Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เศรษฐกิจเชียงราย สองเครื่องยนต์ ‘ท่องเที่ยว-ชายแดน’ ผลักดัชนีเชื่อมั่นให้ยืนสูง

เชียงราย–ภาคเหนือ “เงยหน้ารับลมหนาวเศรษฐกิจ” ดัชนีเชื่อมั่นอนาคตภาคเหนือแตะ 73.5 แรงหนุน “คนละครึ่ง พลัส” จ่อดันกำลังซื้อ-ท่องเที่ยวไฮซีซัน ขณะภาพรวมไทยโต 2.4% ปี 2568 แต่ต้องจับตาความเสี่ยงปี 2569

เชียงราย, 1 พฤศจิกายน 2568 — ลมหนาวเที่ยวแรกแตะขอบดอยนางนอนในหุบเขาเชียงราย พร้อมข่าวดีจากส่วนกลางที่ส่งแรงกระเพื่อมถึงปลายน้ำ: ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (RSI) เดือนตุลาคม 2568 ของภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 73.5 สะท้อนมุมมอง 6 เดือนข้างหน้าที่ “ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” บนแรงหนุนสองขา—มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่กำลังเดินเครื่องในไตรมาสสุดท้าย และ ฤดูท่องเที่ยว ที่เข้าสู่ช่วงพีกของปี นัยนี้มีความหมายกับเชียงรายโดยตรง เพราะจังหวัดปลายสุดแดนเหนือกำลังยืนอยู่ “หน้าเคาน์เตอร์โอกาส” ทั้งจากการท่องเที่ยว ธุรกิจบริการ ร้านค้ารายย่อย ไปจนถึงซัพพลายเชนเกษตรและโลจิสติกส์ชายแดน

ในมุมมหภาค กระทรวงการคลังคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 โต 2.4% จากแรงกระตุ้นภาครัฐและการส่งออกที่คาดขยายตัว 10.0% ทว่า “ปีถัดไป” อาจไม่ราบรื่นเท่าเดิม เมื่อภาพรวมปี 2569 ถูกประเมินว่าจะ ชะลอมาที่ 2.0% สาเหตุหลักจากการเร่งส่งออกในปีนี้เพื่อหลบผลกระทบภาษีการค้าของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ชี้ว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างปี 2569 มีแนวโน้ม ‘ทรงตัว’ งบลงทุนรัฐลดลงและภาคเอกชนยังเปราะบาง—สัญญาณที่ผู้ประกอบการเชียงรายควรรู้ทันและปรับแผน

ภาพใหญ่ของประเทศ โตได้…แต่ไม่ง่าย

สัญญาณข้างหน้า: กระทรวงการคลังประเมินปี 2568 ไทยขยายตัว 2.4% โดยมี “โครงการคนละครึ่ง พลัส” กับมาตรการเพิ่มวงเงินสวัสดิการรัฐเป็นแรงขับการบริโภคเอกชน (คาดโต 3.0%) และการส่งออกมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขยายตัว 10.0% ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุล 2.0 หมื่นล้านดอลลาร์ (คิดเป็น 3.5% ของ GDP) และเงินเฟ้อทั่วไปทั้งปี -0.2% โดยได้รับอานิสงส์ต้นทุนพลังงานที่ลดลง

จุดห่วงปี 2569: จีดีพีชะลอที่ 2.0% ส่งออกหดตัว -1.5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อกลับสู่แดนบวกแถว 0.5% นโยบาย “Quick Big Win” ของรัฐบาล—จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดหนี้ครัวเรือน หนุน SMEs เพิ่มออม และลงทุนเพื่ออนาคต—จึงถูกคาดหวังให้ยื้อแรงเฉื่อยเศรษฐกิจและสร้างฐานใหม่ระยะยาว

คำเตือนเชิงนโยบาย: การค้าโลกที่ผันผวน มาตรการภาษีสหรัฐฯ ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ และหนี้ครัวเรือนยังสูง คือชุดความเสี่ยงที่อาจสั่นความเชื่อมั่นธุรกิจ—หากลามสู่ต้นทุนการเงินและพฤติกรรมบริโภค

พื้นที่เศรษฐกิจภาคเหนือ ดัชนี 73.5 “โซนอ่อนไปทางดี” ท่องเที่ยว–อุตสาหกรรมเครื่องยนต์คู่

ตัวเลขชวนคิด RSI เดือน ต.ค. 2568

  • ภาคเหนือ 73.5: ได้แรงหนุนจาก บริการ–ท่องเที่ยว และ อุตสาหกรรม ในช่วงไฮซีซัน กอปรกับมาตรการรัฐ
  • ภาคตะวันออก 75.5 / EEC 78.7: สะท้อนบทเรียนว่าพื้นที่ที่มีโครงสร้างพื้นฐาน–การลงทุนต่อเนื่อง มีความเชื่อมั่นสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ
  • กทม.–ปริมณฑล 63.8: ยังต่ำกว่าภูมิภาคอื่น ชี้ว่าการฟื้นตัว “ไม่เสมอหน้า” และกิจกรรมบางส่วนยังรอผลลัพธ์มาตรการ

ความหมายต่อภาคเหนือ:

  1. การท่องเที่ยวกลับมาเป็น “เสาหลักรายได้กระจายตัวสูง” ตั้งแต่ที่พัก ร้านอาหาร คาเฟ่ งานเทศกาลท้องถิ่น ไปจนถึงสินค้าหัตถกรรม—ห่วงโซ่คุณค่าไหลถึงชุมชนรวดเร็ว
  2. อุตสาหกรรมแปรรูปเกษตร–เครื่องดื่ม–ยางพารา–อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นส่วน มีแนวโน้มปรับกำลังผลิตตามคำสั่งซื้อช่วงปลายปีและต้นปีหน้า
  3. กำลังซื้อชาวบ้าน–แรงงานกลับบ้าน ช่วงเทศกาลปีใหม่และตรุษจีน สนับสนุนเม็ดเงินหมุนเวียนท้องถิ่นอย่างเห็นรูปธรรม

แต่ก็ยังมีโจทย์ท้าทาย: ความแปรปรวนสภาพอากาศที่กระทบผลผลิตเกษตร ค่าครองชีพในเมืองท่องเที่ยว และการขนส่งข้ามแดนที่ต้องลุ้นกับกฎระเบียบประเทศเพื่อนบ้านเมื่อภูมิรัฐศาสตร์ “ไหลแรง”

โฟกัสเชียงราย เมืองชายแดน–เมืองท่องเที่ยว “สองเครื่องยนต์” ผลัก RSI ภาคเหนือให้ยืนสูง

เชียงรายกำลังอยู่ใน จุดสมดุลใหม่ ของบทบาทสองประการ—เมืองท่องเที่ยวธรรมชาติ–วัฒนธรรม และเมืองโลจิสติกส์ชายแดนฝั่งแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ—ที่โอบรับฤดูกาลท่องเที่ยวและความต้องการบริโภคปลายปีพอดิบพอดี

1) ไฮซีซันท่องเที่ยว ฤดูขายประสบการณ์–ฤดูเก็บรายได้ฐานราก

  • ฤดูหนาว = ฤดูงาน: เทศกาลแสงสีริมโขง งานกาแฟ–ชา–เกษตร และทริปสายธรรมชาติ “กอดหมอก” ทำให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวที่พัก–อาหาร–เดินทางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • คนละครึ่ง พลัส = คูณแรงในเมืองท่องเที่ยว: มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในไตรมาส 4 ช่วย “ปิดช่องว่างกำลังซื้อ” ของครัวเรือนท้องถิ่นและนักเดินทาง—ร้านอาหารรายย่อยและผู้ค้าชุมชนมีโอกาสจับจ่ายเฉลี่ยต่อใบเสร็จสูงขึ้น
  • SMEs–OTOP–หัตถกรรมท้องถิ่น มีแนวโน้มได้ประโยชน์ทันที เมื่อดีมานด์ของที่ระลึก–ของฝากขยับตามจำนวนนักท่องเที่ยว การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลชำระเงินและการตลาดออนไลน์ช่วงแคมเปญ จะช่วยขยายวงเงินสะพัดได้ดีกว่าช่วงปกติ

ผลลัพธ์คาดหวัง รายได้ท่องเที่ยว “ไหลลึก” ลงสู่ชุมชน—ตั้งแต่ผู้ให้บริการที่พักระดับครอบครัว ร้านอาหารท้องถิ่น คนขับรถรับจ้าง ไปจนถึงเกษตรแปลงเล็กที่ขายผลผลิตเข้าสายโภชนาการ–คาเฟ่

2) เศรษฐกิจชายแดน แรงเสริมเมื่อค้าชายแดนฟื้นตัว

แม้ข้อมูลปริมาณการค้ารายด่านล่าสุดไม่ได้ระบุในชุดข้อมูลนี้ แต่แรงส่งทั่วประเทศจากการส่งออกปี 2568 ที่กระทรวงการคลังคาดว่าจะขยายตัวสูง 10.0% ย่อมเอื้อให้ โซ่โลจิสติกส์เชียงราย—ทั้งด่านแม่สาย ด่านเชียงของ และท่าเรือเชียงแสน—รับโอกาสต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยมีความได้เปรียบด้านเกษตรแปรรูป บรรจุภัณฑ์ และสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าสู่ตลาดเพื่อนบ้านและจีนตอนใต้

ประเด็นต้องกางแผน ความผันผวนกฎระเบียบข้ามแดนและต้นทุนขนส่งที่อยู่ในระดับสูงทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้อง “ล็อกต้นทุน” ผ่านสัญญาระยะกลาง–ยาว และประสานเครือข่ายโลจิสติกส์ให้ยืดหยุ่นต่อข้อจำกัดหน้าด่าน

3) ตลาดก่อสร้าง–อสังหาริมทรัพย์เชียงราย อ่านสัญญาณ “ทรงตัว” ก่อนวางเงินลงทุน

บทวิเคราะห์ของ SCB EIC ที่ประเมินว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างปี 2569 “ทรงตัว” ราว 1.41 ล้านล้านบาท และการลงทุนภาครัฐลดแรงจากงบปี 2569 ส่งสารสำคัญถึงผู้พัฒนาโครงการในเชียงราย

  • ภาครัฐยังเดินหน้ามหาโปรเจกต์ แต่ความเร็วการเบิกจ่าย–เปิดประมูลอาจไม่เร่งเท่าที่หวัง
  • เอกชนที่อยู่อาศัยชะลอ ตามภาพอสังหาฯ ประเทศและค่าแรงที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากแรงงานข้ามชาติหดตัว
  • มาตรฐานวัสดุ–งานโครงสร้างถูกยกระดับ หลังเหตุแผ่นดินไหวในหลายพื้นที่—เพิ่มต้นทุนและเวลาควบคุมคุณภาพ

คำแนะนำเชิงกลยุทธ์สำหรับท้องถิ่น

  1. บริหาร Backlog ให้ยืดหยุ่น ปรับสัดส่วนงานรัฐ–เอกชน ลดความเสี่ยงจาก “ลูกค้าก้อนเดียว”
  2. ทำสัญญาซื้อวัสดุล่วงหน้า กับคู่ค้าคุณภาพ เพื่อคุมต้นทุนและลดความผันผวนราคา
  3. จับมือพันธมิตรต่างชาติ/เทคโนโลยี ยกมาตรฐานความปลอดภัย–ผลิตภาพ และใช้เป็น “แต้มความเชื่อมั่น” ในตลาด
  4. ตั้งเป้าการลด Emission และใช้วัสดุเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม—สอดรับทั้งข้อกำหนดใหม่และความต้องการลูกค้ารุ่นใหม่

4) โอกาส–ความเสี่ยงเฉพาะจังหวัด ทำการบ้านเชิงรุก

  • โอกาสฝั่งท่องเที่ยว: เชื่อม “สุขภาพ–นิเวศ–วัฒนธรรม” ให้เป็นแพ็กเกจเดียว เช่น เส้นทางวิ่ง–ปั่น–เดินป่า ตลาดชุมชน–คาเฟ่กาแฟ–ชา พร้อมพื้นที่กิจกรรมครอบครัว ช่วยยืดเวลาพำนักและเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริป
  • โอกาสฝั่งชายแดน: ต่อยอดคลังสินค้าเย็น–เกษตรแปรรูปคุณภาพสูง รองรับคำสั่งซื้อปลายปี–ตรุษจีน พร้อมมาตรฐานตรวจสอบย้อนกลับ
  • ความเสี่ยงสำคัญ: สภาพอากาศสุดขั้วกระทบเกษตร, ราคาพลังงานและค่าขนส่ง, และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ–การค้าโลก
  • มาตรการกันชนที่ใช้ได้ทันที: ผู้ประกอบการรายย่อยใช้สิทธิ “คนละครึ่ง พลัส” และโปรโมชันร่วมเอกชนเพื่อดึงทราฟฟิกหน้าร้าน, เชื่อมดีลผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล–อีเพย์เมนต์, ทำประกันภัยธุรกิจ–ทรัพย์สินที่ครอบคลุมภัยธรรมชาติ และจับสัญญาณเตือนจากระบบต้นแบบ “ดัชนีหมอกควัน–PM2.5” เพื่อออกแบบกิจกรรมกลางแจ้งอย่างยืดหยุ่น

สะพานเชื่อม “นโยบาย–พื้นที่” ทำอย่างไรให้เม็ดเงินเข้าถึงชุมชนเชียงรายเร็วที่สุด

  • เร่ง “แปลงนโยบายเป็นแคมเปญพื้นที่”
    ภาคเอกชน–ชุมชน ควรจับมือกับหน่วยงานท้องถิ่น ออกแบบกิจกรรมใช้สิทธิคนละครึ่ง พลัสที่
  • ชัดเวลา–ชัดสถานที่–ชัดของดี เช่น ถนนคนเดินมิติใหม่ เมนูวัตถุดิบท้องถิ่น ซุ้มชิม–ช็อป–แชร์ ให้สิทธิประโยชน์ชัดเจนและตรวจง่าย
  • เชื่อม “โลจิสติกส์–ท่องเที่ยว”
    พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่ผูกกับจุดขนส่งชายแดน: นักเดินทางที่เข้า–ออกด่าน สามารถถูกดึงเข้ามาใช้ค่าใช้จ่ายเพิ่มในเมือง ผ่านแพ็กเกจคาเฟ่–มิวเซียม–ของฝาก และบริการสปา–สุขภาพ–แอดเวนเจอร์ระยะสั้น
  • ยกระดับอีโคซิสเต็มดิจิทัล
    สนับสนุนผู้ค้าใช้ QR พร้อมเพย์–บัญชีรับเงินธุรกิจ–เครื่องออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มความน่าเชื่อถือ และทำให้ข้อมูลยอดขาย “สะท้อนจริง” ต่อการวางแผนสต็อกและขอสินเชื่อ

ตัวเลขชวนคิด” เพื่อการตัดสินใจของเชียงราย

  • 73.5 = RSI ภาคเหนือเดือนตุลาคม 2568 — โซนบวกชัดใน 6 เดือนข้างหน้า
  • 2.4% = จีดีพีไทยปี 2568 (คาดการณ์) — เปิดช่องทำรายได้ปลายปี-ต้นปี
  • 10.0% = การส่งออกทั้งปีกลับมาโตแรง — โอกาสต่อซัพพลายเชนชายแดน
  • -0.2% → 0.5% = เงินเฟ้อ 2568→2569 — ปีหน้าแรงกดดันค่าใช้จ่ายอาจยกหัว
  • 1.41 ล้านล้านบาท = มูลค่าอุตสาหกรรมก่อสร้าง 2569 (คาด “ทรงตัว”) — บอกให้วางแผนลงทุนแบบคุมความเสี่ยง

ภาคบริการ–ผู้ประกอบการรายย่อยจะ “เกียร์ออโต้” ได้อย่างไร

  1. ดีลราคาล่วงหน้า กับซัพพลายเออร์ (เนื้อ–ผัก–กาแฟ–เบเกอรี่–น้ำมันปรุงอาหาร) ในกรอบ 3–4 เดือน เพื่อคุมมาร์จินช่วงพีก
  2. แพ็กเกจประสบการณ์ มากกว่า “ลดราคา” เช่น เซ็ตอาหารท้องถิ่น + เวิร์กช็อป + มุมถ่ายรูป + ส่วนลดร้านคู่ค้า เพื่อเพิ่มมูลค่าต่อบิล
  3. เวลาทำการยืดหยุ่น สอดรับเที่ยวบิน–รถทัวร์–ด่านชายแดน เปิดเช้าขึ้น/ปิดดึกขึ้นในช่วงสัปดาห์พีก
  4. ข้อมูลลูกค้า = ทองคำ: เก็บอีเมล/ไลน์ OA จากลูกค้าหน้าร้าน พร้อมคูปองคัมแบ็กไตรมาส 1/2569 เพื่อลดหลุมยอดขายหลังเทศกาล
  5. มาตรฐานสะอาด–ปลอดภัย–ยั่งยืน สื่อสารชัด (ขยะเปียกลดเหลือศูนย์/ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น/ลดพลาสติกใช้ครั้งเดียว) ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวคุณภาพ

หน้าต่างแห่งโอกาส” ของเชียงรายในอีก 6 เดือน

ดัชนี RSI ที่ 73.5 ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจจะพุ่งแรงในชั่วข้ามคืน แต่มันบอกเราว่า โอกาสมีมากกว่าความเสี่ยง ในช่วงครึ่งปีข้างหน้า หากเชียงราย แปลงมาตรการกระตุ้น ให้เป็นกิจกรรมพื้นที่ที่เข้าถึงผู้ค้า–ชุมชนจริง ใช้ฤดูท่องเที่ยวเป็น “เครื่องเร่งการไหลเวียน” ของเงิน และยกระดับมาตรฐานบริการให้สอดรับผู้บริโภคยุคใหม่ เม็ดเงินจะไหลลึกและยั่งยืนกว่าแค่ “ภาพคนแน่นงาน”

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการต้อง ไม่หลงลืมภาพปี 2569 ที่ท้าทายกว่า—จากการชะลอของจีดีพีและการหดตัวของส่งออกตามวัฏจักร—จึงควรเตรียมกันชนด้านเงินสด สัญญาวัสดุ–แรงงาน และผลิตภัณฑ์–ตลาดที่ยืดหยุ่นไว้แต่เนิ่น ๆ

สารที่ควรถูกตอกย้ำ ถ้าภาคเอกชน–ชุมชน–ท้องถิ่นจับมือกัน “ออกแบบเศรษฐกิจหน้าร้าน” ให้สอดรับมาตรการใหญ่ของรัฐ เชียงรายจะไม่เพียง “รับลมหนาวเศรษฐกิจ” แต่จะสามารถ ชี้ทางลม ให้ไหลผ่านชุมชนอย่างเป็นธรรม สร้างรายได้ กระจายโอกาส และวางฐานใหม่สำหรับปีหน้าที่ท้าทายกว่า

เค้าโครงข้อมูลสำคัญที่ใช้ประกอบการรายงาน

  • ประมาณการเศรษฐกิจไทย 2568–2569 (ต.ค. 2568/ต.ค. 2569f)
    • จีดีพี 2568 = 2.4%, 2569f = 2.0%
    • บริโภคเอกชน 2568 = 3.0%, 2569f = 2.4%
    • เงินเฟ้อทั่วไป 2568 = -0.2%, 2569f = 0.5%
    • ส่งออกสินค้าและบริการ (Real term) 2568 = 7.6%, 2569f = -1.7%
    • ดุลบัญชีเดินสะพัด 2568 = 20.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, 2569f = 15.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
      (ตัวเลขตามเอกสารอินโฟกราฟิกของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังที่เผยแพร่ ณ ตุลาคม 2568/2569f)
  • ดัชนี RSI ต.ค. 2568
    • ภาคเหนือ 73.5 | ตะวันออก 75.5 | EEC 78.7 | อีสาน 73.9 | ตะวันตก 72.8 | ใต้ 72.7 | ภาคกลาง 68.5 | กทม.–ปริมณฑล 63.8
    • องค์ประกอบที่หนุนภาคเหนือ บริการ–ท่องเที่ยว และ อุตสาหกรรม บนแรงส่งไฮซีซันและมาตรการรัฐ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง (สศค.)
  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ยอดใช้สิทธิ “คนละครึ่งพลัส” วันแรก 1.9 พันล้าน! รัฐย้ำห้ามทอนเงินสด-ซื้อสินค้าต้องห้ามเด็ดขาด

รัฐบาลย้ำกฎ “คนละครึ่งพลัส” หลังยอดใช้สิทธิวันแรก 1.9 พันล้าน—ตำรวจสอบสวนกลางเปิดปฏิบัติการ “ปิดเกม รับ–แลก–ลวง” จับ 3 ผู้ต้องหา ระดมแพลตฟอร์มออนไลน์สกัดโกง–ขึ้นราคา เอื้อผู้บริโภคและร้านรายย่อย

กรุงเทพฯ/เชียงราย, 30 ตุลาคม 2568 — เริ่มใช้สิทธิ 29 ต.ค. 2568 เงินสะพัดเกือบ 2,000 ล้านบาท หมวด “ร้านธงฟ้า–อาหาร/เครื่องดื่ม” นำโด่ง ขณะที่รัฐบาลเตือนเข้ม “ห้ามซื้อสินค้าต้องห้าม–ห้ามทอนเงินสด” ลุยกวาดล้างโพสต์ชวนแลกเงินสดบนโซเชียล เพิ่มคู่สาย 1166 รับร้องเรียน และผนึก 5 แพลตฟอร์มปิดช่องเอาเปรียบผู้บริโภค ด้านพาณิชย์ฯ เชียงรายลงพื้นที่ตรวจป้ายราคา–กำกับการเข้าร่วมโครงการ

เพียงหนึ่งวันหลังโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เปิดให้ประชาชนใช้สิทธิ (29 ต.ค. 2568) กระทรวง–หน่วยงานกำกับ–ฝ่ายความมั่นคงทางเศรษฐกิจขยับพร้อมกันทั้ง “เร่งเครื่องเศรษฐกิจฐานราก” และ “ล็อกกติกาป้องกันการบิดเบือน” โดยยอดใช้จ่ายวันแรกพุ่งแตะ 1,900 ล้านบาท นำโดยหมวดร้านธงฟ้าและอาหาร/เครื่องดื่ม ทว่าในอีกด้าน หน่วยงานรัฐต้องเร่ง “ปิดเกม รับ–แลก–ลวง” บนโซเชียลมีเดีย จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย ในหลายจังหวัด พร้อมย้ำบทลงโทษ “ฉ้อโกง” และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ขณะเดียวกัน รัฐบาลดึง Shopee, Lazada, TikTok Shop, Grab และ LINE MAN ร่วมสกัดพฤติกรรมฉวยโอกาสขึ้นราคา–ทอนเงินสด–จำหน่ายสินค้าต้องห้าม เสริมกลไกคุ้มครองผู้บริโภคผ่านสายด่วน สคบ. 1166 ที่เพิ่มอีก 10 คู่สาย

ภาพรวมการใช้สิทธิ เงินสะพัด–หมวดอุปโภคบริโภคมาแรง

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยตัวเลขการใช้สิทธิ “คนละครึ่งพลัส” วันแรก (29 ต.ค. 2568) ว่า มียอดจับจ่ายรวม 1,900 ล้านบาท โดยแบ่งตามประเภทร้านค้า ดังนี้

  1. ร้านธงฟ้า 709 ล้านบาท
  2. ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 697 ล้านบาท
  3. ร้านทั่วไปและอื่น ๆ 474 ล้านบาท
  4. ร้านค้าบริการ 10 ล้านบาท
  5. ร้านโอทอป 8 ล้านบาท
  6. กิจการขนส่งมวลชนสาธารณะ 3 ล้านบาท

สำหรับจังหวัด/พื้นที่ที่มีการใช้สิทธิสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, นครราชสีมา, สมุทรปราการ, ปทุมธานี, นนทบุรี, สงขลา, นครศรีธรรมราช, เชียงใหม่ และขอนแก่น สะท้อนลักษณะเศรษฐกิจเมืองใหญ่/ปริมณฑลและหัวเมืองภูมิภาคที่มีฐานการบริโภคเข้มข้น

รัฐบาลยังเชิญชวนร้านค้า–ผู้ประกอบการที่ยังไม่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ โดยยืนยันว่า จะไม่มีการส่งข้อมูลยอดขายให้กรมสรรพากร” พร้อมสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยลงพื้นที่อำนวยความสะดวกการลงทะเบียน/ยืนยันตัวตน เพื่อขยายฐานร้านค้าให้รองรับความต้องการของประชาชนได้ทั่วถึง

ข้อกำหนดสำคัญ สินค้าต้องห้าม–ห้ามทอนเป็นเงินสด

นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำ “วัตถุประสงค์หลัก” ของโครงการคือ บรรเทาภาระค่าครองชีพ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ผ่านการช่วยซื้อ สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น–เพื่อการศึกษา–วัตถุดิบเกษตร จาก “ร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น” และร้านอื่นตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด โดยใช้สิทธิได้ตั้งแต่ 29 ต.ค.–31 ธ.ค. 2568

เพื่อป้องกันการเบี่ยงเบน วางเงื่อนไข “สินค้าต้องห้าม” ไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ สลากกินแบ่งรัฐบาล, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด, ผลิตภัณฑ์ยาสูบ, บัตรกำนัล (Gift Voucher), บัตรเงินสด รวมถึงการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า นอกจากนี้ ห้ามผู้ประกอบการรับหรือเรียกรับ–ทอนเป็นเงินสด หรือให้ประโยชน์รูปแบบอื่นจากการขายอาหาร/เครื่องดื่มผ่านบริการ Food Delivery ไม่ว่ากรณีใด เพื่อ “ตัดวงจร” การแปลงสิทธิเป็นเงินสดโดยไม่เกิดการซื้อขายสินค้าจริง

ปฏิบัติการ “ปิดเกม รับ–แลก–ลวง” เอาผิด 3 ผู้ต้องหา–อายัดของกลาง

วันที่ 29 ต.ค. 2568 ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ประสาน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จับกุมผู้ต้องหา 3 ราย ในหลายพื้นที่ ได้แก่ สมุทรปราการ–อุดรธานี–นครสวรรค์ ในความผิดเกี่ยวกับการ นำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ/บิดเบือน อันน่าจะก่อผลเสียหายต่อสาธารณะ และพฤติการณ์ ชักชวนแลกเงินสดแทนการใช้สิทธิ ผ่าน Facebook ซึ่งเข้าข่าย “ฉ้อโกง” และทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าสามารถแปลงวงเงินโครงการเป็นเงินสดได้โดยไม่ซื้อสินค้า

ผลการตรวจค้น ยึดโน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ เอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมถึงหลักฐานการติดตั้งแอป “เป๋าตัง” และการติดต่อช่องทางต่าง ๆ ส่งตัวผู้ต้องหาให้พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปอศ. ดำเนินคดี โดยปฏิบัติการอยู่ภายใต้การอำนวยการของผู้บังคับบัญชาตำรวจสอบสวนกลางและผู้บริหาร สศค.

บทลงโทษ การกระทำลักษณะ รับ–แลก–ลวง” ตามที่รัฐบาลเตือน มีความผิดฐาน ฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้กระทำผิดจะถูก ระงับสิทธิ เข้าร่วมโครงการรัฐอื่น พร้อม เรียกคืนเงิน ที่รัฐเสียหาย เพิ่มเติมจากความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีเผยแพร่ข้อมูลเท็จ/บิดเบือนบนสื่อออนไลน์

มาตรการ “Quick Big Win” ผนึกแพลตฟอร์มออนไลน์–อาวุธ AI–เพิ่มคู่สายร้องเรียน

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 30 ต.ค. 2568 นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อม นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ประชุมร่วม 5 แพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำ (Shopee, Lazada, TikTok Shop, Grab, LINE MAN) โฟกัส 2 วาระ

  1. ปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าและสินค้าผิดกฎหมาย บนแพลตฟอร์ม โดยนำ AI ตรวจจับ/ระงับบัญชีผู้ขายทันทีเมื่อพบฝ่าฝืน และแจ้งเงื่อนไขสินค้าควบคุมให้ร้านค้าทราบชัดเจน
  2. คุ้มครองผู้บริโภคภายใต้ “คนละครึ่งพลัส” ด้วย 3 มาตรการหลัก
    • ปิดระบบแก้ไขเมนู ของร้านค้าเมื่อพบความผิดปกติด้านราคา/รายการสินค้า เพื่อป้องกัน “อัพราคา–ซ่อนราคา”
    • มอบโค้ดส่วนลดอาหาร ให้ผู้บริโภค สนับสนุนการใช้สิทธิอย่างเป็นธรรม
    • ลดค่าธรรมเนียมให้ร้านค้า ที่เข้าร่วมโครงการ ช่วยบรรเทาภาระผู้ประกอบการรายย่อย

เพื่อเสริมการคุ้มครองผู้บริโภค สคบ. เพิ่มคู่สาย 1166 อีก 10 คู่สาย รองรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับโครงการ และเปิดช่องร้องเรียนออนไลน์ของ สคบ. ให้ประชาชนแจ้งเบาะแสได้สะดวกขึ้น

ภาคสนามจังหวัด พาณิชย์ฯ เชียงรายเช็กป้ายราคา–กำกับร่วมโครงการ

ในระดับจังหวัด สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย (30 ต.ค. 2568) มอบหมายทีมลงพื้นที่ งาน Chiang Rai Premium Market และ Street Food Festival หน้าด่านพรมแดนไทย–เมียนมา อ.แม่สาย เพื่อตรวจการปิดป้ายแสดงราคาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และ ประกาศ กกร. ฉบับที่ 68 พ.ศ. 2568 ผลการตรวจพบว่าผู้ประกอบการ ปิดป้ายราคาอย่างชัดเจน และ ร้านค้าส่วนใหญ่เข้าร่วม “คนละครึ่งพลัส” ทำให้บรรยากาศการซื้อขายคึกคัก ช่วยลดค่าครองชีพได้จริง พร้อมเปิดช่องร้องเรียน สายด่วน 1569 (กรมการค้าภายใน) และเบอร์ติดต่อสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เพื่อจัดการข้อพิพาท/เอาเปรียบผู้บริโภค

มุมนี้สะท้อน “มือหน้าด่าน” ของภาครัฐในจังหวัดชายแดนที่มีพลวัตการค้า–ท่องเที่ยวสูง การกำกับป้ายราคาช่วย ป้องกันการอัพราคาโดยไม่ชอบ และทำให้ผู้ใช้สิทธิรับรู้ “ราคาจริง–สิทธิจริง” ก่อนกดจ่าย

ผลกระทบและประเด็นท้าทาย ระหว่าง “เร่งเครื่องใช้จ่าย” กับ “ล็อกกติกา”

โครงการเริ่มต้นด้วยแรงซื้อที่ชัดเจน (1,900 ล้านบาทวันแรก) โดยหมวดที่ตอบโจทย์ค่าครองชีพเด่นชัด เช่น ร้านธงฟ้า–อาหาร/เครื่องดื่ม ชี้ว่ามาตรการ ช่วยลดภาระครัวเรือนรายย่อย และ เพิ่มสภาพคล่องให้ร้านเล็ก–รายย่อย ในระยะสั้น อย่างไรก็ดี การกระจายตัวระดับพื้นที่สะท้อน “ความพร้อมโครงสร้างร้านค้า–แพลตฟอร์ม–การยืนยันตัวตน” เมืองใหญ่มีความพร้อมสูงกว่า จำเป็นต้องเร่ง ขยายฐานร้าน ในอำเภอ/ตำบล เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิได้เท่าเทียม

ฟากธรรมาภิบาล ต้อง “ตัดไฟแต่ต้นลม” กับวงจร แปลงสิทธิเป็นเงินสด และ รายการเทียม ซึ่งบิดเบือนวัตถุประสงค์ จุดแข็งของรัฐในรอบนี้คือการทำงานเชิงรุก CIB–สศค. ที่บูรณาการข่าวกรองออนไลน์–ลงมือจับกุมรวดเร็ว และการประสาน สคบ.–แพลตฟอร์ม เพื่อปิดช่องกลไก “อัพราคา/ปั่นราคา” ได้ทันที อย่างไรก็ตาม ความต่อเนื่องและความเร็วของการตอบสนองยังเป็น “ตัวชี้ผลลัพธ์” ที่ต้องจับตา เพราะพฤติกรรมเลี่ยงกฎจะพลิกแพลงตามมาตรการเสมอ ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค–ร้านรายย่อย การ เพิ่มคู่สาย 1166 และ “ลดค่าธรรมเนียม/โค้ดส่วนลด” ช่วยสร้างแรงจูงใจ สองข้างทาง คือ ทำให้ผู้บริโภคอยากใช้สิทธิ และทำให้ร้านรายย่อย “ยอมรับ–พร้อมเข้าร่วม” มากขึ้น ขณะเดียวกัน “การสื่อสาร” ต้องย้ำเงื่อนไข สินค้าต้องห้าม–ห้ามทอนเงินสด อย่างเข้าใจง่ายในทุกช่องทาง รวมทั้งทำ FAQ–Infographic เพื่อลดความสับสน ณ จุดขาย/แอป

สี่ มาตรการระดับจังหวัดอย่าง พาณิชย์ฯ เชียงราย เป็นต้นแบบที่ชัดเจนของ “กำกับเชิงบวก” คือ ไม่ใช่เพียงตรวจ–ลงโทษ แต่ อำนวยความสะดวก–ปรับความเข้าใจ–ชี้ช่องทางร้องเรียน ทำให้ผู้ประกอบการ “เล่นตามกติกา” และประชาชน “มั่นใจใช้สิทธิ” ในพื้นที่กิจกรรมคึกคัก เช่น งานเทศกาล–แนวชายแดน

ข้อเสนอเชิงระบบและตัวชี้วัดที่ควรติดตาม

  1. แดชบอร์ดสาธารณะรายวัน: แสดงยอดการใช้สิทธิแยกจังหวัด/หมวด/ร้านธงฟ้า–ร้านอาหาร–ร้านทั่วไป เพื่อติดตามประสิทธิผลด้านเศรษฐกิจฐานรากแบบโปร่งใส
  2. อัตราความผิดปกติ: รายงานจำนวนกรณีต้องสงสัย–เวลาตอบสนอง–ผลลัพธ์การระงับสิทธิ/ดำเนินคดี เพื่อ “กดพฤติกรรมเลี่ยงกฎ” ด้วยความแน่นอนของบทลงโทษ
  3. ดัชนีความพึงพอใจผู้บริโภค–ร้านค้า: วัดประสบการณ์ใช้สิทธิ/ขั้นตอนยืนยันตัวตน/ต้นทุนธุรกรรม ช่วยชี้เป้าการปรับปรุงแอป–ระบบหน้างาน
  4. การกระจายตัวเชิงพื้นที่: ติดตามจำนวนร้านเข้าร่วมต่อประชากร/อำเภอ เพื่อสั่งการ “ปูพรมลงพื้นที่” โดย มท.–พณ.–อปท. ในจังหวัดที่เข้าถึงสิทธิต่ำ
  5. ระบบเตือนภัยราคา: ประสานข้อมูล สคบ.–พาณิชย์จังหวัด–แพลตฟอร์ม ตั้ง threshold ตรวจขึ้นราคาผิดปกติแบบ near real-time โดยเฉพาะหมวดอาหารยอดนิยม

เสียงจากฝ่ายนโยบาย

  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี (ผ่านโฆษกรัฐบาล) เชิญชวนร้านค้าเข้าร่วมโครงการ พร้อมย้ำว่า ไม่มีการส่งข้อมูลยอดขายให้กรมสรรพากร และสั่งการ กระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่อำนวยความสะดวกการลงทะเบียน–ยืนยันตัวตน
  • นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุผลการหารือแพลตฟอร์มว่า หากพบพฤติกรรมผิดปกติจะ ปิดระบบตรวจสอบทันที พร้อม เพิ่มคู่สาย 1166 และใช้ AI ตรวจจับสินค้าผิดกฎหมาย อาทิ บุหรี่ไฟฟ้า
  • นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกรัฐบาล ย้ำเจตนารมณ์โครงการเพื่อ บรรเทาค่าครองชีพ และทบทวนข้อห้าม สลากฯ–แอลกอฮอล์–ยาสูบ–บัตรกำนัล/เงินสด–จ่ายล่วงหน้า–ทอนเงินสด อย่างเคร่งครัด

วันแรกของ “คนละครึ่งพลัส” สะท้อน แรงซื้อจริง ของครัวเรือนและร้านรายย่อย ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอ จุดแข็งของรอบนี้คือ “นโยบายเศรษฐกิจ–กติกาคุ้มครอง–การบังคับใช้กฎหมาย–ความร่วมมือแพลตฟอร์ม” ที่ขยับพร้อมกัน ทำให้ภาพรวม “เดินหน้า–ปิดช่อง” ไปพร้อมกัน อย่างไรก็ดี ความยั่งยืนของประสิทธิผลยังขึ้นกับ ความต่อเนื่องในการสกัดโกง–ความรวดเร็วในการตอบสนอง–และการกระจายโอกาสเข้าถึงสิทธิในทุกพื้นที่ หากทำได้ครบ โครงการจะไม่เพียง ช่วยค่าครองชีพ แต่ยัง คืนความเชื่อมั่น ว่ามาตรการรัฐสามารถ เข้าถึง–เป็นธรรม–ตรวจสอบได้ โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)
  • กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)
  • คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

รัฐมนตรีว่าการคลังเปิดเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย รับข้อเสนอ “คนละครึ่ง”

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตของไทย

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ กล่าวถึงข้อเสนอจากภาคเอกชน

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยเกี่ยวกับข้อเสนอจากภาคเอกชนที่เสนอให้รัฐบาลพิจารณานำมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านการลดหย่อนภาษีและโครงการคนละครึ่งกลับมาใช้ใหม่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังระบุว่ารัฐบาลได้พิจารณาข้อเสนอทั้งหมดอย่างรอบคอบและไม่ปิดกั้นข้อเสนอใดๆ

การพิจารณามาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและลดหย่อนภาษี

นายจุลพันธ์กล่าวว่า หากการดำเนินมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายหรือการลดหย่อนภาษีดำเนินไปในช่วงไฮซีซั่น ประชาชนก็มีการใช้จ่ายอยู่แล้ว ดังนั้น ควรรอให้มาตรการดังกล่าวถูกนำมาใช้ในช่วงที่ประชาชนชะลอการใช้จ่าย หรือช่วงโลว์ซีซั่น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

มุ่งเน้นประโยชน์ของชาวบ้านมากกว่าเรื่องศักดิ์ศรี

นายจุลพันธ์เน้นย้ำว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ได้ยึดติดกับเรื่องศักดิ์ศรี แต่ให้ความสำคัญกับการนำประโยชน์ของชาวบ้านมาเป็นหลัก หากโครงการที่ภาคเอกชนเสนอมาแล้วยังมีประโยชน์ รัฐบาลก็พร้อมดำเนินการโดยไม่ติดขัดใดๆ

เป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 และ 2568

นายจุลพันธ์กล่าวว่ารัฐบาลตั้งเป้าให้เศรษฐกิจไทยเติบโต 3% ในปี 2567 และคาดว่าในปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตเกิน 3% แน่นอน ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา รวมถึงการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต

นายจุลพันธ์ย้ำว่าในช่วงปีใหม่ที่จะถึงนี้ รัฐบาลจะมีมาตรการใหม่ๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแน่นอน ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย

การดูแลสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าไปดูแลในเรื่องสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีแรงขับเคลื่อนที่ดีและสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

การไม่ยึดติดกับมาตรการเก่าแต่เปิดรับมาตรการใหม่ที่มีประโยชน์

นายจุลพันธ์กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลไม่ยึดติดกับมาตรการที่เคยทำมาแล้วในอดีต แต่เปิดรับมาตรการใหม่ที่สามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน หากมาตรการที่เสนอมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและประชาชน รัฐบาลก็พร้อมที่จะดำเนินการอย่างไม่ลังเล

การมองการณ์ไกลเพื่อเศรษฐกิจที่มั่นคง

นายจุลพันธ์กล่าวว่า การดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนและสามารถแข่งขันในระดับโลกได้

บทสรุป

การเปิดเผยของนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการนำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน รัฐบาลพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนและนำมาตรการใหม่ๆ มาใช้เพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงให้กับประเทศไทยในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News