Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหาร-ป่าไม้เชียงราย ร่วมทำแนวกันไฟ ลด PM 2.5

มณฑลทหารบกที่ 37 บูรณาการร่วมทุกภาคส่วน ทำแนวกันไฟป้องกันไฟป่าในพื้นที่เชียงราย

ปฏิบัติการเชิงรุก ลดปัญหาหมอกควันและไฟป่า

เชียงราย, 3 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 ร่วมมือกับ เจ้าหน้าที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเชียงราย จัดกำลังพลดำเนินโครงการ ทำแนวกันไฟ ป้องกันไฟป่า” ณ สถานีพัฒนาการเกษตรพื้นที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อป้องกันไฟป่า ลดหมอกควัน และแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เป็นปัญหาสำคัญในช่วงฤดูแล้ง

ประกาศมาตรการเข้มงวด ห้ามเผา 92 วัน ลดปัญหาหมอกควัน

จังหวัดเชียงรายได้ออกมาตรการ ห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิดโดยเด็ดขาด” เป็นเวลา 92 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เพื่อควบคุมการเกิดไฟป่าและลดปัญหาหมอกควันในพื้นที่ โดยกำหนดให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันสร้างแนวป้องกันไฟป่า และรณรงค์ให้ประชาชนงดเว้นการเผาในที่โล่งทุกประเภท

ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและภาคประชาชน

การดำเนินโครงการในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย:

  • มณฑลทหารบกที่ 37 โดยมี ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดปฏิบัติงานประสานการคุ้มครองป้องกันชุมชน สถานีพัฒนาการเกษตรพื้นที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง นำกำลังพลจิตอาสาเข้าร่วม
  • สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเชียงราย
  • ชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนที่ 313 กองกำลังผาเมือง
  • ศูนย์ส่งเสริมการควบคุมไฟป่าเชียงราย
  • เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลแม่เงิน
  • ปลัดอำเภอ หัวหน้ากลุ่มงานความมั่นคง อำเภอเชียงแสน
  • ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนบ้านธารทอง หมู่ 11

แนวป้องกันไฟป่าและมาตรการเพิ่มเติม

ในครั้งนี้ ทีมปฏิบัติการได้ร่วมกันสร้างแนวป้องกันไฟป่าขนาด 4 – 6 เมตร ความยาว ประมาณ 3 – 4 กิโลเมตร บริเวณพื้นที่ป่าทึบที่มีภูเขาสูงชัน และพื้นที่แนวเขตชายป่าที่ติดกับพื้นที่เกษตรของประชาชน ซึ่งมีความเสี่ยงสูงจากการลักลอบเผาป่าเพื่อการเกษตร หรือการเผาเพื่อหาของป่าและล่าสัตว์

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการ ประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้ประชาชนในพื้นที่งดเผาทุกชนิด พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารจัดการวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างถูกวิธี เช่น การทำปุ๋ยหมักแบบไม่กลับกอง แทนการเผา การแยกขยะ และ การเก็บกิ่งไม้ใบไม้เพื่อใช้ประโยชน์แทนการเผา เพื่อช่วยลดการเกิดไฟป่าในระยะยาว

ความสำคัญของแนวกันไฟในการป้องกันปัญหาหมอกควัน

แนวกันไฟเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันไฟป่าที่อาจลุกลามจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง ช่วยลดความเสียหายต่อ ทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ และสุขภาพของประชาชน จากปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศ PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาคเหนือของไทยในทุกปี

ข้อคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายที่เห็นด้วยกับมาตรการห้ามเผาและทำแนวกันไฟ

  • เห็นว่าการดำเนินมาตรการห้ามเผาและการทำแนวกันไฟเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดปัญหาหมอกควันและป้องกันการเกิดไฟป่า
  • การเข้มงวดเรื่องการเผาเป็นแนวทางที่ช่วยลดฝุ่น PM 2.5 และช่วยปกป้องสุขภาพของประชาชนในพื้นที่
  • การบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ และการมีส่วนร่วมของประชาชนจะช่วยทำให้มาตรการเหล่านี้ประสบความสำเร็จ

ฝ่ายที่กังวลเกี่ยวกับมาตรการห้ามเผา

  • กังวลว่าการห้ามเผาโดยไม่มีมาตรการสนับสนุนทางเลือกที่เพียงพอ อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ต้องพึ่งพาการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่การเกษตร
  • การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดเกินไป อาจส่งผลให้ประชาชนบางส่วนไม่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างสะดวก
  • มาตรการเหล่านี้ต้องควบคู่ไปกับการให้ความรู้และการสนับสนุนทางเลือกที่เหมาะสมให้กับประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม:

  • จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ป่ารวมกว่า 4.7 ล้านไร่ คิดเป็น 67.4% ของพื้นที่จังหวัด ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องได้รับการปกป้องจากไฟป่า
  • อัตราการเกิดไฟป่าในภาคเหนือในช่วงฤดูแล้งสูงขึ้นทุกปี โดยในปี 2567 มี จุดความร้อน (Hotspots) กว่า 5,000 จุดทั่วภาคเหนือ โดย เชียงรายติดอันดับ 1 ใน 5 จังหวัดที่มีจุดความร้อนมากที่สุด
  • ค่า PM 2.5 ในภาคเหนือของไทยในช่วงฤดูแล้งมักเกินค่ามาตรฐานของ WHO ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
  • มาตรการห้ามเผา 92 วันของจังหวัดเชียงราย เป็นส่วนหนึ่งของแผนลดปัญหาหมอกควันและไฟป่าของรัฐบาล ที่มีการดำเนินการต่อเนื่องมาแล้วหลายปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช / กรมควบคุมมลพิษ/ กรมอุตุนิยมวิทยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงราย นำชิงไถลดการเผา อากาศเป็นของทุกคน

ผู้ว่าฯ เชียงราย นำประชาชนร่วมกิจกรรม “ชิงไถ ลดการเผา” สร้างอากาศบริสุทธิ์

อากาศเป็นของทุกคน เราต้องช่วยกันดูแลรักษา”

เชียงราย, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำประชาชนบ้านหนองเขียว อ.เวียงป่าเป้า ร่วมกิจกรรม ชิงไถ ลดการเผา” ณ บ้านหนองเขียว (หย่อมบ้านแม่ฉางข้าว) หมู่ 10 ตำบลป่างิ้ว อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย โดยมี นางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย นายพงศ์ศักดิ์ เพชรคงแก้ว นายอำเภอเวียงป่าเป้า หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

ส่งเสริมแนวทางไถกลบ ลดปัญหาการเผา

หลังจากกิจกรรมไถกลบ ผู้ว่าฯ เชียงราย พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกัน หว่านเมล็ดพันธุ์ปอเทือง เพื่อใช้เป็นปุ๋ยพืชสด ช่วยเพิ่มไนโตรเจนและสารอาหารในดิน ป้องกันหน้าดินพังทลาย และสามารถใช้เป็นอาหารเลี้ยงโค กระบือ หมู และสัตว์ชนิดอื่น ๆ ได้อีกด้วย

สร้างฝายชะลอน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้พื้นที่ต้นน้ำ

นอกจากนี้ คณะทำงานยังร่วมกัน สร้างฝายชะลอน้ำ เพื่อลดความรุนแรงของกระแสน้ำ ป้องกันการพังทลายของหน้าดิน และกักเก็บน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ด้านอุปโภคบริโภคแก่ชุมชน รวมถึงสนับสนุนการเกษตรกรรมและปศุสัตว์บนพื้นที่ต้นน้ำ

ลงพื้นที่ให้กำลังใจประชาชนที่ทำแนวกันไฟ

ผู้ว่าฯ เชียงรายยังได้ลงพื้นที่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และประชาชนที่ร่วมกัน ทำแนวกันไฟ ในตำบลป่างิ้ว อำเภอเวียงป่าเป้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการป้องกันไฟป่าในจังหวัดเชียงราย

เชียงรายฟ้าใส” 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา

จังหวัดเชียงรายได้ออกประกาศมาตรการ เชียงรายฟ้าใส” ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้:

  1. ช่วงห้ามเผาในที่โล่ง: ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 การบริหารจัดการเชื้อเพลิงจะดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น
  2. ช่วงบังคับใช้มาตรการห้ามเผาเด็ดขาด: ตั้งแต่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 โดยผู้ฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นสูงสุด
  3. ช่วงฟื้นฟูพื้นที่และเฝ้าระวัง: ดำเนินการหลังจากมาตรการห้ามเผาสิ้นสุดลง เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสร้างความตระหนักแก่ประชาชน

สถิติไฟป่าและผลกระทบด้านมลพิษทางอากาศ

จากข้อมูลของ กรมควบคุมมลพิษ พบว่าในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมี จุดความร้อน (Hotspot) กว่า 2,800 จุด ส่งผลให้ค่าฝุ่น PM2.5 ในบางพื้นที่สูงเกิน 100 µg/m³ ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 50 µg/m³ และก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายรณรงค์ งดเผาป่า-ลด PM2.5 ห้ามเผา 1 มีนาคม

เชียงรายเดินหน้ารณรงค์ “วันปลอดควันพิษจากไฟป่า” ลดเผา สู้วิกฤต PM2.5

สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 เร่งเครื่องรณรงค์แก้ปัญหาไฟป่า

เชียงราย,28 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) จัดกิจกรรม “24 กุมภาพันธ์ วันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า” โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่

เป้าหมายหลัก: ลด ละ เลิก การเผาในที่โล่ง

กิจกรรมนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อ รณรงค์ให้ประชาชนลด ละ เลิก การเผาป่าและการเผาในที่โล่งทุกชนิด โดยเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีอัตราการเกิดไฟป่าสูงสุด โดยมี นายเจษฎา เงินทอง ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และเครือข่ายแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันจากเชียงรายและพะเยาเข้าร่วมงาน

เดินหน้าประชาสัมพันธ์ต่อเนื่อง

เพื่อให้การรณรงค์เกิดผล ขบวนรถประชาสัมพันธ์กว่า 22 คัน ถูกส่งออกไปกระจายข่าวสารและสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงฤดูไฟป่า

24 กุมภาพันธ์: วันสำคัญในการลดหมอกควันไฟป่า

มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2543 กำหนดให้ 24 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหานี้

เชียงรายในกลุ่มเสี่ยงสูง: เผาป่าทำให้ PM2.5 พุ่งสูง

เชียงรายเป็น 1 ใน 9 จังหวัดภาคเหนือที่เผชิญปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 จากปัจจัยหลักดังนี้:

  • การเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก
  • การลักลอบเผาป่าเพื่อใช้ประโยชน์จากที่ดิน
  • หมอกควันข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน

ภาวะแห้งแล้งในช่วงต้นปีเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้มลพิษทางอากาศเพิ่มขึ้น กระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง

มาตรการเข้ม: ห้ามเผาเด็ดขาด 1 มี.ค. – 31 พ.ค. 2568

จังหวัดเชียงรายได้ออกประกาศห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิด ตั้งแต่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 โดยมีการกำหนดมาตรการควบคุมดังนี้:

  • บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน
  • ช่องทางแจ้งเหตุเมื่อพบการเผา
  • มาตรการเฝ้าระวังและควบคุมพื้นที่เสี่ยง

เป้าหมายคือการแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างยั่งยืนและลดผลกระทบจากหมอกควันในระยะยาว

สถิติไฟป่าและผลกระทบต่อ PM2.5

จากข้อมูลกรมควบคุมมลพิษ พบว่าในปี 2567 เชียงรายมีจุดความร้อน (Hotspot) กว่า 3,500 จุด และค่าฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยในช่วงเดือนมีนาคมแตะระดับ 150 µg/m³ ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนด (50 µg/m³) หลายเท่าตัว

ที่มา: สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15, กรมควบคุมมลพิษ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายสั่งเร่งแก้ไฟป่า PM2.5 เปิดคลินิกมลพิษออนไลน์

รองผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ย้ำตรวจสอบจุดความร้อน พร้อมหามาตรการแก้ไข

เชียงราย, 26 กุมภาพันธ์ 2568 – รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเผยว่าผู้ว่าราชการจังหวัดได้เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันอย่างต่อเนื่อง พร้อมเร่งตรวจสอบจุดความร้อนที่เกิดขึ้นเพื่อหาสาเหตุและแนวทางแก้ไข

ศูนย์ปฏิบัติการฯ เร่งหารือแนวทางแก้ปัญหา

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะทำงานติดตามสถานการณ์และขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามและรายงานผลการดำเนินงานที่ผ่านมา

มาตรการเร่งด่วน 4 ข้อ แก้ไขปัญหาหมอกควัน

รองผู้ว่าฯ เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 ไปเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 โดย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้มอบหมายมาตรการเร่งด่วน 4 ข้อ ได้แก่

  1. ประชาสัมพันธ์กฎหมายห้ามเผาในที่โล่ง – แจ้งโทษและข้อกฎหมายให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง
  2. ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง – บูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหารือแนวทางแก้ไขปัญหา
  3. เพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ – หากค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน ให้ฉีดพ่นละอองน้ำและดำเนินมาตรการอื่น โดยเฉพาะใน อำเภอแม่สาย
  4. ตรวจสอบจุดความร้อน – หน่วยงานที่รับผิดชอบต้องเข้าตรวจสอบจุดที่เกิดไฟป่า ค้นหาตัวผู้กระทำผิด และดำเนินคดีทางกฎหมาย

คลินิกมลพิษอำนวยความสะดวกประชาชน

ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ขยายบริการ คลินิกมลพิษทางอากาศ ผ่านระบบ หมอพร้อม” โดยประชาชนสามารถนัดหมายออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันหรือ Line OA ของหมอพร้อม เพื่อเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป 106 แห่งทั่วประเทศ รวมถึง โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และโรงพยาบาลแม่สาย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จุดความร้อนสะสม (Hotspot) ในจังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 25 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 320 จุด (ข้อมูลจาก GISTDA)
  • คุณภาพอากาศ (AQI) เฉลี่ยในเชียงราย วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 162 (ระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ) (ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ)
  • อัตราผู้ป่วยจากปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เข้ารับบริการคลินิกมลพิษที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มี เพิ่มขึ้น 35% เทียบกับเดือนก่อนหน้า

ประชาชนที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ PM2.5 สามารถติดต่อ สายด่วนกรมอนามัย 1478 และ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง

FAQs คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาหมอกควันและไฟป่า

  1. ทำไมภาคเหนือถึงเกิดไฟป่าและหมอกควันบ่อยในช่วงต้นปี?
    • สาเหตุหลักมาจาก การเผาป่าเพื่อหาของป่าและทำเกษตร รวมถึงลักษณะภูมิอากาศที่เอื้อต่อการสะสมของฝุ่น
  2. การเผาป่าในเชียงรายผิดกฎหมายหรือไม่?
    • ผิดกฎหมาย โดยผู้ฝ่าฝืนอาจถูก จำคุกสูงสุด 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
  3. ค่าฝุ่น PM2.5 ที่อันตรายต่อสุขภาพคือระดับใด?
    • หากเกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
  4. มีวิธีป้องกันฝุ่น PM2.5 อย่างไรบ้าง?
    • สวมหน้ากาก N95, หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และเปิดเครื่องฟอกอากาศในบ้าน
  5. จะตรวจสอบคุณภาพอากาศในเชียงรายได้จากที่ไหน?
    • สามารถติดตามได้ที่ แอป Air4Thai, เว็บไซต์กรมควบคุมมลพิษ, และ GISTDA

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไถกลบแทนเผา เชียงรายรณรงค์ลดฝุ่น PM2.5 เกษตรกรร่วมใจ

เชียงรายเปิดปฏิบัติการ ไถกลบ ลดเผา สกัดฝุ่น PM2.5

เชียงราย, 19 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดโครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น มุ่งแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในกิจกรรม “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ที่จัดขึ้นในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีนายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ นายอำเภอเวียงแก่น, นายอดิศร จันทรประภาเลิศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย, นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม

มุ่งลดการเผาในที่โล่ง เสริมสร้างความรู้ให้เกษตรกร

กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้เกษตรกรหยุดการเผาในพื้นที่การเกษตร โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งที่มีการเผาซากพืชจำนวนมาก ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเน้นย้ำว่า การเผาในที่โล่งไม่เพียงแต่ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพอากาศและการท่องเที่ยวของจังหวัด

“เชียงรายให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 มาโดยตลอด เราไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เพียงลำพัง แต่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกรที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้แนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การชิงไถและไถกลบแทนการเผา” นายประเสริฐกล่าว

กิจกรรมชิงไถและไถกลบเศษพืช ลดการเผาอย่างเป็นรูปธรรม

ในกิจกรรมครั้งนี้ มีการนำเครื่องจักรกลการเกษตรมาใช้ไถกลบตอซังและเศษพืชเหลือใช้ เพื่อลดปริมาณเชื้อเพลิงที่อาจถูกเผาทำลาย รวมถึงการหว่านเมล็ดพันธุ์ปอเทืองเพื่อใช้เป็นปุ๋ยพืชสด เนื่องจากปอเทืองเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีไนโตรเจนสูง ช่วยบำรุงดินและสามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ เช่น การเลี้ยงโค กระบือ และหมู อีกทั้งยังช่วยลดการพังทลายของหน้าดิน และรักษาความชื้นในดินได้เป็นอย่างดี

“การไถกลบแทนการเผาไม่เพียงช่วยลดมลพิษในอากาศ แต่ยังช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ทำให้ดินมีคุณภาพดีขึ้น ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว” นายอดิศร จันทรประภาเลิศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย กล่าว

มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส” คุมเข้มการเผาในพื้นที่

จังหวัดเชียงรายได้ออกมาตรการ “เชียงรายฟ้าใส 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา” เพื่อควบคุมการเผาในพื้นที่ โดยมีรายละเอียดดังนี้

ช่วงห้ามเผาในที่โล่ง ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยการบริหารจัดการเชื้อเพลิงจะดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น

ช่วงเข้มงวดการห้ามเผาอย่างเด็ดขาด ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 ซึ่งหากพบว่ามีการฝ่าฝืน จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นสูงสุด

การบังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืน

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ฝ่าฝืนมาตรการห้ามเผาจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยมีบทลงโทษที่เข้มงวด รวมถึงอาจถูกตัดสิทธิ์การสนับสนุนจากภาครัฐในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนร่วมมือในการลดการเผา

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นกุญแจสำคัญ

การดำเนินงานภายใต้โครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนพฤติกรรม ลดการเผา และใช้แนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สรุป

กิจกรรม “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ในอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญในการแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งจะช่วยลดมลพิษทางอากาศและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงราย

จังหวัดเชียงรายจะดำเนินมาตรการควบคุมการเผาอย่างเข้มข้นในช่วงฤดูแล้ง โดยมีเป้าหมายลดจำนวนจุดความร้อน (Hotspot) และปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ให้น้อยที่สุด พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของการเผา และร่วมมือกันในการป้องกันปัญหาหมอกควันอย่างจริงจัง

สำหรับประชาชนที่พบเห็นการเผาในที่โล่ง สามารถแจ้งเหตุได้ที่ สายด่วน 053-602547 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบและดำเนินมาตรการควบคุมทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

ผู้ว่าฯ เชียงรายจับมือลาว สู้ศึกหมอกควันข้ามแดน

เชียงรายผนึกกำลังเพื่อนบ้าน! ดับไฟป่า ลดหมอกควันข้ามพรมแดน

เชียงราย, 18 กุมภาพันธ์ 2568 – เชียงราย-บ่อแก้ว-ไซยะบูลี ผนึกกำลังเดินหน้าลดการเผา ป้องกันหมอกควันข้ามแดน

เปิดกิจกรรม Kick Off ความร่วมมือไทย-ลาว แนวกันไฟชายแดน

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2568) นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ นายคำผะหยา พมปันยา รองเจ้าแขวงบ่อแก้ว เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม Kick Off การขับเคลื่อนความร่วมมือในการจัดทำแนวกันไฟ ลดการเผา เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระหว่าง จังหวัดเชียงราย แขวงบ่อแก้ว และแขวงไชยะบูลีแก่งผาได หมู่ 4 บ้านห้วยลึก ต.ม่วงยาย อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย

ในพิธีเปิดมี นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ท้องถิ่น และประชาชนจากทั้ง สปป.ลาว และจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งนอกจากการจัดทำแนวกันไฟบริเวณแนวชายแดนไทย-ลาวแล้ว ยังมีการรณรงค์ ลดการเผาในแปลงเกษตรและพื้นที่ป่า ในหมู่บ้านแนวเขตชายแดนของอำเภอเวียงแก่น

เวทีหารือไทย-ลาว-เมียนมา เดินหน้าลดหมอกควันข้ามแดน

ภายหลังเสร็จสิ้นกิจกรรม Kick Off คณะผู้บริหารจากไทยและลาวได้เข้าร่วมการประชุมหารือเรื่อง การขับเคลื่อนความร่วมมือในการจัดทำแนวกันไฟ ลดการเผา เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าและ PM2.5โรงเรียนเวียงแก่นวิทยาคม อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีเจ้าหน้าที่จากภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วม

เชียงราย-บ่อแก้ว จับมือป้องกันไฟป่าลุกลามข้ามพรมแดน

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายเป็น หนึ่งในพื้นที่วิกฤติหมอกควันและไฟป่าของภาคเหนือ เนื่องจากมีการเผาป่าและการเตรียมพื้นที่การเกษตรในช่วงหน้าแล้ง ประกอบกับ พรมแดนติดกับ สปป.ลาว และเมียนมา ทำให้มลพิษจากหมอกควันข้ามแดนรุนแรงขึ้นและควบคุมได้ยาก

ที่ผ่านมาจังหวัดเชียงรายและแขวงบ่อแก้วมีความร่วมมือที่ดีในการรับมือกับไฟป่าและหมอกควัน และกิจกรรม Kick Off ครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการ ยกระดับความร่วมมืออย่างจริงจัง ระหว่างสองฝ่ายในฐานะเมืองคู่ขนาน โดยเน้นการ ปฏิบัติจริงในพื้นที่ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากปัญหาหมอกควันข้ามแดนในระยะยาว

แขวงไซยะบูลีร่วมผลักดันแนวทางป้องกันมลพิษอากาศ

นายคำผะหยา พมปันยา รองเจ้าแขวงบ่อแก้ว กล่าวว่า แขวงบ่อแก้วและจังหวัดเชียงราย มีความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องในการรับมือกับ ไฟป่าและหมอกควัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยการทำงานร่วมกันในลักษณะ พหุภาคีไทย-ลาว-เมียนมา จะช่วยให้สามารถ ลดการเผา และควบคุมไฟป่าข้ามแดน ได้ดียิ่งขึ้น

ด้าน นายสมจิด จันทะวง รองเจ้าแขวงไซยะบูลี กล่าวถึง ความสำคัญของการสร้างความตระหนักแก่ประชาชน ให้ร่วมมือกันลดการเผาเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น พร้อมย้ำว่า แขวงไซยะบูลีซึ่งมีชายแดนติดกับไทยหลายจังหวัด ต้องการความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับฝ่ายไทยในการรณรงค์ลดมลพิษหมอกควัน

เวียงแก่นต้นแบบความร่วมมือชายแดน ลดการเผาเพื่อสิ่งแวดล้อม

นายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ นายอำเภอเวียงแก่น กล่าวว่า อำเภอเวียงแก่นในฐานะเมืองคู่ขนานของไทยและลาว ได้ดำเนินการตามนโยบายของ คณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนไทย-ลาว มาโดยตลอด

กิจกรรมสำคัญที่ผ่านมา ได้แก่:

  • การปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างแนวกำแพงป้องกันหมอกควัน
  • การสร้างแนวกันไฟตามแนวเขตชายแดน ลดการลุกลามของไฟป่า
  • การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านเกษตรกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระหว่างไทยและลาว

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยชี้ไทย-ลาวเดินหน้าลดหมอกควันข้ามแดนเป็นรูปธรรม

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า สถาบันฯ ได้เข้ามามีบทบาทในการสนับสนุน การลดมลพิษหมอกควันข้ามแดนร่วมกับจังหวัดเชียงราย และประเทศเพื่อนบ้าน โดยการขับเคลื่อนกลไกความร่วมมือทั้งในระดับ นโยบายและระดับพื้นที่

โมเดลแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็น ต้นแบบของแนวทางการลดเผาในภาคเกษตร ซึ่ง สปป.ลาว ได้นำไปปรับใช้ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว การดำเนินงานนี้จะช่วยสร้างแนวปฏิบัติที่ดีและช่วยให้การลดมลพิษทางอากาศเกิดผลเป็นรูปธรรม

สรุป

การประชุมและกิจกรรม Kick Off ระหว่าง ไทย-ลาว-เมียนมา ครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการ ขับเคลื่อนความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน เพื่อ ป้องกันและลดปัญหาหมอกควันข้ามแดน โดยเฉพาะการ ลดการเผาในภาคเกษตรและป่าไม้

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและผู้นำจากแขวงบ่อแก้ว และไซยะบูลี ต่างให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าความร่วมมือต่อไป เพื่อสร้างอากาศบริสุทธิ์และสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืนสำหรับประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเปิดศูนย์บัญชาการ สู้ศึกหมอกควัน PM2.5

เชียงรายลั่น! เอาผิดคนเผาป่า เข้มมาตรการ PM2.5

เชียงราย, 17 กุมภาพันธ์ 2568 – เชียงรายเปิดศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 เดินหน้าคุมเข้มมาตรการลดปัญหามลพิษ

ผู้ว่าฯ เชียงรายเปิดศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5

วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2568) นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงรายอาคารศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กองทัพ และภาคประชาสังคมเข้าร่วม

ศูนย์ปฏิบัติการแห่งนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างเป็นระบบ โดยมีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และภาคประชาชน เน้น การบัญชาการ วางแผน และติดตามมาตรการควบคุมหมอกควันและไฟป่าในพื้นที่ โดยมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ มณฑลทหารบกที่ 37, กอ.รมน. จังหวัดเชียงราย, สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานอื่น ๆ ประจำการตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

แนวทางแก้ปัญหา PM2.5 และการบังคับใช้กฎหมาย

นายชรินทร์ ทองสุข เน้นย้ำถึงความสำคัญของการควบคุมแหล่งกำเนิดหมอกควันไฟป่า โดยชี้ว่าปัญหา PM2.5 ไม่ได้เกิดจากจุดความร้อนของไฟป่าเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงปัจจัยอื่น เช่น ควันดำจากยานพาหนะ และฝุ่นละอองจากพื้นที่ก่อสร้าง ทั้งนี้ จังหวัดเชียงรายจะใช้มาตรการเข้มข้นในการควบคุมการเผาอย่างเคร่งครัด โดยมี แนวทางป้องกันที่ชัดเจน ดังนี้:

  • เพิ่มมาตรการตรวจจับการเผาในที่โล่ง โดยใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียมและโดรนตรวจการณ์
  • ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของ PM2.5 ผ่านช่องทางต่าง ๆ
  • บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง สำหรับผู้ฝ่าฝืนมาตรการห้ามเผา

คนเผาต้องได้รับผลจากการกระทำ เช่น การดำเนินคดีทางกฎหมาย หรือการตัดสิทธิ์จากการรับบริการภาครัฐ” นายชรินทร์กล่าว พร้อมย้ำว่าทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา”

จังหวัดเชียงรายได้ประกาศ มาตรการควบคุมการเผาในพื้นที่ 3 ระดับ ได้แก่ พื้นที่ป่า พื้นที่การเกษตร และพื้นที่เมือง โดยใช้ 3 ช่วงเวลาหลัก เพื่อควบคุมสถานการณ์หมอกควัน:

  1. ช่วงที่ 1: ห้ามเผาในที่โล่งตั้งแต่วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมจะได้รับอนุญาต เฉพาะการบริหารจัดการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น
  2. ช่วงที่ 2: ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เป็นช่วงบังคับใช้มาตรการ ห้ามเผาอย่างเด็ดขาด โดยผู้ฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นสูงสุด
  3. ช่วงที่ 3: หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป จะมีการติดตามและประเมินผลมาตรการ รวมถึงกำหนดแนวทางระยะยาวในการป้องกันปัญหาหมอกควัน

ประชาชนสามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วน

เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน ศูนย์ปฏิบัติการฯ ได้เปิด สายด่วนรับแจ้งเหตุเผาในพื้นที่ หมายเลข 053-602547 โดยมีเจ้าหน้าที่คอยรับเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ปัญหาฝุ่นควัน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชน เราต้องทำให้ประชาชนตระหนักว่า หมอกควันและฝุ่น PM2.5 เป็นภัยที่กระทบต่อสุขภาพของทุกคน”

นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายยังได้บูรณาการทำงานร่วมกับ กลุ่มเกษตรกร เพื่อให้ความรู้เรื่องการจัดการเชื้อเพลิงอย่างปลอดภัย และสนับสนุนการนำเศษพืชมาใช้เป็นวัตถุดิบเชื้อเพลิงชีวมวล ลดการเผาทำลาย ซึ่งจะช่วยลดปัญหามลพิษในระยะยาว

สรุป

จังหวัดเชียงรายเปิด ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษจากไฟป่าและหมอกควันอย่างจริงจัง โดยใช้ มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา” ควบคุมการเผา พร้อมบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นและให้ประชาชนสามารถแจ้งเหตุเผาผ่านสายด่วน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายมั่นใจว่า ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จังหวัดเชียงรายจะสามารถลดปัญหาฝุ่น PM2.5 และสร้างอากาศที่บริสุทธิ์ให้กับประชาชนได้อย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

พะเยาคุมไฟป่าสำเร็จ เร่งหาสาเหตุ มทบ.34 แจงยิงปืนไม่เกี่ยว

พะเยาดับไฟป่าบ่อสิบสองแล้ว ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่ให้กำลังใจ

พะเยา, 17 กุมภาพันธ์ 2568 – ผู้ว่าฯ พะเยา ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดไฟไหม้บ่อสิบสอง ยืนยันสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว ด้าน มทบ.34 ปฏิเสธข้อกล่าวหา ซ้อมยิงปืนใหญ่ไม่ใช่สาเหตุไฟป่า

ผู้ว่าฯ พะเยาตรวจสอบไฟป่า บ่อสิบสอง

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา พร้อมด้วย นายนิกร ยะกะจาย นายอำเภอเมืองพะเยา, นางลักษวรรณ พวงไม้มิ่ง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยา และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ ป่านันทนาการบ่อสิบสอง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา เพื่อตรวจสอบจุดเกิดไฟไหม้และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่เข้าควบคุมสถานการณ์

นายถวิล จันธิยศ ผู้อำนวยการศูนย์ป่าไม้พะเยา กรมป่าไม้ รายงานว่า ไฟป่าดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเย็นวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเปลวเพลิงได้ลุกไหม้เข้าพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสอง เจ้าหน้าที่จึงเร่งเข้าไปดับไฟและทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันการลุกลาม โดยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เบื้องต้นพบว่า พื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสองได้รับความเสียหายประมาณ 5 ไร่

ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวัง และป้องกันไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่ พร้อมสั่งการให้ผู้นำท้องที่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างความเข้าใจกับประชาชน เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสถานการณ์ เพื่อลดความขัดแย้งและป้องกันการแพร่กระจายของข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

มณฑลทหารบกที่ 34 ชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่ใช่สาเหตุไฟป่า

มณฑลทหารบกที่ 34 (มทบ.34) ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ไฟป่าบ่อสิบสองเกิดจากการฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่ของทหาร ซึ่งทำให้เกิดไฟไหม้ลุกลามเป็นวงกว้างเสียหายกว่า 500 ไร่ โดยระบุว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง

แถลงการณ์ระบุว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 หน่วย ป.4 พัน.17 ได้ดำเนินการฝึกยิงปืนใหญ่ที่ บ้านเกษตรพัฒนา โดยใช้พื้นที่เป้าหมายที่ เขาบ้านร่องปอ ก่อนการฝึก หน่วยงานทหารได้เข้าพบชาวบ้านในพื้นที่หมู่ที่ 7 และ 14 ตำบลดงเจน พร้อมร่วมประชุมและรณรงค์ป้องกันไฟป่าอย่างเข้มข้น

ต่อมาในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เกิดไฟป่าลุกลามบริเวณใกล้เคียงกับจุดฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่ อย่างไรก็ตาม มทบ.34 ยืนยันว่า กระสุนปืนใหญ่ที่ใช้ในการฝึกซ้อมไม่มีคุณสมบัติในการทำให้เกิดไฟป่า อีกทั้งหลังเกิดเหตุ ทางมณฑลทหารบกที่ 34 ได้จัดกำลังพลเข้าร่วมสนับสนุนเจ้าหน้าที่ในการควบคุมเพลิงทันที

ทหารและเจ้าหน้าที่ภาคส่วนต่าง ๆ สนธิกำลังดับไฟป่า

ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ในพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสอง กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 17 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 ได้จัดกำลังพลจิตอาสาพระราชทานและชุดควบคุมไฟป่า เข้าสนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการควบคุมเพลิง โดยได้มีการเดินเท้าเข้าไปในพื้นที่ อุทยานแห่งชาติแม่ปืม เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟป่าลุกลามเพิ่มเติม

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 12.30 น. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สนธิกำลังกันเข้าไปดับไฟป่าในพื้นที่ ป่าหินบ่อสิบสอง ตำบลบ้านต๋อม อำเภอเมืองพะเยา โดยทำการ สร้างแนวกันไฟ และปฏิบัติการควบคุมเพลิงจนสามารถดับไฟได้ทั้งหมด

เพจอย่างเป็นทางการของ มณฑลทหารบกที่ 34 ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า ไฟป่าที่ลุกลามเกิดขึ้นในพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสองจริง แต่พื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมีเพียง 5 ไร่ ไม่ใช่ 500 ไร่ตามที่เป็นข่าว ขณะที่พื้นที่ที่เหลือซึ่งได้รับผลกระทบเป็น พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยบงและป่าห้วยเคียน โดยทางทหารได้เข้าร่วมสนับสนุนกำลังพลเพื่อช่วยควบคุมสถานการณ์

ผู้ว่าฯ พะเยาลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ ยืนยันไฟป่าดับสนิทแล้ว

ล่าสุด นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ได้นำคณะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความเสียหายจากเหตุไฟป่า พร้อมรายงานว่าสถานการณ์ กลับสู่ภาวะปกติ และเจ้าหน้าที่สามารถ ดับไฟป่าได้ทั้งหมดแล้ว

ผู้ว่าฯ พะเยา กล่าวเพิ่มเติมว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินมาตรการเฝ้าระวังไฟป่าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมเตรียมมาตรการระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างยั่งยืน

สรุป

เหตุไฟป่าในพื้นที่ ป่านันทนาการบ่อสิบสอง จังหวัดพะเยา ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 ได้รับการควบคุมเรียบร้อยแล้ว โดยมีพื้นที่เสียหาย 5 ไร่ ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 34 ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าการฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่เป็นสาเหตุของไฟป่า พร้อมส่งกำลังพลเข้าช่วยดับเพลิงจนสถานการณ์คลี่คลาย

ขณะนี้จังหวัดพะเยาอยู่ระหว่างการ เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังไฟป่า และขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

คุมไฟป่าห้วยบงใต้ นายอำเภอพานลงพื้นที่ สั่งเฝ้าระวังเข้ม

ดับไฟป่าห้วยบงใต้! เชียงรายเร่งป้องกันไฟป่าต่อเนื่อง

เชียงราย, 16 กุมภาพันธ์ 2568 – พบจุดความร้อนบริเวณบ้านห้วยบงใต้ หมู่ 9 ตำบลทานตะวัน อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย โดยขณะนี้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ขณะที่นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และสั่งการให้ผู้นำชุมชนประชาสัมพันธ์และตรวจตราอย่างเข้มงวด ห้ามประชาชนเข้าไปในเขตอุทยานเพื่อป้องกันการเกิดไฟป่าซ้ำ

พบจุดความร้อนจากดาวเทียมและมาตรการเข้าควบคุมไฟป่า

ศูนย์เฝ้าระวังไฟป่ารายงานว่า จุดความร้อน (Hotspot) ถูกตรวจพบผ่านดาวเทียม Suomi NPP (ระบบ VIIRS) เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 02.26 น. โดยพบ 2 จุดในพื้นที่บ้านห้วยบงใต้ หมู่ 9 ตำบลทานตะวัน อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ซึ่งเจ้าหน้าที่จาก สถานีควบคุมไฟป่าแม่ปืม นำโดยนายสรายุทธ แก้วเสน หัวหน้าสถานี ได้ระดมกำลังพลจำนวน 8 นาย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จาก จุดเฝ้าระวัง มป.11ก จำนวน 3 นาย ลงพื้นที่เพื่อดำเนินการควบคุมเพลิง และสามารถดับไฟได้สำเร็จภายในเวลา 11.30 น.

ความเสียหายและผลกระทบ

จากการตรวจสอบพื้นที่พบว่า มีความเสียหายโดยประมาณ 70 ไร่ โดยสาเหตุของไฟป่ายังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ เบื้องต้นคาดว่าอาจเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ หรือสภาพอากาศแห้งแล้งที่ทำให้เชื้อไฟสะสมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อระบุสาเหตุที่แน่ชัด

นายอำเภอพานลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และกำชับมาตรการป้องกัน

เวลา 12.00 น. นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน ได้เดินทางไปยังจุดเฝ้าระวังบ้านห้วยบงใต้เพื่อติดตามสถานการณ์ และสั่งการให้ผู้นำชุมชน ทั้ง ผู้ใหญ่บ้าน 2 หมู่บ้าน ในพื้นที่ทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงอันตรายของไฟป่า รวมถึงกำชับไม่ให้มีการเผาป่า หรือบุกรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์

นายสุรเชษฐ์ยังเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่บูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายปกครองท้องที่ อบต.ทานตะวัน และ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่ปืม เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันในแนวทางการป้องกันไฟป่า พร้อมมอบหมายให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและรายงานสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

มาตรการระยะยาวป้องกันไฟป่า

นายอำเภอพานกล่าวว่า ไฟป่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซากในช่วงฤดูแล้ง และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขภาพของประชาชน รัฐบาลจึงมีมาตรการป้องกันและรับมือกับไฟป่าอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการดำเนินงานใน 3 แนวทางหลัก ได้แก่

  1. มาตรการเฝ้าระวังและแจ้งเตือน – ใช้ระบบดาวเทียมติดตามจุดความร้อนแบบเรียลไทม์ และเพิ่มจุดตรวจตราภาคพื้นดิน
  2. มาตรการประชาสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของชุมชน – ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับอันตรายของไฟป่า และส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการป้องกัน
  3. มาตรการบังคับใช้กฎหมาย – ดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดที่เป็นต้นเหตุของไฟป่า

ผลกระทบและการตอบสนองของชุมชน

ไฟป่าที่เกิดขึ้นครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะคุณภาพอากาศและระบบนิเวศของป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่ปืม อย่างไรก็ตาม การตอบสนองอย่างรวดเร็วของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทันเวลา ขณะเดียวกัน ชาวบ้านในพื้นที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการช่วยสอดส่องดูแล และแจ้งเบาะแสหากพบเหตุผิดปกติ

สรุป

ไฟป่าบริเวณบ้านห้วยบงใต้ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ซึ่งถูกตรวจพบเมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 ได้รับการควบคุมโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในเวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมง ความเสียหายโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 70 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนสาเหตุ นายอำเภอพานลงพื้นที่กำชับให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาไฟป่า รวมถึงบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานป้องกันไฟป่าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชีงราย รวมพลังดับไฟป่า MOU สร้างแนวป้องกัน

เชียงรายลงนาม MOU แก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เสริมความร่วมมือทุกภาคส่วน

เชียงราย, 11 กุมภาพันธ์ 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในโครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมด้านการอนุรักษ์ ป้องกัน และแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ณ องค์การบริหารส่วนตำบลแม่พริก อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย

พิธีลงนามครั้งนี้จัดขึ้นโดยมี นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ปฏิบัติหน้าที่ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วย นางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการองค์การบริหารส่วนจังหวัด และ นางสาวปราณปรียา โพธิเลิศ ผู้อำนวยการกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย นอกจากนี้ยังมี พันจ่าเอก ทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ นางวรินทร ยานะนวล หัวหน้าฝ่ายสงเคราะห์และฟื้นฟูผู้ประสบภัย ร่วมลงนาม

ในส่วนของพื้นที่อำเภอแม่สรวย นายศิวกร ใจบุญมี ปลัดอำเภอแม่สรวย ได้กล่าวต้อนรับและสนับสนุนการดำเนินงาน เพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน

ผนึกกำลัง 9 หน่วยงาน ร่วมบูรณาการป้องกันไฟป่า

การลงนามครั้งนี้ถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงานในพื้นที่อำเภอแม่สรวย ได้แก่

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • อำเภอแม่สรวย
  • อุทยานแห่งชาติดอยหลวง
  • เทศบาลตำบลเวียงสรวย
  • องค์การบริหารส่วนตำบลแม่พริก
  • องค์การบริหารส่วนตำบลเจดีย์หลวง
  • องค์การบริหารส่วนตำบลท่าก๊อ
  • กำนันตำบลแม่พริก
  • กำนันตำบลเจดีย์หลวง

ดำเนินโครงการ 8 จุดสำคัญ ป้องกันปัญหาหมอกควันระยะยาว

โครงการนี้จะดำเนินการในพื้นที่ 8 จุดสำคัญ ของอำเภอแม่สรวย โดยใช้ เครื่องจักรกลของ อบจ.เชียงราย และ อบต.แม่พริก ในการสร้างแนวกันไฟป่า และได้รับการสนับสนุนแรงงานจากประชาชนในพื้นที่ เพื่อร่วมกันป้องกันการลุกลามของไฟป่าในฤดูแล้ง

โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบจากหมอกควันที่เกิดจากไฟป่า ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพอากาศและสุขภาพของประชาชนในจังหวัดเชียงราย โดยมุ่งเน้นการป้องกันและควบคุมไฟป่าอย่างเป็นระบบ

เชียงรายเร่งแผนรับมือปัญหาหมอกควัน เดินหน้าต่อเนื่องในปี 2568

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการป้องกันไฟป่าและหมอกควัน โดยจะมีการรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของไฟป่า และให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการป้องกันการเกิดไฟป่า โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูง

อบจ.เชียงราย ยังมีแผนทำงานร่วมกับ หน่วยงานสิ่งแวดล้อมระดับชาติ เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดการหมอกควันที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งวางมาตรการระยะยาวเพื่อควบคุมการเกิดไฟป่าในอนาคต

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาไฟป่าและหมอกควันในเชียงราย

  1. ทำไมจังหวัดเชียงรายจึงเผชิญปัญหาหมอกควันทุกปี?

สาเหตุหลักมาจากไฟป่าที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง และการเผาพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในภูมิภาค

  1. โครงการนี้ช่วยลดปัญหาหมอกควันได้อย่างไร?

การทำแนวกันไฟในพื้นที่เสี่ยงสูงจะช่วยป้องกันการลุกลามของไฟป่า และลดปริมาณหมอกควันที่เกิดจากการเผา

  1. ใครบ้างที่มีส่วนร่วมในโครงการนี้?

ทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันดำเนินโครงการเพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบ

  1. แนวทางการป้องกันไฟป่าในระยะยาวของเชียงรายคืออะไร?

มีแผนพัฒนาเทคโนโลยีตรวจจับไฟป่า เพิ่มเจ้าหน้าที่ลาดตระเวน และรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน

  1. ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมกับโครงการนี้ได้อย่างไร?

สามารถเข้าร่วมการอบรม และเป็นอาสาสมัครช่วยลาดตระเวนและป้องกันไฟป่าในพื้นที่ของตนเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News