Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT

วิกฤตแม่น้ำกก สารหนูข้ามแดนคุกคามชีวิต “ปลาป่วย” สัญญาณเตือนภัยเงียบ!

วิกฤตแม่น้ำกก สารหนูข้ามแดนคุกคามชีวิต ปลากลายเป็นสัญญาณเตือน “ภัยเงียบ” ที่ไม่ควรมองข้าม!

เชียงราย,8 กรกฎาคม 2568  – ผลวิจัยล่าสุดจาก สกสว. และมหาวิทยาลัยนเรศวร ตอกย้ำข้อเท็จจริงสุดช็อก! แม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย กำลังเผชิญหน้ากับการปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในประเทศพม่า สารพิษจากเหมืองแร่หายากและเหมืองทองคำกำลังรุกคืบเข้าสู่ระบบนิเวศอันเปราะบาง แม้สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพมนุษย์ แต่ “ปลาป่วย” ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยอันตรายที่ไม่อาจละเลย การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต้องพุ่งเป้าไปที่ “ต้นตอ” ด้วยการเจรจาข้ามประเทศ พร้อมเร่งพัฒนาระบบเฝ้าระวังอัจฉริยะเพื่อปกป้องแม่น้ำกกและชีวิตของชาวบ้านในระยะยาว

กว่าสิบปีที่ผ่านมา ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่คุกคามทรัพยากรธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวชายแดนที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเข้มข้น ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เปิดเผยผลการศึกษาที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข นั่นคือการประเมินความเสี่ยงจากการปนเปื้อนโลหะและกึ่งโลหะใน แม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ซึ่งผลวิจัยได้ชี้ชัดอย่างไม่น่าสงสัยว่า แม่น้ำสายสำคัญนี้กำลังรับพิษจากมลภาวะข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างสาหัส

เปิดหลักฐานเชิงประจักษ์ สารหนูจากพม่าเข้าสู่แม่น้ำกก

รายงานผลการศึกษาฉบับนี้ ได้ใช้เทคนิคนิติวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมผสานการมีส่วนร่วมของวิทยาศาสตร์พลเมือง เพื่อระบุ “แหล่งที่มา” ของการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกกอย่างแม่นยำ และผลลัพธ์ที่ได้นั้นเป็นเหมือนฟ้าผ่ากลางใจแม่น้ำ การวิเคราะห์ยืนยันว่า ร้อยละ 69.7 ของสารปนเปื้อนมาจากเหมืองแร่หายาก (Rare Earth) ในประเทศพม่า และอีก ร้อยละ 30.3 มาจากเหมืองทองคำ สารปนเปื้อนเหล่านี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในเขตแดนของประเทศต้นทาง แต่ได้ไหลหลั่งข้ามพรมแดนเข้ามาตามกระแสน้ำ และแม้จะมีการเจือจางไปบ้างตามระยะทาง แต่ปริมาณที่ตรวจพบก็เพียงพอที่จะสร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศและสุขภาพของสิ่งมีชีวิตในพื้นที่

“การค้นพบนี้ไม่ใช่แค่เพียงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นเสียงสะท้อนจากธรรมชาติที่กำลังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ” นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวรกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของผลการศึกษาชิ้นนี้

ปลาป่วย” สัญญาณเตือนภัยเชิงระบบนิเวศที่ไม่อาจมองข้าม

แม้ว่าในปัจจุบัน สถานการณ์การปนเปื้อนยังอยู่ในระดับที่นักวิจัยระบุว่า “ปลอดภัย” ต่อสุขภาพของมนุษย์ ทั้งจากการใช้น้ำบาดาลตื้น การบริโภคพืชผักที่เพาะปลูกริมฝั่งแม่น้ำ และการบริโภคปลาจากแม่น้ำกก แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญต้องขมวดคิ้วด้วยความกังวล คือการตรวจพบ สัญญาณเตือน” ที่น่าจับตาอย่างยิ่ง นั่นคือ ปลาในแม่น้ำกกมีอาการป่วยผิดปกติ

อาการป่วยของปลานี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลโดยตรงจากสารปนเปื้อนโลหะและกึ่งโลหะที่อยู่ในน้ำ สารพิษเหล่านี้ไม่ได้ฆ่าปลาโดยตรงในทันที แต่กลับค่อยๆ บ่อนทำลายภูมิคุ้มกันของปลา ทำให้ปลาอ่อนแอและติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เปรียบเสมือนปลาที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษจึงต้องต่อสู้กับโรคร้ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักวิจัยระบุว่านี่คือ ตัวชี้วัดความเสี่ยงเชิงระบบนิเวศ” ที่สำคัญอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะหากปลาซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดสุขภาพของแม่น้ำได้รับผลกระทบหนักขึ้นเรื่อยๆ ย่อมหมายความว่าสถานการณ์กำลังเลวร้ายลง และอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อาหารและมนุษย์ในอนาคตอันใกล้

เดินหน้าประเมินความเสี่ยงและหาทางออก

เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย นักวิจัยกำลังเร่งจัดทำรายงานเพิ่มเติมอีก 2 ฉบับภายใน 1 เดือน และ 2 เดือนตามลำดับ ซึ่งจะประเมิน แบบจำลองการปนเปื้อน” ที่ครอบคลุมไปถึงการสะสมของสารหนูในน้ำใต้ดินตื้น และดินเกษตรกรรม เพื่อตอบคำถามสำคัญว่า “เมื่อไหร่ที่สารพิษเหล่านี้จะเริ่มกระทบต่อความปลอดภัยทางอาหาร?” ซึ่งเป็นคำถามที่รอคำตอบและจะเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดมาตรการรับมือต่อไป หากแหล่งกำเนิดมลพิษยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการแก้ไข

“ดับไฟที่ต้นลม” ด้วยการเจรจาข้ามพรมแดนและเทคโนโลยี AI

การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการที่ ต้นเหตุ” ของมลพิษ ไม่ใช่เพียงแค่การบรรเทาผลกระทบที่ปลายน้ำ ดังนั้น การเร่งเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศพม่า หรือแม้กระทั่งกับผู้ซื้อแร่ เพื่อ หยุดการปล่อยน้ำเสียจากเหมือง” จึงเป็นหัวใจสำคัญ หากไม่มีการดำเนินการใดๆ สถานการณ์ความเสี่ยงก็จะขยายตัวมากขึ้นในอนาคต สร้างความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตของผู้คน

ในขณะเดียวกัน สกสว. และมหาวิทยาลัยนเรศวร ไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิเคราะห์ปัญหา แต่ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันเพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ โดยกำลังพัฒนา ระบบเฝ้าระวังด้วยวิทยาศาสตร์พลเมืองเสริมด้วย AI” ระบบนี้จะใช้เซนเซอร์ที่สามารถตรวจวัดสารหนูได้อย่างแม่นยำกว่า 71% และที่สำคัญคือสามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าแบบ 24 ชั่วโมง ผ่านระบบที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานรัฐและจังหวัด คาดว่าจะเริ่มทดสอบใช้งานจริงภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งหากระบบนี้ใช้งานได้ผลจริง จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยได้อย่างรวดเร็ว ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลและตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

การผสานพลังเพื่ออนาคตของแม่น้ำกก

รายงานฉบับนี้จึงมีความสำคัญในหลายมิติ ไม่เพียงแต่สะท้อนสถานการณ์มลพิษข้ามพรมแดนด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน แต่ยังชี้แนะแนวทางการป้องกัน ฟื้นฟู และเตือนภัยล่วงหน้าด้วยนวัตกรรมที่ผสานพลังจากภาครัฐ นักวิจัย และประชาชนเข้าด้วยกัน เพื่อรับมือกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบและทันเวลา

เรื่องราวของแม่น้ำกกไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของมลพิษจากสารหนูและโลหะหนักเท่านั้น แต่มันเป็นอุทาหรณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกันข้ามพรมแดน การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการแก้ไขปัญหา และที่สำคัญที่สุดคือการตระหนักถึง “สัญญาณเตือน” จากธรรมชาติ เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.)
  • มหาวิทยาลัยนเรศวร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สัญญาณอันตรายจากแม่กก สารหนูปนเปื้อน! รัฐ-ชุมชนผนึกกำลังกอบกู้สายน้ำ

เฝ้าระวังแม่กก” รัฐลุยแก้มลพิษน้ำ โลหะหนักเกินมาตรฐาน กระตุ้นชุมชนมีส่วนร่วม

สัญญาณอันตรายจากสายน้ำแม่กก จุดเริ่มต้นของปฏิบัติการเชิงรุก

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – สายน้ำแม่กก ซึ่งเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงชีวิตของคนเชียงราย กำลังเผชิญกับภัยคุกคามเชิงสิ่งแวดล้อม เมื่อสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ตรวจพบสารโลหะหนักบางชนิดในแม่น้ำกกเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะสารหนู (Arsenic) ที่อาจสะสมในระบบนิเวศและส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

ด้วยความตระหนักถึงอันตรายที่อาจตามมา สำนักงานสิ่งแวดล้อมฯ จึงจัดกิจกรรม “ออกหน่วยเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมในชุมชน” ณ เทศบาลตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำ วิเคราะห์สารปนเปื้อน และสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์อย่างถูกต้อง

จากความวิตกของประชาชน สู่การขับเคลื่อนโดยหน่วยงานรัฐ

การตรวจพบค่าปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก ไม่เพียงแต่ส่งแรงสั่นสะเทือนไปถึงหน่วยงานรัฐ หากแต่ยังสร้างความวิตกกังวลในวงกว้างของชาวบ้านที่อาศัยและพึ่งพาน้ำจากแม่น้ำสายนี้โดยตรง

โดยมี นายสุรศักดิ์ วณิชอนุกูล ผู้อำนวยการส่วนสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และ นางสาวปิยนุช ทรวงคำ ผู้อำนวยการส่วนการจัดการคุณภาพน้ำ อากาศและเสียง สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 นำทีมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำ วิเคราะห์ผลแบบทันที และให้ความรู้กับประชาชน

ปฏิบัติการ 7 ครั้ง 5 อำเภอ เฝ้าระวังน้ำจากต้นทาง

กิจกรรมจะจัดขึ้นทั้งหมด 7 ครั้ง ครอบคลุม 5 อำเภอหลักของจังหวัดเชียงราย ได้แก่ เมืองเชียงราย เวียงชัย เวียงเชียงรุ้ง ดอยหลวง และแม่จัน

ภารกิจหลักคือการเก็บตัวอย่างน้ำจากหลากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำบริโภค น้ำประปา หรือน้ำในแม่น้ำสาขา เพื่อวิเคราะห์ค่ามาตรฐานในระดับทันที ณ จุดตรวจสอบ ซึ่งช่วยให้สามารถตอบสนองต่อความผิดปกติได้รวดเร็วและตรงจุด

ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นพบว่า แหล่งน้ำอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่แม่น้ำกกยังคงต้องได้รับการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตรวจพบสารโลหะหนักที่สามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพและระบบนิเวศโดยรวม

ไม่ใช่แค่ตรวจน้ำ แต่สร้างความรู้ สื่อสาร และฟังเสียงชุมชน

ในกิจกรรมยังมีการจัดนิทรรศการ สื่อความรู้ และเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหา และตระหนักรู้ถึงอันตรายของสารปนเปื้อน พร้อมเรียนรู้วิธีการเฝ้าระวังในระดับชุมชน

เป้าหมายหลักคือการกระตุ้นให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์แหล่งน้ำ และรู้จักการสังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในชุมชนของตน รวมถึงรายงานข้อมูลต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การมีส่วนร่วมของประชาชน คือกุญแจสำคัญในการสร้างระบบเฝ้าระวังที่ยั่งยืน เพราะชุมชนที่ตื่นรู้และพร้อมมีส่วนร่วม จะช่วยลดช่องว่างระหว่างประชาชนกับหน่วยงานรัฐ และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้มากขึ้น

แผนป้องกันระยะยาว ระบบเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมเชิงพื้นที่

สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 ยังมีแผนต่อเนื่องในการพัฒนาระบบเฝ้าระวังคุณภาพน้ำแบบเชิงพื้นที่ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ชุมชน และภาควิชาการ เพื่อป้องกันปัญหามลพิษจากต้นทาง

นอกจากนี้ ผลการตรวจวิเคราะห์จะถูกรวบรวมเพื่อใช้ประกอบการวางแผนและกำหนดมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่จริง สำนักงานสิ่งแวดล้อมยืนยันว่าจะดำเนินการประเมินและสื่อสารข้อมูลอย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

บทเรียนจากแม่กก จากวิกฤติสู่โอกาสของการพัฒนา

แม่น้ำกกในวันนี้อาจกำลังเผชิญกับภาวะปนเปื้อน แต่ปฏิบัติการเชิงรุกของหน่วยงานรัฐในครั้งนี้ นับเป็นก้าวแรกของการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมจากรากฐาน

หากชุมชนสามารถยืนหยัดและร่วมมือกับภาครัฐอย่างเข้มแข็ง ปัญหานี้จะไม่เพียงแต่ได้รับการแก้ไขเฉพาะหน้า แต่จะนำไปสู่การจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน

เชียงรายในอนาคตอาจไม่ใช่เพียงเมืองที่ลุ่มน้ำแม่กกหล่อเลี้ยงชีวิต แต่จะกลายเป็นต้นแบบของการปกป้องแม่น้ำด้วยพลังของประชาชนและความรู้ที่เข้าถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • ข่าวประชาสัมพันธ์และสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ ณ เทศบาลตำบลแม่ยาว
  • รายงานวิเคราะห์คุณภาพน้ำประจำเดือนกรกฎาคม 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

วิกฤตแม่น้ำโขง-กก-สาย-รวก ประชาชนเรียกร้องจีนรับผิดชอบเหมืองแร่

ปอยหลวงเพื่อแม่น้ำ” เสียงสะท้อนจากเครือข่ายประชาชนเชียงราย เรียกร้องหยุดต้นตอปัญหาสารพิษข้ามพรมแดนในแม่น้ำกก-สาย-รวก-โขง ย้ำแก้ที่ต้นเหตุ ปกป้องอนาคตแหล่งน้ำและสุขภาพชุมชน

เชียงราย, 21 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางวิกฤตการณ์สารพิษปนเปื้อนข้ามพรมแดนในแม่น้ำสายสำคัญของภาคเหนือ เครือข่ายประชาชน นักวิชาการ ศิลปิน และเยาวชน จ.เชียงราย ได้รวมพลังจัดกิจกรรม “ปอยหลวงเพื่อแม่น้ำกก สาย รวก โขง” ณ ขัวศิลปะ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย เพื่อส่งเสียงเรียกร้องให้ยุติการทำเหมืองแร่ต้นน้ำกกและแม่น้ำสายที่เป็นต้นตอของสารโลหะหนักปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ห่วงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชนลุ่มน้ำโขง

จุดเริ่มต้น – เสียงจากชุมชนถึงเวทีนานาชาติ

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นในรูปแบบงานศิลปะและวัฒนธรรม โดยมีเวทีอภิปรายในหัวข้อ “แก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือเหมืองเถื่อนที่ต้นแม่น้ำในพม่า” และ “ฟังเสียงประชาชน” เริ่มต้นด้วยบทเพลงโดยเยาวชน Chiang Rai Youth Orchestra ตามด้วยการเสวนา กาดศิลปิน และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์มากมาย ที่สะท้อนความตื่นตัวและห่วงใยต่อวิกฤตแม่น้ำจากประชาชนทั่วจังหวัดเชียงรายและชุมชนใกล้เคียง

แม้จะได้เชิญเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยมารับฟังเสียงประชาชน แต่สุดท้ายไม่มีตัวแทนจากสถานทูตจีนเข้าร่วมงาน ข้อเท็จจริงนี้ยิ่งเน้นให้เห็นถึงช่องว่างในกระบวนการสื่อสารข้ามชาติในประเด็นปัญหาแร่และสารพิษ

แกนหลักของปัญหา – วงจรอุบาทว์ของเหมืองแร่ข้ามแดน

เสียงจากเวทีสะท้อนตรงกันว่าต้นตอปัญหาอยู่ที่การทำเหมืองแร่ โดยเฉพาะเหมืองแรร์เอิร์ทในรัฐฉานและรัฐคะฉิ่น ประเทศเมียนมา ซึ่งดำเนินการโดยกลุ่มทุนข้ามชาติและบริษัทจีน ส่งผลให้โลหะหนัก เช่น สารหนู ตะกั่ว และโลหะอันตรายอื่นๆ ไหลลงแม่น้ำสายต่างๆ ของไทย และสะสมในสิ่งแวดล้อมตลอดจนร่างกายมนุษย์

ผศ.ดร.ศิตางศุ์ พิลัยหล้า จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ยกตัวอย่างปัญหาสารพิษจากเหมืองทองในพื้นที่อื่นของไทยที่สะสมจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม พร้อมเตือนว่าหากไม่หยุดปัญหาตั้งแต่ต้นทาง เชียงรายอาจเดินรอยซ้ำปัญหาจากพื้นที่เหมืองทองในอดีต

ขณะที่ตัวแทนภาคประชาชน เช่น นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ และตัวแทนชาวบ้านแม่สาย-ท่าตอน สะท้อนผลกระทบเชิงประจักษ์ ทั้งการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ ประเพณีที่หายไป ปัญหาสุขภาพ และการขาดความมั่นใจในความปลอดภัยของแหล่งน้ำและอาหารพื้นถิ่น

ข้อเรียกร้องจากเวที “ปอยหลวง” สู่ทุกภาคส่วน

กิจกรรมในวันนี้สรุปข้อเรียกร้องและข้อสังเกตสำคัญ 4 ประเด็น ดังนี้

  1. ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย
    • เร่งเจรจากับรัฐบาลเมียนมาและจีนเพื่อหยุดการทำเหมืองแร่หายากต้นน้ำกกและสาย
    • ยุติการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการสร้างฝายดักตะกอนที่ไม่สามารถแก้ปัญหาสารพิษได้จริง
    • ตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหาที่มีประชาชนและนักวิชาการร่วมเป็นสมาชิก
    • จัดสรรงบประมาณเพื่อฟื้นฟูและป้องกันมากกว่าใช้งบในโครงการที่ไม่แก้ปัญหาระยะยาว
    • ตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
  2. ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลจีน
    • เรียกร้องให้รัฐบาลจีนและบริษัทเหมืองแร่ในรัฐฉานและคะฉิ่นแสดงความรับผิดชอบต่อผลกระทบ
    • เสนอให้มีการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐเพื่อหาทางออกที่เป็นธรรม
  3. ข้อเสนอจากภาคประชาชนและนักวิชาการ
    • ย้ำว่าการยุติการทำเหมืองต้นน้ำคือทางออกเดียว
    • ตั้งข้อสังเกตถึงความไม่โปร่งใสของภาครัฐในการเปิดเผยผลตรวจคุณภาพน้ำ
    • เสนอให้นำประเด็นนี้สู่เวทีนานาชาติ โดยเฉพาะเวทีสิทธิมนุษยชนของ UN
  4. ข้อสังเกตสถานการณ์ปัจจุบัน
    • สารพิษกำลังสะสมในพืช ปลา สัตว์น้ำ และร่างกายมนุษย์
    • ยังขาดระบบเฝ้าระวังและติดตามผลกระทบที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ

วิเคราะห์และบทสรุป – ปลุกพลังสังคม-ผลักดันนโยบายเปลี่ยนผ่าน

งาน “ปอยหลวง” ครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงเวทีศิลปะหรือวัฒนธรรม แต่เป็นการแสดงพลังของพลเมืองเพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมย้ำว่าการแก้ปัญหาสารพิษในลำน้ำสายสำคัญของภาคเหนือ ต้องเริ่มที่การหยุดปัญหาตั้งแต่ต้นทางและเดินหน้าฟื้นฟูอย่างมีส่วนร่วม

สิ่งที่เกิดขึ้นในเชียงรายวันนี้สะท้อนภาพสะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียนที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้น เราอาจต้องแลกอนาคตของแม่น้ำ อาหาร และสุขภาพของประชาชนกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุนข้ามชาติที่ไม่เหลียวแลความทุกข์ของชุมชนชายขอบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ขัวศิลปะ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย
  • กลุ่มรักษ์เชียงของ
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ปลาเชียงรายปลอดภัย! กรมประมงยันขยายเฝ้าระวัง 22 จุด พบพยาธิในปลาแค้แต่กินสุกได้

กรมประมงยกระดับมาตรการเฝ้าระวังสารปนเปื้อนสัตว์น้ำแม่น้ำสาย-แม่น้ำกก ขยายจุดตรวจ 22 จุด ครอบคลุมเชียงราย-เชียงใหม่ แจงผลตรวจ “ปลาแค้มีตุ่มแดง” เกิดจากพยาธิใบไม้ ไม่ใช่สารพิษ

เชียงราย, 22 มิถุนายน 2568 – ภายใต้สถานการณ์วิกฤตสิ่งแวดล้อมจากมลพิษข้ามพรมแดนในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก กรมประมงประกาศเดินหน้ายกระดับมาตรการติดตามและเฝ้าระวังความปลอดภัยของสัตว์น้ำอย่างเข้มข้น โดยขยายจุดเก็บตัวอย่างและตรวจวิเคราะห์คุณภาพสัตว์น้ำเป็น 22 จุด ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงในสองจังหวัดหลักของภาคเหนือ ได้แก่ เชียงรายและเชียงใหม่ สร้างความมั่นใจด้านอาหารและสุขภาพประชาชน ตอบโจทย์ข้อกังวลที่เกิดขึ้นในสังคม หลังมีการเผยแพร่ภาพ “ปลาแค้มีตุ่มแดง” สร้างกระแสวิตกกังวลว่าอาจเป็นผลมาจากสารพิษตกค้างในแหล่งน้ำ

จากเหตุการณ์ถึงมาตรการ – ขยายจุดเฝ้าระวังและสื่อสารความจริง

นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยถึงเบื้องหลังมาตรการยกระดับการตรวจสอบว่า ภายใต้ข้อสั่งการของนายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ได้ขยายจุดเฝ้าระวังภายใต้ “โครงการติดตามและเฝ้าระวังสารปนเปื้อนสัตว์น้ำจากปัญหามลพิษข้ามพรมแดน” จาก 4 จุด เป็น 22 จุดในพื้นที่เสี่ยงทั้งจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ และเพิ่มความถี่ในการสุ่มตรวจทุก 2 สัปดาห์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดและครอบคลุมมากขึ้นในการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพสัตว์น้ำ รวมถึงคุ้มครองความปลอดภัยผู้บริโภค

การสุ่มเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำครั้งล่าสุดดำเนินการระหว่างวันที่ 14–15 มิถุนายน 2568 ใน 6 จุดสำคัญริมแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง อ.เมืองเชียงราย อ.ดอยฮาง อ.เชียงแสน โดยเจ้าหน้าที่สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย กองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด และกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดของกรมประมง เก็บตัวอย่างปลา 12 ชนิด รวม 49 ตัว

ผลตรวจชี้ “ปลาแค้” มีตุ่มแดงเพราะพยาธิใบไม้ ไม่ใช่สารพิษ

จากผลการตรวจวิเคราะห์สุขภาพสัตว์น้ำโดยละเอียด พบว่าปลาส่วนใหญ่มีสุขภาพแข็งแรงและสภาพภายนอกปกติ ยกเว้นปลาแค้ขนาดเล็ก 2 ตัว พบตุ่มแดงที่ผิวหนัง เมื่อตรวจภายใต้กล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูง (wet mount) พบว่าตุ่มดังกล่าวเกิดจากการฝังตัวของพยาธิใบไม้และปรสิตปลิงใสบริเวณครีบต่าง ๆ ไม่พบความเชื่อมโยงกับการปนเปื้อนของโลหะหนักหรือสารพิษตกค้างในน้ำ ความชุกของปรสิตในตัวอย่างครั้งนี้อยู่ที่ร้อยละ 7.14 (2/28 ตัว)

ทั้งนี้ จากการสอบถามชาวประมงท้องถิ่นที่มีประสบการณ์สูง ต่างยืนยันตรงกันว่าลักษณะตุ่มแดงในปลาแค้ขนาดเล็กนั้นพบได้ประจำในธรรมชาติ โดยเฉพาะช่วงหน้าฝน และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อปลาชนิดอื่นหรือการบริโภคปลาในชุมชนแต่อย่างใด ปลาที่มีพยาธิใบไม้หากปรุงให้สุกก่อนบริโภคสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย

ย้ำมาตรการเข้มข้น – ผลักดันความร่วมมือและสร้างความเข้าใจ

รองอธิบดีกรมประมงเน้นย้ำว่า กรมฯ จะดำเนินมาตรการติดตามตรวจสอบอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง และบูรณาการข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวิเคราะห์สุขภาพสัตว์น้ำและสารปนเปื้อนในทุกระยะ พร้อมเร่งสื่อสารข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง เพื่อคลายความกังวลและสร้างความเชื่อมั่นในการบริโภคสัตว์น้ำจากแม่น้ำสายและแม่น้ำกก สำหรับปรสิตและพยาธิในสัตว์น้ำ แม้จะเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติ แต่ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคปลาดิบ และเน้นปรุงให้สุกเสมอ

บทสรุป – สร้างหลักประกันความปลอดภัยอาหารและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

กรณี “ปลาแค้มีตุ่มแดง” จึงเป็นโอกาสสำคัญในการเน้นย้ำบทบาทของงานวิจัยและมาตรการเฝ้าระวังสัตว์น้ำจากหน่วยงานรัฐ ในการสร้างหลักประกันด้านความปลอดภัยทั้งด้านอาหารและสิ่งแวดล้อม และเป็นอีกก้าวสำคัญของกรมประมงในการตอบโจทย์สังคมอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการบูรณาการกับภาคประชาชน และสื่อสารข้อเท็จจริงสู่สาธารณชนเพื่อคลี่คลายความวิตกกังวล ตลอดจนพัฒนาระบบเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมประมง
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • กองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด
  • กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ภัยน้ำไม่หวั่น! เชียงรายเดินหน้าติดตั้งโทรมาตรน้ำ สร้างเครือข่ายประชาชน

เชียงรายเดินหน้าสร้างเครือข่ายแจ้งเตือนภัยภาคประชาชน ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำริมแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย เสริมแผนรับมือภัยพิบัติอย่างมีส่วนร่วม

เชียงราย, 20 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายประกาศเดินหน้าก้าวสำคัญในการสร้างระบบการแจ้งเตือนภัยและบริหารจัดการภัยพิบัติระดับชุมชนอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อแจ้งเตือนภัยในลำน้ำแม่กกและลำน้ำแม่สายอย่างมีส่วนร่วม โดยมุ่งเป้ายกระดับการป้องกันภัยพิบัติให้ครอบคลุมทั้งมิติทางวิทยาศาสตร์และมิติของการมีส่วนร่วมในชุมชน

ขับเคลื่อนชุมชนเข้มแข็ง สู่ระบบแจ้งเตือนภัยยุคใหม่

กิจกรรมสำคัญจัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 เวลา 14.00 น. ณ ศาลาประชาคมหมู่บ้านเมืองงิม ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยภายในงานมีหัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ตำบลริมกกเข้าร่วมกันอย่างคับคั่ง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้กล่าวถึงนโยบายสำคัญของจังหวัดในการยกระดับศักยภาพของประชาชนในพื้นที่ พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของ “เครือข่ายอาสาสมัครแจ้งเตือนภัย” ว่าเป็นฟันเฟืองหลักของการจัดการภัยพิบัติในยุคปัจจุบัน โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนจะทำให้ระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยในพื้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนสามารถดูแลและปกป้องตนเองจากภัยพิบัติได้อย่างยั่งยืน

ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำ – เสริมเขี้ยวเล็บระบบเตือนภัยริมลำน้ำสำคัญ

หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมดังกล่าว คณะผู้บริหารจังหวัดได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมบริเวณจุดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในอดีต เพื่อประเมินสภาพและหาแนวทางบรรเทาปัญหาในระยะยาว จากนั้นเดินทางต่อไปยังสะพานข้ามแม่น้ำกกบ้านเวียงคือนา เพื่อสำรวจจุดติดตั้งเสาวัดระดับน้ำ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมสำคัญในการเสริมระบบเตือนภัยน้ำท่วมของจังหวัดในปีนี้

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเปิดเผยว่า จังหวัดได้เริ่มติดตั้งโทรมาตรน้ำหรือเสาวัดระดับน้ำอย่างจริงจังในปีงบประมาณ 2568 โดยมีแผนการติดตั้งเสาระดับน้ำจำนวน 10 จุดริมแม่น้ำกก และ 11 จุดริมแม่น้ำสาย เพื่อให้ชุมชนสามารถตรวจสอบและแจ้งเตือนระดับน้ำได้แบบเรียลไทม์ ลดความเสี่ยงในการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น

ขณะเดียวกัน จังหวัดยังเร่งดำเนินการขุดลอกแม่น้ำกก โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 (นพค.35) ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้ามากกว่าร้อยละ 50 พร้อมเตรียมขยายแผนไปยังแม่น้ำสาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำและลดความเสี่ยงน้ำท่วมในฤดูฝน

สร้างความพร้อมและความเข้มแข็งในทุกชุมชน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังเน้นย้ำถึงบทบาทของ “อาสาสมัครแจ้งเตือนภัย” ประจำหมู่บ้านทุกแห่ง โดยอาสาสมัครเหล่านี้ต้องปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ แจ้งเตือนข้อมูลอย่างถูกต้องแก่ชาวบ้านในพื้นที่ และเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งจุดพักพิงให้กับผู้เปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย รวมถึงการส่งต่ออาหาร น้ำดื่ม เครื่องนุ่งห่ม และเวชภัณฑ์ได้อย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

“เราจะอยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่ไม่ได้ เราต้องมีหน้าที่ร่วมกัน และให้ความร่วมมือกันทุกฝ่าย นี่คือแผนที่จังหวัดเชียงรายจะดำเนินการร่วมกับส่วนราชการ ท้องถิ่น และประชาชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และร่วมกันฝ่าวิกฤตภัยพิบัติในปี 2568 นี้ไปด้วยกัน” นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวทิ้งท้าย

วิเคราะห์และบทสรุป

ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของจังหวัดเชียงรายที่ได้นำเทคโนโลยีและแนวคิดการบริหารจัดการร่วมกับชุมชนมาใช้แบบบูรณาการ เสริมศักยภาพให้ประชาชนได้มีบทบาทสำคัญในระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยอย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นต้นแบบให้กับจังหวัดอื่น ๆ ในการยกระดับการจัดการภัยพิบัติบนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมและความร่วมมือทุกภาคส่วน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานกิจกรรมโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายภาคประชาชน 20 มิถุนายน 2568
  • คำกล่าวของนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 (นพค.35)
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

คลายกังวลภัยโลหะหนัก ผลตรวจตะกอนดินแม่น้ำกก-สาย-รวก ไม่เกินค่า

รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่หาดเชียงราย เร่งตรวจสอบสารปนเปื้อนในตะกอนดินริมแม่น้ำกก ใช้เครื่องมือทันสมัย XRF สร้างความมั่นใจแก่ประชาชน พบค่าสารหนูไม่เกินมาตรฐาน

เชียงราย, 19 มิถุนายน 2568 – ในช่วงที่ชุมชนจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ลุ่มน้ำสำคัญอย่างแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ต่างจับตามองประเด็นคุณภาพสิ่งแวดล้อมจากปัญหาน้ำหลากและการขุดลอกตะกอนดิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้จัดทีมงานผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์และสร้างความมั่นใจต่อสาธารณชน

วางแผนตรวจสอบอย่างเป็นระบบ รับมือข้อกังวลชุมชน

วันที่ 19 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00 น. นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี รองปลัด ทส. พร้อมคณะ ได้เริ่มต้นภารกิจตรวจสอบจุดยุทธศาสตร์ 2 แห่ง ได้แก่ ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมแม่น้ำกกบริเวณศาลากลางจังหวัดเชียงราย และหาดเชียงรายที่มีการดำเนินการขุดลอกลำน้ำกก โดยได้รับรายงานความก้าวหน้าจากเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ พร้อมเสนอแนะแนวทางยกระดับการทำงานและสร้างมาตรฐานให้ระบบเฝ้าระวังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยจุดที่ชุมชนให้ความกังวลคือหาดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการนำตะกอนดินจากการขุดลอกมาพักไว้ เพื่อป้องกันน้ำท่วมหลังเกิดเหตุการณ์น้ำหลากที่ผ่านมา ชาวบ้านจำนวนมากต่างกังวลเรื่องความเสี่ยงของโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนูที่อาจตกค้างในตะกอนดินและกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้าง

ใช้เทคโนโลยี XRF ตรวจวัดเร็ว แม่นยำ ประหยัดงบประมาณ

นางอรนุช เปิดเผยว่า การตรวจวัดตะกอนดินรอบนี้ใช้เครื่องมือ X-ray Fluorescence (XRF) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถตรวจวัดเบื้องต้นได้รวดเร็วภายใน 3-5 นาทีต่อจุด แม้จะไม่สามารถให้ค่าตัวเลขเป็นไมโครกรัมอย่างละเอียด แต่จะช่วยระบุจุดเสี่ยงที่ต้องส่งตัวอย่างไปตรวจเชิงลึกต่อในห้องปฏิบัติการ เป็นการคัดกรองที่ช่วยประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณในการดำเนินการ

สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 คาดว่าภารกิจตรวจตะกอนดินรอบหาดเชียงรายและจุดพักตะกอนจะใช้เวลาราว 3 วัน ด้วยความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 (นพค.35) ที่จะร่วมกันวางแผนและลงพื้นที่อย่างเป็นระบบ

ผลการตรวจสอบชัดเจน “ไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน” คลายกังวลประชาชน

เวลา 15.00 น. วันเดียวกัน กองตรวจมลพิษ กรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 ลงพื้นที่ตรวจวัดตะกอนดินจากการขุดลอก 3 พื้นที่หลัก ได้แก่

  1. ตะกอนดินจากการขุดลอกลำน้ำกก (หาดเชียงราย/จุดทิ้งตะกอน)
  2. ตะกอนดินจากการขุดลอกลำน้ำสาย (หัวฝาย อ.แม่สาย – ถุงบิ๊กแบ็คแนวป้องกันน้ำท่วม)
  3. ตะกอนดินจากการขุดลอกลำน้ำรวก (จุดผ่อนปรนการค้าบ้านปางห้า ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย)

การสุ่มตรวจในแต่ละพื้นที่ดำเนินไปอย่างละเอียดตามขนาดพื้นที่ ผลตรวจวัดเบื้องต้น “ไม่พบค่าสารหนูเกินค่ามาตรฐานคุณภาพดิน” (ค่ามาตรฐานเพื่อที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หรือ 6 ppm) ทุกรายการ

สำหรับพื้นที่ใดที่อาจพบค่าปนเปื้อนสูง ทีมงานจะส่งตัวอย่างเข้าสู่ห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์ต่อไปในเชิงลึก พร้อมประชาสัมพันธ์ผลตรวจอย่างโปร่งใส

เดินหน้าเสริมสร้างมาตรฐานและความโปร่งใส

การตรวจสอบสารปนเปื้อนในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเฝ้าระวังเชิงรุกของภาครัฐในการดูแลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชนจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ลุ่มน้ำสำคัญ เพื่อยืนยันมาตรฐานความปลอดภัยในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการขุดลอกหรือภัยน้ำท่วมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ภารกิจการตรวจสอบจะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง พร้อมรายงานต่อหน่วยงานท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ให้รับรู้ข้อมูลความจริงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเฝ้าระวังเข้ม ประมง-PCD ลุยตรวจสารหนูในแม่น้ำ ชี้อันตรายต่อสุขภาพ

ประมงเชียงรายจับปลาตรวจโลหะหนักในแม่น้ำกก-สาย ชลประทานสนับสนุนปรับระดับน้ำ – กรมควบคุมมลพิษเผยพบสารหนูเกินมาตรฐานต่อเนื่อง แนะประชาชนเลี่ยงใช้น้ำโดยตรงในพื้นที่เสี่ยง

เชียงราย, 14 มิถุนายน 2568 –สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ยังคงได้รับการจับตามองอย่างเข้มข้น หลังพบการปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแม่น้ำสายหลักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจอย่างเร่งด่วน เพื่อคลี่คลายปัญหาและสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนในพื้นที่

จับปลาตรวจสอบสารปนเปื้อนและโรคในแม่น้ำสายหลัก

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ขณะนี้นักวิจัยจากกรมประมง ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย ได้ลงพื้นที่จับปลาจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บตัวอย่างปลานำไปตรวจสอบทั้งด้านโรคและสารโลหะหนัก โดยดำเนินการคัดแยก ชั่ง-วัด และจำแนกชนิดปลาอย่างเป็นระบบ ก่อนจะส่งมอบตัวอย่างให้กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ และกองตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำ ดำเนินการวิเคราะห์ต่อไป

ภารกิจสำคัญนี้มีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์คุณภาพสัตว์น้ำในระบบนิเวศลุ่มน้ำกก-สาย ซึ่งเป็นทั้งแหล่งอาหารและแหล่งรายได้ของประชาชนในพื้นที่ ว่ามีสารปนเปื้อนเกินเกณฑ์อันตรายหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบโรคต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของผู้บริโภค และความสมบูรณ์ของระบบนิเวศโดยรวม

ชลประทานเชียงรายหนุนภารกิจด้วยการปรับระดับน้ำชั่วคราว

ขณะที่โครงการชลประทานเชียงราย ได้ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว ด้วยการปรับลดระดับเก็บกักน้ำหน้าเขื่อนเชียงรายลงราว 50 เซนติเมตร ในช่วงเช้าของวันที่ 14 มิถุนายน เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยแก่ทีมปฏิบัติงานที่ต้องจับปลาบริเวณท้ายเขื่อน หลังจากเสร็จสิ้นการเก็บตัวอย่างปลาตามแผนแล้ว ทางชลประทานจะปรับระดับน้ำกลับสู่สภาวะปกติทันที โดยยืนยันว่า การปรับระดับน้ำครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งน้ำเพื่อการเกษตรหรือกระบวนการผลิตน้ำประปาในพื้นที่แต่อย่างใด

ผลตรวจสารโลหะหนักในน้ำยังเกินมาตรฐานต่อเนื่อง

ด้านกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ได้เผยแพร่รายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนือ ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 26-30 พฤษภาคม 2568 โดยเน้นแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ตลอดจนแม่น้ำสาขาต่าง ๆ โดยผลตรวจพบว่า

  • แม่น้ำกก ตรวจวัด 15 จุด พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานทั้ง 15 จุด ค่าสูงสุด 0.023 มิลลิกรัมต่อลิตร (มาตรฐานไม่เกิน 0.010 มก./ล.)
  • แม่น้ำสาย ตรวจวัด 3 จุด พบเกินค่ามาตรฐานทุกจุด ค่าสูงสุด 0.038 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม่น้ำโขง ตรวจวัด 2 จุด พบเกินค่ามาตรฐานทั้ง 2 จุด ค่าสูงสุด 0.018 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม่น้ำสาขา (ฝาง, กรณ์, ลาว, สรวย) คุณภาพน้ำยังเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน

ทั้งนี้ แผนติดตามคุณภาพน้ำปี 2568 ได้มีการเก็บตัวอย่างน้ำเดือนละ 2 ครั้ง (มีนาคม-กันยายน 2568) และเก็บตัวอย่างตะกอนเดือนละ 1 ครั้ง (พฤษภาคม-กันยายน 2568) การเก็บตัวอย่างครั้งที่ 5 ดำเนินการระหว่างวันที่ 9-13 มิถุนายน 2568 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการ

สถานการณ์ล่าสุดยังพบว่าค่าความขุ่นและสารหนูในแม่น้ำหลายพื้นที่สูงกว่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบทั้งต่อสัตว์น้ำ ระบบนิเวศ และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากประชาชนใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง

ข้อแนะนำประชาชนในพื้นที่เสี่ยง

เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง กรมควบคุมมลพิษแนะนำให้

  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง ทั้งการอุปโภคและบริโภค
  • หากจำเป็นต้องใช้น้ำ ควรผ่านกระบวนการบำบัดและตรวจสอบคุณภาพก่อนทุกครั้ง
  • งดเว้นกิจกรรมทางน้ำ เช่น การลงเล่นน้ำ หรือจับสัตว์น้ำโดยตรงในจุดที่เสี่ยงสูง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำและผลตรวจของปลาต่อเนื่อง พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าและแจ้งเตือนประชาชนเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงอย่างเต็มที่

บทวิเคราะห์และแนวโน้มสถานการณ์

การตรวจสอบและติดตามคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกก-สายอย่างใกล้ชิด สะท้อนถึงการบูรณาการทำงานระหว่างหน่วยงานระดับจังหวัดและส่วนกลาง ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ประมงและงานวิจัยสิ่งแวดล้อม เพื่อคลี่คลายปมปัญหาด้านสุขภาพ สาธารณสุข และความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ แม้จะมีมาตรการบรรเทาผลกระทบในระยะสั้น แต่ในระยะยาวยังคงต้องการการแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและระบบแจ้งเตือนอย่างมีประสิทธิภาพในชุมชนริมน้ำ

สถานการณ์นี้จึงเป็นจุดทดสอบการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งในด้านการสื่อสารข้อมูลสู่สาธารณะ การเสริมสร้างความมั่นใจต่อมาตรฐานความปลอดภัยของแหล่งอาหารและน้ำ รวมถึงการเร่งรัดผลักดันนโยบายป้องกันมลพิษข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • รายงานคุณภาพน้ำประจำเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ไขข้อข้องใจ ‘ปลาแค้ติดเชื้อ’ รมช.เกษตรฯ จี้กรมประมงแถลงข้อเท็จจริงด่วน

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.4) สั่งกรมประมงแจงด่วน! หลังมีรายงาน “ปลาแค้” ติดเชื้อตัวใหม่ในแม่น้ำกก ชี้แจงข้อเท็จจริง-ยันไม่ใช่สารเคมีหรือโลหะหนัก

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพสัตว์น้ำในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย กลายเป็นประเด็นร้อนหลังจากสื่อสังคมออนไลน์เผยแพร่ข่าวกรณีพบ “ปลาแค้” ติดเชื้อชนิดใหม่เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 จนนำไปสู่การตั้งข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยต่อประชาชนในพื้นที่ และผลกระทบต่อระบบนิเวศ รวมถึงความกังวลเรื่องสารปนเปื้อนจากโลหะหนักหรือสารเคมีในแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนและเศรษฐกิจชุมชน

มท.4 สั่งการกรมประมงชี้แจง – ยึดข้อเท็จจริงจากผลแลป

นายธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.4) มีคำสั่งด่วนให้กรมประมงตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงโดยเร็วที่สุดต่อสาธารณชนทันทีที่ทราบผลการตรวจพิสูจน์ พร้อมย้ำว่า ต้องแจ้งข้อมูลโดยอ้างอิงผลตรวจวิทยาศาสตร์เท่านั้น เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสนหรือวิตกเกินความเป็นจริง

ผลตรวจโรคปลาแค้ล่าสุดสาเหตุจากพยาธิไดจีน ไม่ใช่สารพิษโลหะหนัก

ย้อนกลับไปเมื่อ 2 พฤษภาคม 2568 กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ กรมประมง ได้รายงานผลการตรวจวิเคราะห์โรคในตัวอย่างปลาแค้ (Bagarius sp.) ที่ชาวประมงจับได้บริเวณบ้านสบคำ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยส่งต่อเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ 4 สาขาหลัก พบว่า

  • ปลาแค้มีก้อนเนื้ออักเสบบริเวณครีบหลัง ครีบอก ครีบไขมัน ครีบหาง และใต้คาง ลักษณะอาการเป็นตุ่มเนื้อสีแดง
  • ผลตรวจทางพยาธิวิทยาและปรสิตวิทยา พบการติดเชื้อพยาธิในกลุ่มไดจีน (Digenea) ซึ่งเป็นพยาธิใบไม้ชนิดหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังและเกิดพังผืดล้อมรอบตัวอ่อนของพยาธิ
  • ผลตรวจทางแบคทีเรียวิทยาพบเชื้อ Aeromonas hydrophila ซึ่งเป็นแบคทีเรียฉวยโอกาส พบได้ในตุ่มเนื้องอก แต่ไม่พบในอวัยวะภายใน
  • ไม่พบการติดเชื้อไวรัสรุนแรงในปลาตัวดังกล่าว
  • ผลตรวจยืนยันอาการผิดปกติไม่ได้มีสาเหตุมาจากสารปนเปื้อนประเภทโลหะหนัก หรือสารเคมีตกค้างในแม่น้ำโขง

กรมประมงเดินหน้าตรวจต่อเนื่อง – เฝ้าระวังสารปนเปื้อนทุก 2 สัปดาห์

กรมประมงได้ดำเนินการเฝ้าระวังสุขภาพสัตว์น้ำและสารปนเปื้อนในแม่น้ำสายสำคัญ อาทิ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง อย่างเข้มข้นทุก 2 สัปดาห์ โดยกำหนด 4 จุดหลักสำรวจทั้งในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ โดยเน้นประเมินผลกระทบต่อสุขภาพของสัตว์น้ำ รวมถึงความปลอดภัยในการบริโภคของประชาชน

ข้อมูลจากหนังสือราชการ กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ระบุชัดว่า ตัวอย่างปลาแค้น้ำหนัก 85 กรัม ความยาว 20 ซม. พบตุ่มเนื้อแดงกระจายตามครีบและบริเวณใต้คาง รวมถึงบาดแผลบริเวณรอบปาก ผลตรวจปรสิตวิทยา พบกลุ่มไดจีนจำนวนมากในตุ่มเนื้องอก ผลแบคทีเรียวิทยาพบ Aeromonas hydrophila ในบริเวณตุ่มดังกล่าว ส่วนไวรัสวิทยาไม่พบเชื้อไวรัสรุนแรง

การตรวจพยาธิวิทยาพบความผิดปกติในเหงือก อวัยวะภายในมีบางส่วนเสื่อมสภาพ และพบการก่อตัวของแกรนูโลมาซึ่งเป็นการอักเสบเรื้อรังของเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อและตุ่มเนื้องอกปลามีการตอบสนองโดยเซลล์เส้นใยห่อหุ้มพยาธิ เกิดเป็นซีสต์ขึ้นในชั้นกล้ามเนื้อ

ชี้ชัด “ไม่ใช่ผลจากสารพิษ” – ข้อมูลสู่ประชาชนต้องรอบด้าน

กรมประมงเน้นย้ำว่า อาการผิดปกติของปลาแค้มาจากการติดเชื้อปรสิต ไม่เกี่ยวข้องกับสารพิษตกค้างจากโลหะหนักหรือเคมีในแม่น้ำโขงหรือแม่น้ำกกแต่อย่างใด และไม่ใช่โรคติดต่อรุนแรงที่เกิดจากไวรัส จึงขอให้ประชาชนคลายความกังวล พร้อมติดตามข้อมูลข้อเท็จจริงจากหน่วยงานราชการโดยตรง

ในขณะเดียวกัน กรมประมงยังเดินหน้าตรวจสอบต่อเนื่อง ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย เพื่อเฝ้าระวังโรคและประเมินผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสุขภาพสัตว์น้ำและความปลอดภัยในการบริโภคของประชาชนอย่างต่อเนื่องทุก 2 สัปดาห์

การสื่อสารที่ถูกต้องคือหัวใจการสร้างความเชื่อมั่น

กรณีปลาแค้ติดเชื้อในแม่น้ำกกเป็นตัวอย่างสำคัญของการจัดการข่าวสารในยุคข้อมูลข่าวสารไหลเร็ว หน่วยงานรัฐและสื่อมวลชนต้องยึดผลตรวจทางวิทยาศาสตร์เป็นหลักและชี้แจงข้อมูลอย่างต่อเนื่องต่อประชาชน ไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดหรือตื่นตระหนกเกินจริง ขณะที่การเฝ้าระวังโรคในสัตว์น้ำและสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำก็ยังเป็นภารกิจหลักของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพของประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ กรมประมง
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย
  • กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายยันชัด! แม่น้ำกกใช้เกษตรได้ แนะจัดการดิน-สุขอนามัย

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่เวียงชัย สร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกร – ย้ำ “น้ำกกยังใช้ทำเกษตรได้” ภายใต้เงื่อนไขการจัดการดินและสุขอนามัย

เชียงราย,11 มิถุนายน 2568 –  นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายบดินทร์ เทียมภักดี นายอำเภอเวียงชัย นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและให้กำลังใจเกษตรกรผู้ทำนา ณ หมู่ที่ 8 บ้านไตรแก้ว ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ท่ามกลางความกังวลของประชาชนในประเด็นคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก หลังมีรายงานการตรวจพบสารหนูในบางจุด จนเกิดกระแสข่าวและความวิตกกังวลในวงกว้าง

ผลตรวจชี้ “สารหนูในน้ำกก” มีผลต่างกันแต่ควบคุมได้ – ย้ำรัฐโปร่งใส

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายระบุว่า ตามรายงานล่าสุดของสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) จังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันว่า ในน้ำแม่น้ำกกมีการตรวจพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานในบางจุดจริง โดยระดับการปนเปื้อนมีความแตกต่างกันตามพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดไม่ได้ปิดบังข้อมูล มีการเปิดเผยผลตรวจคุณภาพน้ำจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องทุกเดือน เพื่อสร้างความมั่นใจและให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากแหล่งทางการโดยตรง

ผู้ว่าฯ ยังย้ำว่า ประชาชนควรรับข้อมูลจากหน่วยงานรัฐที่มีผลแล็บมาตรฐาน และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ทั้งนี้ ข้อมูลคุณภาพน้ำและผลตรวจต่าง ๆ จะเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านเว็บไซต์ของกรมควบคุมมลพิษและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอย่างต่อเนื่อง

น้ำประปา “ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน” ใช้อุปโภคบริโภคได้ปลอดภัย

หนึ่งในข้อกังวลสำคัญคือคุณภาพน้ำประปาทั้งระดับการประปาภูมิภาคสาขาเชียงรายและประปาหมู่บ้านในพื้นที่ ซึ่งใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกกเป็นต้นทุน จากการลงพื้นที่ตรวจสอบและผลการวิเคราะห์ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 จังหวัดเชียงราย และการประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย พบว่า น้ำประปาผ่านกระบวนการตกตะกอน กรอง และบำบัดตามหลักวิชาการ ได้คุณภาพปลอดภัยตามมาตรฐาน สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้อย่างมั่นใจ

เกษตรจังหวัดเชียงราย นายเสน่ห์ แสงคำ กล่าวเสริมว่า ในประเด็นความปลอดภัยของน้ำเพื่อการเกษตร ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดการสะสมของโลหะหนักในพืช คือ “การปรับปรุงคุณภาพดินให้มีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ที่เหมาะสม” หากค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) อยู่ที่ 6.5 ขึ้นไป จะช่วยจำกัดการดูดซึมของสารหนูและโลหะหนักเข้าสู่พืชผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลแล็บ “พืช-สัตว์น้ำ” ในพื้นที่แม่น้ำกกยังไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน

ข้อมูลจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 จังหวัดเชียงราย ระบุว่าการเก็บตัวอย่างพืชและสัตว์น้ำที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกก รวมถึงชนิดที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำโดยตรงส่งตรวจในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน พบว่าปริมาณสารหนูในตัวอย่าง “ไม่เกินค่ามาตรฐาน” สะท้อนว่ายังสามารถใช้น้ำจากแม่น้ำกกเพื่อการเกษตรในพื้นที่ได้ตามปกติ

สร้างภูมิคุ้มกันข้อมูล – เน้นรับข่าวสารจากหน่วยงานรัฐ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายย้ำว่า ประชาชนควรติดตามข้อมูลจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย มีผลแล็บและเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ขอให้ระวังข่าวลือหรือข้อมูลจากแหล่งที่ไม่ชัดเจน เพราะอาจทำให้เกิดความวิตกกังวลโดยไม่จำเป็น

เน้นสุขอนามัยและแนวทางปฏิบัติสำหรับเกษตรกร

นอกจากประเด็นเรื่องคุณภาพน้ำแล้ว เกษตรจังหวัดเชียงรายยังแนะนำเกษตรกรควรป้องกันตัวเองในระหว่างปฏิบัติงานในพื้นที่น้ำธรรมชาติ เช่น สวมรองเท้าบูทและเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายให้มิดชิดระหว่างลงแปลงนา เพื่อลดความเสี่ยงจากการสัมผัสหรือสะสมสารเคมีหรือโลหะหนักบนผิวหนังในระยะยาว

เสียงสะท้อนจากชาวนาเวียงชัย – รัฐต้องแก้ปัญหาที่ต้นทาง

เกษตรกรในเวียงชัยยังคงติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดและเชื่อมั่นในผลการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เป็นทางการ อย่างไรก็ดี มีข้อเสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษในพื้นที่ต้นน้ำ และวางแนวทางบรรเทาผลกระทบอย่างยั่งยืน

สร้างสมดุลระหว่างความมั่นใจและมาตรการเชิงรุก

สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นของการสื่อสารข้อมูลวิชาการอย่างต่อเนื่อง และการสร้างสมดุลระหว่างความมั่นใจในการประกอบอาชีพของเกษตรกรกับมาตรการควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระยะยาว รัฐจำเป็นต้องเร่งมือแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง ควบคู่กับการให้ข้อมูลที่โปร่งใสเพื่อสร้างความเข้าใจและความมั่นใจในหมู่ประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) จังหวัดเชียงใหม่
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 จังหวัดเชียงราย
  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูเกินมาตรฐาน 15 จุด แม่น้ำกก-สาย-โขง ชาวประมงหวั่นผลกระทบ

กรมควบคุมมลพิษเผยสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สาย-โขง 15 จุด เสี่ยงกระทบสุขภาพ-เศรษฐกิจ ชาวประมงเดือดร้อน จี้รัฐเร่งมาตรการจัดการ”

เชียงราย, 10 มิถุนายน 2568 –สถานการณ์สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง จังหวัดเชียงราย ทวีความรุนแรงต่อเนื่อง หลังกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานผลตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งที่ 4 (26-30 พฤษภาคม 2568) พบสารหนู (Arsenic: As) เกินค่ามาตรฐาน 0.010 มิลลิกรัมต่อลิตร (มก./ล.) ในทุกจุดตรวจวัด 15 จุดทั่วทั้ง 3 ลำน้ำ รวมถึง 3 จุดในแม่น้ำสาย และ 2 จุดในแม่น้ำโขง โดยจุดที่มีค่าสูงสุด ได้แก่ บ้านป่าซางงาม อ.แม่สาย (0.038 มก./ล.) และบ้านโป่งนาคำ ต.ดอยฮาง อ.เมือง (0.023 มก./ล.) ข้อมูลชี้ชัดต้นตอหลักมาจากกิจกรรมเหมืองแร่บริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน เมียนมา ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า ส่งผลให้คุณภาพน้ำบริเวณชายแดนไทย-พม่ามีความขุ่นสูงผิดปกติและปริมาณสารหนูพุ่งสูงกว่ามาตรฐาน

ผลกระทบขยายวงกว้าง—เข้าสู่ห่วงโซ่อาหารและเศรษฐกิจชุมชน

ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ สมพร เพ็งค่ำ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA Platform) ระบุว่า การปนเปื้อนสารหนูแพร่กระจายจากต้นน้ำสู่กลางน้ำและปลายน้ำ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีการเปิดฝายเชียงราย ทำให้ตะกอนที่มีสารหนูถูกปล่อยลงแม่น้ำมากขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกร ผู้ใช้น้ำบาดาลใกล้แม่น้ำ และประชาชนที่ใช้น้ำเพื่อการบริโภค สมพรเสนอให้รัฐและประปาท้องถิ่นเร่งแจกชุดตรวจน้ำเบื้องต้น (test kit) ให้ชุมชน พร้อมทั้งคัดกรองจุดเสี่ยงและรายงานผลอย่างโปร่งใส

ขณะที่ ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย วิเคราะห์ว่า การสะสมของสารหนูในแม่น้ำกก สาย และโขง มีความเสี่ยงสูงต่อการเข้าสู่ร่างกายมนุษย์และสัตว์ผ่านการใช้น้ำและการบริโภคสัตว์น้ำ เช่น ปลา กุ้ง หอย ซึ่งอาจนำไปสู่การสะสมในห่วงโซ่อาหารและผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

ปลาป่วย-ชาวประมงเดือดร้อนหนัก—ขาดความเชื่อมั่น กระทบรายได้

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต รายงานผ่านเฟซบุ๊กและสำรวจพื้นที่ พบจำนวนปลาที่ติดเชื้อและมีอาการผิดปกติในแม่น้ำกกและโขงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปลากดและปลาแข้ที่มีตุ่มรุนแรง คาดว่าเป็นผลโดยตรงจากสารพิษที่ไหลมาจากเหมืองในเมียนมา แม้ผลตรวจสอบโลหะหนักในตัวปลาล่าสุดจากกรมประมง (เม.ย.-พ.ค. 2568) จะยังไม่เกินมาตรฐาน แต่ปัญหาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทำให้ปลาจากแม่น้ำเหล่านี้ขายไม่ออก ชาวประมงประสบวิกฤติรายได้ลดลงอย่างรุนแรง

บุญสุข สุวรรณดี ชาวประมงบ้านสบคำ อ.เชียงแสน เปิดเผยว่า “ไม่มีใครซื้อปลาเลย แม่ค้าปิดโทรศัพท์หนี อยากให้รัฐช่วยเหลือ อาจนำปลามาปล่อยในแหล่งน้ำสำรองให้ชาวบ้านมีอาหาร” ขณะที่สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ระบุว่าขณะนี้อยู่ระหว่างเก็บตัวอย่างปลาเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์และใช้ผลผลักดันรัฐในการเจรจาปิดเหมืองต้นตอปัญหา

แรงกดดันจากภาคประชาชน—รัฐต้องตอบสนองอย่างโปร่งใสและยั่งยืน

ภาคประชาชนในเชียงรายและเชียงใหม่ออกมาเรียกร้องให้รัฐดำเนินมาตรการเร่งด่วน 1) แจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยง 2) แจกชุดตรวจน้ำและสนับสนุนระบบบำบัดน้ำ 3) ตรวจสอบและเจรจาปิดเหมืองในเมียนมา 4) ฟื้นฟูแหล่งน้ำและดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
กรมควบคุมมลพิษแจ้งว่าขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจน้ำครั้งที่ 5 (9-13 มิ.ย. 2568) โดยจะรายงานผลให้สาธารณชนรับทราบต่อไป พร้อมทั้งมีแผนติดตามคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง

บทวิเคราะห์และข้อเสนอแนะ

การพบสารหนูในลุ่มน้ำกก สาย และโขงในระดับที่เกินมาตรฐานติดต่อกันหลายครั้งสะท้อนถึงความจำเป็นที่รัฐต้องเร่งปฏิบัติการทั้งในเชิงนโยบายและมาตรการระยะเร่งด่วน เช่น การประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือนสาธารณชน การแจก test kit ระบบบำบัดน้ำเฉพาะพื้นที่ และการเจรจาระหว่างประเทศกับเมียนมาเพื่อตัดวงจรปัญหา
ขณะเดียวกัน การสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยชุมชนและการมีส่วนร่วมของประชาชนจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย

สรุป

ปัญหามลพิษสารหนูในลุ่มน้ำกก สาย และโขง ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อมเฉพาะจุดแต่เชื่อมโยงถึงวิถีชีวิต เศรษฐกิจ และความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว รัฐและทุกภาคส่วนต้องร่วมกันขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
  • สำนักข่าวชายขอบ
  • สถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA Platform)
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News