Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เบื้องต้นคุณภาพน้ำ ‘แม่น้ำกก’ ดี แต่รอผลตรวจสารโลหะหนัก

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่งหน่วยงานเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำกก หวังสร้างความมั่นใจประชาชนหลังข่าวเหมืองทองพม่ากระทบแหล่งน้ำ

เน้นเก็บตัวอย่างน้ำจาก 3 จุดสำคัญ พร้อมตรวจสารโลหะหนักและสารเคมีในแล็บ ใช้เวลาประเมิน 1–3 สัปดาห์

เชียงราย, 24 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มีคำสั่งด่วนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก หลังจากมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการทำเหมืองทองในเมืองยอน รัฐฉานใต้ ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนไทยบริเวณตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลให้ประชาชนในจังหวัดเชียงรายเกิดความกังวลต่อคุณภาพน้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

การดำเนินงานครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย (ทสจ.เชียงราย) และสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงร่วมลงพื้นที่ อาทิ นายบุญเกิด ร่องแก้ว ผู้อำนวยการ ทสจ.เชียงราย, นายอาวีระ ภัคมาตร์ ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1, พ.อ. พักตร์พงษ์ เงสันเที๊ยะ หัวหน้ากลุ่มงานนโยบายแผนและการข่าว กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย และนายทวีศักดิ์ สุขก้อน ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย

เก็บตัวอย่างน้ำจาก 3 จุดหลัก เพื่อประเมินเบื้องต้น

ในการตรวจสอบครั้งนี้ หน่วยงานได้เก็บตัวอย่างน้ำจาก 3 จุดสำคัญ ได้แก่

  1. บริเวณสะพานแม่ฟ้าหลวง (หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย) ตำบลริมกก
  2. บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำกก ตำบลดอยฮาง
  3. หมู่บ้านโป่งนาคำ ตำบลดอยฮาง ซึ่งเป็นจุดรับน้ำจากอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

นายอาวีระ ภัคมาตร์ เปิดเผยผลการตรวจเบื้องต้นว่า ค่าคุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยค่าออกซิเจนละลายน้ำอยู่ระหว่าง 7–8 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งถือว่าค่อนข้างดี, ค่าความเป็นกรด–ด่าง (pH) อยู่ในระดับกลางประมาณ 7.0 และค่าการนำไฟฟ้าอยู่ที่ 100 ไมโครซิเมนต์ต่อเซนติเมตร ซึ่งยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำ

นำตัวอย่างน้ำเข้าสู่ห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาสารปนเปื้อน

แม้ผลตรวจเบื้องต้นจะอยู่ในระดับปลอดภัย แต่เพื่อความมั่นใจในคุณภาพน้ำ สำนักงานสิ่งแวดล้อมฯ ได้นำตัวอย่างไปตรวจหาสารโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู รวมถึงสารเคมีอื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว โดยคาดว่าผลการตรวจในห้องแล็บจะแล้วเสร็จภายใน 1–3 สัปดาห์

ทสจ. และ กอ.รมน. ลงพื้นที่เน้นย้ำเฝ้าระวัง – ปชช. ร้องขอตรวจบ่อบาดาลเพิ่มเติม

พ.อ. พักตร์พงษ์ เงสันเที๊ยะ หัวหน้าฝ่ายนโยบาย กอ.รมน. จังหวัดเชียงราย ระบุว่า ได้รับรายงานจากประชาชนบางพื้นที่ว่าคุณภาพน้ำจากบ่อบาดาลเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะสีและกลิ่น ซึ่งหน่วยงานจะลงพื้นที่เพิ่มเติมในพื้นที่ใกล้ชายแดน และหากจำเป็นอาจมีการขอความร่วมมือจากภาคเอกชนเข้ามาร่วมตรวจสอบคุณภาพน้ำใต้ดินในเชิงลึก

ผู้จัดการการประปาฯ ยืนยันน้ำประปาสะอาดตามมาตรฐาน

นายทวีศักดิ์ สุขก้อน ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย ยืนยันว่า น้ำประปาที่จ่ายให้กับประชาชนผ่านระบบการประปาได้รับการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด ผ่านการตรวจจากห้องแล็บทุกวัน และใช้เทคโนโลยีกรองน้ำที่สามารถกำจัดตะกอน สารเคมี และสิ่งเจือปนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่าน้ำประปาที่ใช้ในการอุปโภคและบริโภคนั้นสะอาดและปลอดภัย

แม่น้ำกก เส้นเลือดใหญ่ของเชียงราย สะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อมชายแดน

แม่น้ำกก เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่มีต้นน้ำอยู่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ไหลเข้าสู่ประเทศไทยที่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และผ่านพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน รวมระยะทางในประเทศไทยประมาณ 130 กิโลเมตร โดยมีลำน้ำสาขาสำคัญ เช่น น้ำแม่ลาว น้ำแม่กรณ์ และน้ำแม่สรวย ทำให้แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำดิบหลักของจังหวัดเชียงรายในการอุปโภค บริโภค และเกษตรกรรม

การทำเหมืองทองในพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำกกที่เมืองยอน รัฐฉานใต้ จึงเป็นที่จับตา เพราะแม้จะอยู่นอกเขตแดนไทย แต่หากมีสารพิษหลุดรอดลงในลำน้ำ ก็สามารถไหลเข้าสู่แม่น้ำกกในเขตไทยได้โดยตรง

ประชาชนบางส่วนยังคงกังวล – นักสิ่งแวดล้อมชี้ต้องมีมาตรการร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน

ประชาชนในเขตอำเภอเมืองเชียงรายจำนวนหนึ่ง ยังคงแสดงความกังวลผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียและการร้องเรียนตรงไปยังหน่วยงาน โดยระบุว่าแม้ค่ามาตรฐานจะอยู่ในระดับปลอดภัย แต่สภาพน้ำที่มีความขุ่น สีผิดปกติ และกลิ่นแปลก ๆ ยังคงพบเห็นได้ในบางพื้นที่

นักสิ่งแวดล้อมจากเครือข่ายลุ่มน้ำโขงตอนบนในเชียงรายแสดงความคิดเห็นว่า การตรวจสอบเพียงภายในประเทศอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากต้นทางของแม่น้ำกกอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน หากไม่มีข้อตกลงร่วมกันในระดับทวิภาคีหรืออาเซียน การป้องกันมลพิษจากแหล่งต้นน้ำจะทำได้ยาก

เสียงจากฝ่ายรัฐและประชาชน – ต้องเฝ้าระวังร่วมกัน

ฝ่ายหน่วยงานรัฐยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่บ่งชี้ว่าแม่น้ำกกในเขตไทยมีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตราย แต่พร้อมดำเนินการหากพบความผิดปกติ และย้ำว่า การร่วมมือกับประชาชนในการสังเกตสภาพน้ำ การรายงานสิ่งผิดปกติ และการดูแลสิ่งแวดล้อมร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญ

ในขณะที่ฝ่ายประชาชนบางส่วนเรียกร้องให้ภาครัฐเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ตรวจสอบทุกระดับอย่างละเอียด โดยเฉพาะการตรวจหาโลหะหนักและสารเคมีที่อาจสะสมในน้ำได้ในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ค่าคุณภาพน้ำเบื้องต้น ณ วันที่ 24 มีนาคม 2568:
    • ค่า DO (ออกซิเจนละลายในน้ำ): 7–8 มิลลิกรัม/ลิตร
    • ค่า pH: อยู่ในระดับกลางประมาณ 7.0
    • ค่าการนำไฟฟ้า: 100 ไมโครซิเมนต์/เซนติเมตร
    • (แหล่งข้อมูล: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1)
  • ระยะทางแม่น้ำกกในเขตประเทศไทย: ประมาณ 130 กิโลเมตร
  • แหล่งรับน้ำจากแม่น้ำกกในเขตเชียงราย: ระบบประปาในอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอใกล้เคียง
  • สถิติการร้องเรียนของประชาชนเรื่องคุณภาพน้ำ: ยังไม่มีตัวเลขทางการ แต่มีการส่งเรื่องร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและหน่วยงานท้องถิ่น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย
  • กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย (กอ.รมน.)
  • เครือข่ายสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำโขงตอนบน
  • ข้อมูลภาคประชาชนจากโซเชียลมีเดียและการร้องเรียนท้องถิ่น
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เหมืองทองคำต้นน้ำกก กมธ.วอนรัฐ เร่งแก้ปัญหา

วิกฤตแม่น้ำกก เหมืองทองคำ ผลกระทบข้ามแดน

กรุงเทพฯ, 19 มีนาคม 2568 – กมธ.การที่ดินฯ เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากเหมืองทองคำ

เมื่อวันพุธที่ 19 มีนาคม 2568 เวลา 14.00 น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี ประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายสมดุลย์ อุตเจริญ ส.ส.พรรคประชาชน และคณะ ได้ร่วมแถลงข่าวเกี่ยวกับ วิกฤตสิ่งแวดล้อมและผลกระทบข้ามพรมแดนจากการทำเหมืองทองคำ ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อพื้นที่ ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำกก

ชาวบ้านตำบลท่าตอนรวมตัวเรียกร้องปกป้องแม่น้ำกก

ปัจจุบัน ประชาชนกว่า 700 คน ในพื้นที่ตำบลท่าตอน ได้ออกมารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งปกป้อง แม่น้ำกก จากผลกระทบที่เกิดจากเหมืองแร่ทองคำที่อยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 7 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอำเภอแม่อาย นอกจากนี้ ดินโคลนจากกระบวนการทำเหมืองแร่ ได้ทำให้น้ำในแม่น้ำกกขุ่นข้น อาจมีการปนเปื้อนของสารเคมีที่ใช้สกัดแร่ ซึ่งส่งผลให้ระบบนิเวศถูกทำลาย มีปลาตายจำนวนมาก ประชาชนไม่มีน้ำสะอาดใช้ และเด็กในพื้นที่ต้องเติบโตท่ามกลางปัญหามลพิษ

ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติที่เกิดขึ้น

นอกจากปัญหามลพิษทางน้ำแล้ว ยังมีข้อสังเกตว่าช่วงฤดูน้ำหลากที่ผ่านมา หมู่บ้านทั้งสองฝั่งแม่น้ำกกถูกน้ำท่วมและมีโคลนตมจำนวนมาก เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายสิบปี สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศในพื้นที่ ซึ่งอาจมีความเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่ทองคำ

กมธ.การที่ดินฯ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการเร่งด่วน

นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี กล่าวว่า การทำเหมืองแร่ทองคำไม่เพียงแต่สร้างความร่ำรวยให้แก่บริษัทไม่กี่แห่ง แต่กลับสร้างผลกระทบอย่างหนักต่อสิทธิของชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดย คณะกรรมาธิการฯ ได้เสนอให้รัฐบาลไทย เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำ ในแม่น้ำกก พร้อมส่งคณะทำงานลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างเร่งด่วน

นอกจากนี้ กมธ. ยังเสนอให้รัฐบาลผลักดัน มาตรการความร่วมมือระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันการทำลายลุ่มน้ำข้ามพรมแดน รวมถึงปัญหามลพิษทางอากาศ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองประเทศในขณะนี้

การตรวจสอบคุณภาพน้ำและขยายการสืบสวนไปยังพื้นที่แม่สาย

นอกจากการตรวจสอบลุ่มน้ำกกแล้ว คณะกรรมาธิการฯ ยังได้ขอมติให้ตรวจสอบพื้นที่ อำเภอแม่สาย ซึ่งมีข้อห่วงกังวลจากภาคประชาชนว่า ต้นน้ำแม่สายอาจได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำเช่นกัน โดยประเด็นนี้มีการหารือกับ กรมควบคุมมลพิษ เพื่อเร่งดำเนินการตรวจสอบให้เร็วที่สุด พร้อมชี้แจงต่อสาธารณชนเพื่อสร้างความกระจ่างและลดความตื่นตระหนกของประชาชน

ความสำคัญของมาตรการปกป้องสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน

นายพูนศักดิ์ยังเน้นว่า ประเด็น มลพิษข้ามแดน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ ปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM 2.5 เท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัญหามลพิษทางน้ำ ซึ่งประเทศไทย ในฐานะประเทศหลักของลุ่มน้ำโขง ควรดำเนินการเพื่อจัดทำ มาตรฐานหรือระเบียบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ในประเทศไทย

ข้อมูลจาก กรมควบคุมมลพิษ ปี 2567 ระบุว่า:

  • ประเทศไทยมีเหมืองแร่ทองคำที่เปิดดำเนินการกว่า 12 แห่งทั่วประเทศ
  • มากกว่า 60% ของพื้นที่ลุ่มน้ำในภาคเหนือมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนโลหะหนักจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่
  • ประชาชนกว่า 1.2 ล้านคนในพื้นที่ลุ่มน้ำสำคัญของประเทศ ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำเสียและมลพิษทางน้ำ

สรุป

การทำเหมืองแร่ทองคำส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและแม่สาย กมธ.การที่ดินฯ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำ และผลักดันความร่วมมือระดับนานาชาติเพื่อปกป้องทรัพยากรข้ามพรมแดน ประชาชนในพื้นที่ยังคงเรียกร้องความยุติธรรมและสิทธิในชุมชนของตนเอง ซึ่งเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายในการร่วมกันแก้ไขปัญหาเพื่ออนาคตของสิ่งแวดล้อมและประชาชนในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมควบคุมมลพิษ, 2567 / คณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

23 บริษัททุนจีนเหมืองทองเมียนมา ทำน้ำกกขุ่น ชาวบ้านผวาไม่ปลอดภัย

เหมืองทองริมแม่น้ำกกฝั่งพม่า สร้างผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ชาวบ้านหวั่นกระทบน้ำประปาเชียงราย

เชียงราย, 16 มีนาคม 2568 – สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า พื้นที่ริมแม่น้ำกกตอนใต้ของรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ใกล้ชายแดนไทย ด้านอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ กำลังเผชิญปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองทองคำ โดยมีการระบุว่า กลุ่มทุนจีนได้รับอนุญาตจากกองกำลังว้า (United Wa State Army – UWSA) ให้ดำเนินกิจการเหมืองแร่บริเวณนี้กว่า 23 บริษัท ซึ่งส่งผลให้แม่น้ำกกขุ่นข้นและอาจมีสารปนเปื้อนลงสู่ระบบนิเวศ

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น

สต.ทศพร สามหน่อวงศ์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 14 ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สภาพน้ำในแม่น้ำกกเปลี่ยนเป็นสีขุ่นผิดปกติ อันเป็นผลมาจากกระบวนการชะล้างแร่ของเหมืองทองคำบริเวณดังกล่าว โดยที่ผ่านมาเคยมีปัญหาสารเคมีจากอุตสาหกรรมยางพาราไหลลงแม่น้ำ ส่งผลให้น้ำมีสีขาวขุ่น และล่าสุดเมื่อเริ่มมีการทำเหมืองทองบริเวณนี้ก็ยิ่งทำให้น้ำขุ่นมากขึ้น

ชาวบ้านจากฝั่งรัฐฉานแจ้งว่า เหมืองทองตั้งอยู่ติดแม่น้ำกก และของเสียจากเหมืองถูกปล่อยลงน้ำโดยตรง ขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาตรวจสอบคุณภาพน้ำเพื่อให้คำตอบแก่ประชาชน ทำให้เกิดความกังวลอย่างมาก” สต.ทศพร กล่าว

ผลกระทบต่อสุขภาพและวิถีชีวิตของประชาชน

ขณะนี้ ประชาชนในพื้นที่ท่าตอนและบริเวณใกล้เคียงได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำกกขุ่น โดยเฉพาะผู้ที่ใช้น้ำกกเป็นแหล่งน้ำอุปโภคบริโภค พบว่าหลายคนเริ่มมีอาการ แพ้ทางผิวหนังและมีผื่นคัน หลังจากลงเล่นน้ำหรือใช้น้ำกกอาบน้ำ นอกจากนี้ ประชาชนบางส่วนต้องปรับเปลี่ยนแหล่งน้ำเพื่อความปลอดภัย โดยหันไปใช้น้ำประปาภูเขาแทน

“ปีก่อนก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้ และพบว่ามีประชาชนที่ลงเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจากอาการแพ้ เรากังวลว่า สงกรานต์ปีนี้อาจเกิดปัญหาแบบเดิมอีก ทางการควรเข้ามาตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยด่วน” สต.ทศพร กล่าวเพิ่มเติม

ข้อเรียกร้องให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ไขปัญหา

สต.ทศพรและชาวบ้านในพื้นที่เรียกร้องให้ รัฐบาลไทยและหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาตรวจสอบคุณภาพน้ำ รวมถึงประสานงานกับรัฐบาลเมียนมาเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมในการควบคุมการทำเหมืองที่อาจส่งผลกระทบข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พึ่งพาแม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำหลัก

ทั้งนี้ แม่น้ำกกถือเป็นแหล่งน้ำดิบสำคัญที่ การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย ใช้ผลิตน้ำประปาให้กับประชาชนในอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอใกล้เคียง นอกจากนี้ ในฤดูแล้งบางส่วนของน้ำกกยังถูกนำไปใช้ผลิตน้ำประปาในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลเกี่ยวกับการปนเปื้อนของน้ำที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง

ภาพถ่ายยืนยันน้ำขุ่นจากการทำเหมืองทองคำ

เพจ จัดให้ มีเดีย ได้เผยแพร่ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2568 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า จุดที่แม่น้ำรวกไหลบรรจบกับแม่น้ำโขงบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ น้ำจากแม่น้ำรวกที่มีต้นทางจากแม่น้ำสาย (ในเมียนมา) มีสีขุ่นอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขงซึ่งยังคงมีความใสสะอาดตามฤดูกาล ปรากฏการณ์นี้มีความคล้ายคลึงกับปัญหาน้ำกกขุ่นที่กำลังส่งผลกระทบต่อพื้นที่อำเภอฝางและอำเภอเมืองเชียงราย

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุนการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา

  • ประชาชนในพื้นที่ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐเร่งดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำกกและเปิดเผยข้อมูลให้ชัดเจน
  • นักสิ่งแวดล้อมเรียกร้องให้มีการดำเนินมาตรการป้องกันและเจรจากับเมียนมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ในระยะยาว

ฝ่ายที่มองต่างมุม

  • ผู้ประกอบการด้านการทำเหมืองมองว่า การทำเหมืองเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจท้องถิ่นในรัฐฉาน และการควบคุมเหมืองที่เข้มงวดอาจกระทบต่อรายได้ของประชาชนบางส่วน
  • เจ้าหน้าที่บางฝ่ายให้ความเห็นว่า การตรวจสอบผลกระทบข้ามพรมแดนเป็นเรื่องซับซ้อน และต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ จึงอาจต้องใช้เวลาในการแก้ไข

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนบริษัทที่ดำเนินกิจการเหมืองทองในพื้นที่แม่น้ำกกฝั่งพม่า: 23 บริษัท (ข้อมูลจากรายงานภาคสนามของสำนักข่าวชายขอบ)
  • อัตราการปนเปื้อนของน้ำจากการทำเหมืองในภูมิภาค: รายงานจากหน่วยงานสิ่งแวดล้อมพบว่า 80% ของแม่น้ำที่อยู่ใกล้เหมืองแร่มีระดับตะกอนสูงกว่ามาตรฐาน (ข้อมูลจากองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเมียนมา)
  • จำนวนประชาชนที่ใช้น้ำกกเป็นแหล่งน้ำประปา: กว่า 200,000 คนในจังหวัดเชียงราย (ข้อมูลจากการประปาส่วนภูมิภาค)
  • สถิติการร้องเรียนปัญหาคุณภาพน้ำในภาคเหนือ: เพิ่มขึ้น 35% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูลจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ)

สรุป

ปัญหาการทำเหมืองทองคำในพื้นที่ต้นน้ำกกของเมียนมากำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ แม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระดับสารปนเปื้อนในน้ำ แต่ความเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำที่สังเกตได้ชัดเจนสร้างความกังวลในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยการประสานงานระหว่างประเทศ รวมถึงการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดความสมดุลและยั่งยืนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวชายขอบ / จัดให้ มีเดีย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ครม.ทุ่ม 22.2 ล้าน ให้ผู้ว่าฯ เชียงราย ขุดลอก “แม่น้ำกก” แก้ปัญหาน้ำท่วม

ครม. เห็นชอบแผนแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน แม่น้ำปิง-แม่น้ำกก วงเงิน 213 ล้านบาท

เตรียมรับมือฤดูฝน ขุดลอกแม่น้ำ ปรับปรุงร่องน้ำ รื้อถอนสิ่งกีดขวางการไหลของน้ำ

กรุงเทพฯ, 11 มีนาคม 2568 – คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 เห็นชอบแผนการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐานของแม่น้ำปิงและแม่น้ำกก ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ภายใต้วงเงินงบประมาณรวม 213 ล้านบาท (ค่างานโยธา 193.6 ล้านบาท และค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด 19.4 ล้านบาท) ตามข้อเสนอของกระทรวงคมนาคม (คค.) เพื่อเตรียมพร้อมรับมือฤดูฝนและป้องกันปัญหาน้ำท่วมในอนาคต

ที่มาของโครงการ

โครงการนี้เป็นผลมาจากการประชุมศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานที่ประชุม ที่ประชุมได้เห็นชอบแผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่มในภาคเหนือ โดยเน้นการขุดลอกลำน้ำและการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่ขวางการไหลของน้ำในลำน้ำปิงและแม่น้ำกก

รายละเอียดโครงการแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน

  1. แผนแก้ไขปัญหาแม่น้ำปิง
  • โครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำแม่น้ำปิง ปริมาณดินขุดลอก 752 ล้านลูกบาศก์เมตร วงเงิน 157.6 ล้านบาท
  • โครงการรื้อถอนฝายเก่า 3 แห่ง ได้แก่ ฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล วงเงิน 8 ล้านบาท
  1. แผนแก้ไขปัญหาแม่น้ำกก
  • โครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำแม่น้ำกก ปริมาณดินขุดลอก 337,812.5 ลูกบาศก์เมตร วงเงิน 22.2 ล้านบาท
  • กรมเจ้าท่า สำรวจออกแบบ ประเมินปริมาณงาน
  • หน่วยบัญชาการทหารพัฒนาดำเนินงานขุดลอก กม.85+000 – 88+500 ปริมาณ 189,108 ลูกบาศก์เมตร วงเงิน 12.1 ล้านบาท
  • กรมชลประทาน กม.72+000 – 72+950 บริเวณสถานีสูบน้ำบ้านฟาร์ม  ปริมาณ 148,704.5 ลูกบาศก์เมตร วงเงิน 10.1 ล้านบาท
  • ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด วงเงิน 2.2 ล้านบาท

 

แนวทางการดำเนินงาน

เพื่อให้โครงการสำเร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนด รัฐบาลได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รับผิดชอบในแต่ละด้าน ดังนี้:

  1. กรมเจ้าท่า (คค.) – รับผิดชอบงานด้านวิศวกรรมและการตรวจสอบโครงการ
  2. หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย (กห.) – รับผิดชอบดำเนินงานขุดลอกแม่น้ำ เนื่องจากมีความพร้อมด้านกำลังพลและเครื่องจักร
  3. ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย รวมถึงกรมชลประทาน (กษ.) – ดูแลการจัดหาพื้นที่ทิ้งดินจากการขุดลอกและบริหารจัดการมวลชน

โครงการทั้งหมดต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน เดือนพฤษภาคม 2568 เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝนที่จะมาถึง

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

ด้านสิ่งแวดล้อมและป้องกันภัยพิบัติ

  • ลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและการกัดเซาะตลิ่งในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำปิงและแม่น้ำกก
  • ปรับปรุงโครงสร้างลำน้ำให้สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนในฤดูฝนได้ดีขึ้น
  • ลดปัญหาการตื้นเขินของแม่น้ำที่ส่งผลต่อการระบายน้ำ

ด้านเศรษฐกิจและชุมชน

  • กระตุ้นเศรษฐกิจจากการจ้างงานภายในโครงการ
  • เพิ่มศักยภาพด้านการขนส่งสินค้าทางน้ำให้สะดวกขึ้น
  • สนับสนุนการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำ

ข้อกังวลจากภาคประชาชนและนักวิชาการ

แม้ว่าโครงการนี้จะเป็นแนวทางที่สำคัญในการแก้ปัญหาน้ำท่วมในภาคเหนือ แต่บางฝ่ายแสดงความกังวลในประเด็นต่างๆ ได้แก่:

  1. ผลกระทบต่อระบบนิเวศ – การขุดลอกแม่น้ำอาจส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำและพืชพรรณธรรมชาติในบริเวณดังกล่าว หากไม่มีมาตรการฟื้นฟูที่เพียงพอ
  2. งบประมาณที่ใช้ – มีคำถามเกี่ยวกับความคุ้มค่าของงบประมาณในการรื้อถอนฝายเก่า ซึ่งบางส่วนอาจยังสามารถใช้ประโยชน์ได้
  3. การมีส่วนร่วมของประชาชน – ภาคประชาชนบางส่วนต้องการให้มีการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมก่อนดำเนินการรื้อถอนโครงสร้างในแม่น้ำ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • กรมอุตุนิยมวิทยา (2567) คาดการณ์ว่าปริมาณน้ำฝนในภาคเหนือปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 8% จากค่าเฉลี่ยปกติ อาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (2567) รายงานว่า แม่น้ำปิงและแม่น้ำกกมีปัญหาตื้นเขินสะสมมานานกว่า 10 ปี โดยอัตราการตะกอนสะสมเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 2-5%
  • ข้อมูลจากกรมเจ้าท่า (2567) ระบุว่าการขุดลอกแม่น้ำในภาคเหนือสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำได้ 30-50% และลดโอกาสเกิดน้ำท่วมซ้ำซากในเขตเมือง

สรุป

แผนการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐานของแม่น้ำปิงและแม่น้ำกก ถือเป็นโครงการที่มีความสำคัญในการลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและพัฒนาโครงสร้างลำน้ำให้สามารถรองรับปริมาณน้ำได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องมีมาตรการเสริมเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุตุนิยมวิทยา (2567) / สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (2567) / กรมเจ้าท่า (2567)/ รายงานการประชุมคณะรัฐมนตรี (11 มีนาคม 2568)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รัฐมนตรีช่วยว่าการมหาดไทยเยี่ยมเชียงราย เร่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วม

 

เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางมายังศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน ป้องกันและบรรเทาเหตุอุทกภัยและดินโคลนถล่ม ณ เทศบาลนครเชียงราย โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ศราวุธ จันทวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารเทศบาลนครเชียงราย และเจ้าหน้าที่ส่วนงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันให้การต้อนรับ

การเดินทางครั้งนี้เป็นการติดตามและประเมินสถานการณ์น้ำท่วมในเขตพื้นที่เทศบาลนครเชียงราย ซึ่งได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใน 52 ชุมชน มีผู้ได้รับความเสียหายมากกว่า 10,000 หลังคาเรือน โดยนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ ได้กล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย และย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ

ในที่ประชุม นายวันชัย จงสุทธานามณี ได้รายงานสถานการณ์น้ำท่วมในเขตเทศบาลนครเชียงราย โดยสาเหตุหลักมาจากน้ำในแม่น้ำกกที่ไหลล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน รวมทั้งการไหลย้อนเข้าลำน้ำสาขาและท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ในหลายจุด ทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ริมแม่น้ำกกที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาที่สำคัญคือการจัดการกับดินโคลนที่สะสมอยู่ในบ้านเรือนและท่อระบายน้ำ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการระบายน้ำออกจากพื้นที่ หากฝนตกซ้ำในช่วงนี้ อาจทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำซากได้ จึงได้ขอความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีอุปกรณ์และรถดูดดินโคลนมาช่วยในการฟื้นฟูพื้นที่ดังกล่าว

นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในด้านการผลิตน้ำประปาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และในส่วนของการสนับสนุนรถดูดดินโคลน ได้มีการประสานงานกับสำนักงานโยธาธิการและผังเมือง รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นำเครื่องจักรเข้ามาช่วยดำเนินการ คาดว่าจะสามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการดูดดินโคลนออกจากท่อระบายน้ำในเขตเทศบาลนครเชียงรายและจุดที่เกิดปัญหาต่างๆ เพื่อป้องกันการเกิดน้ำท่วมซ้ำอีก

นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยยังได้กล่าวให้กำลังใจแก่พี่น้องประชาชน และขอให้ทุกคนร่วมมือกันผ่านพ้นวิกฤตน้ำท่วมในครั้งนี้ไปโดยเร็วที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News