Categories
NEWS UPDATE

ผลตรวจ ‘แม่น้ำกก’ อ.แม่อาย เบื้องต้นอยู่ในเกณฑ์ดี

ผลตรวจคุณภาพน้ำเบื้องต้นแม่น้ำกกเผยอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ต้องรอผลวิเคราะห์สารปนเปื้อนจากเหมืองทอง

เชียงใหม่, 20 มีนาคม 2568 – เจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่สำรวจและเก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกก บริเวณตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำ หลังจากที่ชาวบ้านในพื้นที่ร้องเรียนถึงความผิดปกติของแม่น้ำกกที่มีสีขุ่นข้นและเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยผลการตรวจสอบเบื้องต้นในภาคสนามพบว่าคุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดีตามมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดิน แต่ยังต้องรอผลการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำในห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันว่ามีการปนเปื้อนจากสารเคมีหรือโลหะหนักที่อาจเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองทองในเขตต้นน้ำหรือไม่

การลงพื้นที่ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประชาชนในชุมชนท้องถิ่น รวมถึงผู้นำชุมชน ได้เรียกร้องให้หน่วยงานราชการเข้ามาตรวจสอบ เนื่องจากแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ไหลมาจากเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา เข้าสู่เขตอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ มีลักษณะขุ่นมัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 โดยชาวบ้านเริ่มมีความกังวลถึงความปลอดภัยในการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค รวมถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศและการท่องเที่ยวในพื้นที่

การตรวจสอบคุณภาพน้ำและผลเบื้องต้น

เจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษได้ดำเนินการเก็บตัวอย่างน้ำจาก 3 จุดหลัก ได้แก่

  1. จุดที่ 1: บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ฐานริมกก หมู่ที่ 3 ตำบลท่าตอน
  2. จุดที่ 2: สะพานมิตรภาพแม่นาวาง-ท่าตอน เชื่อมระหว่างหมู่ 5 ตำบลท่าตอน และหมู่ 14 หย่อมบ้านป๊อกป่ายาง ตำบลแม่นาวาง
  3. จุดที่ 3: บริเวณหมู่ 12 บ้านผาใต้ ตำบลท่าตอน

การตรวจสอบในภาคสนามมุ่งเน้นไปที่พารามิเตอร์พื้นฐานตามมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งรวมถึงค่าออกซิเจนละลายน้ำ (Dissolved Oxygen: DO) และค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ผลการตรวจพบว่า

  • ค่าออกซิเจนละลายน้ำ (DO): อยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนถึงความสามารถในการรองรับสิ่งมีชีวิตในน้ำที่ยังอยู่ในระดับปกติ
  • ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH): อยู่ในช่วง 7-9 ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมตามมาตรฐาน และไม่พบความเป็นกรดหรือด่างที่อาจส่งผลกระทบต่อการสัมผัสหรือการใช้งาน
  • ค่าการนำไฟฟ้า (Electrical Conductivity): ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างจุดตรวจทั้ง 3 แห่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าในเบื้องต้นยังไม่มีจุดใดที่มีการปนเปื้อนในระดับสูง

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระบุว่า การตรวจสอบในภาคสนามเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสรุปได้ว่าน้ำในแม่น้ำกกมีการปนเปื้อนจากสารเคมีหรือโลหะหนักหรือไม่ เนื่องจากลักษณะทางกายภาพที่พบ เช่น ความขุ่นของน้ำ อาจเกิดจากตะกอนธรรมชาติหรือสารปนเปื้อนจากกิจกรรมมนุษย์ เช่น การทำเหมืองทองในเขตต้นน้ำ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ตัวอย่างน้ำที่เก็บจากทั้ง 3 จุดได้ถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษ เพื่อวิเคราะห์หาสารปนเปื้อนเพิ่มเติม โดยเฉพาะโลหะหนัก เช่น ปรอท (Mercury) และสารไซยาไนด์ (Cyanide) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของการทำเหมืองทอง

ความกังวลของชุมชนและบริบทของปัญหา

นางธีระพันธุ์ กันธิยาใจ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านร่มไท หมู่ที่ 14 ตำบลท่าตอน เปิดเผยว่า ชาวบ้านในพื้นที่มีความตื่นตระหนกตั้งแต่สังเกตเห็นสีของน้ำในแม่น้ำกกเปลี่ยนไปเป็นสีขุ่น ซึ่งในช่วงแรกเชื่อว่าเป็นผลจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2567 ที่พัดพาตะกอนดินโคลนลงมา อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปหลายเดือน สภาพน้ำยังไม่กลับมาใสเหมือนเดิม ทำให้เกิดความสงสัยว่าอาจมีสาเหตุอื่น โดยเฉพาะเมื่อมีรายงานว่าที่บ้านฮุง เขตปกครองพิเศษที่ 2 สหรัฐว้า รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 36 กิโลเมตร มีการอนุญาตให้กลุ่มทุนจีนดำเนินการทำเหมืองแร่ โดยเฉพาะเหมืองทองคำมากกว่า 23 บริษัท

“เดิมทีชาวบ้านใช้แม่น้ำกกเพื่อการอุปโภคบริโภค อาบน้ำ ล้างจาน หรือแม้แต่จับปลามากิน แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าใช้น้ำจากแม่น้ำแล้ว เพราะกลัวว่ามีสารเคมีปนเปื้อน” นางธีระพันธุ์กล่าว พร้อมระบุว่าปลาในแม่น้ำลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านที่พึ่งพาแหล่งน้ำแห่งนี้

ด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากแม่น้ำกกเป็นหนึ่งในจุดเด่นของตำบลท่าตอนที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมธรรมชาติและล่องเรือ แต่เมื่อน้ำเปลี่ยนสีและมีข่าวลือถึงมลพิษ ทำให้ชาวบ้านเกรงว่านักท่องเที่ยวจะลดลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น

การดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 นางสลีลญา คำภาแก้ว นายอำเภอแม่อาย ได้มอบหมายให้ปลัดอำเภอและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่, สำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่อาย, กองบังคับการควบคุมทหารพราน, และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ลงพื้นที่สำรวจและเก็บตัวอย่างน้ำเพิ่มเติม โดยเจ้าหน้าที่ได้นั่งเรือจากบ้านแก่งทราย หมู่ที่ 14 ไปยังจุดรอยต่อชายแดนไทย-เมียนมา เพื่อตรวจสอบแหล่งน้ำต้นทางที่อาจได้รับผลกระทบจากเหมืองทอง

การวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำในห้องปฏิบัติการคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 15-30 วัน โดยจะเน้นตรวจหาโลหะหนัก เช่น ปรอท, สารหนู (Arsenic), และตะกั่ว (Lead) รวมถึงสารไซยาไนด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่มักใช้ในกระบวนการสกัดทองคำ หากพบว่ามีสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน จะมีการประสานงานกับหน่วยงานระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นตอในเขตเมียนมา

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและการรอผลวิเคราะห์

หากผลการวิเคราะห์ยืนยันว่ามีสารปนเปื้อนจากเหมืองทองจริง อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงระบบนิเวศของแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงในที่สุด การปนเปื้อนของไซยาไนด์และโลหะหนักสามารถสะสมในสิ่งมีชีวิตในน้ำ เช่น ปลา และเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ได้ ขณะเดียวกัน ความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวอาจทำให้รายได้ของชุมชนลดลงอย่างมาก

ในทางกลับกัน หากผลการตรวจไม่พบสารปนเปื้อนในระดับที่เป็นอันตราย ชาวบ้านอาจกลับมาไว้วางใจและใช้น้ำจากแม่น้ำกกได้ตามปกติ แต่ก็ยังต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกิจกรรมเหมืองทองในเขตต้นน้ำยังคงดำเนินการอยู่อย่างไม่หยุดนิ่ง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลที่ผ่านมาเกี่ยวกับผลกระทบของการทำเหมืองทองต่อแหล่งน้ำ:

  • ปี 2566: รายงานจากกรมทรัพยากรน้ำระบุว่า แหล่งน้ำผิวดินในประเทศไทยกว่า 30% ได้รับผลกระทบจากมลพิษ โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้เขตชายแดนที่มีกิจกรรมเหมืองแร่จากประเทศเพื่อนบ้าน (ที่มา: กรมทรัพยากรน้ำ)
  • ปี 2565: องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การปนเปื้อนของไซยาไนด์ในน้ำดื่มที่เกิน 0.07 มิลลิกรัมต่อลิตร สามารถก่อให้เกิดพิษเฉียบพลันต่อร่างกาย เช่น อาการคลื่นไส้และหายใจลำบาก (ที่มา: WHO Drinking Water Guidelines)
  • ปี 2567: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่รายงานว่า ปลาในแม่น้ำกกบริเวณอำเภอแม่อายลดลง 70% จากภาวะน้ำขุ่นในช่วงน้ำท่วมใหญ่ (ที่มา: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่)

ทัศนคติเป็นกลาง: มุมมองทั้งสองฝั่ง

จากมุมมองของชาวบ้านและผู้ที่กังวลถึงผลกระทบจากเหมืองทอง การเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำกกเป็นสัญญาณที่น่ากลัว การที่น้ำขุ่นต่อเนื่องหลายเดือนและมีรายงานการทำเหมืองในเขตต้นน้ำ ทำให้เกิดความสงสัยว่าสารเคมีอาจรั่วไหลลงสู่แม่น้ำ ซึ่งหากเป็นจริงจะเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและวิถีชีวิต การเรียกร้องให้ตรวจสอบและแก้ไขอย่างเร่งด่วนจึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เพื่อปกป้องชุมชนและสิ่งแวดล้อม

ในทางกลับกัน การทำเหมืองทองในเขตเมียนมาถือเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับท้องถิ่นในรัฐฉาน หากไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามลพิษมาจากเหมือง การกล่าวหาอาจสร้างความตึงเครียดระหว่างประเทศโดยไม่จำเป็น ผลการตรวจในภาคสนามที่ระบุว่าน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดี อาจบ่งชี้ว่าความขุ่นเกิดจากตะกอนธรรมชาติมากกว่าสารเคมี ซึ่งต้องรอผลวิเคราะห์ที่แน่นอนเพื่อตัดสิน

ทั้งสองฝั่งมีเหตุผลที่น่าเห็นใจ การรอผลการตรวจอย่างละเอียดจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นกลางและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม โดยไม่รีบด่วนตัดสินจากอารมณ์หรือข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์

การติดตามผลการวิเคราะห์ในครั้งนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหา และสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนในพื้นที่ต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News