Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE EDITORIAL

ศิลปะปลุกจิตสำนึก! “Crooked River” สะท้อนวิกฤตแม่น้ำกกที่กำลังถูกปีศาจสารพิษที่มองไม่เห็นหลอกหลอน

นิทรรศการ “Crooked River แม่น้ำกก” เปิดเสียงศิลปินชาวเชียงราย สะท้อนวิกฤตสารพิษข้ามพรมแดน 5 ศิลปินร่วมถ่ายทอดเรื่องราวแม่น้ำสายชีวิต ผ่านงานจิตรกรรม ภาพถ่าย เสียงธรรมชาติ และงานไม้ มอบรายได้ 50% สนับสนุนภารกิจฟื้นฟูแม่น้ำ ท่ามกลางวิกฤตมลพิษที่ยืดเยื้อมาเกือบปี

เชียงราย, 5 ธันวาคม 2568 — ในช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม 2568 ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย บรรยากาศเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติ นักวิชาการ และชาวเชียงรายที่แห่มาร่วมงานเปิดนิทรรศการศิลปะที่มีความหมายเป็นพิเศษ ภายใต้ชื่อ “Crooked River แม่น้ำกก” ซึ่งจัดแสดงผลงานของศิลปิน 5 ท่าน ที่พยายามบอกเล่าเรื่องราวของแม่น้ำกก สายน้ำแห่งความทรงจำและชีวิตของชาวเชียงราย ที่กำลังเผชิญกับวิกฤตการปนเปื้อนสารพิษครั้งรุนแรง

คุณเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเชียงราย ผู้ก่อตั้งมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ในฐานะประธานในพิธีเปิดงาน กล่าวถึงความสำคัญของนิทรรศการครั้งนี้ว่า เป็นการแสดงความรับผิดชอบของศิลปินที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาแม่น้ำที่เป็นประเด็นเร่งด่วนของจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ซึ่งกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากการทำเหมืองแร่ข้ามพรมแดน

จุดเริ่มต้นของวิกฤต เมื่อแม่น้ำสงบกลายเป็นน้ำโคลนพิษ

เรื่องราวของนิทรรศการครั้งนี้เริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ แต่ทรงพลัง อังกฤษ อัจฉริยโสภณ หนึ่งในศิลปินหลักของนิทรรศการตั้งขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นกับแม่น้ำของเรา?” คำถามนี้ก่อตัวขึ้นหลังจากที่เขายืนอยู่ริมแม่น้ำกกและสังเกตเห็นว่า แม้แม่น้ำจะยังคงไหลและผิวน้ำสองข้างทางยังดูเหมือนเดิม แต่มี “บางอย่าง” ที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ว่ากำลังเปลี่ยนแปลงไป

“มันเหมือนกับผีหรือปีศาจที่หลอกหลอนเรา ทำให้เรากลัว ทำให้เรากังวล ทำให้เราไม่มั่นคงในการมีชีวิตอยู่ แต่เรามองไม่เห็นตัวมัน” อังกฤษกล่าวในพิธีเปิดงาน ด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนถึงความกังวลที่คนในพื้นที่ต่างรับรู้ร่วมกัน

ความรู้สึกนี้ไม่ใช่เพียงแค่ความวิตกกังวลไร้เหตุผล แต่มีรากฐานมาจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 เมื่อน้ำท่วมครั้งใหญ่พัดเอาน้ำโคลนสีเทาขุ่นข้นจากต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา เข้าท่วมพื้นที่อำเภอแม่สาย และหลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย ชาวบ้านต้องใช้เวลาหลายเดือนในการขุดโคลนและล้างบ้านเรือน เพราะตะกอนดินที่ถูกพัดมามีปริมาณมหาศาล

ตัวเลขที่น่าตกใจ สารหนูเกินมาตรฐานเกือบ 5 เท่า

หลังเหตุการณ์น้ำท่วม กรมควบคุมมลพิษได้เข้ามาดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำทุก 2 สัปดาห์ ผลการตรวจวิเคราะห์กลับชี้ให้เห็นภาพที่น่าตระหนกยิ่งกว่าที่คาดไว้ จากข้อมูลของสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ ที่เก็บตัวอย่างระหว่างวันที่ 1-2 พฤษภาคม 2568 พบว่า แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย มีการปนเปื้อนของสารโลหะหนัก โดยเฉพาะ “สารหนู” และ “ตะกั่ว” เกินค่ามาตรฐานในหลายจุด

ที่บริเวณสบกกบ้านแซว ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน จุดที่แม่น้ำกกไหลลงสู่แม่น้ำโขง ผลการตรวจวัดพบว่าค่าสารหนูอยู่ที่ 0.036 มิลลิกรัมต่อลิตร ขณะที่มาตรฐานกำหนดไว้ว่าต้องไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร หมายความว่าเกินค่ามาตรฐานถึง 3.6 เท่า ในบางจุดพบว่าสารหนูเกินมาตรฐานเกือบ 5 เท่า ซึ่งถือว่าสูงมากและอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) ระบุว่า “เกินมาเกือบ 5 เท่า ซึ่งมันสูงมาก” และยังกล่าวเสริมว่า ในการตรวจสอบตะกอนดินพบสารหนูเกินมาตรฐาน 10 จุดจาก 17 จุดตรวจ โดย 4 จุดอยู่ในระดับที่ไม่ปลอดภัยต่อสัตว์หน้าดิน (มากกว่าหรือเท่ากับ 33 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักแห้ง)

นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ได้ออกมาแถลงถึงสถานการณ์ โดยระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขได้จัดตั้งหน่วยแพทย์เฉพาะกิจร่วมกับกรมควบคุมโรคและกรมอนามัย ลงพื้นที่ตรวจหาสารหนูในห่วงโซ่อาหารเป็นระยะเวลา 4 เดือน พร้อมเฝ้าระวังอาการผิดปกติที่เกี่ยวกับพิษโลหะหนัก แม้ว่าในขณะนั้นยังไม่พบผู้ป่วยจากพิษสารหนูเรื้อรัง แต่ความเสี่ยงยังคงอยู่

ต้นตอจากเหมืองข้ามพรมแดน ทุนจีนกับเหมืองแร่ในรัฐฉาน

รากเหง้าของปัญหานี้สืบย้อนไปถึงการทำเหมืองแร่ทองคำและเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) ขนาดใหญ่ในพื้นที่ต้นน้ำแม่น้ำกกในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา โดยเฉพาะบริเวณเมืองสาด เมืองยอน และเมืองกก ซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิดของแม่น้ำกก

จากข้อมูลการสำรวจโดยองค์กรภาคประชาสังคมและนักวิชาการพบว่า บริเวณต้นน้ำแม่น้ำกกมีการทำเหมืองแร่อย่างน้อย 3 จุดใหญ่ การทำเหมืองดังกล่าวใช้สารเคมีในกระบวนการสกัดแร่ รวมถึงสารหนูที่ใช้ในการแยกทองคำออกจากแร่ เมื่อมีฝนตกหรือเกิดการชะล้างดิน สารพิษเหล่านี้จะไหลลงสู่แม่น้ำกก แล้วเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทย

นายแพทย์วรัญญู จำนงประสาทพร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่น ทำให้เกิดดินถล่มเพราะใช้การละลายแร่ใต้ดิน สร้างมลพิษต่อน้ำใต้ดินและน้ำผิวดิน ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำและสัตว์ป่าจนถึงแก่ชีวิต ตลอดจนพบการปนเปื้อนในพืชอาหารอีกด้วย

แม่น้ำกกมีความยาวประมาณ 300 กิโลเมตร ไหลจากรัฐฉานเข้าประเทศไทยที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนจะไหลผ่านตัวเมืองเชียงราย อำเภอเวียงชัย แม่จัน เวียงเชียงรุ้ง และดอยหลวง แล้วไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านในพื้นที่กว่า 6 อำเภอของจังหวัดเชียงราย

ผลกระทบต่อวิถีชีวิต เกษตรกร-ชาวประมงรับผลโดยตรง

การปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านริมแม่น้ำ โดยเฉพาะเกษตรกรและชาวประมงที่พึ่งพาแม่น้ำกกในการประกอบอาชีพ จากการสำรวจเบื้องต้นเฉพาะในอำเภอเวียงชัย และอำเภอเวียงเชียงรุ้ง พบว่ามีพื้นที่ปลูกข้าวกว่า 58,000 ไร่ที่ยังคงใช้น้ำจากแม่น้ำกก

ชาวประมงเริ่มประสบปัญหาปลาที่จับได้จากแม่น้ำกกไม่เป็นที่นิยม และถูกกดราคาจากตลาด ด้วยความกังวลเรื่องความปลอดภัยในการบริโภค แม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันว่าปลามีสารพิษในระดับที่เป็นอันตรายหรือไม่ แต่ความไม่แน่ใจนี้ส่งผลต่อรายได้และการดำรงชีพของชาวประมง

นอกจากนี้ ชาวบ้านริมแม่น้ำกกกว่า 100 หลังคาเรือนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในปี 2567 โดยบ้านเรือนประมาณ 10 หลังถูกน้ำพัดไป ไม่เพียงแต่สูญเสียที่อยู่อาศัย แต่ยังสูญเสียที่ดินทำกินด้วย เพราะน้ำที่มีความเชี่ยวกรากพัดเอาหน้าดินไปด้วย

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายได้วางแผนสุ่มตรวจน้ำประปาหมู่บ้านที่อยู่ริมแม่น้ำกกตลอดสายจนถึงเดือนกันยายน 2568 โดยส่งตรวจวิเคราะห์ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1-1 เชียงราย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าน้ำประปายังปลอดภัย

ศิลปะกับการปลุกจิตสำนึก 5 ศิลปิน 5 มุมมอง

ท่ามกลางวิกฤตที่ยืดเยื้อมาเกือบปี กลุ่มศิลปิน 5 ท่าน ได้รวมตัวกันเพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงความเป็นแม่น้ำกกผ่านมุมมองและสื่อที่หลากหลาย นิทรรศการ “Crooked River แม่น้ำกก” จึงกลายเป็นพื้นที่สำหรับการเปิดบทสนทนาเกี่ยวกับอนาคตของแม่น้ำและชุมชนริมฝั่ง

วันชัย พุทธวารินทร์ ช่างภาพชาวเชียงราย ซึ่งบ้านอยู่ทางแม่ข้าวต้ม ได้ใช้โดรนบินถ่ายภาพมุมสูงของแม่น้ำกกในหลายโค้ง หลายมุม และหลายฤดูกาล ภาพเหล่านี้แสดงให้เห็นความงามของแม่น้ำที่คดเคี้ยวไปตามธรรมชาติ พร้อมกับความสัมพันธ์ระหว่างแม่น้ำกับผู้คน ทุ่งนา แปลงเกษตร และเหมืองทราย ภาพถ่ายของเขาเผยให้เห็น “ภาพใหญ่” ที่คนบนพื้นดินไม่สามารถมองเห็นได้

อังกฤษ อัจฉริยโสภณ จิตรกรชาวเชียงรายที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ ได้สร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม 40 ชิ้น โดยใช้ภาพถ่ายของวันชัยเป็นแรงบันดาลใจ เขาใช้สีสันแต่งเติมเรื่องราวและมุมมองของศิลปินเกี่ยวกับแม่น้ำกกลงไปในภาพวาด แต่ละชิ้นถูกแยกส่วนออกมา สะท้อนถึงความเชื่อที่ว่า “เรามิอาจจะเข้าถึงความจริงของแม่น้ำกกได้เพียงภาพเดียวหรือจากความจริงที่เรามีเพียงชิ้นเดียว”

เอกพงษ์ ใจบุญ ศิลปินและนักออกแบบอิสระ สร้างสรรค์ประติมากรรมไม้ตะเคียนที่จัดวางบนก้อนหินจากกลางแม่น้ำ เปรียบเหมือนคลื่นผิวน้ำที่ไหลอย่างสงบ แต่ภายใต้ความสงบนั้นกลับมีปัญหาที่ทับถม ยากแก้ไข งานของเขาใช้เป็นฐานสำหรับวางชิ้นงานจิ๊กซอว์ร่วมของอังกฤษและวันชัย

วรพจน์ บุญความดี นักธรรมชาติวิทยาอิสระและนักบันทึกเสียงธรรมชาติ ผู้เคยทำงานในการจัดตั้งและบริหารจัดการ “พื้นที่อนุรักษ์น้ำคำ” อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ระหว่างปี 2549-2559 ได้นำเสนอ “เสียงจากแม่น้ำ” ที่เราอาจไม่เคยตั้งใจรับฟัง อยากสื่อสารถึงเสียงของชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่กับแม่น้ำกก ทั้งเสียงนก เสียงแมลง เสียงแพลงก์ตน และเสียงปลา ซึ่งกำลังจะหายไปจากสายน้ำนี้

สมชาย ชื่นทรวงจิต นักบุปผากร ผู้ทำงานไฟฟ้าควบคู่กับการจัดดอกไม้ที่อุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) ได้นำเสนองานจัดดอกไม้ที่แสดงความเรียบง่ายของการใช้วัสดุธรรมชาติ กิ่งไม้ ใบไม้ ทั้งสดและแห้ง พร้อมกรวดทรายและหินในแม่น้ำกก เพื่อนำความงามมาเยียวยาใจท่ามกลางความเศร้าที่เกิดจากวิกฤตน้ำท่วมและสารพิษ

ข้อความจากผู้ใหญ่ใจ “ศิลปินคือผู้นำทาง”

ศาสตราจารย์นคร ทองน้อย ผู้อำนวยการไร่แม่ฟ้าหลวง ซึ่งมาร่วมให้กำลังใจศิลปิน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลังว่า “แม่น้ำกกเราเนี่ยจะพึ่งใคร เทศบาลเหรอ ข้าราชการเหรอ ตำรวจหรือทหารหรอ พวกคุณนี่แหละที่จะต้องช่วยกันดูแลแม่น้ำกก ไม่ใช่คนอื่น การเป็นศิลปินหมายถึงการเป็นผู้ให้ การเป็นผู้เผื่อแผ่ การเป็นผู้ชี้ทาง การเป็นผู้ให้กำลังใจ ให้กำลังความคิด เป็นผู้ที่จะนำพาคนชาวเชียงราย”

เขากล่าวต่อว่า “เมืองไหนก็ตาม ถ้ามีแม่น้ำเป็นพิษแล้วเมืองนั้นอยู่ไม่ได้ มันง่ายแค่นั้นเอง” คำพูดที่ตรงไปตรงมานี้สะท้อนถึงความจริงจังของปัญหาที่เกิดขึ้น และเป็นการเตือนสติให้ทุกฝ่ายตื่นตัวและร่วมมือกันแก้ไขปัญหา

คุณเตือนใจ ดีเทศน์ ในฐานะประธานเปิดงาน กล่าวถึงบทบาทของมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา ว่า ปัจจุบันได้มีความร่วมมือกับองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยทั้ง 3 แห่งของเชียงราย ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พร้อมด้วยสื่อมวลชนและองค์กรระหว่างประเทศ

ท่านยังเปิดเผยว่า ในวันที่ 15 ธันวาคม 2568 จะมีองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ สหภาพยุโรป (EU) และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เข้ามาพูดคุยกับชาวเชียงรายและภาคส่วนต่างๆ เกี่ยวกับการแก้ปัญหาสารพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง

“ตอนนี้ปัญหาไม่ใช่เฉพาะแม่น้ำกกแล้ว แต่ลามไปถึงแม่น้ำโขงซึ่งจะส่งผลต่อภาคอีสานของเราด้วย และที่แม่น้ำสาละวินเราก็พบว่ามีเหมืองจำนวนมากถึง 5 เท่าของเกณฑ์มาตรฐาน” คุณเตือนใจกล่าวพร้อมเน้นย้ำว่า “ถ้าไม่มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เราก็จะอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีมนุษย์ ธรรมชาติอยู่ได้อย่างดีเลย เพราะมนุษย์นี่แหละคือผู้ที่ทำลาย ถ้าเราไม่มีความอ่อนน้อม ความเคารพ ความกตัญญูต่อธรรมชาติ”

เปิดพื้นที่แห่งบทสนทนาและความหวัง

นิทรรศการ “Crooked River แม่น้ำกก” เปิดให้ผู้ชมได้สำรวจ สัมผัส มอง ฟัง และรู้สึก ปะติดปะต่อความหมายผ่านประสบการณ์เกี่ยวกับแม่น้ำจากมุมมองที่แตกต่างกัน พจวรรณ พันธ์จินดา ภัณฑารักษ์ของนิทรรศการ อธิบายว่า การจัดแสดงครั้งนี้ต้องการเปิดพื้นที่ให้เกิดบทสนทนาถึงแม่น้ำกกผ่านงานศิลปะและจากผู้ชม เพื่อช่วยประกอบความเป็นแม่น้ำกกให้ชัดเจนและกว้างไกลขึ้น พร้อมทั้งฉายภาพความจริง ความหวัง และความฝันในการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้

“เราไม่อาจจะเห็นแม่น้ำทั้งสายได้ เมื่อเรายืนอยู่ที่ริมฝั่ง” คือข้อความที่สะท้อนแนวคิดของนิทรรศการ ที่ต้องการเชื้อเชิญให้ผู้ชมเปิดมุมมองและเข้าใจแม่น้ำกกในมิติที่หลากหลาย ไม่ใช่เพียงแค่สายน้ำที่ไหลผ่านหน้าบ้าน แต่คือระบบนิเวศที่เชื่อมโยงชีวิตของผู้คน สัตว์ พืช และสิ่งแวดล้อม

การจัดนิทรรศการครั้งนี้ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อระดมทุนสนับสนุนการทำงานด้านสิ่งแวดล้อม โดยศิลปินทั้ง 5 ท่านยินยอมบริจาครายได้ 50% จากการจำหน่ายผลงานทุกชิ้น รวมถึงงานจัดดอกไม้และจิ๊กซอว์ ให้กับมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา เพื่อใช้ในโครงการรณรงค์เกี่ยวกับแม่น้ำของเครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก และโขง

ความร่วมมือระดับนานาชาติ ก้าวสำคัญในการแก้ปัญหา

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขาได้จัดกิจกรรมรณรงค์เรื่องของสารพิษในแม่น้ำทั้ง 4 สาย ได้แก่ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง โดยมีศิลปินเข้าร่วมและให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทำให้การรณรงค์มีสีสัน มีชีวิตชีวา และมีพลังมาก

ขณะนี้มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยทั้ง 3 แห่งในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ในการศึกษาวิจัยและติดตามสถานการณ์ นอกจากนี้ยังมีองค์กรระหว่างประเทศให้ความสนใจเข้ามาสนับสนุน อาทิ องค์การสหภาพยุโรป (EU) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) และสหภาพสากลเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ซึ่งได้เปิดสำนักงานในพื้นที่

การเข้ามามีส่วนร่วมขององค์กรระหว่างประเทศถือเป็นก้าวสำคัญ เนื่องจากปัญหาต้นตอมาจากการทำเหมืองแร่ข้ามพรมแดน จึงจำเป็นต้องมีการประสานงานและเจรจาในระดับนานาชาติ ไม่สามารถแก้ไขได้เพียงในระดับประเทศเดียว

ทางออกที่รอคอย จากความตระหนักสู่การลงมือ

แม้ว่าสถานการณ์จะยังคงน่ากังวล แต่การที่มีหลายฝ่ายเข้ามาให้ความสนใจและร่วมมือกันถือเป็นสัญญาณที่ดี นายแพทย์วรัญญู จำนงประสาทพร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า การแก้ปัญหาต้องทำหลายแนวทาง ทั้งการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง การให้ความรู้แก่ประชาชนในการดูแลสุขภาพ และที่สำคัญคือการหยุดการทำเหมืองแร่ที่ต้นน้ำ

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายได้วางแผนในการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะน้ำประปาหมู่บ้านที่อยู่ริมแม่น้ำกก รวมถึงการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากสารพิษ

สำหรับแนวทางระยะยาว มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขาพร้อมด้วยเครือข่ายภาคประชาสังคมกำลังผลักดันให้มีการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลเมียนมาเพื่อหยุดการทำเหมืองแร่ที่ก่อให้เกิดมลพิษ และมีการกำกับดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ยังมีการผลักดันให้มีกฎหมายและกลไกในการควบคุมการลงทุนจากต่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ข้อคิดจากศิลปะ เมื่อภาพวาดกลายเป็นเสียงเรียกร้อง

นิทรรศการ “Crooked River แม่น้ำกก” ไม่ใช่เพียงแค่การแสดงศิลปะทั่วไป แต่เป็นการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการสื่อสารและสร้างความตระหนักรู้ให้กับสังคม อังกฤษ อัจฉริยโสภณ กล่าวว่า “เราทำอะไรได้บ้างกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันนี้” คือคำถามที่ศิลปินทุกคนถามตัวเอง และนิทรรศการครั้งนี้คือคำตอบหนึ่งที่พวกเขาหาเจอ

การที่ศิลปิน 5 ท่านจากหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม ภาพถ่าย การบันทึกเสียง ประติมากรรม และงานจัดดอกไม้ มาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานที่มีจุดร่วมเดียวกันคือ “แม่น้ำกก” แสดงให้เห็นว่าศิลปะสามารถเป็นสื่อกลางที่ทรงพลังในการนำเสนอประเด็นสังคม และเชื่อมโยงผู้คนที่มีความห่วงใยร่วมกัน

นิทรรศการครั้งนี้ยังเป็นตัวอย่างของการทำงานแบบสหสาขาวิชา (Interdisciplinary) ที่นำเอาศาสตร์ต่างๆ มาผสมผสานกัน ตั้งแต่ศิลปะ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ชีววิทยา และสังคมศาสตร์ เพื่อนำเสนอภาพรวมของปัญหาที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่ายและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา

แขกผู้มีเกียรติและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน

ในพิธีเปิดงานมีแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานจำนวนมาก อาทิ คุณจันทร์ นคร ทองน้อย ผู้อำนวยการไร่แม่ฟ้าหลวง คุณกิตติวัฒน์ ไลย์ศิริพันธ์ ตัวแทนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย คุณพิศาล จันทร์สิน จากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นายกสมาคมศิลปินแห่งประเทศไทย รวมถึงตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศอย่าง IUCN และแขกจากภูเก็ต

การที่มีผู้คนจากหลากหลายภาคส่วนเข้าร่วมงานแสดงให้เห็นว่าปัญหาแม่น้ำกกเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง และมีผู้คนพร้อมที่จะร่วมมือกันแก้ไข ไม่ใช่เพียงแค่ศิลปิน นักวิชาการ หรือเจ้าหน้าที่ภาครัฐเท่านั้น แต่รวมถึงประชาชนทั่วไปที่เห็นความสำคัญของการรักษาแม่น้ำและสิ่งแวดล้อม

คุณยุวนิต เตชะไพบูลย์ แขกจากภูเก็ต ที่เดินทางมาร่วมงาน แสดงให้เห็นว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่เชื่อมโยงผู้คนจากทั่วทุกภูมิภาค และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างพื้นที่ที่เผชิญกับปัญหาคล้ายกันสามารถนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

รายละเอียดการจัดแสดงและการเข้าชม

นิทรรศการ “Crooked River แม่น้ำกก” จัดแสดงระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 ถึง 31 มกราคม 2569 ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 10.00-16.00 น. ปิดทุกวันจันทร์ การเข้าชมไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ผู้สนใจสามารถบริจาคหรือซื้อผลงานศิลปะเพื่อสนับสนุนการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมได้

ผลงานที่จัดแสดงประกอบด้วย ภาพถ่ายมุมสูงของแม่น้ำกกกว่า 20 ภาพโดยวันชัย พุทธวารินทร์ ภาพจิตรกรรม 40 ชิ้นโดยอังกฤษ อัจฉริยโสภณ จิ๊กซอว์ที่ผสมผสานระหว่างภาพถ่ายและจิตรกรรม ประติมากรรมไม้ตะเคียนโดยเอกพงษ์ ใจบุญ การบันทึกเสียงธรรมชาติจากแม่น้ำโดยวรพจน์ บุญความดี และงานจัดดอกไม้โดยสมชาย ชื่นทรวงจิต

พจวรรณ พันธ์จินดา ภัณฑารักษ์ของนิทรรศการ ระบุว่า การจัดวางผลงานได้ออกแบบให้ผู้ชมได้สัมผัสแม่น้ำกกผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ตั้งแต่การมอง การฟัง การสัมผัส และการรับรู้ทางอารมณ์ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่สมบูรณ์และทำให้เข้าใจถึงความเป็นแม่น้ำกกในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

บทเรียนสำหรับอนาคต จากแม่น้ำกกสู่แม่น้ำอื่นๆ

ปัญหาของแม่น้ำกกไม่ใช่กรณีเฉพาะ แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับแม่น้ำสายอื่นๆ ในภูมิภาค ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษและมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขาชี้ให้เห็นว่า แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำสาละวิน ล้วนมีความเสี่ยงจากการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำเช่นกัน

คุณเตือนใจ ดีเทศน์ กล่าวว่า ที่แม่น้ำสาละวินซึ่งขณะนี้เป็นสายเดียวที่ไม่มีเขื่อนกั้นน้ำและยังคงสภาพธรรมชาติ กลับพบว่ามีเหมืองที่ต้นน้ำแล้ว และค่าสารพิษบางชนิดสูงถึง 5 เท่าของเกณฑ์มาตรฐาน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าปัญหามีแนวโน้มขยายวงกว้างขึ้น และจำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน

การแก้ปัญหาในระยะยาวต้องอาศัยความร่วมมือในหลายระดับ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด การกำกับดูแลการลงทุนที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญคือการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนทุกภาคส่วน

เสียงจากศิลปิน “อย่างน้อยเราได้เริ่มต้นบทสนทนา”

อังกฤษ อัจฉริยโสภณ กล่าวปิดท้ายในพิธีเปิดงานว่า “อย่างน้อยศิลปะได้นำพาพวกเรามามาอยู่ร่วมกัน และเป็นจุดเริ่มต้นเล็กเล็กที่เราจะเริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา” คำพูดนี้สะท้อนถึงความหวังของกลุ่มศิลปินที่ต้องการใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางในการสร้างการรับรู้และปลุกจิตสำนึกของผู้คน

การจัดนิทรรศการครั้งนี้อาจเป็นเพียงก้าวเล็กๆ ในการแก้ปัญหาขนาดใหญ่ แต่เป็นก้าวที่สำคัญในการแสดงให้เห็นว่าศิลปินและภาคประชาสังคมพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง และยินดีที่จะสนับสนุนการทำงานเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าชมนิทรรศการหรือต้องการสนับสนุนการทำงานด้านสิ่งแวดล้อม สามารถติดต่อได้ที่บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย หรือมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา นิทรรศการจัดแสดงถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 และหวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • ภาพ : กีรติ ชุติชัย
  • กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่
  • กระทรวงสาธารณสุข
  • มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.)
  • องค์การแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สหภาพสากลเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) สำนักงานประเทศไทย
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย
  • เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก และโขง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE LIFESTYLE

ศิลปินเอกพงษ์ ใจบุญ สร้างสรรค์ “Peony” จากรากเหง้าวัฒนธรรมไทย-จีนในเชียงราย

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” เปิดมิติใหม่แห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในจังหวัดเชียงราย

เชียงราย, 9 สิงหาคม 2568 –ผสมผสานรากเหง้าทางวัฒนธรรมเข้ากับแรงบันดาลใจจากคนรุ่นใหม่ เพื่อพลิกฟื้นย่านการค้าเก่าแก่ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย นิทรรศการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ในย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของจังหวัดเชียงราย

ย่านธนาลัยและในเวียงในอดีตนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการค้าที่รุ่งเรืองและเต็มไปด้วยเรื่องราวทางวัฒนธรรมอันหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผสมผสานของกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีน แต่เดิมย่านนี้เคยเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจที่คึกคัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความคึกคักนั้นอาจไม่เท่าเดิมอีกต่อไป นิทรรศการนี้จึงถือกำเนิดขึ้นด้วยแรงปรารถนาที่จะนำเรื่องราว ประสบการณ์ ความทรงจำ และข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่ามาถ่ายทอด เพื่อเปิดมุมมองและโอกาสใหม่ในการพัฒนาต่อยอดสู่ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา

การจัดแสดงครั้งนี้เป็นการรวบรวมผลงานการออกแบบสร้างสรรค์จากกลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ และชุมชนในจังหวัดเชียงราย ที่ร่วมกันบอกเล่าเรื่องราวและแรงบันดาลใจจากย่านถนนธนาลัย ซึ่งเป็นย่านการค้าเก่าแก่ที่สะท้อนถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมของเมืองเชียงรายได้อย่างชัดเจน เนื้อหาในนิทรรศการครอบคลุมพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคม ศิลปะ วัฒนธรรม ไปจนถึงเรื่องราวของร้านค้าเก่าแก่และธุรกิจของคนรุ่นใหม่ที่ร่วมกันพัฒนาและต่อยอดแบรนด์กิจการดั้งเดิมไปสู่ธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ โครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ พร้อมด้วยหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่

หนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่ได้รับความสนใจอย่างมากในนิทรรศการนี้คือ ประติมากรรมชื่อ “Peony” หรือ “ดอกโบตั๋น” โดยนายเอกพงษ์ ใจบุญ ศิลปินร่วมสมัยผู้ให้ความสำคัญกับรากเหง้าทางวัฒนธรรมและศิลปะพื้นถิ่น นายเอกพงษ์เปิดเผยว่า ผลงานชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการลงพื้นที่ในย่านธนาลัย และได้นำเอาแนวคิดเรื่องพหุวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากวัฒนธรรมไทย-จีน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของย่านการค้านี้มาสร้างสรรค์ ดอกโบตั๋นในวัฒนธรรมจีนถือเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ ความมั่งคั่ง และความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งสอดคล้องกับภาพลักษณ์ในอดีตของย่านธนาลัยที่เคยรุ่งเรืองด้านการค้า

ผลงาน “Peony” ไม่ได้เป็นเพียงประติมากรรมนูนต่ำที่นำเสนอเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบันผ่านกระบวนการคิดอย่างลึกซึ้งและการเลือกใช้วัสดุที่มีความหมาย นายเอกพงษ์ได้ผสานความเชื่อเรื่องดอกโบตั๋นเข้ากับองค์ประกอบทางศิลปกรรมของสถาปัตยกรรมดั้งเดิมในย่านธนาลัย อาทิ เส้นสายของลายฉลุ ลวดลายไม้สลัก และรูปทรงที่ถอดแบบจากภูมิปัญญาช่างไม้โบราณ เพื่อแสดงถึงความงามอันเป็นนิรันดร์ของอดีตในบริบทของโลกปัจจุบัน

ความโดดเด่นของ “Peony” ยังอยู่ที่กระบวนการสร้างสรรค์ที่พิถีพิถัน ศิลปินได้เลือกใช้ไม้จากธรรมชาติ ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งและมีความงดงามในตัวเอง เช่น ไม้ตะเคียน ไม้แดง และไม้จำปี โดยนำมาแปรรูปเป็นองค์ประกอบทางศิลปะด้วยเทคนิคการตัดไม้เป็นรูปทรงอิสระ และนำมาประกอบเข้าด้วยกันอย่างประณีตผ่านวิธีการบากเดือยแบบช่างไม้โบราณ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมา นอกจากนี้ ยังเสริมความแข็งแรงและความงามของผลงานด้วยการประสานไม้ด้วยกาวและหมุดทองเหลือง

ในแง่มิติทางทัศนศิลป์ “Peony” ถ่ายทอดความสมดุลของแสง เงา และผิวสัมผัสที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม สร้างประสบการณ์ทางสายตาที่ลุ่มลึกให้กับผู้ชม ผลงานชิ้นนี้ช่วยให้ผู้ชมสามารถสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวที่นิ่งงัน ความร่วมสมัยที่อิงรากฐานของอดีต และการสื่อสารอย่างลึกซึ้งโดยไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำ นายเอกพงษ์เชื่อว่า “Peony” ไม่ใช่เพียงวัตถุทางศิลปะ แต่เป็นบทสนทนาระหว่างอดีตและปัจจุบัน ระหว่างศิลปะและวัฒนธรรม และระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เป็นการตีความ “ความมั่งคั่ง” ในความหมายใหม่ ที่ไม่ได้จำกัดเพียงทรัพย์สินเงินทอง หากแต่รวมถึงความมั่งคั่งทางจิตวิญญาณ ความคิดสร้างสรรค์ และความงดงามของย่านธนาลัยอันไร้กาลเวลา

โครงการและนิทรรศการนี้จึงเป็นมากกว่าการจัดแสดงงานศิลปะ แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ประชาชนทั่วไปจะได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม:

  • การฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น: การนำเสนอและต่อยอดธุรกิจดั้งเดิมไปสู่ธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ จะช่วยกระตุ้นการค้าและบริการในย่านธนาลัยและพื้นที่ใกล้เคียง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ให้กับผู้ประกอบการและชุมชน
  • การอนุรักษ์และต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรม: การนำเรื่องราวประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมของย่านเก่ามาสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ เป็นการรักษาคุณค่าดั้งเดิมพร้อมทั้งสร้างความน่าสนใจให้กับคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยว
  • การสร้างแรงบันดาลใจและการพัฒนาศักยภาพ: โครงการนี้ส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาทักษะ ความรู้ และนวัตกรรมใหม่ ๆ ในสาขาต่าง ๆ เป็นการยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรในพื้นที่
  • การยกระดับคุณภาพชีวิตและภูมิทัศน์เมือง: การพัฒนาให้ย่านธนาลัยเป็น “ย่านสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา” ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความงามและอัตลักษณ์ของเมือง แต่ยังส่งเสริมให้เกิดพื้นที่สาธารณะที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของคนในชุมชน
  • การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: นิทรรศการและแนวคิดเรื่องย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนใครในเชียงราย ซึ่งจะสร้างรายได้หมุนเวียนและกระจายไปสู่ธุรกิจในท้องถิ่น

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม ถึง 8 กันยายน 2568 เวลา 10.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์) เป็นการรวมพลังของหลายภาคส่วนเพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของจังหวัดเชียงรายในการผสมผสานอดีตเข้ากับปัจจุบัน และสร้างสรรค์อนาคตที่รุ่งเรืองด้วยภูมิปัญญาและจินตนาการ

นายเอกพงษ์ ใจบุญ ในฐานะศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน "Peony" (ดอกโบตั๋น)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย
  • บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ (Creative Economy Agency (Public Organization) – CEA Chiang Mai)
  • กลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News