Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไทย-จีน จับมือ! บริหารน้ำข้ามแดน แม่น้ำโขง-สาย-รวก

ไทย-จีนเดินหน้ากระชับความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดน เสริมแกร่งระบบเตือนภัยในลุ่มน้ำสาย-รวก

เชียงราย, 25 มีนาคม 2568 – สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) แถลงต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมหารือความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคีด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำของชุมชนลุ่มน้ำสายและแม่น้ำรวก ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน

สทนช. – จีน หารือระดับสูง หวังต่อยอดความร่วมมือ

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือร่วมกับ นายหลี่ กั๋วอิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำจีน และคณะ ในโอกาสเยือนประเทศไทยระหว่างวันที่ 20–22 มีนาคม 2568 ว่า การหารือครั้งนี้นับเป็นหมุดหมายสำคัญในการพัฒนาความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำระหว่างสองประเทศ

คณะรัฐมนตรีจีนได้เยี่ยมชมสถานีตรวจวัดระดับน้ำแม่น้ำโขงในพื้นที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อศึกษาแนวทางบริหารจัดการน้ำในเขตชายแดน และเข้าใจบริบทปัญหาน้ำที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองฝั่ง

ความร่วมมือระดับทวิภาคีและพหุภาคี ก้าวสู่ความยั่งยืน

ในระดับทวิภาคี ไทยและจีนได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจด้านทรัพยากรน้ำและการชลประทานร่วมกันผ่านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยล่าสุด มีการหารือถึงการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง สทนช. กับกระทรวงทรัพยากรน้ำจีน โดยตรง เพื่อเสริมสร้างกลไกความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน ระดับพหุภาคีผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (Mekong–Lancang Cooperation: MLC) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย จีน กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ก็มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมโครงการด้านน้ำอย่างยั่งยืน

โครงการจากกองทุน MLC เสริมรับมืออุทกภัยในลุ่มน้ำสาย–รวก

ที่ผ่านมา สทนช. ได้เสนอโครงการต่อกองทุนพิเศษแม่โขง–ล้านช้าง (MLC Special Fund) และได้รับการอนุมัติให้ดำเนิน “โครงการวิจัยร่วมเพื่อการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดนด้านอุทกภัยและภัยแล้ง” ในพื้นที่ลุ่มน้ำสาย–รวก ซึ่งเป็นลำน้ำที่ไหลผ่านเขตชายแดนไทยและเมียนมา

แม้โครงการดังกล่าวจะประสบปัญหาในการดำเนินการช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้แผนงานล่าช้า แต่ในปี 2567 สทนช. ได้เสนอ “โครงการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของชุมชนเมืองต่ออุทกภัยในสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง” เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนดังกล่าวในปี 2568 โดยโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของทางการจีน

ระบบเตือนภัยล่วงหน้า – เครื่องมือสำคัญของประชาชน

หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้ คือการพัฒนา “ระบบแจ้งเตือนอุทกภัยล่วงหน้า (Early Warning System)” ซึ่งจะเชื่อมโยงข้อมูลจากสถานีตรวจวัดน้ำชายแดน และใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System) เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนสามารถเตรียมการรับมือกับภัยน้ำท่วมและภัยแล้งได้ทันท่วงที

เลขาธิการ สทนช. กล่าวย้ำว่า ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและข้อมูลระหว่างประเทศจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับสภาวะอากาศที่แปรปรวน และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง

มุมมองจากสองฝ่าย: ประโยชน์–ข้อควรระวังจากความร่วมมือข้ามพรมแดน

ฝ่ายสนับสนุน
มองว่าความร่วมมือด้านน้ำระหว่างไทย–จีน โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการในลุ่มน้ำสาย–รวก ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาว ทั้งยังเป็นโอกาสดีที่ไทยจะได้เทคโนโลยีทันสมัยจากจีนมาใช้ในการคาดการณ์ภัยพิบัติ ช่วยลดต้นทุนการเยียวยาภายหลัง และปกป้องชีวิตของประชาชนในชุมชนชายแดนที่เผชิญกับน้ำท่วมบ่อยครั้ง

ฝ่ายตั้งข้อสังเกต
แม้การร่วมมือด้านน้ำจะมีข้อดี แต่ก็มีความกังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลน้ำที่อาจไม่สมดุลระหว่างประเทศต้นน้ำ (จีน) กับปลายน้ำ (ไทย) หากไม่มีความโปร่งใสในการแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือไม่มีระบบตรวจสอบที่เข้มแข็ง อาจทำให้การบริหารน้ำไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะในภาวะภัยแล้งที่จีนมีอำนาจในการปล่อยหรือกักเก็บน้ำจากเขื่อนต้นน้ำ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • ปีที่สานความสัมพันธ์ไทย–จีน: ครบรอบ 50 ปี (พ.ศ. 2518–2568)
  • สมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (MLC): 6 ประเทศ
  • โครงการจากกองทุนพิเศษ MLC ที่ไทยเสนอปี 2567:
    • โครงการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของชุมชนลุ่มน้ำสาย–รวกต่ออุทกภัย
    • ชื่อเต็ม: Strengthening Urban Community Resilience against Flashflood under Changing Climate and Extreme Events in Sai and Ruak Transboundary River
  • ประเทศที่เกี่ยวข้องกับลุ่มน้ำสาย–รวก: ไทย และ เมียนมา
  • พื้นที่ศึกษาระบบเตือนภัยและวางระบบตรวจวัดน้ำ: อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
  • โครงการที่แล้ว (ปี 2561): โครงการวิจัยร่วมด้านน้ำข้ามพรมแดน ระหว่างไทย–เมียนมา (ลุ่มน้ำสาย–รวก)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)

  • กระทรวงทรัพยากรน้ำ สาธารณรัฐประชาชนจีน

  • เอกสารข้อเสนอโครงการปี 2567 ของ สทนช.

  • กรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (Mekong–Lancang Cooperation)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

คุมเข้มชายแดน อ.แม่สาย ไทย-เมียนมาประชุม กำแพง-ขุดลอก

ไทย-เมียนมา ประสานงานสร้างกำแพงป้องกันตลิ่งแม่น้ำสาย หวังลดผลกระทบฤดูน้ำหลาก

เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไทย-เมียนมา ลงพื้นที่สำรวจพิกัดแนวกำแพงป้องกันตลิ่ง

เชียงราย, 11 มีนาคม 2568 – เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ร่วมกับโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย และหน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา ประจำพื้นที่ 1 (TBC) กรมแผนที่ทหาร ลงพื้นที่ตรวจสอบตำแหน่งค่าพิกัดแนวกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งในพื้นที่ชุมชนปงถุน และชุมชนท่าล้อ จังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ซึ่งตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำสายและอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยมีการกำหนดพื้นที่ดำเนินการก่อสร้าง 3 จุด ได้แก่:

  1. จุดก่อสร้างกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งตรงข้ามสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1
  2. จุดก่อสร้างกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งใต้สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1
  3. จุดก่อสร้างกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งบริเวณหลังโรงแรมอารัว

การดำเนินงานดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมา เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการกำหนดพิกัดแนวเขตแดน หลังจากฝ่ายเมียนมาได้ดำเนินการปรับพื้นที่ริมฝั่งเพื่อเตรียมสร้างกำแพงป้องกันน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง ก่อนฤดูฝนปีนี้

การประชุมความร่วมมือ ไทย-เมียนมา เพื่อพัฒนาแนวป้องกันแม่น้ำสาย

นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และคณะ ได้เดินทางไปร่วมประชุมกับฝ่ายจังหวัดท่าขี้เหล็ก ณ โรงแรมวันจีวัน โดยมีนายประสงค์เป็นประธานฝ่ายไทย และนายซอ วิน ผู้อำนวยการทรัพยากรน้ำและการพัฒนาระบบแม่น้ำ เป็นประธานฝ่ายเมียนมา

การประชุมดังกล่าวเป็นเวทีหารือเกี่ยวกับผลการสำรวจแนวเขตลำน้ำสาย-แม่น้ำรวก ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการป้องกันน้ำท่วมของทั้งสองประเทศ โดยมีการหารือเกี่ยวกับแนวทางการขุดลอกแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก เพื่อป้องกันการตื้นเขินและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในช่วงฤดูฝน

ที่ประชุมมีมติให้รายงานผลการประชุมไปยัง คณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมา (JCR) เกี่ยวกับเส้นเขตแดนคงที่ช่วงแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก เพื่อขอความเห็นชอบในการดำเนินการขุดลอกแม่น้ำอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการขุดลอกแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีความคาดหวังให้ดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2568 ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน

แนวโน้มและผลกระทบจากการก่อสร้างกำแพงป้องกันตลิ่ง

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

  • ลดความเสียหายจากน้ำท่วม – กำแพงป้องกันตลิ่งสามารถช่วยลดผลกระทบจากการกัดเซาะของน้ำในช่วงฤดูฝน ทำให้ชุมชนริมแม่น้ำมีความปลอดภัยมากขึ้น
  • เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ – โครงการนี้เป็นการทำงานร่วมกันของไทยและเมียนมา ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ
  • พัฒนาแนวเขตแดนที่ชัดเจนขึ้น – การกำหนดพิกัดแนวกำแพงป้องกันตลิ่งจะช่วยให้มีการจัดการเขตแดนระหว่างสองประเทศที่เป็นระบบมากขึ้น

ข้อกังวลจากบางฝ่าย

  • ผลกระทบต่อระบบนิเวศ – นักอนุรักษ์บางกลุ่มกังวลว่าการก่อสร้างแนวกำแพงอาจส่งผลต่อกระแสน้ำและระบบนิเวศของแม่น้ำสาย รวมถึงสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว
  • ความล่าช้าของโครงการขุดลอกแม่น้ำ – แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเห็นพ้องต้องกันว่าควรขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินงานจริง ซึ่งอาจส่งผลให้การระบายน้ำในฤดูฝนไม่ได้ผลตามที่คาดการณ์ไว้

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา (2567) ระบุว่า เชียงรายมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,800 มิลลิเมตรต่อปี และคาดการณ์ว่าปี 2568 ปริมาณฝนอาจเพิ่มขึ้น 10% ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดน้ำหลากในพื้นที่เสี่ยง
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สายถึง 8 ครั้ง โดย 3 ครั้งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายรุนแรง
  • ข้อมูลจากหน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา (TBC) ระบุว่า โครงการก่อสร้างกำแพงป้องกันตลิ่งในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา มีอัตราความสำเร็จเฉลี่ย 75% และคาดว่าโครงการปัจจุบันจะแล้วเสร็จภายใน 2 ปี

ข้อสรุป

โครงการสร้างกำแพงป้องกันตลิ่งบริเวณแม่น้ำสายเป็นความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมา ที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันปัญหาน้ำหลากและการกัดเซาะริมฝั่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและความล่าช้าของโครงการขุดลอกแม่น้ำ ซึ่งต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานนี้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งสองประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุตุนิยมวิทยา (2567) / สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย / หน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา (TBC)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News