KPI Poll ชี้ 45.7% มองการเมืองแย่ลง! นายกฯ คนใหม่ต้อง “แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้จริง” ควบคู่ “ปราบปรามทุจริต”
ประเทศไทย, 15 ธันวาคม 2568 – โพลสะท้อนภาวะ “ไม่พอใจ–คาดหวังสูง” คนไทย 45.7% มองการเมือง “กำลังแย่ลง” ชี้คุณสมบัตินายกฯ คนใหม่ต้อง “แก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องได้จริง” ควบคู่ “ปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน” ในฐานะนโยบายเร่งด่วนอันดับ 1 ขณะที่ประชาชนกว่า 59.2% พร้อม “เปลี่ยนใจ” หากพรรคที่ชอบเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่ไม่ตรงใจ สะท้อนบทบาท “ตัวบุคคล” กลับมามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งอย่างชัดเจน
เสียงจากประชาชน ภาพการเมืองที่ “ยังไม่ดีขึ้น” และความหวังต่อการเลือกตั้งครั้งใหม่
ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่ยังเต็มไปด้วยข้อถกเถียงเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง และความโปร่งใสในการใช้อำนาจรัฐ ศูนย์สำรวจความคิดเห็นสถาบันพระปกเกล้า (KPI Poll) ได้เผยแพร่ผลสำรวจเรื่อง “เสียงประชาชนต่อการเมืองและการเลือกตั้งครั้งใหม่” ซึ่งจัดทำระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ จำนวน 2,016 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage sampling) เก็บข้อมูลทั้งการสัมภาษณ์พบหน้าและแบบสอบถามออนไลน์ ภายใต้ระดับความเชื่อมั่นทางสถิติ 95% และค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกินร้อยละ 2.5
รองศาสตราจารย์ ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และประธานศูนย์ KPI Poll ระบุว่า โครงการสำรวจชุดนี้ไม่ได้มุ่ง “ชี้นำการเมือง” แต่มีเป้าหมายเพื่อ “ฟังเสียงประชาชน” และจัดทำเป็นฐานข้อมูลเชิงวิชาการให้กับนักการเมือง พรรคการเมือง นักวิชาการ และสาธารณชน เพื่อใช้ทำความเข้าใจ “ภูมิทัศน์ความรู้สึกและความคาดหวังของประชาชน” ก่อนเดินเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่อย่างรอบด้าน
เมื่อถามถึงมุมมองต่อการเมืองไทยในภาพรวม “ตอนนี้เป็นอย่างไร” คำตอบส่วนใหญ่สะท้อนภาวะไม่พอใจอย่างชัดเจน ประชาชนร้อยละ 45.7 ระบุว่า “กำลังแย่ลง” ขณะที่อีกร้อยละ 41.5 เห็นว่า “เหมือน ๆ เดิม” มีเพียงร้อยละ 9.3 เท่านั้นที่รู้สึกว่าการเมือง “กำลังดีขึ้น” ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและปรับโครงสร้างหลายด้านในช่วงที่ผ่านมา แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยัง “ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่จับต้องได้” ในชีวิตประจำวัน
ในเชิงสังคมการเมือง ผลสำรวจนี้จึงไม่เพียงสะท้อนความคับข้องใจต่อผลงานรัฐบาล หากยังสะท้อน “ความอ่อนล้าทางความรู้สึก” ของประชาชนที่เฝ้ารอการเปลี่ยนแปลง แต่ยังไม่พบคำตอบที่ชัดเจนจากระบบการเมืองในปัจจุบัน
ผู้นำที่อยากเห็น “แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้จริง–ซื่อสัตย์–ฟังเสียงประชาชน”
เมื่อโพลถามถึง “คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของนายกรัฐมนตรีคนต่อไป” ประชาชนส่วนใหญ่เลือกให้ “ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ” อยู่เหนือทุกอุดมการณ์ทางการเมือง
- ร้อยละ 36.2 ระบุว่าต้องการผู้นำที่ “แก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องได้จริง”
- ร้อยละ 17.8 ให้ความสำคัญกับ “ความซื่อตรง” หรือความซื่อสัตย์โปร่งใส
- ร้อยละ 9.2 ต้องการผู้นำที่ “รับฟังเสียงประชาชน”
- ร้อยละ 9.0 เน้น “วิสัยทัศน์” ที่ชัดเจน
- ร้อยละ 8.5 เห็นว่าควร “ยึดมั่นหลักประชาธิปไตย”
ขณะที่คุณสมบัติด้านประสบการณ์บริหารราชการแผ่นดิน การคิดไวตัดสินใจรวดเร็ว หรือการสื่อสารอย่างชัดเจน แม้ถูกมองว่าสำคัญ แต่มีคะแนนรองลงมา สะท้อนว่าประชาชนกำลังมองหาผู้นำที่ “ทำได้จริง” มากกว่าผู้นำที่ “พูดได้ดี”
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์บางส่วนมองว่า โครงสร้างคำตอบดังกล่าวเชื่อมโยงกับสภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางในหลายปีที่ผ่านมา ทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือน ค่าครองชีพ และค่าจ้างที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ ทำให้ประชาชนโฟกัสไปที่ผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจ และความซื่อสัตย์ของผู้นำที่ต้องจัดการงบประมาณและโครงการของรัฐอย่างโปร่งใส
นโยบายเร่งด่วน “ปราบโกง–หนี้ครัวเรือน–ค่าครองชีพ” สามเรื่องใหญ่ที่ต้องเริ่มทันที
แม้ประชาชนจะเน้นให้ผู้นำแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่เมื่อถามลงลึกถึง “นโยบายเร่งด่วนอันดับแรกที่อยากให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ดำเนินการ” ผลสำรวจกลับสะท้อนมุมมองอีกมิติหนึ่ง
- อันดับ 1 คือ “ปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน” ร้อยละ 19.4
- อันดับ 2 “แก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน” ร้อยละ 16.7
- อันดับ 3 “ลดค่าครองชีพ” ร้อยละ 16.4
- ตามมาด้วย “แก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้–กัมพูชา” ร้อยละ 13.1 และ “ปฏิรูปการเมืองทุกระดับ” ร้อยละ 11.7
ตัวเลขเหล่านี้ทำให้เห็นภาพเชื่อมโยงชัดเจนว่า ในสายตาประชาชน “คอร์รัปชัน” ไม่ใช่เพียงปัญหาคุณธรรมของนักการเมือง แต่เป็น “รากเหง้าของปัญหาปากท้อง” เพราะการรั่วไหลของงบประมาณและการใช้ทรัพยากรอย่างไม่โปร่งใส ย่อมทำให้มาตรการช่วยเหลือประชาชนไม่ลงไปถึงประชาชนอย่างเป็นธรรม
การที่ “ปราบโกง” ขึ้นมาเป็นวาระเร่งด่วนอันดับหนึ่งจึงสะท้อนความคาดหวังว่า รัฐบาลใหม่ต้องเริ่มต้นจากการ “ทำให้ระบบสะอาด” ก่อนจะแจกแจงหรือออกมาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจในระยะยาว
การเมืองยุคใหม่ “พรรค” ไม่พอ ต้องมี “ตัวบุคคลที่เชื่อถือได้”
อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญในผลสำรวจครั้งนี้ คือบทบาทของ “ตัวบุคคล” ในการตัดสินใจเลือกตั้งของประชาชน
เมื่อถามว่า “หากพรรคการเมืองที่ท่านชอบเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ท่านไม่ชอบ ท่านจะเปลี่ยนใจไปเลือกพรรคอื่นหรือไม่” ผลปรากฏว่า
- ร้อยละ 41.6 ตอบว่า “อาจจะเปลี่ยน”
- ร้อยละ 17.6 ตอบว่า “เปลี่ยนแน่นอน”
รวมแล้วกว่า 59.2% พร้อมจะเปลี่ยนใจหากไม่พอใจตัวบุคคลที่พรรคเสนอ
มีเพียงร้อยละ 25.2 ที่ตอบว่า “ไม่น่าจะเปลี่ยน” และร้อยละ 8.7 ที่ยืนยันว่า “ไม่เปลี่ยนแน่นอน” สะท้อนภาพชัดเจนว่า “ความนิยมต่อพรรค” ไม่ใช่หลักประกันว่าจะรักษาฐานเสียงได้ หากชื่อแคนดิเดตนายกฯ ไม่ตอบโจทย์ความเชื่อมั่นของประชาชน
ผลสำรวจยังระบุด้วยว่า การประกาศชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีล่วงหน้ามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงคะแนนอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ตอบถึงร้อยละ 68.7 ระบุว่า “มีผลอย่างมาก” หรือ “ค่อนข้างมีผล” ขณะที่มีเพียงร้อยละ 28 โดยประมาณที่เห็นว่าไม่มีผลหรือไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ
ในทางปฏิบัติ ตัวเลขดังกล่าวส่งสัญญาณไปยังทุกพรรคการเมืองว่า การคัดเลือกบุคคลที่จะถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เพียง “ขั้นตอนภายในพรรค” แต่เป็น “ยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง” ที่อาจชี้ขาดผลแพ้–ชนะในสนามจริง
ใครคือคนที่สังคมอยากเห็นขึ้นเวทีดีเบตมากที่สุด
ในส่วนของ “หัวหน้าพรรคที่ประชาชนอยากฟังการดีเบตมากที่สุด” ซึ่งอนุญาตให้ตอบได้ไม่เกิน 3 รายชื่อ ผลสำรวจสะท้อนความสนใจที่กระจายตัวไปยังหลายพรรค ทั้งเก่าและใหม่
- อันดับ 1 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (พรรคประชาชน) ร้อยละ 16.2
- อันดับ 2 นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) ร้อยละ 15.7
- อันดับ 3 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พรรคประชาธิปัตย์) ร้อยละ 14.2
- อันดับถัดมา ได้แก่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ (พรรคเพื่อไทย) ร้อยละ 10.8 และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) ร้อยละ 6.9
ที่น่าสนใจคือ ยังมีประชาชนอีกร้อยละ 10.9 ที่ตอบว่า “ไม่มีความคิดเห็น” สะท้อนว่า ยังมีกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยที่ “ยังไม่พบตัวเลือกที่ใช่” หรือยังรอดูท่าทีของพรรคการเมืองและผู้นำแต่ละคนต่อไป
โครงสร้างตัวอย่างที่หลากหลาย ภาพสะท้อนจากทุกภูมิภาคและหลากอาชีพ
KPI Poll ยังนำเสนอข้อมูลพื้นฐานของผู้ตอบเพื่อให้การตีความผลสำรวจมีความรอบด้านมากขึ้น โดยพบว่า
- เพศของผู้ตอบส่วนใหญ่เป็นชายร้อยละ 51.5 และหญิงร้อยละ 47.4
- ช่วงอายุที่มีสัดส่วนสูงสุดคือ 56 ปีขึ้นไป ร้อยละ 32.3 รองลงมาคือช่วงอายุ 46–55 ปี ร้อยละ 22.5
- ด้านการศึกษา ผู้ตอบส่วนใหญ่จบระดับปริญญาตรีและสูงกว่าปริญญาตรีรวมกันกว่า 44% ขณะที่กลุ่มอาชีพที่ตอบแบบสอบถามมากที่สุดคือ ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 20.2
เมื่อพิจารณาตามภูมิลำเนา พบว่ากลุ่มตัวอย่างกระจายอยู่ในทุกภูมิภาค โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนสูงสุดร้อยละ 33.2 รองลงมาคือภาคกลางร้อยละ 26.6 ภาคเหนือร้อยละ 17.8 ภาคใต้ร้อยละ 13.9 และกรุงเทพมหานครร้อยละ 8.5 สะท้อนว่าผลสำรวจครั้งนี้ไม่กระจุกตัวเฉพาะในเมืองใหญ่ แต่เก็บเสียงประชาชนจากเมืองรองและชนบทจำนวนมากร่วมด้วย
ผล-KPI-Poll-ครั้งที่-1-Dec-2025…
สัญญาณเตือนสำหรับการเมืองไทยก่อนเลือกตั้งครั้งใหม่
หากมองภาพรวม ผลสำรวจ “เสียงประชาชนต่อการเมืองและการเลือกตั้งครั้งใหม่” ของสถาบันพระปกเกล้า สามารถสรุปเป็น “สามสภาวะหลัก” ที่กำลังก่อตัวในสังคมไทย ได้แก่
- ไม่พอใจต่อสถานการณ์ปัจจุบัน – เกือบครึ่งของผู้ตอบรู้สึกว่าการเมืองไทยกำลังแย่ลง ขณะที่อีกส่วนใหญ่ก็เห็นว่าไม่ดีไปกว่าเดิม สะท้อนถึง “วิกฤตความเชื่อมั่น” ที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย
- คาดหวังสูงต่อผู้นำและนโยบาย – ประชาชนต้องการผู้นำที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้จริง ซื่อสัตย์ และฟังเสียงประชาชน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ยก “การปราบปรามทุจริต” ขึ้นเป็นวาระแรกควบคู่กับการแก้หนี้ครัวเรือนและค่าครองชีพ
- ให้ความสำคัญกับตัวบุคคลมากขึ้น – ประชาชนส่วนใหญ่พร้อมเปลี่ยนใจจากพรรคที่เคยชอบ หากไม่พอใจชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แสดงให้เห็นว่าคุณภาพและความน่าเชื่อถือของผู้นำแต่ละคนจะเป็น “ตัวแปรชี้ขาด” ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ในบริบทเช่นนี้ พรรคการเมืองที่สามารถ “ฟัง” เสียงประชาชนอย่างจริงจัง นำเสนอทางออกเศรษฐกิจที่จับต้องได้ เดินหน้าปฏิรูปกลไกปราบโกงอย่างเป็นรูปธรรม และเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนเชื่อถือได้จริง ย่อมมีโอกาส “ครองใจ” ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมาก
ผลสำรวจครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงเอกสารตัวเลข แต่เป็น “เข็มทิศ” ที่สะท้อนว่า การเมืองไทยในสายตาประชาชนวันนี้ กำลังต้องการทั้ง “ความหวังใหม่” และ “ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้” จากทุกฝ่ายในระบบการเมือง
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- ศูนย์สำรวจความคิดเห็นสถาบันพระปกเกล้า (KPI Poll)
- สถาบันพระปกเกล้า









