Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

ทอท. ดัน “สนามบินเชียงราย” พิสูจน์ Decoupling! ลดคาร์บอน 7% เคียงคู่การเติบโต

ทอท.ดัน “แม่ฟ้าหลวงเชียงราย–หาดใหญ่” เป็นสนามบินคาร์บอนต่ำ เป้าลดก๊าซเรือนกระจก 7% สอบผ่านมาตรฐานโลก เดินเกมยั่งยืนเคียงคู่การเติบโต

เชียงราย, 2 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางการแข่งขันของอุตสาหกรรมการบินและแรงกดดันจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กำลังก้าวเดินบนเส้นทางที่ยากแต่จำเป็น นั่นคือ “การเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการลดคาร์บอน” ล่าสุดท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ถูกจับตาในฐานะ “สนามบินระดับภูมิภาค” ที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า เป้าหมายการลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยรายได้ลง ร้อยละ 7 ภายในปีเดียวกัน สามารถทำได้จริงท่ามกลางปริมาณผู้โดยสารและรายได้ที่กลับมาขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ แม่ฟ้าหลวง เชียงราย หาดใหญ่ และภูเก็ต ต่างได้รับการรับรองมาตรฐานการจัดการคาร์บอนในสนามบินตามโปรแกรม Airport Carbon Accreditation (ACA) ของ Airports Council International (ACI) แล้ว โดย 5 แห่งแรกผ่านระดับ Level 3: Optimisation ซึ่งเป็นระดับที่เน้นการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบครอบคลุมทั้งห่วงโซ่คุณค่า ส่วนท่าอากาศยานภูเก็ตอยู่ในระดับ Level 2: Reduction

นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ย้ำว่า “การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกไม่ได้เป็นเพียงโครงการด้านสิ่งแวดล้อมเฉพาะกิจ แต่ถือเป็น มาตรฐานการดำเนินธุรกิจ (Standard Business Practice) ขององค์กรชั้นนำทั่วโลก นักลงทุนใช้ข้อมูลด้านคาร์บอนในการตัดสินใจลงทุน เพราะความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลโดยตรงต่อความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว”

จากคำกล่าวดังกล่าว ทำให้เห็นชัดว่า เป้าหมาย 7% ของสนามบินเชียงรายและหาดใหญ่ ไม่ใช่ตัวเลขเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็น “บททดสอบจริง” ว่า สนามบินภูมิภาคของไทยพร้อมก้าวสู่มาตรฐานสนามบินคาร์บอนต่ำระดับสากลเพียงใด

สนามบินภูมิภาคในสมรภูมิ ESG จากตัวเลขการรับรองสู่ความคาดหวังของนักลงทุน

การได้รับรองตามโปรแกรม Airport Carbon Accreditation (ACA) ถือเป็น “ใบผ่านด่าน” สำคัญของสนามบินทั่วโลกในการแสดงความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม ACA แบ่งออกเป็น 5 ระดับ โดยระดับที่สูงขึ้นสะท้อนถึงความเข้มข้นของมาตรการจัดการและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ครอบคลุมมากขึ้น

สำหรับ ทอท. สนามบินหลัก 5 แห่ง คือ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ แม่ฟ้าหลวง เชียงราย และหาดใหญ่ ได้รับรองในระดับ Level 3: Optimisation ซึ่งครอบคลุมทั้งการจัดการการปล่อยก๊าซจากการดำเนินงานโดยตรงของสนามบิน (Scope 1 และ 2) และการมีส่วนร่วมจัดการการปล่อยก๊าซที่เกิดจากผู้ใช้บริการและคู่ค้า เช่น สายการบิน ผู้เช่าพื้นที่ และผู้ให้บริการภาคพื้นดิน (Scope 3) ขณะที่สนามบินภูเก็ตได้รับรองในระดับ 2 ที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยในขอบเขตที่สนามบินควบคุมได้โดยตรง

ทิศทางดังกล่าวสอดคล้องกับกระแสการลงทุนยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดด้าน ESG (Environment – Social – Governance) โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ท่าอากาศยานและท่าเรือ ซึ่งต้องพิสูจน์ว่า การเติบโตของรายได้และปริมาณผู้โดยสารไม่ได้แลกมาด้วยการเพิ่มขึ้นของคาร์บอนอย่างไร้ขีดจำกัด

“7% ที่ไม่ธรรมดา” เมื่อเป้าหมายเชิงสัดส่วนสะท้อนความท้าทายเชิงโครงสร้าง

จุดที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คือ ทอท.ไม่ได้ตั้งเป้าลด “ปริมาณก๊าซเรือนกระจกสัมบูรณ์ (Absolute Emissions)” เพียงอย่างเดียว แต่เลือกใช้ตัวชี้วัด การปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยรายได้ (GHG Emissions Intensity per Unit of Revenue)” สำหรับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย (CEI) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (HDY)

การตั้งเป้าให้ GHG Intensity ลดลง 7% ในขณะที่รายได้มีแนวโน้มเติบโตตามการฟื้นตัวของการบินและการท่องเที่ยว มีนัยที่สำคัญในเชิงเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม

  • หากสมมติว่า รายได้ของสนามบินเพิ่มขึ้น ร้อยละ 10 จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมและการขยายบริการ
  • การทำให้ “ความเข้มข้น” ของการปล่อยลดลง 7% จะหมายความว่า สนามบินต้องพยายามลด ปริมาณคาร์บอนสัมบูรณ์ลงอย่างน้อยราว 16% (โดยประมาณ)

กล่าวคือ สนามบินจะไม่สามารถ “ปล่อยเพิ่มไปพร้อมกับการเติบโต” ได้อีกต่อไป แต่ต้องเดินหน้าในรูปแบบที่เรียกว่า “Decoupling” หรือการแยกตัวระหว่างเส้นกราฟรายได้กับเส้นกราฟการปล่อยคาร์บอน

ในบริบทของเชียงราย ความท้าทายนี้ยิ่งเข้มข้นขึ้น เมื่อท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายมีจำนวนผู้โดยสารในปีงบประมาณ 2568 (ต.ค. 2567 – ก.ย. 2568) สูงถึง 1,937,645 คน และยังมีแผนพัฒนาระยะที่ 1 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับจากประมาณ 3 ล้านคนต่อปี เป็น 6 ล้านคนต่อปี ในอนาคต การขยายตัวทางเศรษฐกิจและคมนาคมของเชียงรายจึงต้องเดินคู่กับการลดรอยเท้าคาร์บอนอย่างเลี่ยงไม่ได้

วิสัยทัศน์คาร์บอนต่ำของ ทอท. จากระดับสนามบินสู่ยุทธศาสตร์องค์กร

เป้าหมายลดความเข้มข้น 7% ของเชียงรายและหาดใหญ่ ไม่ได้ลอยตัวอย่างโดดเดี่ยว หากแต่ผูกโยงกับวิสัยทัศน์ระดับองค์กรของ ทอท. ซึ่งวางเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศไว้อย่างชัดเจน

จากเอกสารด้านความยั่งยืน ทอท.ได้วางเป้าหมายในระดับองค์กรไว้ว่า

  • มุ่งสู่ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2573 (2030)
  • และเดินหน้าสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2575 (2032)

การขับเคลื่อนดังกล่าวตั้งอยู่บนการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศทั้งในมิติ

  • ความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risks) เช่น น้ำท่วม พายุ เพลิงไหม้ ซึ่งกระทบต่อการปฏิบัติการของสนามบิน
  • และ ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risks) อาทิ มาตรการกำกับจากภาคการบินระหว่างประเทศ ราคาคาร์บอน และความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุน

ทอท.จึงพยายามใช้การลงทุนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมเป็น “หลักประกัน” ว่าธุรกิจสนามบินของไทยจะสามารถรับมือความผันผวนเหล่านี้ได้ในระยะยาว

ลงทุน 168% เพื่อลดคาร์บอน เม็ดเงินที่มากขึ้น ผลประหยัดที่ลดลง และความจริงของต้นทุนการเปลี่ยนผ่าน

เพื่อให้เป้าหมาย 7% ไม่ใช่เพียงคำประกาศ ทอท.ได้เร่งรัดการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะใน 6 ท่าอากาศยานหลัก

ข้อมูลด้านการลงทุนระบุว่า

  • ปี 2566 ทอท.ใช้งบประมาณเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้าใน 6 ท่าอากาศยานรวม 27,590,790.50 บาท
  • ปี 2567 งบประมาณด้านเดียวกันเพิ่มขึ้นเป็น 74,031,200.00 บาท หรือเพิ่มขึ้นถึงประมาณ ร้อยละ 168

แต่สิ่งที่สะดุดตา คือ ในช่วงที่เม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด “ค่าใช้จ่ายที่ประหยัดได้จากโครงการสิ่งแวดล้อม” กลับลดลง

  • จากเดิมในปี 2566 ประหยัดได้ 16,044,195.49 บาท
  • เหลือเพียง 5,820,188.53 บาท ในปี 2567

ตัวเลขชุดนี้สะท้อนความจริงข้อหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและคาร์บอน กล่าวคือ “ต้นทุนการลดคาร์บอนต่อหน่วย” มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงเริ่มต้นของการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพราะ

  • ระบบประหยัดพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ยังต้องใช้เวลาปรับตั้ง
  • ผลประหยัดยังไม่ปรากฏเต็มที่ในระยะสั้น
  • แต่ในระยะยาว การลงทุนเหล่านี้จะเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานให้มีความคุ้มค่าและเป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศมากขึ้น

สำหรับสนามบินเชียงรายและหาดใหญ่ เม็ดเงินลงทุนนี้จึงไม่ใช่เพียงการลดค่าไฟฟ้าในงบดำเนินงาน แต่เป็นการสร้าง “รากฐานโครงสร้างพื้นฐานคาร์บอนต่ำ” ให้กับสนามบินระดับภูมิภาคของไทย

ระบบ 400 Hz และ PC-Air เทคโนโลยีหลังหลุมจอดที่เชื่อมโยงเส้นกราฟคาร์บอนของสายการบิน

หัวใจสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในมิติ Scope 3 ของสนามบิน คือ การจัดการการปล่อยคาร์บอนจากเครื่องบินขณะจอดที่หลุมจอด ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้หน่วยจ่ายพลังงานเสริม (APU) ของเครื่องบินที่เผาไหม้เชื้อเพลิงเจ็ตเพื่อผลิตไฟฟ้าและปรับอากาศให้ตัวเครื่อง

โครงการสำคัญที่ทอท.นำมาใช้ในท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายและหาดใหญ่ คือ

  • ระบบไฟฟ้า 400 Hz – จ่ายไฟฟ้าจากภาคพื้นดินให้เครื่องบินขณะจอด
  • ระบบปรับอากาศ Pre-Conditioned Air (PC-Air) – จ่ายลมเย็นจากอาคารผู้โดยสารไปยังเครื่องบิน

เมื่อเครื่องบินสามารถใช้ไฟจากภาคพื้นและระบบปรับอากาศภายนอกได้เต็มรูปแบบ การใช้ APU จะถูกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเท่ากับการลดการเผาไหม้เชื้อเพลิงเจ็ต และการปล่อยคาร์บอนจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสายการบินโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ประสิทธิผลของเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการลงทุนของสนามบินเพียงฝ่ายเดียว หากแต่ผูกพันอย่างแนบแน่นกับ อัตราการใช้งานจริง (Utilization Rate)” โดยสายการบิน

สนามบินอาจติดตั้งระบบ 400 Hz และ PC-Air ครบทุกหลุมจอด แต่ถ้าสายการบินยังเลือกใช้ APU ด้วยเหตุผลด้านเวลา ความเคยชิน หรือข้อจำกัดทางเทคนิค เป้าหมายลด Scope 3 ก็จะไปไม่ถึง 7% ตามที่ตั้งไว้

ในมุมนี้ เป้าหมาย 7% จึงไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขด้านเทคนิค แต่ยังเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของ การประสานความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทานการบิน” ระหว่างสนามบิน สายการบิน และผู้ให้บริการภาคพื้นดินด้วย

พลังงานแสงอาทิตย์และอนาคตของไฟฟ้าภาคพื้น ป้องกันไม่ให้ Scope 2 กลายเป็น “เงาสะท้อน” ของความสำเร็จ Scope 3

อีกหนึ่งโจทย์ที่สนามบินเชียงรายและหาดใหญ่ต้องขบคิด คือ เมื่อระบบ 400 Hz และ PC-Air ทำให้การใช้ไฟฟ้าภาคพื้นดินเพิ่มขึ้น การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในมิติ Scope 2 (จากการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ซื้อมาใช้) อาจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

เพื่อไม่ให้ความสำเร็จด้านการลดคาร์บอนจากเครื่องบิน (Scope 3) ถูกหักล้างด้วยการเพิ่มขึ้นของคาร์บอนจากไฟฟ้า (Scope 2) ทอท.จึงเดินหน้าแนวทางการใช้ พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) ในท่าอากาศยานทั้ง 5 แห่งในภูมิภาค รวมถึงเชียงรายและหาดใหญ่ โดยอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสมในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นที่อาคารและเขตการบิน

หากโครงการ Solar Energy ในสนามบินภูมิภาคสามารถเดินหน้าสู่การติดตั้งจริงในระยะใกล้ การผสานกันระหว่าง

  • การใช้ไฟฟ้าภาคพื้นดินแทน APU (ลด Scope 3)
  • กับการใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาด (ลด Scope 2)

จะทำให้เป้าหมายลดความเข้มข้นก๊าซเรือนกระจก 7% มีความเป็นไปได้สูงขึ้นอย่างเป็นระบบ มากกว่าการพึ่งพาเพียงมาตรการใดมาตรการหนึ่ง

เชียงราย – หาดใหญ่ สองสนามบินภูมิภาค สองบริบทความเสี่ยง แต่เป้าหมายเดียวกัน

แม้จะมีตัวเลขเป้าหมาย 7% ที่เหมือนกัน แต่บริบทของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายและหาดใหญ่กลับแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

แม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) สนามบินชายแดนที่ต้องพิสูจน์การเติบโตอย่างยั่งยืน

เชียงรายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจชายแดนและการท่องเที่ยวภาคเหนือตอนบน สนามบินแม่ฟ้าหลวงไม่ได้รองรับเพียงผู้โดยสารในจังหวัด แต่ยังเชื่อมโยงการเดินทางของนักท่องเที่ยวและธุรกิจจากกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง

การขยายโครงการพัฒนาระยะที่ 1 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารเป็น 6 ล้านคนต่อปี ทำให้ CEI กลายเป็น “สนามทดสอบสำคัญ” ว่า สนามบินที่กำลังโตเร็วสามารถควบคุมการปล่อยคาร์บอนสัมบูรณ์ให้ลดลง พร้อมกับลดความเข้มข้นลง 7% ได้จริงหรือไม่

หาก CEI สามารถบูรณาการมาตรการด้านพลังงาน ระบบ 400 Hz/PC-Air และโครงการ Solar Energy เข้าไปในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบได้สำเร็จ สนามบินแห่งนี้จะถูกจับตามองว่าเป็นกรณีศึกษาของ “การขยายตัวอย่างไม่เพิ่มรอยเท้าคาร์บอน”

หาดใหญ่ (HDY) ศูนย์กลางการบินภาคใต้ที่เน้นสนามบินสีเขียวและความยืดหยุ่นต่อภัยพิบัติ

ในอีกฟากหนึ่งของประเทศ ท่าอากาศยานหาดใหญ่มีบทบาทเป็นศูนย์กลางการบินและโลจิสติกส์สำคัญของภาคใต้ โดยมุ่งพัฒนาภาพลักษณ์ “สนามบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ผ่านมาตรการอนุรักษ์พลังงาน การจัดการขยะ และการลดคาร์บอนอย่างเป็นระบบ

ความท้าทายหลักของ HDY คือ ความเสี่ยงทางกายภาพจากพายุและอุทกภัย ซึ่งอาจกระทบต่อความต่อเนื่องของการดำเนินงานและรายได้ของสนามบิน ดังนั้น การลด GHG Intensity 7% ของ HDY จึงสัมพันธ์กับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มทั้งความยั่งยืนและ “ความยืดหยุ่นในการรับมือภัยพิบัติ (Operational Resilience)” ไปพร้อม ๆ กัน

เชื่อมโยงสู่ระดับโลก จาก DJSI, NDC ถึง CORSIA

การขยับของ ทอท. ไม่ได้สะท้อนเพียงเป้าหมายขององค์กรเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับกรอบนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศทั้งระดับประเทศและระดับโลก

  • ทอท.ได้รับการยอมรับให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเสมือน “ตราสัญลักษณ์” ว่าองค์กรอยู่ในกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานที่ให้ความสำคัญกับ ESG อย่างจริงจัง
  • เป้าหมายลดความเข้มข้นก๊าซเรือนกระจกของสนามบินเชียงรายและหาดใหญ่สอดคล้องกับ เป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) ของประเทศไทย ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาพรวม
  • ในมิติการบินระหว่างประเทศ มาตรการ CORSIA (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เริ่มกำหนดให้สายการบินต้องรับผิดชอบต่อการปล่อยคาร์บอนเกินกว่าระดับฐาน โดยต้องซื้อหน่วยชดเชยคาร์บอน (Emission Units) หากสนามบินไทยอย่างเชียงรายและหาดใหญ่ สามารถลดการปล่อยในช่วงเครื่องจอดและสนับสนุนเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำได้จริง ก็จะช่วยลดต้นทุนคาร์บอนของสายการบินที่มาใช้บริการ ซึ่งกลายเป็น “ข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขัน” เพิ่มเติมในยุคที่ต้นทุนคาร์บอนกลายเป็นต้นทุนธุรกิจ

มากกว่า “7%” คือการวางรากฐานสนามบินภูมิภาคสู่ยุคคาร์บอนต่ำ

ในสายตาคนทั่วไป เป้าหมายลดความเข้มข้นก๊าซเรือนกระจกเพียง 7% อาจดูเป็นตัวเลขที่ไม่หวือหวา แต่เมื่อพิจารณาในบริบทของ

  • การฟื้นตัวของผู้โดยสารที่ใกล้ระดับก่อนโควิด-19
  • การขยายตัวของสนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงรายเพื่อรองรับผู้โดยสาร 6 ล้านคนต่อปี
  • และข้อจำกัดด้านความเสี่ยงสภาพภูมิอากาศของสนามบินหาดใหญ่และสนามบินภูมิภาคอื่น ๆ

ตัวเลข 7% จึงกลายเป็น “บททดสอบเชิงโครงสร้าง” ว่าระบบสนามบินภูมิภาคของไทยจะสามารถเดินหน้าสู่ยุคคาร์บอนต่ำได้จริงหรือไม่

ความสำเร็จของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายและท่าอากาศยานหาดใหญ่ในการบรรลุเป้าหมายนี้ จะไม่ได้สะท้อนเพียงการลดตัวเลขบนรายงานประจำปี แต่จะหมายถึง

  • ประชาชนและชุมชนโดยรอบได้ประโยชน์จากคุณภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
  • ภาคการบินไทยมีจุดขายด้านความยั่งยืนที่จับต้องได้มากขึ้นในสายตานักลงทุนและผู้โดยสาร
  • และประเทศไทยมี “ต้นแบบสนามบินภูมิภาคคาร์บอนต่ำ” ที่สามารถต่อยอดไปสู่สนามบินอื่น ๆ ในอนาคต

คำถามที่เหลืออยู่ จึงไม่ใช่เพียงว่า “สนามบินเชียงรายและหาดใหญ่จะลดความเข้มข้นก๊าซเรือนกระจกได้ครบ 7% หรือไม่”
แต่คือ “เราจะใช้บทเรียนจาก 7% นี้อย่างไร ในการออกแบบระบบสนามบินไทยทั้งระบบให้พร้อมรับมือโลกที่กำลังเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งสู่ยุคคาร์บอนต่ำ”

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.
  • Airports Council International (ACI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
NEWS UPDATE

SME ไทยต้องรอด! finbiz by ttb เปิดคู่มือ 6 เทรนด์ ปรับตัวสู้ De-globalization และ Decarbonization

4D Syndrome เขย่าโลกธุรกิจ: เปิด 6 เทรนด์ปี 2026—โอกาสทอง SME ไทยสู่ยุค “ฉลาดขึ้น-เขียวขึ้น-เข้าใจมนุษย์”

ประเทศไทย, 21 ตุลาคม 2568 — เมื่อโลกธุรกิจหมุนเข้าสู่เกียร์เปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ “4D Syndrome” กำลังกลายเป็นสมการพื้นฐานของการแข่งขันยุคใหม่—De-globalization, Decarbonization, Digitalization, Demographics Challenges ไม่ได้เป็นเพียงศัพท์เทคนิคในห้องสัมมนาอีกต่อไป แต่กำลังแทรกซึมอยู่ในทุกใบสั่งซื้อและทุกแผนซัพพลายเชนของผู้ประกอบการไทย

บนเวที Future Forum 2025: Great Transformation ซึ่งจัดโดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) นักคิด นักกลยุทธ์ และซีอีโอต่างเห็นพ้องว่า ปี 2026 จะเป็นปีที่ตลาด “เปิดหน้าไพ่ใหม่” ผ่านกติกาที่บังคับให้ธุรกิจ ฉลาดขึ้น (Smart) เขียวขึ้น (Green) และ เข้าใจมนุษย์มากขึ้น (Human-Centric) ขณะที่ finbiz by ttb ร้อยเรียงภาพใหญ่นี้ให้เป็น “คู่มือโอกาส” สำหรับ SME ไทย ด้วย 6 เทรนด์สำคัญ ที่ปฏิบัติได้จริงและรองรับ 4Ds อย่างครบถ้วน

สัญญาณร่วมที่ชัด การค้าโลกกำลังกลับสู่ภูมิภาค (de-globalization) ซัพพลายเออร์ถูกขอให้เปิดเผยมลคาร์บอนและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (decarbonization) การทำงาน–การขาย–การจ่ายเงินย้ายสู่ดิจิทัล (digitalization) ขณะที่โครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัยและครัวเรือนเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย (demographics)

ภาพรวมเช่นนี้ทำให้ ทำเหมือนเดิม” ไม่ใช่ทางเลือก สำหรับ SME ไทยอีกต่อไป ขณะเดียวกัน มันก็เปิด หน้าต่างโอกาส ขนาดใหญ่ให้ผู้ประกอบการที่กล้าปรับตัวได้ “ข้ามชั้น” อย่างก้าวกระโดด

จากหอประชุมสู่หน้าร้าน—เมื่อ 4Ds หลอมรวมสู่แผนทำจริง

ลองจินตนาการถึงผู้ประกอบการท้องถิ่นที่เคยพึ่งพาช่องทางออฟไลน์เป็นหลัก—ปี 2569 เขาจำเป็นต้องมี ระบบรับออเดอร์ดิจิทัล, เครื่องมือ AI ช่วยคัดคำถามลูกค้าและจัดลำดับสต๊อก, หลักฐานคาร์บอน สำหรับคู่ค้าต่างประเทศ, และ การออกแบบบริการ ให้รองรับทั้งผู้สูงวัยและครอบครัวที่เลี้ยงสัตว์แบบ “สมาชิกในบ้าน”

ทั้งหมดนี้ดูเยอะ แต่เมื่อแยกออกเป็น 6 คันโยก ที่ “หมุนแล้วเห็นผล” ภาพจะชัดขึ้น

เทรนด์ที่ 1: AI x Digital — จากเครื่องมือสู่ผู้ช่วยตัดสินใจ

สาระสำคัญ: AI ก้าวจาก “ของเล่น” สู่ “ผู้ช่วยงานหลังบ้านและหน้าร้าน” ตั้งแต่แชตตอบลูกค้าอัตโนมัติ, การคาดการณ์ยอดขาย, ไปจนถึงการวางสต๊อกแบบเรียลไทม์ โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินแบบดิจิทัล เช่น ระบบพร้อมเพย์ที่มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมากและธุรกรรมต่อวันระดับหลายสิบล้านรายการ ช่วยเร่งการปิดการขายและลดเงินค้างรับ ในภาพรวม SME ไทยกว่า 70% กำลัง ใช้/ทดลองใช้ AI และในกลุ่มที่ใช้จริง ราว 90% รายได้เพิ่มขึ้น (ตามชุดข้อมูลที่รวบรวมโดย finbiz by ttb อ้างอิงงานสำรวจและหน่วยงานด้านดิจิทัล)

ภาครัฐขับเคลื่อน: DEPA เดินหน้ากลไก “One Tambon, One Digital” หนุน SME และเกษตรกรจำนวนมาก (เป้าหมายรวมถึงปี 2026) ผ่านแพ็กเกจทดลองใช้ฟรีและร่วมจ่ายสำหรับเครื่องมือดิจิทัล ลดอุปสรรคต้นทุนเริ่มต้น และเชื่อมผู้ให้บริการโซลูชันกับผู้ประกอบการรายย่อยอย่างเป็นระบบ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • เริ่มที่ งานซ้ำ–งานข้อมูล: chatbot/FAQ, ระบบจอง, ระบบ CRM ที่เชื่อม POS/ร้านค้าออนไลน์
  • ใช้ แดชบอร์ดรวม มอง “ปลายทางยอดขาย–กลางทางสต๊อก–ต้นทางสั่งซื้อ” ในจอเดียว เพื่อลดสต๊อกค้างและหมดสต๊อก
  • วาง กติกาใช้ข้อมูลลูกค้า ให้โปร่งใส ตั้งค่าความยินยอม (consent) และสื่อสารสิทธิ์ลูกค้าอย่างชัดเจน—นี่คือฐานของ “ความไว้วางใจ” (โยงสู่เทรนด์ที่ 4)

เทรนด์ที่ 2: Smart Mobility/EV — โลจิสติกส์ฉลาด ประหยัดคาร์บอน

เหตุผลเชิงเศรษฐกิจ: แอปวางเส้นทางและระบบติดตามรถสามารถ ลดต้นทุนน้ำมัน–เวลา–อุบัติเหตุ ได้สูง (มีกรณีศึกษาอ้างถึงตัวเลขลดได้ถึง ~30%) ผนวกกับ แรงจูงใจรัฐด้าน EV (เช่น ช่วยซื้อและลดภาษีสรรพสามิตในเฟส EV 3.0/3.5) ทำให้ต้นทุนรวมต่อกิโลเมตรของยานยนต์ไฟฟ้าลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ภาพลักษณ์องค์กร “สีเขียว” ช่วยปิดดีลคู่ค้า B2B ได้ง่ายขึ้น

สัญญาณตลาด: ประเทศไทยคาดจำนวน EV แตะหลายแสนคันภายในปี 2027 ระบบชาร์จเริ่มหนาแน่นขึ้นและผู้ผลิตในประเทศเพิ่มไลน์การผลิต–ประกอบ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • เลือก ยานพาหนะ EV สำหรับเส้นทางในเมือง/ระยะสั้น และวางแผนชาร์จในช่วงโหลดไฟต่ำ
  • ใช้ ซอฟต์แวร์วางแผนเส้นทาง + ข้อมูลคอขวดจราจรแบบเรียลไทม์
  • คำนวณ ต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน (TCO) แทนการเทียบราคาซื้ออย่างเดียว
  • เก็บ ข้อมูลคาร์บอนต่อการส่ง 1 ออร์เดอร์ เพื่อใช้ตอบแบบสอบถาม ESG ของคู่ค้า

เทรนด์ที่ 3: Green Mandate — จากสมัครใจสู่ “เงื่อนไข” การค้า

สาระสำคัญ: การลดคาร์บอนและความโปร่งใสด้านสิ่งแวดล้อมกำลังก้าวจาก “ดีมี” สู่ ต้องมี” ผ่านกรอบกฎหมาย–นโยบายที่ไทยเตรียมใช้ เช่น Climate Change Bill (วางกรอบการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) และ Clean Air Management Bill (การจัดการอากาศสะอาด) ที่คาดหมายบทบัญญัติให้ เปิดเผยข้อมูลคาร์บอน/ความเสี่ยง ของธุรกิจ โดยยึดเป้าหมายประเทศ Carbon Neutrality ปี 2050 และ Net Zero 2065 พร้อมการผลักดันเครื่องมือเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมโดย TGO และ ONEP เช่น Emissions Trading System (ETS), การตั้งต้น ภาษีคาร์บอน/CBAM สำหรับบางหมวดสินค้า

ผลกระทบเชิงปฏิบัติ: ซัพพลายเออร์ไทยในโซ่คุณค่าข้ามชาติถูกขอให้ เผยตัวเลขคาร์บอนฟุตพรินต์ และ แผนลดปล่อย มากขึ้น หากทำไม่ได้ เสี่ยงตก shortlist การจัดซื้อ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • ทำ พลังงาน/คาร์บอนบุกเบิก: audit พลังงาน, เปลี่ยนมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง, โซลาร์รูฟ/ซื้อไฟหมุนเวียน (REC)
  • เก็บข้อมูล Scope 1–2–3 แบบ “เท่าที่ทำได้” เริ่มจากไฟฟ้า น้ำมัน ยาแนววัตถุดิบหลัก
  • ใช้ มาตรฐานฉลาก/การรับรอง (เช่น Thai Green Label, ISO 14064/14067) เป็นภาษากลางคุยกับคู่ค้าต่างชาติ
  • ผูก แรงจูงใจภายใน: ประหยัดค่าไฟ=โบนัสทีม, ของเสียลด=ส่วนแบ่งกำไร

เทรนด์ที่ 4: Trust Economy — ความน่าเชื่อถือคือทุน

บริบทยุคดิจิทัล: ในโลกที่ข้อมูลไหลเร็วและข่าวปลอมแพร่ไว ผู้บริโภคจำนวนมาก (งานศึกษาหลายชิ้นชี้สัดส่วนกว่า สองในสาม) ใช้ “ความไว้วางใจด้านการชำระเงิน” เป็นตัวแปรตัดสินใจซื้อ ขณะเดียวกัน รีวิวปลอม และ ข้อมูลบิดเบือน ทำให้ลูกค้ากว่า 60% ลังเลในการตัดสินใจ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • ใช้ ช่องทางจ่ายเงินที่ได้รับการยอมรับ พร้อม 2FA/แจ้งเตือนแบบเรียลไทม์
  • สร้าง นโยบายคืนเงิน/เปลี่ยนสินค้า ที่ชัดและเป็นธรรม—เขียนให้เข้าใจง่าย ไม่ใช้ฟอนต์เล็ก
  • ตั้ง ระบบรีวิวตรวจสอบได้ (ซื้อจริงเท่านั้น, เชื่อมหมายเลขคำสั่งซื้อ) และ ตอบรีวิว ภายใน 24–48 ชม.
  • ธุรกิจอาหาร/สุขภาพ พิจารณา บล็อกเชนติดตามย้อนกลับ (lot–วันผลิต–ใบรับรอง) ให้สแกนดูได้จาก QR
  • กำหนด นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล (privacy) ที่ระบุสิทธิ์ลูกค้าอย่างชัดเจน—ยิ่งโปร่งใส ยิ่งเพิ่ม conversion

เทรนด์ที่ 5: Longevity Economy — ตลาดสูงวัย = ตลาดคุณภาพชีวิต

โครงสร้างประชากร: ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ มีผู้มีอายุ 60+ ประมาณ 13.2 ล้านคน (~20%) และมีแนวโน้มแตะ ~31% ภายในปี 2583 ตลาดนี้ขยายตัวรวดเร็ว โดยเฉพาะบริการสุขภาพที่บ้าน อุปกรณ์ช่วยพึ่งพา และท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะ

โอกาสผลิตภัณฑ์/บริการ:

  • AgeTech/HealthTech: อุปกรณ์ติดตามสัญญาณชีพ แอปนัดพบแพทย์–เวชโทรคมนาคม
  • บ้านและสถานที่เป็นมิตร: Universal Design—พื้นกันลื่น ราวจับ ป้ายตัวใหญ่ ความสูงเคาน์เตอร์เหมาะสม
  • ท่องเที่ยววัยเกษียณ: โปรแกรมค่อยเป็นค่อยไป, ประกันเหมาจ่าย, ที่พักเข้าถึงวีลแชร์
  • โภชนาการเฉพาะวัย: โปรตีนย่อยง่าย, เสริมใยอาหาร/แคลเซียม, บรรจุภัณฑ์เปิดง่าย

ทางปฏิบัติสำหรับ SME: เริ่มจาก การออกแบบเชิงมนุษย์ (human-centered design)—ไปคุยกับลูกค้าสูงวัยจริง ๆ ทดสอบต้นแบบในบ้าน/ร้าน/สถานพยาบาล และ ร่วมมือโรงพยาบาล–ชมรมผู้สูงอายุ เพื่อยืนยันคุณค่า

เทรนด์ที่ 6: Pet Humanization — “น้องคือลูก” ตลาดทะลุแสนล้าน

พฤติกรรมผู้บริโภค: ครัวเรือนไทยจำนวนมากมองสัตว์เลี้ยงเป็น “สมาชิกครอบครัว” ยินดีจ่ายเพื่อสุขภาพและความสุขของ “น้อง” มากขึ้น ข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจของสถาบันการเงินชี้ว่าปี 2026 มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงไทยมีโอกาส ทะลุ 100,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายแบบ Pet Humanization สูงถึง ~50,500 บาท/ตัว/ปี มากกว่าแบบทั่วไปหลายเท่า ขณะเดียวกันไทยยังเป็น ผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงลำดับต้น ๆ ของโลก

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • อาหารพรีเมียม/ฟังก์ชันนัล (grain-free, sensitive stomach, joint care) พร้อม ตรรกะโภชนาการโปร่งใส
  • บริการ: grooming ทางการแพทย์, pet hotel มาตรฐานสูง, คาเฟ่/ที่พัก pet-friendly
  • แฟชั่น/อุปกรณ์: ปลอกคอ–สายจูงอัจฉริยะ, รถเข็นสัตว์เลี้ยง, เสื้อผ้าตามฤดูกาล
  • สร้าง แบรนด์เชิงอารมณ์ เล่าเรื่อง “สุขภาพ–ความผูกพัน–ความปลอดภัย” และ รับรองคุณภาพ (โรงงานมาตรฐาน, สูตรสัตวแพทย์)

จาก “ค่าใช้จ่าย” สู่ “การลงทุนที่พิสูจน์ได้”

หลาย SME กังวลว่าการลงเทคโนโลยี–สีเขียว–มาตรฐาน จะเพิ่มต้นทุนในยามกำไรบาง แต่เมื่อวางในกรอบ TCO + ความเสี่ยงตก shortlist ภาพกลับชัด—ต้นทุนที่ไม่ลงทุน อาจแพงกว่า ทั้งโอกาสหลุดดีล, เวลาเสียไปกับงานซ้ำ, ค่าไฟที่รั่วไหล, และความเสียหายจากคำร้องเรียนคุณภาพ/ความปลอดภัย

“คีย์เวิร์ด” ของปี 2026 จึงไม่ใช่แค่ เร็ว” แต่คือ เร็วอย่างมีระบบและน่าเชื่อถือ” ธุรกิจที่ทำให้เห็น ข้อมูล–มาตรฐาน–กติกาชัด จะได้ ส่วนเพิ่มความไว้วางใจ ที่กลายเป็นคะแนนนำถาวรในสนามแข่งขันที่แออัด

ปี 2026—ปีที่ธุรกิจไทยต้อง “ฉลาด เขียว และเข้าใจมนุษย์”

4Ds คือพายุใหญ่ แต่ทุกพายุล้วนมี กระแสลมยกตัว ให้คนที่กล้าโต้ลม—AI x Digital ทำให้เล็กสู้ใหญ่ได้ Smart Mobility/EV ลดต้นทุนพร้อมยกระดับภาพลักษณ์ Green Mandate แปลงความยั่งยืนเป็นตั๋วผ่านด่าน Trust Economy ทำให้ยอดขายยั่งยืนกว่ายอดวิว Longevity Economy เปิดตลาดคุณภาพชีวิต และ Pet Humanization แปรความผูกพันเป็นธุรกิจแสนล้าน

สำหรับ SME ไทย บทเรียนเชิงข่าวชิ้นนี้ชี้ชัด: อย่ารอให้กติกาบังคับ—เริ่มนับหนึ่งวันนี้ แล้วปี 2026 จะกลายเป็น ปีแห่งโอกาส มากกว่าปีแห่งแรงกดดัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
  • finbiz by ttb
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA)
  • องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ONEP)
  • ทิศทางกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Bill)
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

ยุทธศาสตร์พัฒนายั่งยืนเสริมสร้างสังคมไทยมั่นคง

ความสำคัญของการพัฒนายั่งยืนต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เน้นย้ำว่าการเดินหน้ายุทธศาสตร์พัฒนายั่งยืนเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเสริมสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทยให้มั่นคงในระยะยาว การพัฒนาที่ยั่งยืนไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่ยังคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของคนรุ่นปัจจุบันและอนาคตอย่างสมดุล

ยุทธศาสตร์การพัฒนายั่งยืน: แนวทางและเป้าหมาย

การพัฒนายั่งยืนต้องไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่าการพัฒนาเศรษฐกิจควรคำนึงถึงการลดภาระทางสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากร การนำแนวคิดยั่งยืนและจริยธรรมเข้าสู่กระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะเป็นสิ่งเร่งด่วน เพื่อให้การพัฒนาสามารถตอบสนองความต้องการของสังคมได้อย่างแท้จริง

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อประเทศไทย

รายงาน IPCC Climate ของสหประชาชาติ ระบุว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติเช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าประเทศอื่น แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกลับรุนแรงมาก

มาตรการบรรเทาภัยพิบัติด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน

การนำแนวคิดยั่งยืนมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจช่วยบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรักษาทรัพยากรป่าไม้ โดยเฉพาะป่าต้นน้ำ ช่วยลดความเสี่ยงจากดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก นอกจากนี้ ภาคการผลิตควรเน้นการผลิตที่ยั่งยืน ลดการปล่อยของเสียและมลพิษ รวมถึงการใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก

 
การสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชน

ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายและสร้างกลไกส่งเสริมการลงทุนในด้านสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนทางการเงินสำหรับโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ESG เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืน นอกจากนี้ สถานประกอบการต่างๆ ควรบริหารองค์กรตามแนวคิด ESG เพื่อสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

การลดความเหลื่อมล้ำและการสร้างความมั่นคงทางอาหาร

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและเพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคม ประเทศไทยต้องดำเนินมาตรการเพื่อลดความยากจนและสร้างความมั่นคงให้กับประชากรที่เปราะบาง การลงทุนในเทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียนและการสนับสนุนงบประมาณสำหรับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น

อนาคตของการพัฒนายั่งยืนในประเทศไทย

ประเทศไทยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเป็น 40% ภายในปี พ.ศ.2573 ซึ่งการดำเนินการตามแผนงานระดับชาติและการทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกเป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ อย่างไรก็ตาม การลดก๊าซเรือนกระจกและการลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมต้องเกิดขึ้นพร้อมกับการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสังคมไทยที่มั่นคงในระยะยาว

บทสรุป

การเดินหน้ายุทธศาสตร์พัฒนายั่งยืนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้สำหรับประเทศไทยในปัจจุบันและอนาคต การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและสามารถรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

บสย. – KODIT เกาหลี เร่งยกระดับ ESG แพลตฟอร์มค้ำประกัน หนุนธุรกิจ SMEs เติบโตยั่งยืน

 

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล โดยมุ่งหวังให้บริการของภาครัฐสะดวก รวดเร็ว อำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกกฎหมายผลักดันรัฐบาลดิจิทัล พร้อมจัดทำแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ตลอดจนมอบหมายให้หน่วยงานรัฐพัฒนาแอปฯ และบริการออนไลน์จำนวนมากเพื่อพัฒนาภาครัฐเป็นรัฐบาลดิจิทัล ทั้งนี้ หน่วยงานราชการหลาย ๆ หน่วยงานได้สานต่อนโยบาย พัฒนารูปแบบการให้บริการแบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน ทำให้มีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นส่วนราชการหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ ขอให้ประชาชนระมัดระวังอย่าหลงเชื่อ โดยเฉพาะการแอบอ้างเรื่องการชำระค่าปรับต่าง ๆ  

นางสาวรัชดา กล่าวว่า เพื่อให้รู้ทันกลโกงของมิจฉาชีพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แนะวิธีสังเกตใบสั่งจราจรอิเล็กทรอนิกส์ที่จัดส่งทางไปรษณีย์ไปยังเจ้าของรถถึงบ้าน ว่าฉบับไหนเป็นของจริง-ของปลอม ซึ่งการออกใบสั่งจราจรอิเล็กทรอนิกส์ครั้งแรก จะมีรูปถ่ายรถ หมายเลขทะเบียนรถ และข้อหากระทำความผิดครบ หากไม่จ่ายค่าปรับใน 7 วัน จะมีใบเตือน ส่วนการออกครั้งที่สองนั้น เป็นใบเตือนให้ชำระค่าปรับใบสั่ง ซึ่งในเอกสารครั้งที่สองนี้ จะไม่มีรูปถ่ายรถประกอบ แต่จะมีแค่ QR code บอกวิธีการชำระเงิน และมีลายเซ็นนายตำรวจระดับสารวัตรขึ้นไปเซ็นประกอบ ยืนยันว่าเป็นเอกสารทางราชการจริง 

“การออกใบสั่งจราจรอิเล็กทรอนิกส์จะต้องมีการลงระบบ PTM ซึ่งเป็นระบบตรวจสอบใบสั่งอิเล็กทรอนิกส์สำหรับประชาชน ผู้ได้รับใบสั่งจราจรสามารถตรวจสอบความถูกต้องว่าเป็นใบสั่งจริง โดยนำเลขที่ใบสั่ง ไปตรวจสอบได้ที่ https://ptm.police.go.th/eTicket ส่วนจุดสังเกตที่สำคัญ คือ บัญชีธนาคารปลายทางที่จะรับเงิน ต้องเป็นบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ – ค่าปรับจราจร” เท่านั้น ( ถ้าเป็นชื่อบัญชีส่วนบุคคลให้สงสัยว่าเป็นใบสั่งปลอม ) ขอให้ประชาชนผู้ที่ได้รับสั่ง ควรตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องก่อนทำธุรกรรมทางการเงินเพื่อเสียค่าปรับ จะได้ไม่หลงกลของมิจฉาชีพ” นางสาวรัชดา ย้ำ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

พลาสติกชีวภาพ (Bio Plastic) ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

 

คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง เสนอให้สามารถนำเอทานอลไปผลิตอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ นอกเหนือการเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพและการผลิตสุรา สอดรับหลักการ BCG Model ด้านกรมสรรพสามิตขานรับนโยบายหนุนอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ (Bio Plastic) รองรับการขยายตัวตามเทรนด์โลกในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตามยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาษีสรรพสามิต มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สร้างมาตรฐานสากล  เดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2566 รับทราบแนวทางส่งเสริมการนำเอทานอลไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นนอกเหนือจากการเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพและการผลิตสุรา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG อันจะเป็นการสร้างระบบนิเวศน์เพื่อกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชนและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสำหรับผู้ผลิตเอทานอลในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 กระทรวงการคลังจึงกำหนดแนวทางการส่งเสริม   การนำเอทานอลไปใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ ซึ่งจะทำให้เกิดการผลิตเม็ดพลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ในชั้นบรรยากาศ รวมถึงลดการใช้ปิโตรเคมีจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตเม็ดพลาสติก

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร พร้อมดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลัง โดยจะสนับสนุนให้นำเอทานอลไปผลิตพลาสติกชีวภาพได้ โดยกำหนดให้ผู้ใช้เอทานอลจะต้องใช้เอทานอลที่ผลิตในประเทศก่อนเป็นลำดับแรก

สำหรับแนวทางในการนำเอทานอลไปใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ สามารถสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. จัดทำมาตรฐานการผลิตเอทานอลภายในประเทศ ซึ่งมีสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำมาตรฐานการผลิตเอทานอลร่วมกับผู้เชี่ยวชาญภายในประเทศ ผู้ผลิตเอทานอลและผู้ใช้เอทานอล รวมถึงสนับสนุนการพัฒนามาตรฐานทางเทคนิคและการพัฒนาบุคลากรให้สามารถเป็นผู้ตรวจประเมินตามมาตรฐานที่กำหนด


2. กระทรวงการคลังจะแต่งตั้งคณะกรรมการ ประกอบด้วยผู้แทนภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาปริมาณการผลิตเอทานอลที่เป็นไปตามมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับร่วมกันระหว่างผู้ผลิตเอทานอลและผู้ใช้เอทานอลจากผู้ผลิตในประเทศล่วงหน้าในแต่ละปี ในกรณีที่ผู้ผลิตในประเทศไม่สามารถผลิตเอทานอลได้ตรงตามมาตรฐานและไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้เอทานอล จะกำหนดปริมาณการนำเข้าเอทานอลที่จะได้รับสิทธิอากรขาเข้าในอัตราพิเศษเพื่อนำมาใช้ในการผลิตพลาสติกชีวภาพ


3. ภาครัฐให้การสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรและผู้ผลิตเอทานอลในประเทศให้สามารถจำหน่าย เอทานอลในราคาที่สามารถแข่งขันกับเอทานอลนำเข้าได้อย่างยั่งยืน


4. กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรจะพิจารณาดำเนินการออกมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเอทานอลไปใช้ในการผลิตพลาสติกชีวภาพ

โดยคาดว่าในเบื้องต้นจะมีความต้องการใช้เอทานอลประมาณ 450 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งแนวทางการส่งเสริมเอทานอลชีวภาพในครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับเกษตรกรและผู้ผลิตเอทานอลในการลงทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพของเอทานอลในประเทศไทย รวมถึงเป็นการเพิ่มตลาดใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านการใช้เอทานอลในภาคการขนส่งจากนโยบายการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า” นายเอกนิติกล่าว  

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการผลิตพลาสติกจากวัตถุดิบปิโตรเลียม ประมาณ 5 ล้านตันต่อปี เพื่อใช้ในประเทศและส่งออก ซึ่งหากเปลี่ยนวัตถุดิบเป็นเอทานอลที่มาจากพืช เช่น อ้อย หรือมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นวัตถุดิบชีวภาพ (Bio-based) จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จำนวนมาก โดยกระบวนการปลูกพืช  เพื่อนำมาผลิตเอทานอลและนำไปใช้ในการผลิตเป็นพลาสติกชีวภาพเป็นกระบวนการผลิตที่มี Carbon Footprint ต่ำ สามารถดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 15 ล้านตันต่อปี นอกจากนี้ ในการผลิตพลาสติกชีวภาพ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมไม่จำเป็นต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครื่องจักร จึงเป็นการช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีโลก และหากประเทศไทยสามารถปรับกระบวนการผลิตเป็นพลาสติกชีวภาพได้ทั้งหมด 5 ล้านตัน จะช่วยสนับสนุนความต้องการเอทานอลมากกว่า 10,000 ล้านลิตรต่อปี ทำให้เกษตรกรและผู้ผลิตมีความมั่นใจในการลงทุนพัฒนาคุณภาพเอทานอลในประเทศให้มีมาตรฐานระดับสากล ส่งเสริมและสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งส่งผลดีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศจากโอกาสดังกล่าว ที่สำคัญยังเป็นการตอบสนองต่อฉันทามติสากลในการลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ และส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจ BCG อย่างแท้จริง

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS NEWS

“กรุงไทย-GC” ตอกย้ำองค์กรความยั่งยืน ตอบโจทย์ เป้าหมาย Together to Net Zero

“กรุงไทย-GC” ตอกย้ำองค์กรความยั่งยืน ตอบโจทย์ เป้าหมาย Together to Net Zero

Facebook
Twitter
Email
Print
“ธนาคารกรุงไทย” ร่วมกับ “พีทีที โกลบอล เคมิคอล” บริหารจัดการทางการเงินเชื่อมโยงเป้าหมาย ESG หรือ ESG Financial Solution ครอบคลุมการบริหารสภาพคล่อง ESG Investing และบริหารความเสี่ยงด้วย ESG-Linked Derivatives ช่วยลดต้นทุน ตอบโจทย์เป้าหมาย Together to Net Zero และการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน

นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมการเงินและการลงทุนตามแนวทาง การพัฒนาอย่างยั่งยืน ให้ตอบโจทย์ในลูกค้าและเหมาะสมทุกสภาวะตลาด รวมถึงสนับสนุนเป้าหมายการทำธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ล่าสุด ธนาคารร่วมมือกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC บูรณาการเครื่องมือทางการเงิน สนับสนุนธุรกรรมการลงทุนแบบยั่งยืนของ GC โดยพิจารณาเลือกลงทุนในสินทรัพย์เพื่อบริหารสภาพคล่องที่สอดคล้องกับหลักการ ความยั่งยืน (ESG Investing) และเข้าทำธุรกรรมบริหารความเสี่ยงทางการเงินที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายความยั่งยืน (ESG-Linked Derivatives) ในรูปแบบ ESG for ESG Solutions ซึ่งมีการออกแบบให้มีการวัดผล การดำเนินงานด้าน ESG เป็นเกณฑ์ในการลดต้นทุนของธุรกรรม และส่งต่อผลประโยชน์ที่ได้รับไปยังการลงทุนตามหลักการ ESG ต่อไป ถือเป็นความร่วมมือด้าน ESG ครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงการบริหารสภาพคล่องและการบริหารความเสี่ยง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้ทั้งสององค์กรบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนและบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ไปพร้อมกัน

“นับเป็นครั้งแรกที่ธนาคารนำความหลากหลายของเครื่องมือทางการเงิน มาเชื่อมโยงกับ เป้าหมาย ESG ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานของทั้งสององค์กรให้บรรลุเป้าหมายความยั่งยืนไปพร้อมกัน ตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดด้านบริการทางการเงินที่ยั่งยืน (ESG Financial Solutions) ทั้งด้านบริหารความเสี่ยงทางการเงินและการบริหารจัดการการลงทุน ด้วยการออกแบบและพัฒนาบริการ เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจของลูกค้าอย่างตรงจุด สนับสนุนการเติบโตที่ยั่งยืน ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ในข้อ 13 เรื่องการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ กรุงไทยเคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”

นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า GC มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทางการเงิน การบริหารความเสี่ยงและมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามกรอบเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) ภายใต้สมดุล 3 มิติ คือ สิ่งแวดล้อม สังคม และการดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาล (ESG)

ในครั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำแนวทางธุรกิจยั่งยืนมาปรับใช้กับนโยบายการลงทุนเพื่อบริหารสภาพคล่อง โดยจะเลือกสินทรัพย์ลงทุนที่สอดคล้องตามหลักการของ ESG และมีความเสี่ยงที่เหมาะสม นอกจากนี้ ในการทำ ESG-Linked Derivatives กับธนาคารกรุงไทยเพื่อการบริหารความเสี่ยงทางการเงินนั้น ยังมีการกำหนดเป้าหมายด้าน ESG ที่บริษัทมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ ซึ่งส่วนลดต้นทุนทางการเงินดังกล่าว จะนำมาสนับสนุนนโยบายการลงทุนแบบ ESG Investing ต่อไป เป็นการบูรณาการเพื่อนำหลักการของ ESG มาปรับใช้กับการบริหารจัดการทางการเงินในทุกๆ ด้าน ส่งเสริมแนวทางของบริษัทในการเติบโตแบบยั่งยืน

Krungthai Bank and GC solidify their status as sustainable organizations with ESG financial solution addressing ‘Together to Net Zero’ mission

Krungthai Bank and PTT Global Chemical have joined forces to develop a financial management solution aimed at addressing environmental, social, and governance (ESG) targets, or an ESG financial solution, in which liquidity and risk are managed through ESG-linked derivatives. This collaborative effort is expected to reduce costs and contribute to addressing the net-zero target under the strategy “Together to Net Zero” and the sustainable business agenda.

Rawin Boonyanusasna, Senior Executive Vice President of the Global Markets Group at Krungthai Bank, said that Krungthai Bank is committed to developing financial and investment innovations that not only meet customer needs in different market conditions but also support sustainable development and the integration of ESG principles into business practices. In line with this commitment, the bank has recently partnered with PTT Global Chemical Public Company Limited (GC) to use financial instruments to support GC’s sustainable investing agenda by considering investing in assets that align with ESG investing for liquidity management purposes and entering into ESG-linked derivative agreement, which is considered an ESG for ESG solution. It is designed to measure the performance of ESG operations and pass on the benefits received to ESG investing. This is the first time that the ESG agenda is integrated into liquidity and risk management, and it is a crucial step that will support both organizations to achieve sustainability goals and net-zero targets together.

Rawin stated, “This marks the first time Krungthai Bank has utilized a diverse range of financial instruments to address ESG objectives. It is a significant milestone in propelling both organizations toward sustainable development goals. Moreover, it reinforces Krungthai Bank’s position as a leading provider of ESG financial solutions, both for liquidity and investment management, that effectively cater to the specific business needs of its customers, while addressing the United Nations’ Sustainable Development Goal 13: Climate Action. All of this aligns with our vision of ‘Growing Together for Sustainability.'”

Pattaralada Sa-ngasan, Executive Vice President of Finance and Accounting at PTT Global Chemical Public Company Limited (GC) said that the company focuses on sound financial and risk management practices, along with its commitment to integrating the United Nations’ Sustainable Development Goals into its operations, aiming to achieve balance across three dimensions: environmental, social, and governance (ESG). To this end, the company has adopted a sustainable business approach in its investment policy, strategically investing in assets that align with ESG principles and fall within its risk appetite. As part of the ESG-linked derivative deal with Krungthai Bank, specific ESG targets have been established, and the fee discounts received upon reaching these targets will be allocated towards the company’s ESG investing policy. This showcases the company’s comprehensive integration of ESG principles across all aspects of financial management, which aligns with its sustainable growth strategy.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารกรุงไทย

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News