Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเฝ้าระวังเข้ม ประมง-PCD ลุยตรวจสารหนูในแม่น้ำ ชี้อันตรายต่อสุขภาพ

ประมงเชียงรายจับปลาตรวจโลหะหนักในแม่น้ำกก-สาย ชลประทานสนับสนุนปรับระดับน้ำ – กรมควบคุมมลพิษเผยพบสารหนูเกินมาตรฐานต่อเนื่อง แนะประชาชนเลี่ยงใช้น้ำโดยตรงในพื้นที่เสี่ยง

เชียงราย, 14 มิถุนายน 2568 –สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ยังคงได้รับการจับตามองอย่างเข้มข้น หลังพบการปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแม่น้ำสายหลักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจอย่างเร่งด่วน เพื่อคลี่คลายปัญหาและสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนในพื้นที่

จับปลาตรวจสอบสารปนเปื้อนและโรคในแม่น้ำสายหลัก

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ขณะนี้นักวิจัยจากกรมประมง ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย ได้ลงพื้นที่จับปลาจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บตัวอย่างปลานำไปตรวจสอบทั้งด้านโรคและสารโลหะหนัก โดยดำเนินการคัดแยก ชั่ง-วัด และจำแนกชนิดปลาอย่างเป็นระบบ ก่อนจะส่งมอบตัวอย่างให้กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ และกองตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำ ดำเนินการวิเคราะห์ต่อไป

ภารกิจสำคัญนี้มีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์คุณภาพสัตว์น้ำในระบบนิเวศลุ่มน้ำกก-สาย ซึ่งเป็นทั้งแหล่งอาหารและแหล่งรายได้ของประชาชนในพื้นที่ ว่ามีสารปนเปื้อนเกินเกณฑ์อันตรายหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบโรคต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของผู้บริโภค และความสมบูรณ์ของระบบนิเวศโดยรวม

ชลประทานเชียงรายหนุนภารกิจด้วยการปรับระดับน้ำชั่วคราว

ขณะที่โครงการชลประทานเชียงราย ได้ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว ด้วยการปรับลดระดับเก็บกักน้ำหน้าเขื่อนเชียงรายลงราว 50 เซนติเมตร ในช่วงเช้าของวันที่ 14 มิถุนายน เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยแก่ทีมปฏิบัติงานที่ต้องจับปลาบริเวณท้ายเขื่อน หลังจากเสร็จสิ้นการเก็บตัวอย่างปลาตามแผนแล้ว ทางชลประทานจะปรับระดับน้ำกลับสู่สภาวะปกติทันที โดยยืนยันว่า การปรับระดับน้ำครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งน้ำเพื่อการเกษตรหรือกระบวนการผลิตน้ำประปาในพื้นที่แต่อย่างใด

ผลตรวจสารโลหะหนักในน้ำยังเกินมาตรฐานต่อเนื่อง

ด้านกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ได้เผยแพร่รายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนือ ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 26-30 พฤษภาคม 2568 โดยเน้นแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ตลอดจนแม่น้ำสาขาต่าง ๆ โดยผลตรวจพบว่า

  • แม่น้ำกก ตรวจวัด 15 จุด พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานทั้ง 15 จุด ค่าสูงสุด 0.023 มิลลิกรัมต่อลิตร (มาตรฐานไม่เกิน 0.010 มก./ล.)
  • แม่น้ำสาย ตรวจวัด 3 จุด พบเกินค่ามาตรฐานทุกจุด ค่าสูงสุด 0.038 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม่น้ำโขง ตรวจวัด 2 จุด พบเกินค่ามาตรฐานทั้ง 2 จุด ค่าสูงสุด 0.018 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม่น้ำสาขา (ฝาง, กรณ์, ลาว, สรวย) คุณภาพน้ำยังเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน

ทั้งนี้ แผนติดตามคุณภาพน้ำปี 2568 ได้มีการเก็บตัวอย่างน้ำเดือนละ 2 ครั้ง (มีนาคม-กันยายน 2568) และเก็บตัวอย่างตะกอนเดือนละ 1 ครั้ง (พฤษภาคม-กันยายน 2568) การเก็บตัวอย่างครั้งที่ 5 ดำเนินการระหว่างวันที่ 9-13 มิถุนายน 2568 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการ

สถานการณ์ล่าสุดยังพบว่าค่าความขุ่นและสารหนูในแม่น้ำหลายพื้นที่สูงกว่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบทั้งต่อสัตว์น้ำ ระบบนิเวศ และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากประชาชนใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง

ข้อแนะนำประชาชนในพื้นที่เสี่ยง

เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง กรมควบคุมมลพิษแนะนำให้

  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง ทั้งการอุปโภคและบริโภค
  • หากจำเป็นต้องใช้น้ำ ควรผ่านกระบวนการบำบัดและตรวจสอบคุณภาพก่อนทุกครั้ง
  • งดเว้นกิจกรรมทางน้ำ เช่น การลงเล่นน้ำ หรือจับสัตว์น้ำโดยตรงในจุดที่เสี่ยงสูง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำและผลตรวจของปลาต่อเนื่อง พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าและแจ้งเตือนประชาชนเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงอย่างเต็มที่

บทวิเคราะห์และแนวโน้มสถานการณ์

การตรวจสอบและติดตามคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกก-สายอย่างใกล้ชิด สะท้อนถึงการบูรณาการทำงานระหว่างหน่วยงานระดับจังหวัดและส่วนกลาง ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ประมงและงานวิจัยสิ่งแวดล้อม เพื่อคลี่คลายปมปัญหาด้านสุขภาพ สาธารณสุข และความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ แม้จะมีมาตรการบรรเทาผลกระทบในระยะสั้น แต่ในระยะยาวยังคงต้องการการแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและระบบแจ้งเตือนอย่างมีประสิทธิภาพในชุมชนริมน้ำ

สถานการณ์นี้จึงเป็นจุดทดสอบการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งในด้านการสื่อสารข้อมูลสู่สาธารณะ การเสริมสร้างความมั่นใจต่อมาตรฐานความปลอดภัยของแหล่งอาหารและน้ำ รวมถึงการเร่งรัดผลักดันนโยบายป้องกันมลพิษข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • รายงานคุณภาพน้ำประจำเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ไขข้อข้องใจ ‘ปลาแค้ติดเชื้อ’ รมช.เกษตรฯ จี้กรมประมงแถลงข้อเท็จจริงด่วน

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.4) สั่งกรมประมงแจงด่วน! หลังมีรายงาน “ปลาแค้” ติดเชื้อตัวใหม่ในแม่น้ำกก ชี้แจงข้อเท็จจริง-ยันไม่ใช่สารเคมีหรือโลหะหนัก

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพสัตว์น้ำในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย กลายเป็นประเด็นร้อนหลังจากสื่อสังคมออนไลน์เผยแพร่ข่าวกรณีพบ “ปลาแค้” ติดเชื้อชนิดใหม่เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 จนนำไปสู่การตั้งข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยต่อประชาชนในพื้นที่ และผลกระทบต่อระบบนิเวศ รวมถึงความกังวลเรื่องสารปนเปื้อนจากโลหะหนักหรือสารเคมีในแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนและเศรษฐกิจชุมชน

มท.4 สั่งการกรมประมงชี้แจง – ยึดข้อเท็จจริงจากผลแลป

นายธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.4) มีคำสั่งด่วนให้กรมประมงตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงโดยเร็วที่สุดต่อสาธารณชนทันทีที่ทราบผลการตรวจพิสูจน์ พร้อมย้ำว่า ต้องแจ้งข้อมูลโดยอ้างอิงผลตรวจวิทยาศาสตร์เท่านั้น เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสนหรือวิตกเกินความเป็นจริง

ผลตรวจโรคปลาแค้ล่าสุดสาเหตุจากพยาธิไดจีน ไม่ใช่สารพิษโลหะหนัก

ย้อนกลับไปเมื่อ 2 พฤษภาคม 2568 กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ กรมประมง ได้รายงานผลการตรวจวิเคราะห์โรคในตัวอย่างปลาแค้ (Bagarius sp.) ที่ชาวประมงจับได้บริเวณบ้านสบคำ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยส่งต่อเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ 4 สาขาหลัก พบว่า

  • ปลาแค้มีก้อนเนื้ออักเสบบริเวณครีบหลัง ครีบอก ครีบไขมัน ครีบหาง และใต้คาง ลักษณะอาการเป็นตุ่มเนื้อสีแดง
  • ผลตรวจทางพยาธิวิทยาและปรสิตวิทยา พบการติดเชื้อพยาธิในกลุ่มไดจีน (Digenea) ซึ่งเป็นพยาธิใบไม้ชนิดหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังและเกิดพังผืดล้อมรอบตัวอ่อนของพยาธิ
  • ผลตรวจทางแบคทีเรียวิทยาพบเชื้อ Aeromonas hydrophila ซึ่งเป็นแบคทีเรียฉวยโอกาส พบได้ในตุ่มเนื้องอก แต่ไม่พบในอวัยวะภายใน
  • ไม่พบการติดเชื้อไวรัสรุนแรงในปลาตัวดังกล่าว
  • ผลตรวจยืนยันอาการผิดปกติไม่ได้มีสาเหตุมาจากสารปนเปื้อนประเภทโลหะหนัก หรือสารเคมีตกค้างในแม่น้ำโขง

กรมประมงเดินหน้าตรวจต่อเนื่อง – เฝ้าระวังสารปนเปื้อนทุก 2 สัปดาห์

กรมประมงได้ดำเนินการเฝ้าระวังสุขภาพสัตว์น้ำและสารปนเปื้อนในแม่น้ำสายสำคัญ อาทิ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง อย่างเข้มข้นทุก 2 สัปดาห์ โดยกำหนด 4 จุดหลักสำรวจทั้งในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ โดยเน้นประเมินผลกระทบต่อสุขภาพของสัตว์น้ำ รวมถึงความปลอดภัยในการบริโภคของประชาชน

ข้อมูลจากหนังสือราชการ กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ระบุชัดว่า ตัวอย่างปลาแค้น้ำหนัก 85 กรัม ความยาว 20 ซม. พบตุ่มเนื้อแดงกระจายตามครีบและบริเวณใต้คาง รวมถึงบาดแผลบริเวณรอบปาก ผลตรวจปรสิตวิทยา พบกลุ่มไดจีนจำนวนมากในตุ่มเนื้องอก ผลแบคทีเรียวิทยาพบ Aeromonas hydrophila ในบริเวณตุ่มดังกล่าว ส่วนไวรัสวิทยาไม่พบเชื้อไวรัสรุนแรง

การตรวจพยาธิวิทยาพบความผิดปกติในเหงือก อวัยวะภายในมีบางส่วนเสื่อมสภาพ และพบการก่อตัวของแกรนูโลมาซึ่งเป็นการอักเสบเรื้อรังของเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อและตุ่มเนื้องอกปลามีการตอบสนองโดยเซลล์เส้นใยห่อหุ้มพยาธิ เกิดเป็นซีสต์ขึ้นในชั้นกล้ามเนื้อ

ชี้ชัด “ไม่ใช่ผลจากสารพิษ” – ข้อมูลสู่ประชาชนต้องรอบด้าน

กรมประมงเน้นย้ำว่า อาการผิดปกติของปลาแค้มาจากการติดเชื้อปรสิต ไม่เกี่ยวข้องกับสารพิษตกค้างจากโลหะหนักหรือเคมีในแม่น้ำโขงหรือแม่น้ำกกแต่อย่างใด และไม่ใช่โรคติดต่อรุนแรงที่เกิดจากไวรัส จึงขอให้ประชาชนคลายความกังวล พร้อมติดตามข้อมูลข้อเท็จจริงจากหน่วยงานราชการโดยตรง

ในขณะเดียวกัน กรมประมงยังเดินหน้าตรวจสอบต่อเนื่อง ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย เพื่อเฝ้าระวังโรคและประเมินผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสุขภาพสัตว์น้ำและความปลอดภัยในการบริโภคของประชาชนอย่างต่อเนื่องทุก 2 สัปดาห์

การสื่อสารที่ถูกต้องคือหัวใจการสร้างความเชื่อมั่น

กรณีปลาแค้ติดเชื้อในแม่น้ำกกเป็นตัวอย่างสำคัญของการจัดการข่าวสารในยุคข้อมูลข่าวสารไหลเร็ว หน่วยงานรัฐและสื่อมวลชนต้องยึดผลตรวจทางวิทยาศาสตร์เป็นหลักและชี้แจงข้อมูลอย่างต่อเนื่องต่อประชาชน ไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดหรือตื่นตระหนกเกินจริง ขณะที่การเฝ้าระวังโรคในสัตว์น้ำและสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำก็ยังเป็นภารกิจหลักของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพของประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ กรมประมง
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย
  • กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายยันชัด! แม่น้ำกกใช้เกษตรได้ แนะจัดการดิน-สุขอนามัย

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่เวียงชัย สร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกร – ย้ำ “น้ำกกยังใช้ทำเกษตรได้” ภายใต้เงื่อนไขการจัดการดินและสุขอนามัย

เชียงราย,11 มิถุนายน 2568 –  นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายบดินทร์ เทียมภักดี นายอำเภอเวียงชัย นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและให้กำลังใจเกษตรกรผู้ทำนา ณ หมู่ที่ 8 บ้านไตรแก้ว ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ท่ามกลางความกังวลของประชาชนในประเด็นคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก หลังมีรายงานการตรวจพบสารหนูในบางจุด จนเกิดกระแสข่าวและความวิตกกังวลในวงกว้าง

ผลตรวจชี้ “สารหนูในน้ำกก” มีผลต่างกันแต่ควบคุมได้ – ย้ำรัฐโปร่งใส

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายระบุว่า ตามรายงานล่าสุดของสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) จังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันว่า ในน้ำแม่น้ำกกมีการตรวจพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานในบางจุดจริง โดยระดับการปนเปื้อนมีความแตกต่างกันตามพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดไม่ได้ปิดบังข้อมูล มีการเปิดเผยผลตรวจคุณภาพน้ำจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องทุกเดือน เพื่อสร้างความมั่นใจและให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากแหล่งทางการโดยตรง

ผู้ว่าฯ ยังย้ำว่า ประชาชนควรรับข้อมูลจากหน่วยงานรัฐที่มีผลแล็บมาตรฐาน และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ทั้งนี้ ข้อมูลคุณภาพน้ำและผลตรวจต่าง ๆ จะเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านเว็บไซต์ของกรมควบคุมมลพิษและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอย่างต่อเนื่อง

น้ำประปา “ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน” ใช้อุปโภคบริโภคได้ปลอดภัย

หนึ่งในข้อกังวลสำคัญคือคุณภาพน้ำประปาทั้งระดับการประปาภูมิภาคสาขาเชียงรายและประปาหมู่บ้านในพื้นที่ ซึ่งใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกกเป็นต้นทุน จากการลงพื้นที่ตรวจสอบและผลการวิเคราะห์ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 จังหวัดเชียงราย และการประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย พบว่า น้ำประปาผ่านกระบวนการตกตะกอน กรอง และบำบัดตามหลักวิชาการ ได้คุณภาพปลอดภัยตามมาตรฐาน สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้อย่างมั่นใจ

เกษตรจังหวัดเชียงราย นายเสน่ห์ แสงคำ กล่าวเสริมว่า ในประเด็นความปลอดภัยของน้ำเพื่อการเกษตร ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดการสะสมของโลหะหนักในพืช คือ “การปรับปรุงคุณภาพดินให้มีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ที่เหมาะสม” หากค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) อยู่ที่ 6.5 ขึ้นไป จะช่วยจำกัดการดูดซึมของสารหนูและโลหะหนักเข้าสู่พืชผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลแล็บ “พืช-สัตว์น้ำ” ในพื้นที่แม่น้ำกกยังไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน

ข้อมูลจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 จังหวัดเชียงราย ระบุว่าการเก็บตัวอย่างพืชและสัตว์น้ำที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกก รวมถึงชนิดที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำโดยตรงส่งตรวจในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน พบว่าปริมาณสารหนูในตัวอย่าง “ไม่เกินค่ามาตรฐาน” สะท้อนว่ายังสามารถใช้น้ำจากแม่น้ำกกเพื่อการเกษตรในพื้นที่ได้ตามปกติ

สร้างภูมิคุ้มกันข้อมูล – เน้นรับข่าวสารจากหน่วยงานรัฐ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายย้ำว่า ประชาชนควรติดตามข้อมูลจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย มีผลแล็บและเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ขอให้ระวังข่าวลือหรือข้อมูลจากแหล่งที่ไม่ชัดเจน เพราะอาจทำให้เกิดความวิตกกังวลโดยไม่จำเป็น

เน้นสุขอนามัยและแนวทางปฏิบัติสำหรับเกษตรกร

นอกจากประเด็นเรื่องคุณภาพน้ำแล้ว เกษตรจังหวัดเชียงรายยังแนะนำเกษตรกรควรป้องกันตัวเองในระหว่างปฏิบัติงานในพื้นที่น้ำธรรมชาติ เช่น สวมรองเท้าบูทและเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายให้มิดชิดระหว่างลงแปลงนา เพื่อลดความเสี่ยงจากการสัมผัสหรือสะสมสารเคมีหรือโลหะหนักบนผิวหนังในระยะยาว

เสียงสะท้อนจากชาวนาเวียงชัย – รัฐต้องแก้ปัญหาที่ต้นทาง

เกษตรกรในเวียงชัยยังคงติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดและเชื่อมั่นในผลการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เป็นทางการ อย่างไรก็ดี มีข้อเสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษในพื้นที่ต้นน้ำ และวางแนวทางบรรเทาผลกระทบอย่างยั่งยืน

สร้างสมดุลระหว่างความมั่นใจและมาตรการเชิงรุก

สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นของการสื่อสารข้อมูลวิชาการอย่างต่อเนื่อง และการสร้างสมดุลระหว่างความมั่นใจในการประกอบอาชีพของเกษตรกรกับมาตรการควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระยะยาว รัฐจำเป็นต้องเร่งมือแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง ควบคู่กับการให้ข้อมูลที่โปร่งใสเพื่อสร้างความเข้าใจและความมั่นใจในหมู่ประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) จังหวัดเชียงใหม่
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 จังหวัดเชียงราย
  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูเกินมาตรฐาน 15 จุด แม่น้ำกก-สาย-โขง ชาวประมงหวั่นผลกระทบ

กรมควบคุมมลพิษเผยสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สาย-โขง 15 จุด เสี่ยงกระทบสุขภาพ-เศรษฐกิจ ชาวประมงเดือดร้อน จี้รัฐเร่งมาตรการจัดการ”

เชียงราย, 10 มิถุนายน 2568 –สถานการณ์สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง จังหวัดเชียงราย ทวีความรุนแรงต่อเนื่อง หลังกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานผลตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งที่ 4 (26-30 พฤษภาคม 2568) พบสารหนู (Arsenic: As) เกินค่ามาตรฐาน 0.010 มิลลิกรัมต่อลิตร (มก./ล.) ในทุกจุดตรวจวัด 15 จุดทั่วทั้ง 3 ลำน้ำ รวมถึง 3 จุดในแม่น้ำสาย และ 2 จุดในแม่น้ำโขง โดยจุดที่มีค่าสูงสุด ได้แก่ บ้านป่าซางงาม อ.แม่สาย (0.038 มก./ล.) และบ้านโป่งนาคำ ต.ดอยฮาง อ.เมือง (0.023 มก./ล.) ข้อมูลชี้ชัดต้นตอหลักมาจากกิจกรรมเหมืองแร่บริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน เมียนมา ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า ส่งผลให้คุณภาพน้ำบริเวณชายแดนไทย-พม่ามีความขุ่นสูงผิดปกติและปริมาณสารหนูพุ่งสูงกว่ามาตรฐาน

ผลกระทบขยายวงกว้าง—เข้าสู่ห่วงโซ่อาหารและเศรษฐกิจชุมชน

ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ สมพร เพ็งค่ำ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA Platform) ระบุว่า การปนเปื้อนสารหนูแพร่กระจายจากต้นน้ำสู่กลางน้ำและปลายน้ำ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีการเปิดฝายเชียงราย ทำให้ตะกอนที่มีสารหนูถูกปล่อยลงแม่น้ำมากขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกร ผู้ใช้น้ำบาดาลใกล้แม่น้ำ และประชาชนที่ใช้น้ำเพื่อการบริโภค สมพรเสนอให้รัฐและประปาท้องถิ่นเร่งแจกชุดตรวจน้ำเบื้องต้น (test kit) ให้ชุมชน พร้อมทั้งคัดกรองจุดเสี่ยงและรายงานผลอย่างโปร่งใส

ขณะที่ ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย วิเคราะห์ว่า การสะสมของสารหนูในแม่น้ำกก สาย และโขง มีความเสี่ยงสูงต่อการเข้าสู่ร่างกายมนุษย์และสัตว์ผ่านการใช้น้ำและการบริโภคสัตว์น้ำ เช่น ปลา กุ้ง หอย ซึ่งอาจนำไปสู่การสะสมในห่วงโซ่อาหารและผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

ปลาป่วย-ชาวประมงเดือดร้อนหนัก—ขาดความเชื่อมั่น กระทบรายได้

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต รายงานผ่านเฟซบุ๊กและสำรวจพื้นที่ พบจำนวนปลาที่ติดเชื้อและมีอาการผิดปกติในแม่น้ำกกและโขงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปลากดและปลาแข้ที่มีตุ่มรุนแรง คาดว่าเป็นผลโดยตรงจากสารพิษที่ไหลมาจากเหมืองในเมียนมา แม้ผลตรวจสอบโลหะหนักในตัวปลาล่าสุดจากกรมประมง (เม.ย.-พ.ค. 2568) จะยังไม่เกินมาตรฐาน แต่ปัญหาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทำให้ปลาจากแม่น้ำเหล่านี้ขายไม่ออก ชาวประมงประสบวิกฤติรายได้ลดลงอย่างรุนแรง

บุญสุข สุวรรณดี ชาวประมงบ้านสบคำ อ.เชียงแสน เปิดเผยว่า “ไม่มีใครซื้อปลาเลย แม่ค้าปิดโทรศัพท์หนี อยากให้รัฐช่วยเหลือ อาจนำปลามาปล่อยในแหล่งน้ำสำรองให้ชาวบ้านมีอาหาร” ขณะที่สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ระบุว่าขณะนี้อยู่ระหว่างเก็บตัวอย่างปลาเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์และใช้ผลผลักดันรัฐในการเจรจาปิดเหมืองต้นตอปัญหา

แรงกดดันจากภาคประชาชน—รัฐต้องตอบสนองอย่างโปร่งใสและยั่งยืน

ภาคประชาชนในเชียงรายและเชียงใหม่ออกมาเรียกร้องให้รัฐดำเนินมาตรการเร่งด่วน 1) แจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยง 2) แจกชุดตรวจน้ำและสนับสนุนระบบบำบัดน้ำ 3) ตรวจสอบและเจรจาปิดเหมืองในเมียนมา 4) ฟื้นฟูแหล่งน้ำและดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
กรมควบคุมมลพิษแจ้งว่าขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจน้ำครั้งที่ 5 (9-13 มิ.ย. 2568) โดยจะรายงานผลให้สาธารณชนรับทราบต่อไป พร้อมทั้งมีแผนติดตามคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง

บทวิเคราะห์และข้อเสนอแนะ

การพบสารหนูในลุ่มน้ำกก สาย และโขงในระดับที่เกินมาตรฐานติดต่อกันหลายครั้งสะท้อนถึงความจำเป็นที่รัฐต้องเร่งปฏิบัติการทั้งในเชิงนโยบายและมาตรการระยะเร่งด่วน เช่น การประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือนสาธารณชน การแจก test kit ระบบบำบัดน้ำเฉพาะพื้นที่ และการเจรจาระหว่างประเทศกับเมียนมาเพื่อตัดวงจรปัญหา
ขณะเดียวกัน การสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยชุมชนและการมีส่วนร่วมของประชาชนจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย

สรุป

ปัญหามลพิษสารหนูในลุ่มน้ำกก สาย และโขง ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อมเฉพาะจุดแต่เชื่อมโยงถึงวิถีชีวิต เศรษฐกิจ และความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว รัฐและทุกภาคส่วนต้องร่วมกันขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
  • สำนักข่าวชายขอบ
  • สถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA Platform)
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายตรวจศูนย์เฝ้าระวังน้ำพิษ เร่งแก้ปนเปื้อนแม่น้ำภาคเหนือ

เชียงรายเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ 4 จุด พร้อมเดินหน้าทำแผนแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองต้นน้ำเมียนมา

เชียงราย, 9 มิถุนายน 2568 สถานการณ์ปนเปื้อนสารโลหะหนักในลำน้ำสำคัญของภาคเหนือ โดยเฉพาะแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง กำลังกลายเป็นประเด็นวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งรับมืออย่างจริงจัง ล่าสุด นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน พร้อมเน้นย้ำการดำเนินงานเชิงรุกตามข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง

จุดตรวจดังกล่าวถือเป็นหนึ่งใน 4 จุดของศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้จัดตั้งขึ้น ครอบคลุมแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลกลางในการวัดคุณภาพน้ำ ตรวจสอบตะกอน และเผยแพร่ข้อมูลต่อประชาชนผ่านระบบป้ายประชาสัมพันธ์แบบเรียลไทม์ พร้อมรับเรื่องร้องเรียนและสร้างการมีส่วนร่วมจากชุมชนในทุกพื้นที่

ศูนย์เฝ้าระวัง 4 จุดในพื้นที่เสี่ยง ครอบคลุม 2 จังหวัด

ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่จัดตั้งขึ้นครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย และเชียงใหม่ โดยแบ่งเป็น 4 จุดหลัก ได้แก่

  1. สะพานท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (แม่น้ำกก) – รับผิดชอบโดย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  2. ศูนย์ราชการเชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย (แม่น้ำกก) – รับผิดชอบโดย กรมควบคุมมลพิษ
  3. ด่านพรมแดนแม่สายแห่งที่ 1 อ.แม่สาย จ.เชียงราย (แม่น้ำสาย) – รับผิดชอบโดย กรมควบคุมมลพิษ
  4. สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย (แม่น้ำโขง) – รับผิดชอบโดย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล

ศูนย์ทั้ง 4 แห่งมีบทบาทสำคัญในการตรวจวัดสารปนเปื้อน โดยเฉพาะสารหนู ปรอท และแคดเมียม ที่ถูกสันนิษฐานว่าไหลลงมาจากเหมืองแร่ในเขตชายแดนเมียนมา และอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาแหล่งน้ำธรรมชาติ

กรมควบคุมมลพิษเดินหน้าเจรจาระดับรัฐบาล ร่วมกับเมียนมาและจีน

ในระดับนโยบาย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ได้สั่งการให้ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำในลำน้ำกกและลำน้ำสาย พร้อมประสานกระทรวงการต่างประเทศจัดเจรจาอย่างเป็นทางการกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและสาธารณรัฐประชาชนจีน กรณีผลกระทบจากการทำเหมืองที่ต้นน้ำ

นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ยังได้มอบหมายให้คณะทำงานเร่งหาข้อสรุปในการกำหนดกรอบการเจรจาระหว่างประเทศ เพื่อผลักดันให้การทำเหมืองข้ามพรมแดนอยู่ภายใต้ระบบความรับผิดชอบร่วมกัน

ข้อเสนอเสริมระบบดักตะกอนสารพิษ ก่อนปล่อยน้ำสู่แม่น้ำสายหลัก

นอกจากการติดตามตรวจสอบข้อมูล คพ. ยังได้ร่วมวางแผนกับกรมทรัพยากรน้ำ ออกแบบระบบดักตะกอนบริเวณจุดที่ตรวจพบการปนเปื้อน เพื่อนำตะกอนที่มีโลหะหนักออกจากลำน้ำ ลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนออกแบบและจัดทำระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

จัดตั้ง “AIM” ศูนย์ข้อมูลกลางแห่งแรกของประเทศ

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารและลดความสับสนจากการเผยแพร่ข้อมูลหลายช่องทาง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ได้มีข้อสั่งการให้จัดตั้ง “ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์” หรือ Awareness Information Monitoring (AIM) โดยมอบหมายให้ คพ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การประปาส่วนภูมิภาค กรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ดำเนินการรวบรวม วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลคุณภาพน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ น้ำประปาหมู่บ้าน และผลิตผลทางการเกษตรอย่างเป็นระบบ

แต่งตั้งทีมที่ปรึกษาวิชาการ 9 ราย สนับสนุนศูนย์อำนวยการส่วนหน้า

ในการประชุมล่าสุดมีมติแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาจำนวน 9 ราย ประกอบด้วยนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญจากสาขาแวดล้อม ได้แก่ ศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง, นายวิชัย ไชยมงคล, ผศ.ดร.ชิตชล ผลารักษ์, ผศ.ดร.พงศ์พันธุ์ กาญจนการุณ, ดร.ณัฐนนท์ จิรกิจนิมิตร, ดร.สืบสกุล กิจนุกร, อ.ทสิตา สุพัฒนรังสรรค์, อ.ณิชภัทร์ กิจเจริญ และนายอาทิตย์ ภูบุญคง ซึ่งจะทำหน้าที่สนับสนุนการดำเนินงานเชิงวิชาการของศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำส่วนหน้าในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและลุ่มน้ำสาย

จากการตรวจเยี่ยมสู่การเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบาย

การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ มิได้เป็นเพียงการให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ หากแต่เป็นการส่งสัญญาณถึงความเร่งด่วนในการยกระดับระบบเฝ้าระวังและสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองต้นน้ำเมียนมาไม่อาจแก้ไขได้ด้วยมาตรการภายในประเทศเพียงลำพัง ความร่วมมือระดับภูมิภาคจึงเป็นหัวใจสำคัญ

ในขณะเดียวกัน การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลาง AIM และการสนับสนุนโดยทีมที่ปรึกษาวิชาการ ถือเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานการจัดการข้อมูลที่โปร่งใส และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนต่อบทบาทของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

วิกฤตน้ำกก 7 ชุมชนรวมพลังสู้ภัยพิษ-น้ำท่วม ชี้รัฐไร้คำตอบ

เชียงรายผนึกพลังชุมชน สู้วิกฤต “น้ำกก-น้ำโขง” ปนเปื้อนสารพิษ ขยายเครือข่ายรับมือภัยพิบัติข้ามพรมแดน

ปัญหาแม่น้ำปนเปื้อนข้ามพรมแดนกลายเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของชุมชนริมฝั่งน้ำกกและแม่น้ำโขง

เชียงราย, 8 มิถุนายน 2568 – เมื่อเครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก (คอก.) และองค์กรภาคประชาชนจากจังหวัดเชียงรายรวมตัวเปิดเวทีแลกเปลี่ยน ณ โฮงเฮียนแม่น้ำของ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย หวังต่อยอดการเฝ้าระวังเชิงรุกจากปัญหาน้ำท่วมสู่การรับมือ “น้ำเป็นพิษ” ที่กำลังแทรกซึมเข้าสู่วิถีชีวิตของคนในพื้นที่อย่างเงียบงัน

การรวมตัวของผู้แทนจาก 7 หมู่บ้านสองฝั่งแม่น้ำกก ได้แก่ บ้านร่มไทย, บ้านใหม่หมอกจ๋าม, บ้านผาใต้, บ้านจะคือ, บ้านแคววัวดำ, บ้านผาขวาง และบ้านโป่งนาคำ นับเป็นการรวมพลังท้องถิ่นที่ไม่รอความช่วยเหลือจากรัฐเพียงฝ่ายเดียว โดยในวงเสวนา มีการเปิดเผยถึงสถานการณ์จริงจากพื้นที่ที่ต้องเผชิญภัยน้ำหลากซ้ำซาก รวมถึงการพบสารโลหะหนัก เช่น สารหนู ปรอท และแคดเมียม ซึ่งสันนิษฐานว่ามาจากเหมืองแร่ต้นน้ำฝั่งเมียนมาที่มีมากกว่า 40 แห่งโดยไม่มีข้อมูลเปิดเผย

เสียงจากชุมชน เมื่อแม่น้ำไม่ปลอดภัย ชีวิตต้องสู้เพื่ออยู่กับความจริง

“ตอนนี้เราดื่มน้ำไม่ได้ จับปลามาก็ไม่แน่ใจว่าจะกินได้ไหม ปลูกผักก็ไม่มั่นใจเรื่องดิน” คือคำกล่าวจากชาวบ้านในเวทีที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพาแม่น้ำ แต่กลับถูกบีบให้เผชิญกับสารพิษที่ไร้ชื่อ ผู้คนต้องกลายเป็นแนวหน้ารับผลกระทบโดยไม่มีระบบเตือนภัย ไม่มีข้อมูลจากรัฐที่สามารถตรวจสอบได้ และไม่มีกลไกใดที่สามารถชะลอความเสียหายได้ทันท่วงที

นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว หรือ “ครูตี๋” ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ เปิดเผยว่า การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำโดยภาคประชาชนพบว่าปริมาณตะกอนและโลหะหนักในแม่น้ำโขงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากต้นน้ำในเมียนมาไปจนถึงเชียงของ การเฝ้าระวังจากรัฐยังล่าช้าและไม่มีช่องทางให้ชาวบ้านมีส่วนร่วม ทั้งที่ประชาชนคือผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง

พระมหานิคม มหาภินิกฺขมโน จากวัดท่าตอน จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวอย่างมีพลังว่า “เราเป็นลูกแม่น้ำกก เราจะไม่ยอมให้สิ่งแวดล้อมของลูกหลานเราถูกทำลาย แม้เราจะไม่เห็นผลในรุ่นเรา แต่เราจะส่งต่อการต่อสู้ต่อไป”

การเปลี่ยนแปลงเริ่มจากล่างขึ้นบน สร้างเครือข่ายเฝ้าระวังภัยพิบัติ

ในกิจกรรมครั้งนี้ยังมีการอบรมการวัดระดับน้ำ การตรวจค่าตะกอน และการใช้ไลน์กลุ่มแจ้งเตือนระดับน้ำเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ฉับพลัน โดยมีผู้แทนจากทั้งท้องถิ่น ภิกษุ ผู้นำชุมชน และภาคประชาสังคมเข้าร่วมอย่างเข้มแข็ง นายทาเคโอ โตโยต้า ผู้เชี่ยวชาญจากโครงการเสริมศักยภาพฯ ได้ถ่ายทอดเทคนิคการเตือนภัยที่ใช้ได้จริงในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้เครือข่ายสามารถช่วยเหลือกันเองเมื่อเกิดภัยซ้ำ

ชาวบ้านแต่ละพื้นที่ยังได้แชร์ประสบการณ์น้ำท่วมหนักในปี 2567 ทั้งที่ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า น้ำขึ้นกว่า 20 เซนติเมตรใน 1 ชั่วโมง และบางพื้นที่ถึงขั้นสูญเสียผู้คนจากความเศร้าหลังภัยพิบัติ ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นในการมีระบบเตือนภัยที่แม่นยำและทันท่วงที

รัฐเริ่มขยับ ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง 4 จุดในเชียงราย-เชียงใหม่

ในวันเดียวกัน นายนิกร ศิรโรจนานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายเพื่อติดตามความคืบหน้าในการจัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม” รวม 4 จุด ได้แก่

  • จุดที่ 1: ศูนย์การแพทย์แผนไทย อบต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (แม่น้ำกก)
  • จุดที่ 2: ศาลากลางจังหวัดเชียงราย (แม่น้ำกก)
  • จุดที่ 3: ด่านพรมแดนแม่สาย (แม่น้ำสาย)
  • จุดที่ 4: สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน (แม่น้ำโขง)

โดยแต่ละจุดจะตรวจสอบคุณภาพน้ำ ตะกอนดิน และสารปนเปื้อน พร้อมแสดงผลแบบเรียลไทม์ผ่านป้ายประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ข้อมูลสาธารณะโปร่งใส พร้อมรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนอย่างเป็นระบบ

เส้นทางต่อสู้ของประชาชนเมื่อรัฐยังช้า

แม้การตั้งศูนย์เฝ้าระวังจะเป็นสัญญาณบวก แต่คำถามสำคัญคือ “ทันหรือไม่?” เพราะชาวบ้านยังต้องใช้น้ำ กินปลา และปลูกผักอยู่ทุกวัน ขณะที่สารพิษอาจแพร่กระจายโดยไร้การเตือน

เวทีในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ แต่คือการส่งสัญญาณเตือนรัฐและสังคมไทยว่า ภัยพิบัติในยุคใหม่ไม่ได้มีเพียงน้ำหลากหรือแผ่นดินไหว แต่รวมถึง “ภัยเงียบ” จากสารพิษที่ไหลมากับสายน้ำ และไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา
  • กลุ่มรักษ์เชียงของ
  • เครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก (คอก.)
  • กลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)
  • สัมภาษณ์ภาคสนามโดยสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
    (เผยแพร่วันที่ 8 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เรือนจำเชียงรายเร่งแก้น้ำปนเปื้อนโลหะหนัก ยันนักโทษปลอดภัย

เรือนจำกลางเชียงรายเร่งจัดการน้ำปนเปื้อนโลหะหนัก – ย้ำ “ไม่มีผู้ต้องขังป่วย” พร้อมขอขยายเขตประปาเพื่อความมั่นคงด้านสุขภาพ

เชียงราย, 7 มิถุนายน 2568 – กรณีที่สื่อมวลชนรายงานว่า “นักโทษ 4,000 คนเสี่ยงมะเร็ง เหตุน้ำกกปนเปื้อนโลหะหนัก” พร้อมกล่าวถึงการที่เรือนจำนำแหล่งน้ำดิบจากแม่น้ำกกมาใช้ผลิตน้ำดื่มภายในนั้น ล่าสุดผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงรายยืนยันว่า ได้เร่งแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบตั้งแต่ได้รับรายงานการตรวจสอบน้ำเมื่อเดือนเมษายน และจนถึงขณะนี้ยังไม่พบผู้ต้องขังหรือเจ้าหน้าที่รายใดมีอาการป่วยจากเหตุดังกล่าว

จุดเริ่มต้นของความเข้าใจคลาดเคลื่อน

เหตุการณ์นี้เริ่มต้นจากการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ของผู้สื่อข่าวท้องถิ่นกับนายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา เกี่ยวกับการใช้น้ำจากแม่น้ำกกซึ่งอาจมีสารปนเปื้อน โดยเรือนจำได้เปิดเผยผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย ที่พบว่าตัวอย่างน้ำจากระบบประปาผิวดิน และน้ำบาดาล มีสารตะกั่วเกินค่ามาตรฐานของกรมอนามัย (0.01 มก./ล.) เล็กน้อย แต่ยังไม่เกินค่ามาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข (0.05 มก./ล.)

นอกจากนี้ ไม่พบสารหนูหรือแคดเมียมในระดับอันตราย ซึ่งสะท้อนว่าปัญหาดังกล่าวอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ หากมีมาตรการจัดการที่เหมาะสม

แผน 3 ระยะในการจัดการ – ป้องกันซ้ำซ้อนด้วยระบบกรอง RO

เรือนจำกลางเชียงรายได้วางแผนจัดการใน 3 ระยะดังนี้:

  1. ระยะสั้น – ปรับปรุงระบบกรองน้ำทันที เช่น การเปลี่ยนสารกรองแมงกานีสแซนด์ คาร์บอน และเรซิ่น รวมถึงเติมสารตกตะกอนก่อนผลิตน้ำประปาจากแม่น้ำกก
  2. ระยะกลาง – แยกระบบน้ำบาดาลและผิวน้ำออกจากกัน พร้อมเปลี่ยนฝาปิดบ่อพักน้ำบาดาลจากเหล็กเป็นไม้เพื่อลดการปนเปื้อน และขอคำแนะนำจาก 3 หน่วยงานหลัก ได้แก่ การประปาส่วนภูมิภาคเขต 9, ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  3. ระยะยาว – ขอขยายเขตบริการน้ำประปาจากการประปาส่วนภูมิภาคให้ครอบคลุมพื้นที่เรือนจำ ซึ่งปัจจุบันยังอยู่นอกเขตบริการ โดยหากสามารถดำเนินการได้ จะเป็นประโยชน์กับชุมชนโดยรอบในตำบลดอยฮางอีกด้วย

ดำเนินการเร่งด่วน ติดตั้งแท็งก์น้ำ ขอซื้อน้ำสะอาด

เพื่อรองรับการบริโภคน้ำในช่วงรอระบบกรอง RO เรือนจำฯ ได้ติดตั้งแท้งค์น้ำขนาดต่าง ๆ ครอบคลุมทุกแดน เช่น

  • แท้งค์ 2,000 ลิตร – แดน 2, 3, 10
  • แท้งค์ 1,000 ลิตร – แดน 1, 2, 4, 5
  • แท้งค์ 500 ลิตร – แดน 6

พร้อมประสานการประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย ซื้อน้ำสะอาดประมาณ 6,000-8,000 ลิตรต่อวันสำหรับดื่ม และอีก 2,000 ลิตรต่อวันสำหรับประกอบอาหาร โดยขอการสนับสนุนรถขนน้ำจากหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อขนส่งน้ำเข้าสู่พื้นที่เรือนจำ

ยืนยันไม่มีผู้ต้องขังหรือเจ้าหน้าที่มีอาการเจ็บป่วย

ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงรายย้ำว่า “ยังไม่พบผู้ต้องขังหรือเจ้าหน้าที่คนใดมีอาการผิดปกติจากสารปนเปื้อน” พร้อมระบุว่าได้มีการสุ่มตรวจเลือดและเฝ้าระวังอาการเป็นระยะโดยร่วมกับสาธารณสุขจังหวัด

ทั้งนี้ ยังประสานการจัดซื้อระบบ RO ซึ่งคาดว่าจะติดตั้งได้ภายในเดือนนี้ ขณะเดียวกันยังคงติดตามแผนขยายเขตบริการประปาจาก กปภ. ซึ่งอยู่ระหว่างรอรอบปีงบประมาณ หากมีงบประมาณพร้อม เรือนจำสามารถเร่งรัดการประกวดราคาและดำเนินการได้ภายใน 6 เดือน

มุมมองจากรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย – ต้องบูรณาการสื่อสารเพื่อคลี่คลายความสับสน

น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีข่าวสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกว่า หน่วยงานหลายแห่งยังขาดเอกภาพในการสื่อสาร ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน โดยเฉพาะเกษตรกรริมแม่น้ำที่ยังไม่มั่นใจว่าสามารถใช้น้ำได้หรือไม่

รัฐมนตรีช่วยฯ ย้ำว่า วันที่ 9 มิถุนายนนี้จะมีการประชุมติดตามร่วมกับคณะกรรมการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) ที่มีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อรวมข้อมูลทั้งหมดอย่างเป็นระบบ พร้อมวางแนวทางสื่อสารให้ประชาชนรับรู้ตามข้อเท็จจริงในแต่ละพื้นที่

เรือนจำกลางเชียงรายคือตัวแทนความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างของรัฐไทย

เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ตั้งแต่การเข้าถึงบริการพื้นฐาน เช่น น้ำประปา ไปจนถึงการบริหารจัดการภายใต้ภาวะวิกฤตในสถานที่ปิดล้อมอย่างเรือนจำ ซึ่งมีผู้ต้องขังนับพันคนที่ไม่มีสิทธิเลือกแหล่งน้ำเอง

แม้สารตะกั่วที่พบจะยังไม่เกินค่ามาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข แต่ก็เกินค่าที่กรมอนามัยแนะนำ และหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่เร่งจัดการ ก็อาจสะสมในร่างกายและส่งผลในระยะยาวได้

เรือนจำกลางเชียงรายจึงเปรียบเสมือนภาพย่อส่วนของสังคมที่ยังต้องการความเท่าเทียมด้านสุขภาพ น้ำสะอาด และการสื่อสารที่โปร่งใส และหากปัญหาได้รับการแก้ไขสำเร็จ ไม่เพียงแต่ผู้ต้องขังเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์ แต่ยังรวมถึงประชาชนรอบพื้นที่เรือนจำอีกจำนวนมาก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สัมภาษณ์นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย
  • การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย
  • กรมราชทัณฑ์
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงมหาดไทย
  • การประชุมศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) วันที่ 6-7 มิถุนายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายกฯ ห่วง! รมช.มหาดไทยนำทีมแก้ปัญหาสารพิษแม่น้ำกก-สาย ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง

แม่น้ำกก-แม่น้ำสายเผชิญวิกฤตสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ รัฐบาลเร่งตั้งศูนย์อำนวยการส่วนหน้า เดินหน้าสร้างระบบแก้ปัญหาน้ำปนเปื้อนอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 6 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งถือเป็นลำน้ำสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย เข้าสู่ภาวะวิกฤต หลังมีการตรวจพบสารปนเปื้อนโลหะหนัก โดยเฉพาะ “สารหนูและตะกั่ว” ในระดับที่เกินค่ามาตรฐานต่อเนื่องหลายเดือน กระตุ้นให้รัฐบาลเร่งตั้ง “ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า)” เพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนในระดับพื้นที่และระดับประเทศ

การเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมของประชาชน พร้อมวางระบบรับมือภัยคุกคามด้านสุขภาพจากแหล่งน้ำอย่างเป็นรูปธรรม

วิกฤตเชิงโครงสร้าง – น้ำที่ดื่มไม่ได้ คือความทุกข์ที่ไม่มีเสียง

แม่น้ำกกและแม่น้ำสายไม่เพียงแต่เป็นสายน้ำหลักของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตเกษตรกรรม การประมง และการบริโภคของชุมชนมาหลายชั่วอายุคน ทว่าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 สัญญาณอันตรายเริ่มปรากฏจากการตรวจวัดน้ำที่แสดงค่า “สารหนู” และ “ตะกั่ว” สูงเกินมาตรฐาน กระทั่งเข้าสู่ปี 2568 สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้นในหลายจุด

การเฝ้าระวังโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ พบว่า “ทุกครั้งที่มีการตรวจวัด ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน 2568 มีจุดที่พบสารหนูเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง” ส่งผลให้เกิดความกังวลลึกในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ใช้แม่น้ำในการอุปโภคบริโภคโดยตรง

ศูนย์อำนวยการฯ ส่วนหน้า ตอบสนองเร็ว-สื่อสารชัด-แก้ปัญหาจริง

ในวันนี้ (6 มิ.ย.) นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) เป็นประธานการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข และรองผู้ว่าฯ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ ผ่านระบบ Zoom Meeting ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

การประชุมมีวัตถุประสงค์เพื่อ “วางแนวทางบูรณาการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ” โดยมีหัวข้อเร่งด่วน เช่น

  • รายงานคุณภาพน้ำในพื้นที่
  • การวิเคราะห์ตะกอนดิน
  • ปรับปรุงระบบสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจง่าย
  • เตรียมรับมือกรณีประชาชนร้องเรียน หรือมีข่าวที่ก่อให้เกิดความตระหนก

ที่ประชุมได้เสนอให้ “รวมข้อมูลจากทุกหน่วยงานในทิศทางเดียว” เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ทั้งจากหน่วยงานรัฐ นักวิชาการ และภาคประชาชน พร้อมข้อเสนอให้หน่วยงานเฉพาะทาง เช่น กรมประมง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเกษตรจังหวัด ตรวจผลแล็บซ้ำเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม 4 จุดหลัก ปูโครงข่ายตรวจสอบในระดับพื้นที่

ขณะเดียวกัน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้เปิดศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ลุ่มน้ำจำนวน 4 จุดหลัก ได้แก่:

  1. จุดที่ 1 ศูนย์การแพทย์แผนไทย สะพานท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (แม่น้ำกก) – ดูแลโดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  2. จุดที่ 2 ศูนย์หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย (แม่น้ำกก) – ดูแลโดยกรมควบคุมมลพิษ
  3. จุดที่ 3 ด่านพรมแดนแม่สายแห่งที่ 1 อ.แม่สาย (แม่น้ำสาย) – ดูแลโดยสำนักงานควบคุมมลพิษ
  4. จุดที่ 4 สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน (แม่น้ำรวก-แม่น้ำโขง) – ดูแลโดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล

แต่ละจุดจะติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ พร้อมป้ายแสดงผลต่อสาธารณะ และรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนโดยตรง โดยมีหน่วยงานระดับจังหวัด-อำเภอ-ท้องถิ่น เข้าร่วมปฏิบัติงานประจำศูนย์ฯ อย่างใกล้ชิด

การสื่อสารที่ชัด คือเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่น

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ กรมประชาสัมพันธ์ เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำข้อมูลข่าวสารให้สาธารณชนรับรู้ โดยเน้นการสื่อสารที่ “ตรงความจริง ชัดเจน สม่ำเสมอ และมีภาษาที่เข้าใจง่าย” เพื่อลดความวิตกกังวลจากข่าวลือหรือข้อมูลจากแหล่งที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ พร้อมแนะนำแนวทางการปฏิบัติเมื่อพบเห็นหรือได้รับผลกระทบจากน้ำที่ปนเปื้อน

จากน้ำปนเปื้อน สู่คำถามเรื่องธรรมาภิบาลทรัพยากรน้ำ

กรณีแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเชิงสิ่งแวดล้อม แต่คือบททดสอบสำคัญของกลไกรัฐไทยในการจัดการวิกฤติระดับภูมิภาค เมื่อประชาชนเริ่มตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงใช้เวลานานเกินไปในการรับรู้ปัญหา เหตุใดข้อมูลที่เปิดเผยจึงแตกต่าง และเหตุใดแม่น้ำที่ควรเป็นแหล่งชีวิตกลับกลายเป็นสิ่งที่สร้างความวิตกในทุกวัน

การจัดตั้งศูนย์ฯ ส่วนหน้า และศูนย์เฝ้าระวังระดับพื้นที่ หากสามารถทำงานอย่างบูรณาการจริงจัง จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ต้องได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณ เครื่องมือ และบุคลากร รวมถึง “เจตจำนงทางการเมือง” ที่จะไม่นิ่งเฉยเมื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งกระทบความมั่นคงด้านสุขภาพของประชาชนทั้งลุ่มน้ำ

สรุป

ปัญหาน้ำปนเปื้อนในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก คือสัญญาณชัดเจนว่า ไทยต้องเร่งยกระดับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและระบบสื่อสารข้อมูลภาครัฐ การบูรณาการที่ดีเพียงพอเท่านั้น จึงจะสามารถนำพาประชาชนข้ามพ้นวิกฤตนี้อย่างมั่นใจ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า)
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • กระทรวงมหาดไทย
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • รายงานการประชุมวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งแก้แม่น้ำกก ปนเปื้อน สารหนูเกินมาตรฐาน!

เชียงรายเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ – จับมือทุกภาคส่วนสู้ภัยสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก วันสิ่งแวดล้อมโลกชาวบ้านแห่เรียกร้อง “ปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง”

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวของสังคมต่อวิกฤตสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำสำคัญของภาคเหนือ “แม่น้ำกก” ซึ่งเป็นหัวใจของการดำรงชีวิตในพื้นที่เชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง กลายเป็นประเด็นร้อนบนเวทีสาธารณะอีกครั้ง หลังการตรวจพบสารหนูและสารพิษโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานในน้ำอย่างต่อเนื่อง กระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชุมชนริมฝั่งน้ำ ทั้งยังเป็นชนวนจุดประกายให้ทุกภาคส่วนในจังหวัดลุกขึ้นผนึกกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลง

นายก อบจ.เชียงราย นำทีมร่วมขบวน “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สายรวก โขง” ย้ำจุดยืนปกป้องสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 2568

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้เข้าร่วมกิจกรรมขบวนแห่ “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สายรวก โขง” อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ซึ่งตรงกับวันสิ่งแวดล้อมโลก โดยมีนายจิรวัฒน์ ณ เชียงใหม่ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เขตอำเภอเมืองเชียงราย เขต 1 เข้าร่วมกิจกรรมสำคัญในครั้งนี้ด้วย ท่ามกลางการรวมตัวของพี่น้องประชาชนชาวเชียงรายจำนวนมากที่มาร่วมแสดงพลังและเจตนารมณ์ร่วมกันในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของจังหวัด

กิจกรรม “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สายรวก โขง” จัดขึ้นโดยความร่วมมือของภาคประชาสังคมและเครือข่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในจังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเรียกร้องให้มีการพิจารณาและดำเนินการ “ปิดเหมือง” อันอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคุณภาพของลุ่มน้ำกก ลำน้ำสายรวก และแม่น้ำโขง ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงชีวิตและเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่ ตลอดจนการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่อาจได้รับผลกระทบจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ในอดีตหรือที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืน “วันสิ่งแวดล้อมโลกในปีนี้เป็นโอกาสอันดีที่เราทุกคนจะได้ทบทวนบทบาทและความรับผิดชอบในการปกป้องผืนดินและแหล่งน้ำของเรา สิ่งแวดล้อมที่ดีคือรากฐานของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนทุกคนในปัจจุบันและในอนาคต องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการส่งเสริมการพัฒนาที่สมดุลระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และพร้อมที่จะสนับสนุนทุกภาคส่วนในการดำเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม”

เวทีรัฐ-ประชาชนร่วมสื่อสารสถานการณ์

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ที่ห้องประชุมจอมกิตติ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นแกนกลางนำทีมหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย สำนักงานประปาส่วนภูมิภาคเชียงราย สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย และสำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย ร่วมชี้แจงสถานการณ์ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกต่อสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเผยว่า ต้นตอของปัญหาส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต่างประเทศ จังหวัดจึงมีอำนาจและขีดความสามารถแก้ไขได้เพียงปลายเหตุ เช่น การตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก บ่อน้ำตื้น และแหล่งน้ำดิบของการประปา รวมถึงการเตรียมสำรองแหล่งน้ำจากที่อื่นไว้ในกรณีฉุกเฉิน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน อย่างไรก็ดี ทางจังหวัดยังยืนยันว่าได้อยู่เคียงข้างประชาชนมาโดยตลอด

ที่ผ่านมา สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ ได้ตรวจวัดคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลักต่าง ๆ มาแล้วจำนวน 4 ครั้ง พบว่าคุณภาพน้ำใต้ฝายเชียงรายในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย มีแนวโน้มดีขึ้นจากการตกตะกอนของสารปนเปื้อน ข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นฐานข้อมูลสำคัญเพื่อการวิเคราะห์แนวทางแก้ปัญหาในอนาคต

ผลวิเคราะห์คุณภาพน้ำ  ตัวเลขที่น่ากังวล

ผลการตรวจสอบโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ในเดือนพฤษภาคม 2568 พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานทั้ง 11 จุดสำรวจ ในพื้นที่เชียงรายและเชียงใหม่ อาทิ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย (0.030 มก./ลิตร), บ้านหัวฝาย ต.แม่สาย อ.แม่สาย (0.023 มก./ลิตร) และจุดสูงสุดอยู่บริเวณชายแดนไทย–เมียนมา ขณะที่การตรวจในแม่น้ำโขงพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานที่ต.เวียง อ.เชียงแสน (0.026 มก./ลิตร) และต.บ้านแซว อ.เชียงแสน (0.025 มก./ลิตร)

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการดำเนินการตรวจสอบดังกล่าว หน่วยงานรัฐยังพบความคลาดเคลื่อนของผลตรวจน้ำระหว่างภาครัฐกับนักวิชาการอิสระในบางจุด จึงขอความร่วมมือจากประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้ประสานงานล่วงหน้ากับเจ้าหน้าที่ภาครัฐในการตรวจน้ำแต่ละครั้ง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงกัน ลดความตื่นตระหนกและสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องในชุมชน

แผนรับมือเชิงระบบ – การตั้งคณะทำงาน 4 ชุด

ในระดับนโยบาย รัฐบาลได้ตั้งคณะทำงาน 4 ชุดเพื่อรับมือกับปัญหานี้ ได้แก่

  1. ชุดประสานงานระหว่างประเทศ
  2. ชุดด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม
  3. ชุดติดตามคุณภาพน้ำ
  4. ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า

โดยมี น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน พร้อมจัดประชุมร่วมกับจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ในวันที่ 6 มิถุนายนนี้ ทางระบบออนไลน์ เพื่อยกระดับการแก้ไขปัญหาให้เกิดความเป็นระบบและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ชาวบ้านลุกขึ้นสู้ “ปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง”

ในวันเดียวกันนี้ บรรยากาศที่สวนสาธารณะแม่ฟ้าหลวงคึกคักไปด้วยประชาชน นักเรียน นักศึกษา ภาคประชาสังคม และผู้นำท้องถิ่นกว่า 1,000 คน รวมพลังแสดงจุดยืนร่วมในกิจกรรม “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง” เพื่อเรียกร้องปกป้องทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมจากผลกระทบของเหมืองแร่ พร้อมส่งสารถึงผู้นำประเทศและนานาชาติให้ร่วมมือกันอนุรักษ์ธรรมชาติ

การรวมพลังครั้งนี้สะท้อนถึงความตื่นตัวและความห่วงใยต่อแม่น้ำกก สาย รวก โขง ในฐานะสายชีวิตของผู้คนเชียงราย ซึ่งหากไม่มีมาตรการเชิงรุกที่ชัดเจน ปัญหาสารพิษข้ามพรมแดนจะลุกลามและกระทบวิถีชีวิตของชุมชนอย่างต่อเนื่อง

เสียงประชาชนสะท้อนถึงศูนย์กลางนโยบาย

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายย้ำว่า ทางจังหวัดจะดำเนินการเต็มที่และพร้อมประสานงานกับทุกฝ่ายในทุกมิติ ขณะที่ภาคประชาชนยังคงจับตาและผลักดันให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยั่งยืน

สุดท้ายนี้ ความหวังของชาวเชียงรายและเครือข่ายภาคประชาชน คือ การได้เห็นแม่น้ำกกและลุ่มน้ำสำคัญกลับมาสะอาด บริสุทธิ์ เป็นแหล่งหล่อเลี้ยงชีวิตอย่างแท้จริง ขณะที่ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งรัดการแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้าน และสร้างการสื่อสารที่ถูกต้องต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย
  • สำนักงานประปาส่วนภูมิภาคเชียงราย
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายรวมพลัง! ปิดเหมืองกอบกู้แม่น้ำ จี้รัฐบาลเร่งแก้พิษ

เชียงรายรวมพลัง “ปอยหลวงปิดเหมือง” วันสิ่งแวดล้อมโลก เรียกร้องรัฐเร่งแก้ปัญหาสารพิษข้ามแดนในลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – บรรยากาศเช้าวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ที่สวนสาธารณะแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เต็มไปด้วยเสียงกลอง พลังศรัทธา และความหวัง เมื่อชาวเชียงรายกว่า 1,000 คน ทั้งภาคประชาสังคม เยาวชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชนหลากหลายกลุ่ม จัดกิจกรรม “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง” ภายใต้สัญลักษณ์แถลงการณ์ 5 ภาษา ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เร่งฟื้นฟูแม่น้ำสายหลักภาคเหนือที่กำลังเผชิญวิกฤตสารปนเปื้อนข้ามพรมแดนจากเหมืองในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

จุดเริ่มต้นของ “ขบวนแห่” เพื่อสิ่งแวดล้อม

กิจกรรมเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ 9 โมงเช้า ณ สวนสาธารณะแม่ฟ้าหลวง ด้วยขบวนแห่ขนาดใหญ่ นำโดยสมาคมขัวศิลปะที่นำงาน “ศพปลาแค้” สะท้อนผลกระทบจากสารพิษในแม่น้ำ ตามด้วยนักเรียน ชาวบ้าน และกลุ่มเยาวชนซึ่งหลายคนเป็น “เสียงจริง” จากชุมชนที่ได้รับผลกระทบทั้งจากการจับปลาไม่ได้ การลงเล่นน้ำแล้วมีอาการผื่นคัน ไปจนถึงการดำรงชีพที่ถูกเปลี่ยนแปลงเพราะวิกฤตสิ่งแวดล้อม

จุดไฮไลต์ของงานอยู่ที่การเดินเท้าของประชาชนและนักเรียนจากสวนฯ ไปจนถึงกลางสะพานข้ามแม่น้ำกก พร้อมการอ่านแถลงการณ์ 5 ภาษา – ไทย อังกฤษ จีน เมียนมา และไทใหญ่ – เรียกร้องให้ผู้นำประเทศ รวมถึงรัฐบาลเมียนมา จีน และกองทัพว้า เร่งปิดเหมืองต้นเหตุปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม

แถลงการณ์ถึงรัฐบาลไทยและประชาคมโลก

ตัวแทนเครือข่ายประชาชนปกป้องลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง ได้นำรายชื่อผู้ร่วมกิจกรรมกว่า 1,000 คนเข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านนายขจร ศรีชวโนทัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ พร้อมกับยื่นข้อเรียกร้องผ่านตัวแทนไปยังรัฐบาลเมียนมา จีน และกองทัพว้า

รองปลัดกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่า รัฐบาลไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ส่งหนังสือถึงประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอความร่วมมือในการหยุดกิจกรรมเหมืองแร่ พร้อมกับนัดหมายหารือระหว่างรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ วันที่ 6 มิถุนายนนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยจะประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ และกรมควบคุมมลพิษ เพื่อเดินหน้ามาตรการอย่างเร่งด่วน

เสียงจากคนท้องถิ่น “หยุดเหมืองพิษ คืนชีวิตให้สายน้ำกก”

ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ “ครูตี๋” นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว เผยว่า ผลกระทบจากสารพิษในแม่น้ำกก สาย รวก และโขง ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่กลายเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง โดยในปีนี้พบปลาจำนวนมากมีตุ่มพองและตายผิดธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็มีรายงานจากชาวบ้านที่ลงเล่นน้ำแล้วเกิดผื่นคัน ต้องใส่ชุดป้องกันเต็มที่

“วันนี้รัฐบาลคงเห็นแล้วว่าประชาชนคนเชียงรายมองว่าปัญหานี้มีความสำคัญกับชีวิต ถ้ารัฐบาลยังช้า หรือไม่ขับเคลื่อนอย่างจริงจัง จะเกิดปัญหาสุขภาพและอาชีพประชาชนในระยะยาว สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนที่สุดคือ หยุดเหมือง และฟื้นฟูลำน้ำให้กลับมาเป็นปกติ” ครูตี๋กล่าว

ข้อเสนอและความคาดหวัง

กิจกรรมครั้งนี้ นอกจากเป็นสัญลักษณ์การรวมพลังของคนเชียงรายแล้ว ยังถือเป็นการส่งเสียงเตือนที่ดังไปถึงส่วนกลางและนานาชาติว่าการจัดการกับปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือหลายฝ่ายทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ พร้อมขอให้รัฐใช้มาตรการทางการทูตและความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมกับเมียนมาและจีนอย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของไทยไม่ให้ถูกทำลายเพราะปัญหาจากภายนอก

ประชาชนยังเสนอให้รัฐเร่งรัดระบบเตือนภัยคุณภาพน้ำ ตรวจสอบคุณภาพปลาน้ำจืดในท้องถิ่น และมีมาตรการฟื้นฟูทั้งทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน รวมถึงเร่งส่งเสริมให้มีงานวิจัยและองค์ความรู้ใหม่ๆ ด้านระบบนิเวศในลุ่มน้ำข้ามแดน

บทสรุปและผลลัพธ์

“ปอยหลวงปิดเหมือง” ในปี 2568 จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่คือเสียงสะท้อนของผู้คนที่ตระหนักรู้ถึงคุณค่าของสิ่งแวดล้อม และเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับรัฐบาลว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนข้ามพรมแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ชาวเชียงรายและประชาชนที่เกี่ยวข้องยังรอคอยความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมจากภาครัฐและความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News