Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 จัดกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” แปลงนาสาธิต ทหารพันธุ์ดี สืบสาน ศาสตร์พระราชา

เชียงราย – มทบ.37 สืบสาน “ศาสตร์พระราชา” ผ่านกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” แปลงนาสาธิตทหารพันธุ์ดี เชื่อมจิตอาสา–ชุมชน สร้างพื้นที่เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงอย่างเป็นรูปธรรม

เชียงราย,4 ธันวาคม 2568 – เสียงหัวเราะของเด็กนักเรียน เสียงทักทายของทหารผ่านศึก และจังหวะก้าวย่ำลงผืนนาอย่างพร้อมเพรียงของกำลังพลจิตอาสา คือภาพแรกที่ปรากฏขึ้น ณ แปลงนาสาธิต โครงการทหารพันธุ์ดี ค่ายเม็งรายมหาราช เมื่อบ่ายวันที่ 2 ธันวาคม 2568

ภายใต้บรรยากาศเรียบง่ายแต่เปี่ยมความหมาย ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) จัดกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตรงกับวันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2568

เบื้องหลังเพียงครึ่งวันของกิจกรรม คือ “เรื่องเล่า” ของการสืบสานพระราชปณิธานด้านการพัฒนา การยืนหยัดบนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และความพยายามเปลี่ยน “ผืนนาในค่ายทหาร” ให้เป็น “ห้องเรียนกลางแจ้ง” ของคนทั้งชุมชน

พลังจิตอาสาหลากหลายรุ่น จากทหาร ถึงนักเรียนอนุบาล

หัวใจสำคัญของกิจกรรมครั้งนี้ คือ “การรวมพลัง” ของเครือข่ายจิตอาสาหลายภาคส่วน ภายใต้การนำของ พล.ต. จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีและนำกำลังพลลงแปลงนาอย่างเป็นตัวอย่าง

กิจกรรมได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานหลากหลาย ได้แก่

  • กำลังพลจิตอาสา 904
  • กำลังพลมณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช
  • โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช
  • หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร
  • สำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย–พะเยา
  • โรงเรียนอนุบาลกองทัพบกอุปถัมภ์ บริบูรณ์ธนวัฒน์

การที่ “ทหารแนวหน้า – ทหารผ่านศึก – เยาวชน – บุคลากรทางการแพทย์ – ครูและนักเรียน” ลงมือทำนาเคียงบ่าเคียงไหล่กันในกิจกรรมเดียว ไม่ได้เป็นเพียงภาพเชิงสัญลักษณ์ หากยังสะท้อนแนวคิดสำคัญของงานครั้งนี้ คือ “การเรียนรู้ร่วมกัน” และ “การสืบสานวิถีเกษตรกรรมไทยอย่างมีส่วนร่วม”

แม้กิจกรรมจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ทุกขั้นตอนตั้งแต่การเตรียมแปลงนา การลงแขกดำนา ไปจนถึงการอธิบายขั้นตอนจัดการน้ำ ดิน และเมล็ดพันธุ์ ล้วนถูกออกแบบให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสทั้ง “วิธีคิด” และ “วิธีปฏิบัติ” ตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่และศาสตร์พระราชาอย่างเป็นระบบ

ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” วงจรเวลาที่ผูกหัวใจคนกับผืนนา

ชื่อกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” เป็นวลีที่คนไทยคุ้นหูมาหลายปี แต่ในบริบทของ มทบ.37 วลีนี้ถูกทำให้ “จับต้องได้จริง” ผ่านแปลงนาสาธิตของโครงการทหารพันธุ์ดี

แนวคิดหลักคือการใช้ “วงจรเวลา” จากเดือนสิงหาคม (วันแม่แห่งชาติ) จนถึงเดือนธันวาคม (วันพ่อแห่งชาติ) เป็นกรอบการเรียนรู้เรื่องข้าวและวิถีเกษตรกรรมแบบครบวงจร ตั้งแต่การเตรียมดิน ดำนา ดูแลรักษา ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว

แม้ในปีนี้กิจกรรมที่รายงานจะจัดขึ้นในวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงใกล้วันพ่อแห่งชาติ แต่การลงแขกดำนาในแปลงนาสาธิตครั้งนี้ก็ถูกออกแบบให้เชื่อมโยงกับการ “เก็บเกี่ยวในอนาคต” อย่างชัดเจน

ข้าวที่ผู้เข้าร่วมปลูกร่วมกันในวันนี้ จะกลายเป็นผลผลิตที่สะท้อนให้เห็นว่า “การทำตามศาสตร์พระราชา” ไม่ใช่เพียงคำขวัญ หากคือกระบวนการเรียนรู้ระยะยาว ที่ต้องอาศัยความเพียร ความร่วมมือ และการวางแผนอย่างรอบคอบ

แปลงนาสาธิตโครงการทหารพันธุ์ดี ห้องเรียน “ศาสตร์พระราชา” ในค่ายทหาร

กิจกรรมทั้งหมดจัดขึ้น ณ แปลงนาสาธิต โครงการทหารพันธุ์ดี มณฑลทหารบกที่ 37 ซึ่งได้รับการพัฒนาให้เป็น “ศูนย์การเรียนรู้โครงการทหารพันธุ์ดี ค่ายเม็งรายมหาราช” ทำหน้าที่เป็นแหล่งสาธิตและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับกำลังพล ส่วนราชการ นักเรียน และประชาชนทั่วไป

หน่วยได้ประกาศชัดว่า การดำเนินงานทั้งหมดอยู่ภายใต้ความคิด

“เรียนรู้จากผืนนา ในศาสตร์พระราชา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”

แนวคิดนี้สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และการพัฒนาที่ตั้งอยู่บน “ความพอประมาณ เหตุผล และภูมิคุ้มกัน” โดยอาศัยเงื่อนไขความรู้และคุณธรรมเป็นฐาน เพื่อให้ครอบครัว ชุมชน และประเทศสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

เมื่อหลักคิดดังกล่าวถูกถ่ายทอดลงสู่ “ผืนนาในค่ายทหาร” แปลงนี้จึงไม่ได้มีบทบาทเพียงเป็นพื้นที่ปลูกข้าว แต่กลายเป็น “สื่อการเรียนรู้” ที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเห็นภาพจริงของการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างสมดุล ทั้งน้ำ ดิน พืช และแรงงานคน

เกษตรทฤษฎีใหม่ จากแนวพระราชดำริ สู่ผังการจัดการพื้นที่ของ มทบ.37

หนึ่งในหัวใจสำคัญของโครงการทหารพันธุ์ดี คือการน้อมนำ “เกษตรทฤษฎีใหม่” มาปรับใช้ในพื้นที่ของหน่วย เพื่อให้เกิดต้นแบบการจัดการพื้นที่เกษตรขนาดเล็กที่เหมาะสมกับสภาพของเกษตรกรไทย

เอกสารแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ของสำนักงาน กปร. ระบุว่า ทฤษฎีใหม่นี้เสนอให้เกษตรกรที่มีที่ดินเฉลี่ยประมาณ 10–15 ไร่ แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วน ๆ เช่น แหล่งน้ำ พื้นที่ปลูกข้าว พื้นที่ปลูกพืชผสมผสาน และพื้นที่อยู่อาศัยหรือเลี้ยงสัตว์ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการผลิตอาหาร การกักเก็บน้ำ และการสร้างรายได้เสริมอย่างยั่งยืน

การที่มณฑลทหารบกที่ 37 นำแนวทางนี้มาปรับใช้ในแปลงนาสาธิตโครงการทหารพันธุ์ดี ไม่เพียงช่วยให้กำลังพลเข้าใจระบบเกษตรแบบบูรณาการ แต่ยังทำให้พื้นที่นี้ทำหน้าที่เป็น “ต้นแบบภาคปฏิบัติ” ให้ประชาชนในพื้นที่สามารถมาศึกษา เรียนรู้ และนำไปประยุกต์ใช้ในแปลงของตนเองได้

ในมุมของการสร้างความมั่นคงทางอาหาร แปลงทดสอบที่มีข้าวเป็นศูนย์กลาง และมีพืชอาหารอื่น ๆ รวมถึงการเลี้ยงสัตว์หรือปลูกพืชเศรษฐกิจเสริม ย่อมมีศักยภาพในการช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา ตลอดจนรองรับสถานการณ์วิกฤตในอนาคตได้ดีกว่าระบบเกษตรเชิงเดี่ยว

จาก “หน้าที่ทหาร” สู่ “บทบาทครู” กองทัพกับภารกิจใหม่ในชุมชน

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กองทัพบกได้พยายามขยายบทบาทจาก “หน่วยงานด้านความมั่นคง” ไปสู่การเป็น “หุ้นส่วนการพัฒนา” กับชุมชน ผ่านโครงการด้านเกษตรและจิตอาสาต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือ “โครงการทหารพันธุ์ดี” ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพ และเป็นศูนย์การเรียนรู้ในคราวเดียวกัน

กิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” ครั้งนี้จึงสะท้อนให้เห็นการปรับบทบาทดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อกำลังพลไม่ได้ทำหน้าที่เพียงป้องกันประเทศ แต่ยังลงมาสวมบท “ครู” ถ่ายทอดประสบการณ์ด้านการจัดการแปลงนา การอนุรักษ์น้ำดิน และการวางแผนปลูกข้าวตามฤดูกาลให้กับเยาวชนและประชาชน

ขณะเดียวกัน การมีส่วนร่วมของหน่วยงานอย่างโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช และสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย–พะเยา ยังช่วยให้ภาพของกิจกรรมครั้งนี้เชื่อมโยงกับการดูแล “คนในระบบ” อย่างครบวงจร ทั้งทหารประจำการ ทหารผ่านศึก และครอบครัว

กล่าวได้ว่า แปลงนาสาธิตแปลงเล็ก ๆ แห่งนี้ กลายเป็นพื้นที่ที่ “ภารกิจการพัฒนา คุณภาพชีวิต และการปลูกฝังคุณค่าจิตอาสา” เดินไปพร้อม ๆ กับภารกิจหลักด้านความมั่นคงของกองทัพ

เมื่อเด็ก ๆ ลงนา การปลูกเมล็ดพันธุ์ “คนรุ่นใหม่” ไปพร้อมกับเมล็ดข้าว

หนึ่งในภาพที่โดดเด่นของกิจกรรม คือการที่นักเรียนจากโรงเรียนอนุบาลกองทัพบกอุปถัมภ์ บริบูรณ์ธนวัฒน์ ได้มีโอกาสลงแปลงนา เรียนรู้ขั้นตอนการปลูกข้าว รู้จักอุปกรณ์การทำนา และฟังคำอธิบายเรื่อง “ศาสตร์พระราชา” ในภาษาที่เข้าใจง่าย

สำหรับเด็กในยุคดิจิทัลที่คุ้นเคยกับหน้าจอมากกว่าผืนนา การได้สัมผัสดินโคลนด้วยตนเอง ถือเป็นประสบการณ์สำคัญที่ช่วยเชื่อมโยง “อาหารในจาน” กับ “แรงงานของชาวนาและระบบนิเวศในท้องนา” อย่างจับต้องได้

เมื่อมองในระยะยาว การเปิดพื้นที่เช่นนี้ให้เด็กและเยาวชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ย่อมช่วยปลูกฝังทัศนคติด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การเห็นคุณค่าของแรงงานเกษตร และการเข้าใจหลักเศรษฐกิจพอเพียงตั้งแต่วัยเยาว์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดที่ว่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสามารถประยุกต์ใช้ได้ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงระดับชาติ

ความหมายเชิงสังคม ข้าวหนึ่งรวง สะท้อนเครือข่าย “จิตอาสา – เกษตร – ชุมชน”

แม้กิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” จะเป็นเพียงหนึ่งในหลายกิจกรรมของศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มทบ.37 แต่ความหมายในเชิงสังคมของกิจกรรมนี้มีความน่าสนใจในหลายมิติ

  1. มิติด้านจิตอาสา
    การรวมตัวของกำลังพลจิตอาสา 904 หน่วยทหาร หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร และเครือข่ายทหารผ่านศึก สะท้อนให้เห็นว่าจิตอาสาในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการบรรเทาทุกข์ในภาวะวิกฤต แต่ยังขยายสู่ “การสร้างภูมิคุ้มกันเชิงโครงสร้าง” ผ่านการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความมั่นคงทางอาหารของชุมชน
  2. มิติด้านเศรษฐกิจฐานราก
    การส่งเสริมให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปเข้ามาเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ ช่วยให้ครัวเรือนมีโอกาสปรับรูปแบบการเพาะปลูก ให้พึ่งพาตนเองได้มากขึ้น ลดความเสี่ยงจากราคาสินค้าเกษตรผันผวน และสร้างรายได้เสริมจากพืชผสมผสานตามแนวทางที่สำนักงาน กปร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันมายาวนาน
  3. มิติด้านวัฒนธรรมและอัตลักษณ์
    ข้าวและผืนนาไม่ใช่เพียงทรัพยากรทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ชุมชนไทย โดยเฉพาะในภาคเหนืออย่างจังหวัดเชียงราย ที่มีทั้งชาวไทยพื้นราบและกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายอาศัยอยู่ วิถีเกษตรที่เชื่อมโยงกับ “ศาสตร์พระราชา” จึงเท่ากับการรักษาทั้งภูมิปัญญาและความทรงจำร่วมของชุมชน

 

จากผืนนาสู่อนาคต พื้นที่ต้นแบบที่ขยายผลได้จริง

จุดแข็งของกิจกรรมในครั้งนี้ ไม่ได้อยู่ที่จำนวนผู้เข้าร่วม แต่อยู่ที่การวาง “โจทย์ระยะยาว” ให้แปลงนาสาธิตของโครงการทหารพันธุ์ดีทำหน้าที่ต่อไปในฐานะ “ต้นแบบการเรียนรู้” ที่ขยายผลไปยังครอบครัวและชุมชนอื่น ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง

เมื่อเกษตรกรตัวจริงในพื้นที่ นักเรียน และประชาชนทั่วไป เห็นตัวอย่างของการจัดสรรพื้นที่ตามทฤษฎีใหม่ การวางระบบน้ำ การปลูกพืชระบบหมุนเวียน และการเชื่อมโยงกับตลาดอย่างพอเหมาะ พวกเขาสามารถนำแนวคิดไปปรับใช้ตามบริบทของตนเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องลอกแบบทุกขั้นตอน

นอกจากนี้ การที่ มทบ.37 วางศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ให้เปิดรับส่วนราชการ สถานศึกษา และภาคประชาชน ยังช่วยให้ “องค์ความรู้จากศาสตร์พระราชา” ไม่ถูกจำกัดอยู่เฉพาะในกรม กอง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ถูกส่งต่อในรูปแบบความร่วมมือข้ามองค์กรอย่างแท้จริง

เมื่อ “ผืนนาในค่ายทหาร” กลายเป็นเวทีสืบสานศาสตร์พระราชา

หากมองเพียงผิวเผิน กิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” ของศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 อาจถูกมองว่าเป็นเพียงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ในช่วงวันสำคัญของชาติ

แต่เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้ง จะเห็นว่า

  • ผืนนาสาธิตโครงการทหารพันธุ์ดี คือ “ห้องเรียนกลางแจ้ง” ที่แปลงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ให้จับต้องได้จริง
  • การผนึกกำลังของทหาร จิตอาสา นักเรียน ทหารผ่านศึก และหน่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์ คือ “รูปธรรมของความสามัคคี” ที่สะท้อนให้เห็นว่าการพัฒนาชุมชนไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยลำพังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
  • วงจรเวลา “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” เป็นเครื่องเตือนใจให้สังคมเห็นคุณค่าของการวางแผนระยะยาว ความเพียร และการเรียนรู้จากธรรมชาติ ซึ่งล้วนเป็นแก่นสำคัญของศาสตร์พระราชา

ในโลกที่เผชิญทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจ ภัยพิบัติด้านสภาพภูมิอากาศ และความเหลื่อมล้ำทางโอกาส การมี “แปลงนาสาธิต” ที่ขับเคลื่อนบนหลักคิด “พอเพียง มั่นคง ยั่งยืน” ในทุกมณฑลทหารบก อาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของปัญหา แต่ย่อมเป็น “จุดตั้งต้นที่สำคัญ” ในการสร้างภูมิคุ้มกันให้ชุมชนไทยยืนหยัดได้ด้วยตนเอง

สำหรับจังหวัดเชียงราย กิจกรรมในวันนั้นจึงไม่ได้ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าบนผืนนา หากยังทิ้ง “เมล็ดพันธุ์ความคิด” ไว้ในหัวใจของผู้เข้าร่วม ว่าการเคารพสถาบันหลักของชาติ การรักถิ่นฐานบ้านเกิด และการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ สามารถเดินไปด้วยกันได้อย่างกลมกลืน

และทุกครั้งที่ชาวบ้าน หรือเด็ก ๆ ได้กลับมาเห็นรวงข้าวที่เคยร่วมกันปลูกค่อย ๆ ตั้งท้องและสุกเหลืองพร้อมเก็บเกี่ยว พวกเขาย่อมตระหนักได้ว่า “วันที่เราลงนา” ไม่ได้เป็นเพียงภาพในอดีต แต่คือบทเรียนที่ต่อยอดไปสู่การตัดสินใจและการใช้ชีวิตในอนาคต

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เปิดแผนแม่บ้าน ทบ. มทบ.37 เพิ่มช่องทางขาย เสริมรายได้ครอบครัว

สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ขับเคลื่อนพลังสตรี จัดประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2568 พร้อมส่งเสริมศักยภาพเศรษฐกิจครอบครัวกำลังพล

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 –  ห้องประชุมพญามังราย กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) จังหวัดเชียงราย เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 มิถุนายน 2568 พันโทหญิง เยาวเรศ ชูก้าน ปฏิบัติหน้าที่ประธานสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ได้เป็นประธานจัดการประชุมใหญ่สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ครั้งที่ 1/2568 โดยมีสมาชิกสมาคมแม่บ้าน ทบ. จากหลากหลายหน่วยเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง เป้าหมายสำคัญของการประชุมครั้งนี้ไม่เพียงเพื่อแนะนำตัวสมาชิกใหม่และกระชับความสัมพันธ์ในกลุ่มเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเวทีสื่อสารแนวนโยบายและทิศทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับพันธกิจของสมาคมแม่บ้านกองทัพบกส่วนกลาง สะท้อนบทบาทของสตรีในฐานะกำลังเสริมสำคัญของกองทัพและครอบครัว

ขับเคลื่อนงานแม่บ้านตามนโยบาย เสริมสร้างความสามัคคีในกลุ่ม

พันโทหญิง เยาวเรศ ชูก้าน ได้กล่าวเน้นย้ำในที่ประชุมว่า สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 จะดำเนินภารกิจโดยยึดหลักความร่วมมือและความสามัคคีระหว่างสมาชิก เน้นการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับนโยบายจากสมาคมแม่บ้าน ทบ. ส่วนกลาง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับกำลังพลและครอบครัว รวมถึงขยายผลไปสู่ชุมชนโดยรอบ ตลอดจนให้ความสำคัญกับบทบาทของแม่บ้านในฐานะ “กำลังใจ” และ “ที่ปรึกษา” ในชีวิตครอบครัวทหาร

เสริมสร้างศักยภาพอาชีพ สร้างรายได้มั่นคง ลดรายจ่ายครัวเรือน

หลังการประชุม สมาชิกสมาคมแม่บ้านฯ ได้ร่วมกันเยี่ยมชมมุมกาแฟและโซนจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และอาชีพเสริม “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้” ให้กับครอบครัวกำลังพล โดยมีการนำสินค้าหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นงานหัตถกรรม อาหารแปรรูป และสินค้าแฟชั่น ซึ่งเกิดจากฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ของสมาชิกแม่บ้านมาจัดแสดง

พันโทหญิง เยาวเรศ ได้ให้ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์กับสมาชิกในการนำสินค้าเข้าสู่ตลาดยุคใหม่ ด้วยการใช้ช่องทางออนไลน์และสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์ออฟฟิเชียล หรือแม้แต่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้สินค้าสามารถเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น พร้อมสนับสนุนให้มีการปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย ตอบโจทย์ตลาด เพื่อเพิ่มมูลค่าและยอดขายให้กับครอบครัวกำลังพล

สร้างเครือข่ายแม่บ้าน เข้มแข็งและยั่งยืน

การประชุมในครั้งนี้นอกจากจะเน้นด้านเศรษฐกิจครัวเรือนแล้ว ยังเป็นเวทีเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างสมาชิกแม่บ้านจากหน่วยต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สนับสนุนซึ่งกันและกัน และขับเคลื่อนกิจกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจ ช่วยเติมเต็มคุณภาพชีวิตของครอบครัวทหาร พร้อมเปิดกว้างในการรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อนำไปพัฒนาการดำเนินงานต่อไป

พลังสตรีกับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจฐานราก

การดำเนินงานของสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 สะท้อนความสำคัญของสตรีในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากผ่านกิจกรรมเสริมรายได้ และสร้างความแข็งแกร่งของครอบครัวกำลังพล การสนับสนุนให้สมาชิกก้าวสู่ตลาดออนไลน์จึงเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และสร้างโอกาสใหม่ให้กับสินค้าและบริการในชุมชนทหาร ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัดเชียงรายในระยะยาว

พ.ท.หญิง เยาวเรศ ชูก้าน ปฏิบัติหน้าที่ ประธานสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37
  • กองประชาสัมพันธ์ กองทัพบก
  • บก.มณฑลทหารบกที่ 37
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ธนาคารที่ดินเชียงราย หนุนเกษตรกร ยกระดับวิสาหกิจชุมชน

ธนาคารที่ดิน” ลงพื้นที่เชียงราย หนุนเกษตรกร ยกระดับวิสาหกิจชุมชน

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 นายศรัณยสันฑ์ วีรกุลสุนทร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) นำโดยนายกุลพัชร ภูมิใจอวด ผู้อำนวยการสถาบันฯ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายเพื่อตรวจติดตามการดำเนินงานของ “ธนาคารที่ดิน” และพบปะเกษตรกรในพื้นที่ โดยมีนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยส่วนราชการในพื้นที่ร่วมต้อนรับ

ตรวจเยี่ยมวิสาหกิจชุมชนศาสตร์พระราชา

ทีมงานได้เข้าตรวจเยี่ยมวิสาหกิจชุมชนศาสตร์พระราชาวัดพุทธอุทยานดอยอินทรีย์ ตำบลดอยฮาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีเกษตรกรจำนวน 64 ครัวเรือน บนพื้นที่ทั้งหมด 84 ไร่ ที่นี่ถือเป็นชุมชนต้นแบบในการพัฒนาที่ดินและการดำเนินชีวิตตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นายศรัณยสันฑ์ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและยินดีที่ได้เห็นความสำเร็จของโครงการดังกล่าว ซึ่งได้ช่วยเหลือเกษตรกรและขยายโอกาสในการพัฒนาพื้นที่เพื่อความยั่งยืน

โมเดลแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน

นายศรัณยสันฑ์ ระบุว่า การบริหารจัดการที่ดินในรูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่ธนาคารที่ดินดำเนินการ ถือเป็นโมเดลสำคัญที่สามารถนำไปปรับใช้ในพื้นที่อื่นทั่วประเทศ เพื่อให้เกษตรกรและผู้ยากจนได้มีสิทธิในที่ดินทำกิน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาล โดยเน้นการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

ขยายผลและสร้างความยั่งยืน

นายกุลพัชร ภูมิใจอวด ผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ธนาคารที่ดินมุ่งมั่นขยายโครงการให้ครอบคลุมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทั่วประเทศ เพื่อกระจายการถือครองที่ดินอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับเกษตรกร และส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง ทั้งนี้ ขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่สนับสนุนและผลักดันให้โครงการเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ

การสนับสนุนจากทุกภาคส่วน

การดำเนินงานในพื้นที่เชียงรายได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน รวมถึงการบูรณาการกับหน่วยงานท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชน โดยเน้นการส่งเสริมผลิตภัณฑ์เกษตร ยกระดับสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าทางการตลาด และเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียม

ฝากถึงทุกหน่วยงาน

นายศรัณยสันฑ์ ทิ้งท้ายว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และขอฝากทุกหน่วยงานช่วยกันสนับสนุนธนาคารที่ดิน เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีของการแก้ไขปัญหาและสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในพื้นที่ชนบท.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

Chiangrai Good & Food Security สร้างความมั่นคงอาหารชุมชน

เชียงรายจัดกิจกรรม “Chiangrai Good & Food Security” ต้นแบบความมั่นคงทางอาหารตามแนวพระราชดำริ

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย (พช.เชียงราย) ร่วมกับ แม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย และ แม่บ้านตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย จัดกิจกรรม “Chiangrai Good & Food Security” เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารตามแนวพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ในงานครั้งนี้ นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย/ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ได้นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย 7 หน่วยงานร่วมจัดกิจกรรม โดยเน้นการสร้างต้นแบบที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความมั่นคงทางอาหารในชุมชน

น้อมนำแนวพระราชดำริสู่การปฏิบัติจริง

กิจกรรมในครั้งนี้ได้แสดงถึงการน้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า สู่การปฏิบัติจริงผ่านโครงการ “KICK OFF ผู้นำต้องทำก่อน” โดยเริ่มต้นจากการปลูกผักสวนครัว ผักพื้นถิ่น พืชสมุนไพร และไม้ผลอย่างน้อย 30 ชนิด เพื่อต่อยอดเป็นต้นแบบให้ประชาชนในจังหวัดเชียงรายได้เรียนรู้และนำไปใช้ในครัวเรือน

เป้าหมายเพื่อความมั่นคงทางอาหารและการพึ่งพาตนเอง

กิจกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ และสถานการณ์โรคระบาด ตลอดจนส่งเสริมความรักและความสามัคคีในชุมชน

นอกจากนี้ การดำเนินการยังสอดคล้องกับกรอบแนวคิด “ปรับเปลี่ยนดี ชีวีมีสุข (Change for 5G)” ของกระทรวงมหาดไทย ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2563 โดยมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืน ยุติความหิวโหย และสร้างชุมชนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานราชการและประชาชนในจังหวัดเชียงราย โดยมีการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการพึ่งพาตนเองตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง

เยี่ยมชมโครงการตำรวจพันธุ์ดี และมอบเมล็ดพันธุ์

ภายหลังจากกิจกรรม ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัด คณะผู้จัดงานได้เดินทางไปยัง โครงการตำรวจพันธุ์ดี สนามยิงปืน นปพ. บ้านหัวดอย ตำบลท่าสาย อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อมอบเมล็ดพันธุ์และกล้าผัก พร้อมร่วมปลูกผักสวนครัวในพื้นที่

กิจกรรมดังกล่าวได้รับการนำทีมโดย แพทย์หญิงทรงพร เสนากูล ประธานแม่บ้านตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ซึ่งแสดงถึงความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

จุดเริ่มต้นของการพัฒนาอย่างยั่งยืน

กิจกรรม “Chiangrai Good & Food Security” ครั้งนี้เป็นตัวอย่างของการบูรณาการความร่วมมือในระดับจังหวัด โดยไม่เพียงแต่ช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหาร แต่ยังส่งเสริมความสามัคคีในชุมชน และช่วยให้ประชาชนในเชียงรายเห็นถึงคุณค่าของการพึ่งพาตนเองและการดูแลสิ่งแวดล้อม

ข้อมูลสำคัญของกิจกรรม

  • เป้าหมาย: ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารและการพึ่งพาตนเอง
  • พื้นที่ดำเนินการ: จังหวัดเชียงราย
  • แนวทางการปฏิบัติ: การปลูกผักสวนครัว ผักพื้นถิ่น พืชสมุนไพร และไม้ผล

กิจกรรมนี้สะท้อนถึงพระราชดำริในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และสร้างความพร้อมสำหรับอนาคตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ

ศอ.จอส.พระราชทาน มทบ.37 จัดกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลา 15.30 น. ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน (ศอ.จอส.) มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) จัดกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2567

โดยมี พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้อำนวยการ ศอ.จอส.พระราชทาน มทบ.37 เป็นประธาน พร้อมด้วย ดร.ธาราทิพย์ วงษ์บรรณะ ประธานสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 นำกำลังพลจิตอาสาพระราชทานจาก มทบ.37, โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช, หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร (นฝ.นศท.) มทบ.37, ผศ.ช.ร., คณะครู และนักเรียนจากโรงเรียนอนุบาลกองทัพบกอุปถัมภ์บริบูรณ์ธนวัฒน์ ร่วมกันดำเนินกิจกรรม ณ ศูนย์การเรียนรู้โครงการทหารพันธุ์ดี ค่ายเม็งรายมหาราช

น้อมนำศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

กิจกรรมในครั้งนี้น้อมนำ ศาสตร์พระราชา และหลักการ เกษตรทฤษฎีใหม่ มาใช้ในการบริหารจัดการพื้นที่การเกษตร โดยจัดทำ แปลงนาสาธิต สำหรับให้ความรู้แก่กำลังพล นักเรียน ส่วนราชการ และประชาชนทั่วไป ภายใต้แนวคิด “เรียนรู้จากผืนนา ในศาสตร์พระราชา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”

ในกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” ผู้ร่วมงานได้ร่วมกันปลูกข้าวในแปลงนาสาธิตที่จัดเตรียมไว้ เพื่อสานต่อความตั้งใจของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเกษตรกรรมและความพอเพียง

สร้างความร่วมมือหลากหลายภาคส่วน

กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ทั้งกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน ครูและนักเรียน ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ โดยเน้นย้ำความสำคัญของการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความยั่งยืนในการพัฒนาเกษตรกรรม

สืบสานพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9

พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน กล่าวในพิธีว่า กิจกรรมครั้งนี้เป็นการสืบสานพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมุ่งมั่นพัฒนาประเทศบนพื้นฐานของความพอเพียงและการพึ่งพาตนเอง พร้อมทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังเห็นถึงความสำคัญของการเกษตร

กิจกรรมดังกล่าวยังมุ่งหวังให้ผู้ร่วมงานทุกคนตระหนักถึงคุณค่าของการทำการเกษตรและการพึ่งพาตนเอง และพร้อมที่จะน้อมนำแนวทางที่ได้เรียนรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนและประเทศชาติ

ทั้งนี้ ศอ.จอส.พระราชทาน มทบ.37 ขอเชิญชวนประชาชนและผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ ณ ศูนย์การเรียนรู้โครงการทหารพันธุ์ดี ค่ายเม็งรายมหาราช เพื่อร่วมกันน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและสานต่อพระราชปณิธานในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายมอบโค-กระบือกว่า 1,600 ตัว สร้างอาชีพยั่งยืนให้เกษตรกร

จังหวัดเชียงรายจัดพิธีมอบกรรมสิทธิ์และไถ่ชีวิตโค-กระบือกว่า 1,600 ตัว มูลค่ากว่า 55 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอแม่ลาว ตำบลป่าก่อดำ อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีมอบกรรมสิทธิ์และไถ่ชีวิตโค-กระบือ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมี นายรุ่งโรจน์ ตันวุฒิ นายอำเภอแม่ลาว เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายพืชผล น้อยนาฝาย ปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย กล่าวรายงาน และผู้แทนจากหน่วยงานราชการ หัวหน้าส่วนราชการ เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ และประชาชนในพื้นที่ร่วมงานอย่างคับคั่ง

ความสำคัญของโครงการมอบกรรมสิทธิ์โค-กระบือ

พิธีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริ ซึ่งริเริ่มโดย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 โดยกรมปศุสัตว์เป็นหน่วยงานหลักที่รับสนองพระราชดำริ โครงการนี้มุ่งช่วยเหลือเกษตรกรให้มีโค-กระบือไว้ใช้แรงงานในไร่นา และเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร

สำหรับในปีนี้ จังหวัดเชียงรายได้มอบกรรมสิทธิ์และไถ่ชีวิตโค-กระบือจำนวน 1,642 ตัว โดยแบ่งเป็นโคจำนวน 1,173 ตัว และกระบือจำนวน 469 ตัว รวมมูลค่ากว่า 55,217,750 บาท

รายละเอียดและเป้าหมายของโครงการ

การดำเนินงานครั้งนี้มุ่งช่วยเหลือเกษตรกรที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขโครงการเป็นกรณีพิเศษ ได้แก่ เกษตรกรที่ส่งคืนลูกตัวแรกให้กับโครงการ และอยู่ในสัญญามาไม่น้อยกว่า 3 ปี จำนวน 796 ราย โดยโค-กระบือที่ได้รับมอบกรรมสิทธิ์ในครั้งนี้ จะถูกนำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ เช่น

  • ใช้แรงงานในไร่นา
  • การผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากมูลสัตว์
  • การทำแก๊สชีวภาพ
  • การอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น

ผลสำเร็จและการต่อยอดโครงการ

จากการดำเนินงานที่ผ่านมา โครงการธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริ ได้ช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดเชียงรายมากกว่า 6,000 ราย โดยปัจจุบันยังมีเกษตรกรในความดูแลของโครงการกว่า 2,000 ราย โครงการนี้ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาความยากจนของเกษตรกร แต่ยังส่งเสริมการใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงควบคู่กับการบูรณาการการทำงานในพื้นที่ สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนเกษตรกร

แนวทางการดำเนินงานในอนาคต

กรมปศุสัตว์ยังคงมุ่งเน้นการทำงานร่วมกับชุมชน ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มเพื่อบริหารจัดการโครงการให้มีความยั่งยืน โดยเน้นการใช้ทรัพยากรในพื้นที่อย่างคุ้มค่า พร้อมสนับสนุนกิจกรรมที่เสริมสร้างรายได้ เช่น การขายปุ๋ยจากมูลสัตว์ และการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากโค-กระบือ

สรุป

การมอบกรรมสิทธิ์และไถ่ชีวิตโค-กระบือในครั้งนี้ เป็นการแสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีต่อเกษตรกรไทย และสะท้อนถึงความสำคัญของโครงการธนาคารโค-กระบือ ที่ช่วยส่งเสริมการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน และพัฒนาชุมชนให้มีความมั่นคงในทุกมิติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กองทัพบกหนุนเพาะเลี้ยง ‘ผำ’ พืชโปรตีนสูง ตอบโจทย์เศรษฐกิจพอเพียง

ทหารพันธุ์ดีค่ายสุรศักดิ์มนตรี ผลิต “ผำ” โปรตีนสูง ตอบโจทย์เศรษฐกิจพอเพียง

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 พลตรีวิชาญ ศรีภัทรางกูร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 ได้เปิดเผยถึงโครงการทหารพันธุ์ดีค่ายสุรศักดิ์มนตรี จังหวัดลำปาง ซึ่งดำเนินการผลิต “ผำ” หรือที่รู้จักในชื่อไข่น้ำ พืชโปรตีนสูง เพื่อเป็นแหล่งอาหารคุณภาพและสนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียงในระดับชุมชน โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ และกองทัพภาคที่ 3 โดยมีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเป็นองค์ประธานในการริเริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2559

เป้าหมายโครงการเพื่อชุมชนเข้มแข็ง

โครงการทหารพันธุ์ดี มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้าราชการทหารและทหารกองประจำการที่สนใจด้านการเกษตร ได้เรียนรู้กระบวนการผลิตอาหารที่ปลอดภัย รวมถึงการปลูกผัก การปศุสัตว์ และการประมง นอกจากจะเป็นแหล่งอาหารสำรองในกรณีเกิดภัยพิบัติแล้ว ยังส่งเสริมการผลิตเมล็ดพันธุ์สะสมไว้พระราชทานแก่ราษฎรทั่วไป และช่วยลดปัญหาหนี้สินของกำลังพลในระยะยาว

ในปีนี้ ค่ายสุรศักดิ์มนตรี ได้เพิ่มความหลากหลายด้วยการเพาะเลี้ยง “ผำ” พืชน้ำโปรตีนสูงที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะวิตามินบี 12 ซึ่งพบได้ยากในพืชชนิดอื่น “ผำ” มีการเจริญเติบโตเร็วและเพาะเลี้ยงง่ายในระบบปิดด้วยปุ๋ยน้ำไฮโดรโปนิกส์ โครงการนี้ยังส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

“ผำ” พืชโปรตีนสูง เพื่อความยั่งยืน

“ผำ” หรือไข่น้ำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Wolffia ถูกนำมาใช้เป็นแหล่งโปรตีนทดแทนในอาหารเนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การเพาะเลี้ยง “ผำ” ในระบบปิดช่วยให้ได้ผลผลิตที่สะอาดและปลอดภัย นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ เช่น สมูทตี้ผำ ผำอบแห้ง หรือผำในซอสปรุงรส ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด

กองทัพพร้อมช่วยเหลือประชาชน

พลตรีวิชาญ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า กองทัพภาคที่ 3 มีความพร้อมในการสนับสนุนประชาชนในทุกด้าน โดยเฉพาะการสร้างแหล่งอาหารและเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ประกอบด้วยการสนับสนุนยุทโธปกรณ์ กำลังพล และความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ

สำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับการเพาะเลี้ยง “ผำ” สามารถติดต่อโครงการทหารพันธุ์ดี ค่ายสุรศักดิ์มนตรี ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 095-4511343

โครงการนี้ไม่เพียงตอบโจทย์การพึ่งพาตนเอง แต่ยังเสริมสร้างความยั่งยืนและความมั่นคงในชุมชนอย่างแท้จริง นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุดในรูปแบบเศรษฐกิจพอเพียง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE