Categories
WORLD PULSE

“ทรัมป์” ลดภาษีให้ “จีน” สงครามการค้าเดือด ‘เอเชีย’ ป่วน

ความตึงเครียดการค้าโลก กลยุทธ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์และผลกระทบต่อเอเชีย

สหรัฐอเมริกา, 10 พฤษภาคม 2568 – ในโลกที่ถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น การประกาศของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเสนอให้ลดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจีนจากระดับสูงถึง 145% ลงเหลือ 80% ที่ยังคงสูงอยู่ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งตลาดโลก คำแถลงนี้ได้ผ่านการเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม Truth Social ก่อนการเจรจาการค้าที่สำคัญในสวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อเอเชียและทั่วโลก ขณะที่ประเทศต่าง ๆ เตรียมพร้อมรับผลลัพธ์จากการเจรจาครั้งนี้ การผสมผสานระหว่างนโยบายเศรษฐกิจ พันธมิตรระดับภูมิภาค และพลวัตการค้าโลกได้กลายเป็นประเด็นหลัก ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับอนาคตของการค้าระหว่างประเทศ

โลกแห่งความตึงเครียดทางการค้า

ภูมิทัศน์การค้าโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2020 ซึ่งถูกกำหนดโดยการเพิ่มภาษีศุลกากร การตอบโต้ด้วยมาตรการต่าง ๆ และการเปลี่ยนแปลงพันธมิตร สหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ได้ดำเนินนโยบายการค้าที่แข็งกร้าวเพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจโลก การกำหนดภาษีศุลกากรสูง โดยเฉพาะกับจีน เป็นรากฐานสำคัญของกลยุทธ์นี้ ซึ่งมีรากฐานมาจากความเชื่อของทรัมป์ว่าสหรัฐฯ ถูกเอาเปรียบจากคู่ค้า อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ไม่ได้ปราศจากผลกระทบ ดังที่เห็นได้จากความวุ่นวายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วทั้งเอเชีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่พึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก

จุดเริ่มต้นของสงครามการค้าสามารถย้อนไปถึงสมัยแรกของทรัมป์ เมื่อมีการกำหนดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจีนเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทางการค้าและข้อกังวลด้านทรัพย์สินทางปัญญา ในปี 2567 สหรัฐฯ ส่งออกสินค้าไปยังจีนมูลค่า 143.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 4,735,500,000,000 บาท ขณะที่นำเข้าสินค้ามูลค่า 438.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 14,483,700,000,000 บาท ตามข้อมูลจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ซึ่งเน้นย้ำถึงความไม่สมดุลทางการค้าที่สำคัญที่เป็นเชื้อเพลิงให้กับวาทกรรมของทรัมป์ การเพิ่มภาษีศุลกากรถึง 145% สำหรับสินค้าจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เพิ่มความตึงเครียด โดยกระตุ้นให้ปักกิ่งกำหนดภาษีตอบโต้ที่เกิน 100% การตอบโต้แบบตาต่อตานี้ ได้รบกวนห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มต้นทุนให้กับผู้บริโภค และจุดประกายความกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนสินค้าในตลาดสหรัฐฯ

ในบริบทนี้ การประกาศของทรัมป์เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่อาจเกิดขึ้น การเสนอลดภาษีเหลือ 80% แม้ว่าจะยังคงเป็นอุปสรรคต่อการค้า แต่บ่งชี้ให้เห็นถึงความพร้อมในการเจรจา แม้ว่าจะเป็นไปในเงื่อนไขที่ยังคงให้ประโยชน์ต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ คำแถลงที่ว่า “ภาษี 80% สำหรับจีนดูเหมือนจะเหมาะสม! ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีคลัง ” ซึ่งอ้างถึงรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาที่มีเดิมพันสูงในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งความมั่นคงในความสัมพันธ์ทางการค้าเป็นเป้าหมายสำคัญ อย่างไรก็ตาม ความคลุมเครือว่าอัตรานี้เป็นเป้าหมายระยะยาวหรือเป็นกลยุทธ์การเจรจาได้เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดโลก

กลยุทธ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์และผลกระทบระดับภูมิภาค

หัวใจของการพัฒนานี้คือกลยุทธ์ภาษีศุลกากรที่กว้างขวางของทรัมป์ ซึ่งไม่ได้มุ่งเป้าไปที่จีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในเอเชียด้วย เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ซึ่งทรัมป์เรียกว่า “วันปลดปล่อย” (Liberation Day) สหรัฐฯ ได้เปิดเผยชุดภาษี “สมน้ำสมเนื้อ” สำหรับคู่ค้าหลัก โดยบางอัตราสูงสุดถูกกำหนดให้กับประเทศในเอเชียตะวันออก เวียดนามเผชิญกับภาษี 46% กัมพูชา 49% และแม้แต่ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงที่ใกล้ชิดและมีดุลการค้ากับสหรัฐฯ ก็ถูกกำหนดภาษี มาตรการเหล่านี้ รวมกับภาษีเดิม 10% สำหรับการนำเข้าทั้งหมด ส่งผลให้อัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ อยู่ที่ 28% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2444 ตามข้อมูลจากสภาการต่างประเทศ (Council on Foreign Relations)

เหตุผลที่มุ่งเป้าไปที่เอเชียนั้นมีหลายมิติ เศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกหลายแห่ง รวมถึงเกาหลีใต้ เวียดนาม และไทย ได้นำกลยุทธ์การพัฒนาแบบเน้นการส่งออกมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 โดยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างมากเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต ความพึ่งพานี้ทำให้พวกเขาอ่อนไหวต่อนโยบายการค้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ รัฐบาลของทรัมป์ยังพยายามแก้ไขการปฏิบัติที่เรียกว่า “การย้ายฐานการผลิต” ซึ่งประเทศอย่างเวียดนามประกอบและจัดส่งสินค้าโดยใช้ส่วนประกอบจากจีนเพื่อหลบเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ การกำหนดภาษีสูงต่อประเทศเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อขัดขวางการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ของจีนโดยอ้อม

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ได้ก่อให้เกิดการต่อต้านเป็นอย่างมาก การลดลงอย่างรวดเร็วของตลาด ตราสารหนี้หลังจากการประกาศ “วันปลดปล่อย” (Liberation Day) บังคับให้ทรัมป์หยุดชะงักภาษีหลายรายการ ยกเว้นภาษีที่กำหนดต่อจีน การหยุดชะงักนี้ ประกาศเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 เป็นการตอบสนองต่อความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและแรงกดดันจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ซึ่งถือครองหนี้สหรัฐฯ จำนวนมาก แม้จะมีการหยุดชะงักนี้ ภาษีที่เหลืออยู่ได้เพิ่มต้นทุนให้กับผู้บริโภคและบริษัทในสหรัฐฯ โดยมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการขาดแคลนสินค้า เนื่องจากข้อมูลการขนส่งบ่งชี้ถึงการลดลงอย่างมากของสินค้าที่เคลื่อนย้ายจากจีนไปยังสหรัฐฯ

การยกระดับและการเจรจาการประชุมที่สวิตเซอร์แลนด์

การเจรจาการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งถูกกำหนดไว้ในวันนี้ (วันที่ 10 พฤษภาคม 2568) เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการแก้ไขความตึงเครียดเหล่านี้ เจมส์สัน เกียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายในการบรรลุ “ความมั่นคง” เพื่อเป็นรากฐานสำหรับข้อตกลงในอนาคต โดยยอมรับว่าไม่น่าจะมีการทำข้อตกลงการค้าที่ครอบคลุมในระยะสั้น การมีส่วนร่วมของรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงอื่น ๆ ซึ่งจะกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน และมีอิทธิพลต่อพลวัตการค้าโลก

อย่างไรก็ตาม คำแถลงสาธารณะของทรัมป์ทำให้การเจรจามีความซับซ้อน การเรียกร้องให้จีน “เปิดตลาดให้กับสหรัฐฯ” และการยืนยันว่า “ตลาดที่ปิด ไม่ได้ผลอีกต่อไป” สะท้อนถึงจุดยืนที่แข็งกร้าว ซึ่งอาจขัดขวางความคืบหน้า นอกจากนี้การปฏิเสธของเขาก่อนหน้านี้ ในการลดภาษีเพื่อให้จีนมานั่งโต๊ะเจรจา ขัดแย้งกันกับข้อเสนอล่าสุดเกี่ยวกับอัตรา 80% ที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่อาจลดความตึงเครียดหรือยืดเยื้อสงครามการค้า ความไม่ชัดเจนว่าภาษี 80% เป็นเป้าหมายสุดท้ายหรือเป็นเครื่องมือในการเจรจา ได้เพิ่มความไม่แน่นอน ทำให้ทั้งนักลงทุนและผู้นำธุรกิจ เกิดความระมัดระวังมากขึ้น

ในส่วนของจีนนั้นไม่ได้อยู่นิ่ง สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของจีน เพิ่งเดินทางมาเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงกัมพูชา มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งนำไปสู่การลงนามในข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจใหม่ เพื่อเสริมสร้างอิทธิพลของจีนในภูมิภาค การเข้าร่วมของปักกิ่งในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเป็นกลุ่มการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยิ่งตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในเอเชีย ซึ่งสหรัฐฯ พยายามต่อสู้เพื่อแข่งขันนับตั้งแต่ถอนตัวจากกรอบการค้าที่คล้ายคลึงกัน การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ของจีน เช่น การจำกัดการส่งออกแร่หายากที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูงของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งทางเศรษฐกิจในสงครามการค้าครั้งนี้

การตอบสนองของภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงพันธมิตรของเอเชีย

ผลกระทบของนโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ ขยายออกไปเกินกว่าความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน โดยเปลี่ยนแปลงการจัดแนวทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ทั่วทั้งเอเชีย การสำรวจโดยสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2568 เผยให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นในหมู่ผู้นำความคิดเห็นในอาเซียนที่ต้องการจัดแนวทางกับจีนมากกว่าสหรัฐฯ ในประเทศไทย 56% สนับสนุนจีน เทียบกับ 44% ที่สนับสนุนสหรัฐฯ ในขณะที่ลาว กัมพูชา และเมียนมาแสดงแนวโน้มที่คล้ายคลึงกัน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความรู้สึกที่กว้างขึ้นว่า นโยบายการค้าที่คาดเดาไม่ได้ของวอชิงตันบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือในฐานะพันธมิตร

เศรษฐกิจขนาดเล็ก เช่น กัมพูชาและเวียดนาม พยายามลดผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ โดยการเพิ่มการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เวียดนาม ซึ่งมีดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับสามของโลก ได้ลงนามในข้อตกลงการค้าใหม่กับวอชิงตันเพื่อเอาใจทำเนียบขาว อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจขนาดใหญ่มีทางเลือกมากกว่า ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ถือครองหนี้สหรัฐฯ รายใหญ่ ได้ใช้ประโยชน์จากอิทธิพลทางการเงินเพื่อเจรจาลดภาษี ขณะที่ออสเตรเลียและเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะมีรัฐบาลฝ่ายซ้ายในอนาคต กำลังเสริมสร้างความสัมพันธ์กับจีนและสหภาพยุโรป

มาเลเซียและประเทศไทย ซึ่งเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากภาษีสหรัฐฯ ก็กำลังเพิ่มการมีส่วนร่วมกับปักกิ่ง การส่งเสริมเส้นทางการค้าใหม่ของจีน รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างเอเชียตะวันออกและยุโรปผ่านจีนแผ่นดินใหญ่ มอบโอกาสทางการค้าและการลงทุนทางเลือกให้กับประเทศเหล่านี้ แนวโน้มที่กว้างขึ้นของเศรษฐกิจเอเชียที่กระจายตัวออกจากตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มต้นในสมัยแรกของทรัมป์ กำลังเร่งตัวขึ้น โดยอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่ออิทธิพลของสหรัฐฯ ในภูมิภาค

ความเสี่ยงและโอกาส

กลยุทธ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์เป็นการเดิมพันที่มีความเสี่ยงสูงและมีผลกระทบสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทั่วโลก การกำหนดภาษีสูงได้รบกวนห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มต้นทุน และทำให้ความสัมพันธ์กับพันธมิตรตึงเครียด ขณะที่ล้มเหลวในการลดความไม่สมดุลทางการค้ากับจีนอย่างมีนัยสำคัญ ภาษีที่เสนอ 80% แม้ว่าจะลดลงจาก 145% ยังคงเป็นอุปสรรคและอาจยับยั้งการค้าแทนที่จะส่งเสริม นอกจากนี้ ความคาดเดาไม่ได้ของนโยบายของทรัมป์ ซึ่งเห็นได้จากคำประกาศภาษีที่ผันผวน ได้บ่อนทำลายความเชื่อมั่นในสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่มั่นคง

สำหรับเอเชีย ภาษีเหล่านี้นำเสนอทั้งความท้าทายและโอกาส เศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจในทันที แต่การผลักดันให้กระจายตลาดและเสริมสร้างกรอบการค้าในภูมิภาค เช่น RCEP อาจเพิ่มความยืดหยุ่นในระยะยาว การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของจีนกับประเทศอาเซียนทำให้จีนสามารถใช้ประโยชน์จากการถอยตัวของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้จีนกลายเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ความตึงเครียดเชิงยุทธศาสตร์รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เช่นทะเลจีนใต้ ซึ่งการมีตัวตนทางทหารของสหรัฐฯ ยังคงเป็นตัวถ่วงดุลอิทธิพลของจีน

การเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์มอบโอกาสในการลดความตึงเครียด แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความเต็มใจของทั้งสองฝ่ายในการประนีประนอม สำหรับสหรัฐฯ แนวทางที่สมดุลซึ่งลดภาษีในขณะที่จัดการกับความไม่สมดุลทางการค้าสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นในหมู่พันธมิตรและทำให้ตลาดมีเสถียรภาพ สำหรับจีน การเปิดตลาดให้กับสินค้าสหรัฐฯ ตามที่ทรัมป์เรียกร้อง อาจช่วยลดความตึงเครียด แต่ต้องมีการยอมจำนนที่ปักกิ่งอาจลังเล ผลลัพธ์ของการเจรจาเหล่านี้จะกำหนดไม่เพียงแต่การค้าแบบทวิภาคี แต่ยังรวมถึงระเบียบเศรษฐกิจโลกที่กว้างขึ้นด้วย

สู่กระบวนทัศน์การค้าใหม่?

ขณะที่การเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์ใกล้เข้ามา โลกต่างจับตามองเพื่อหาสัญญาณของความคืบหน้า แม้ว่าจะไม่น่าจะมีการทำข้อตกลงการค้าฉบับสมบูรณ์ แต่ขั้นตอนเล็ก ๆ น้อย ๆ สู่ความมั่นคงอาจปูทางไปสู่ข้อตกลงในอนาคต การลดภาษีลงเหลือ 80% อาจบ่งบอกถึงความเต็มใจในการเจรจา แต่ประสิทธิภาพของมันขึ้นอยู่กับว่ามันถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการประนีประนอมที่แท้จริงหรือเป็นการดำเนินการในท่าทีที่ก้าวร้าวต่อไป สำหรับเอเชีย ผลลัพธ์จะมีอิทธิพลต่อกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจและการจัดแนวระดับภูมิภาค โดยประเทศอย่างประเทศไทยและเวียดนามต้องรักษาสมดุลอันละเอียดอ่อนระหว่างอิทธิพลของสหรัฐฯ และจีน

ความท้าทายที่ใหญ่กว่าคือการสร้างความไว้วางใจในระบบการค้าโลก ภาษีของทรัมป์ได้เผยให้เห็นจุดอ่อนในรูปแบบเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออกของประเทศในเอเชีย ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการประเมินกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจใหม่ การเพิ่มขึ้นของกลุ่มการค้าในภูมิภาคและตลาดทางเลือกนำเสนอเส้นทางสู่ความยืดหยุ่น แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกแตกแยก สำหรับสหรัฐฯ การฟื้นฟูชื่อเสียงในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้จะต้องมีนโยบายที่สม่ำเสมอและความมุ่งมั่นต่อความร่วมมือพหุภาคี

โดยสรุป กลยุทธ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์ แม้ว่าจะมุ่งปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนแปลงพลวัตการค้าโลกในแบบที่อาจไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของเขา ภาษีที่เสนอ 80% สำหรับจีน ซึ่งเป็นจุดสนใจของการเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์ที่กำลังจะมาถึง สรุปถึงความตึงเครียดและโอกาสของช่วงเวลานี้ ขณะที่ประเทศต่าง ๆ ปรับตัวเข้ากับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจใหม่ การผสมผสานระหว่างภาษี การเจรจา และกลยุทธ์ระดับภูมิภาคจะกำหนดอนาคตของการค้าระดับโลก

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

สถิติต่อไปนี้ให้บริบทสำหรับพลวัตการค้าที่กล่าวถึงในบทความนี้:

  1. การค้าสหรัฐฯ-จีน (2567):
    • การส่งออกของสหรัฐฯ ไปยังจีน: 143.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • การนำเข้าของสหรัฐฯ จากจีน: 438.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • แหล่งที่มา: สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (2567), “ข้อเท็จจริงการค้าสหรัฐฯ-จีน”
  2. ผลสำรวจความคิดเห็นอาเซียน (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2568):
    • ประเทศไทย: 56% สนับสนุนจีน, 44% กับสหรัฐฯ
    • ลาว: 51% สนับสนุนจีน, 49% สหรัฐฯ
    • กัมพูชา: 43% สนับสนุนจีน, 57% สหรัฐฯ
    • เมียนมา: 42% สนับสนุนจีน, 58% สหรัฐฯ
    • แหล่งที่มา: สถาบัน ISEAS-Yusof Ishak, “รายงานการสำรวจสถานะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2568”
  3. อัตราภาษีสหรัฐฯ:
    • อัตราภาษีเฉลี่ยภายใต้ทรัมป์ (2568): 28%
    • อัตราภาษีเฉลี่ยภายใต้ไบเดน (2564-2567): 2%
    • แหล่งที่มา: สภาการต่างประเทศ, “ทำไมเอเชียตะวันออกถึงเป็นเป้าหมายของสงครามภาษีของทรัมป์” (2568)
  4. ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP):
    • คิดเป็น 30% ของ GDP โลกและ 30% ของการค้าโลก
    • แหล่งที่มา: ธนาคารพัฒนาเอเชีย, “RCEP: ตัวเร่งใหม่สำหรับการค้าในภูมิภาค” (2567)

สถิติเหล่านี้เน้นย้ำถึงขนาดของความไม่สมดุลทางการค้าสหรัฐฯ-จีน ความเปลี่ยนแปลงในความนิยมของอาเซียน และความสำคัญทางเศรษฐกิจของกรอบการค้าในภูมิภาค โดยข้อมูลเหล่านี้มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ

บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร Founder สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และ Business – Group Head MBCS Thailand (Mediabrands Contents Studio)

เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร Co-Founder สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

CP พุ่ง! รวยอันดับ 2 เอเชีย ตระกูลไทยติด 3 อันดับ

ตระกูลเจียรวนนท์ ขึ้นแท่นเศรษฐีอันดับ 2 ของเอเชีย รองจากอัมบานีแห่งอินเดีย

กรุงเทพฯ, 13 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักข่าว Bloomberg เผย ทำเนียบตระกูลเศรษฐีแห่งเอเชีย ประจำปี 2025” โดยตระกูล เจียรวนนท์ เจ้าของกลุ่มธุรกิจ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ขยับขึ้นมาครอง อันดับที่ 2 ของเอเชีย ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 1.4 ล้านล้านบาท เป็นรองเพียงตระกูล อัมบานี แห่ง Reliance Industries ของอินเดีย ซึ่งครองอันดับ 1 ติดต่อกันหลายปี

การติดอันดับของตระกูลเศรษฐีไทยในปีนี้ สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของกลุ่มทุนไทยในเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลก นอกจากนี้ยังมี 2 ตระกูลมหาเศรษฐีไทย ที่ติดอันดับในรายงานของ Bloomberg ได้แก่:

  • ตระกูลอยู่วิทยา เจ้าของ TCP Group หรือที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ผลิตเครื่องดื่ม กระทิงแดง (Red Bull) ครอง อันดับที่ 8 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 860,000 ล้านบาท
  • ตระกูลจิราธิวัฒน์ เจ้าของ เครือเซ็นทรัล ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของไทย ติด อันดับที่ 17 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 527,000 ล้านบาท

อิทธิพลของเศรษฐีเอเชียในเศรษฐกิจโลก

รายงานของ Bloomberg ระบุว่า ในช่วงที่ Donald Trump เริ่มต้นวาระที่สองของการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ มหาเศรษฐีเอเชียต้องเตรียมรับมือกับแนวนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็น ภาษีนำเข้า การเปลี่ยนแปลงด้านการค้า และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในเอเชีย

นักวิเคราะห์จาก Singapore Management University มองว่า ทศวรรษใหม่ของเศรษฐกิจโลกอาจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมหาเศรษฐีที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับตลาดโลกโดยตรง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การเงิน และพลังงาน

ตระกูลเศรษฐีที่ติดอันดับสูงสุดในเอเชีย

  1. ตระกูลอัมบานี – เจ้าของ Reliance Industries (อินเดีย) มูลค่าทรัพย์สิน 90.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  2. ตระกูลเจียรวนนท์ – เจ้าของ CP Group (ไทย) มูลค่าทรัพย์สิน 42.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  3. ตระกูลฮาร์โตโน – เจ้าของ Djarum & Bank Central Asia (อินโดนีเซีย) มูลค่าทรัพย์สิน 42.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  4. ตระกูลมิสรา – เจ้าของ Shapoorji Pallonji Group (อินเดีย) มูลค่าทรัพย์สิน 37.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  5. ตระกูลกว็อก – เจ้าของ Sun Hung Kai Properties (ฮ่องกง) มูลค่าทรัพย์สิน 35.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กลยุทธ์ความมั่งคั่งของตระกูลเจียรวนนท์

เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ก่อตั้งขึ้นในปี 1921 โดย เจีย เอ็กชอ ซึ่งเป็นผู้อพยพจากจีนมาค้าเมล็ดพันธุ์ผักในไทย ปัจจุบันกลุ่ม CP ขยายธุรกิจครอบคลุม อุตสาหกรรมอาหาร ปศุสัตว์ ค้าปลีก โทรคมนาคม และพลังงาน โดยมีเครือข่ายอยู่ในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก

การลงทุนที่สำคัญของ CP Group

  • ธุรกิจค้าปลีก: เครือ CP All ผู้ดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven และ Makro ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกไทย
  • ธุรกิจโทรคมนาคม: True Corporation หนึ่งในผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายใหญ่ของไทย
  • ธุรกิจเกษตรและอาหาร: CPF (Charoen Pokphand Foods) ผู้ผลิตอาหารสัตว์และอาหารแปรรูปรายใหญ่ที่สุดในโลก
  • การขยายตลาดระดับโลก: CP Group มีการลงทุนขยายธุรกิจไปยัง จีน เวียดนาม อินเดีย และยุโรป รวมถึงการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงาน

ทิศทางอนาคตของมหาเศรษฐีเอเชีย

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจชี้ว่า แม้ว่า CP Group และกลุ่มทุนไทยอื่น ๆ จะมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจระดับภูมิภาค แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านนโยบายภาษีและการแข่งขันระดับโลก อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการปรับตัวและการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ จะช่วยให้บริษัทเหล่านี้เติบโตได้อย่างมั่นคง

การขึ้นอันดับของตระกูลเจียรวนนท์ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของกลุ่มทุนไทยในระดับโลก และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพสูงในการแข่งขันในตลาดโลกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : bloomberg

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE