Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายแชมป์เมืองรอง! ยอดขายร้านอาหารโตพุ่ง 7 เท่า จากมาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” สวนทางตลาดกรุงเทพฯ

เชียงรายแชมป์เมืองรอง! ยอดขายร้านอาหารโตพุ่ง 7 เท่า จากมาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” สวนทางตลาดกรุงเทพฯ


กรุงเทพฯ–เชียงราย, 13 ธันวาคม 2568 – ตัวเลข “ยอดขายโตพุ่ง 7 เท่า” ของร้านอาหารในจังหวัดเชียงราย ภายใต้มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการพลิกฟื้นเศรษฐกิจฐานรากในภูมิภาค ท่ามกลางภาพรวมธุรกิจร้านอาหารไทยที่ยังเผชิญความเปราะบาง ทั้งจากต้นทุนที่สูงขึ้น อัตราปิดกิจการระดับ 50% และกำลังซื้อในเมืองใหญ่ซึ่งยังฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาด

เบื้องหลังตัวเลขอันโดดเด่นของเชียงราย ไม่ได้สะท้อนเพียง “ยอดขายที่กลับมา” แต่ยังสะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของเมืองรอง ที่กำลังเรียนรู้ที่จะใช้มาตรการภาครัฐ เทรนด์ผู้บริโภค และอัตลักษณ์ท้องถิ่น เป็นเครื่องมือผลักดันธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มให้ยืนได้อย่างแข็งแรงกว่าที่เคย

คนละครึ่ง พลัส จากมาตรการกระตุ้นสู่ “เครื่องช่วยหายใจ” ร้านรายย่อย

นายยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ระบุว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 เป็น “จุดต่ำสุด” ของธุรกิจร้านอาหาร เมื่อยอดขายต่อร้าน (sales per store) ลดลงถึง –14% ในไตรมาส 2 สวนทางกับจำนวนร้านเปิดใหม่ที่ยังเพิ่มขึ้น 3% ขณะที่สัดส่วนร้านที่ต้องปิดกิจการพุ่งขึ้นแตะระดับ 50% ทั่วประเทศ สะท้อนการแข่งขันที่รุนแรงและแรงกดดันด้านต้นทุนที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน

อย่างไรก็ดี เมื่อรัฐบาลเปิดมาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” ในช่วงครึ่งปีหลัง ภาพรวมตลาดเริ่มขยับกลับมาในทิศทางบวกอย่างเห็นได้ชัด ไตรมาส 3 ยอดขายต่อร้านกลับมาโต 1% และตัวเลขเดือนตุลาคม–พฤศจิกายนขยับขึ้นเป็น 5% โดย LINE MAN ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มหลักที่ร้านค้าเลือกเข้าร่วมกว่า 65% และมียอดขายผ่านโครงการสูงถึง 63% ของยอดรวม

ข้อมูลเชิงปริมาณในช่วง 3 สัปดาห์แรกของโครงการสะท้อนอำนาจของมาตรการนี้อย่างชัดเจน

  • เกิดออเดอร์มากกว่า 8 ล้านครั้งทั่วประเทศ
  • ยอดขายร้านค้าทั่วประเทศโตเฉลี่ย 4.2 เท่า บางจังหวัดสูงกว่า 10 เท่า
  • ร้านค้าได้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 22% ความถี่การสั่งซื้อเพิ่ม 30% และมูลค่าต่อบิลเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15%

ร้านขนาดเล็กที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือนเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ชัดเจนที่สุด โดยยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 5.9 เท่า ขณะที่ร้านขนาดกลางเติบโตเฉลี่ยราว 2 เท่า และไรเดอร์มีรายได้เพิ่มขึ้น 15–25% แสดงให้เห็นว่าเงินที่อัดฉีดผ่านโครงการไม่ได้หยุดอยู่แค่หน้าร้าน แต่กระจายไปสู่ห่วงโซ่อาชีพที่เกี่ยวข้องในวงกว้าง

เชียงรายแชมป์เมืองรอง ยอดขายโตพุ่ง 7 เท่า สวนทางกรุงเทพฯ

ในบรรดาจังหวัดที่เข้าร่วมมาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” เชียงรายถูกจับตามองอย่างยิ่งในฐานะ “ดาวเด่น” ของเมืองรองด้านอาหารและการท่องเที่ยว จากข้อมูลของ LINE MAN Wongnai จังหวัดที่มียอดขายโตสูงจากโครงการนี้ ได้แก่

  • จันทบุรี โต +9.4 เท่า
  • หนองบัวลำภู โต +9.3 เท่า
  • อุตรดิตถ์ โต +8.9 เท่า
  • อุดรธานี โต +8 เท่า
  • เชียงราย โต +7 เท่า

ตัวเลข +7 เท่าในเชียงรายไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ หากพิจารณาจากภาพใหญ่ของเศรษฐกิจจังหวัด พบว่าการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GPP) ของเชียงรายในปี 2568 อยู่ที่ราว 3.1% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ประมาณ 2.4% การฟื้นตัวดังกล่าวสัมพันธ์กับบทบาทของเชียงรายในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยวภาคเหนือ และเมืองที่กำลังถูกผลักดันให้เป็น “Global Coffee Hub” พร้อมทั้งเป็นประตูการค้าชายแดนสำคัญของประเทศ

เมื่อเปรียบเทียบกับกรุงเทพฯ ภาพยิ่งชัดเจนว่าเมืองรองมีความยืดหยุ่นมากกว่า ย่านธุรกิจสำคัญในกรุงเทพฯ อย่างสุขุมวิท–สีลม–สาทร ยังมียอดขายติดลบเล็กน้อยที่ –1% ขณะที่ย่านบรรทัดทอง ซึ่งเคยเป็นแลนด์มาร์คของร้านอาหารยามค่ำคืน ยังหดตัวมากที่สุดถึง –21% แม้ร้านในห้างจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นจาก –21% เป็น +1% แต่ก็ยังสะท้อนภาพฟื้นตัวที่ช้ากว่าต่างจังหวัดอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับเชียงราย ยอดขายต่อร้านในกลุ่มต่างจังหวัดโดยรวมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7% หลังจากเคยติดลบ –11% ในไตรมาส 2 เมื่อบวกเข้ากับมาตรการคนละครึ่ง พลัส ที่ดันยอดขายโตถึง 7 เท่าในระดับจังหวัด จึงยิ่งตอกย้ำศักยภาพของเศรษฐกิจฐานรากที่พร้อมฟื้นตัวทันทีที่มีเม็ดเงินไหลเข้าอย่างตรงจุด

เศรษฐกิจฐานรากที่ยังเปราะบาง โตแรงแต่ปิดกิจการ 50%

แม้ตัวเลขยอดขายจะสดใส แต่รายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มเชียงราย ปี 2568 ชี้ว่า ภาค F&B ยังเผชิญแรงกดดันหนัก โดยเฉพาะในด้านต้นทุนและสภาพคล่อง

ภาพรวมทั้งประเทศ ตลาดอาหารและเครื่องดื่มมีมูลค่าคาดการณ์ราว 646,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 2.8% แต่เบื้องหลังการเติบโตดังกล่าวคืออัตราปิดกิจการของร้านอาหารที่สูงถึง 50% นั่นหมายความว่า ครึ่งหนึ่งของผู้เล่นในตลาดไม่สามารถรับมือกับต้นทุนและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นได้ แม้จะมีมาตรการกระตุ้นช่วยประคองยอดขายช่วงสั้นก็ตาม

โครงสร้างต้นทุนของร้านอาหารทั่วไปประกอบด้วย

  • ต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 35%
  • ค่าแรงราว 15%
  • ค่าเช่าและสาธารณูปโภคประมาณ 20%

เมื่อต้นทุนรวมกว่า 70% ของรายได้ถูกกดดันพร้อมกัน ทั้งจากราคาวัตถุดิบนำเข้าที่ผันผวน ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับสูงขึ้น และค่าเช่าทำเลดีที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยในเชียงรายและทั่วประเทศต้องเผชิญภาวะกำไรหดตัวอย่างต่อเนื่อง

เชียงรายยังมีความเสี่ยงเฉพาะตัวในฐานะจังหวัดชายแดน รายงานภาคสนามในช่วงปี 2568 ระบุว่า สถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนเมียนมาทำให้ด่านแม่สายต้องจำกัดการขนส่งสินค้าอย่างเข้มงวดในบางช่วงเวลา โดยอนุญาตเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มบางประเภท ส่งผลให้ร้านค้าที่พึ่งพาวัตถุดิบและสินค้านำเข้าเผชิญต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงขึ้นทันที ขณะเดียวกัน ร้านค้าริมด่านจำนวนหนึ่งยอมรับว่ายอดขายลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจท้องถิ่นจึงมองตรงกันว่า “การเติบโต 7 เท่าจากคนละครึ่ง พลัส” ต้องถูกอ่านควบคู่กับความเสี่ยงโครงสร้างที่ยังคงมีอยู่ ไม่ใช่สัญญาณว่า ตลาดจะเติบโตอย่างราบรื่นโดยอัตโนมัติ

พฤติกรรมผู้บริโภค ยุคของเมนูคุ้มค่าและ Affordable Luxury

เมื่อมองจากฝั่งผู้บริโภค ข้อมูลจากแพลตฟอร์มเดลิเวอรีสะท้อนภาพชัดเจนว่า คนไทยยังระมัดระวังการใช้จ่าย แต่ต้องการ “ความคุ้มค่าและคุณภาพที่จับต้องได้”

เมนู “ตำปูปลาร้า” กลายเป็นราชาแห่งออเดอร์ปี 2025 ด้วยยอดเสิร์ฟกว่า 8 ล้านจานทั่วประเทศ ขณะที่กลุ่มเมนูประเภท “ส้มตำ ยำ หม่าล่า” มียอดการค้นหาสูงรวมกว่า 16 ล้านครั้ง อาหารรสจัดจ้านจึงยังเป็นหัวใจหลักของวัฒนธรรมการกินของคนไทยในทุกภูมิภาค

ด้านเมนูจานเดียว “ข้าวแกง” ถูกยกให้เป็น Fast Food แบบไทยที่แข็งแรงที่สุดในยุคเศรษฐกิจผันผวน ด้วยยอดสั่งทะลุ 65 ล้านจาน และเติบโตถึง 8% ปัจจัยสำคัญคือราคาเข้าถึงง่าย ความเร็วในการบริการ และความคุ้นเคยของผู้บริโภค

หากเจาะไปที่พฤติกรรมเรื่องราคา พบว่า กลุ่มเมนูไม่เกิน 500 บาทได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ยอดขายเคยลดลง –12% ในไตรมาส 2 ก่อนจะพลิกเป็นบวก 5% ในช่วงปลายปี ขณะที่เมนูเกิน 500 บาทแม้จะกลับมาเป็นบวก 4% ในช่วงเดียวกัน แต่ยังฟื้นตัวช้ากว่าอย่างเห็นได้ชัด

ในฝั่งเครื่องดื่ม กระแส “ชาเขียวนมเย็น” และ “มัตฉะ” สะท้อนภาพของสิ่งที่นักวิเคราะห์เรียกว่า Affordable Luxury – สินค้าที่ให้ความรู้สึกพิเศษ แต่ยังอยู่ในช่วงราคาที่ผู้บริโภคยอมรับได้ ข้อมูลระบุว่าเมนูมัตฉะเติบโตสูงถึง 300% ด้วยยอดมากกว่า 6.5 ล้านแก้ว แต่ด้วยราคาที่สูงกว่า ทำให้ชาเขียวนมเย็นกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมที่ให้ประสบการณ์ใกล้เคียงในราคาย่อมเยา

ทั้งหมดนี้คือสัญญาณสำคัญสำหรับผู้ประกอบการเชียงราย ว่าการเติบโตจากมาตรการรัฐจะยั่งยืนได้ต่อเมื่อสามารถออกแบบเมนูให้สอดคล้องกับพฤติกรรม “กินคุ้มค่า–อยากได้คุณภาพ” ของผู้บริโภครุ่นใหม่

เชียงรายในฐานะเมืองกาแฟโลก โอกาสและกับดักการแข่งขัน

อีกด้านหนึ่งของเศรษฐกิจ F&B เชียงราย คือบทบาทในฐานะ “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ที่กำลังก้าวสู่ศูนย์กลางกาแฟระดับโลก จังหวัดมีผลผลิตกาแฟอาราบิก้าหลายพันตันต่อปี และมีแบรนด์กาแฟ GI ที่เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ เช่น ดอยตุง และดอยช้าง

ตลาดกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบในท้องถิ่นได้หลายเท่าตัว ขณะเดียวกันจังหวัดยังมีเทศกาลกาแฟและชา เช่น งาน Tea & Coffee Central CEI และ MFU Coffee Fest ที่จัดขึ้นต่อเนื่อง ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการจากทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ก็มาพร้อมกับการแข่งขันที่รุนแรง รายงานระบุว่าเชียงรายเป็นหนึ่งในเมืองรองที่มีร้านกาแฟมากกว่า 1,000 ร้าน รูปแบบร้านส่วนใหญ่เป็นร้านเดี่ยวหรือเครือข่ายเล็ก ๆ ที่เจ้าของดูแลเอง การอยู่รอดในตลาดที่หนาแน่นเช่นนี้ จึงต้องอาศัยการสร้าง “ประสบการณ์ที่ต่างจริง” ไม่ใช่แค่รสชาติกาแฟ

แนวโน้มคาเฟ่ในเชียงรายช่วงปี 2568 จึงมุ่งไปที่การสร้างบรรยากาศสวนธรรมชาติ การตกแต่งสไตล์ล้านนาประยุกต์ และการใช้วัตถุดิบปลอดสารพิษควบคู่กับเมนูสุขภาพ เจ้าของร้านจำนวนมากเริ่มเชื่อมโยงตัวเองกับฟาร์มกาแฟหรือแหล่งผลิตผักอินทรีย์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์

ภาคธุรกิจต้องปรับตัวอย่างไร บทเรียนจากรายงานวิเคราะห์เชียงราย

รายงานการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มเชียงราย ปี 2568 เสนอข้อแนะนำสำคัญหลายประการที่สอดคล้องกับตัวเลขจากคนละครึ่ง พลัส และเทรนด์ผู้บริโภค ดังนี้

  1. มุ่งตลาดเฉพาะทาง (Niche Market)
    เชียงรายควรใช้จุดแข็งด้าน Specialty Coffee และอาหารเมือง สร้างร้านที่มีเรื่องราว ผูกโยงกับอัตลักษณ์ท้องถิ่นและธรรมชาติรอบตัว เช่น คาเฟ่บนเส้นทางท่องเที่ยวภูเขา หรือร้านอาหารเมืองที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นหายาก
  2. จัดการต้นทุนเชิงรุก
    ท่ามกลางต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงที่เพิ่มขึ้น การลงทุนในระบบ POS และระบบจัดการสต็อกจึงไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่เป็น “ความจำเป็น” เพื่อควบคุมการสูญเสียวัตถุดิบ ลดงานเอกสาร และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในครัวและหน้าร้าน
  3. เน้น Local Sourcing ลดเสี่ยงชายแดน
    ความไม่แน่นอนของการค้าชายแดนแม่สาย เป็นสัญญาณว่าการพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้ามีความเสี่ยงสูง ธุรกิจในเชียงรายจึงควรหันมาใช้วัตถุดิบท้องถิ่นให้มากขึ้น ทั้งเพื่อความยั่งยืนของซัพพลายเชน และเพื่อสร้างเรื่องราวให้แบรนด์
  4. ปรับตัวสู่ Multi-channel อย่างเต็มรูปแบบ
    ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการทั้งการนั่งทานในร้าน เดลิเวอรี และการสั่งล่วงหน้าผ่านออนไลน์ ร้านอาหารในเชียงรายจึงควรเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มเดลิเวอรีหลักควบคู่ไปกับแพลตฟอร์มท้องถิ่น เพื่อขยายฐานลูกค้าและกระจายความเสี่ยงด้านทำเล
  5. สร้างแบรนด์บนฐาน “แลนด์มาร์กใหม่ของเมือง”
    ร้านที่ประสบความสำเร็จในเชียงราย มักถูกพูดถึงในฐานะจุดเช็คอินหรือแลนด์มาร์กท่องเที่ยว การลงทุนในบรรยากาศ การเล่าเรื่อง และการใช้สื่อออนไลน์อย่างมีเอกลักษณ์ จึงเป็นเครื่องมือสำคัญไม่แพ้คุณภาพของอาหาร

คนละครึ่ง พลัส เฟส 2 โอกาสต่อเนื่องหรือความหวังระยะสั้น

สำหรับทิศทางในปี 2569–2569 นายยอด ชินสุภัคกุล ให้ข้อสังเกตว่า หากรัฐบาลเดินหน้า “คนละครึ่ง พลัส เฟส 2” ด้วยวงเงิน 10 ล้านสิทธิ์ สิทธิ์ละ 2,000 บาท ที่แบ่งเป็นผู้ใช้ใหม่ 5 ล้านสิทธิ์ และกลุ่มได้รับผลกระทบอีก 5 ล้านสิทธิ์ ก็จะช่วยพยุงตลาดร้านอาหารในไตรมาสแรกของปีหน้าได้ต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี เขาเตือนว่า หากเงื่อนไขเข้าร่วมโครงการ “จำกัดเกินไป” ประชาชนอาจไม่ได้รับสิทธิ์ครบตามเป้าหมาย ขณะเดียวกัน ร้านอาหารที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการ หรือพึ่งพาโครงการมากเกินไปโดยไม่ปรับตัวด้านโครงสร้างธุรกิจ อาจต้องเผชิญแรงเสียดทานอย่างหนักเมื่อมาตรการสิ้นสุด

นายยอดเสนอให้รัฐบาลพิจารณาขยายเพดานรายได้ของร้านค้าที่เข้าร่วมจากไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี เป็นไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อปี เพื่อเปิดโอกาสให้ “ร้านขนาดกลาง” ซึ่งอยู่ในระบบภาษีและไม่ใช่เชนใหญ่ ได้รับสิทธิ์บ้าง เพราะกลุ่มนี้คือฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก แต่กลับตกหล่นจากเกณฑ์เดิม

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจปี 2026 เขาประเมินว่า แม้คนละครึ่ง พลัส เฟส 2 จะช่วยประคองตลาดในช่วงต้นปี แต่อัตราการเติบโตทั้งปีของธุรกิจร้านอาหารอาจอยู่เพียงราว 1% หากไม่มีปัจจัยหนุนอื่นเพิ่มเติม โดยเฉพาะจากภาคท่องเที่ยวระหว่างประเทศ

เชียงรายโต 7 เท่า… แต่เกมจริงเพิ่งเริ่มต้น

ตัวเลขยอดขายที่เติบโตถึง 7 เท่าในเชียงราย ภายใต้มาตรการคนละครึ่ง พลัส สะท้อนถึงพลังของมาตรการภาครัฐในการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจฐานรากอย่างตรงจุด ขณะเดียวกันก็ยืนยันศักยภาพของเชียงรายในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคเหนือ เมืองกาแฟโลก และจุดหมายด้านการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโต

อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังความสำเร็จระยะสั้นยังมีโจทย์ระยะยาวที่ต้องเร่งแก้ ทั้งต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงที่สูงขึ้น ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ชายแดนแม่สาย การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดคาเฟ่ และการพึ่งพามาตรการรัฐมากเกินไป

อนาคตของธุรกิจร้านอาหารเชียงรายจึงขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ประกอบการในการ “ต่อยอดจากมาตรการรัฐ” ไปสู่การสร้างโครงสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน ผ่านการใช้วัตถุดิบท้องถิ่น การลงทุนในเทคโนโลยี การสร้างประสบการณ์เฉพาะตัว และการขยายช่องทางสู่ดิจิทัลอย่างเป็นระบบ หากทำได้สำเร็จ เชียงรายจะไม่เพียงเป็นจังหวัดที่ยอดขายโต 7 เท่าในช่วงสั้น ๆ แต่จะกลายเป็นต้นแบบเมืองรองที่สามารถเปลี่ยนวิกฤตเศรษฐกิจให้กลายเป็นโอกาสเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • LINE MAN Wongnai
  • ข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย (จำนวนผู้เยี่ยมเยือน 5,086,460 คน และสัดส่วนการเติบโตของเมืองรอง)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
ECONOMY

พลิกวิกฤตสู่โอกาส กาแฟ Specialty ต่ำร้อย ยอดขายทะลุเป้า กลยุทธ์ใหม่ร้านกาแฟไทย

กาแฟ Specialty ราคาต่ำร้อย ดันตลาดโตสวนกระแสเศรษฐกิจ เจาะกลยุทธ์ร้านกาแฟยุคใหม่ยุคดิจิทัล

ตลาดร้านอาหารกับร้านกาแฟ แตกต่างชัดเจนในยุคเศรษฐกิจผันผวน

กรุงเทพฯ, 12 กรกฎาคม 2568 –ในปี 2568 สถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังเต็มไปด้วยความท้าทาย จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงและกำลังซื้อผู้บริโภคที่ชะลอตัว ส่งผลต่อยอดขายและการเปิดใหม่ของร้านอาหารอย่างเห็นได้ชัด LINE MAN Wongnai รายงานในงาน Thailand Coffee Fest 2025 ว่ายอดขายร้านอาหารรวมลดลงถึง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จำนวนร้านอาหารที่เปิดใหม่ในปี 2025 ก็ลดลง 30% และมีอัตราการปิดตัวสูงถึง 50% สะท้อนแรงกดดันจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว

แต่ในขณะเดียวกัน ตลาดร้านกาแฟโดยเฉพาะกลุ่ม Specialty Coffee กลับแข็งแกร่งและเติบโตสวนทางตลาดอาหาร ร้านกาแฟที่ขายกาแฟ Specialty ราคาต่อบิลต่ำกว่า 100 บาทกลายเป็นขวัญใจผู้บริโภคในยุคนี้ โดยในกรุงเทพฯ มีอัตราเติบโตถึง 46% ส่วนต่างจังหวัดโต 19% ถือว่าโดดเด่นท่ามกลางวิกฤต

ร้านกาแฟยังรอดมากกว่าร้านอาหารตัวเลขชี้ชัดความต่าง

แม้จำนวนร้านกาแฟเปิดใหม่จะลดเหลือเพียง 5,000 ร้านในครึ่งปีแรก จาก 7,000 ร้านของปีก่อน แต่อัตราการรอดในปีแรกกลับสูงกว่าร้านอาหารอย่างมีนัยสำคัญ ร้านกาแฟมีอัตราการปิดตัวเพียง 43% ในขณะที่ร้านอาหารปิดถึง 50% สะท้อนให้เห็นว่าโมเดลธุรกิจร้านกาแฟยืดหยุ่นและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ดีกว่า

อีกหนึ่งกลุ่มเครื่องดื่มที่มาแรงไม่แพ้กาแฟ คือ “มัทฉะ” ซึ่งยอดขายในร้านมัทฉะเดิมเพิ่มขึ้นถึง 28% บ่งชี้ถึงแนวโน้มผู้บริโภคที่หันมาเลือกเมนูเครื่องดื่มทางเลือกมากขึ้น

กาแฟ Specialty ครองตลาดคุณภาพสำคัญกว่าราคา

ยอดขาย Specialty Coffee ครองตลาดถึง 56% ของยอดขายกาแฟทั่วประเทศ และสูงถึง 66% ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เทรนด์นี้ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพรสชาติ กลิ่น และประสบการณ์การดื่มมากกว่าราคาที่ถูกที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Specialty Coffee ที่จับต้องได้ในราคาต่ำร้อย

เทคโนโลยีเดลิเวอรีพลิกเกมฟันเฟืองธุรกิจกาแฟยุคใหม่

การใช้ช่องทางเดลิเวอรีกลายเป็นหัวใจสำคัญของการทำตลาดกาแฟในยุคดิจิทัล LINE MAN Wongnai เปิดเผยว่ายอดขายกาแฟผ่านเดลิเวอรีเพิ่มขึ้นถึง 23% และคิดเป็น 22% ของยอดขายร้านกาแฟทั้งหมด ในขณะเดียวกัน Digital Payment ช่วยเพิ่มยอดขายต่อบิลถึง 32% ส่วนการสั่งอาหาร/เครื่องดื่มผ่าน QR Code ช่วยเพิ่มขนาดออเดอร์ถึง 37% เทคโนโลยีเหล่านี้จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นหัวใจสำคัญของความอยู่รอดและการเติบโต

สามหัวใจสำคัญธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่มยุคใหม่

LINE MAN Wongnai ได้สรุป 3 กลยุทธ์สำคัญสำหรับความสำเร็จในยุคนี้ ได้แก่

  1. คุณภาพราคาจับต้องได้: สินค้าที่ดีและราคาที่เหมาะสม คือหัวใจดึงดูดใจลูกค้า
  2. Omni-channel: มีช่องทางขายครบทั้งหน้าร้านและออนไลน์ เข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่ม
  3. ใช้เทคโนโลยีอย่างเต็มประสิทธิภาพ: จากระบบ POS สู่การสั่ง-จ่ายเงินดิจิทัล ลดต้นทุน ขยายตลาดได้ไกลขึ้น

ข้อมูลยังชี้ว่า “ทำเลที่ตั้ง” ยังสำคัญไม่แพ้กัน ร้านอาหารที่อยู่ในห้างมีโอกาสรอดสูงกว่าร้านนอกห้างถึง 22% ส่วนร้านกาแฟในย่านที่มีผู้คนหนาแน่นหรือเดินทางสะดวกก็มักจะประสบความสำเร็จมากกว่าเช่นกัน

โปรโมชัน-เมนูใหม่สร้างแรงจูงใจยอดขาย

เดลิเวอรียังคงเป็นช่องทางดึงดูดลูกค้าสำคัญ ลูกค้า 88% มองหาโปรค่าอาหาร 59% เลือกจากส่วนลดค่าส่ง และอีก 56% ชื่นชอบโปรเซ็ตเมนู เทรนด์เมนูที่มาแรงอย่าง “ชิโอะปัง” ก็สะท้อนถึงการปรับตัวและนวัตกรรมในเมนูที่ตอบโจทย์พฤติกรรมใหม่

เมนูที่ถูกค้นหามากสุด 5 อันดับ ได้แก่ หม่าล่า, หมี่ไก่ฉีก, สุกี้, ผัดไทย และขนมปัง ขณะเดียวกัน ร้านค้าที่อัปเดตเมนูและโปรโมชันบ่อยครั้ง ยังคงได้เปรียบในการแข่งขัน

ตลาดกาแฟไทยในยุคใหม่

ตลาดกาแฟไทยในปี 2025 ไม่ได้วัดกันที่เมล็ดพันธุ์หรือความพรีเมียมเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่คือยุคที่ผู้บริโภคเข้าถึงกาแฟคุณภาพได้ง่าย ราคาสมเหตุสมผล การใช้เทคโนโลยีและช่องทางขายแบบ Omni-channel กลายเป็นปัจจัยความสำเร็จที่แท้จริง

ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในยุคใหม่นี้ คุณภาพ จับต้องได้ และนวัตกรรม คือหัวใจที่ขับเคลื่อนให้เติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางทุกความเปลี่ยนแปลง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • LINE MAN Wongnai (รายงานตลาดร้านอาหาร-กาแฟ 2568)
  • Thailand Coffee Fest 2025
  • ข้อมูลประกอบจากสมาคมร้านกาแฟไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News