Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

90% ไม่สวมหมวก! รองผู้ว่าฯ เชียงรายประชุมด่วน ชี้ปัญหาความปลอดภัยทางถนนเป็น “โจทย์ตลอดทั้งปี” ที่ต้องแก้

เชียงรายคุมเข้มถนนรับปีใหม่ 2569 ดึงพลังชุมชน–ท้องถิ่น ร่วมสกัด “ขับเร็ว–ดื่มแล้วขับ–มอเตอร์ไซค์” หลัง 10 เดือนดับแล้ว 337 ราย

เชียงราย, 16 ธันวาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าขยับมาตรการความปลอดภัยทางถนนรับเทศกาลปีใหม่ 2569 อย่างจริงจัง หลังตัวเลขสถิติอุบัติเหตุในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 สะท้อนภาพ “วิกฤตเงียบ” บนท้องถนนของจังหวัด ทั้งในแง่จำนวนครั้งของอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บสาหัส และผู้เสียชีวิตที่เฉลี่ยแล้วมากกว่าหนึ่งชีวิตต่อวัน ท่ามกลางรูปแบบพฤติกรรมเสี่ยงที่ยังคงวนเวียนอยู่กับ “ขับรถเร็ว ดื่มแล้วขับ และไม่สวมหมวกนิรภัย”

ภายใต้ภาพรวมดังกล่าว จังหวัดเชียงรายเลือกใช้ “ชุมชน” เป็นด่านหน้าในการเฝ้าระวังและป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล โดยอาศัยกลไกผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นในช่วง 7 วันควบคุมเข้ม ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 – 5 มกราคม 2569 เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายระยะยาวคือ “เชียงราย เมืองปลอดภัยในทุกช่วงเทศกาล”

จุดตั้งต้นของมาตรการ ตัวเลขที่ไม่มีใครอยากจำ

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ณ ห้องธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 2/2568 เพื่อประเมินสถานการณ์ และกำหนดแนวทางป้องกัน–ลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569

รายงานสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนของจังหวัดเชียงราย ระหว่างเดือนมกราคม – ตุลาคม 2568 ระบุว่า ในระยะเวลาเพียง 10 เดือน จังหวัดเชียงรายมีอุบัติเหตุทางถนนเกิดขึ้นแล้ว 1,962 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บสาหัส 1,682 ราย และมีผู้เสียชีวิต 337 ราย หรือเฉลี่ยแล้วมากกว่าหนึ่งชีวิตต้องสูญเสียบนถนนในจังหวัดนี้แทบทุกวัน

เมื่อพิจารณาลึกลงไปในโครงสร้างของอุบัติเหตุ จะพบลักษณะร่วมที่สะท้อน “โจทย์ใหญ่” ด้านความปลอดภัย ดังนี้

  • ผู้ประสบเหตุส่วนใหญ่เป็น “คนในพื้นที่อำเภอที่เกิดเหตุเอง” คิดเป็นร้อยละ 75.08
  • กลุ่มอายุที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือช่วง 20–29 ปี คิดเป็นร้อยละ 20.06 สะท้อนความเปราะบางของคนวัยทำงานตอนต้น
  • ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือ 18.01–21.00 น. คิดเป็นร้อยละ 21.20 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเลิกงาน–สังสรรค์ และการเดินทางกลับที่พัก
  • ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือ รถจักรยานยนต์ คิดเป็นร้อยละ 86.61 หรือเกือบ 9 ใน 10 ของอุบัติเหตุทั้งหมดเกี่ยวข้องกับมอเตอร์ไซค์
  • ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ “ไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย” โดยเฉพาะการไม่สวมหมวกนิรภัย สูงถึงร้อยละ 90

ในเชิงพื้นที่ อำเภอเมืองเชียงรายเป็นอำเภอที่มีจำนวนอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตสูงสุด ขณะที่ถนนที่เกิดเหตุสูงสุดเป็นถนนในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง คิดเป็นร้อยละ 49.12 รองลงมาคือถนนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลและหมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 33.22 แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ถนนสายหลัก หากครอบคลุมถึงถนนท้องถิ่นที่เชื่อมชุมชนเข้าด้วยกัน

ตัวเลขเหล่านี้ทำให้ที่ประชุมเห็นพ้องว่า ปัญหาความปลอดภัยทางถนนในเชียงราย ไม่ใช่เพียง “เหตุการณ์ในช่วงเทศกาล” หากแต่เป็น “โจทย์ตลอดทั้งปี” ที่ต้องการแนวทางแก้ไขอย่างเป็นระบบ โดยปีใหม่ 2569 ถูกเลือกให้เป็นหมุดหมายสำคัญในการยกระดับมาตรการเชิงรุก

เจาะพฤติกรรมเสี่ยง ขับเร็ว–ดื่มแล้วขับ–ตัดหน้ากะทันหัน

ข้อมูลจากศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดเชียงราย ระบุชัดว่า สาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุ 3 อันดับแรก ได้แก่

  1. ขับรถเร็วเกินกำหนด – คิดเป็นร้อยละ 62.91
  2. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่ – คิดเป็นร้อยละ 29.73
  3. การตัดหน้ากระชั้นชิด – คิดเป็นร้อยละ 23.14

เมื่อเชื่อมโยงสาเหตุเหล่านี้เข้ากับโครงสร้างผู้ประสบเหตุที่ส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ และอยู่ในวัย 20–29 ปี จะเห็นภาพของ “ความคุ้นเคยที่ชะล่าใจ” คือ การคุ้นเส้นทาง คุ้นถนน คุ้นระยะ และคุ้นกับบรรยากาศการดื่ม–สังสรรค์ในชุมชน รวมถึงความเคยชินกับการไม่สวมหมวกนิรภัย

สำหรับรถจักรยานยนต์ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 86.61 ของอุบัติเหตุทั้งหมด นอกจากจะเป็นยานพาหนะหลักของประชาชนในตัวเมืองและพื้นที่ชนบทแล้ว ยังเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมการเดินทางระยะสั้นในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การไปทำงาน ไปสวน ไปตลาด ไปพบเพื่อน หรือร่วมกิจกรรมในหมู่บ้าน การไม่สวมหมวกนิรภัยในบริบทนี้ จึงไม่ใช่แค่การละเมิดกฎหมายจราจร แต่กลับกลายเป็น “พฤติกรรมปกติ” ที่ทวีความเสี่ยงต่อชีวิตในทุกวัน

สำหรับช่วงเวลา 18.01–21.00 น. ที่มีอุบัติเหตุสูงสุดนั้น เป็นช่วงที่ชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่กำลังเปลี่ยนโหมด จากการทำงานสู่การพักผ่อน การทานข้าวนอกบ้าน การพบปะสังสรรค์ และในหลายพื้นที่ของเชียงราย ยังเป็นช่วงเวลาของการเดินทางกลับจากไร่นา รวมถึงการเริ่มต้นกิจกรรมบันเทิงในชุมชน การขับขี่ในสภาพถนนมืด แสงสว่างไม่เพียงพอ ประกอบกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้สูงขึ้น

เชียงรายในบริบทความปลอดภัยบนถนน เมืองหลัก–ถนนหลัก–ชุมชนเป็นด่านหน้า

แม้ข้อมูลที่นำเสนอจะเป็นสถิติของจังหวัดเชียงรายเพียงจังหวัดเดียว แต่โครงสร้างของปัญหาและพฤติกรรมเสี่ยงที่ปรากฏ สะท้อนภาพร่วมของ “จังหวัดเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวในภาคเหนือ” ที่มีทั้งถนนสายหลักของกรมทางหลวง ถนนเชื่อมหมู่บ้าน และการสัญจรของทั้งคนในพื้นที่และนักเดินทางจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่มักมีปริมาณรถเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับเชียงรายเอง อำเภอเมืองเชียงรายซึ่งมีสถิติอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตสูงสุด เป็นทั้งศูนย์กลางการบริหารราชการ ศูนย์กลางเศรษฐกิจ และจุดเชื่อมต่อเส้นทางหลักไปสู่อำเภอรอบนอกและจังหวัดใกล้เคียง การที่ถนนส่วนใหญ่ที่เกิดเหตุอยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง จึงตอกย้ำว่าปัญหาความปลอดภัยไม่ได้อยู่เพียง “ปลายทาง” ที่หมู่บ้าน หากเริ่มตั้งแต่โครงข่ายถนนสายหลักที่รองรับการเดินทางในระดับภูมิภาคด้วย

ในขณะเดียวกัน การที่อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดกับ “คนในพื้นที่อำเภอที่เกิดเหตุ” มากถึงร้อยละ 75.08 ทำให้ที่ประชุมเน้นย้ำว่า การปรับพฤติกรรมเสี่ยงจำเป็นต้องเริ่มจากชุมชน–ครอบครัว–หมู่บ้าน ไม่ใช่หวังพึ่งการบังคับใช้กฎหมายจากภายนอกเพียงอย่างเดียว

ปรับใช้แนวทางระดับชาติ จากนโยบายบนลงสู่ชุมชนหน้างาน

ในการประชุมครั้งนี้ จังหวัดเชียงรายได้นำแนวทางจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2568 มาปรับใช้ในบริบทของพื้นที่ โดยให้ความสำคัญกับ “กลไกในระดับชุมชน” ควบคู่ไปกับ “การเฝ้าระวังบนถนนสายหลัก”

แนวทางสำคัญที่ที่ประชุมเห็นชอบ ได้แก่

  1. ดึงผู้นำชุมชนเป็นกลไกหลัก
    เน้นบทบาทของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ให้เป็น “เจ้าภาพ” ในการประชาสัมพันธ์และตักเตือนพฤติกรรมเสี่ยงของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ทั้งในเวทีประชุมหมู่บ้าน กิจกรรมชุมชน และช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ที่ชาวบ้านเข้าถึงได้ง่าย
  2. เฝ้าระวังรถรับจ้างไม่ประจำทางเดินทางเป็นหมู่คณะ
    กำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มการเฝ้าระวังรถรับจ้างไม่ประจำทาง เช่น รถตู้ รถบัสขนาดเล็ก หรือรถโดยสารที่ใช้เดินทางเป็นหมู่คณะในช่วงเทศกาล เนื่องจากผู้ขับขี่อาจขาดความชำนาญเส้นทาง และอาจไม่ได้ตรวจสภาพรถอย่างเป็นระบบ การเดินทางลักษณะนี้ หากเกิดอุบัติเหตุย่อมมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนมากในคราวเดียว
  3. สื่อสารเจาะครอบครัว–หัวหน้าคนในบ้าน
    ใช้หัวหน้าครอบครัวและผู้นำชุมชนเป็น “ตัวกลาง” ในการสื่อสารเรื่องผลกระทบของการดื่มแล้วขับ การไม่สวมหมวกนิรภัย และการไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร โดยเน้นให้เห็นผลกระทบต่อสมาชิกในครอบครัว ทั้งด้านชีวิต สุขภาพ และภาระทางเศรษฐกิจในระยะยาว

แนวทางดังกล่าวมุ่งสร้าง “แรงกดดันทางสังคมเชิงบวก” ที่ทำให้การขับรถเร็ว ดื่มแล้วขับ หรือไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่ใช่พฤติกรรมที่สังคมยอมรับได้อีกต่อไป โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่ทุกครอบครัวล้วนต้องการให้สมาชิกเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย

ช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้น จากมาตรการเชิงตัวเลขสู่การปฏิบัติจริง

สำหรับช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 จังหวัดเชียงรายได้กำหนด “ช่วงรณรงค์และประชาสัมพันธ์” ควบคู่กับ “ช่วงควบคุมเข้มข้น 7 วัน” ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2569

ในทางปฏิบัติ ช่วงเวลานี้จะเป็นเฟสที่จังหวัด–อำเภอ–ท้องถิ่น–ชุมชน ต้องทำงานสอดประสานกันอย่างใกล้ชิด ทั้งในมิติของ

  • การสื่อสารเตือนภัยล่วงหน้าผ่านช่องทางต่าง ๆ ในชุมชน
  • การเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงในหมู่บ้าน โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงาน–วัยรุ่นที่ใช้รถจักรยานยนต์
  • การติดตามดูแลจุดเสี่ยงบนถนนในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง และถนนท้องถิ่นในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลและหมู่บ้าน

แม้มาตรการเชิงปฏิบัติในรายละเอียดจะขึ้นอยู่กับการออกแบบของแต่ละพื้นที่ แต่อัตลักษณ์ร่วมของการดำเนินการในปีนี้ คือ การเน้น “ชุมชนเป็นฐาน” พร้อมกับการใช้ข้อมูลเชิงสถิติที่มีอยู่จริงมาชี้เป้าที่ชัดเจน เช่น เส้นทางที่เกิดอุบัติเหตุซ้ำซาก ช่วงเวลาที่ต้องเพิ่มการเฝ้าระวัง และกลุ่มประชากรเสี่ยงตามช่วงอายุ

จากตัวเลขเหยื่อบนถนน สู่คำถามเรื่อง “วัฒนธรรมความปลอดภัย”

สถิติอุบัติเหตุของจังหวัดเชียงรายในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมา ไม่เพียงสะท้อนจำนวนครั้งของเหตุการณ์ หากยังชี้ให้เห็นประเด็นเชิงโครงสร้างอย่างน้อย 3 ประการ

หนึ่ง คือ โจทย์เรื่อง “วัฒนธรรมการใช้รถจักรยานยนต์” ในจังหวัดเชียงราย ที่รถจักรยานยนต์กลายเป็นยานพาหนะหลักในการเดินทาง แต่การใช้หมวกนิรภัยยังไม่เป็น “มาตรฐาน” ในชีวิตประจำวัน ตัวเลขร้อยละ 90 ที่ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย จึงเป็นสัญญาณเตือนว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องของการบังคับใช้กฎหมายอย่างเดียว หากเกี่ยวข้องกับทัศนคติและความเคยชินของคนในชุมชนด้วย

สอง คือ ความเปราะบางของคนวัย 20–29 ปี ซึ่งเป็นวัยที่มีพลังในการทำงานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัด แต่กลับอยู่ในกลุ่มอายุที่มีอุบัติเหตุสูงที่สุดของเชียงราย การสูญเสียในวัยนี้ไม่เพียงกระทบต่อครอบครัว หากยังตัดทอนกำลังแรงงานและทุนมนุษย์ของจังหวัดในระยะยาว

สาม คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง “คนในพื้นที่” กับ “ถนนในบ้านตัวเอง” เมื่อผู้ประสบเหตุส่วนใหญ่เป็นคนในอำเภอที่เกิดเหตุ การแก้ปัญหาจึงไม่อาจใช้มาตรการจากส่วนกลางเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการกำกับดูแลกันเองในระดับหมู่บ้าน–ชุมชน ให้ความคุ้นเคยกับถนนไม่กลายเป็นความประมาทที่ต้องจ่ายด้วยชีวิต

ในบริบทนี้ การที่จังหวัดเชียงรายเลือกนำแนวทางระดับชาติ มาพัฒนาเป็นมาตรการที่เน้นชุมชนเป็นฐาน จึงถือเป็นความพยายาม “เปลี่ยนจุดยืน” จากการรอปฏิบัติการบนถนนสายหลัก ไปสู่การเริ่มต้นตั้งแต่หน้าบ้านและในหมู่บ้านของตัวเอง

เป้าหมายระยะยาว เชียงราย เมืองปลอดภัยในทุกเทศกาล

การดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ของจังหวัดเชียงราย จึงไม่ได้จำกัดเพียงการรับมือ “7 วันอันตราย” หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามสร้างภาพรวม “เมืองปลอดภัยในทุกช่วงเทศกาล”

หากมาตรการที่วางไว้สามารถทำให้พฤติกรรมเสี่ยงลดลงได้จริง โดยเฉพาะในกลุ่มเป้าหมายสำคัญอย่างผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์วัย 20–29 ปี และสามารถเพิ่มอัตราการสวมหมวกนิรภัย ลดการดื่มแล้วขับ และลดการขับเร็วบนถนนสายหลักและถนนท้องถิ่น ก็จะช่วยลดทั้งจำนวนอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของมาตรการใด ๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “คำสั่ง” หรือ “มติที่ประชุม” เพียงอย่างเดียว หากผูกโยงอยู่กับการตัดสินใจของผู้ขับขี่ทุกคนในทุกครั้งที่สตาร์ตรถ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสวมหมวกนิรภัย การไม่ดื่มก่อนขับ การไม่เร่งความเร็วเกินจำเป็น หรือการเคารพป้ายจราจรและผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ

ในช่วงปีใหม่ 2569 ที่กำลังจะมาถึง คำถามสำคัญสำหรับเชียงรายจึงอาจไม่ใช่เพียงว่า “จะมีจุดตรวจ–ด่านตรวจเพิ่มขึ้นกี่จุด” แต่คือ “เราจะช่วยกันทำให้คนในครอบครัวและชุมชนของเรา กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยครบทุกคนได้อย่างไร”

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดเชียงราย
  • ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
  • คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
NEWS UPDATE

7 วันอันตราย เชียงรายครองแชมป์ อุบัติเหตุ-เสียชีวิตสูงสุด ช่วงสงกรานต์ ปี 67

 
เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 67 ที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2567 สรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 18 เมษายน 2567 เกิดอุบัติเหตุ 224 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 224 คน ผู้เสียชีวิต 28 ราย
 

ส่วน ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 81.82 ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง ร้อยละ 82.14 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 42.41 ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 29.46

ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เวลา 17.01 – 18.00 น. ร้อยละ 8.04 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 30-39 ปี ร้อยละ 17.06 จัดตั้งจุดตรวจหลัก 1,762 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 51,371 คน

โดย จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เชียงราย ประจวบคีรีขันธ์ แพร่ (จังหวัดละ 11 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ แพร่ (12 คน) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรี (3 ราย) สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 7 วันของการรณรงค์ (11 – 17 เม.ย. 67) เกิดอุบัติเหตุรวม 2,044 ครั้ง ผู้บาดเจ็บรวม 2,060 คน ผู้เสียชีวิต รวม 287 ราย จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 7 จังหวัด ได้แก่ นครนายก บึงกาฬ พังงา แม่ฮ่องสอน สตูล สมุทรสงคราม หนองคาย

 

ส่วน จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงราย (82 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ แพร่ (80 คน) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงราย (17 ราย)

สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 7 วันของการรณรงค์ (11 – 17 เม.ย. 67)

  • อุบัติเหตุรวม 2,044 ครั้ง
  • ผู้บาดเจ็บรวม 2,060 คน
  • ผู้เสียชีวิต รวม 287 ราย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวว่า จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2567 มีจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุและผู้บาดเจ็บลดลงจากปีที่ผ่านมา แต่จำนวนของผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเล็กน้อย ซึ่งสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนนยังคงเกิดจากการขับรถเร็ว ดื่มแล้วขับ และตัดหน้ากระชั้นชิด รวมถึงจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงสุด โดยพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดเกิดจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย ซึ่งศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนได้ประสานจังหวัดบูรณาการขับเคลื่อนการสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยได้มอบหมายให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่วิเคราะห์ข้อมูลและถอดบทเรียนการดำเนินงานลดอุบัติเหตุทางถนนในเชิงลึก โดยเฉพาะจังหวัดที่มีพื้นที่เสี่ยงอุบัติเหตุสูง พร้อมทั้งประเมินผลการดำเนินงานลดอุบัติเหตุตามมาตรการที่กำหนด โดยเฉพาะมาตรการที่เป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จที่ทำให้จำนวนการเกิดอุบัติเหตุทางถนนลดลง เพื่อให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนดำเนินการรวบรวมและเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะได้นำมากำหนดเป็นแนวทางในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนของประเทศในระยะยาวต่อไป

 

“แม้จะสิ้นสุดการดำเนินงานลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2567 แล้ว ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจะได้ประสานจังหวัด ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอ เขต (กทม.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับภาคประชาชน จิตอาสา และอาสาสมัครในพื้นที่ขับเคลื่อนการดำเนินงานเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทั้งด้านคน ยานพาหนะ ถนน และสภาพแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นการแนะนำ ตักเตือน ป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยงหลัก อาทิ ขับรถเร็ว ดื่มแล้วขับ ตัดหน้ากระชั้นชิด และการไม่สวมหมวกนิรภัย การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเด็กและเยาวชนในประเด็นการลดปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรมของผู้ขับขี่ ควบคู่ไปกับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักในการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย เพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนในสังคมไทย” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าว

 

นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง ในฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนได้ประสานจังหวัดตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนน เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในเชิงลึก พร้อมถอดบทเรียนการทำงานของทุกภาคส่วน ซึ่งจะได้นำปัจจัยแห่งความสำเร็จมาเป็นต้นแบบให้แต่ละพื้นที่นำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและบริบททางสังคม เพื่อเสริมสร้างกลไกการลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่ให้เป็นระบบและเข้มแข็ง รวมถึงนำปัญหาอุปสรรคที่เป็นจุดอ่อนในการทำงานมาปรับปรุงและพัฒนาแนวทางการแก้ไขปัญหาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่เป้าหมายภาพรวมของประเทศในการลดอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของประเทศให้เหลือ 12 คน ต่อประชากรหนึ่งแสนภายในปี พ.ศ. 2570

 

นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะเลขานุการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เปิดเผยว่า หลังจากนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายยังต้องร่วมกันขับเคลื่อนการสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างปลอดภัยไร้อุบัติเหตุตลอดทั้งปี ทั้งนี้ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนต้องขอขอบคุณหน่วยงานทุกภาคส่วน เครือข่ายอาสาสมัคร กลุ่มจิตอาสา และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยแก่ประชาชนในการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2567 ด้วยความทุ่มเท เสียสละ อดทน และเข้มแข็ง

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

7 วันอันตรายเชียงราย สังเวยแล้ว 2 ราย อุบัติเหตุ 9 ครั้ง เจ็บ รวม 7 คน

 

เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 66 นายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2567 จังหวัดเชียงราย ณ ห้องประชุมอูหลง ศาลากลางจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะกรรมการศูนย์ฯ เข้าร่วมประชุม และประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ณ ห้องประชุม 1 ปภ. อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผ่านจอภาพ (Video Conference) พร้อมกันทั่วประเทศ 

 

โดยมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.กระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเพื่อติดตามข้อสั่งการ และสรุปยอดผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนนเพื่อนำมาวิเคราะห์หาสาเหตุในการวางมาตรการป้องกันเเละลดอุบัติเหตุ ในที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ข้อมูลประจำปวันที่ 30 ธันวาคม 2566 ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงแนวทางในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตามบริบทแต่ละพื้นที่ 

 

โดยขอให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด ประสานศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอ และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีการรายงานข้อมูลด่านชุมชนเพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป และให้จังหวัดเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายตาม 10 รสขม มาตรการหลักและให้ด่านชุมชนตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่ที่ผิดและฝ่าฝืนกฎหมายโดยให้คำแนะนำและห้ามปราม หากฝ่าฝืนประสานตำรวจบังคับใช้กฎหมายดำเนินคดีทันที พบว่าไม่สวมหมวกนิรภัย 488 ราย ไม่มีใบขับขี่ 224 ราย ดื่มแล้วขับ 87 ราย ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย 8 ราย

 

 

สรุปข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2567 จังหวัดเชียงราย ของวันที่ 30 ธ.ค. 66 มีอุบัติเหตุทางถนนในจังหวัดเชียงรายเกิดขึ้นรวม 9 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ (Admit) รวม 7 คน เป็นเพศชาย 6 คน เพศหญิง 1 คน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นเพศชาย 2 ราย สาเหตุเกิดจากขับรถเร็วเกินกำหนด ดื่มแล้วขับ ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดได้แก่ รถจักรยานยนต์ โดยจังหวัดเชียงรายได้บูรณาการร่วมในการรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนน ได้มีการตั้งจุดตรวจหลักทั้งหมดรวม 35 จุดตรวจ และจุดบริการหน่วยงาน / อปท. มีผู้ปฏิบัติหน้าที่ จำนวน 1,119 คน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News