Categories
TOP STORIES WORLD PULSE

จีนยันส่ง 40 อุยกูร์! ไม่ละเมิดสิทธิฯ UNHCR กลัวจีนโกรธ

สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยชี้แจงกรณีส่งตัว 40 ชาวจีนกลับประเทศ

การดำเนินการของรัฐบาลไทยและปฏิกิริยาระหว่างประเทศ

ประเทศไทย, 2 มีนาคม 2568สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความชี้แจงล่าสุดเกี่ยวกับกรณีการส่งตัวชาวจีนจำนวน 40 คนกลับประเทศจีน หลังมีคำถามจากผู้สื่อข่าวและการแสดงความกังวลจากประเทศและองค์กรระหว่างประเทศบางแห่ง โฆษกสถานทูตจีนได้รวบรวมคำถามและให้คำตอบเพื่ออธิบายถึงรายละเอียดของกรณีดังกล่าว

การส่งตัวชาวจีนกลับประเทศและข้อโต้แย้งด้านกฎหมายระหว่างประเทศ

คำถามแรกที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การส่งตัวชาวจีนที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายจำนวน 40 คนกลับประเทศจีน ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนชี้แจงว่า บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย ดังนั้น การส่งตัวพวกเขากลับประเทศจึงถือเป็นกระบวนการปกติของการบังคับใช้กฎหมายที่สอดคล้องกับหลักมาตรฐานสากล

ทางการไทยและจีนมีหลักฐานยืนยันว่าผู้ถูกส่งตัวไม่ใช่ผู้ลี้ภัย และรัฐบาลไทยดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายการควบคุมการลักลอบอพยพผิดกฎหมายซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2567 ประเทศขนาดใหญ่หลายแห่งได้ส่งกลับบุคคลที่เข้าเมืองผิดกฎหมายมากกว่า 270,000 คน

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์มองว่า การส่งตัวบุคคลดังกล่าวอาจเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและรัฐบาลบางประเทศแสดงความกังวลเกี่ยวกับสวัสดิภาพของผู้ถูกส่งตัวหลังเดินทางกลับจีน

ข้อกังวลเรื่องสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติต่อผู้ถูกส่งตัว

บางประเทศและองค์กรระหว่างประเทศตั้งคำถามว่า บุคคลที่ถูกส่งตัวกลับอาจถูกทรมานและละเมิดสิทธิมนุษยชนเมื่อเดินทางถึงจีน ทางสถานทูตจีนตอบว่า รัฐบาลจีนปฏิบัติตามหลักการปกครองโดยกฎหมาย และยึดมั่นในอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (Convention Against Torture) ที่จีนเป็นภาคีมาตั้งแต่ปี 2529

ทางการจีนยืนยันว่าผู้ที่ถูกส่งตัวกลับได้รับการดูแลและได้กลับสู่ครอบครัวแล้ว นอกจากนี้ รัฐบาลท้องถิ่นของจีนจะให้ความช่วยเหลือด้านอาชีพและการพัฒนาทักษะให้กับบุคคลเหล่านี้ เพื่อให้พวกเขาสามารถกลับเข้าสู่สังคมได้โดยเร็วที่สุด

กรณีซินเจียงและปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย

คำถามที่สามเกี่ยวข้องกับ สถานการณ์ในซินเจียง ซึ่งถูกกล่าวถึงว่าเป็นประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนมานานหลายปี โดยมีรายงานเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ

สถานเอกอัครราชทูตจีนระบุว่า ตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา เขตปกครองตนเองซินเจียงเผชิญกับภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้าย รวมถึงขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก (ETIM) ซึ่งได้รับการขึ้นบัญชีเป็นกลุ่มก่อการร้ายโดยองค์การสหประชาชาติ ทางการจีนจึงดำเนินมาตรการรักษาความมั่นคงอย่างเข้มงวด ส่งผลให้ซินเจียงไม่มีเหตุการณ์ก่อการร้ายอีกเลยตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและรัฐบาลบางประเทศให้ความเห็นว่า มาตรการของจีนอาจละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพทางศาสนา โดยมีรายงานว่าผู้ที่ถูกส่งตัวกลับอาจเผชิญกับการควบคุมตัวโดยไม่มีการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม

การติดตามชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ถูกส่งตัวกลับในอนาคต

โฆษกสถานทูตจีนยืนยันว่า ทางการจีนยินดีต้อนรับเจ้าหน้าที่ไทยให้เดินทางไปตรวจสอบความเป็นอยู่ของบุคคลที่ถูกส่งตัวกลับ และให้ความมั่นใจว่าพวกเขาจะได้รับโอกาสในการสร้างชีวิตใหม่ในประเทศบ้านเกิดของตน

ข้อพิพาทระหว่างไทย จีน และองค์กรระหว่างประเทศ

รายงานจาก The New Humanitarian เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ต่อสถานการณ์ของผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ในประเทศไทยที่ถูกควบคุมตัวเป็นเวลานานกว่าสิบปี โดยมีข้อกล่าวหาว่า UNHCR ปฏิเสธที่จะเข้ามามีบทบาทช่วยเหลือ เนื่องจากแรงกดดันจากจีน และความกังวลเกี่ยวกับการลดเงินสนับสนุนจากรัฐบาลจีน

ไทยกับการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์

เอกสารภายในของ UNHCR ที่ถูกเปิดเผยโดย The New Humanitarian ระบุว่า รัฐบาลไทยได้ควบคุมตัวชาวอุยกูร์ 48 คนมาตั้งแต่ปี 2014 โดยไม่มีข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ ในจำนวนนี้ 5 คนถูกลงโทษจำคุกจากความพยายามหลบหนีในปี 2020 ส่วนที่เหลือ 43 คนถูกควบคุมตัวในศูนย์กักตัวคนต่างด้าวในกรุงเทพฯ โดยถูกตัดขาดจากการติดต่อกับครอบครัว ทนายความ และกลุ่มสิทธิมนุษยชน

UNHCR กับการปฏิเสธบทบาทในการช่วยเหลือ

The New Humanitarian รายงานว่า รัฐบาลไทยได้พยายามขอความร่วมมือจาก UNHCR ตั้งแต่ปี 2015 ให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ถูกกักตัวในไทย แต่ถูกปฏิเสธ สาเหตุหนึ่งมาจากความกังวลว่า จีนอาจลดเงินสนับสนุนต่อ UNHCR หากมีการดำเนินการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์มากเกินไป

บาบาร์ บาลอช โฆษกของ UNHCR ให้สัมภาษณ์ว่า UNHCR ได้หยิบยกประเด็นนี้พูดคุยกับรัฐบาลไทย แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงผู้ลี้ภัยหรือดำเนินการช่วยเหลือโดยตรง นอกจากนี้ เอกสารภายในของ UNHCR ยังระบุว่าหากมีการเข้าไปช่วยเหลือชาวอุยกูร์ในไทย อาจกระทบความสัมพันธ์กับจีนและการดำเนินงานในประเทศจีน

ผลกระทบของอิทธิพลจีนต่อ UNHCR

จากเอกสารภายในของ UNHCR ระบุว่า มีความเสี่ยงที่จีนจะลดเงินสนับสนุนให้กับ UNHCR ซึ่งครอบคลุมถึงโครงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในหลายประเทศ และอาจส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่ UNHCR ที่ทำงานอยู่ในจีน

ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียของ ฮิวแมนไรท์วอตช์ (Human Rights Watch – HRW) ให้ความเห็นว่า UNHCR ล้มเหลวในการปกป้องผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ เนื่องจากกลัวการตอบโต้จากจีน เขายังระบุว่า รัฐบาลไทยเองพยายามให้ UNHCR มีบทบาทมากขึ้น แต่ UNHCR กลับเลือกที่จะถอยห่างออกจากประเด็นนี้

ข้อกังวลเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน

นักวิเคราะห์ด้านสิทธิมนุษยชนมองว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนอาจ ละเมิดหลักการไม่ส่งกลับ (Non-Refoulement) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของกฎหมายผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ ที่กำหนดให้ ห้ามส่งตัวบุคคลกลับไปยังประเทศที่เขาอาจเผชิญกับอันตรายหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ข้อคิดเห็นจากสองมุมมอง

  • ฝ่ายที่สนับสนุนการส่งตัวกลับ: เห็นว่าการดำเนินการของไทยเป็นไปตามหลักกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ นอกจากนี้ จีนเองมีระบบกฎหมายที่เข้มแข็งในการปกป้องสิทธิของพลเมืองตนเอง
  • ฝ่ายที่คัดค้านและแสดงความกังวล: มีข้อกังวลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในกรณีของชนกลุ่มน้อยในซินเจียง ที่อาจไม่ได้รับความเป็นธรรมเมื่อต้องกลับไปอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลจีน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งประเทศไทยและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน พบว่า:

  • ในปี 2567 ประเทศไทยส่งตัวชาวต่างชาติที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายมากกว่า 15,000 คน
  • ประเทศใหญ่บางประเทศมีการส่งตัวบุคคลที่เข้าเมืองผิดกฎหมายกลับประเทศต้นทางมากกว่า 270,000 คน
  • องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนรายงานว่ามีชาวอุยกูร์ประมาณ 1 ล้านคนที่ถูกควบคุมตัวในศูนย์กักกันในซินเจียง
  • รัฐบาลจีนรายงานว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชาชนในซินเจียงเพิ่มขึ้น 6.7% ในปี 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งประเทศไทย / กระทรวงการต่างประเทศจีน / องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ / The New Humanitarian

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

“รสชาติ…ที่หายไป” เปิดตัวปี 2568 ตามหาอาหารไทยถิ่น มรดกวัฒนธรรม

เชียงรายผลักดันอาหารถิ่นสู่มรดกวัฒนธรรม ผ่านโครงการ ‘Thailand Best Local Food’

กรุงเทพฯ, 26 กุมภาพันธ์ 2568 – กระทรวงวัฒนธรรม โดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จัด การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่นสู่มรดกทางวัฒนธรรม และอัตลักษณ์ความเป็นไทย (Thailand Best Local Food) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ภายใต้แนวคิด รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste”โรงแรมทาวน์ อิน ทาวน์ กรุงเทพมหานคร

แนวทางการขับเคลื่อนโครงการ

งานนี้มี นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน พร้อมด้วย นางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กล่าวรายงาน มีผู้เข้าร่วมงานจาก หน่วยงานรัฐ อินฟลูเอนเซอร์ ผู้ประกอบการร้านอาหาร และวัฒนธรรมจังหวัดจาก 76 จังหวัด

โครงการนี้มุ่งเน้น การอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาอาหารถิ่นที่ใกล้สูญหาย ให้กลับมามีบทบาทในสังคม พร้อมส่งเสริมให้เป็น Soft Power ของไทย โดยเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยของจังหวัดเชียงรายนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกล่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม พร้อมด้วยนายอภิชาต กันธิยะเขียว นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ คุณมนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง นครเชียงรายนิวส์ ในฐานะการขับเคลื่อนในรูปแบบอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คุณอนุสร เทพปินตา รองนายกเทศมนตรีตำบลแม่สรวย เครือข่ายผู้ประกอบการ เข้าร่วมประชุมปฏิบัติการในครั้งนี้

ภายใต้แนวคิด “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste”

แนวทางการขับเคลื่อนโครงการ “Thailand Best Local Food” ประจำปีงบประมาณ 2568 ภายใต้แนวคิด “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ณ โรงแรมทาวน์ อิน ทาวน์ กรุงเทพมหานคร

การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่นให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและสะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทย โดยมี นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม วัฒนธรรมจังหวัดจาก 76 จังหวัด ข้าราชการ ผู้ประกอบการร้านอาหาร และอินฟลูเอนเซอร์เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

ภายในงานมีกิจกรรมหลัก 8 รายการ ได้แก่

  1. เสวนาในหัวข้อ “การยกระดับอาหารไทยถิ่น ผ่านการออกแบบประสบการณ์ของชุมชน (Designing for a Local Experience)” โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา เช่น คุณสมศักดิ์ บุญคำ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Local Alike, คุณสันติ อาภากาศ ผู้ร่วมก่อตั้ง TASTEBUD LAB และ BIO BUDDY, เชฟคำนาง ณัฏฐภรณ์ คมจิต ผู้ก่อตั้งเฮือนคำนางแบรนด์, และคุณลภัตอร กาญจนชัยภูมิ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม
  2. บรรยายในหัวข้อ “การส่งเสริมและพัฒนาอาหารไทยถิ่น เชื่อมโยงไปสู่การสืบสานภูมิปัญญา” โดย ดร.สง่า ดามาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารและโภชนาการ
  3. บรรยายในหัวข้อ “การสร้างความเข้าใจในการขับเคลื่อนโครงการฯ” โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น คุณจรงค์ศักดิ์ รองเดช, เชฟไพศาล ชีวินศิริวัฒน์, พท.ป.อุบลรัตน์ มโนศิลป์, และคุณธนพัชร ทิ้งโคตร

โครงการ “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” มุ่งเน้นการรวบรวมและฟื้นฟูเมนูอาหารถิ่นที่กำลังจะเลือนหาย เพื่อสืบสานและพัฒนาให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของแต่ละจังหวัด นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและยกระดับเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ Thailand Creative Culture Agency (THACCA) ตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ใน 11 ด้าน เช่น อาหาร ท่องเที่ยว เทศกาล/ประเพณี ภาพยนตร์ ศิลปะ และดนตรี

หลังพิธีเปิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและคณะผู้บริหารได้เยี่ยมชมบูธผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มจากเครือข่ายชุมชนต่างๆ ที่มาร่วมแสดงผลงานภายในงาน

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมส่งเสริมวัฒนธรรม www.culture.go.th และเพจเฟซบุ๊ก “กรมส่งเสริมวัฒนธรรม” รวมถึงเพจเฟซบุ๊ก “อาหารไทยถิ่น THAILAND BEST LOCAL FOOD”

สถิติที่เกี่ยวข้อง:

  • จากการสำรวจของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม พบว่าในปี 2567 มีเมนูอาหารถิ่นที่เสี่ยงต่อการสูญหายกว่า 150 เมนู
  • โครงการ “Thailand Best Local Food” ได้ส่งเสริมและฟื้นฟูเมนูอาหารถิ่นกว่า 80 เมนูในปีที่ผ่านมา
  • การยกระดับอาหารถิ่นมีส่วนช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่นเฉลี่ยร้อยละ 20 ต่อปี

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. โครงการ “Thailand Best Local Food” มีเป้าหมายหลักคืออะไร?
    เน้นการฟื้นฟูและพัฒนาอาหารถิ่นให้เป็นที่รู้จัก พร้อมยกระดับให้เป็นสินค้าทางวัฒนธรรมของไทยในระดับสากล
  2. เมนูอาหารถิ่นที่ฟื้นฟูมีอะไรบ้าง?
    ประกอบด้วยอาหารไทยดั้งเดิมจากทุกภูมิภาค เช่น แกงหอยจุ๊บแจง ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว ไก่กะลาภาคเหนือ และข้าวยำบูดูภาคใต้
  3. อาหารถิ่นมีผลต่อเศรษฐกิจชุมชนอย่างไร?
    ช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการในท้องถิ่น ส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
  4. ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมได้อย่างไร?
    สามารถร่วมเสนอเมนูอาหารถิ่นที่ควรฟื้นฟูผ่านกรมส่งเสริมวัฒนธรรม หรือร่วมกิจกรรมภายใต้โครงการนี้
  5. โครงการนี้เกี่ยวข้องกับ Soft Power ไทยอย่างไร?
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ Soft Power ไทย เพื่อผลักดันอาหารถิ่นสู่ระดับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ร่วมน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ ในวันพระบิดาแห่งฝนหลวง

มทบ.37 ร่วมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในวันพระบิดาแห่งฝนหลวง

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 มณฑลทหารบกที่ 37 นำโดย พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและประชาชนชาวเชียงราย ร่วมพิธีวางพานพุ่มดอกไม้สดถวายราชสักการะ เนื่องในวันพระบิดาแห่งฝนหลวง ประจำปี 2567 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีพระราชดำริในการคิดค้นโครงการฝนหลวงขึ้น เพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งและช่วยเหลือพสกนิกร

พระราชดำริอันยิ่งใหญ่ในการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง

วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญของประเทศไทย เนื่องในโอกาสครบรอบ 69 ปี แห่งการกำเนิดโครงการฝนหลวง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำริที่จะคิดค้นวิจัยหาวิธีการทำฝนหลวง เพื่อแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของเกษตรกรและประชาชนที่ประสบภัยแล้ง ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติให้วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี เป็น “วันพระบิดาแห่งฝนหลวง”

โครงการฝนหลวง พระราชทาน

โครงการฝนหลวงเป็นโครงการอันเกิดจากพระราชดำริ ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งที่เกิดจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ โดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดฝนตกตามต้องการ โครงการนี้ได้สร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนไทย

ความสำคัญของโครงการฝนหลวง

โครงการฝนหลวงมีความสำคัญต่อประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะช่วยแก้ไขปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตทางการเกษตรและคุณภาพชีวิตของประชาชน นอกจากนี้ โครงการฝนหลวงยังเป็นตัวอย่างของการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

การดำเนินงานของโครงการฝนหลวง

การดำเนินงานของโครงการฝนหลวงนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน โดยมีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตรวจสอบสภาพอากาศและการปฏิบัติการทำฝนหลวง ซึ่งต้องอาศัยความรู้ความสามารถของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ

บทบาทของมณฑลทหารบกที่ 37

มณฑลทหารบกที่ 37 ได้ให้การสนับสนุนโครงการฝนหลวงมาโดยตลอด โดยเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการฝนหลวง เช่น การร่วมปฏิบัติการทำฝนหลวง การให้ความรู้เกี่ยวกับโครงการฝนหลวงแก่ประชาชน และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

การสืบสานพระราชปณิธาน

การจัดงานวันพระบิดาแห่งฝนหลวงในครั้งนี้ เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเป็นการส่งเสริมให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงความสำคัญของโครงการฝนหลวง และร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มณฑลทหารบกที่ 37

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI AUTOMOTIVE

Tesla พับแผนตั้งโรงงาน ‘ไทย-มาเลย์-อินโด’ หลังไม่สามารถแข่งขันกับรถอีวีจากจีนได้

 

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2567 นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซียเปิดเผยว่า “เทสลา อิงค์” (Tesla) ได้ตัดสินใจยกเลิกแผนการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เนื่องจากความท้าทายจากการแข่งขันที่ดุเดือดจากประเทศจีนและสถานการณ์ที่บริษัทเผชิญอยู่

เว็บไซต์เดอะสเตรทไทม์สในสิงคโปร์รายงานว่า นายกรัฐมนตรีอันวาร์ได้กล่าวถึงเหตุผลที่เทสลาตัดสินใจเปลี่ยนแผน โดยระบุว่า ซาฟรุล อาซิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซีย ได้รับข้อมูลตรงจากแหล่งข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของเทสลาว่า บริษัทไม่สามารถแข่งขันกับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนได้

อันวาร์อธิบายว่า ซาฟรุลได้รับข้อมูลล่าสุดซึ่งแสดงถึงความเพลี่ยงพล้ำของเทสลาในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงจากรถอีวีที่ผลิตในจีน ซึ่งทำให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้ นอกจากนี้ เขายังระบุว่า ข้อมูลที่ได้รับเป็นการรายงานโดยตรง ไม่ใช่จากสื่อ

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ยังกล่าวด้วยว่าแผนการลงทุนในมาเลเซียยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น และตอนนี้เทสลามีเพียงการตั้งสำนักงานขายและโชว์รูมในประเทศไทยและมาเลเซียเท่านั้น

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สำนักนายกรัฐมนตรีไทยได้เปิดเผยว่ามีการเจรจาเบื้องต้นกับเทสลาสำหรับการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลไทยได้เสนอแผนการใช้พลังงานสีเขียว 100% ในโรงงานเพื่อดึงดูดการลงทุนจากเทสลา

ทางด้านซาฟรุล อาซิสได้ชี้แจงว่ากระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซียไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการว่าเทสลาจะเปิดโรงงานในประเทศมาเลเซีย และเทสลาก็ไม่เคยประกาศแผนการตั้งโรงงานในประเทศนี้เช่นกัน

ซาฟรุลยังกล่าวถึงรายงานล่าสุดที่เทสลาพับแผนการลงทุนในอาเซียนว่าไม่ได้มาจากแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากเทสลา แต่เป็นข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันมีความรุนแรงมากขึ้นจากการที่ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีนสามารถเสนอราคาและเทคโนโลยีที่แข่งขันได้อย่างดุเดือด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของบริษัทต่างชาติในการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วและสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างกว้างขวาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เว็บไซต์เดอะสเตรทไทม์สในสิงคโปร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

สปป.ลาว พบ พระพุทธรูป 4 องค์ โผล่ลำน้ำโขง แขวงบ่อแก้ว ตรงข้าม อ.เชียงแสน

 

เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสื่อท้องถิ่นใน สปป.ลาว หลายราย เช่น ລວມຂ່າວລາວ-Lao News update,ແຂວງບໍ່ແກ້ວ Bokeo Province,ໜັງສືພິມລາວພັດທະນາ Laophattana News ได้รายงานข้อมูลและภาพจากพระอาจารย์ ຂັດຕິຍະບາຣະມີ ว่าได้มีการพบพระพุทธรูปและวัตถุโบราณหลายชิ้น ภายในหาดทรายกลางแม่น้ำโขงฝั่งเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ตรงกันข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย คาดว่าเป็นบริเวณวัดเก่าแก่และเมืองเก่าสมัยอาณาจักรสุวรรณโคมคำในยุคนับพันปีก่อน โดยการค้นพบมีขึ้นเมื่อวันที่ 16 มี.ค.หลังจากระดับน้ำในแม่น้ำโขงได้ลดลงจนกลายเป็นหาดทรายกว้าง และชาวบ้านได้พบเห็นส่วนบนของพระพุทธรูปโผล่ขึ้นมาจึงพากันไปขุนค้นต่อ

ปรากฎว่าเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่องค์ใหญ่จำนวน 2 องค์ คาดว่ามีหน้าตักกว้างกว่า 29 นิ้ว โดยองค์แรกมีสภาพสมบูรณ์ไม่เสียหายมากนักแต่องค์ที่ 2 พระเศียรหักออกไปแต่ยังคงพบในบริเวณเดียวกัน นอกจากนี้ พบพระพุทธรูปขนาดเล็กอีก 2 องค์ คาดว่ามหน้าตักกว้างประมาณ 9 นิ้ว โดยมีสภาพเช่นเดียวกับองค์ใหญ่คือมีองค์สมบูรณ์ 1 องค์และพระเศียรหักออกไปอีก 1 องค์และพบส่วนที่ขาดไปด้วยคาดว่าทั้งหมดสร้างด้วยสัมฤทธิ์ที่มีความคงทน รวมทั้งยังพบวัตถุทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวลักษณะคล้ายอิฐทังขนาดเล็กและใหญ่อีกไม่ต่ำกว่า 10-15 อัน คาดว่าสร้างด้วยปูน

หลังการค้นพบทางเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว ทั้งระดับหมู่บ้าน เมืองและแขวง ได้มีการจัดสถานที่เก็บรักษาบริเวณที่ค้นพบแล้วโดยมีการวางกำลังดูแลรักษาตลอด 24 ชั่วโมงด้วย ขณะที่มีประชาชนชาวลาวรวมไปถึงพระภิกษุและสามเณรต่างพากันไปกราบนมัสการและชมพระพุทธเจ้าและวัตถุโบราณต่างๆ ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ລວມຂ່າວລາວ-Lao News update, ແຂວງບໍ່ແກ້ວ Bokeo Province, ໜັງສືພິມລາວພັດທະນາ Laophattana News

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

นายกฯ ดันส่งออกต้นไม้ ไปยังซาอุดีอาระเบีย

 

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตาม ขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างไทย – ซาอุดีอาระเบียอย่างต่อเนื่อง พร้อมผลักดันการส่งออกต้นไม้ไปยังซาอุดีฯ ขยายพื้นที่สีเขียว และสร้างรายได้เพิ่มให้คนไทยจากการนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ หลังส่งออกแล้วกว่า 2 แสนต้น 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ภายหลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย นายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกหน่วยงานพิจารณาแนวทางที่จะเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างกันเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยคณะภาครัฐและภาคเอกชน ได้เดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 6 – 10 มิถุนายน 2566 เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือทวิภาคี และส่งเสริมการเจรจาการค้าและการลงทุนระหว่างภาคเอกชนของไทยและซาอุดีฯ โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยซึ่งเดินทางร่วมคณะด้วยครั้งนี้พบว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการส่งออกต้นไม้ไปยังซาอุดีฯ ตามข้อริเริ่มซาอุดีอาระเบียสีเขียว (Saudi Green Initiative) และข้อริเริ่มตะวันออกกลางสีเขียว (Middle East Green Initiative) ซึ่งซาอุดีฯ มีแผนจะนำเข้าต้นไม้ไปปลูกทั่วประเทศ จำนวน 1 หมื่นล้านต้น เพื่อฟื้นฟูให้เกิดพื้นที่สีเขียวตามธรรมชาติ รวมถึงจะร่วมมือกับกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ และประเทศหุ้นส่วนอื่น ๆ ในการปลูกต้นไม้ในภูมิภาคเพิ่มอีก 4 หมื่นล้านต้น โดยปัจจุบันประเทศไทยได้ส่งต้นไม้ไปยังซาอุดีฯ แล้วกว่า 2 แสนต้น และสามารถขยายการส่งออกได้อีกมากในอนาคต

ด้านกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีผู้ขอนำไม้ยืนต้นมาจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้ว จำนวน 146,860 ต้น มูลค่ารวม 138,048,597.02 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2566) ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ผลักดันการรักษาสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการนำไม้ยืนต้นที่มีค่ามาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ และโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme : LESS) รวมทั้งได้มอบวงเงินสินเชื่อให้เกษตรกรจากการนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ และมอบประกาศเกียรติคุณแก่ธนาคารต้นไม้ของชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ 

“นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมกันพิจารณาเพิ่มโอกาสการค้า การส่งออกให้กับคนไทย ยินดีที่ความสำเร็จจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์เพิ่มโอกาสค้าขาย ส่งออก เพิ่มอาชีพให้คนไทย และเกษตรกรไทย ประกอบกับ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และความยั่งยืนของระบบนิเวศ ทั้งนี้ ด้วยความสอดคล้องกันของนโยบายของซาอุดีฯ ในการส่งเสริมการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวในประเทศ และภูมิภาค จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยควรร่วมสนับสนุน เพื่อร่วมกันดำรงชีวิตในโลกอย่างยั่งยืน สมดุล ส่งต่อโลกที่ดีขึ้นให้กับคนรุ่นต่อไป” นายอนุชาฯ กล่าว

โดยลิสต์ 38 ต้นไม้ไทย โอกาสส่งออกตลาดซาอุฯ ตามเป้าหมาย “Saudi Vision 2030” ของซาอุดีอาระเบีย มีแผนที่จะนำเข้าต้นไม้จากทั่วโลกเพื่อให้บรรลุตามนโยบายซาอุดีอาระเบียสีเขียว (The Saudi Green Initiative) เพื่อเปลี่ยนพื้นที่เสื่อมโทรมให้กลับมามีชีวิตชีวา โดยการปลูกต้นไม้ 10,000 ล้านต้น และร่วมสนับสนุนผลักดันโครงการปลูกต้นไม้ 50,000 ล้านต้น ทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง ปัจจุบันประเทศไทยได้ส่งต้นไม้ไปยังซาอุฯ แล้วกว่า 200,000 ต้น และถือว่ายังมีโอกาสให้ไทยส่งออกต้นไม้ไปยังซาอุฯ ได้อีกมาก ซึ่งซาอุฯ จะร่วมมือกับกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ หรือกลุ่มประเทศ GCC (Gulf Cooperation Council) และประเทศหุ้นส่วนอื่น ๆ ในการปลูกต้นไม้ในเอเชียตะวันตกเพิ่มอีก 4 หมื่นล้านต้น

1. ชมพูพันธุ์ทิพย์ (Tabebuia rosea)
2. นนทรี (Peltophorum pterocarpum, Yellow poinciana)
3. พุทราจีน (Ziziphus jujuba)
4. ศรีตรัง (Jacaranda mimosifolia)
5. หูกวาง (Terminalia catappa)
6. อรชุน (Terminalia arjuna, Arjuna Tree)
7. ไทรย้อยใบแหลม (Ficus benjamina, Weeping fig)
8. พฤกษ์ (Albizia lebbeck)
9. ยี่เข่ง (Lagerstroemia indica)
10. งิ้ว (Bombax cebia, Red kapok tree)
11. หางนกยูงฝรั่ง (Delonix regia)
12. มัลเบอร์รี (Morus nigra, Blackberry)
13. มะรุม (Moringa oleifera)
14. เลี่ยน (Melia azedarach)
15. มะเดื่อ (Ficus carica, Fig)
16. เลมอน (Citrus limon)
17. ส้มซ่า (Citrus aurantium)
18. คารอบ (Ceratonia siliqua, Carob Tree)
19. ส้มแมนดาริน (Citrus reticulata, Mandarin orange)
20. มะตูมซาอุ (Schinus terebinthifolius)
21. กระถินเทพา (Acacia mangium)
22. หยีน้ำ (Millettia pinnata)
23. นิโครธ (Ficus benghalensis)
24. ชัยพฤกษ์ (Cassia javanica)
25. ก้ามปู (Albizia saman)
26. ปีบ (Millingtonia hortensis, Tree jasmine)
27. เสี้ยวดอกขาว (Bauhinia variegate)
28. ชงโค (Bauhinia purpurea)
29. ราชพฤกษ์ (Cassia fistula)
30. มะขามเทศ (Pithecellobium dulce)
31. มะกอกโอลีฟ (Olea europaea, Olive)
32. โพ (Ficus religiosa, Sacred fig)
33. สะเดา (Azadirachta indica)
34. มะขาม (Tamarindus indica)
35. โพทะเล (Thespesia populnea)
36. กร่าง (Ficus altissima)
37. ปอทะเล (Hibiscus tiliaceus, Seacoast mallow)
38. ทามาริสก์ (Tamarix aphylla, Athel pine)

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ไทย-ซาอุดีฯ ผลักดันความร่วมมือทวิภาคี ลงทุนอยู่ที่ 3.23 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 38%

 

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผลักดันความร่วมมือทวิภาคีกับซาอุดีอาระเบียให้อย่างเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ครอบคลุมทั้งด้านการทูต แรงงาน เศรษฐกิจ พลังงาน และการท่องเที่ยว 

 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นับตั้งแต่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบีย ความสัมพันธ์ระว่างทั้งสองประเทศมีพลวัตอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าการลงทุนระหว่างกันเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.64 มาอยู่ที่ 3.23 แสนล้านบาท สำหรับด้านการท่องเที่ยว ในปี 2565 นักท่องเที่ยวชาวซาอุดีฯ มาไทย จำนวน 96,389 คน สร้างรายได้ 8 พันล้านบาท คาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวชาวซาอุดีฯ เพิ่มขึ้น 150,000 คน สร้างรายได้ 12,000 ล้านบาทรวมถึงมีการเพิ่มเที่ยวบินจาก 9 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เป็น 42 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ ผลความสำเร็จดังกล่าว สืบเนื่องมาจากการที่รัฐบาลผลักดันความร่วมมือทวิภาคีในด้านต่าง  ผ่านมติเห็นชอบกรอบความร่วมมือต่าง  จากคณะรัฐมนตรีแล้ว ดังนี้ 

 

1) ด้านการทูตและการต่างประเทศ มติ ครม. 8 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบการจัดทำแผนการขับเคลื่อนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีปี 2565 – 2567 รวมทั้งจัดตั้งสภาความร่วมมือไทยซาอุดีฯ ซึ่งจะประสานความร่วมมือทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม นอกจากนี้ มติ ครม. 15 พฤศจิกายน 2565 ยังได้เห็นชอบการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต และหนังสือเดินทางราชการ รวมไม่เกิน 90 วัน เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกัน

 

2) ด้านแรงงาน มติ ครม. 1 มีนาคม 2565 เห็นชอบข้อตกลงด้านแรงงาน เพื่อจัดหาแรงงานไปทำงานในซาอุดีฯ อย่างถูกกฎหมาย และปกป้องสิทธิของนายจ้างและแรงงาน รวมถึงการบังคับใช้กฎระเบียบสัญญาจ้างระหว่างกัน

 

3) ด้านการค้าและการลงทุน มติ ครม. 8 พฤศจิกายน 2565 ได้เห็นชอบการส่งเสริมการลงทุนโดยตรงระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแลกเปลี่ยนข้อมูลสถิติเกี่ยวกับการลงทุนโดยตรงและโอกาสทางธุรกิจ กฎหมายและกฎระเบียบเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนโดยตรง และการเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนของทั้งสองประเทศจาก

 

4) ด้านพลังงาน มติ ครม. 15 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบความร่วมมือทวิภาคีด้านพลังงาน อาทิ ปิโตรเลียม ก๊าซไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน และเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เพื่อลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

5) ด้านการท่องเที่ยว มติ ครม. 15 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านการท่องเที่ยวไทยซาอุดีฯ รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อมูลสถิติการท่องเที่ยว จัดโปรแกรมการศึกษาและการวิจัย การประชุม สัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ

 

นอกจากนี้ ระหว่างวันที่ 6 – 10 มิถุนายน 2566 นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีกำหนดการเดินทางเยือนซาอุดีฯ ตามคำเชิญของนายคอลิด บิน อับดุลอะซีซ อัลฟาลิห์ (Khalid bin Abdulaziz Al-Falih) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนซาอุดีฯ โดยนำคณะผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนร่วมเดินทางด้วย เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือทวิภาคี และส่งเสริมการเจรจาการค้าและการลงทุนระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ โดยภาคเอกชนชั้นนำของไทยยังได้พบหารือภาคเอกชนซาอุดีฯ เพื่อสร้างเครือข่ายและจับคู่ธุรกิจที่มีศักยภาพร่วมกัน

 

นายกรัฐมนตรียังคงผลักดันความร่วมมือทวิภาคีไทยและซาอุดีฯ อย่างต่อเนื่อง ผ่านมติเห็นชอบกรอบความร่วมมือต่าง  จากคณะรัฐมนตรี และการเดินทางเยือนซาอุดีฯ ของหน่วยงานรัฐบาล เพื่อติดตามความร่วมมือและกระชับความสัมพันธ์ พร้อมทั้งกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยให้กำกับและติดตามการดำเนินการขับเคลื่อนความร่วมมือ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม และยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกัน ให้ครอบคลุมทั้งด้านการทูต แรงงาน เศรษฐกิจ พลังงาน และการท่องเที่ยว” นายอนุชาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News