Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กองทัพบกผนึกกำลังอำเภอแม่สาย สู้ภัยดินโคลน เร่งสร้างแนวป้องกัน

เชียงรายเดินหน้าป้องกันดินโคลนน้ำหลาก กองทัพบกร่วมอำเภอแม่สาย เร่งขุดลอกแม่น้ำ-เสริมแนวป้องกันชั่วคราว สร้างภูมิคุ้มกันชุมชนช่วงฤดูฝน

เชียงราย, 22 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางสภาพอากาศฤดูฝนที่ทวีความรุนแรงในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะเขตอำเภอแม่สาย กำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากดินโคลนน้ำหลากและน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในวงกว้าง จากสถานการณ์ดังกล่าว หน่วยงานทหารกองทัพบก โดยหน่วยทหารช่าง ได้ประสานความร่วมมือกับที่ว่าการอำเภอแม่สาย ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง

เดินหน้า 2 แนวทางหลัก ขุดลอก-เสริมแนวป้องกัน

การบริหารจัดการพื้นที่ในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การขุดลอกดินตะกอนในแม่น้ำสายสำคัญ เพื่อเปิดทางน้ำและลดการท่วมขัง และการเสริมแนวป้องกันชั่วคราวในเขตชุมชนเศรษฐกิจ เพื่อปกป้องประชาชนในพื้นที่เสี่ยงในช่วงรอการก่อสร้างแนวป้องกันถาวรในอนาคต

โดยเฉพาะในส่วนของแม่น้ำรวก ฝั่งไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในลำน้ำสายหลักที่มักมีน้ำหลากไหลผ่านและก่อให้เกิดน้ำท่วมในหลายชุมชน ความคืบหน้าการขุดลอกล่าสุดอยู่ที่ 65.91% งานนี้ดำเนินการด้วยความต่อเนื่องแม้จะเผชิญกับสภาพฝนฟ้าคะนอง เพื่อให้สามารถลดปริมาณตะกอน เปิดทางระบายน้ำ ลดความเสี่ยงจากภัยน้ำท่วม และรองรับปริมาณน้ำในฤดูฝนที่กำลังจะถึง

ขณะเดียวกัน โครงการเสริมแนวป้องกันชั่วคราวในเขตชุมชนเศรษฐกิจ ได้เร่งอุดและเสริมความแข็งแรงให้กับแนวป้องกันเดิม เพื่อเพิ่มความมั่นคงก่อนจะมีการก่อสร้างแนวป้องกันถาวรตามแผนยุทธศาสตร์ของกรมโยธาธิการและผังเมือง งานในส่วนนี้มีความคืบหน้าถึง 73.06% แล้ว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับบ้านเรือน ผู้ประกอบการ และโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ชุมชน

ทหารช่างลุย 24 ชั่วโมง – ปฏิบัติการกลางฝน

กองกำลังจากหน่วยทหารช่างของกองทัพบกยังคงเดินหน้าปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางวันหรือกลางคืน ภายใต้สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากการเตรียมความพร้อมสำหรับรับมือกับดินโคลนน้ำหลากจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเร่งด่วน เป้าหมายสูงสุดคือให้ทุกภารกิจแล้วเสร็จก่อนที่ฝนหนักจะเริ่มส่งผลกระทบที่รุนแรงขึ้นในพื้นที่

ทั้งนี้ ในการปฏิบัติงานแต่ละวัน มีการวางแผนและติดตามผลอย่างใกล้ชิด พร้อมการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ทหาร ช่างผู้ควบคุมเครื่องจักร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นและปรับแผนงานให้ทันต่อสถานการณ์

ผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนและเศรษฐกิจ

ความคืบหน้าในการขุดลอกและเสริมแนวป้องกันชั่วคราวในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาความเสี่ยงจากดินโคลนน้ำหลากเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ทั้งในแง่ของความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนช่วยลดความเสียหายต่อเศรษฐกิจในเขตชุมชนที่เป็นศูนย์กลางการค้าและการท่องเที่ยวของอำเภอแม่สาย

บทเรียนจากเหตุการณ์น้ำท่วมและดินโคลนไหลหลากในอดีต ทำให้ทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงรายตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการจัดการเชิงรุก โดยอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น ทหาร และประชาชน ซึ่งการขับเคลื่อนเชิงรุกในปีนี้คาดว่าจะช่วยลดความสูญเสียและผลกระทบจากภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทสรุปและวิเคราะห์

จากความร่วมมืออย่างแข็งขันระหว่างกองทัพบกกับที่ว่าการอำเภอแม่สายในครั้งนี้ สะท้อนถึงแนวคิด “ป้องกันดีกว่าแก้ไข” ที่เน้นการบูรณาการแผนงานระยะสั้นและระยะยาวควบคู่กันอย่างเป็นระบบ นำไปสู่เป้าหมายสูงสุด คือความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในทุกพื้นที่เสี่ยงภัยของเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • หน่วยทหารช่างกองทัพบก
  • ที่ว่าการอำเภอแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง รุกล้ำชายแดน

ผู้ว่าฯ เชียงราย เร่งแก้สิ่งปลูกสร้างรุกล้ำชายแดนไทย-เมียนมา พร้อมสั่งเดินหน้าขุดลอกแม่น้ำสาย-รวก ป้องกันภัยพิบัติน้ำหลาก

การประชุมหารือเพื่อจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน

เชียงราย, 15 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องประชุมอาคารศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานการประชุมร่วมกับหัวหน้าหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเร่งหาทางออกสำหรับปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา

ในที่ประชุมมีบุคคลสำคัญเข้าร่วม ได้แก่ พลโทสิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง, นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย, และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย โดยมีประเด็นสำคัญคือการตรวจสอบสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำเขตแดน และความคืบหน้าของโครงการขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก

ความคืบหน้าโครงการป้องกันภัยพิบัติในแม่สาย

พลโทสิรภพ ศุภวานิช รายงานต่อที่ประชุมว่า กรมการทหารช่าง กองทัพบก ได้เริ่มดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากภัยพิบัติในเขตอำเภอแม่สายตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2568 โดยมี 2 กิจกรรมหลัก ได้แก่

  • การขุดลอกแม่น้ำรวกระยะทางรวม 32 กิโลเมตร
  • การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราวถึงกึ่งถาวร ระยะทางรวม 3,600 เมตร

จนถึงปัจจุบัน การขุดลอกแม่น้ำรวกมีความคืบหน้าแล้วร้อยละ 15 ขณะที่การก่อสร้างแนวป้องกันมีความคืบหน้าร้อยละ 34 โดยกองทัพบกตั้งเป้าให้โครงการแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อรับมือกับฤดูน้ำหลาก

การจัดการสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำพื้นที่

นางสาวจันทร์สม เป็นตาธรรม ธนารักษ์พื้นที่เชียงราย รายงานว่าพบผู้เช่าที่ราชพัสดุริมแม่น้ำสายในแนวโครงการก่อสร้างกำแพงป้องกันน้ำจำนวน 15 ราย ได้มีหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาเช่าแล้วทั้งหมด พร้อมกำหนดระยะเวลาให้นำทรัพย์สินออกจากพื้นที่ หากฝ่าฝืนจะดำเนินการตามกฎหมายโดยเด็ดขาด

ขณะเดียวกัน นายธนชัย จิตนาวณิชย์ ผู้อำนวยการส่วนป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 สาขาเชียงราย เปิดเผยว่ามีผู้บุกรุกพื้นที่ป่าจำนวน 4 ราย ได้มีหนังสือแจ้งให้ออกจากพื้นที่แล้ว และหากยังฝ่าฝืน จะมีการดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

การลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้า

ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมด้วย พลโทสิรภพ และนายอำเภอแม่สาย ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความคืบหน้าการดำเนินโครงการด้วยตนเอง โดยเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการตามแผน เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยน้ำท่วมในช่วงฤดูฝนที่จะมาถึง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังได้ฝากความห่วงใยถึงประชาชนในพื้นที่ ขอให้ประชาชนที่อยู่อาศัยในแนวก่อสร้างให้ความร่วมมือโดยเร่งย้ายออก เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและแล้วเสร็จตามกำหนดเวลา เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในพื้นที่

วิเคราะห์ความสำคัญของโครงการในบริบทความมั่นคง

จากสถานการณ์ที่พบสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเขตแดน รวมถึงการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้และที่ราชพัสดุ ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความมั่นคงชายแดน อีกทั้งยังส่งผลต่อประสิทธิภาพของโครงการป้องกันน้ำท่วมที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน โครงการนี้จึงถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของจังหวัดเชียงรายในการรักษาอธิปไตย ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

ข้อมูลทางสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ความคืบหน้าการขุดลอกแม่น้ำรวก ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2568: 15% จากทั้งหมด 32 กม.
  • ความคืบหน้าการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ: 34% จากระยะรวม 3,600 เมตร
  • จำนวนผู้เช่าที่ถูกยกเลิกสัญญาริมแม่น้ำสาย: 15 ราย
  • ผู้บุกรุกพื้นที่ป่าที่ได้รับคำสั่งให้ออกนอกพื้นที่: 4 ราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการทหารช่าง กองทัพบก

  • สำนักงานธนารักษ์พื้นที่เชียงราย

  • สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 สาขาเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

เชียงรายจับมือท่าขี้เหล็ก ลอกน้ำ แก้พิษ คุยเปิดด่าน

ไทย-เมียนมา เร่งจับมือแก้ปัญหาสารปนเปื้อนแม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำกก

ประชุมทวิภาคีครั้งสำคัญ ณ ชายแดนแม่สาย

เชียงราย, 9 พฤษภาคม 2568 – ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำทีมเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดท่าขี้เหล็กแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อหารือประเด็นเร่งด่วนเกี่ยวกับการขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก รวมถึงการแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำกก ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชนทั้งสองประเทศ

ความคืบหน้าการขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก

ฝ่ายไทยได้แจ้งว่าการขุดลอกแม่น้ำรวกได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ส่วนการขุดลอกแม่น้ำสายยังคงค้างในส่วนของเมียนมา ซึ่งรับผิดชอบโดยตรง โดยฝ่ายเมียนมาได้แจ้งว่า ขณะนี้มีการจัดสรรงบประมาณและเตรียมการแล้ว และจะเร่งดำเนินการตามกรอบเวลาที่กำหนด

สารปนเปื้อนในแม่น้ำวิกฤตที่ต้องเร่งคลี่คลาย

ฝ่ายไทยได้หยิบยกประเด็นสารพิษปนเปื้อนในลำน้ำหลัก 3 สาย ซึ่งพบสารอันตรายอย่างสารหนูและโลหะหนักจากการทำเหมืองฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะในเขตเมืองสากซึ่งเป็นแหล่งกิจกรรมเหมืองแร่ ฝ่ายเมียนมาได้แสดงความร่วมมือ โดยแจ้งว่าจะจัดประชุมร่วมกับจังหวัดเมืองสากเพื่อหามาตรการควบคุมมลพิษจากแหล่งต้นตอ

ข้อเรียกร้องจากฝ่ายเมียนมาเกี่ยวกับมาตรการ “3 ตัด”

อีกหนึ่งประเด็นที่ฝ่ายเมียนมาให้ความสำคัญคือผลกระทบจากมาตรการ “3 ตัด” ของฝ่ายไทย ที่มีเป้าหมายจัดการอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ฝ่ายเมียนมาแสดงความไม่สบายใจต่อผลกระทบในพื้นที่ท่าขี้เหล็ก พร้อมแจ้งว่าได้ดำเนินการกวาดล้างและไม่มีฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่แล้ว จึงขอให้ไทยพิจารณาทบทวนมาตรการนี้อย่างเหมาะสม

การพัฒนาจุดผ่านแดนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ฝ่ายไทยได้เสนอการเปลี่ยนแปลงเวลาปิดจุดผ่านแดนถาวรบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 จาก 18.30 น. เป็น 21.00 น. เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนและการท่องเที่ยว อีกทั้งยังขอความร่วมมือให้เมียนมาพิจารณาเปิดจุดผ่อนปรนการค้าบ้านปางห้า และบ้านท่าดินดำ ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย ซึ่งฝ่ายเมียนมารับปากว่าจะนำเสนอต่อหน่วยเหนือเพื่อดำเนินการ

แนวโน้มความร่วมมือระยะยาวระหว่างสองประเทศ

การประชุมในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของทั้งสองฝ่ายในการสร้างกลไกความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติ ความมั่นคง และเศรษฐกิจ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อเสถียรภาพของพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะประเด็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่อาจละเลยได้อีกต่อไป

ปัญหาสารพิษในแม่น้ำคือสัญญาณเตือนภัย

จากรายงานของกรมควบคุมมลพิษ พบว่าระดับสารหนูในแม่น้ำกกบางจุดเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยของ WHO ถึง 3 เท่า ส่งผลกระทบต่อประชากรที่อาศัยริมฝั่งแม่น้ำ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรและชาวประมงพื้นถิ่น ที่ยังคงใช้น้ำจากแม่น้ำในการดำรงชีวิตประจำวัน

หากไม่เร่งหามาตรการควบคุมต้นตอของมลพิษ อาทิ การใช้สารเคมีจากการทำเหมืองโดยไม่มีระบบบำบัดที่มีประสิทธิภาพ ปัญหาอาจลุกลามสู่ภาวะวิกฤตสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง และส่งผลต่อความเชื่อมั่นในสินค้าจากพื้นที่ลุ่มน้ำเหล่านี้

ข้อเสนอแนะจากนักวิชาการและองค์กรสิ่งแวดล้อม

นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย แนะนำให้ทั้งสองประเทศตั้งคณะกรรมการร่วมถาวรเพื่อกำกับ ติดตาม และรายงานผลกระทบจากเหมืองในระยะยาว โดยควรเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะผ่านช่องทางออนไลน์แบบเรียลไทม์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและป้องกันข่าวลือ

องค์การแม่น้ำเพื่อชีวิตเสนอให้ไทยและเมียนมาร่วมมือพัฒนาระบบเตือนภัยมลพิษในแม่น้ำ เพื่อให้ประชาชนสามารถรับรู้ความเสี่ยงได้รวดเร็วและปรับตัวทันต่อสถานการณ์

สถิติที่เกี่ยวข้อง (ข้อมูล ณ พฤษภาคม 2568)

  • ค่าระดับสารหนูเฉลี่ยในแม่น้ำกก: 0.052 mg/l (มาตรฐาน WHO ไม่เกิน 0.01 mg/l)
  • ประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากน้ำปนเปื้อนในอำเภอแม่สาย: 12,460 คน (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)
  • มูลค่าการค้าชายแดนสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 (2567): 8,300 ล้านบาท (ที่มา: กรมศุลกากร)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

  • องค์การอนามัยโลก (WHO)

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

  • กรมศุลกากร

  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต

  • ที่ว่าการอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

แม่สาย-รวก ขุดลอก สร้างแนวกันท่วม รับมือน้ำหลาก

เชียงรายเร่งเดินหน้าขุดลอกแม่น้ำรวก-แม่น้ำสาย สร้างแนวป้องกันน้ำท่วมก่อนฤดูฝน

สถานการณ์น้ำท่วมและความจำเป็นในการดำเนินโครงการ

เชียงราย, 20 เมษายน 2568 – จากสถานการณ์น้ำท่วมและดินถล่มครั้งใหญ่ในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เมื่อช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา สร้างความเสียหายรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ทางจังหวัดเชียงรายจึงได้เร่งดำเนินมาตรการป้องกันน้ำท่วมอย่างเป็นระบบ โดยล่าสุดได้ดำเนินการขุดลอกแม่น้ำรวกและแม่น้ำสาย รวมถึงการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่สำคัญของอำเภอแม่สาย

ความร่วมมือระหว่างไทย-เมียนมาในการขุดลอกแม่น้ำ

โครงการขุดลอกแม่น้ำรวกและแม่น้ำสายเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยทหารช่าง กองทัพบก กองทัพภาคที่ 3 และทางการเมียนมา โดยได้เริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2568 และมีกำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 20 มิถุนายน 2568 เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือฤดูน้ำหลากที่กำลังจะมาถึง

การขุดลอกแม่น้ำมีเป้าหมายหลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ ตลอดแนวรวมระยะทางกว่า 44.8 กิโลเมตร แบ่งเป็นความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 ดำเนินการในพื้นที่แม่น้ำรวกระยะทาง 14 กิโลเมตร ขณะที่กรมการทหารช่างดำเนินการต่อเนื่องอีก 18 กิโลเมตร ส่วนทางการเมียนมารับผิดชอบแม่น้ำสายระยะทาง 12.8 กิโลเมตร

การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมอย่างเร่งด่วน

นอกจากการขุดลอกแม่น้ำแล้ว ทางจังหวัดเชียงรายยังมีการดำเนินการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมบริเวณเขตเศรษฐกิจของอำเภอแม่สาย ซึ่งในอดีตเคยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากน้ำป่าและดินโคลนหลาก โดยแนวป้องกันดังกล่าวมีระยะทางรวมประมาณ 3,600 เมตร มีเนื้องานจริง 2,193 เมตร โดยเริ่มจากจุดแนวเขตแดนไทย-เมียนมา ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 ไปจนถึงบริเวณประตูน้ำชลประทาน

แนวป้องกันที่ออกแบบในครั้งนี้เน้นการใช้งานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันน้ำได้อย่างดี โดยใช้โครงสร้างหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ เขื่อนป้องกันตลิ่งด้วยเข็มไอและแผ่นคอนกรีตหล่อสำเร็จ กำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กพร้อมฐานราก เสริมความแข็งแรงแนวคันดินด้วยถุง Big Bag รวมถึงการดัดแปลงแนวป้องกันเชื่อมโยงกับอาคารบ้านเรือนด้วยการติดตั้งแผ่นเหล็กปิดช่องน้ำและกำแพงป้องกันแบบประกอบสำเร็จ

ความคืบหน้าและการบริหารโครงการโดย สทนช.

นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้เปิดเผยว่า กรมการทหารช่าง กองทัพบก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เริ่มดำเนินการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวร และขุดลอกแม่น้ำสายตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2568 โดยได้รับจัดสรรงบประมาณดำเนินการแล้วจำนวนกว่า 74 ล้านบาท ภายใต้กรอบข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

ประเทศไทยมีแผนการขุดลอกแม่น้ำรวก ความยาวกว่า 30 กิโลเมตร โดยกรมการทหารช่างดำเนินการใน 3 จุดสำคัญ ได้แก่ จุดที่ 1 บริเวณพนังกั้นน้ำชั่วคราวน้ำแม่สาย สะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 อำเภอแม่สาย จุดที่ 2 ขุดลอกแม่น้ำรวกในตำบลเกาะช้าง และจุดที่ 3 ขุดลอกแม่น้ำรวก บ้านวังลาว ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

จุดวิเคราะห์และข้อเสนอแนะในอนาคต

โครงการขุดลอกแม่น้ำและสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเตรียมความพร้อมรับมือภัยธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ควรมีการดำเนินงานเชิงรุกและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการบำรุงรักษาแนวป้องกันน้ำท่วม และการให้ความรู้ประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการรับมือภัยพิบัติ เพื่อสร้างชุมชนที่เข้มแข็งและพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติอย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย รายงานว่าในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม 4 ครั้ง ส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่า 20,000 ครัวเรือน และพื้นที่ทางการเกษตรเสียหายกว่า 30,000 ไร่ (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย, 2567)

การดำเนินโครงการนี้จึงถือเป็นแนวทางสำคัญในการลดความเสียหายจากภัยธรรมชาติ และสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในพื้นที่แม่สายอย่างเป็นรูปธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กระทรวงมหาดไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไทย-จีน จับมือ! บริหารน้ำข้ามแดน แม่น้ำโขง-สาย-รวก

ไทย-จีนเดินหน้ากระชับความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดน เสริมแกร่งระบบเตือนภัยในลุ่มน้ำสาย-รวก

เชียงราย, 25 มีนาคม 2568 – สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) แถลงต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมหารือความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคีด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำของชุมชนลุ่มน้ำสายและแม่น้ำรวก ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน

สทนช. – จีน หารือระดับสูง หวังต่อยอดความร่วมมือ

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือร่วมกับ นายหลี่ กั๋วอิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำจีน และคณะ ในโอกาสเยือนประเทศไทยระหว่างวันที่ 20–22 มีนาคม 2568 ว่า การหารือครั้งนี้นับเป็นหมุดหมายสำคัญในการพัฒนาความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำระหว่างสองประเทศ

คณะรัฐมนตรีจีนได้เยี่ยมชมสถานีตรวจวัดระดับน้ำแม่น้ำโขงในพื้นที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อศึกษาแนวทางบริหารจัดการน้ำในเขตชายแดน และเข้าใจบริบทปัญหาน้ำที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองฝั่ง

ความร่วมมือระดับทวิภาคีและพหุภาคี ก้าวสู่ความยั่งยืน

ในระดับทวิภาคี ไทยและจีนได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจด้านทรัพยากรน้ำและการชลประทานร่วมกันผ่านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยล่าสุด มีการหารือถึงการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง สทนช. กับกระทรวงทรัพยากรน้ำจีน โดยตรง เพื่อเสริมสร้างกลไกความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน ระดับพหุภาคีผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (Mekong–Lancang Cooperation: MLC) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย จีน กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ก็มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมโครงการด้านน้ำอย่างยั่งยืน

โครงการจากกองทุน MLC เสริมรับมืออุทกภัยในลุ่มน้ำสาย–รวก

ที่ผ่านมา สทนช. ได้เสนอโครงการต่อกองทุนพิเศษแม่โขง–ล้านช้าง (MLC Special Fund) และได้รับการอนุมัติให้ดำเนิน “โครงการวิจัยร่วมเพื่อการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดนด้านอุทกภัยและภัยแล้ง” ในพื้นที่ลุ่มน้ำสาย–รวก ซึ่งเป็นลำน้ำที่ไหลผ่านเขตชายแดนไทยและเมียนมา

แม้โครงการดังกล่าวจะประสบปัญหาในการดำเนินการช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้แผนงานล่าช้า แต่ในปี 2567 สทนช. ได้เสนอ “โครงการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของชุมชนเมืองต่ออุทกภัยในสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง” เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนดังกล่าวในปี 2568 โดยโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของทางการจีน

ระบบเตือนภัยล่วงหน้า – เครื่องมือสำคัญของประชาชน

หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้ คือการพัฒนา “ระบบแจ้งเตือนอุทกภัยล่วงหน้า (Early Warning System)” ซึ่งจะเชื่อมโยงข้อมูลจากสถานีตรวจวัดน้ำชายแดน และใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System) เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนสามารถเตรียมการรับมือกับภัยน้ำท่วมและภัยแล้งได้ทันท่วงที

เลขาธิการ สทนช. กล่าวย้ำว่า ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและข้อมูลระหว่างประเทศจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับสภาวะอากาศที่แปรปรวน และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง

มุมมองจากสองฝ่าย: ประโยชน์–ข้อควรระวังจากความร่วมมือข้ามพรมแดน

ฝ่ายสนับสนุน
มองว่าความร่วมมือด้านน้ำระหว่างไทย–จีน โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการในลุ่มน้ำสาย–รวก ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาว ทั้งยังเป็นโอกาสดีที่ไทยจะได้เทคโนโลยีทันสมัยจากจีนมาใช้ในการคาดการณ์ภัยพิบัติ ช่วยลดต้นทุนการเยียวยาภายหลัง และปกป้องชีวิตของประชาชนในชุมชนชายแดนที่เผชิญกับน้ำท่วมบ่อยครั้ง

ฝ่ายตั้งข้อสังเกต
แม้การร่วมมือด้านน้ำจะมีข้อดี แต่ก็มีความกังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลน้ำที่อาจไม่สมดุลระหว่างประเทศต้นน้ำ (จีน) กับปลายน้ำ (ไทย) หากไม่มีความโปร่งใสในการแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือไม่มีระบบตรวจสอบที่เข้มแข็ง อาจทำให้การบริหารน้ำไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะในภาวะภัยแล้งที่จีนมีอำนาจในการปล่อยหรือกักเก็บน้ำจากเขื่อนต้นน้ำ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • ปีที่สานความสัมพันธ์ไทย–จีน: ครบรอบ 50 ปี (พ.ศ. 2518–2568)
  • สมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (MLC): 6 ประเทศ
  • โครงการจากกองทุนพิเศษ MLC ที่ไทยเสนอปี 2567:
    • โครงการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของชุมชนลุ่มน้ำสาย–รวกต่ออุทกภัย
    • ชื่อเต็ม: Strengthening Urban Community Resilience against Flashflood under Changing Climate and Extreme Events in Sai and Ruak Transboundary River
  • ประเทศที่เกี่ยวข้องกับลุ่มน้ำสาย–รวก: ไทย และ เมียนมา
  • พื้นที่ศึกษาระบบเตือนภัยและวางระบบตรวจวัดน้ำ: อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
  • โครงการที่แล้ว (ปี 2561): โครงการวิจัยร่วมด้านน้ำข้ามพรมแดน ระหว่างไทย–เมียนมา (ลุ่มน้ำสาย–รวก)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)

  • กระทรวงทรัพยากรน้ำ สาธารณรัฐประชาชนจีน

  • เอกสารข้อเสนอโครงการปี 2567 ของ สทนช.

  • กรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (Mekong–Lancang Cooperation)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

คุมเข้มชายแดน อ.แม่สาย ไทย-เมียนมาประชุม กำแพง-ขุดลอก

ไทย-เมียนมา ประสานงานสร้างกำแพงป้องกันตลิ่งแม่น้ำสาย หวังลดผลกระทบฤดูน้ำหลาก

เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไทย-เมียนมา ลงพื้นที่สำรวจพิกัดแนวกำแพงป้องกันตลิ่ง

เชียงราย, 11 มีนาคม 2568 – เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ร่วมกับโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย และหน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา ประจำพื้นที่ 1 (TBC) กรมแผนที่ทหาร ลงพื้นที่ตรวจสอบตำแหน่งค่าพิกัดแนวกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งในพื้นที่ชุมชนปงถุน และชุมชนท่าล้อ จังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ซึ่งตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำสายและอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยมีการกำหนดพื้นที่ดำเนินการก่อสร้าง 3 จุด ได้แก่:

  1. จุดก่อสร้างกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งตรงข้ามสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1
  2. จุดก่อสร้างกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งใต้สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1
  3. จุดก่อสร้างกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งบริเวณหลังโรงแรมอารัว

การดำเนินงานดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมา เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการกำหนดพิกัดแนวเขตแดน หลังจากฝ่ายเมียนมาได้ดำเนินการปรับพื้นที่ริมฝั่งเพื่อเตรียมสร้างกำแพงป้องกันน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง ก่อนฤดูฝนปีนี้

การประชุมความร่วมมือ ไทย-เมียนมา เพื่อพัฒนาแนวป้องกันแม่น้ำสาย

นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และคณะ ได้เดินทางไปร่วมประชุมกับฝ่ายจังหวัดท่าขี้เหล็ก ณ โรงแรมวันจีวัน โดยมีนายประสงค์เป็นประธานฝ่ายไทย และนายซอ วิน ผู้อำนวยการทรัพยากรน้ำและการพัฒนาระบบแม่น้ำ เป็นประธานฝ่ายเมียนมา

การประชุมดังกล่าวเป็นเวทีหารือเกี่ยวกับผลการสำรวจแนวเขตลำน้ำสาย-แม่น้ำรวก ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการป้องกันน้ำท่วมของทั้งสองประเทศ โดยมีการหารือเกี่ยวกับแนวทางการขุดลอกแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก เพื่อป้องกันการตื้นเขินและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในช่วงฤดูฝน

ที่ประชุมมีมติให้รายงานผลการประชุมไปยัง คณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมา (JCR) เกี่ยวกับเส้นเขตแดนคงที่ช่วงแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก เพื่อขอความเห็นชอบในการดำเนินการขุดลอกแม่น้ำอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการขุดลอกแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีความคาดหวังให้ดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2568 ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน

แนวโน้มและผลกระทบจากการก่อสร้างกำแพงป้องกันตลิ่ง

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

  • ลดความเสียหายจากน้ำท่วม – กำแพงป้องกันตลิ่งสามารถช่วยลดผลกระทบจากการกัดเซาะของน้ำในช่วงฤดูฝน ทำให้ชุมชนริมแม่น้ำมีความปลอดภัยมากขึ้น
  • เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ – โครงการนี้เป็นการทำงานร่วมกันของไทยและเมียนมา ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ
  • พัฒนาแนวเขตแดนที่ชัดเจนขึ้น – การกำหนดพิกัดแนวกำแพงป้องกันตลิ่งจะช่วยให้มีการจัดการเขตแดนระหว่างสองประเทศที่เป็นระบบมากขึ้น

ข้อกังวลจากบางฝ่าย

  • ผลกระทบต่อระบบนิเวศ – นักอนุรักษ์บางกลุ่มกังวลว่าการก่อสร้างแนวกำแพงอาจส่งผลต่อกระแสน้ำและระบบนิเวศของแม่น้ำสาย รวมถึงสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว
  • ความล่าช้าของโครงการขุดลอกแม่น้ำ – แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเห็นพ้องต้องกันว่าควรขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินงานจริง ซึ่งอาจส่งผลให้การระบายน้ำในฤดูฝนไม่ได้ผลตามที่คาดการณ์ไว้

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา (2567) ระบุว่า เชียงรายมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,800 มิลลิเมตรต่อปี และคาดการณ์ว่าปี 2568 ปริมาณฝนอาจเพิ่มขึ้น 10% ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดน้ำหลากในพื้นที่เสี่ยง
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สายถึง 8 ครั้ง โดย 3 ครั้งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายรุนแรง
  • ข้อมูลจากหน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา (TBC) ระบุว่า โครงการก่อสร้างกำแพงป้องกันตลิ่งในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา มีอัตราความสำเร็จเฉลี่ย 75% และคาดว่าโครงการปัจจุบันจะแล้วเสร็จภายใน 2 ปี

ข้อสรุป

โครงการสร้างกำแพงป้องกันตลิ่งบริเวณแม่น้ำสายเป็นความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมา ที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันปัญหาน้ำหลากและการกัดเซาะริมฝั่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและความล่าช้าของโครงการขุดลอกแม่น้ำ ซึ่งต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานนี้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งสองประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุตุนิยมวิทยา (2567) / สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย / หน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา (TBC)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE