Categories
FEATURED NEWS

ACT จี้ ปปง. ทวงคืน PEP สกัดโกง นักการเมือง

ACT ทวงคืน “มาตรการ PEP” ป้องกันฟอกเงินบุคคลการเมือง

ความเคลื่อนไหวล่าสุด ACT ร้อง กมธ.เร่งตรวจสอบ

เชียงราย, 17 เมษายน 2568 – องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ออกมาทวงถามถึงมาตรการ PEP (Politically Exposed Persons) ที่ถูกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยกเลิกตั้งแต่ปี 2563 ACT ย้ำชัดให้รีบนำกลับมาบังคับใช้โดยเร็วที่สุดภายในกลางปีนี้ เพื่อป้องกันการฟอกเงินของนักการเมืองและบุคคลระดับสูง

จุดเริ่มต้นของปัญหาการยกเลิกมาตรการ PEP

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT เปิดเผยว่า มาตรการ PEP เคยถูกบังคับใช้เมื่อปี 2556 เพื่อป้องกันการฟอกเงินของบุคคลสำคัญ เช่น นักการเมือง เจ้าหน้าที่ระดับสูง ศาล และทหาร ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่พำนักในไทย แต่มาตรการนี้กลับถูกยกเลิกโดย ปปง. ในปี 2563 ส่งผลให้การตรวจสอบทางการเงินของบุคคลกลุ่มนี้ลดประสิทธิภาพลง

ACT เรียกร้อง กมธ.ฯ ให้เร่งตรวจสอบ ปปง.

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันได้ยื่นเรื่องไปยัง กมธ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด หลังจากที่ กมธ.ฯ ติดต่อกับ ปปง. ได้รับคำยืนยันว่า มาตรการ PEP ถูกยกเลิกไปจริงตั้งแต่ปี 2563 โดย ปปง. รับปากว่าจะนำกลับมาบังคับใช้ภายในกลางปี 2568 อย่างแน่นอน

ผลกระทบจากการขาดมาตรการตรวจสอบ

การที่มาตรการ PEP หายไป ส่งผลให้ธนาคารและธุรกิจต่างๆ ไม่มีหน้าที่ต้องตรวจสอบธุรกรรมการเงินของบุคคลสำคัญชาวไทย เหลือเพียงการตรวจสอบบุคคลต่างชาติเท่านั้น ส่งผลให้เกิดช่องโหว่ในการควบคุมการฟอกเงินและลดความโปร่งใสในการตรวจสอบการคอร์รัปชัน

ช่องโหว่ของมาตรการ PEP ในอดีต

ในช่วงปี 2556-2563 มาตรการ PEP ถูกใช้งานแต่กลับไม่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ สาเหตุสำคัญมาจากการขาดการนิยามบุคคลเป้าหมายอย่างชัดเจน รวมถึงเจ้าหน้าที่เกรงกลัวอำนาจทางการเมือง จนไม่กล้าตรวจสอบอย่างจริงจัง ส่งผลให้บุคคลระดับสูงหลุดพ้นจากการตรวจสอบอย่างง่ายดาย

การปรับปรุงมาตรการใหม่ของ ปปง.

นายมานะ กล่าวเพิ่มเติมว่า ACT มั่นใจว่าการนำมาตรการ PEP กลับมาใช้ ควบคู่ไปกับการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินโดย ป.ป.ช. และการเสียภาษีของกรมสรรพากร จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับและป้องกันการฟอกเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการคอร์รัปชันในกลุ่มนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง

สถิติการฟอกเงินและอาชญากรรมทางการเงินของไทย

รายงานล่าสุดจากบริษัท Secretariat เผยแพร่ดัชนีความเสี่ยงด้านอาชญากรรมทางการเงิน ประจำปี 2567 พบว่า ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 127 จาก 177 ประเทศ ได้คะแนนเพียง 2.53 คะแนน อยู่ในกลุ่มประเทศที่เรียกว่า Reactive Reformers ซึ่งมีจุดอ่อนสำคัญ คือ

  1. การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ
  2. กรอบการกำกับดูแลที่ไม่ชัดเจน
  3. ความโปร่งใสทางการเงินต่ำ
  4. มาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่ล้าสมัย

รายงานฉบับนี้ย้ำถึงความจำเป็นที่ไทยต้องเร่งดำเนินการปฏิรูปและฟื้นมาตรการที่เข้มงวดโดยเร็ว เพื่อแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชันและการฟอกเงินอย่างมีประสิทธิภาพ

จุดวิเคราะห์สำคัญที่ต้องดำเนินการต่อ

การนำมาตรการ PEP กลับมาใช้อย่างจริงจัง จำเป็นต้องมีการนิยามกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ธนาคารและธุรกิจที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามมาตรการนี้อย่างเคร่งครัด ACT ยืนยันว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณแต่อย่างใด แต่ต้องใช้ความจริงจังในการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะ ปปง. และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อขจัดช่องโหว่ที่เกิดขึ้นในอดีตให้หมดไปโดยเร็วที่สุด

มาตรการ PEP ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความโปร่งใสและการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ หากดำเนินการได้สำเร็จ จะช่วยยกระดับการป้องกันการฟอกเงินของไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากลต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
  • รายงานของบริษัท Secretariat เรื่องดัชนีความเสี่ยงด้านอาชญากรรมทางการเงินและเศรษฐกิจ ปี 2567
  • สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ตึก สตง. ถล่ม ACT ชี้พิรุธ ชนะประมูลแต่ทำไมไร้ชื่อ

ACT เรียกร้องรัฐเร่งปฏิรูปความโปร่งใส หลังพบข้อพิรุธประมูลก่อสร้างอาคาร สตง. ที่พังถล่มจากแผ่นดินไหว

เชียงราย, 4 เมษายน 2568 – องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT นำโดยนายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กร ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อความไม่ชอบมาพากลในโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หลังเกิดเหตุอาคารถล่มจากแรงแผ่นดินไหวในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของรัฐและความเชื่อมั่นของประชาชนเป็นอย่างมาก

ข้อพิรุธสำคัญที่ ACT เปิดเผยต่อสื่อมวลชน คือ การตรวจสอบข้อมูลจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) พบว่า บริษัท ITD-EREC ซึ่งปรากฏชื่อเป็นผู้ชนะการประมูลในโครงการก่อสร้างอาคาร สตง. ไม่ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ยื่นเสนอราคาหรือรายชื่อบริษัทที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติและเทคนิคในระบบ แต่กลับมีชื่อในประกาศผลผู้ชนะอย่างเป็นทางการ

ข้อสงสัยต่อระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

นายมานะระบุว่า ความผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากความผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล อย่างไรก็ตาม รัฐจำเป็นต้องชี้แจงต่อสาธารณะโดยเร็ว เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับความสูญเสียของภาครัฐ และกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน

ทั้งนี้ ยังมีข้อสังเกตต่อระบบเว็บไซต์ e-GP ซึ่งเป็นช่องทางหลักของการเปิดเผยข้อมูลโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ว่ายังคงมีความซับซ้อน ข้อมูลไม่ครบถ้วน และยากต่อการเข้าถึงสำหรับประชาชนทั่วไป

ACT Ai ระบบฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงการตรวจสอบสาธารณะ

ACT ยังได้นำเสนอระบบ ACT Ai หรือ “ระบบฐานข้อมูลจับโกงจัดซื้อจัดจ้าง” ซึ่งพัฒนาโดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อรวบรวมข้อมูลกว่า 42 ล้านโครงการจัดซื้อจัดจ้าง และข้อมูลผู้ค้า 1.5 ล้านราย โดยมุ่งเน้นการเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานรัฐกับนิติบุคคลในรูปแบบที่สามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ได้

ที่ผ่านมา ระบบ ACT Ai มีบทบาทในการสนับสนุนภาคประชาชนและสื่อมวลชนให้สามารถสืบค้นข้อมูลในหลายกรณี เช่น คดีกำนันนก, กรณีเสาไฟกินรี, โครงการจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์สาธารณะ เช่น เครื่องกรองน้ำและโซล่าเซลล์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงโครงการที่ถูกปล่อยทิ้งร้างหลังงบประมาณถูกเบิกจ่าย

ข้อเสนอ 3 มาตรการปฏิรูปความโปร่งใส

เพื่อแก้ไขปัญหาในเชิงระบบ นายมานะ ได้เสนอแนวทางปฏิรูปกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ผ่าน 3 มาตรการหลักดังนี้

  1. กำหนดมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล – รัฐและผู้รับเหมาต้องเปิดเผยข้อมูลโครงการให้ชัดเจน ครบถ้วน ตรวจสอบได้ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย พร้อมเปิดเผยทันทีเมื่อต้องการใช้ข้อมูล
  2. บังคับใช้ข้อตกลงคุณธรรมในทุกโครงการ – ให้นำหลักการข้อตกลงคุณธรรมที่มีมาตรฐานสากลมาใช้กับทุกโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง หรือโครงการพิเศษ เช่น โครงการ PPP และ EEC โดยไม่ยกเว้น
  3. เพิ่มจำนวนโครงการที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงคุณธรรม – โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจคที่ใช้เงินภาษีจำนวนมาก และมีผลกระทบต่อประชาชน ควรมีหน่วยงานอิสระเข้าร่วมสังเกตการณ์ตลอดทุกขั้นตอน

ปัญหาเชิงโครงสร้างและข้อจำกัดในข้อตกลงคุณธรรม

แม้ว่าข้อตกลงคุณธรรมจะสามารถประหยัดงบประมาณแผ่นดินได้แล้วกว่า 77,000 ล้านบาท แต่ยังคงมีข้อจำกัดสำคัญ ได้แก่

  • โครงการที่เข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรมมีขนาดเล็กลงจากเดิมมาก โดยจากเดิมที่ครอบคลุมโครงการรวมมูลค่า 4-5 แสนล้านบาทต่อปี ปัจจุบันเหลือเพียง 50,000 ล้านบาท
  • หน่วยงานเจ้าของโครงการบางแห่งเลือกถอนตัวจากการเข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรม หรือหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูล ด้วยการตีความกฎหมายเฉพาะ
  • โครงการ PPP และ EEC ใช้ข้อตกลงคุณธรรมในเวอร์ชันที่ตนเองกำหนด โดยไม่มีการกำกับจากหน่วยงานกลาง ทำให้ไม่สอดคล้องกับหลักสากล

เสียงสะท้อนจากสังคม ความเห็นสองด้านต่อมาตรการตรวจสอบ

ฝ่ายสนับสนุนการปฏิรูป เห็นว่า มาตรการที่ ACT เสนอมีความชัดเจน เป็นรูปธรรม และสามารถนำไปใช้ได้ทันทีหากรัฐมีเจตจำนงทางการเมืองอย่างจริงจัง โดยเฉพาะระบบฐานข้อมูล ACT Ai ซึ่งมีศักยภาพเป็นเครื่องมือทางสาธารณะที่ทรงพลังในการสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างทั่วประเทศ

ฝ่ายที่มีข้อกังวล ชี้ว่าการเปิดเผยข้อมูลมากเกินไปโดยไม่ควบคุมอาจส่งผลให้เกิดการตีความผิด หรือกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ทำให้ผู้บริหารโครงการทำงานอย่างระมัดระวังจนขาดประสิทธิภาพ และอาจทำให้กระบวนการพัฒนาล่าช้า

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน คือหลักสำคัญที่ต้องมีในทุกโครงการที่ใช้เงินภาษีประชาชน

ข้อเท็จจริงและสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่บันทึกในระบบ ACT Ai: มากกว่า 42,000,000 โครงการ
  • จำนวนผู้ค้าหรือนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องในระบบ: มากกว่า 1,500,000 ราย
  • มูลค่างบประมาณที่ข้อตกลงคุณธรรมช่วยประหยัดได้: 77,000 ล้านบาท (ข้อมูลจาก ACT ณ ปี 2567)
  • มูลค่าโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐโดยรวมในแต่ละปี (เฉลี่ย): 4.5-5 แสนล้านบาท
  • จำนวนโครงการที่เข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรมในปีล่าสุด: ไม่ถึง 50,000 ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) – www.anticorruption.in.th
  • เว็บไซต์โครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) – www.gprocurement.go.th
  • ระบบ ACT Ai – www.actai.co
  • รายงานประจำปี 2567 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
  • รายงานติดตามการใช้งบประมาณรัฐ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ตึกถล่ม ACT ชี้พิรุธ สตง. ยันโปร่งใส

อาคาร สตง. ถล่มจากแผ่นดินไหว ACT ชี้ข้อผิดสังเกตการก่อสร้าง สตง. ยันโปร่งใสตามข้อตกลงคุณธรรม

ประเทศไทย, 30 มีนาคม 2568 – เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 13:20 น. ส่งผลกระทบรุนแรงถึงประเทศไทย โดยเฉพาะอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างด้วยงบประมาณ 2,136 ล้านบาท พังถล่มลงมาทั้งหมด สร้างความเสียหายอย่างหนัก และกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณภาพการก่อสร้างและการบริหารจัดการโครงการ โดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้ออกมาเปิดเผยข้อสังเกตเกี่ยวกับความล่าช้าและปัญหาการก่อสร้าง ขณะที่ สตง. ยืนยันว่าได้ดำเนินการอย่างโปร่งใสภายใต้ “โครงการข้อตกลงคุณธรรม”

ความเสียหายจากแผ่นดินไหวและสถานการณ์ล่าสุด

เหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ส่งผลให้อาคาร สตง. แห่งใหม่ ซึ่งมีความสูง 30 ชั้น และตั้งอยู่บนพื้นที่ 10 ไร่ 3 งาน ถล่มลงมาทั้งหมด โดยศูนย์นเรนทร สถานบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) รายงานเมื่อเวลา 15:07 น. วันที่ 29 มีนาคม 2568 ว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 50 ราย ซึ่งถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว ผู้เสียชีวิต 1 ราย และยังมีผู้ติดอยู่ในซากอาคารจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ทราบจำนวนแน่ชัด ตามข้อมูลจากหัวหน้าคนงานในพื้นที่ ขณะนี้หน่วยกู้ภัยและทีมวิศวกรกำลังเร่งปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง โดยแข่งกับเวลาเพื่อลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียเพิ่มเติม

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2568 พร้อมระบุว่า ยังคงตรวจพบสัญญาณชีพของผู้สูญหาย 15 ราย ในระดับความลึกประมาณ 3 เมตรใต้ซากอาคาร และได้สั่งระดมเครื่องจักรหนักเพื่อเร่งเคลื่อนย้ายเศษซาก คาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 48 ชั่วโมง

ข้อสังเกตจากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ACT)

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT เปิดเผยว่า องค์กรได้ร่วมกับ สตง. ลงนามใน “โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact)” เพื่อส่งผู้สังเกตการณ์อิสระเข้าร่วมตรวจสอบความโปร่งใสในกระบวนการก่อสร้างอาคารแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมของ ACT เกิดขึ้นหลังจากที่ สตง. ได้คัดเลือกผู้รับเหมา ผู้ควบคุมงาน และจัดทำข้อกำหนดเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) รวมถึงแบบก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว ทำให้ผู้สังเกตการณ์จาก ACT ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำหนด TOR หรือการคัดเลือกผู้รับเหมาในขั้นต้น

นายมานะระบุว่า ตลอดระยะเวลาการสังเกตการณ์ พบข้อผิดสังเกตหลายประการ เช่น การก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนด ผู้รับเหมามีพฤติกรรมหยุดงานเป็นช่วง ๆ โดยเฉพาะในช่วงแรกของโครงการ และเมื่อกลับมาดำเนินการต่อก็มีความล่าช้าอย่างเห็นได้ชัด คณะผู้สังเกตการณ์ได้ทักท้วงถึงปัญหาดังกล่าวต่อ สตง. อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อเดือนมกราคม 2568 สตง. มีท่าทีเตรียมยกเลิกสัญญากับผู้รับเหมา เนื่องจากความล่าช้าที่กระทบต่อความคืบหน้าของโครงการ

“ผู้สังเกตการณ์จาก ACT มีหน้าที่ตรวจสอบการบริหารสัญญาก่อสร้างว่าสอดคล้องกับแบบและเงื่อนไขในสัญญาหรือไม่ หากมีการแก้ไขแบบหรือเปลี่ยนแปลงวัสดุ สตง. และผู้ควบคุมงานต้องแจ้งให้เราทราบ แต่การควบคุมคุณภาพทางวิศวกรรม เช่น การป้องกันการล่าช้า หรือการเปลี่ยนวัสดุที่อาจกระทบต่อโครงสร้าง เป็นความรับผิดชอบของ สตง. และบริษัทผู้ควบคุมงาน ไม่ใช่ ACT” นายมานะกล่าว

นายมานะยังชี้ว่า “โครงการข้อตกลงคุณธรรม” เป็นเครื่องมือสากลที่ ACT นำมาจากองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) และเริ่มใช้ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2558 เพื่อตรวจสอบความโปร่งใสในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยปัจจุบันมีผู้สังเกตการณ์อิสระ 252 คน ร่วมตรวจสอบ 178 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2 ล้านล้านบาท ช่วยประหยัดงบประมาณได้ 77,548 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.7 อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา โครงการที่รัฐเลือกเข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรมมีขนาดและความสำคัญลดลงเหลือไม่ถึงหนึ่งในสาม ซึ่งนายมานะมองว่าเป็นการสูญเสียโอกาสในการใช้ทรัพยากรของชาติอย่างคุ้มค่า

การชี้แจงจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)

นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษก สตง. ให้สัมภาษณ์สั้น ๆ ทางโทรศัพท์กับสำนักข่าวอิศราว่า ขณะนี้ผู้บริหาร สตง. อยู่ระหว่างลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลความเสียหาย และจะมีการหารือรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป โดยยืนยันว่า ที่ผ่านมา สตง. ได้ตรวจรับงานก่อสร้างเป็นงวด ๆ ไปแล้วประมาณร้อยละ 20-25 เท่านั้น และการดำเนินโครงการนี้อยู่ภายใต้กรอบความโปร่งใสตาม “โครงการข้อตกลงคุณธรรม”

สตง. ชี้แจงว่า โครงการก่อสร้างอาคารแห่งใหม่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2550 โดยได้รับอนุมัติงบประมาณเบื้องต้นจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวม 1,832,906,600 บาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง 1,826,950,000 บาท และค่าควบคุมงาน 5,956,600 บาท ต่อมาในปี 2563 สตง. ขอปรับเปลี่ยนรายการและเพิ่มงบประมาณเป็น 2,636,800,000 บาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง 2,560,000,000 บาท และค่าควบคุมงาน 76,800,000 บาท ซึ่งได้รับอนุมัติจาก ครม. เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563

ผู้รับเหมาก่อสร้างคือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด) ด้วยวงเงิน 2,136 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลาง 386.15 ล้านบาท ส่วนผู้ควบคุมงานคือ กิจการร่วมค้า PKW (บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด, บริษัท ว. และสหาย คอนซัลแตนส์ จำกัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้น จำกัด) ด้วยวงเงิน 84,560,600 บาท โดยมีการขยายระยะเวลาก่อสร้างจากกำหนดเดิม 1,080 วัน (15 มกราคม 2564 – 31 ธันวาคม 2566) ออกไปอีก 148 วัน เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และการปรับแก้แบบก่อสร้าง

สตง. เน้นย้ำว่า โครงการนี้ได้ยึดหลักความโปร่งใสตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยมีการเปิดเผยข้อมูลทุกขั้นตอน และดำเนินการจัดหาผู้รับเหมาอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม

ความเป็นมาของโครงการและเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง

โครงการก่อสร้างอาคาร สตง. แห่งใหม่เริ่มวางแผนมาตั้งแต่ปี 2550 โดยมีเป้าหมายเพื่อย้ายสำนักงานจากที่ตั้งเดิมไปยังอาคารทันสมัยที่มีพื้นที่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน ตัวอาคารสูง 30 ชั้น ตั้งอยู่ใกล้สถานี MRT กำแพงเพชร และสถานีกลางบางซื่อ มีเนื้อที่ 10 ไร่ 3 งาน ด้วยงบประมาณเริ่มต้น 1,800 ล้านบาท ซึ่งต่อมาเพิ่มเป็น 2,560 ล้านบาทในปี 2563 และมีการขอเพิ่มงบควบคุมงานอีก 9,718,716 บาท ในปี 2567

ระหว่างการก่อสร้าง โครงการเผชิญปัญหาหลายครั้ง เช่น การหยุดงานจากสถานการณ์โควิด-19 และเหตุเครนถล่มเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งทำให้คนงานชาวกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 2 ราย ส่งผลให้มีการระงับการก่อสร้างชั่วคราวเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย

โครงสร้างผู้รับเหมาและสถานะทางการเงิน

จากการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี ประกอบด้วย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างชั้นนำของไทย และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2561 ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท

บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป (จีน) ถือหุ้น 49% ส่วนผู้ถือหุ้นไทย ได้แก่ นายโสภณ มีชัย (40.80%), นายประจวบ ศิริเขตร (10.20%) และนายมานัส ศรีอนันท์ (0.00%, 3 หุ้น) งบการเงินล่าสุดปี 2566 ระบุว่า บริษัทมีสินทรัพย์รวม 2,804,535,819 บาท หนี้สิน 2,952,877,175 บาท และขาดทุนสุทธิ 199,669,872 บาท ซึ่งสะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่น่าเป็นห่วง

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

กรณีการถล่มของอาคาร สตง. ได้จุดกระแสข้อถกเถียงระหว่างสองมุมมองหลัก โดยฝ่าย ACT ชี้ถึงปัญหาการก่อสร้างที่ล่าช้าและขาดประสิทธิภาพ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการบริหารจัดการที่ไม่รัดกุมหรือการเลือกใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน ขณะที่ สตง. ยืนยันว่าได้ดำเนินการตามหลักการโปร่งใส และการถล่มอาจเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ความรุนแรงของแผ่นดินไหวที่เกินขีดความสามารถของโครงสร้าง

จากมุมมองที่เป็นกลาง การวิพากษ์วิจารณ์ของ ACT มีน้ำหนักในแง่ของการชี้ให้เห็นถึงความล่าช้าและการหยุดงาน ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาการบริหารสัญญาหรือการควบคุมงานที่ไม่เข้มงวดเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดที่ ACT ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทำ TOR และคัดเลือกผู้รับเหมา อาจทำให้ข้อมูลที่นำเสนอไม่ครอบคลุมทุกมิติ ในทางกลับกัน การชี้แจงของ สตง. ที่ระบุถึงความโปร่งใสและการประหยัดงบประมาณจากการประมูลที่ต่ำกว่าราคากลาง มีความสมเหตุสมผลในแง่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง แต่คำถามเรื่องคุณภาพโครงสร้างยังคงต้องการการตรวจสอบเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม เพื่อยืนยันว่าการถล่มเกิดจากแผ่นดินไหวเพียงอย่างเดียว หรือมีปัจจัยอื่น เช่น การออกแบบหรือวัสดุที่ไม่เหมาะสมร่วมด้วย

ทั้งนี้ การหาข้อสรุปที่ชัดเจนจำเป็นต้องรอผลการสอบสวนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ควรเร่งตัดสินว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันการกล่าวโทษที่อาจขาดหลักฐานรองรับ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ความเสียหายจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า ตั้งแต่ปี 2550-2567 ประเทศไทยเผชิญแผ่นดินไหวที่มีผลกระทบในประเทศ 12 ครั้ง ส่วนใหญ่มีศูนย์กลางในเมียนมาและลาว โดยเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดก่อนหน้านี้เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 (ขนาด 6.3 ริกเตอร์) ในจังหวัดเชียงราย สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน 1,200 หลัง และวัด 50 แห่ง (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, รายงานภัยพิบัติ 2567)
  2. งบประมาณเมกะโปรเจกต์ในไทย: สำนักงบประมาณระบุว่า ในช่วงปี 2558-2567 โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท มีทั้งสิ้น 245 โครงการ รวมมูลค่า 3.5 ล้านล้านบาท โดยร้อยละ 15 เผชิญปัญหาความล่าช้า (ที่มา: สำนักงบประมาณ, รายงานงบประมาณแผ่นดิน 2567)
  3. การทุจริตในโครงการภาครัฐ: Transparency International รายงานดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของไทยในปี 2566 อยู่ที่ 35 คะแนน จาก 100 คะแนน (อันดับ 101 จาก 180 ประเทศ) สะท้อนถึงความท้าทายในการป้องกันการทุจริตในภาครัฐ (ที่มา: Transparency International, CPI 2023)

สรุป

เหตุการณ์ถล่มของอาคาร สตง. ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังจุดประเด็นถกเถียงถึงความโปร่งใสและคุณภาพการก่อสร้าง ขณะนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันค้นหาความจริง เพื่อให้ได้คำตอบที่ชัดเจนและป้องกันเหตุซ้ำรอยในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
  • สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • สำนักงบประมาณ
  • Transparency International
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

จับตา 10 คดี ‘คอร์รัปชัน’ แห่งปี 2023 ACT เสนอรัฐปฏิรูป “ตำรวจ-ราชทัณฑ์-ป.ป.ช.”

 

เมื่อเร็วๆ นี้ เพจองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันและMana Nimitmongkol  ได้เผยแพร่บทความเขียนโดยนายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT  มีสาระสำคัญความว่า “โกงไม่อายใคร ท้าทายไม่เกรงกลัว” ปรากฏชัดมากขึ้นในปีที่ผ่านมาโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมราชทัณฑ์และ ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานที่น่ากังขา ขณะที่ตำรวจ ป.ป.ป. ก้าวมาเป็นความหวังใหม่ พฤติกรรมฉ้อฉลแบบย้อนยุคของนักการเมืองกำลังหวนคืน กลไกรัฐหลงอำนาจและซื้อขายได้กลายเป็นโอกาสให้เอกชนบางรายเอาเปรียบสังคม ดังปรากฏพบความเกี่ยวข้องกับ 10 คดีคอร์รัปชันหรือกรณีคาบเกี่ยวกับการทุจริตในรอบปี 2566  ประกอบด้วย

  1. คดีส่วยสินบนกรมอุทยานแห่งชาติ อดีตอธิบดีถูกจับพร้อมหลักฐานซองเงินค่าวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งและค่ารักษาเก้าอี้ เงินส่วย เงินทอน และกระเช้าของขวัญจำนวนมาก กรมนี้มีงบประมาณปีละ 1 หมื่นล้านบาท บุคลากร 4 หมื่นคน ดูแลผืนป่า 73.61 ล้านไร่
  2. คดีทุนจีนสีเทา อาชญากรรมข้ามชาติมีเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองสนับสนุน ช่วยเหลือ ปกป้อง นำไปสู่การเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวอื่นๆ เช่น กรณีตู้ห่าวและผับจินหลิง กรณีนายหยู ชิน ซี ที่ตั้งสมาคมเถื่อนเป็นช่องทางจัดหาวีซ่าให้คนจีนเข้าประเทศมากถึง 7 พันคนในช่วงปี 2563 – 2564 กรณีสารวัตรซัว นายตำรวจพัวพันบ่อนออนไลน์เครือข่ายใหญ่ กรณีบ่อนมินนี่และเว็บพนันออนไลน์888 ที่มีนายพลตำรวจสายไอทีมีเอี่ยว จนสังคมสงสัยว่า การที่แก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ระบาดเต็มบ้านเต็มเมืองได้เพราะนายตำรวจหลายคนไปรับเงินจากขบวนการจีนเทาด้วย ใช่หรือไม่
  3. คดีโกดังพลุเถื่อนระเบิดที่บ้านมูโน๊ะ นราธิวาส ทั้งที่ตั้งอยู่กลางตลาดและเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษของทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง กอ.รมน. ศอ.บต. จึงเชื่อว่างานนี้ต้องมีคนรับส่วยกินสินบนค่าปิดตามองไม่เห็นแน่นอน ล่าสุดเจ้าของโกดังต้องคดี แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐคนใดถูกแจ้งข้อหา คนตาย 11 ราย บาดเจ็บ 389 ราย เกิดความเสียหายต่อบ้านเรือน 649 หลัง โรงเรียน 4 หลัง ยานพาหนะของชาวบ้านอีกจำนวนมาก แม้ทางการระบุมูลค่าความเสียหายไวเพียง 146 ล้านบาท แต่ค่าเสียหายจริงและความบอบช้ำสำหรับชาวบ้านแล้วประเมินค่ามิได้
  4. คดีดัง 2 ส.ว. กับพฤติกรรมใช้อำนาจฉ้อฉล ได้แก่ คดี ส.ว. ซุกกิ๊ก ก่อเรื่องฉาวซ้อมทหารรับใช้หญิงยศสิบโท สะท้อนการเอาเปรียบหลวงของเครือข่ายผู้มีอำนาจในวงการทหาร ตำรวจและการเมืองที่ให้การอุปถัมภ์พวกพ้องอย่างน่ารังเกียจ ถึงปัจจุบันเรื่องเงียบหายไป ส.ว. คนดังไม่มีความผิด และอีกคดีคือ ส.ว. ชื่อดังถูกอัยการสั่งฟ้อง 6 ข้อหาพัวพันเครือข่ายอาชญากรข้ามชาติและธุรกิจมืดชายแดนพม่าช่วงแรกที่เกิดคดี ประชาชนให้ความสนใจติดตามเป็นอย่างมาก นอกจากตำรวจแล้วยังมีหน่วยงานอื่นเข้าร่วมสอบสวนมากเป็นประวัติการณ์ เช่น ป.ป.ช. สตง. ดีเอสไอ กรมสรรพากร ป.ป.ง. ป.ป.ท. และกระทรวงมหาดไทย
  5. คดีกำนันนก นักธุรกิจท้องถิ่นผู้มีอิทธิพล ช่วง 12 ปี ได้งานจากรัฐ 1,200 โครงการ มูลค่าราว 7 พันล้านบาท คดีนี้พัวพันการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ รถบรรทุกน้ำหนักเกิน ธุรกิจสีเทา ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง การฟอกเงิน และเครือข่ายบ้านใหญ่ในจังหวัด
  6. คดีหมูแช่แข็งเถื่อน ลักลอบนำเข้าต่อเนื่องมา 3 ปีนับหมื่นตู้คอนเทนเนอร์ รัฐขาดรายได้จากภาษีไม่น้อยกว่า 2.5 พันล้านบาท แต่กระทบต่อความอยู่รอดของผู้เลี้ยงหมูและอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูอย่างรุนแรงชัดเจน คดีนี้พัวพันระหว่างพ่อค้านำเข้า ห้างค้าส่ง โรงงานแปรรูปอาหาร แต่ที่หลบในมุมมืดคือ นักการเมืองใหญ่อดีต รมช. สองกระทรวง กับอีก 3 หน่วยงานรัฐคือ กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ กรมประมง  
  7. กรณีลูกเขยนายชาดา รมช. มหาดไทยถูกจับเพราะเรียกรับเงิน 6 แสนบาทจากผู้รับเหมาฯ งานนี้สังคมอยากรู้ว่า รัฐบาลจะกำจัดผู้มีอิทธิพลหรือกำจัดคู่แข่งของผู้มีอิทธิพลได้ก่อนกัน
  8. คดีเสาไฟกินรี และโครงการประเภท “คิด ทำ ทิ้ง” ทั่วประเทศ เช่น เครื่องออกกำลังกาย เครื่องกรองน้ำและโซล่าเซลล์ ลานออกกำลังกายชุมชน เครื่องผลิตน้ำประปา เสาไฟโซล่าเซลล์ ฯลฯ คดีเสาไฟกินรีเฉพาะที่ อบต. ราชาเทวะเพียงแห่งเดียว จัดซื้อไปแล้ว 871 ล้านบาท ทำให้ประเมินว่าทั่วประเทศมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท แต่มากเท่าไหร่นั้นยากจะระบุชัด เพราะจัดซื้อโดยหน่วยราชการและ อปท. ทั่วประเทศ โดยใช้ชื่อโครงการจัดซื้อหรือเรียกชนิดสินค้าแตกต่างกันอย่างมาก จนปัจจุบันการจัดซื้อเสาไฟกินรียังทำได้ไม่มีข้อห้าม คดีที่ ป.ป.ช. สอบสวนตั้งแต่ปี 2558 ยังไร้บทสรุป สำนักงบประมาณ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ต่างไม่มีข้อกำหนดใดออกมา
  9. กรณีส่วยทางหลวง สติ๊กเกอร์และขบวนการรีดไถรถบรรทุก มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งตำรวจทางหลวง กรมทางหลวง ตำรวจท้องที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จนถึงอัยการจังหวัดบางคน
  10. กรณีโกงนมโรงเรียน (งบประมาณ 4 หมื่นล้านบาท) อาหารกลางวันเด็ก (งบประมาณ 2.85 หมื่นล้านบาท) ตำราเรียน (งบประมาณ 5.18 พันล้านบาท)

ทั้งนี้ นายมานะระบุว่า ทุกเรื่องมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของทุกคนจึงขอเชิญชวนประชาชนช่วยกันเฝ้าระวัง สอดส่อง เพราะจากคดีดังกล่าวสะท้อนภาพชัดเจนว่า ห่วงโซ่คอร์รัปชันโกงกินร่วมกันระหว่างข้าราชการ-นักการเมือง-กลุ่มทุนมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ยิ่งการที่คนของรัฐกลับมีส่วนร่วมในห่วงโซ่คอร์รัปชันเสียเอง ยิ่งจำเป็นต้องอาศัยเจตน์จำนงของผู้นำประเทศเข้มงวด เคี่ยวกรำ กำราบ เพราะหากก้าวข้ามคอร์รัปชันไม่ได้ รัฐบาลคิดทำอะไรก็ยากจะสำเร็จ เพราะคนจ้องจะคดโกงมีมาก จนสังคมไม่ไว้วางใจ ไม่ร่วมมือ

 

 “เพื่อหยุดวิกฤตนี้ รัฐบาลต้องใส่ใจจริงจัง ต่อสู้เชิงรุกโดยประกาศให้การต่อต้านคอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติ จัดตั้งวอร์รูมโดยนายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะทำงานร่วมกับภาคประชาชน”  เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าวและว่า ขนานกันไปยังจำเป็นต้องอาศัยพลังประชาชนร่วมกันติดตามตรวจสอบและเฝ้าระวังเพื่อให้เกิดผลในทางป้องกัน ทั้งนี้ จาก 10 คดีคอร์รัปชัน สามารถใช้เครื่องมือจับโกงโดยเครื่องมือหลักยังเป็น ACTAi (https://actai.co)  ดังนี้

 

กลุ่มแรก คดีกำนันนก, คดีลูกเขยนายชาดา, คดีก่อสร้างโรงพักและแฟลตตำรวจ, โครงการรถไฟทางคู่, การขยายอาคารผู้โดยสารสนามบิน, คดีเสาไฟกินรี เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง สามารถสืบค้นข้อมูลโครงการที่ “จับโกงจัดซื้อจัดจ้าง” (https://actai.co) และ จับโกงงบ อบจ. https://localbudgeting.actai.co/

 

กลุ่มที่สอง คดีหมูแช่แข็งเถื่อน, คดีสวยสินบนกรมอุทยาน, คดีจับลูกเขยนายชาดา และคดีนักการเมืองครอบครองที่ดินผิดกฎหมาย เกี่ยวข้องกับการเอื้อประโยชน์ให้กับเครือข่าย ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และข้อมูลนักการเมือง ท่านสามารถสืบค้นความสัมพันธ์เชิงเครือญาติผ่านนามสกุล ได้ผ่านเครื่องมือ “จับโกงเครือข่ายความสัมพันธ์” (http://bit.ly/actai-connection) และเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ประวัติการทำงาน การโยกย้ายตำแหน่ง ข้อมูลบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน และความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ผ่านเครื่องมือ “ฐานข้อมูลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูง” (https://poldata.actai.co/) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเพิ่มเติมข้อมูลในระบบ

 

กลุ่มที่สาม กรณีโกงในโรงเรียน ทั้งครู ผู้ปกครอง นักเรียนสามารถเรียนรู้และมีส่วนร่วมในการส่งเสริมธรรมาภิบาลในโรงเรียนผ่านการลงมือทำ ด้วยการใช้เครื่องมือ “โรงเรียนโปร่งใส” (https://schoolgov.actai.co/)

 

นอกจากนั้น เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ยังได้ตั้งประเด็นถึง เรื่องน่าสงสัยในกระบวนการลงโทษคนโกง ประกอบด้วย (1) กรมราชทัณฑ์ลดโทษ ขออภัยโทษให้นักโทษคดีคอร์รัปชัน รวมถึงปฏิบัติต่อผู้ต้องขังอย่างเท่าเทียม ไม่มีอภิสิทธิ์ชน เช่นกรณีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ  (2) หลายคดีที่ ป.ป.ช. ชี้ว่ามีมูลความผิดแต่อัยการสั่งไม่ฟ้อง หรือ สตง. เห็นว่าไม่ผิด หลายคดีที่ศาลตัดสินว่าผิดแต่ให้รอลงอาญา และหน่วยงานต้นสังกัดของจำเลยทำแค่สั่งลงโทษทางวินัยไม่ร้ายแรง (3) คดีนายอิทธิพล คุณปลื้ม หนีไปต่างประเทศ หลังป.ป.ช.ส่งสำนวนถึงอัยการล่าช้ามาก (4) คดีก่อสร้างโรงพักและแฟลตตำรวจ นักการเมืองพ้นผิด แต่ตำรวจติดคุก 8 นาย เช่นเดียวกับ (5) คดีรุกป่าเขาใหญ่ นายสุนทร นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ พ้นผิด แต่ข้าราชการติดคุก (6) นักการเมืองครอบครองที่ดินผิดกฎหมาย แม้หลายคนโดนลงโทษแล้ว แต่ยังเหลืออีกมากกว่า 10 คดีในมือ ป.ป.ช. เช่น ครอบครัวนักการเมืองใหญ่รุกที่ดินการรถไฟที่เขากระโดง บุรีรัมย์

ปิดท้ายด้วย กรณีต้องจับตาในปี 2567 การประมูลงานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐโครงการขนาดใหญ่ ได้แก่  (1) การประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ล้มและเลื่อนยาวเพราะเจ้าหน้าที่รัฐทำเรื่องไม่ชอบมาพากลซ้ำซ้อน (2) สัมปทานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน จบการประมูล 5 ปีแล้วแต่เอกชนผู้ชนะยังขอเจรจาอยู่แล้วแต่เอกชนผู้ชนะยังขอเจรจาอยู่ โดยไม่เปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้สิ่งที่เปลี่ยนไป ถือเป็นการทำลายหลักพื้นฐานการประมูลงานอย่างเป็นธรรม (3) โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย – จีน 1.79 แสนล้านบาท ที่ล่าช้า ยืดเยื้อ มากข้อขัดแย้ง (4) สินบนข้ามชาติไม่คืบหน้า สินบนโรลส์รอยซ์ สวนปาล์มน้ำมันที่อินโดนีเซีย เหมืองทอง   (5) โครงการรถไฟทางคู่ที่กำลังก่อสร้างและจะประมูลเพิ่มเติม (6) การขยายอาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิ เฟสสอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News