Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

จากสวนถึงบ้าน! พาณิชย์เชียงรายคิกออฟตลาดส้มโอออนไลน์ จัดส่งฟรีทั่วประเทศ

พาณิชย์เชียงราย “เปิดตลาดส้มโอเวียงแก่นออนไลน์” จัดส่งฟรีทั่วไทย บรรเทาผลผลิตล้นตลาด–ต่อยอดเศรษฐกิจฐานราก

เชียงราย, 16 สิงหาคม 2568 – ฤดูส้มโอของอำเภอเวียงแก่นกำลังเดินหน้าเต็มกำลัง ผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดต่อเนื่องตั้งแต่กลางฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาว ขณะที่ราคาในประเทศเผชิญแรงกดดันจากปริมาณผลไม้ที่ออกมาพร้อมกัน จำนวนมากของผลผลิตสะท้อนทั้ง “ความสำเร็จเชิงเกษตร” และ “โจทย์ใหญ่เชิงการตลาด” ในคราวเดียวกัน ท่ามกลางความท้าทายนี้ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายเดินเกมเชิงรุก เปิดกิจกรรม “Kick off เปิดตลาดส้มโอเวียงแก่นผ่านระบบออนไลน์” เชื่อมตรงชาวสวนกับผู้บริโภค พร้อมสนับสนุน กล่องกรมการค้าภายใน (DIT) และบริการ จัดส่ง EMS ฟรีผ่านไปรษณีย์ไทย เพื่อเร่งระบายผลผลิต ลดต้นทุนโลจิสติกส์ และเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกรในช่วงเวลาสำคัญของปี โดยมีการทยอยส่งมอบวัสดุบรรจุภัณฑ์ให้พื้นที่ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา และเดินหน้าจัดสรรโควตา “ส่งฟรี” ให้ชุมชนปลูกส้มโออย่างเป็นระบบ

ภาพใหญ่ของฤดูกาล ผลผลิตกำลัง “พีก” ขณะที่ราคาถูกแรงกดดัน

ฤดูกาลส้มโอเวียงแก่นโดยปกติเริ่มตั้งแต่ มิถุนายน–ตุลาคม ของทุกปี ทำให้ช่วง กรกฎาคม–กันยายน เป็นหน้าระบายผลผลิตที่คึกคักที่สุด ทั้งตลาดภายในและต่างประเทศ ในเชิงพื้นที่ เวียงแก่นถือเป็น “หัวเมืองส้มโอ” ของเชียงราย มีการปลูกกระจายหลายตำบล โดยเฉพาะ พันธุ์ทองดี และ พันธุ์ขาวใหญ่ ซึ่งเป็นพันธุ์หลักของภาคเหนือ ทั้งนี้ หน่วยงานรัฐระดับจังหวัดเคยชี้ให้เห็นแนวโน้มผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงพีก และราคามีโอกาสอ่อนตัว จึงต้องเร่งใช้มาตรการด้านการตลาดเชิงรุกควบคู่กับการคุมคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐานส่งออกอย่างต่อเนื่อง

ไม่เพียงเท่านั้น ฐานข้อมูลทางการของจังหวัดและหน่วยงานข่าวภาครัฐยังสะท้อน “น้ำหนัก” ของสินค้าเกษตรตัวนี้ไว้ชัด—เวียงแก่นมีพื้นที่ปลูก หลายพันไร่ และเคยมีการสื่อสารเชิงนโยบายระดับจังหวัดว่าผลผลิตรวม แตะหลักหลายหมื่นตันต่อปี ยืนยันสถานะ “พืชเศรษฐกิจ” ที่ขับเคลื่อนรายได้ครัวเรือนในพื้นที่ชายแดนโขงตอนบน พร้อมกันนั้น จังหวัดยังผลักดัน “งานเทศกาลส้มโอเวียงแก่น” เป็นแม่เหล็กตลาดและการท่องเที่ยวเป็นประจำช่วงปลายสิงหาคมของทุกปี เพื่อเร่งยอดบริโภคสดและช่องทางค้าปลีกในประเทศควบคู่ไปกับตลาดส่งออก

กลไก “ส่งฟรี” ที่ลงมือจริง จากกล่อง DIT ถึง EMS ผลไม้

หัวใจของมาตรการระบายผลผลิตปีนี้คือ “การลดต้นทุนเข้าเส้นเลือด” ให้ชาวสวนขายตรงถึงผู้บริโภคโดยไม่พึ่งพาคนกลางมากเกินไป สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายจึงเร่งส่งมอบ กล่องผลไม้ DIT ที่ออกแบบเพื่อขนส่งผลไม้สดโดยเฉพาะ และจับมือ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดทางให้เกษตรกร ส่ง EMS ผลไม้ฟรี ตามกรอบโครงการที่ประกาศไว้ (มีระยะเวลาสิ้นสุดครอบคลุมถึงปี 2569) ทั้งนี้ เกษตรกรรับกล่องได้ที่พาณิชย์จังหวัด นำผลผลิตที่คัดเกรดแล้วบรรจุและส่งที่ไปรษณีย์ในพื้นที่ ระบบจะคิดค่าส่งตามโครงการ “0 บาท” ช่วยให้ราคาขายหน้าออนไลน์แข่งขันได้มากขึ้น และผู้บริโภคต่างจังหวัดก็เข้าถึง “ส้มโอเวียงแก่นคัดเกรด” ได้ง่ายขึ้นกว่าที่เคย

ในระดับจังหวัด เชียงรายยัง จัดสรรโควตากล่องส่งฟรี ให้ชุมชนเป้าหมาย พร้อมวางแผน “แพ็กเส้นทาง” จากศูนย์รวมผลผลิตของสหกรณ์ไปยังไปรษณีย์ เพื่อให้เคลื่อนสินค้าได้ทันช่วง พีกดีมานด์ โดยเฉพาะสัปดาห์เทศกาล—ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พฤติกรรมผู้บริโภคต้องการ “ชิมล็อตสดใหม่” และพร้อมเปิดรับดีลออนไลน์สั้น ๆ ที่มีจุดขายชัด เช่น “ส้มโอคัด 1 ลูก 1 กล่อง” หรือ “กล่องครอบครัว 3–5 ลูก” เพื่อเพิ่มโอกาสซ้ำซื้อหลังเทศกาล

จากออฟไลน์สู่ดีจิทัล เวียงแก่นมี “ฐาน” ให้ต่อยอด

การขยับสู่ออนไลน์ปีนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้นจากศูนย์ ย้อนดูปี 2565 จังหวัดเคยเปิดตัว “Kick off เปิดตลาดส้มโอเวียงแก่นผ่านระบบออนไลน์” อย่างเป็นทางการแล้ว โดยใช้วิธี “ปล่อยขบวนผลผลิต” ออกจากชุมชนสู่ผู้ซื้อปลายทางผ่านระบบขนส่งพิเศษ แนวทางดังกล่าวช่วยให้ปีนี้สามารถเร่งเครื่องได้ทันที เพราะทั้งกลุ่มสหกรณ์ ร้านค้า และช่องทางโซเชียลของชาวสวนเคยผ่าน “การบ้าน” ขั้นพื้นฐานมาแล้ว จึงเหลือโจทย์การคุมคุณภาพ คัดเกรด และเล่าเรื่องแหล่งผลิตให้สอดรับกับความต้องการของผู้ซื้อยุคอีคอมเมิร์ซเท่านั้น

ในฝั่ง ภาพลักษณ์และมูลค่าเพิ่ม ภาครัฐได้ขับเคลื่อนเชิงนโยบายระยะกลาง–ยาวด้วยการผลักดัน “ส้มโอเวียงแก่น” ขึ้นทะเบียน GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) ตั้งแต่ปี 2567 เพื่อยกระดับมาตรฐาน ตลาด และการรับรู้ของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ หากได้ GI เต็มรูปแบบ จะหนุนราคาเฉลี่ยและความสามารถแข่งขันในช่องทางพรีเมียมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะผู้ซื้อสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาและมาตรฐานก่อนตัดสินใจบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้สะดวกขึ้นด้วย

ส้มโอ” ไม่ใช่แค่ผลไม้คือโครงสร้างรายได้ของชายแดนโขงตอนบน

โครงสร้างชุมชนของเวียงแก่นพึ่งพา เกษตรเชิงภูมิอากาศ เป็นหลัก ส้มโอที่ปลูกบนดอนและพื้นที่ติดสันเขาได้รับแต้มต่อจากสภาพดิน–น้ำ–อากาศ ทำให้ได้ผลที่ “หวาน–อมเปรี้ยว–หอม” และเนื้อแน่น โดยเฉพาะพันธุ์ทองดีและขาวใหญ่ที่ “ติดตลาดส่งออก” มานาน ขณะเดียวกันการรักษามาตรฐาน GAP และระบบคัดแยกหน้าแปลงมีผลต่อ “เปอร์เซ็นต์ได้ราคา” โดยตรง หากชุมชนยกระดับ “การคัดหน้าไร่” ให้เสถียร—การขายออนไลน์แบบ “คละเกรดในกล่องเดียว” จะมีโอกาสคืนกำไรให้ชาวสวนมากขึ้น เพราะผู้บริโภคยอมรับการมีลูกใหญ่–ลูกเล็กในกล่องเดียวกันได้ หากทุกลูก “หวาน กรอบ ฉ่ำ” ตามสเป็กคุณภาพ

นอกจากนี้ ภาคธุรกิจปลายน้ำทั้ง ล้ง และผู้ส่งออกยังได้ประโยชน์ทางอ้อมจากกลไก “ส่งฟรี” เพราะ ตลาดในประเทศ ดูดซับล็อตที่ไม่เข้าเกณฑ์ส่งออกได้เร็วขึ้น ทำให้การจัดการสต็อกปลายสวนมีประสิทธิภาพ และลดแรงกดดันราคาในช่วงพีก การรักษาสมดุล ภายใน–ส่งออก จึงเป็นประเด็นยุทธศาสตร์ของปีนี้

เล่าให้เห็นภาพเส้นทาง “ลูกส้มโอ” จากเวียงแก่นถึงมือผู้ซื้อ

  1. คัดเกรดหน้าแปลง – คัดลูกขนาดสม่ำเสมอ ตรวจผิว ปิดขั้วให้เรียบร้อย เช็ดแห้ง ลดความชื้น
  2. บรรจุกล่อง DIT – รองกันกระแทก พิมพ์ฉลากแหล่งผลิต–พันธุ์–น้ำหนัก–วันบรรจุ จัดทำคิวอาร์โค้ดลิงก์คำแนะนำปอก–เก็บ
  3. ส่ง EMS ฟรี – นำไปที่ไปรษณีย์ไทย สแกนสิทธิ์โครงการ “ส่งผลไม้ 0 บาท” ตามเงื่อนไขพื้นที่–ช่วงเวลา
  4. รับปลายทางใน 1–2 วันทำการ – ผู้ซื้อได้รับกล่องพร้อมคู่มือการเก็บรักษาและไอเดียเมนู เพื่อเพิ่ม “ประสบการณ์สินค้า” และโอกาสกลับมาซื้อซ้ำ

โครงเรื่องง่าย ๆ นี้ทำให้ “ส้มโอ” กลายเป็นสินค้าอีคอมเมิร์ซที่แข่งขันได้ เทียบชั้นผลไม้เมืองร้อนตัวอื่น ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ครองตลาดออนไลน์มานานกว่า

หมายเหตุ: โครงการ กล่อง DIT + EMS ฟรี เป็นความร่วมมือเชิงนโยบายระดับประเทศ เกษตรกรสามารถรับกล่องได้ที่พาณิชย์จังหวัด และส่งที่ไปรษณีย์ทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตามช่วงเวลาที่กำหนดในประกาศของไปรษณีย์ไทย (สิ้นสุดโครงการ 30 เม.ย. 2569)

ทำไม “ออนไลน์ + ส่งฟรี” ถึงจำเป็นในปีนี้

  • ภาวะผลผลิตออกพร้อมกัน – เมื่อทุกแปลงถึงเวลาเก็บเกี่ยวใกล้เคียงกัน แรงขายในประเทศล้นเร็ว ช่องทางออนไลน์จึงเป็น “วาล์วระบาย” ที่คุมได้เอง
  • ต้นทุนขนส่ง–บรรจุภัณฑ์ – ในโครงสร้างราคาส้มโอ ต้นทุนโลจิสติกส์เป็นสัดส่วนสูง กลไก “กล่องฟรี + EMS ฟรี” ช่วยรักษาราคาเนื้อแท้ให้ชาวสวน
  • คอนซูเมอร์อินไซต์ยุคอีคอมเมิร์ซ – ผู้ซื้อยอมรับ “ค่าส่งเป็นศูนย์” เป็นแรงกระตุ้นซื้อสำคัญ การปิดดีลด้วยราคาหน้ากล่องที่รวมทุกอย่างแล้ว ทำให้ตัดสินใจเร็ว
  • เล่าเรื่องแหล่งผลิต – สินค้า GI หรือกำลังขอ GI “เล่าเรื่องได้” สอดรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่อ่านป้ายคุณภาพก่อนกดสั่ง โครง GI ช่วยหนุนความน่าเชื่อถือช่องทางออนไลน์ระยะยาว

เสียงจากหน่วยงานและแนวทางเดินหน้าช่วงโค้งพีก

หน่วยงานพาณิชย์จังหวัดสื่อสารต่อเนื่องถึง มาตรการ 5 ช่องทาง ที่ใช้ควบคู่กัน ได้แก่ ตลาดชุมชน–อำเภอ, งานแสดงสินค้า, โมเดล “ส้มโอบินได้” สำหรับพรีเมียม, และ ตลาดออนไลน์ผ่านกล่องกรมการค้าภายใน ส่งผ่านไปรษณีย์ไทยทั่วประเทศ” พร้อมจัดสรรโควตากล่องฟรีให้เกษตรกรอย่างเป็นธรรม ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่า “ออนไลน์” ไม่ใช่ทางเลือกเดี่ยว แต่เป็นองค์ประกอบหนึ่งของ แพ็กเกจกระจายผลผลิตทั้งระบบ ซึ่งถูกวางแผนไว้ตั้งแต่ก่อนฤดูกาลจะเข้าสู่ช่วงพีก

เชิงปฏิบัติ จังหวัดยังใช้ อีเวนต์ฤดูกาล เช่น เทศกาลส้มโอเวียงแก่น เป็นตัวเร่ง “ดึงดีมานด์” ผ่านกิจกรรมชิม–ซื้อ–ส่งต่อทางออนไลน์ สร้างวงจร ออฟไลน์ > ออนไลน์ และ ออนไลน์ > ออฟไลน์ เพื่อรักษาโมเมนตัมยอดขายต่อเนื่องไปถึงปลายฤดูกาล

ชุมชน–สหกรณ์ (ช่วงสัปดาห์ทอง)

  1. ล็อกมาตรฐานคัดเกรด – แยก “คัดพรีเมียม” สำหรับลูกค้าแรกซื้อ เพื่อสร้างความประทับใจและรีวิวบวก
  2. ตั้งแพ็กเกจราคาเรียบง่าย – เช่น 1 ลูก/กล่อง, 3 ลูก/กล่อง, 5 ลูก/กล่อง พร้อมน้ำหนักโดยประมาณ ลดการลังเล
  3. เน้นภาพ–คลิปสั้น – โชว์ขั้นตอนคัด–แพ็ก–ส่งจริง เพิ่มความเชื่อมั่นและอัตราปิดการขาย
  4. ใช้คิวอาร์โค้ดเดียวจบ – ลิงก์แนวทางปอก–เก็บ/สูตรยำส้มโอ เพิ่มคุณค่าหลังการขาย
  5. เช็กสิทธิ์ EMS ฟรีล่วงหน้า – ประสานพาณิชย์จังหวัดและไปรษณีย์ในพื้นที่ เพื่อกระจายคิวส่งให้ทันช่วงคำสั่งซื้อหนาแน่น

เมื่อ “ส่งฟรี” ไม่ใช่แค่โปรโมชัน แต่คือสวัสดิการตลาดของชุมชน

มาตรการ เปิดตลาดส้มโอเวียงแก่นออนไลน์ + ส่งฟรี ของเชียงรายในปีนี้ แสดงให้เห็น “งานเชิงระบบ” ที่จับต้องได้—จากการจัดสรรกล่อง DIT, การทำงานร่วมกับไปรษณีย์ไทย, การตั้งโควตา ระบายล็อตพีกด้วยอีเวนต์ฤดูกาล และการสื่อสารต่อเนื่องของหน่วยงานในพื้นที่ ผลที่เกิดขึ้นไม่เพียงช่วย “รักษาราคาเฉลี่ย” หน้าไร่ แต่ยัง ขยายฐานผู้บริโภคทั่วประเทศ ให้รู้จักแหล่งผลิตชายแดนโขงตอนบนมากขึ้น

ที่สำคัญ การผลักดัน GI “ส้มโอเวียงแก่น” ซึ่งเดินหน้าต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จะเป็นชิ้นส่วนที่ทำให้วงจรคุณภาพ–ตลาด–ราคา “ยั่งยืน” กว่าเดิม เพราะทำให้การเล่าเรื่องแหล่งผลิตบนแพลตฟอร์มออนไลน์น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เมื่อรวมกับ โครง “ส่งฟรี” ที่ลดต้นทุนโลจิสติกส์ “ถึงมือผู้ซื้อ” ได้จริง สมการนี้จึงส่งสัญญาณเชิงบวกต่อ รายได้ชาวสวน และ เศรษฐกิจฐานรากของเชียงราย ในฤดูกาลนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย: ความเคลื่อนไหวการส่งมอบ กล่อง DIT และการประชุมเตรียมความพร้อมเชื่อมโยงตลาด–จัดสรรโควตากล่องส่งฟรี; แนวทาง “ตลาดออนไลน์ผ่านกล่องกรมการค้าภายใน ส่งผ่านไปรษณีย์ไทยทั่วประเทศ”.
  • บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด: ข่าวประชาสัมพันธ์โครงการ เกษตรกรส่ง EMS ผลไม้ฟรี ด้วยกล่อง/ตะกร้า DIT (สิ้นสุดโครงการ 30 เม.ย. 2569) และโพสต์ประชาสัมพันธ์บนเพจหลัก.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สู้ราคาตกต่ำ! พาณิชย์เชียงรายมอบกล่องไปรษณีย์ฟรี ช่วยเกษตรกรขายผลไม้ตรงสู่ผู้บริโภค

พาณิชย์เชียงรายคิกออฟมอบ “กล่องไปรษณีย์ฟรี” ช่วยเกษตรกรดันลำไยพ้นวิกฤตราคาตก

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 –  วิกฤตราคาผลไม้ในเชียงรายปี 2568 สะท้อนปัญหาซ้ำซากเรื่องผลผลิตล้นตลาดและต้นทุนขนส่งสูง เกษตรกรรายย่อยเผชิญอำนาจต่อรองจำกัด ขณะเดียวกันพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาซื้อออนไลน์มากขึ้น โอกาสจึงอยู่ที่ “เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง” เพื่อลดชั้นกลางและเพิ่มรายได้สุทธิ กิจกรรม “Kick off มอบกล่องไปรษณีย์ช่วยเหลือเกษตรกร” และ 6 มาตรการเชิงรุกของจังหวัด มุ่งปลดล็อกประเด็นคอขวดทั้งฝั่งตลาด การรวบรวมผลผลิต และโลจิสติกส์ จุดแข็งคือความร่วมมือรัฐ–เอกชน และเครื่องมือโลจิสติกส์ที่จับต้องได้ อย่างไรก็ดี ความสำเร็จจะยั่งยืนเมื่อมีการสื่อสารคุณภาพสินค้า การติดตามคำสั่งซื้อ และบริหารอุปทานอย่างสมดุล ทั้งหมดนี้ชี้ว่าประชาชนทั่วไปได้ประโยชน์จากราคาที่เป็นธรรมและการเข้าถึงผลไม้คุณภาพถึงหน้าบ้าน

พาณิชย์เชียงราย “คิกออฟกล่องไปรษณีย์ช่วยเกษตรกร” ดันลำไย–ส้มโอพ้นวิกฤตราคาตก

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายเปิดกิจกรรม “Kick off มอบกล่องไปรษณีย์ช่วยเหลือเกษตรกรจังหวัดเชียงราย” ณ ลานหน้าศาลากลางจังหวัด โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน วัตถุประสงค์เพื่อเร่งกระจายผลผลิตจากสวนสู่ผู้บริโภคโดยตรง ท่ามกลางวิกฤตผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ โดยเฉพาะ ลำไย และ ส้มโอ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของพื้นที่

ฉากหลังวิกฤตเมื่อผลผลิตมากกว่าความต้องการ

8 สิงหาคม 2568 สถานการณ์ราคาผลไม้ในหลายอำเภออ่อนแรงลงจากอุปทานที่พุ่งสูง ขณะที่การรับซื้อของภาคเอกชนไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้เกษตรกรแบกรับต้นทุนเก็บเกี่ยว แพ็กกิ้ง และขนส่ง การแทรกแซงเชิงระบบจึงจำเป็น ทั้งในมิติ “ตลาด” และ “โลจิสติกส์ระยะสุดท้าย” เพื่อพยุงราคาและรักษาคุณภาพผลผลิต

6 มาตรการเชิงรุก: จากสวนถึงมือผู้บริโภค

นางณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดแผนบริหารจัดการผลผลิตลำไยส่วนเกินปี 2568 จำนวน 6 มาตรการ ดังนี้

  1. เชื่อมโยงตลาดลำไยสดช่อ ผ่านเครือข่ายพาณิชย์จังหวัด สหกรณ์ และสภาเกษตรกรทั่วประเทศ
  2. รณรงค์บริโภคในจังหวัด จัดระบบพรีออเดอร์พร้อมส่งฟรีผ่านไปรษณีย์ไทย และนัดรับทุกวันพฤหัสบดีที่ศาลากลาง เชื่อมโยงผลผลิตแล้ว 1,329 กก. มูลค่า 57,400 บาท
  3. งานแสดงสินค้า ทั้งใน–นอกจังหวัด เพื่อเปิดหน้าร้านชั่วคราวและฐานลูกค้าใหม่
  4. เพิ่มประสิทธิภาพการรวบรวมรับซื้อ ลดความสูญเสียและจัดคิวตัด–คัด–แพ็กอย่างมีมาตรฐาน
  5. โครงการ “ลำไยบินได้” ส่งลำไยเกรด AA+A จากเชียงรายสู่ภูเก็ตด้วยเที่ยวบินพาณิชย์ เป้าหมาย 24,000 กก. มูลค่า 1,080,000 บาท
  6. ตลาดออนไลน์ สนับสนุนกล่องบรรจุผลไม้ 10 กก. จำนวน 35,000 กล่อง และตะกร้าพลาสติก 3,000 ใบ พร้อมค่าจัดส่งฟรีผ่านไปรษณีย์ไทย ช่วยลดต้นทุนและขยายการขายทั่วประเทศ

กล่องส่งฟรี” หัวใจโลจิสติกส์ระยะสุดท้าย

มาตรการเด่นคือการมอบกล่องผลไม้ขนาด 10 กก. พร้อม จัดส่งฟรี ผ่านบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ช่วยให้เกษตรกรเข้าสู่ตลาดออนไลน์ได้ทันที ลดค่าแพ็กกิ้งและค่าส่ง ซึ่งเป็นต้นทุนใหญ่ในช่วงผลผลิตออกมาก การจัดสรร 35,000 กล่อง ถูกออกแบบให้รองรับคำสั่งซื้อกระจายทั่วประเทศ สร้างเสถียรภาพด้านการระบายสินค้าในเวลาจำกัด

บทสะท้อนจากพื้นที่เมื่อรัฐ–เอกชนจับมือ

ภาพการทำงานร่วมกันระหว่างพาณิชย์จังหวัด หน่วยงานท้องถิ่น ไปรษณีย์ไทย และเครือข่ายสหกรณ์ ทำให้ “การสั่ง–แพ็ก–ส่ง” เดินหน้าอย่างเป็นระบบ เกษตรกรได้ช่องทางขายโดยตรง ผู้บริโภคได้ผลไม้สดใหม่ในราคายุติธรรม จังหวัดได้เครื่องมือระบายผลผลิตอย่างรวดเร็วในฤดูกาลสำคัญ

วิเคราะห์ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

ระยะสั้น มาตรการช่วย พยุงราคา และ เร่งระบายของ ลดความเสี่ยงของผลไม้ค้างสต็อก ระยะกลาง การสร้างฐานลูกค้าออนไลน์และช่องทางขนส่งที่คาดการณ์ได้ จะเพิ่ม รายได้สุทธิ ให้เกษตรกร ขณะที่ภาครัฐได้ข้อมูลดีมานด์จริงเพื่อวางแผนผลิตปีต่อไป หากควบคู่ด้วยมาตรฐานคัดเกรด การติดตามพัสดุ และบริการลูกค้า จะยิ่งสร้าง ความเชื่อมั่นซ้ำซื้อ ซึ่งเป็นกุญแจของความยั่งยืน

ประชาชนได้อะไร

ผู้บริโภคเข้าถึงผลไม้คุณภาพใหม่สด ราคาตรงจากสวน ประหยัดค่าขนส่ง และได้รับความสะดวกในการรับสินค้า ทั้งแบบ ส่งถึงบ้าน และ นัดรับวันพฤหัสบดี ที่ศาลากลาง นอกจากนี้ เศรษฐกิจท้องถิ่นหมุนเวียนเร็วขึ้นจากเม็ดเงินกระจายสู่ชุมชน และลดการสูญเสียอาหารจากการตกค้าง

จังหวัดเตรียมสื่อสารอย่างต่อเนื่องเรื่องคุณภาพลำไย–ส้มโอ มาตรฐานแพ็กกิ้ง และเงื่อนไขส่งฟรี พร้อมขยายจุดรับพรีออเดอร์ในอำเภอหลัก ตลอดจนติดตามตัวชี้วัดการขายและระยะเวลาขนส่ง เพื่อปรับแผนสัปดาห์ต่อสัปดาห์ในช่วงพีกผลผลิต

สรุป

กิจกรรม “Kick off มอบกล่องไปรษณีย์ช่วยเหลือเกษตรกร” คือเครื่องมือเชื่อมสวนกับครัวเรือนทั่วประเทศ ผ่านโลจิสติกส์ที่รัฐสนับสนุนและแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้งานง่าย เมื่อทำงานร่วมกับ 6 มาตรการครบวงจร จึงมีศักยภาพพยุงราคา สร้างรายได้ที่เป็นธรรม และทำให้ผู้บริโภคได้ผลไม้คุณภาพในต้นทุนเหมาะสม โมเดลนี้หากเดินหน้าต่อเนื่องและวัดผลอย่างโปร่งใส จะต่อยอดเป็น “ระบบระบายผลผลิตอัจฉริยะ” ของเชียงรายในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
  • ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
  • บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ปลากัดไทยผงาดเวทีโลก! กรมประมงผนึกไปรษณีย์ไทย ดันสัตว์น้ำสวยงามสู่พันล้าน

ปลากัดไทย” ผงาดเวทีโลก กรมประมงผนึกไปรษณีย์ไทย ดันสัตว์น้ำสวยงามสู่พันล้าน

กรุงเทพฯ, 9 กรกฎาคม 2568 – เปิดศักราชใหม่แห่งสัตว์น้ำสวยงามไทย ปลากัดไทยกำลังก้าวสู่การเป็น “แบรนด์ชาติ” หลังจากที่กรมประมงประกาศผนึกกำลังกับไปรษณีย์ไทย ผลักดันสัตว์น้ำสวยงามไทยสู่ตลาดโลก พร้อมเป้าหมายการส่งออกทะลุพันล้านบาทในอนาคตอันใกล้ ด้วยสายพันธุ์ที่หลากหลาย ความสามารถในการเพาะเลี้ยง และการพัฒนานวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง ทำให้ไทยครองส่วนแบ่งตลาดโลกกว่า 11% เป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับต้น ๆ ของโลก

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เผยว่า สัตว์น้ำสวยงามกลายเป็นอุตสาหกรรมมูลค่าสูงกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี และประเทศไทยมีศักยภาพเต็มเปี่ยมในการสร้างรายได้จากธุรกิจนี้ โดยเฉพาะ “ปลากัดไทย” ที่สร้างรายได้จากการส่งออกมากถึง 400 ล้านบาท หรือราว 40% ของมูลค่าสัตว์น้ำสวยงามส่งออกทั้งหมดของประเทศ

ปลากัดไทยจากปลาชานเมือง สู่ซูเปอร์สตาร์ตลาดส่งออก

“ปลากัดไทย” ได้รับการยกระดับให้เป็นสัตว์น้ำประจำชาติไทยเมื่อ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา ด้วยสีสัน ลวดลาย และพฤติกรรมที่น่าติดตาม ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาดโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และจีน ซึ่งเป็นสามตลาดหลักของไทยในปัจจุบัน

นอกจากปลากัดแล้ว ยังมีสัตว์น้ำสวยงามอื่นๆ ที่ส่งออก ได้แก่ ปลาทอง (7.3%) ปลาหางนกยูงและปลาสอด (6.4%) กุ้งสวยงาม (5.8%) และกลุ่มปลาหมอสีและปลาออสการ์ (3.9%) โดยมีปลาพื้นเมือง เช่น ปลาลูกผึ้ง ปลาซิว ปลาก้างพระร่วง ก็ได้รับความสนใจจากนักเลี้ยงทั่วโลก

4 ยุทธศาสตร์ผลักดันสัตว์น้ำไทยสู่อุตสาหกรรมยั่งยืน

กรมประมงได้จัดทำแผนพัฒนาสัตว์น้ำสวยงาม พ.ศ. 2566–2570 โดยแบ่งเป็น 4 ยุทธศาสตร์หลัก พร้อม 13 แผนงานครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ได้แก่:

  • ยุทธศาสตร์ที่ 1 วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและพรรณไม้น้ำ เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่
  • ยุทธศาสตร์ที่ 2 บริหารจัดการมาตรฐานการผลิตและจัดเก็บฐานข้อมูล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพ
  • ยุทธศาสตร์ที่ 3 ยกระดับเกษตรกรให้ใช้เทคโนโลยีอย่างยั่งยืน
  • ยุทธศาสตร์ที่ 4 เปิดตลาดใหม่ ขยายช่องทางการจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศ

แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตสัตว์น้ำสวยงามที่ได้มาตรฐาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรในระยะยาว

เปิดมิติใหม่ผนึกไปรษณีย์ไทย หนุนส่งออกสัตว์น้ำแบบครบวงจร

หนึ่งในความร่วมมือที่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญคือ “การจับมือกับไปรษณีย์ไทย” ในการขยายระบบขนส่งสัตว์น้ำมีชีวิตให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ได้มีการทดลองขนส่งสัตว์น้ำเพิ่ม 3 ชนิด ได้แก่:

  • สาหร่ายพวงองุ่น
  • สาหร่ายผักกาดทะเล
  • เห็ดทะเล

นอกจากสัตว์น้ำเดิมที่ได้มาตรฐานจากกรมประมงอย่าง ปลากัด ปลาสอด ปลาหางนกยูง กบ ปลาไหล หอย และพรรณไม้น้ำ

การเพิ่มชนิดสัตว์น้ำในระบบขนส่งจะทำให้เกษตรกรสามารถกระจายสินค้าได้มากขึ้น ไม่ต้องพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ลดต้นทุน และเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้โดยตรง

ปลุกพลังชุมชน สร้างเครือข่ายผู้เพาะเลี้ยงทั่วประเทศ

กรมประมงยังได้เดินหน้าสร้างเครือข่ายผู้เพาะเลี้ยงปลากัดและสัตว์น้ำสวยงามในระดับจังหวัดและภูมิภาค โดยสนับสนุนองค์ความรู้ การอบรมเทคนิคการเพาะเลี้ยง และการใช้เทคโนโลยีควบคุมคุณภาพน้ำ รวมถึงการสร้างแบรนด์ให้กับเกษตรกรรายย่อย เพื่อให้สามารถยืนหยัดในตลาดสากลได้

ในบางพื้นที่เช่น เชียงราย ขอนแก่น และราชบุรี ได้เริ่มมีฟาร์มปลากัดที่มีระบบเพาะเลี้ยงแบบมาตรฐาน และเตรียมเข้าระบบส่งออกภายในปลายปีนี้

ความคาดหวังไทยจะเป็นศูนย์กลางการค้าสัตว์น้ำสวยงามของโลก

ความร่วมมือระหว่างกรมประมงและไปรษณีย์ไทย คือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน และปูทางสู่การเป็น “Fish Beauty Hub of Asia” โดยจะมีการพัฒนาระบบ e-commerce สำหรับปลาสวยงาม เชื่อมโยงข้อมูลผู้ซื้อจากต่างประเทศให้ถึงมือผู้เลี้ยงในท้องถิ่น

นอกจากนี้ ยังมีแนวทางจัดงานมหกรรมสัตว์น้ำสวยงามระดับชาติ เพื่อสร้างการรับรู้และเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาสัมผัสกับศักยภาพของเกษตรกรไทยโดยตรง

ปลากัดไทย ไม่ใช่แค่ปลาโชว์ แต่คือพลังเศรษฐกิจใหม่ของชาติ

ปลากัดไทยไม่เพียงแต่เป็นสัตว์น้ำประจำชาติ หากแต่กำลังกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสามารถในการแข่งขันเชิงเศรษฐกิจของประเทศไทยในเวทีโลก ด้วยการพัฒนาทั้งสายพันธุ์ ระบบการผลิต และโครงสร้างการตลาด

การผนึกกำลังของกรมประมงและไปรษณีย์ไทยในครั้งนี้ จึงนับเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมสัตว์น้ำสวยงามไทย ที่ไม่เพียงแต่เน้นความสวยงาม แต่ยังสร้างรายได้ สร้างอาชีพ และสร้างอนาคตให้กับเกษตรกรไทยอย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ “ความร่วมมือด้านการขนส่งสัตว์น้ำ” วันที่ 17 มิถุนายน 2568
  • แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสัตว์น้ำสวยงาม พ.ศ. 2566–2570
  • รายงานมูลค่าการส่งออกสัตว์น้ำสวยงาม กระทรวงพาณิชย์ (อัปเดตกรกฎาคม 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไปรษณีย์ไทยปรับค่าบริการใหม่ เริ่ม 1 ม.ค. 2568

ไปรษณีย์ไทยเตรียมปรับค่าบริการใหม่ เริ่ม 1 ม.ค. 2568 เพื่อรองรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ไปรษณีย์ไทยเตรียมปรับอัตราค่าบริการไปรษณียภัณฑ์พื้นฐานใหม่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการดำเนินงานระยะที่ 2 หลังจากการปรับขึ้นค่าบริการครั้งแรกเมื่อปี 2565 เนื่องจากไปรษณีย์ไทยไม่ได้ปรับอัตราค่าบริการมานานกว่า 18 ปี โดยการปรับอัตราค่าบริการในครั้งนี้เป็นไปตามกฎกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงและต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น

รายละเอียดอัตราค่าบริการใหม่

สำหรับอัตราค่าบริการที่ปรับขึ้นใหม่ในปี 2568 นี้ ครอบคลุมบริการหลายประเภท ได้แก่

  • จดหมายประเภทซอง
  • จดหมายประเภทหีบห่อ
  • จดหมายประเภทซองลงทะเบียน
  • จดหมายประเภทหีบห่อลงทะเบียน
  • ของตีพิมพ์
  • ไปรษณียบัตร
  • พัสดุไปรษณีย์

โดยในพิกัดแรกของจดหมายที่มีน้ำหนักไม่เกิน 10 กรัม จะมีราคาอยู่ที่ 5 บาท ส่วนบริการ EMS ในประเทศและบริการอื่น ๆ ของไปรษณีย์ไทยจะยังคงคิดค่าบริการในอัตราเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกใช้บริการอีโคโพสต์ ซึ่งเป็นบริการส่งแบบประหยัดและสามารถตรวจสอบสถานะได้ แทนการส่งจดหมายลงทะเบียน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายแต่ยังสามารถติดตามสถานะการจัดส่งได้

พัฒนาบริการรองรับภาคประชาชนและธุรกิจ

ดร.ดนันท์ ระบุว่า ไปรษณีย์ไทยให้ความสำคัญกับการรองรับผู้ใช้บริการทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจเป็นหลัก โดยได้พัฒนาบริการใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกในการจัดการด้านเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ครบวงจร และเตรียมยกระดับบริการที่ช่วยให้สามารถส่งเอกสารและจดหมายในรูปแบบดิจิทัล เช่น บริการ Prompt Post ที่ช่วยให้สามารถเปลี่ยนการส่งจดหมายจากรูปแบบ Physical เป็น Digital นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำอัตราค่าบริการราคาพิเศษสำหรับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ฝากส่งเอกสารและจดหมายในปริมาณมากเพื่อให้บริการในราคาที่คุ้มค่าและประหยัดยิ่งขึ้น

โปรโมชันพิเศษสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์

เพื่อส่งเสริมการใช้งานในกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ไปรษณีย์ไทยยังได้จัดโปรโมชันพิเศษสำหรับผู้ค้าที่ขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม LINE Shopping ซึ่งเป็นการเสริมสร้างช่องทางการขนส่งที่สะดวกสบายและคุ้มค่าสำหรับผู้ประกอบการออนไลน์ ที่ต้องการลดต้นทุนในการส่งสินค้าถึงลูกค้า

การปรับขึ้นอัตราค่าบริการไปรษณียภัณฑ์ครั้งนี้แสดงถึงความพยายามของไปรษณีย์ไทยในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพเศรษฐกิจและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการที่เปลี่ยนแปลงไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ไปรษณีย์ไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE