธิภาพ
    • สนับสนุนเกษตรกรเปลี่ยนไปใช้วิธีการเผาที่ลดมลพิษ
  2. ปรับปรุงการจัดการศึกษาสู่ตลาดแรงงาน
    • เชื่อมโยงการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
    • ส่งเสริมอาชีพใหม่ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล
  3. เพิ่มการสนับสนุนด้านที่อยู่อาศัย
    • วิจัยแนวทางช่วยให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม
    • ลดความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดิน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ระบุว่า:

  • ค่าฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือสูงกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) ถึง 4 เท่า ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน
  • ประชากรสูงวัย (60 ปีขึ้นไป) ในภาคเหนือคิดเป็น 22% ของประชากรทั้งหมด สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ
  • รายได้เฉลี่ยของประชาชนในภาคเหนืออยู่ที่ 8,500 บาทต่อเดือน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 12,000 บาท

สรุป

การพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเหนือยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะ ปัญหาฝุ่น PM2.5 สังคมสูงวัย และค่าครองชีพสูง ขณะที่ ลำพูนมีความก้าวหน้า แต่แม่ฮ่องสอนยังคงเป็นจังหวัดที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก เวทีระดมสมองครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการออกแบบแนวทางพัฒนาให้เหมาะสมกับพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567 / สกสว.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงรายพ่นละอองน้ำ ดักฝุ่นหลังน้ำท่วม สู้ PM2.5

เทศบาลนครเชียงรายเร่งสร้างละอองน้ำลดฝุ่น PM2.5 และฟื้นฟูหลังอุทกภัย

มาตรการเร่งด่วนเพื่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมในเขตเทศบาล

เชียงราย, 7 มีนาคม 2568 – เทศบาลนครเชียงราย นำโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และ นายธเนศ โกมลธง รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วยข้าราชการ เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ภาคีเครือข่าย และโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค นำโดย นายแพทย์ณัฐชัย เครือจักร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค ได้ร่วมกันดำเนินมาตรการ พ่นละอองน้ำในเขตเทศบาลนครเชียงราย เพื่อลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) และช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมหลังอุทกภัยที่เพิ่งผ่านพ้นไป

แนวทางปฏิบัติและพื้นที่ดำเนินการ

มาตรการพ่นละอองน้ำของเทศบาลนครเชียงรายครอบคลุมพื้นที่ที่มีปัญหาฝุ่นละอองและได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยในช่วงเช้าได้มีการ ล้างถนนและดูดโคลนเลน ตามถนนสายหลักในเขตเมืองเชียงราย จากนั้นได้ดำเนินการพ่นละอองน้ำในจุดสำคัญ ได้แก่:

  • ถนนสิงหไคล (หน้ารพ.โอเวอร์บรุ๊ค)
  • บริเวณอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช
  • สวนตุงและโคมนครเชียงราย

นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายพื้นที่การพ่นละอองน้ำไปยังจุดที่มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น และจุดที่มีค่าฝุ่นละออง PM2.5 สูง เพื่อให้มาตรการนี้สามารถช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วัตถุประสงค์ของโครงการพ่นละอองน้ำ

นายแพทย์ณัฐชัย เครือจักร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค กล่าวว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมสุขภาพของประชาชนโดยตรง เพราะฝุ่น PM2.5 เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจและโรคหัวใจ อีกทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นอกจากประโยชน์ด้านสุขภาพแล้ว มาตรการพ่นละอองน้ำยังช่วย บรรเทาความร้อนในช่วงฤดูร้อน ทำให้ประชาชนรู้สึกสบายขึ้น และช่วยลดอุณหภูมิในเขตเมืองเชียงราย ซึ่งได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน

การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า: ถังน้ำจากภารกิจช่วยเหลืออุทกภัย

หนึ่งในแนวทางที่เทศบาลนครเชียงรายนำมาใช้คือการ ปรับใช้ถังน้ำขนาดใหญ่ที่เคยนำไปช่วยเหลือประชาชนในช่วงประสบอุทกภัย โดยนำกลับมาบรรจุน้ำสะอาดเพื่อใช้ในการพ่นละอองน้ำ ซึ่งช่วยลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรและเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงาน

สถิติและข้อมูลเกี่ยวกับฝุ่น PM2.5 และผลกระทบต่อสุขภาพ

จากรายงานของ กรมควบคุมมลพิษ พบว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM2.5 สูงสุดในภาคเหนือ โดยในช่วงเดือนมีนาคม ค่าฝุ่น PM2.5 มีค่าเฉลี่ยสูงกว่า 80 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

จากสถิติของ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ระบุว่า จำนวนผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นกว่า 35% ในช่วงเดือนที่มีค่าฝุ่น PM2.5 สูง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)

เสียงสะท้อนจากประชาชนต่อมาตรการพ่นละอองน้ำ

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการ: ชาวเชียงรายหลายคนเห็นด้วยกับมาตรการพ่นละอองน้ำ โดยให้ความเห็นว่าเป็นแนวทางที่สามารถช่วยลดฝุ่นได้ในระยะสั้น และช่วยให้สภาพอากาศดีขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผู้สัญจรและชุมชนหนาแน่น

นายสมพงษ์ ชาวเชียงราย ให้ความเห็นว่า พ่นละอองน้ำช่วยให้หายใจโล่งขึ้น ลดฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศ รู้สึกดีขึ้นเวลาขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านจุดที่มีการพ่นน้ำ”

ฝ่ายที่มีข้อกังวล: บางกลุ่มมองว่ามาตรการพ่นละอองน้ำเป็นเพียงการแก้ปัญหาชั่วคราวและไม่สามารถแก้ไขต้นเหตุของปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้อย่างถาวร โดยเฉพาะปัญหาหมอกควันจากการเผาป่าและการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศหลักของภาคเหนือ

นางสาวปรียานุช นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การพ่นละอองน้ำช่วยลดฝุ่นได้ชั่วคราว แต่ต้นเหตุของปัญหามาจากการเผาป่าและการเผาเศษวัสดุการเกษตร หากไม่แก้ไขที่ต้นตอ ปัญหาฝุ่น PM2.5 ก็จะกลับมาเหมือนเดิม”

แนวทางเพิ่มเติมในการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5

นักวิชาการและหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมเสนอว่า ควรมี มาตรการควบคุมการเผาในที่โล่ง และ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีลดควันในการเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ การติดตั้ง เครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ในพื้นที่สาธารณะ และ การใช้รถบรรทุกน้ำฉีดพ่นถนนในพื้นที่ที่มีฝุ่นสะสมสูง ก็เป็นอีกทางเลือกที่ควรได้รับการพิจารณา

สรุป

มาตรการพ่นละอองน้ำของเทศบาลนครเชียงรายถือเป็นแนวทางเร่งด่วนที่สามารถช่วย ลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ ได้ในระยะสั้น และช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมหลังอุทกภัย อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของมาตรการดังกล่าว และความจำเป็นในการจัดการต้นตอของปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างจริงจัง

ในระยะยาว การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อสร้างแนวทางที่สามารถลดฝุ่น PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายรณรงค์ งดเผาป่า-ลด PM2.5 ห้ามเผา 1 มีนาคม

เชียงรายเดินหน้ารณรงค์ “วันปลอดควันพิษจากไฟป่า” ลดเผา สู้วิกฤต PM2.5

สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 เร่งเครื่องรณรงค์แก้ปัญหาไฟป่า

เชียงราย,28 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) จัดกิจกรรม “24 กุมภาพันธ์ วันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า” โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่

เป้าหมายหลัก: ลด ละ เลิก การเผาในที่โล่ง

กิจกรรมนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อ รณรงค์ให้ประชาชนลด ละ เลิก การเผาป่าและการเผาในที่โล่งทุกชนิด โดยเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีอัตราการเกิดไฟป่าสูงสุด โดยมี นายเจษฎา เงินทอง ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และเครือข่ายแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันจากเชียงรายและพะเยาเข้าร่วมงาน

เดินหน้าประชาสัมพันธ์ต่อเนื่อง

เพื่อให้การรณรงค์เกิดผล ขบวนรถประชาสัมพันธ์กว่า 22 คัน ถูกส่งออกไปกระจายข่าวสารและสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงฤดูไฟป่า

24 กุมภาพันธ์: วันสำคัญในการลดหมอกควันไฟป่า

มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2543 กำหนดให้ 24 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหานี้

เชียงรายในกลุ่มเสี่ยงสูง: เผาป่าทำให้ PM2.5 พุ่งสูง

เชียงรายเป็น 1 ใน 9 จังหวัดภาคเหนือที่เผชิญปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 จากปัจจัยหลักดังนี้:

  • การเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก
  • การลักลอบเผาป่าเพื่อใช้ประโยชน์จากที่ดิน
  • หมอกควันข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน

ภาวะแห้งแล้งในช่วงต้นปีเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้มลพิษทางอากาศเพิ่มขึ้น กระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง

มาตรการเข้ม: ห้ามเผาเด็ดขาด 1 มี.ค. – 31 พ.ค. 2568

จังหวัดเชียงรายได้ออกประกาศห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิด ตั้งแต่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 โดยมีการกำหนดมาตรการควบคุมดังนี้:

  • บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน
  • ช่องทางแจ้งเหตุเมื่อพบการเผา
  • มาตรการเฝ้าระวังและควบคุมพื้นที่เสี่ยง

เป้าหมายคือการแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างยั่งยืนและลดผลกระทบจากหมอกควันในระยะยาว

สถิติไฟป่าและผลกระทบต่อ PM2.5

จากข้อมูลกรมควบคุมมลพิษ พบว่าในปี 2567 เชียงรายมีจุดความร้อน (Hotspot) กว่า 3,500 จุด และค่าฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยในช่วงเดือนมีนาคมแตะระดับ 150 µg/m³ ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนด (50 µg/m³) หลายเท่าตัว

ที่มา: สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15, กรมควบคุมมลพิษ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายสั่งเร่งแก้ไฟป่า PM2.5 เปิดคลินิกมลพิษออนไลน์

รองผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ย้ำตรวจสอบจุดความร้อน พร้อมหามาตรการแก้ไข

เชียงราย, 26 กุมภาพันธ์ 2568 – รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเผยว่าผู้ว่าราชการจังหวัดได้เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันอย่างต่อเนื่อง พร้อมเร่งตรวจสอบจุดความร้อนที่เกิดขึ้นเพื่อหาสาเหตุและแนวทางแก้ไข

ศูนย์ปฏิบัติการฯ เร่งหารือแนวทางแก้ปัญหา

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะทำงานติดตามสถานการณ์และขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามและรายงานผลการดำเนินงานที่ผ่านมา

มาตรการเร่งด่วน 4 ข้อ แก้ไขปัญหาหมอกควัน

รองผู้ว่าฯ เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 ไปเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 โดย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้มอบหมายมาตรการเร่งด่วน 4 ข้อ ได้แก่

  1. ประชาสัมพันธ์กฎหมายห้ามเผาในที่โล่ง – แจ้งโทษและข้อกฎหมายให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง
  2. ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง – บูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหารือแนวทางแก้ไขปัญหา
  3. เพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ – หากค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน ให้ฉีดพ่นละอองน้ำและดำเนินมาตรการอื่น โดยเฉพาะใน อำเภอแม่สาย
  4. ตรวจสอบจุดความร้อน – หน่วยงานที่รับผิดชอบต้องเข้าตรวจสอบจุดที่เกิดไฟป่า ค้นหาตัวผู้กระทำผิด และดำเนินคดีทางกฎหมาย

คลินิกมลพิษอำนวยความสะดวกประชาชน

ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ขยายบริการ คลินิกมลพิษทางอากาศ ผ่านระบบ หมอพร้อม” โดยประชาชนสามารถนัดหมายออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันหรือ Line OA ของหมอพร้อม เพื่อเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป 106 แห่งทั่วประเทศ รวมถึง โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และโรงพยาบาลแม่สาย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จุดความร้อนสะสม (Hotspot) ในจังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 25 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 320 จุด (ข้อมูลจาก GISTDA)
  • คุณภาพอากาศ (AQI) เฉลี่ยในเชียงราย วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 162 (ระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ) (ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ)
  • อัตราผู้ป่วยจากปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เข้ารับบริการคลินิกมลพิษที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มี เพิ่มขึ้น 35% เทียบกับเดือนก่อนหน้า

ประชาชนที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ PM2.5 สามารถติดต่อ สายด่วนกรมอนามัย 1478 และ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง

FAQs คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาหมอกควันและไฟป่า

  1. ทำไมภาคเหนือถึงเกิดไฟป่าและหมอกควันบ่อยในช่วงต้นปี?
    • สาเหตุหลักมาจาก การเผาป่าเพื่อหาของป่าและทำเกษตร รวมถึงลักษณะภูมิอากาศที่เอื้อต่อการสะสมของฝุ่น
  2. การเผาป่าในเชียงรายผิดกฎหมายหรือไม่?
    • ผิดกฎหมาย โดยผู้ฝ่าฝืนอาจถูก จำคุกสูงสุด 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
  3. ค่าฝุ่น PM2.5 ที่อันตรายต่อสุขภาพคือระดับใด?
    • หากเกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
  4. มีวิธีป้องกันฝุ่น PM2.5 อย่างไรบ้าง?
    • สวมหน้ากาก N95, หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และเปิดเครื่องฟอกอากาศในบ้าน
  5. จะตรวจสอบคุณภาพอากาศในเชียงรายได้จากที่ไหน?
    • สามารถติดตามได้ที่ แอป Air4Thai, เว็บไซต์กรมควบคุมมลพิษ, และ GISTDA

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เตือน ‘เชียงราย’ 2-3 วันนี้ อากาศแปรปรวน พายุฝนฟ้าคะนอง

ปภ.ช. เตือนอากาศแปรปรวน 2-3 วันนี้ ภาคใต้ฝนตกหนัก – กทม. ฝุ่นสูง

เชียงราย, 21 กุมภาพันธ์ 2568 – กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) แจ้งเตือนสภาพอากาศแปรปรวนทั่วประเทศในช่วง 2-3 วันนี้ โดยเฉพาะภาคใต้ที่มีฝนตกหนักและคลื่นลมแรง ขณะที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ค่าฝุ่นละออง PM2.5 สูงขึ้น และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนที่สถานการณ์จะดีขึ้นตั้งแต่วันที่ 24-26 กุมภาพันธ์

สถานการณ์อากาศและมลพิษ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาปภ.ช. เปิดเผยว่า เมื่อคืนวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เกิดเหตุไฟไหม้ป่าที่แหลมกระทิง จ.ภูเก็ต กินพื้นที่กว่า 10 ไร่ เจ้าหน้าที่ระดมกำลังควบคุมเพลิงจนสามารถดับได้ในเช้าวันนี้ พร้อมเตือนให้ทุกพื้นที่เฝ้าระวังไฟป่าและดำเนินการดับไฟให้เร็วที่สุด

กรมควบคุมมลพิษรายงานว่า คุณภาพอากาศในบางพื้นที่แย่ลงเมื่อเทียบกับวันก่อน โดยพบค่าฝุ่น PM2.5 ในระดับสีส้มในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคกลาง เช่น สิงห์บุรี และอ่างทอง ขณะที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด สถานการณ์ดีขึ้น ไม่มีพื้นที่สีแดง แต่ยังมีจังหวัดสีส้ม ได้แก่ ลำปาง, พิษณุโลก, น่าน, เชียงราย และตาก

คาดการณ์ฝุ่น PM2.5 และอากาศแปรปรวน

  • วันที่ 21-23 กุมภาพันธ์: ภาคกลางและกรุงเทพฯ จะมีค่าฝุ่นสูงขึ้น
  • วันที่ 24-26 กุมภาพันธ์: ลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดเข้ามา ทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้น
  • วันที่ 27-28 กุมภาพันธ์: มีโอกาสที่ค่าฝุ่นจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

จุดความร้อนและปัญหาไฟป่า

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (จิสด้า) รายงานพบจุดความร้อน 264 จุดในประเทศไทย ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคอีสาน ขณะที่เมียนมา พบจุดความร้อนสูงสุดถึง 1,898 จุด รองลงมาคือ กัมพูชา ไทยอยู่ในอันดับที่ 4 โดยจังหวัดที่พบจุดความร้อนมากที่สุด ได้แก่:

  • ชัยภูมิ 47 จุด
  • ตาก 21 จุด
  • นครราชสีมา 18 จุด
  • ลพบุรี 15 จุด

กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือนอากาศแปรปรวน

  • ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีความชื้นสูงและอาจมีฝนตกบางพื้นที่
  • ภาคเหนือตอนล่างและภาคใต้มีฝนตก แต่ไม่สามารถลดระดับฝุ่นละอองได้มากนัก
  • วันที่ 23-25 กุมภาพันธ์ ต้องเฝ้าระวังพายุฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักใน ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช
  • อ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ประชาชนริมฝั่งระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือขนาดเล็กในช่วงเวลาดังกล่าว

สรุป: เตือนอากาศแปรปรวน ฝุ่นสูง-ฝนตกหนัก ต้องเฝ้าระวัง

ปภ.ช. ขอให้ประชาชนติดตามพยากรณ์อากาศและปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงฝนตกหนักและค่าฝุ่นสูง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยในช่วงสัปดาห์นี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

PM2.5 วาระแห่งชาติ นายกฯ เร่งทุกฝ่ายแก้ปัญหา

นายกรัฐมนตรีติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ย้ำบูรณาการทุกหน่วยงาน คุมเข้มการเผา พร้อมสั่งเตรียมแผนงานรองรับปีหน้า

กรุงเทพฯ, 19 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตลอดจนปลัดกระทรวง อธิบดีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมประชุม

นายกฯ สั่งเข้มมาตรการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ทุกระดับ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้รับฟังรายงานจากนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ โดยระบุว่า รัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ผ่านมาตรการบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้สถานการณ์ฝุ่นละอองในหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังการลักลอบเผาป่า ซึ่งอาจทำให้ปัญหากลับมารุนแรงขึ้น โดยต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานภาครัฐและระดับพื้นที่

นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมแผนงานเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฝุ่นละอองในปีหน้า รวมถึงต้องขับเคลื่อนการบังคับใช้มาตรการอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่สำคัญ

สั่งคุมเข้มการเผาในพื้นที่เกษตร – ดำเนินคดีผู้ฝ่าฝืนอย่างจริงจัง

นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศให้เร่งควบคุมการลักลอบเผาในพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พบจุดความร้อน (Hotspot) มากที่สุด พร้อมสั่งให้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับผู้กระทำผิด

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ติดตามสถานการณ์และรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ พร้อมให้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งประสานงานกับกองทัพบกและกองทัพอากาศ เพื่อสนับสนุนเครื่องมืออากาศยานในการดับไฟป่าและเฝ้าระวังการลักลอบเผา

ในส่วนของการป้องกันปัญหาฝุ่นจากภาคอุตสาหกรรม นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ กระทรวงอุตสาหกรรม ควบคุมมลพิษจากโรงงาน พร้อมกำชับให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รณรงค์ลดการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและส่งเสริมให้เกษตรกรใช้วิธีการไถกลบแทน

รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเครื่องมือและมาตรการเพิ่มเติมในปีหน้า

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในปีหน้า โดยขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลและเสนอแผนงานที่จำเป็น เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ปีนี้เราอาจมีข้อจำกัดหลายด้าน แต่ปีหน้าเราจะต้องทำให้ดีขึ้น เพื่อให้สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ลดความรุนแรงลง และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า รัฐบาลมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหา” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศหารือเพื่อนบ้าน ร่วมแก้ปัญหาฝุ่นข้ามแดน

เนื่องจากปัญหาฝุ่น PM2.5 มีสาเหตุจากไฟป่าและการเผาในประเทศเพื่อนบ้านด้วย นายกรัฐมนตรีจึงมอบหมายให้ กระทรวงการต่างประเทศ ประสานงานกับรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา ลาว และกัมพูชา เพื่อหารือแนวทางป้องกันการเผาข้ามแดน รวมถึงจัดทำข้อตกลงร่วมกันในการลดปัญหาฝุ่นละอองในระดับภูมิภาค

นายกฯ รับข้อเสนอ กทม. เสริมมาตรการลดฝุ่นในเมือง

สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นศูนย์กลางของปัญหาฝุ่นละอองจากภาคขนส่งและอุตสาหกรรม นายกรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอจาก ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ซึ่งรวมถึงการเพิ่มจุดตรวจวัดค่าฝุ่น การปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง และการเข้มงวดการตรวจสอบรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเกินค่ามาตรฐาน โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่าจะนำข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาและหารือเพิ่มเติมในการประชุมครั้งต่อไป

สรุปแนวทางปฏิบัติและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี

  1. ควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมอย่างจริงจัง บังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืน
  2. ประสานความร่วมมือกับกองทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมไฟป่า
  3. ควบคุมการปล่อยมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมและขนส่ง
  4. สนับสนุนเครื่องมือและงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาในปีหน้า
  5. ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อป้องกันปัญหาฝุ่นข้ามแดน
  6. รับข้อเสนอจากกรุงเทพมหานครเพื่อเสริมมาตรการลดฝุ่นในเขตเมือง

การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรการระยะยาวที่รัฐบาลจะดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน โดยนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้ประชาชนได้รับอากาศที่สะอาดและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ทุกหน่วยงานต้องทำงานเชิงรุก อย่ารอให้ปัญหารุนแรงแล้วค่อยแก้ไข เราต้องเตรียมการล่วงหน้า และป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ” นายกรัฐมนตรีกล่าวทิ้งท้าย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไถกลบแทนเผา เชียงรายรณรงค์ลดฝุ่น PM2.5 เกษตรกรร่วมใจ

เชียงรายเปิดปฏิบัติการ ไถกลบ ลดเผา สกัดฝุ่น PM2.5

เชียงราย, 19 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดโครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น มุ่งแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในกิจกรรม “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ที่จัดขึ้นในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีนายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ นายอำเภอเวียงแก่น, นายอดิศร จันทรประภาเลิศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย, นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม

มุ่งลดการเผาในที่โล่ง เสริมสร้างความรู้ให้เกษตรกร

กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้เกษตรกรหยุดการเผาในพื้นที่การเกษตร โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งที่มีการเผาซากพืชจำนวนมาก ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเน้นย้ำว่า การเผาในที่โล่งไม่เพียงแต่ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพอากาศและการท่องเที่ยวของจังหวัด

“เชียงรายให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 มาโดยตลอด เราไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เพียงลำพัง แต่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกรที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้แนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การชิงไถและไถกลบแทนการเผา” นายประเสริฐกล่าว

กิจกรรมชิงไถและไถกลบเศษพืช ลดการเผาอย่างเป็นรูปธรรม

ในกิจกรรมครั้งนี้ มีการนำเครื่องจักรกลการเกษตรมาใช้ไถกลบตอซังและเศษพืชเหลือใช้ เพื่อลดปริมาณเชื้อเพลิงที่อาจถูกเผาทำลาย รวมถึงการหว่านเมล็ดพันธุ์ปอเทืองเพื่อใช้เป็นปุ๋ยพืชสด เนื่องจากปอเทืองเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีไนโตรเจนสูง ช่วยบำรุงดินและสามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ เช่น การเลี้ยงโค กระบือ และหมู อีกทั้งยังช่วยลดการพังทลายของหน้าดิน และรักษาความชื้นในดินได้เป็นอย่างดี

“การไถกลบแทนการเผาไม่เพียงช่วยลดมลพิษในอากาศ แต่ยังช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ทำให้ดินมีคุณภาพดีขึ้น ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว” นายอดิศร จันทรประภาเลิศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย กล่าว

มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส” คุมเข้มการเผาในพื้นที่

จังหวัดเชียงรายได้ออกมาตรการ “เชียงรายฟ้าใส 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา” เพื่อควบคุมการเผาในพื้นที่ โดยมีรายละเอียดดังนี้

ช่วงห้ามเผาในที่โล่ง ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยการบริหารจัดการเชื้อเพลิงจะดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น

ช่วงเข้มงวดการห้ามเผาอย่างเด็ดขาด ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 ซึ่งหากพบว่ามีการฝ่าฝืน จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นสูงสุด

การบังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืน

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ฝ่าฝืนมาตรการห้ามเผาจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยมีบทลงโทษที่เข้มงวด รวมถึงอาจถูกตัดสิทธิ์การสนับสนุนจากภาครัฐในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนร่วมมือในการลดการเผา

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นกุญแจสำคัญ

การดำเนินงานภายใต้โครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนพฤติกรรม ลดการเผา และใช้แนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สรุป

กิจกรรม “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ในอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญในการแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งจะช่วยลดมลพิษทางอากาศและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงราย

จังหวัดเชียงรายจะดำเนินมาตรการควบคุมการเผาอย่างเข้มข้นในช่วงฤดูแล้ง โดยมีเป้าหมายลดจำนวนจุดความร้อน (Hotspot) และปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ให้น้อยที่สุด พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของการเผา และร่วมมือกันในการป้องกันปัญหาหมอกควันอย่างจริงจัง

สำหรับประชาชนที่พบเห็นการเผาในที่โล่ง สามารถแจ้งเหตุได้ที่ สายด่วน 053-602547 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบและดำเนินมาตรการควบคุมทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

ผู้ว่าฯ เชียงรายจับมือลาว สู้ศึกหมอกควันข้ามแดน

เชียงรายผนึกกำลังเพื่อนบ้าน! ดับไฟป่า ลดหมอกควันข้ามพรมแดน

เชียงราย, 18 กุมภาพันธ์ 2568 – เชียงราย-บ่อแก้ว-ไซยะบูลี ผนึกกำลังเดินหน้าลดการเผา ป้องกันหมอกควันข้ามแดน

เปิดกิจกรรม Kick Off ความร่วมมือไทย-ลาว แนวกันไฟชายแดน

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2568) นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ นายคำผะหยา พมปันยา รองเจ้าแขวงบ่อแก้ว เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม Kick Off การขับเคลื่อนความร่วมมือในการจัดทำแนวกันไฟ ลดการเผา เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระหว่าง จังหวัดเชียงราย แขวงบ่อแก้ว และแขวงไชยะบูลีแก่งผาได หมู่ 4 บ้านห้วยลึก ต.ม่วงยาย อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย

ในพิธีเปิดมี นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ท้องถิ่น และประชาชนจากทั้ง สปป.ลาว และจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งนอกจากการจัดทำแนวกันไฟบริเวณแนวชายแดนไทย-ลาวแล้ว ยังมีการรณรงค์ ลดการเผาในแปลงเกษตรและพื้นที่ป่า ในหมู่บ้านแนวเขตชายแดนของอำเภอเวียงแก่น

เวทีหารือไทย-ลาว-เมียนมา เดินหน้าลดหมอกควันข้ามแดน

ภายหลังเสร็จสิ้นกิจกรรม Kick Off คณะผู้บริหารจากไทยและลาวได้เข้าร่วมการประชุมหารือเรื่อง การขับเคลื่อนความร่วมมือในการจัดทำแนวกันไฟ ลดการเผา เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าและ PM2.5โรงเรียนเวียงแก่นวิทยาคม อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีเจ้าหน้าที่จากภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วม

เชียงราย-บ่อแก้ว จับมือป้องกันไฟป่าลุกลามข้ามพรมแดน

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายเป็น หนึ่งในพื้นที่วิกฤติหมอกควันและไฟป่าของภาคเหนือ เนื่องจากมีการเผาป่าและการเตรียมพื้นที่การเกษตรในช่วงหน้าแล้ง ประกอบกับ พรมแดนติดกับ สปป.ลาว และเมียนมา ทำให้มลพิษจากหมอกควันข้ามแดนรุนแรงขึ้นและควบคุมได้ยาก

ที่ผ่านมาจังหวัดเชียงรายและแขวงบ่อแก้วมีความร่วมมือที่ดีในการรับมือกับไฟป่าและหมอกควัน และกิจกรรม Kick Off ครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการ ยกระดับความร่วมมืออย่างจริงจัง ระหว่างสองฝ่ายในฐานะเมืองคู่ขนาน โดยเน้นการ ปฏิบัติจริงในพื้นที่ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากปัญหาหมอกควันข้ามแดนในระยะยาว

แขวงไซยะบูลีร่วมผลักดันแนวทางป้องกันมลพิษอากาศ

นายคำผะหยา พมปันยา รองเจ้าแขวงบ่อแก้ว กล่าวว่า แขวงบ่อแก้วและจังหวัดเชียงราย มีความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องในการรับมือกับ ไฟป่าและหมอกควัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยการทำงานร่วมกันในลักษณะ พหุภาคีไทย-ลาว-เมียนมา จะช่วยให้สามารถ ลดการเผา และควบคุมไฟป่าข้ามแดน ได้ดียิ่งขึ้น

ด้าน นายสมจิด จันทะวง รองเจ้าแขวงไซยะบูลี กล่าวถึง ความสำคัญของการสร้างความตระหนักแก่ประชาชน ให้ร่วมมือกันลดการเผาเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น พร้อมย้ำว่า แขวงไซยะบูลีซึ่งมีชายแดนติดกับไทยหลายจังหวัด ต้องการความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับฝ่ายไทยในการรณรงค์ลดมลพิษหมอกควัน

เวียงแก่นต้นแบบความร่วมมือชายแดน ลดการเผาเพื่อสิ่งแวดล้อม

นายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ นายอำเภอเวียงแก่น กล่าวว่า อำเภอเวียงแก่นในฐานะเมืองคู่ขนานของไทยและลาว ได้ดำเนินการตามนโยบายของ คณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนไทย-ลาว มาโดยตลอด

กิจกรรมสำคัญที่ผ่านมา ได้แก่:

  • การปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างแนวกำแพงป้องกันหมอกควัน
  • การสร้างแนวกันไฟตามแนวเขตชายแดน ลดการลุกลามของไฟป่า
  • การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านเกษตรกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระหว่างไทยและลาว

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยชี้ไทย-ลาวเดินหน้าลดหมอกควันข้ามแดนเป็นรูปธรรม

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า สถาบันฯ ได้เข้ามามีบทบาทในการสนับสนุน การลดมลพิษหมอกควันข้ามแดนร่วมกับจังหวัดเชียงราย และประเทศเพื่อนบ้าน โดยการขับเคลื่อนกลไกความร่วมมือทั้งในระดับ นโยบายและระดับพื้นที่

โมเดลแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็น ต้นแบบของแนวทางการลดเผาในภาคเกษตร ซึ่ง สปป.ลาว ได้นำไปปรับใช้ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว การดำเนินงานนี้จะช่วยสร้างแนวปฏิบัติที่ดีและช่วยให้การลดมลพิษทางอากาศเกิดผลเป็นรูปธรรม

สรุป

การประชุมและกิจกรรม Kick Off ระหว่าง ไทย-ลาว-เมียนมา ครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการ ขับเคลื่อนความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน เพื่อ ป้องกันและลดปัญหาหมอกควันข้ามแดน โดยเฉพาะการ ลดการเผาในภาคเกษตรและป่าไม้

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและผู้นำจากแขวงบ่อแก้ว และไซยะบูลี ต่างให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าความร่วมมือต่อไป เพื่อสร้างอากาศบริสุทธิ์และสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืนสำหรับประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเปิดศูนย์บัญชาการ สู้ศึกหมอกควัน PM2.5

เชียงรายลั่น! เอาผิดคนเผาป่า เข้มมาตรการ PM2.5

เชียงราย, 17 กุมภาพันธ์ 2568 – เชียงรายเปิดศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 เดินหน้าคุมเข้มมาตรการลดปัญหามลพิษ

ผู้ว่าฯ เชียงรายเปิดศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5

วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2568) นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงรายอาคารศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กองทัพ และภาคประชาสังคมเข้าร่วม

ศูนย์ปฏิบัติการแห่งนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างเป็นระบบ โดยมีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และภาคประชาชน เน้น การบัญชาการ วางแผน และติดตามมาตรการควบคุมหมอกควันและไฟป่าในพื้นที่ โดยมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ มณฑลทหารบกที่ 37, กอ.รมน. จังหวัดเชียงราย, สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานอื่น ๆ ประจำการตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

แนวทางแก้ปัญหา PM2.5 และการบังคับใช้กฎหมาย

นายชรินทร์ ทองสุข เน้นย้ำถึงความสำคัญของการควบคุมแหล่งกำเนิดหมอกควันไฟป่า โดยชี้ว่าปัญหา PM2.5 ไม่ได้เกิดจากจุดความร้อนของไฟป่าเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงปัจจัยอื่น เช่น ควันดำจากยานพาหนะ และฝุ่นละอองจากพื้นที่ก่อสร้าง ทั้งนี้ จังหวัดเชียงรายจะใช้มาตรการเข้มข้นในการควบคุมการเผาอย่างเคร่งครัด โดยมี แนวทางป้องกันที่ชัดเจน ดังนี้:

  • เพิ่มมาตรการตรวจจับการเผาในที่โล่ง โดยใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียมและโดรนตรวจการณ์
  • ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของ PM2.5 ผ่านช่องทางต่าง ๆ
  • บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง สำหรับผู้ฝ่าฝืนมาตรการห้ามเผา

คนเผาต้องได้รับผลจากการกระทำ เช่น การดำเนินคดีทางกฎหมาย หรือการตัดสิทธิ์จากการรับบริการภาครัฐ” นายชรินทร์กล่าว พร้อมย้ำว่าทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา”

จังหวัดเชียงรายได้ประกาศ มาตรการควบคุมการเผาในพื้นที่ 3 ระดับ ได้แก่ พื้นที่ป่า พื้นที่การเกษตร และพื้นที่เมือง โดยใช้ 3 ช่วงเวลาหลัก เพื่อควบคุมสถานการณ์หมอกควัน:

  1. ช่วงที่ 1: ห้ามเผาในที่โล่งตั้งแต่วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมจะได้รับอนุญาต เฉพาะการบริหารจัดการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น
  2. ช่วงที่ 2: ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เป็นช่วงบังคับใช้มาตรการ ห้ามเผาอย่างเด็ดขาด โดยผู้ฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นสูงสุด
  3. ช่วงที่ 3: หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป จะมีการติดตามและประเมินผลมาตรการ รวมถึงกำหนดแนวทางระยะยาวในการป้องกันปัญหาหมอกควัน

ประชาชนสามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วน

เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน ศูนย์ปฏิบัติการฯ ได้เปิด สายด่วนรับแจ้งเหตุเผาในพื้นที่ หมายเลข 053-602547 โดยมีเจ้าหน้าที่คอยรับเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ปัญหาฝุ่นควัน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชน เราต้องทำให้ประชาชนตระหนักว่า หมอกควันและฝุ่น PM2.5 เป็นภัยที่กระทบต่อสุขภาพของทุกคน”

นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายยังได้บูรณาการทำงานร่วมกับ กลุ่มเกษตรกร เพื่อให้ความรู้เรื่องการจัดการเชื้อเพลิงอย่างปลอดภัย และสนับสนุนการนำเศษพืชมาใช้เป็นวัตถุดิบเชื้อเพลิงชีวมวล ลดการเผาทำลาย ซึ่งจะช่วยลดปัญหามลพิษในระยะยาว

สรุป

จังหวัดเชียงรายเปิด ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษจากไฟป่าและหมอกควันอย่างจริงจัง โดยใช้ มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา” ควบคุมการเผา พร้อมบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นและให้ประชาชนสามารถแจ้งเหตุเผาผ่านสายด่วน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายมั่นใจว่า ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จังหวัดเชียงรายจะสามารถลดปัญหาฝุ่น PM2.5 และสร้างอากาศที่บริสุทธิ์ให้กับประชาชนได้อย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย Kick Off ชิงไถ ลดเผา ลดฝุ่น PM2.5 ยั่งยืน

ผู้ว่าฯ เชียงราย Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM 2.5 อย่างยั่งยืน

เชียงราย, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดตัวโครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา” เพื่อรณรงค์ส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตรและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากการเผา โดยจัดขึ้น ณ ศูนย์ข้าวชุมชนนาแปลงใหญ่ข้าวปลอดสารพิษ หมู่ที่ 3 ตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมด้วย นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน, เกษตรจังหวัดเชียงราย, เกษตรอำเภอพาน, นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ, กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน และเกษตรกรในพื้นที่เข้าร่วมงานจำนวนมาก

แนวทางแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวว่า ปัญหาการเผาในที่โล่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าและพื้นที่การเกษตร ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงรายจึงให้ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

การจัดกิจกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อ สร้างความตระหนักและให้ความรู้แก่เกษตรกร เกี่ยวกับผลกระทบของการเผา พร้อมนำเสนอทางเลือกทางการเกษตรที่สามารถลดการเผา เช่น การใช้เทคโนโลยีการเกษตรที่ยั่งยืน และการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่น

ข้อมูลพื้นที่เป้าหมายในการรณรงค์

ตำบลแม่อ้อมีพื้นที่ทั้งหมด 130 ตารางกิโลเมตร และมีประชากร 8,813 คน โดยมีพื้นที่เกษตรกรรมสำคัญ ได้แก่:

  • พื้นที่นาข้าว 16,000 ไร่
  • พื้นที่เกษตรอื่นๆ 5,000 ไร่

ประชาชนในตำบลแม่อ้อส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำนา ซึ่งเนื่องจากพื้นที่อยู่นอกเขตชลประทาน ทำให้สามารถปลูกข้าวได้เพียงปีละ 1 ครั้ง ขณะที่ในช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว เกษตรกรในพื้นที่ยังมี อาชีพเสริม ได้แก่ การทำเห็ดฟางยกก้อนสูง ซึ่งใช้เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร แทนการเผาฟางและตอซังข้าว นับเป็นแนวทางที่ช่วยลดการเผาในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กิจกรรมส่งเสริมการลดเผาและแนวทางการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร

ในการจัดกิจกรรม Kick Off ชิงไถ ลดการเผา มีการนำเสนอแนวทางจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรโดยไม่ใช้การเผา ได้แก่:

  1. การไถกลบตอซังข้าว เพื่อช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และช่วยรักษาความชื้นในดิน
  2. การใช้เศษฟางและตอซังข้าวทำปุ๋ยหมัก เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยลดปริมาณขยะชีวภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  3. การนำเศษวัสดุเหลือใช้ไปเพาะเห็ดฟาง ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตและสร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกร

ผลกระทบของการเผาต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

การเผาตอซังข้าวและเศษวัสดุทางการเกษตรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด มลพิษทางอากาศและฝุ่น PM 2.5 ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง นอกจากนี้ยังทำให้ดินเสื่อมโทรม สูญเสียสารอาหารที่จำเป็น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า

ความร่วมมือของทุกภาคส่วน

ในการแก้ไขปัญหาการเผา หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินโครงการนี้เพื่อลดการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด พร้อมรณรงค์ให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนแนวทางการทำเกษตรไปสู่แนวทางที่ยั่งยืน

บทสรุป

กิจกรรม Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของจังหวัดเชียงรายในการ แก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และมลพิษทางอากาศ โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์แทนการเผา ซึ่งไม่เพียงช่วยลดมลพิษ แต่ยังช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร และส่งเสริมการพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News