Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ทอท.เดินหน้าลงทุน MRO และ FBO ดันเชียงรายสู่ “ศูนย์การบินแห่งภาคเหนือ”

เชียงรายเตรียมยกระดับสู่ “ศูนย์การบินแห่งเหนือ” ทอท.เดินหน้า MRO–อาคารผู้โดยสารใหม่ พร้อมเปิดพื้นที่ทิศเหนือเชิญเอกชนลงทุน FBO ดึงเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว–ธุรกิจการบินโตยกเขต

เชียงราย, 14 กันยายน 2568 — ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย (CEI) กำลังเปลี่ยนผ่านสู่บทใหม่ของอุตสาหกรรมการบินภาคเหนือ เมื่อ ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) เดินหน้าแผนลงทุนขนาดใหญ่ ทั้งการสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ และการตั้ง “ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO)” บนพื้นที่เฉพาะ ขณะเดียวกัน สนามบินเริ่มเปิดพื้นที่ฝั่งทิศเหนือเพื่อดึงเอกชนลงทุน “FBO”—ผู้ให้บริการภาคพื้นสำหรับการบินธุรกิจ/เครื่องบินส่วนตัว—เพื่อรองรับดีมานด์ระดับพรีเมียมที่เติบโต

“FBO (Fixed-Base Operator) เป็นผู้ให้บริการภาคพื้นสำหรับการบินธุรกิจ/เครื่องบินส่วนตัว ตอนนี้สนามบินกำลังประชาสัมพันธ์หาผู้ลงทุน โดยพื้นที่ตั้งอยู่บริเวณทิศเหนือของสนามบิน” นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย กล่าวยืนยันกับผู้สื่อข่าวนครเชียงรายนิวส์ สะท้อนทิศทางที่ CEI กำลังเปิด “ประตูที่สอง” ให้กับผู้โดยสารกลุ่มเฉพาะ (niche premium) ควบคู่ไปกับผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ปกติ

จากสนามบินประตูท่องเที่ยว สู่ “ฐานอุตสาหกรรมการบิน”

ในเชิงโครงสร้างพื้นฐาน แผนของ ทอท. ที่เชียงรายแบ่งเป็น 2 แกนสำคัญ

  1. อาคารผู้โดยสารใหม่ – มุ่งเพิ่มขีดความสามารถรองรับจากระดับราว 1.9 ล้านคน/ปี ไปสู่ 6–7 ล้านคน/ปี ในช่วงสิ้นทศวรรษนี้ เพื่อรับมือพฤติกรรมท่องเที่ยวภาคเหนือและการเชื่อมต่อจีนตอนใต้–ลุ่มโขงที่ขยายตัวต่อเนื่อง (มีรายงานต่างประเทศระบุเป้าหมาย 7 ล้านคน/ปี)
  2. ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) บนพื้นที่ราว 50 ไร่ – ปัจจุบัน รายงาน EIA ของโครงการ MRO ที่เชียงรายอยู่บนระบบ Smart EIA ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ซึ่งสะท้อนการเดินหน้าในเชิงขั้นตอนตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมของไทย

ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้ CEI ไม่ได้เป็นเพียง “สนามบินปลายทางท่องเที่ยว” อีกต่อไป แต่ยกระดับไปเป็น “ศูนย์บริการด้านการบิน” ครบวงจร ซึ่งการมี MRO จะสร้างฐานการจ้างงานทักษะสูง กระตุ้นเศรษฐกิจห่วงโซ่อุตสาหกรรมอากาศยาน และเพิ่มเสถียรภาพรายได้ให้สนามบินในระยะยาว—ต่างจากรายได้ที่ผันผวนตามฤดูกาลท่องเที่ยว

FBO vs MRO คนละบท คนละคุณค่า แต่เสริมกัน

คำว่า FBO และ MRO มักถูกเอ่ยคู่กัน แต่มี “หน้าที่” คนละแบบ

  • FBO คือบริการภาคพื้นและอำนวยความสะดวกสำหรับการบินธุรกิจ/เครื่องบินส่วนตัว เช่น เติมเชื้อเพลิง การจอด–ลากจูง การผ่านพิธีการ CIQ แบบเป็นส่วนตัว ห้องรับรอง VIP การขนส่งภาคพื้น และบริการลูกเรือ ฯลฯ มูลค่าเพิ่มของ FBO จึงอยู่ที่ “ความเร็ว–ความเป็นส่วนตัว–ความต่อเนื่อง” ของการเดินทางสำหรับผู้บริหาร/นักลงทุน/บุคคลสำคัญ
  • MRO คือการซ่อมบำรุงเชิงเทคนิค ตั้งแต่ตรวจระยะ/ซ่อมโครงสร้าง/เครื่องยนต์ จนถึงการยกเครื่องใหญ่ (overhaul) ซึ่งต้องใช้มาตรฐานกำกับดูแลด้านความปลอดภัยเข้มงวดและบุคลากรทักษะสูง—สร้าง ฐานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ดังนั้น “เชียงราย” ที่ เปิดหาเอกชนลงทุน FBO และในเวลาเดียวกัน เดินหน้า MRO จึงเป็นยุทธศาสตร์สองขาที่ “ตอบสองตลาด” ทั้ง ตลาดพรีเมียมรายคน (FBO) และ ตลาดสายการบินรายฝูงบิน (MRO)

MJets Private Jet Terminal Bangkok Thailand

ภูมิทัศน์การแข่งขัน ไทยมี “ฐาน FBO แข็งแรง” อยู่แล้ว

ประเทศไทยมี FBO/ผู้ให้บริการภาคพื้นที่แข็งแกร่งและได้รับการยอมรับระดับภูมิภาค หนึ่งในนั้นคือ MJets ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่ง รายงาน AIN FBO Survey 2025 จัดให้ MJets อยู่ใน Top 20% ของเอเชีย–แปซิฟิก ด้วยคะแนน 4.46 ยืนยันทักษะและมาตรฐานการบริการของผู้เล่นไทยในเวทีนานาชาติ

ด้านผู้ให้บริการเครือข่ายระดับโลกอย่าง Universal Aviation มีจุดให้บริการ/ซัปพอร์ตการปฏิบัติการในไทยหลายสนามบิน (เครือข่ายประเทศไทย) ซึ่งสะท้อนว่าตลาดบริการภาคพื้นสำหรับลูกค้าธุรกิจและเครื่องบินส่วนตัวในไทยมีฐานโครงสร้างรองรับรองรับอยู่แล้ว หากเชียงรายเปิด FBO เพิ่ม จะยิ่งเสริมเครือข่ายให้สมบูรณ์ในฝั่งเหนือของประเทศ

ขณะเดียวกัน สนามบินเชียงรายยังมีบริษัทภาคพื้นเชิงพาณิชย์ให้บริการอยู่ก่อน เช่น Thai Ground Solutions (TGGS) ซึ่งตอกย้ำว่าพื้นฐานการให้บริการภาคพื้นของ CEI มีอยู่จริง และพร้อมต่อยอดไปสู่บริการพรีเมียมเฉพาะทางของ FBO ได้ในขั้นถัดไป

ดีมานด์ฝั่งผู้โดยสาร “Solo Travel” มาแรง – สายการบินจับตาเชียงราย

ด้านอุปสงค์ผู้โดยสาร รายงาน Scoot–YouGov (สิงคโปร์) เดือนสิงหาคม 2568 จากการสำรวจผู้เดินทาง 5,000 คนใน 6 ตลาดเอเชีย–แปซิฟิก (รวมไทย) ชี้ว่า การเดินทางคนเดียว (Solo Travel) กำลังมาแรง” ด้วยเหตุผลด้านอิสระ–ยืดหยุ่น–เวลาเพื่อดูแลตนเอง (time for me) และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สายการบินใช้วางแผนเส้นทางและผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์นักเดินทางยุคใหม่—สอดรับกับการโฟกัสจุดหมายปลายทางเมืองหลักของภูมิภาค

สำหรับ Scoot ซึ่งเป็นสายการบินโลว์คอสต์ในเครือ Singapore Airlines Group มีการขยายเครือข่ายครอบคลุมจุดหมายปลายทางกว่า 70 เส้นทางใน 18 ประเทศ และเพิ่งได้รับรางวัล “Value Airline of the Year 2025” จาก Air Transport World (ATW) ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง สะท้อนกลยุทธ์ “ความคุ้มค่า” ที่ตอบโจทย์ผู้โดยสารหลังโควิด (สื่ออุตสาหกรรมยืนยันรางวัล) ขณะที่ฐานข้อมูลรางวัลอุตสาหกรรมการบินของ Skytrax ก็แสดงความเชื่อมโยงของ Scoot กับ Singapore Airlines อย่างเป็นทางการในฐานะแขนงโลว์คอสต์ของเครือ—ยืนยันบทบาทในกลุ่ม SIA ที่แข็งแกร่งในเอเชีย

เมื่อโยงบริบทนี้กับ เชียงราย—จุดหมายปลายทางที่มีทั้งธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ธุรกิจเชื่อมจีนตอนใต้—จึงไม่น่าแปลกที่สายการบินภูมิภาคจับตาเปิด/ขยายเส้นทางมายัง CEI มากขึ้น ซึ่งหากขีดความสามารถผู้โดยสารและบริการภาคพื้นระดับพรีเมียม (FBO) ขยายตัวพร้อมกัน จะทำให้ “ระบบนิเวศการบิน” ของเชียงรายครบวงจรขึ้นทันที

กรอบเวลา–ศักยภาพ–ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

  • เป้าหมายความจุผู้โดยสาร จาก ราว 1.9 ล้านคน/ปี ไปสู่ 6–7 ล้านคน/ปี ตามขนาดอาคารผู้โดยสารใหม่ เพื่อให้สอดรับกับตลาดท่องเที่ยวภาคเหนือและเชื่อมต่อระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจีนตอนใต้/อาเซียนตอนบน
  • MRO 50 ไร่ + EIA เดินหน้า สถานะอยู่ในระบบ Smart EIA ของ สผ. และมีรายงานสื่อเศรษฐกิจไทยติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง—เป็นสัญญาณว่ากระบวนการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมกำลังเดินตามขั้นตอนก่อนการลงทุนจริง
  • FBO ฝั่งทิศเหนือของสนามบิน ฝั่งบริหารสนามบินยืนยันกำลัง เชิญเอกชนร่วมลงทุน” เพื่อดึงบริการภาคพื้น/เลานจ์/CIQ ส่วนตัวเข้ามาเสริมพอร์ตบริการ CEI ตอบโจทย์ลูกค้าอากาศยานธุรกิจ–พิเศษ (แหล่งข่าว ผอ.สนามบิน ให้สัมภาษณ์ทีมข่าวท้องถิ่น)

เมื่อรวมกัน ผลกระทบทางเศรษฐกิจคาดหมายคือ การจ้างงานทักษะสูง (ช่างอากาศยาน–วิศวกร–โลจิสติกส์), รายได้มั่นคงจากธุรกิจ MRO, การใช้จ่ายท่องเที่ยว–บริการต่อเชื่อม (retail/อาหาร/ที่พัก/รถเช่า), และ ภาพลักษณ์จังหวัด ที่ขยับจาก “ปลายทางท่องเที่ยว” ไปสู่ “มหานครการบินของภาคเหนือ”

เสียงจากสนาม ทำไม “เชียงราย” จึงน่าลงทุน FBO ตอนนี้

  1. ตำแหน่งยุทธศาสตร์ เชียงรายเป็นประตูสู่ จีนตอนใต้–ล้านช้าง–ลุ่มโขง การมี FBO ช่วยย่นเวลาและลดความยุ่งยากให้กับผู้บริหาร/นักลงทุนข้ามแดนที่ใช้เครื่องบินธุรกิจ
  2. ซัพพลายโครงสร้างพร้อมต่อยอด CEI มีผู้ให้บริการภาคพื้นเชิงพาณิชย์เดิมอยู่แล้ว (เช่น TGGS) การต่อยอดบริการสู่ระดับ FBO จึงไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
  3. สัญญาณดีมานด์จากฝั่งผู้โดยสาร/สายการบิน กระแส Solo Travel และการกระจายเส้นทางของสายการบินโลว์คอสต์–ฟูลเซอร์วิสกำลังดัน “เมืองรองที่มีศักยภาพ” ให้เป็น node ใหม่ในการบินภูมิภาค
  4. อุตสาหกรรมสนับสนุนขยายตัวพร้อมกัน เมื่อ MRO เกิด จะดึงซัพพลายเชนชิ้นส่วน–ซ่อม–เทคนิค–ฝึกอบรมเข้าพื้นที่ ทำให้บริการ FBO ได้อานิสงส์จาก “ระบบนิเวศการบิน” ที่หนาแน่นขึ้น
Jetex with Royce Royce Ghost Limo Service

ความท้าทาย ทุน–เวลา–มาตรฐาน–พันธมิตร

  • ทุนและกรอบเวลา โครงการขนาดใหญ่ต้องการงบประมาณและระยะเวลาดำเนินการหลายปี—ตั้งแต่ออกแบบ/จัดซื้อ/ก่อสร้าง/ทดสอบระบบ ไปจนถึงการออกใบรับรองต่าง ๆ
  • มาตรฐานกำกับดูแล ฝั่ง MRO ต้องผ่านมาตรฐานการบินพลเรือนระดับสากล (airworthiness/maintenance) ส่วน FBO ต้องรักษามาตรฐานความปลอดภัย–พิธีการ CIQ–การจัดการข้อมูลผู้โดยสารพิเศษ
  • การแข่งขันระดับภูมิภาค สิงคโปร์และประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาอุตสาหกรรม MRO มายาวนาน ไทยจึงต้องสร้างจุดแข็งด้านต้นทุน–โลจิสติกส์–ความเร็ว–คุณภาพบริการ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายพันธมิตรต่างชาติ
  • บุคลากร ต้องผลิต/ดึงดูดแรงงานทักษะสูงในสาขาอากาศยาน–โลจิสติกส์–บริการพรีเมียม—ซึ่งเป็น “คอขวด” ของอุตสาหกรรมทั่วโลก

ภาพรวมเชิงนโยบาย “Next Wing” ในความหมายของการยกระดับทั้งองค์กร

แม้คำว่า “AOT Next Wing” จะถูกใช้เป็นชื่อโครงการฝึกอบรม/พัฒนาศักยภาพบุคลากรรุ่นใหม่ของ ทอท. ในช่วงปี 2568 มากกว่าจะเป็นชื่อโครงการก่อสร้างสนามบินโดยตรง แต่สาระสำคัญคือ การเติม “ปีกใหม่” ให้บุคลากร–กระบวนการ–มาตรฐาน เพื่อรองรับแผนขยายตัวขององค์กรในระยะยาว—รวมถึงงานก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร/ระบบภาคพื้น/บริการใหม่ที่สนามบินต่าง ๆ ของ ทอท. ทั่วประเทศ (มีหลักฐานการใช้งานคำดังกล่าวในสื่อองค์กร/พันธมิตรประกันภัย)

บทสรุปเชิงยุทธศาสตร์

ฝั่งอุปทาน ทอท. กำลัง ปักเสาเข็มใหม่” ให้สนามบินเชียงรายด้วย อาคารผู้โดยสารใหม่ + MRO ซึ่งจะพลิก CEI ให้เป็น “ฐานเศรษฐกิจการบิน” ที่มีรายได้และงานคุณภาพสูง ขณะที่ฝั่งอุปสงค์ สนามบินเปิดหาเอกชนลงทุน FBO เพื่อรองรับการเดินทางพรีเมียม/เครื่องบินธุรกิจ—เชื่อมเศรษฐกิจชายแดนกับทุนข้ามพรมแดนอย่างคล่องตัว

ในภาพใหญ่ เชียงราย จึงไม่ได้รอเพียงฤดูกาลท่องเที่ยวอีกต่อไป แต่กำลังก้าวสู่ “มหานครการบินของภาคเหนือ” ที่มีทั้ง ผู้โดยสารเชิงพาณิชย์–ลูกค้า FBO–สายการบิน–ฐาน MRO อยู่ร่วม ecosystem เดียวกัน หากการลงทุนสำเร็จตามโรดแมป และดึงพันธมิตรนานาชาติเข้าร่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ—สนามบินแห่งนี้จะเป็น “ทางออก” ของคำถามใหญ่เรื่องการกระจายศูนย์กลางเศรษฐกิจการบินในไทย และเป็น “จุดหมาย” ของธุรกิจที่ต้องการความเร็ว ความเป็นส่วนตัว และคุณภาพมาตรฐานโลกในภาคเหนืออย่างแท้จริง

FBO คืออะไร

  • FBO = ผู้ให้บริการภาคพื้นสำหรับอากาศยานธุรกิจ/ส่วนตัว ให้บริการเติมเชื้อเพลิง–จอด–ลากจูง–CIQ ส่วนตัว–เลานจ์ VIP–รถรับส่ง–จัดการลูกเรือ ฯลฯ
  •  คุณค่า เร็ว เป็นส่วนตัว และไร้รอยต่อ เหมาะผู้บริหาร/นักลงทุน/วีไอพี
  •  แตกต่างจาก MRO FBO เน้น “บริการและอำนวยความสะดวก” ส่วน MRO เน้น “ซ่อมบำรุงเชิงเทคนิค/มาตรฐานความปลอดภัย”
  •  ตลาดไทย มีผู้เล่นแข็งแรง (เช่น MJets ได้คะแนนเด่นใน AIN 2025) และเครือข่ายผู้ให้บริการต่างชาติ (Universal Aviation) สนับสนุนการปฏิบัติการในสนามบินหลัก/เมืองท่องเที่ยว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงาน Smart EIA ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ที่ระบุโครงการ ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) เชียงราย อยู่ในระบบติดตาม EIA ของรัฐไทย
  • AIN FBO Survey 2025
  • Universal Aviation – Thailand
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“สมชนก” ผอ.สนามบินแม่ฟ้าหลวงเผยกลยุทธ์ “สองรางขนาน” พัฒนาโครงสร้าง-แก้จุดสำคัญก่อนเฟสใหญ่

TEAMG คว้าบิ๊กโปรเจกต์ ทอท. 205 ล้านบาท วาง “แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย เฟส 1” สู่สนามบินภูมิภาคอัจฉริยะเชื่อมเหนือ–ลุ่มโขง ยกระดับรองรับ 6 ล้านคน/ปี

เชียงราย, 14 สิงหาคม 2568 –ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปลี่ยนแปลง “เล็กแต่ไว” ทีมบริหารสนามบินลงมือแก้จุดติดขัดรายวันกำลังเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับ “แผนใหญ่” ที่เพิ่งถูกจุดติดเครื่องเมื่อ บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG นำทัพพันธมิตรคว้าสัญญา สำรวจและออกแบบระยะที่ 1 ของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. (AOT) มูลค่า 205.20 ล้านบาท

หัวใจของเฟส 1 คือ “ยกระดับศักยภาพรองรับผู้โดยสารไม่น้อยกว่า 6 ล้านคน/ปี” แบ่งเป็น ระหว่างประเทศ 1 ล้าน และ ภายในประเทศ 5 ล้าน พร้อมจัดโครงสร้างพื้นฐานเขตการบินอาคารผู้โดยสารระบบสนับสนุนให้สอดรับทิศทางการเดินทางและเศรษฐกิจของห่วงโซ่ เชียงรายลุ่มโขง ที่เติบโตต่อเนื่อง และวางตัวเป็น “ประตูเหนือ” สู่เมียนมา–ลาว–จีนตอนใต้

คำให้สัมภาษณ์เด่น

  • ชวลิต จันทรรัตน์ (TEAMG): “งานของเราคือวางพิมพ์เขียวที่รองรับอนาคต 6 ล้านคน/ปี โดยไม่ลดทอนความสะดวก–ปลอดภัย และต่อยอดได้จริง”
  • น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ (ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง): “สิ่งที่เผยแพร่คือ conceptual design ส่วนปัจจุบันเราลงมือแก้ ‘จุดสำคัญ’ แล้ว และจะใช้เทคโนโลยีทำให้ทั้งอาคารเป็นเสมือนเลาจน์ขนาดใหญ่ ผู้โดยสารอยู่สบาย–รู้เวลา–ไม่แออัด”
Scoot will also start to fly five times a week to Chiang Rai from 1 January 2026 – a new route for Changi Airport!

หลังสายการบินสกู๊ตเปิดเส้นทางบินตรง สิงคโปร์-เชียงราย เริ่ม 1 มกราคม 2569

การเชื่อมโยงเส้นทางบินตรงระหว่างเชียงรายและสิงคโปร์จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจที่ต้องการเดินทางระหว่างสองเมืองได้อย่างมาก ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและยกระดับเชียงรายให้เป็นจุดหมายปลายทางที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

วงการท่องเที่ยวและธุรกิจในเชียงรายเตรียมคึกคักรับปีใหม่ เมื่อ สายการบินสกู๊ต (Scoot) สายการบินราคาประหยัดในเครือสิงคโปร์แอร์ไลน์ (SIA) ประกาศเปิดเส้นทางบินตรงใหม่จาก สิงคโปร์ (SIN) สู่เชียงราย (CEI) โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป

การเปิดเส้นทางบินนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าสู่เชียงรายเท่านั้น แต่ยังเป็นการขยายเครือข่ายการเดินทางของสกู๊ตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และจะทำให้สกู๊ตมีจำนวนเที่ยวบินสู่ประเทศไทยรวมเป็น 111 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เลยทีเดียว

รายละเอียดเที่ยวบินตรง สิงคโปร์-เชียงราย

  • จำนวนเที่ยวบิน: 5 เที่ยวบินต่อสัปดาห์
  • วันทำการบิน: ทุกวันจันทร์, อังคาร, พฤหัสบดี, ศุกร์ และเสาร์
  • รุ่นเครื่องบิน: Embraer E190-E2 ซึ่งเป็นเครื่องบินขนาดเล็ก-กลางที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
  • ตารางบิน (เวลาท้องถิ่น):
    • เที่ยวบินขาไป (สิงคโปร์-เชียงราย):
      • TR670: ออกจากสิงคโปร์ 16:40 น. ถึงเชียงราย 18:50 น. (วันจันทร์, พฤหัสบดี, ศุกร์)
      • TR660: ออกจากสิงคโปร์ 05:50 น. ถึงเชียงราย 08:00 น. (วันอังคาร, เสาร์)
    • เที่ยวบินขากลับ (เชียงราย-สิงคโปร์):
      • TR671: ออกจากเชียงราย 19:25 น. ถึงสิงคโปร์ 23:45 น. (วันจันทร์, พฤหัสบดี, ศุกร์)
      • TR661: ออกจากเชียงราย 08:35 น. ถึงสิงคโปร์ 12:55 น. (วันอังคาร, เสาร์)

จากแบบสู่สนามบินที่ใช้งานได้จริง” TEAMG เปิดแผนงาน 3 กลุ่ม ปรับสมดุลรันเวย์–อาคาร–ระบบหลังบ้าน

นายชวลิต จันทรรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TEAMG อธิบายกรอบงานสำรวจออกแบบของเฟส 1 ว่าจะแบ่งเป็น 3 กลุ่มงานหลัก เพื่อให้สนามบิน “ไหลลื่น ปลอดภัย ต่อยอดได้”

  1. กลุ่มงานเขตการบิน (Airside): ออกแบบ ทางขับขนานด้านทิศใต้ (Southern Parallel Taxiway) ให้ทำงานประสานกับรันเวย์และจุดรอ เพื่อเพิ่ม “อัตราหมุนเวียน” เข้า–ออกของเครื่องบิน พร้อม ขยายลานจอดอากาศยานด้านทิศใต้ ให้รองรับอากาศยานหลายขนาดมากขึ้น ลดการคอขวดในชั่วโมงเร่งด่วน
  2. กลุ่มงานอาคารผู้โดยสารและอาคารสนับสนุน (Terminal & Facilities): เชื่อม อาคารผู้โดยสารหลังใหม่ เข้ากับอาคารเดิมผ่าน “โถงทางเดินเทียบเครื่องบิน” เพิ่มพื้นที่บริการและการไหลของผู้โดยสาร (passenger flow) ทั้ง ขาเข้า ขาออก โดยคำนึงถึงการขยายตัวของเส้นทางระหว่างประเทศในอนาคต
  3. กลุ่มงานระบบสนับสนุน (Systems & Utilities): ออกแบบระบบไฟฟ้า สื่อสาร ความปลอดภัย จราจรภายใน ให้พร้อมรองรับระบบปฏิบัติการสนามบินอัจฉริยะ (Smart Airport) เช่น ป้าย–จอข้อมูลแบบเรียลไทม์ การนับคิว/ความหนาแน่น และการจัดการพลังงาน

“ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเป็นโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาคที่ส่งผลคูณต่อเศรษฐกิจ–สังคมของเชียงราย งานของเราจึงไม่ใช่แค่ ‘เขียนแบบ’ แต่คือต้องวางพิมพ์เขียวที่ต่อยอดได้จริง รองรับ 6 ล้านคน/ปี โดยไม่เสียความสะดวกปลอดภัยของผู้โดยสาร” ชวลิต จันทรรัตน์, TEAMG

เสียงจากหน้างาน ผอ.สนามบินชี้ “ยังเป็นแบบแนวคิด” แก้ปัญหาความแออัดรายวันแล้ว และกำลังยกระดับประสบการณ์ผู้โดยสารทั้งอาคาร

ด้าน น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า แผนพัฒนาที่เผยแพร่ขณะนี้ อยู่ในระดับ “Conceptual Design” ที่ผู้ออกแบบจะเสนอแนวทางให้เกิดขึ้นในอนาคต เพื่อรองรับเมื่อผู้โดยสารโตถึง Capacity 6 ล้านคน/ปี แต่ วันนี้” สนามบินยังไม่แตะขีดความสามารถนั้น และทีมบริหารได้ แก้ปัญหาความคับคั่งหลายจุดแล้ว โดยเฉพาะพื้นที่ Gate ที่ “เจาะทะลุ Gate ทั้งคู่ให้เดินถึงกันได้” ช่วยไหลเวียนผู้โดยสาร ลดการออรอสะสมในช่วง Boarding

ผอ.สนามบินยังอธิบายแนวคิด “Free Lounge” และการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลักในการบริหารความหนาแน่น ให้ผู้โดยสารอยู่ “ด้านนอก” ให้นานที่สุด แล้วจึงเข้าสู่พื้นที่ภายใน เมื่อถึงเวลา Boarding โดยจะมี จอแสดงผล–ระบบตรวจจับจำนวนผู้โดยสาร–อัลกอริทึมคำนวณเวลาบอร์ดดิ้ง และเวลาผ่านจุดตรวจค้น เพื่อให้คนที่นั่งรอด้านนอก “รับรู้สถานะเหมือนนั่งอยู่ด้านใน” ขณะเดียวกัน ชั้น 2 ของอาคารผู้โดยสารจะปรับเป็น “Free Lounge + จุดชมเครื่องบิน + Meeting Point + Co-working Space” เพิ่มร้านค้า พื้นที่นั่งบรรยากาศเสมือนเลาจน์เพื่อกระจายคน ลดความอึดอัดหน้า Gate

“สิ่งที่สื่อสารคือภาพอนาคต (conceptual design) ที่เราอยากไปให้ถึง แต่ในปัจจุบันเราลงมือแก้ ‘จุดสำคัญ’ แล้ว ทั้งการทะลุ Gate ให้เชื่อมกัน และการออกแบบประสบการณ์ใหม่แบบ Free Lounge พร้อมข้อมูลเรียลไทม์ เพื่อให้คนอยู่สบายขึ้น ไม่ต้องไปออหน้าประตูขึ้นเครื่อง” — น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์

ที่จอดรถ–พลังงานสะอาด–MRO รายละเอียดเล็กที่ส่งผลใหญ่

หนึ่งใน “คอขวดนอกอาคาร” คือ ลานจอดรถ ฝั่งตรงข้ามเทอร์มินัลที่ “คับคั่ง” ขณะที่ ลานจอดรถด้านทิศเหนือ ยังไม่เป็นที่นิยมเพราะ ไม่มีหลังคา ผอ.สนามบินเผยแผน ทำหลังคาพร้อมติดตั้ง Solar Rooftop ให้ทั้งสองลาน เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในอาคารผู้โดยสาร ลดภาระพลังงานและสร้างแรงจูงใจให้ผู้โดยสารกระจายไปใช้ลานที่สองมากขึ้น ทั้งยังเตรียม ย้ายพนักงานและผู้ให้บริการ บางส่วนไปใช้พื้นที่ใหม่นี้ เพื่อลดการแออัด

อีกหมุดหมายที่ “ไม่ใช่แค่ท่องเที่ยว” คือ ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ซึ่งสนามบินได้ ถมที่ดินไว้แล้ว อยู่ระหว่างที่บริษัท CAH เข้าตรวจพื้นที่และเตรียม ขออนุญาตก่อสร้างใหม่ต่อสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) เป้าหมายคือให้เริ่มเดินงานได้ภายในปีนี้ หากเดินหน้าได้ตามแผน MRO จะดึงเม็ดเงินลงทุนทักษะงานวิศวกรรมโอกาสการจ้างงานท้องถิ่นเข้ามาในห่วงโซ่อุตสาหกรรมการบินของเชียงราย

BCP ซ้อม “อุทกภัย” สนามบินต้องให้บริการได้ “แม้วันไม่ปกติ”

การพัฒนาโครงสร้างไม่เพียงพอ หากขาด “ความต่อเนื่อง” ของการให้บริการในวันวิกฤต น.ต.ดร.สมชนก ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานจึงนัดประชุม ซ้อมแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan: BCP) ประจำปี 2568 โดยเลือก สถานการณ์สมมติ “อุทกภัย” ในวันที่ 27 สิงหาคม ตามกรอบ ISO 22301:2019 เพื่อทดสอบว่า หากน้ำหลากเข้าพื้นที่ ระบบใดต้องย้ายเสริมสลับ, ทางเข้า–ออกผู้โดยสารปรับจุดอย่างไร, การไฟฟ้า–สื่อสาร–เชื้อเพลิงสำรองมีพอหรือไม่เพราะ สนามบินหยุดไม่ได้” แม้วันไม่ปกติ

ทำไมโครงการนี้ “มีความหมาย” ต่อคนเชียงรายและผู้เดินทางทั้งภูมิภาค

เชื่อมการเดินทาง–เศรษฐกิจลุ่มโขง เชียงรายคือจุดตัดการเดินทางของ ไทย–เมียนมา–ลาว–จีนตอนใต้ การมีสนามบินที่รองรับ ผู้โดยสาร 6 ล้านคน/ปี พร้อมขีดความสามารถ Airside ที่ราบรื่น จะสร้างแรงดึงดูดสายการบิน–เส้นทางบินใหม่ ๆ โดยเฉพาะ Regional International ที่ต่อยอดทั้งท่องเที่ยว–การค้า–ไมซ์ (MICE) และ โลจิสติกส์สินค้าอากาศ ในวงจำกัด (niche) ที่ต้องการความรวดเร็ว ประสบการณ์ผู้โดยสารที่ “ฉลาดขึ้น” แนวคิด Free Lounge + ข้อมูลเรียลไทม์ เปลี่ยนวิธีรอเครื่องจาก “ยืนออหน้าประตู” เป็น “นั่งสบาย–รู้เวลา–จัดการตัวเองได้” ทำให้ ความเครียด ลดลง ขณะเดียวกันสนามบินก็สามารถ บริหารความหนาแน่น ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปรับทรัพยากรบุคคล–จุดคัดกรองตามโหลดจริง

เมือง–สนามบินที่เป็นมิตรต่อพลังงาน

Solar Rooftop บนลานจอดรถเป็น “สัญลักษณ์เล็ก ๆ แต่ชัด” ว่าท่าอากาศยานภูมิภาคเดินหน้าเรื่องพลังงานสะอาด ลดต้นทุนระยะยาว และ—สำคัญกว่านั้น—ทำให้ลานจอดรถทางเลือก กลายเป็นพื้นที่ที่ “น่าใช้ขึ้น” ช่วยถ่ายเทความคับคั่งหน้าสถานีผู้โดยสาร งานวิศวกรรมคุณภาพ–โอกาสทักษะท้องถิ่น การมี MRO และงานปรับปรุงสนามบินต่อเนื่อง สร้าง ตลาดแรงงานทักษะสูง ในพื้นที่ ตั้งแต่วิศวกรเครื่องกล–อากาศยาน–อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงซัพพลายเชนชิ้นส่วน–เครื่องมือ–บริการสนับสนุน ซึ่งหมายถึงรายได้กระจายสู่จังหวัด ไม่ใช่เฉพาะย่านท่องเที่ยว

ความพร้อมต่อวิกฤตที่วัดได้ การซ้อม BCP ตามมาตรฐาน ISO 22301 ไม่ใช่ “พิธี” หากแต่เป็น ตัวคูณความเชื่อมั่น ว่าแม้วันฝนใหญ่น้ำหลากสนามบินยัง ให้บริการต่อเนื่อง ได้ ใครที่ต้องบินต่อเครื่องตารางงานไมซ์ขนส่งสินค้าด่วนยังเดินต่อได้โดยความเสี่ยงต่ำลง

เพื่อให้เงินภาษี–ค่าธรรมเนียมไปได้ไกลที่สุด

  1. จังหวะเวลา–อุปสงค์จริง: แม้โครงร่างรองรับ 6 ล้านคน/ปี แต่วิถีการเดินทางหลังโควิด–พฤติกรรมผู้โดยสารกำลังเปลี่ยน สนามบินจะจับ “สัญญาณอุปสงค์จริง” อย่างไร เพื่อเลือกช่วงลงทุนให้ คุ้ม–ทัน–ไม่ล้ำหน้าเกินจำเป็น
  2. เส้นทางระหว่างประเทศ: เพื่อบรรลุ 1 ล้านคน/ปี ระหว่างประเทศ ต้องเชื่อมเมืองใดในลุ่มโขง–จีนตอนใต้–อาเซียน และมี แพ็กเกจจูงใจสายการบิน พร้อมหรือไม่ (เช่น สลอต–บริการภาคพื้น–โปรโมชันร่วม)
  3. ข้อมูลแบบเปิด (Open Data) ของท่าอากาศยาน: ระบบจอ–การนับคิว–โหลดในเทอร์มินัล หากเปิดข้อมูลเชิงสถิติ (ไม่ระบุตัวบุคคล) เป็น แดชบอร์ดสาธารณะ จะช่วยผู้โดยสาร–ผู้ให้บริการ–ท้องถิ่นวางแผนได้แม่นขึ้น
  4. สมดุลงบสิ่งแวดล้อม–ประสบการณ์ผู้โดยสาร: Solar Rooftop, โลจิสติกส์ขยะ, คุณภาพอากาศในอาคาร, และการออกแบบสัญลักษณ์ล้านนา–พื้นที่สาธารณะ ควรเดินคู่กันให้สนามบิน “เป็นของเมือง” ไม่ใช่แค่ “ของการบิน”

 “สองรางขนาน”—รางหนึ่งคือแบบใหญ่ อีกหนึ่งคือการปรับเล็ก ๆ ทุกวัน

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย วันนี้สะท้อน สองรางขนาน ที่สนามบินยุคใหม่ต้องเดินพร้อมกัน

  • รางที่หนึ่ง: พิมพ์เขียวระยะยาว—TEAMG กับพันธมิตรวาง “เฟส 1” ให้รองรับ 6 ล้านคน/ปี พร้อมโครงสร้าง Airside–Terminal–Systems ที่ต่อยอดได้
  • รางที่สอง: ปรับเล็ก–ไว–ทุกวัน—ทีมบริหารสนามบินลงมือแก้ Gate, ทดลอง Free Lounge, ปั้นลานจอดรถพลังงานสะอาด, เร่ง MRO, และ ซ้อม BCP ให้พร้อมวันไม่ปกติ

หากทั้งสองรางขับเคลื่อนต่อเนื่องโดย “ฟังข้อมูลจริง–ฟังเสียงผู้โดยสาร–ฟังเมือง” เชียงรายจะไม่เพียงได้สนามบินที่สวยและใหม่ขึ้น แต่จะได้ สนามบินที่ฉลาด–ยืดหยุ่น–เป็นของทุกคน รองรับอนาคตของ “เหนือ–ลุ่มโขง” อย่างสมศักดิ์ศรี

ข้อมูลโครงการ (ย่อ)

  • เจ้าของโครงการ: บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – ทอท.
  • ผู้รับจ้างสำรวจ–ออกแบบ (เฟส 1): TEAMG และพันธมิตร
  • มูลค่า: 205.20 ล้านบาท
  • เป้าหมายรองรับผู้โดยสาร: ≥ 6 ล้านคน/ปี (ระหว่างประเทศ 1 ล้าน + ภายในประเทศ 5 ล้าน)
  • ขอบเขตออกแบบหลัก: ทางขับขนานทิศใต้, ขยายลานจอดด้านทิศใต้, เชื่อมอาคารผู้โดยสารใหม่–เดิม, ระบบสนับสนุนท่าอากาศยานอัจฉริยะ
  • มาตรฐานความต่อเนื่องทางธุรกิจ: ISO 22301:2019 (ซ้อม BCP สถานการณ์ “อุทกภัย” 27 ส.ค. 2568)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – AOT: ข้อมูลเชิงนโยบายและกรอบการพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาค
  • บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) – TEAMG: ข่าวการได้รับงานสำรวจ–ออกแบบโครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระยะที่ 1 (14 ส.ค. 2568)
  • สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT): กรอบการกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยสนามบินและการอนุญาตโครงการ MRO
  • ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย: ข้อมูลการบริหารจัดการอาคารผู้โดยสารและมาตรการลดความคับคั่ง น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
  • ISO 22301:2019Security and resilience — Business continuity management systems — Requirements: กรอบมาตรฐานการจัดทำและทดสอบแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP)
  • นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานเชียงราย เปิดฟังความคิดเห็นครั้งที่ 2

เมื่อวันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ อาคารศาลาอเนกประสงค์ วัดป่าหวายขุมเงิน หมู่ 15 ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนครั้งที่ 2 เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการก่อสร้างศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) ณ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ซึ่งจัดโดย บริษัท เชียงราย เอเวชั่น โฮลดิ้ง จำกัด ร่วมกับ บริษัท ธารา คอนซัลแตนท์ จำกัด ที่ได้รับมอบหมายจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.

การเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน

การประชุมครั้งนี้มีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน โดยมีหน่วยงานราชการ ประชาชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่โดยรอบโครงการเข้าร่วมอย่างคับคั่ง รวมถึง นาวาอากาศตรี สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ผู้แทนจากหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัย และตัวแทนจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม

การชี้แจงข้อมูลโครงการและผลกระทบสิ่งแวดล้อม

ในที่ประชุม บริษัทที่ปรึกษาได้ชี้แจงรายละเอียดของโครงการ MRO รวมถึงการพัฒนาศูนย์ซ่อมอากาศยาน โดยเน้นไปที่การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งครอบคลุมถึงมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น รวมถึงการตรวจสอบและติดตามผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโครงการจะดำเนินไปอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบ

ความวิตกกังวลของประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อม

ในการประชุมครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมหลายท่านได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อโครงการ โดยส่วนใหญ่แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาเรื่องเสียง แรงสั่นสะเทือน การระบายน้ำ และการบริหารจัดการของเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ศูนย์ซ่อมอากาศยาน นอกจากนี้ ยังมีความห่วงใยเกี่ยวกับผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชุมชนโดยรอบ ซึ่งประชาชนหลายคนได้ขอให้มีการปรับปรุงและแก้ไขโครงการให้คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวอย่างจริงจัง

การสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในชุมชน

นาวาอากาศตรี สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน โดยเฉพาะเรื่องการระบายน้ำและมาตรการป้องกันปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างความเชื่อมั่นและทัศนคติที่ดีต่อโครงการจะนำไปสู่การพัฒนาโครงการอย่างโปร่งใสและเป็นที่ยอมรับของชุมชน ทั้งนี้ ทชร. มีแนวทางที่จะปรับปรุงโครงการให้ตอบสนองต่อข้อกังวลและความต้องการของประชาชน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่าย

ความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชน

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาโครงการ MRO นี้ โดยการประชุมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ ทอท. จะนำข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของทุกฝ่ายมาพิจารณาเพื่อปรับปรุงโครงการให้เหมาะสมและตอบสนองต่อความต้องการของชุมชน ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย

อนาคตการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน MRO ที่จะเกิดขึ้น ณ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย นับเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาที่จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในท้องถิ่นและสร้างงานให้กับคนในพื้นที่ การดำเนินโครงการนี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค และจะช่วยให้จังหวัดเชียงรายกลายเป็นศูนย์กลางการซ่อมบำรุงอากาศยานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News