Categories
WORLD PULSE

เวียดนามพุ่งทะลุเป้า! เครื่องยนต์ไฮเทคขับเคลื่อน GDP แซงไทยผู้นำภูมิภาค

เศรษฐกิจเวียดนามผงาด เครื่องยนต์ไฮเทคขับเคลื่อนทะลุเป้า ส่งออกโตกระฉูด ‘แซงไทย’ พร้อมก้าวขึ้นแท่นผู้นำภูมิภาค”

ฮานอย เวียดนาม, 7 กรกฎาคม 2568 –Reporter Journey รายงานว่าการผงาดขึ้นของเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2025 กลายเป็นประเด็นจับตาของทั้งภูมิภาคอาเซียนและเศรษฐกิจโลก หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO) เผยตัวเลขไตรมาส 2 ปี 2025 ว่า GDP เวียดนามขยายตัวสูงถึง 7.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่ GDP ไตรมาสแรกอยู่ที่ 6.93% ถือเป็นอัตราเติบโตที่สูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน สะท้อนถึงพลังการขับเคลื่อนของภาคอุตสาหกรรมและส่งออกซึ่งเป็น “เครื่องยนต์หลัก” ของเวียดนาม

ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก เบื้องหลังสถิติที่น่าทึ่ง

รายงานล่าสุดระบุว่า มูลค่าการส่งออกของเวียดนามในช่วงไตรมาส 2 ปี 2025 พุ่งขึ้น 18.0% อยู่ที่ 117,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้าขยายตัว 18.8% อยู่ที่ 112,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้เวียดนามยังคงรักษาสถานะ “เกินดุลการค้า” ได้ถึง 4,410 ล้านดอลลาร์ สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพการแข่งขันของสินค้าเวียดนามในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญ ภาคการผลิต ขยายตัวถึง 10.3% ในไตรมาสเดียวกัน สวนกระแสความท้าทายทางเศรษฐกิจโลกในยุคหลังโควิด-19 และวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์

พระเอกของเกม อุตสาหกรรมไฮเทค-เซมิคอนดักเตอร์และบทบาทต่างชาติ

จุดเปลี่ยนสำคัญของเวียดนามในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คือการยกระดับภาคการผลิตให้เข้าสู่อุตสาหกรรมไฮเทคและเซมิคอนดักเตอร์ บริษัทข้ามชาติรายใหญ่ เช่น Samsung ได้ตั้งโรงงานขนาดใหญ่ในเวียดนามจนปัจจุบันมือถือ Samsung กว่า 60% ที่จำหน่ายทั่วโลก ผลิตจากเวียดนาม ขณะที่ Apple ก็ขยับฐานการผลิต iPhone และ iPad จากจีนมายังเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ เช่น Foxconn, Nvidia, Intel ต่างเข้ามาตั้งโรงงานเพื่อผลิตไมโครชิปและชิ้นส่วนส่งออกไปตลาดโลก ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกปี 2024 ของเวียดนามพุ่งแตะ 403,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตสูงถึง 13.8% แซงหน้าประเทศไทยซึ่งมีมูลค่าการส่งออกในปีเดียวกันที่ 305,529 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพียง 5.4% ชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมมูลค่าสูงของเวียดนาม

จุดเปลี่ยนสำคัญ สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้า หนุนการค้าเวียดนามสู่โลก

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเวียดนามไม่ได้เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการภายในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายนอกที่สำคัญ เช่น ข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาในการ ลดภาษีนำเข้าสินค้าเวียดนามจาก 46% เหลือเพียง 20% ขณะที่สินค้าจากประเทศอื่นยังเสียภาษีถึง 40% นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังอนุญาตให้ส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดเวียดนามโดยไม่เสียภาษีอีกด้วย

นักวิเคราะห์เศรษฐกิจประเมินว่าข้อตกลงนี้เปรียบเสมือน “ใบเบิกทาง” ให้ภาคธุรกิจเวียดนามขยายตลาดไปยังสหรัฐฯ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และไฮเทค ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของเวียดนามอยู่แล้ว สะท้อนจากสถิติปี 2024 ที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับเวียดนามถึง 123,000 ล้านดอลลาร์ สูงสุดในประวัติการณ์

รายได้ต่อหัวพุ่งแรง เวียดนามแคบช่องว่างกับไทย-อินโดนีเซีย

ผลพวงจากการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจเชิงรุก ทำให้ รายได้ต่อหัว (GNI per capita) ของชาวเวียดนามในปี 2025 ขยับขึ้นเป็น 4,806 ดอลลาร์/ปี (จาก 4,540 ดอลลาร์ในปี 2024) ใกล้เคียงกับอินโดนีเซียซึ่งอยู่ที่ 5,027 ดอลลาร์/ปี และเป็นอัตราการเติบโตของรายได้ประชาชาติที่เร็วที่สุดในอาเซียน

เทียบกับไทย แม้ว่ารายได้ต่อหัวของไทยในปี 2025 จะคาดว่าอยู่ที่ 7,766.7 ดอลลาร์/ปี แต่แนวโน้มการแคบช่องว่างชัดเจน เมื่อรายได้ต่อหัวเวียดนามคิดเป็น 62% ของไทย และยังมีแนวโน้มเติบโตเร็วกว่าหลายประเทศในภูมิภาคนี้

การวิเคราะห์โอกาสและความท้าทายข้างหน้า

ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ

  • นโยบายดึงดูด FDI เชิงรุก: เวียดนามตั้งเป้าเป็น “ศูนย์กลางการผลิตโลกใหม่” ด้วยแพ็กเกจจูงใจด้านภาษี สิทธิประโยชน์ทางธุรกิจ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
  • แรงงานคุณภาพ-ค่าแรงแข่งขัน: เวียดนามมีแรงงานหนุ่มสาวจำนวนมาก ต้นทุนค่าแรงต่ำแต่ศักยภาพสูง ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
  • ความคล่องตัวของรัฐบาล: รัฐบาลเวียดนามบริหารจัดการเชิงรุก มีความยืดหยุ่นสูงในการรับมือวิกฤต

ความท้าทายที่ต้องระวัง

  • ความเหลื่อมล้ำและค่าแรง: แม้ภาพรวมเศรษฐกิจเติบโตแต่ยังมีช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบท และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้
  • แรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์: การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างจีน-สหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของเวียดนามในอนาคต
  • สิ่งแวดล้อมและสังคม: อุตสาหกรรมไฮเทคสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ
  • ทักษะแรงงานในอนาคต: เวียดนามจำเป็นต้องลงทุนในการพัฒนาแรงงานทักษะสูงและการศึกษา เพื่อรองรับอุตสาหกรรมมูลค่าสูง

เวียดนามกำลังกลายเป็น “ดาวรุ่ง” แห่งเศรษฐกิจเอเชีย

กรณีศึกษาของเวียดนามในไตรมาส 2 ปี 2025 สะท้อน “ยุทธศาสตร์เชิงรุก” ของรัฐบาลในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้รองรับโลกใหม่ได้อย่างคล่องตัว ไม่เพียงแต่ยึดครองตลาดอิเล็กทรอนิกส์และไฮเทคระดับโลก แต่ยังขยับรายได้ประชาชาติต่อหัวแซงหน้าประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาค เป็นบทเรียนสำคัญว่าประเทศขนาดกลางก็สามารถ “ผงาดขึ้น” ได้ถ้าปรับตัวทันต่อเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO)
  • ธนาคารโลก (World Bank)
  • ข้อมูลประกอบจากสำนักข่าวระดับนานาชาติ เช่น Nikkei Asia, Reuters, VnExpress, BBC Vietnamese
  • วิเคราะห์โดยทีมข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ททท.เผยข่าวดี นักท่องเที่ยวมาเลเซียพุ่ง แซงจีนนำตลาดไทย

ททท. เผยตลาดท่องเที่ยวสัญญาณดี นักท่องเที่ยวยุโรป-ตะวันออกกลางเติบโตสูง มาเลเซียแซงจีน ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งต่างชาติเที่ยวไทย

ประเทศไทย, 15 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์ท่องเที่ยวไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติในตลาดศักยภาพสูง ล่าสุด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานสถิติและแนวโน้มเชิงบวก ทั้งในด้านจำนวนและคุณภาพของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยช่วงต้นปี 2568 ถึงเดือนมิถุนายน โดยพบว่าตลาดนักท่องเที่ยวจากยุโรปและตะวันออกกลาง มีอัตราเติบโตอย่างโดดเด่น สะท้อนโอกาสและศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในช่วง Green Season

มาเลเซียแซงจีน ขึ้นแท่นนักท่องเที่ยวเบอร์หนึ่ง

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยถึงแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงวันที่ 1-9 มิถุนายน 2568 ว่า ตลาดมาเลเซียได้เปลี่ยนสถานะเป็นประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยสูงสุด แซงหน้าตลาดจีนที่เคยครองอันดับหนึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยช่วงต้นเดือนมิถุนายน นักท่องเที่ยวมาเลเซียเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นถึง 13.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สะท้อนศักยภาพของการเดินทางข้ามแดนและความเชื่อมั่นในแหล่งท่องเที่ยวไทย

ยุโรปและตะวันออกกลาง “ขาขึ้น” ตลาดคุณภาพกำลังซื้อสูง

นอกจากตลาดเอเชียใกล้บ้านแล้ว ททท.ยังเปิดเผยสัญญาณบวกจากตลาดยุโรป ซึ่งโดยรวมเติบโตขึ้น 13% จากปีก่อน โดยเฉพาะตลาดเยอรมนีที่มีการขยายตัวสูงถึง 71% อิตาลีโต 28% สวิตเซอร์แลนด์ 24% เช่นเดียวกับตลาดตะวันออกกลางที่กำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว พบการเติบโตถึง 55% โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย (+61%) โอมาน (+54%) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (+51%) อิสราเอล (+32.49%) รวมถึงตลาดฟิลิปปินส์ (+24%) ซึ่งถือเป็นตลาดดาวรุ่งที่น่าจับตา

สถิติยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 15 ล้านคน

ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 9 มิถุนายน 2568 ระบุว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว 15,543,344 คน โดยในจำนวนนี้ ตลาดหลักที่มีการเติบโตสูงต่อเนื่อง ได้แก่

  • อินเดีย 1,042,304 คน (+15.4%)
  • รัสเซีย 983,579 คน (+12.96%)
  • สหราชอาณาจักร 531,030 คน (+19.3%)
  • สหรัฐอเมริกา 492,659 คน (+10.2%)
  • เยอรมนี 476,356 คน (+11.82%)
  • ญี่ปุ่น 462,647 คน (+9.94%)
  • ฝรั่งเศส 429,516 คน (+19.27%)
  • ออสเตรเลีย 350,851 คน (+14.67%)

สำหรับกลุ่มตลาดศักยภาพขนาดกลางที่เติบโตอย่างโดดเด่น เช่น

  • อิสราเอล 165,602 คน (+74.65%)
  • อิตาลี 136,209 คน (+28.45%)
  • แคนาดา 134,095 คน (+7.12%)
  • โปแลนด์ 120,944 คน (+31.07%)
  • เนเธอร์แลนด์ 119,992 คน (+12.69%)
  • สวีเดน 117,434 คน (+10.47%)

ปัจจัยหนุนกระแส “เที่ยวไทย” ให้โตต่อเนื่อง

ความสำเร็จนี้สะท้อนจากการดำเนินนโยบายส่งเสริมตลาดท่องเที่ยวเชิงรุก ทั้งการกระจายตลาดออกนอกกลุ่มหลักเดิม การจัดแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยว Green Season การพัฒนาเส้นทางบินตรงใหม่ๆ และการขยายกิจกรรมและแหล่งท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ทั้งตลาดกำลังซื้อสูงและกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ นอกจากนี้ การเพิ่มความสะดวกในด้านวีซ่า มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม ตลอดจนความร่วมมือกับสายการบินและพันธมิตรในอุตสาหกรรม ได้ช่วยหนุนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างชัดเจน

จับตาตลาด “ขุมทอง” ใหม่ ดึงรายได้สู่เศรษฐกิจท่องเที่ยวไทย

ททท. มองว่า การเปลี่ยนแปลงของตลาดสำคัญ เช่น การที่มาเลเซียก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แทนจีน และตลาดยุโรป-ตะวันออกกลางเติบโตโดดเด่น จะเป็นโอกาสสำคัญในการกระจายรายได้สู่ภูมิภาคต่างๆ ของไทย โดยเฉพาะตลาดคุณภาพสูงที่เน้นการใช้จ่ายกับประสบการณ์พิเศษ กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

บทวิเคราะห์และแนวโน้มในอนาคต

จากการเติบโตของกลุ่มตลาดศักยภาพในยุโรปและตะวันออกกลาง ททท. ประเมินว่านโยบายการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง และการรักษาความปลอดภัยควบคู่ไปกับมาตรการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง จะเป็นหัวใจในการรักษาแรงส่งของตลาดระยะยาว ขณะเดียวกันยังต้องปรับตัวรับความท้าทายจากตลาดจีนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด และเฝ้าระวังความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลกอย่างใกล้ชิด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
  • สำนักข่าวไทย
  • รายงานสถิติการท่องเที่ยว 2568 (อัปเดต 15 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

“งบกลาง” 1.2 แสนล้าน โปร่งใสไร้คอร์รัปชัน?

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ เตือนรัฐ! “งบกลาง” เสี่ยงทุจริตสูง จี้ออกมาตรการสร้างโปร่งใสด่วน

ประเทศไทย, 4 มิถุนายน 2568 – ในช่วงที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 โดยมีการจัดสรร “งบกลาง” วงเงินมหาศาลกว่า 6.32 แสนล้านบาท องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้ออกโรงเตือนภัยสังคมผ่านบทความและสื่อโซเชียล ถึงความเสี่ยง “สูงมาก” ต่อการทุจริต การใช้จ่ายไม่คุ้มค่า และความไม่โปร่งใส โดยเน้นย้ำว่ารัฐบาลควรเร่งปฏิรูปมาตรการกำกับดูแลงบกลางให้เกิดความโปร่งใส พร้อมเสนอแนะแนวทางที่ควรเร่งดำเนินการ ก่อนที่ปัญหาการใช้จ่ายงบประมาณโดยไร้ประสิทธิภาพจะกลายเป็นวิกฤตซ้ำรอยอดีต

งบกลาง” กับกับดักคอร์รัปชัน จุดเปราะบางของงบประมาณแผ่นดิน

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้เผยแพร่บทความเตือนภัยสังคมผ่านเพจทางการ โดยเน้นย้ำถึงความอ่อนไหวของ “งบกลาง” ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งมีวงเงินสูงถึง 1.23 แสนล้านบาทในปีงบประมาณ 2569 และยังมีงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 มูลค่า 1.57 แสนล้านบาทเพิ่มเข้ามาอีก

งบกลาง” กลายเป็นแหล่งงบประมาณที่ง่ายต่อการอนุมัติ ใช้จ่ายโดยไม่ต้องมีแผนล่วงหน้า โครงการส่วนใหญ่มักข้ามขั้นตอนตรวจสอบของรัฐสภา และให้อำนาจดุลพินิจกับฝ่ายบริหารโดยตรง โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี นำไปสู่การใช้จ่ายที่ขาดความโปร่งใส มีโอกาสสูงที่จะเกิดการบิดเบือนและทุจริต” นายมานะระบุ

3 ปัจจัยเสี่ยง งบกลางไทยทำไม “โกงง่าย”

  1. ความยืดหยุ่นสูง ขาดแผนล่วงหน้า
    งบกลางไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียดโครงการล่วงหน้า อนุมัติได้ง่ายและรวดเร็ว โครงการที่ผ่านมักไม่ได้เข้าสู่การกลั่นกรองหรือตรวจสอบโดยรัฐสภาเหมือนงบประมาณปกติ
  2. ดุลพินิจสูง อยู่ในมือผู้มีอำนาจ
    แม้กฎหมายจะกำหนดให้เสนอผ่าน ครม. แต่ในทางปฏิบัติ การตัดสินใจส่วนใหญ่อยู่ในดุลพินิจของนายกรัฐมนตรีและพรรคการเมืองหลัก เปิดช่องให้เกิดการจัดสรรงบประมาณตามผลประโยชน์กลุ่มหรือพวกพ้อง
  3. ข้ออ้างฉุกเฉิน เปิดช่องจัดซื้อพิเศษ
    การอ้าง “ภาวะฉุกเฉิน” หรือ “เร่งด่วน” ทำให้สามารถจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษได้ง่ายขึ้น ลดระยะเวลาตรวจสอบ เพิ่มโอกาสหลบเลี่ยงมาตรฐานความโปร่งใส

ตัวอย่างเช่น งบกลางฉุกเฉินในอดีตเคยถูกนำไปใช้ในโครงการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ งบป้องกันไฟป่า ตลอดจนงบราชการลับหรือโครงการเล็กๆ ที่ไม่มีผู้ติดตาม เช่น ขุดลอกคูคลอง หรือปลูกต้นไม้ ซึ่งล้วนมีความเสี่ยงในการถูกใช้ผิดวัตถุประสงค์

บทเรียนอดีต งบกลางกับคดีทุจริต

ในอดีตเคยมีโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรมวงเงิน 2,000 ล้านบาท ซึ่งอนุมัติจากงบกลางและกระจายไปให้มหาวิทยาลัย 4 แห่งในภาคอีสาน ปัจจุบันกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกำลังถูกดำเนินคดีโดยดีเอสไอ หลังพบพฤติกรรมทุจริตและใช้เงินผิดวัตถุประสงค์

ไม่เพียงเท่านี้ การใช้งบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2569 จำนวน 1.57 แสนล้านบาท ยังตกอยู่ภายใต้ข้อสังเกตว่าอาจถูกเร่งรัดโดยขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบ หลายโครงการถูกนำเสนอเพราะถูกตัดทิ้งจากการพิจารณางบประมาณปกติหรือเป็น “โครงการแฟ้มเก่า” ที่ถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่ จึงมีแนวโน้มสูงว่าจะเป็นโครงการที่ฟุ่มเฟือย ไม่ตรงกับภารกิจหน่วยงาน หรือไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

ตัวอย่างที่ถูกตั้งคำถาม เช่น งบ 50 ล้านบาทในจังหวัดระยอง สำหรับสร้างซุ้มตรวจการและรั้ว หรือการติดตั้งเสาไฟในถนนสายรองที่ขาดความจำเป็นในเชิงยุทธศาสตร์

มาตรการกำกับดูแลที่ควรเร่งดำเนินการ

นายมานะ นิมิตรมงคล เสนอแนะแนวทางแก้ไขไว้ว่า

  • รัฐบาลต้องกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน กำกับทุกโครงการที่ใช้งบกลางว่าเป็นไปตาม “ความจำเป็นจริง”
  • เปิดเผยทุกขั้นตอนต่อสาธารณะ ให้สื่อและประชาชนเข้าตรวจสอบได้เสรีและทันที
  • ต้องมีระบบประเมินผลหลังการใช้จ่าย ให้ชัดเจนว่าตรงวัตถุประสงค์ มีประสิทธิภาพและโปร่งใส
  • หากเกิดทุจริตต้องมีการเอาผิดอย่างเด็ดขาด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในสังคม

ความโปร่งใสคือคำตอบ

ปัญหางบกลางมิใช่เพียงเรื่องทุจริตเชิงระบบ หากแต่เกี่ยวพันกับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาล การใช้งบกลางที่ขาดโปร่งใสไม่เพียงทำลายระบบราชการ ยังบั่นทอนศรัทธาต่อรัฐไทยทั้งระบบ การปฏิรูประบบงบประมาณกลางให้โปร่งใส ตรวจสอบได้จึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันผลักดัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ACT: www.anticorruption.or.th
  • กรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th
  • สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มะม่วงเชียงรายวิกฤต ราคาดิ่ง เกษตรกรขาดทุนหนัก

วิกฤตราคามะม่วงตกต่ำในรอบหลายปี เกษตรกรเชียงรายขาดทุนหนัก เสียงสะท้อนจากชุมชนถึงภาครัฐ

เชียงราย, 3 มิถุนายน 2568 — เช้าตรู่ในฤดูเก็บเกี่ยวที่ควรจะเต็มไปด้วยความหวังของชาวสวนมะม่วง อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย กลับถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เมื่อมีภาพมะม่วงจำนวนมากถูกนำมาทิ้งข้างทาง เผยให้เห็นอีกด้านของปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเล่นงานเกษตรกรไทยอย่างรุนแรงในปีนี้

จากสวนสู่ข้างทาง จุดเริ่มต้นของวิกฤต

ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านกระแล หมู่ 7 ตำบลแม่เปา ซึ่งเป็นแหล่งปลูกมะม่วงที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ได้พบกับนายปรีชา ลักษณาการ กำนันตำบลแม่เปา ซึ่งเป็นเจ้าของสวนมะม่วงกว่า 200 ไร่ ภายในสวนแห่งนี้ปลูกมะม่วงหลากหลายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำดอกไม้สีทอง โชคอนันต์ อาร์ทูอีทู มหาชนก และแก้วขมิ้น โดยผลผลิตจะถูกส่งไปยังล้ง จุดรับซื้อกลาง มีพ่อค้าแม่ค้าตลาดไทมารับไปขายในตลาดกรุงเทพฯ บ้าง หรือส่งออกไปยังประเทศจีนและมาเลเซีย

ปีนี้กลับกลายเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี ราคามะม่วงร่วงหนักสวนทางกับต้นทุนที่พุ่งสูง ทำให้เกิดภาพเศร้าใจเมื่อเกษตรกรต้องนำมะม่วงที่ตกเกรดหรือมีแมลงวันเจาะมาเททิ้งไว้ข้างถนน ภาพเหล่านี้กลายเป็นประเด็นในโลกโซเชียล สะท้อนวิกฤตการณ์ที่ชาวสวนกำลังเผชิญ

เสียงจากคนทำสวนขายก็ขาดทุน ทิ้งก็เจ็บปวด

นายปรีชาเผยว่า แม้ชาวสวนในพื้นที่จะพยายามควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดด้วยการห่อผลมะม่วงทุกลูก เพื่อป้องกันแมลงและสร้างมาตรฐาน แต่ก็ยังไม่วายประสบปัญหาราคาตกต่ำอย่างหนัก “ปีที่แล้ว มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเกรด A ขายได้ 80 บาท/กก. แต่ปีนี้ลดเหลือแค่ 21-22 บาท/กก. ส่วนมะม่วงแก้วขมิ้นที่กำลังได้รับความนิยม ปีที่แล้วขาย 40 บาท/กก. ปีนี้เหลือแค่ 11-12 บาท/กก. เรียกว่าราคาตกทุกสายพันธุ์” กำนันปรีชากล่าว

สำหรับมะม่วงที่ถูกนำไปทิ้งข้างทาง ส่วนใหญ่มักเป็นมะม่วงตกเกรดหรือถูกแมลงวันเจาะจนขายไม่ได้ “เราเองไม่อยากทิ้ง แต่ตลาดไม่รับซื้อ ราคาก็ตกต่ำมาก” นายปรีชาย้ำ

เศรษฐกิจโลกดิ่ง ต้นทุนสูง กระทบหนักถึงชาวสวนรายย่อย

สาเหตุที่ทำให้ราคามะม่วงตกต่ำในปีนี้ มาจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว มาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐอเมริกา รวมถึงการแข่งขันจากประเทศผู้ผลิตอื่น ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและราคาภายในประเทศโดยตรง

ขณะที่ต้นทุนการผลิต เช่น ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง และค่าจ้างแรงงานเก็บเกี่ยวยังคงสูงไม่เปลี่ยนแปลง หลายคนบ่นกับกำนันว่า ถึงทำงานหนักแค่ไหนแต่ก็แทบไม่มีเงินเหลือ “เราเองก็ต้องให้กำลังใจชาวสวน ว่าถึงปีนี้จะขาดทุนอย่างไร ก็ต้องดูแลรักษาต้นไว้ เผื่อปีหน้าราคากลับมาดีขึ้น” กำนันปรีชากล่าวอย่างมีความหวัง

วิกฤตการณ์ในโลกออนไลน์และข้อเท็จจริงในพื้นที่

ในสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์ภาพมะม่วงถูกนำไปทิ้งเป็นจำนวนมาก หลายฝ่ายแสดงความห่วงใยต่อเกษตรกรในพื้นที่ นายปรีชาให้ข้อมูลว่า “ในพื้นที่ตำบลแม่เปา ยังไม่พบเห็นการนำมะม่วงไปทิ้งแบบที่แชร์กัน อาจจะเป็นมะม่วงจากพื้นที่ใกล้เคียงที่ไม่ผ่านมาตรฐานตลาดหรือถูกแมลงเจาะ”

ข้อเสนอจากชุมชน อยากเห็นรัฐช่วยเหลือแบบเป็นรูปธรรม

สิ่งที่ชาวสวนคาดหวังจากภาครัฐไม่ใช่เพียงนโยบายระยะสั้น แต่ต้องการมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม เช่นเดียวกับที่เคยทำในช่วงราคาหอมกระเทียมตกต่ำ จังหวัดให้กำนันผู้ใหญ่บ้านทั่วจังหวัดช่วยซื้อคนละ 1 ถุง (10 กก./ถุง) เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกร

“ปีนี้ราคามะม่วงตกต่ำสุดในรอบหลายปี อยากให้จังหวัดใช้มาตรการเดียวกันนี้กับชาวสวนมะม่วงบ้าง จะช่วยให้พวกเรามีกำลังใจและสามารถดำรงอาชีพต่อไปได้” กำนันปรีชาย้ำข้อเรียกร้อง

อนาคตเกษตรกรเชียงรายอยู่ที่ไหน?

แม้ว่าชาวสวนบางส่วนในพื้นที่อาจรอดจากวิกฤตราคาตกต่ำด้วยการรักษาคุณภาพผลผลิตเพื่อให้ได้ราคาดี แต่สำหรับชาวสวนรายย่อยที่ต้นทุนน้อย หรือประสบปัญหาผลผลิตตกเกรด กลับเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักสุด หากไม่เร่งแก้ปัญหานี้อย่างเป็นระบบ อาจนำไปสู่การสูญเสียรายได้หลักของครอบครัว เกิดปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว และท้ายที่สุดอาจต้องละทิ้งอาชีพทำสวนมะม่วงที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

วิกฤตครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณเตือนสำคัญถึงภาครัฐ ในการทบทวนมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการสนับสนุนตลาด ผลักดันการแปรรูป และส่งเสริมช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย ลดการพึ่งพาตลาดส่งออกเพียงอย่างเดียว

สรุป

ปัญหาราคามะม่วงตกต่ำในอำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของเกษตรกรไทยที่ต้องเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ต้นทุนการผลิตที่สูง และขาดกลไกช่วยเหลือที่เหมาะสมจากภาครัฐ เสียงจากชุมชนจึงเป็นสิ่งที่ควรได้รับการรับฟังและนำไปปรับใช้อย่างเร่งด่วน เพื่อปกป้องอาชีพและคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สัมภาษณ์นายปรีชา ลักษณาการ กำนันตำบลแม่เปา อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย
  • ข่าวช่อง 7HD “มะม่วงราคาตกต่ำหนักสุดในรอบหลายปี” เผยแพร่ 3 มิถุนายน 2568
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ www.moac.go.th
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

แฟรนไชส์ซบ การเมืองกดดัน ค่าเช่าพุ่งวอนรัฐช่วยพยุง

ธุรกิจแฟรนไชส์ไทยอ่วม! ผู้ประกอบการวอนรัฐช่วยเปิดพื้นที่ค้าขายฟรี สู้พิษเศรษฐกิจ-การเมือง กำลังซื้อหด ค่าเช่าพุ่ง ปิดสาขาเพิ่ม

ประเทศไทย, 2 มิถุนายน 2568 – ภาพรวมธุรกิจแฟรนไชส์ไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ยังคงต้องเผชิญความท้าทายอย่างหนัก ภาวะเศรษฐกิจและกระแสการเมืองที่ไม่แน่นอน กำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายจนผู้ประกอบการแฟรนไชส์ต้องปรับตัวครั้งใหญ่ หลายรายทยอยปิดสาขาเพื่อหนีค่าเช่าที่เพิ่มสูง วอนรัฐบาลเร่งเปิดพื้นที่ค้าขายฟรีและสนับสนุนช่องทางสร้างรายได้ใหม่

เริ่มต้นจากบรรยากาศเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อเงียบทั่วประเทศ

นายสุทธิชัย พนิตนรากุล นายกสมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์ และเจ้าของแฟรนไชส์ THE Waffle เปิดเผยถึงสถานการณ์ธุรกิจแฟรนไชส์ว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 สมาชิกในสมาคมต่างประสบปัญหาเดียวกัน คือ “กำลังซื้อเงียบ ยอดขายตกต่ำ” หลายร้านค้าประคองธุรกิจได้ลำบาก แม้การปิดกิจการอาจดูไม่ชัดเจน แต่สาขาที่อยู่ไม่ได้ก็ทยอยหายไปแล้ว ที่เหลือในตลาดล้วนแต่เป็นผู้ประกอบการที่ผ่านการปรับตัวครั้งใหญ่

ทั้งนี้ โอกาสขยายตลาดแฟรนไชส์ปี 2568 เหลือเพียง 4-5% ต่ำกว่าปกติที่ควรเติบโตเกิน 10% สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย กำลังซื้อในประเทศนิ่ง ทั้งจากคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ การออกไปกินเที่ยวลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเงินหมุนเวียนในประเทศก็ชะลอตัว

ปัญหาต้นทุน-ค่าเช่าพื้นที่เพิ่ม ผู้ประกอบการรายย่อยอ่วม

“ค่าเช่าแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาขาในศูนย์การค้า-ห้างสรรพสินค้า หลายแห่งต้องทยอยปิด เพราะสู้ค่าเช่าไม่ไหว” นายสุทธิชัยกล่าว ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ค่าเช่าพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าขยับขึ้นถึง 50% จากเดิมที่รายย่อยเคยเช่าในราคา 10,000 บาทต่อรอบการขาย ปัจจุบันขยับเป็น 15,000–18,000 บาท ขณะที่ยอดขายโตแค่ 2-3% เท่านั้น

ธุรกิจแฟรนไชส์จึงต้องเรียกร้องให้รัฐเร่งหาทางช่วยเหลือ เสนอเปิดเวทีค้าขายฟรีสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่หรือให้เช่าพื้นที่ในอัตราต่ำ 2 ปีแรก ควรจัดสรรพื้นที่ค้าปลีกในสัดส่วน 30% เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายเล็ก-รายใหม่ได้สร้างอาชีพ ลดภาระต้นทุน และกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านมาตรการภาครัฐ

กำลังซื้อชะลอตัว ค้าปลีกหวั่น “ร้าง” เหมือนสิงคโปร์

นายสุทธิชัยสะท้อนว่า หากยังปล่อยให้ค่าเช่าแพงแต่รายได้ไม่โต ภาคค้าปลีกจะได้รับผลกระทบหนักในระยะยาว คนเดินห้างลดลงและอาจกลายเป็น “ศูนย์การค้าร้าง” เช่นที่เคยเกิดขึ้นในสิงคโปร์เมื่อสิบปีก่อน ทั้งนี้ ภาคเอกชนฝากความหวังไว้กับงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทของรัฐ ว่าควรนำไปสนับสนุนธุรกิจ-แรงงานในประเทศอย่างแท้จริง เพื่อให้รายได้หมุนเวียนภายในระบบเศรษฐกิจไทย

อุปสรรคเข้าถึงแหล่งทุนใหม่ รายย่อยปรับตัวยาก

ธุรกิจแฟรนไชส์เป็นช่องทางหารายได้เสริมของแรงงานไทย แต่ผู้ประกอบการรายใหม่กลับเข้าถึงแหล่งทุนได้ยาก สถาบันการเงินเข้มงวดขึ้น กำลังซื้อนิ่ง ธุรกิจเดิมก็ต้องรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้น จึงจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากรัฐอย่างเร่งด่วน ทั้งในด้านเงินทุน สนับสนุนพื้นที่ค้าขายฟรี และมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อระยะสั้น

ตัวเลขธุรกิจแฟรนไชส์และเศรษฐกิจไตรมาสแรก

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า การจดทะเบียนเลิกกิจการไตรมาสแรกปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) มีถึง 3,107 ราย เพิ่มขึ้น 10.61% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ทุนจดทะเบียนเลิกสะสม 11,859 ล้านบาท ส่วนธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด ได้แก่ ก่อสร้าง 307 ราย, อสังหาริมทรัพย์ 137 ราย และร้านอาหาร/ภัตตาคาร 129 ราย

การจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ไตรมาสแรกปี 2568 มี 23,823 ราย ลดลง 4.72% จากปีก่อน แม้ทุนจดทะเบียนรวมจะเพิ่มขึ้นถึง 79,920 ล้านบาท (+17.63%) อัตราส่วนตั้ง:เลิกธุรกิจอยู่ที่ 7:1

ความเชื่อมั่น SME ลดลงต่อเนื่อง

สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME เดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ 51.5 ลดลงจากเดือนก่อนที่ 52.1 เป็นการลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ปัจจัยสำคัญมาจากกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาทระยะที่ 2 ยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน

ภาคการท่องเที่ยวที่เคยเป็นตัวขับเคลื่อนหลักก็เริ่มชะลอลง จำนวน นทท. ต่างชาติลดลง ขณะที่ภาคการเกษตรได้รับผลกระทบจากราคาตกต่ำและภัยธรรมชาติ ทำให้ธุรกิจรายย่อยในภูมิภาคเปราะบางมากขึ้น

ภาคธุรกิจพบจุดอ่อนใหญ่ 3 ด้าน

SME D Bank รายงานจาก “Business Health Check” พบว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีจุดอ่อน 3 ด้านหลักคือ

  1. การบริหารจัดการการเงิน (คะแนนเฉลี่ย 1.8/5) โดยเฉพาะกลุ่มรายย่อยที่ไม่แยกบัญชีส่วนตัวกับธุรกิจ ขาดความรู้บัญชี
  2. นวัตกรรมและเทคโนโลยี (2.6/5) รายย่อยไม่รู้เทคโนโลยีที่เหมาะกับธุรกิจ รายเล็กขาดแผนหรือนโยบายด้านนวัตกรรม กลางไม่สร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เกิดนวัตกรรม
  3. การสื่อสารการตลาด (3.6/5) รายย่อยขาดทักษะโซเชียล มีเดีย รายเล็กขาดการวิเคราะห์ผลลัพธ์การตลาด รายกลางขาดบูรณาการข้อมูล

วิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้มผลกระทบ

จากภาพรวมข้างต้นสะท้อนว่า ธุรกิจแฟรนไชส์ในไทยกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งปัจจัยเศรษฐกิจภายใน ความไม่แน่นอนทางการเมือง และต้นทุนดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากรัฐไม่เข้ามาแก้ไขและสนับสนุนให้ตรงจุด โดยเฉพาะการเปิดพื้นที่ค้าขายฟรี หรือลดต้นทุนค่าเช่า คาดว่าผู้ประกอบการรายย่อยจะทยอยปิดกิจการเพิ่มขึ้น กระทบทั้งอุตสาหกรรมค้าปลีก เศรษฐกิจชุมชน และแรงงานไทยในภาพรวม

แม้ตลาดแฟรนไชส์ไทยยังคงมีศักยภาพเติบโตในระยะยาว แต่สถานการณ์ในปี 2568 บ่งชี้ชัดว่าจำเป็นต้องอาศัยมาตรการเชิงรุกและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อรักษาระบบนิเวศธุรกิจแฟรนไชส์ไทยให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างมั่นคง

สถิติสำคัญและแหล่งอ้างอิง

  • เลิกกิจการไตรมาส 1/2568: 3,107 ราย (+10.61%) ทุนจดทะเบียนเลิก 11,859 ล้านบาท (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • ตั้งธุรกิจใหม่ไตรมาส 1/2568: 23,823 ราย (-4.72%) ทุนจดทะเบียน 79,920 ล้านบาท (+17.63%) (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • ดัชนี SME เดือนมีนาคม 2568: 51.5 ลดลงจาก 52.1 (สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม)
  • ผลการตรวจ Business Health Check: เอสเอ็มอีไทยพบจุดอ่อน 3 ด้านหลัก (SME D Bank)
  • ตลาดแฟรนไชส์โตเพียง 4-5% ต่ำกว่าปกติที่ 10% (สมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
  • สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
  • SME D Bank
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ ‘เชียงราย’ ยังหนุนตลาดประเทศทะลุพันล้าน

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติไทยโตแรง รายได้รวมทะลุ 7.3 พันล้านบาท สะท้อนพลังตลาดกลุ่มผู้ปกครองรายได้สูง

ภาพรวมธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทยกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านรายได้และกำไร เห็นได้จากข้อมูลล่าสุดปี 2566 ที่มีรายได้รวมกว่า 7,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 28% จากปีก่อน และมีกำไรรวมสูงถึง 1,600 ล้านบาท การเติบโตนี้เกิดจากความนิยมของผู้ปกครองกลุ่มรายได้สูง นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศที่เข้ามาทำงานในไทย พร้อมครอบครัว ซึ่งต่างเลือกส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ เนื่องจากเชื่อมั่นในคุณภาพการศึกษามาตรฐานสากล

จุดแข็งของโรงเรียนนานาชาติไทยที่ตอบโจทย์ผู้ปกครอง

โรงเรียนนานาชาติในไทยมีจุดเด่นชัดเจนหลายด้าน อาทิ หลักสูตรที่หลากหลายและทันสมัย สัดส่วนครูต่อนักเรียนที่เหมาะสม เฉลี่ย 1:8 ซึ่งเอื้อต่อการดูแลอย่างใกล้ชิดและคุณภาพการสอนที่สูงขึ้น ผู้ปกครองจึงไว้วางใจเลือกให้ลูกหลานเข้าเรียน นอกจากนี้ สถานะทางสังคมก็เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ผู้ปกครองรายได้สูงต้องการสร้างเครือข่ายและเสริมสร้างโอกาสในอนาคตให้แก่บุตรหลาน

ตลาดโรงเรียนนานาชาติขยายตัวต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมืองหลัก

การวิเคราะห์จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า โรงเรียนนานาชาติ 80% กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี และภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่มาก ค่าเทอมของโรงเรียนนานาชาติชั้นนำอยู่ระหว่าง 905,300-1,109,400 บาทต่อปี โรงเรียนในจังหวัดเชียงรายก็ไม่น้อยหน้า เช่น One Hope International School, Chiang Rai International Christian School และ Chiang Rai International School ต่างมีค่าเทอม K1 เริ่มต้นที่ 160,000-175,000 บาทต่อปี

ปัจจัยผลักดันความนิยมและโอกาสการขยายตัว

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้โรงเรียนนานาชาติได้รับความนิยม คือ ความต้องการของผู้ปกครองกลุ่ม High Net Worth ที่มองหา “ความพิเศษ” และเครือข่ายสากล โรงเรียนเหล่านี้มีหลักสูตรเฉพาะทาง เช่น STEM, Coding, AI ซึ่งตอบโจทย์ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 สร้างโอกาสสู่ตลาดแรงงานโลก นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มขยายสาขาไปยังจังหวัดท่องเที่ยวและเมืองที่มีชาวต่างชาติอยู่จำนวนมาก เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยา

โครงสร้างธุรกิจโรงเรียนนานาชาติและการลงทุนต่างชาติ

ข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ณ 30 เมษายน 2568 ระบุว่า มีธุรกิจการศึกษาในประเทศไทย 7,511 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 50,633.46 ล้านบาท โดยธุรกิจขนาดเล็ก (S) มีสัดส่วนสูงถึง 98.02% ทุนรวม 33,159.56 ล้านบาท ธุรกิจขนาดกลาง (M) มี 122 ราย ทุน 11,239.55 ล้านบาท และขนาดใหญ่เพียง 27 ราย ทุน 6,234.35 ล้านบาท ส่วนการลงทุนของต่างชาติก็โดดเด่น อังกฤษถือหุ้น 30% ของมูลค่าการลงทุน รองลงมาคือจีนและสิงคโปร์ รวมมูลค่าการลงทุนสูงถึง 5,732.96 ล้านบาท

แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจการศึกษาไทยในช่วง 5 ปี

ย้อนดูช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) ธุรกิจการศึกษาในไทยเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ปี 2563 มี 502 ราย ทุน 1,012.18 ล้านบาท ปี 2564 เพิ่มเป็น 512 ราย (+1.99%) ทุน 719.10 ล้านบาท ปี 2565 เพิ่มเป็น 616 ราย (+1.99%) ทุน 1,496.04 ล้านบาท ปี 2566 เพิ่มเป็น 889 ราย (+44.32%) ทุน 1,733.03 ล้านบาท ปี 2567 เพิ่มเป็น 979 ราย (+10.12%) ทุน 1,875.37 ล้านบาท เฉพาะมกราคม-เมษายน 2568 มี 319 รายใหม่ ทุน 610.34 ล้านบาท

ผลประกอบการและกำไรเติบโตอย่างมั่นคง

ข้อมูลรายได้รวม 3 ปีหลัง (2564-2566) ชี้ชัดว่าธุรกิจโรงเรียนนานาชาติเติบโตต่อเนื่อง ปี 2564 รายได้ 33,126.88 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 39,033.54 ล้านบาท (+17.83%) ปี 2566 รายได้ 46,290.96 ล้านบาท (+18.59%) ด้านกำไร ปี 2564 อยู่ที่ 1,491.08 ล้านบาท ปี 2565 เพิ่มเป็น 3,368.36 ล้านบาท (+126%) และปี 2566 พุ่งขึ้นเป็น 5,785.58 ล้านบาท (+71.76%)

การแข่งขันและความท้าทายต่อเนื่อง

แม้ภาพรวมธุรกิจโรงเรียนนานาชาติจะสดใส แต่ยังมีความท้าทายรออยู่ อาทิ อัตราเกิดประชากรที่ลดลง อาจส่งผลต่อจำนวนนักเรียนใหม่ในอนาคต ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าครูหรือการบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนการแข่งขันจากโรงเรียนต่างชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เข้มข้นขึ้น

โอกาสการเติบโตและการปรับตัวของโรงเรียนนานาชาติ

โอกาสการเติบโตยังคงมีอีกมาก โรงเรียนสามารถขยายตลาดผ่านการพัฒนาหลักสูตรที่ตรงกับทักษะโลกอนาคต เช่น STEM, Coding และ AI รวมถึงตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักเรียนต่างชาติ และการขยายไปยังเมืองที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง กลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ เช่น ผู้ปกครองรุ่นใหม่ที่เน้นประสบการณ์การเรียนรู้และโอกาสสู่ตลาดโลก ยังคงเป็นกลุ่มที่โรงเรียนเหล่านี้ต้องให้ความสำคัญ

บทสรุปและแนวโน้มอนาคต

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทยยังเป็นดาวรุ่งและน่าจับตามองในอนาคต กลุ่มผู้ปกครองรายได้สูงยังคงขยายตัว และความต้องการการศึกษาคุณภาพสูงไม่เคยลดลง อย่างไรก็ตาม การแข่งขันและปัจจัยภายนอกอาจกระทบในระยะยาว โรงเรียนที่ปรับตัวและพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง ย่อมรักษาความได้เปรียบในตลาดนี้

สถิติสำคัญจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

  • โรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยปี 2566 มีรายได้รวม 7,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% (DBD DataWarehouse+)
  • กำไรรวมปี 2566 สูงถึง 1,600 ล้านบาท (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • มีธุรกิจการศึกษาในประเทศไทย 7,511 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 50,633.46 ล้านบาท (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • โรงเรียนนานาชาติ 80% ตั้งใน กทม., เชียงใหม่, ชลบุรี, ภูเก็ต (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • การลงทุนจากอังกฤษสูงสุด 30% ของเงินลงทุนต่างชาติในธุรกิจนี้ (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
EDITORIAL WORLD PULSE

ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา 75 ปี แห่งการเติบโต

75 ปีความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ยิ่งรู้ ยิ่งเข้าใจ ยิ่งร่วมมือ สู่อนาคตประชาชนสองแผ่นดิน

จุดเริ่มต้นแห่งมิตรภาพ รากฐานทางการทูตและวัฒนธรรมอันมั่นคง

เมื่อย้อนเวลากลับไปในปี พ.ศ. 2493 ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังตื่นตัวหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งสองประเทศมีพรมแดนติดกัน และวัฒนธรรมที่โยงใยกันอย่างแน่นแฟ้น นี่คือจุดตั้งต้นของ “สะพานมิตรภาพ” ที่ไม่ใช่เพียงระดับรัฐบาล แต่หยั่งรากลึกสู่หัวใจของประชาชน ชุมชน และภาคส่วนต่างๆ ในสังคม

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาต้องผ่านอุปสรรคหลากหลาย ทั้งเรื่องพรมแดน ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และความเข้าใจผิดที่ถูกปลูกฝังจากอดีต อย่างไรก็ดี ด้วยจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นในการร่วมมือ ทั้งสองชาติสามารถเดินข้ามความยากลำบาก ผ่านการเจรจาอย่างมีวุฒิภาวะ การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และโครงการร่วมมือหลากหลายที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาค

เมืองชายแดนอย่างจังหวัดสระแก้วของไทยและจังหวัดบันเตียเมียนเจย (Banteay Meanchey) ของกัมพูชา กลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้า ความคึกคักของตลาดชายแดน กิจกรรมวัฒนธรรม งานประเพณีข้ามพรมแดน และความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนทั้งสองประเทศ ล้วนขยายขอบเขตของมิตรภาพให้แน่นแฟ้นขึ้นในทุกยุคสมัย

แกนกลางแห่งความร่วมมือ เศรษฐกิจ การลงทุน การค้า และประชาชน เศรษฐกิจและการค้าไทย-กัมพูชา เส้นทางที่เติบโตต่อเนื่อง

ข้อมูลจาก คุณนฤมล รินเรืองสิน รองประธานสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา (Thai Business Council in Cambodia- TBCC) ชี้ว่า ในปี 2567 มูลค่าการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาทะยานสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปกัมพูชา ได้แก่ อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค วัสดุก่อสร้างและเครื่องจักรกลการเกษตร ขณะที่กัมพูชาส่งออกสินค้าการเกษตรและวัตถุดิบสำคัญมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ธุรกิจไทยยังขยายตัวในกัมพูชาอย่างมั่นคง เช่น ปตท. ซึ่งมีสถานีบริการน้ำมัน 184 แห่ง คาเฟ่อเมซอนกว่า 154 สาขา และกลุ่มค้าปลีกอย่างบิ๊กซี แมคโคร เซเว่น อีเลฟเว่น ของซีพี ออลล์ ที่มีทั้งหมด 120 แห่ง ขยายสาขาในเมืองสำคัญของกัมพูชา เช่น พนมเปญ สีหนุวิลล์ และเสียมราฐ เอสซีจีลงทุนก่อสร้างโรงงานปูนซิเมนต์ อย่าง K Cement โรงงานผลิตพีวีซี และไทยยังมีบทบาทสำคัญในธุรกิจสุขภาพและการแพทย์ โดยเฉพาะโรงพยาบาลรอยัลพนมเปญในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพและเครือข่ายคลินิกไทย

คุณชลธิศ เทพยศ ที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ย้ำว่ากัมพูชาเปิดกว้างอย่างจริงจังต่อนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะการออกนโยบายยกเว้นภาษี 12 ปี และยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักรในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยแสดงความสนใจขยายธุรกิจในกัมพูชามากขึ้นทุกปี

เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมการยกระดับความร่วมมือเพื่อความมั่นคงอาหารภูมิภาค

กัมพูชามีศักยภาพสูงด้านการผลิตมะม่วงหิมพานต์ มะม่วง ทุเรียน และข้าวโพด โดยเฉพาะบริเวณทะเลสาบโตนเลสาบซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญ ไทยจึงสามารถเข้าไปลงทุนในโรงงานแปรรูปทุเรียนอบแห้ง มะม่วงแห้ง เพื่อตอบสนองตลาดในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลกัมพูชาเน้นพัฒนาพื้นที่สี่จังหวัดสำคัญ ได้แก่ กระแจะ สตึงแตรง รัฒนคีรี มณฑลคีรี เพื่อดึงดูดนักลงทุนไทยในอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร

การลงทุนและห่วงโซ่อุปทานความเชื่อมโยงใหม่ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

ตุลย์ ไตรโสรัส เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การลงทุนของไทยในกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา (Thai Business Council in Cambodia) รายงานว่า ไทยเป็นนักลงทุนอันดับ 4 ในกัมพูชา ครอบคลุมธุรกิจค้าปลีก พลังงาน เกษตร อุตสาหกรรมอาหาร และบริการทางการแพทย์ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่และดิจิทัล

การพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ระหว่างสองประเทศช่วยให้สินค้าไทยมีโอกาสเข้าสู่ตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ได้สะดวกขึ้น ขณะเดียวกันกัมพูชาก็สามารถใช้ไทยเป็นประตูออกสู่ตลาดสากลผ่านนิคมอุตสาหกรรมและด่านโลจิสติกส์ชายแดน

การศึกษาและวัฒนธรรม สร้างพื้นฐานความเข้าใจระหว่างประชาชน ความร่วมมือทางการศึกษา สะพานแห่งโอกาสสำหรับเยาวชน

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ของไทยและมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรในกัมพูชาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการพัฒนาบุคลากรสาขาเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร และเทคโนโลยีแปรรูปอาหาร ขณะที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและมหาวิทยาลัยพระตะบอง ร่วมมือกันจัดหลักสูตรภาษาไทยพิเศษ ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่นักศึกษากัมพูชา โดยในปี 2567 จำนวนนักศึกษากัมพูชาที่เลือกเรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้า

นอกจากนั้น วัฒนธรรมไทยได้รับความนิยมสูงในกัมพูชา สะท้อนผ่านละคร ภาพยนตร์ เพลง และศิลปินไทยที่ครองใจเยาวชนกัมพูชา กระแส Soft Power นี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงความรู้สึกและความเข้าใจระหว่างประชาชน

กิจกรรมเยาวชนและโครงการแลกเปลี่ยน สร้างมิตรภาพข้ามพรมแดน

นายฮก โซะเพีย (H.E. Mr. Hok Sophea) รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา และคณะ เพื่อรับฟังข้อมูลนโยบายด้านการต่างประเทศของกัมพูชา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศในทุกๆ ระดับชั้น  ตลอด 75 ปีที่ผ่านมา โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและเยาวชนระหว่างสองชาติขยายตัวต่อเนื่อง เช่น โครงการโฮมสเตย์และโครงการ Summer Camp สำหรับนักเรียนมัธยมปลาย กิจกรรมเยาวชนเหล่านี้ช่วยให้เยาวชนได้เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม และสร้างสายสัมพันธ์ที่จะหล่อเลี้ยงมิตรภาพในอนาคต

การท่องเที่ยวเชื่อมโยงเศรษฐกิจและวัฒนธรรมด้วยประสบการณ์จริง นักท่องเที่ยวไทย-กัมพูชา ตัวเลขที่เติบโตสู่เป้าหมายร่วม

ในปี 2567 นักท่องเที่ยวไทยเดินทางมากัมพูชาจำนวนกว่า 2.6 ล้านคน ถือเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดในกัมพูชา ขณะที่ไทยก็เป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวกัมพูชา แคมเปญ “Two Kingdoms, One Destination” ที่ทั้งสองประเทศร่วมกันส่งเสริม สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวข้ามพรมแดนใหม่ ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เส้นทางมรดกโลก และกิจกรรมวัฒนธรรมร่วม

กิจกรรมเด่น เช่น ฟุตบอลมิตรภาพเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และวิ่งมาราธอนข้ามสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชาในเดือนมีนาคม 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 700 คน ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างชุมชนชายแดน

โลจิสติกส์และคมนาคมพื้นฐานเศรษฐกิจอนาคต

การพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างเมืองสำคัญของทั้งสองชาติด้วยถนน รถไฟ เรือ และเที่ยวบินตรง มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว พร้อมผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

การรับมือกับความท้าทาย การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและความมั่นคงอาหาร

การเข้าไปได้ลองศึกษาดูงานภาคการเกษตรของกัมพูชาที่ไร่ La Plantation ซึ่งเป็นไร่พริกไทย และผลไม้ ใน จ.กำปอต และเป็น Argro-Tourism Site ที่ได้รับการรับรองโดยกระทรวงท่องเที่ยวของกัมพูชา เห็นได้ว่าทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านการเกษตรยั่งยืนและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และประสบการณ์จริงด้านสิ่งแวดล้อมช่วยให้ไทยและกัมพูชารับมือกับปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างความมั่นคงอาหารในภูมิภาค 

เสียงจากภาคประชาชนและนักวิชาการมุมมองใหม่ต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา สัมภาษณ์และข้อคิดเห็นจากผู้นำชุมชนและผู้เชี่ยวชาญ

ในการเดินทางเยือนกรุงพนมเปญของคณะสื่อมวลชนไทย มีการสัมภาษณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชา ผู้นำชุมชน และนักธุรกิจไทยในพื้นที่ ซึ่งต่างสะท้อนมุมมองว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามีความแน่นแฟ้นจากระดับผู้นำสู่ระดับประชาชน แม้จะมีประเด็นละเอียดอ่อน เช่น ปัญหาเขตแดน OCA (Overlapping Claim Area) แต่ทั้งสองชาติยังคงให้ความสำคัญกับการเจรจาและเคารพซึ่งกันและกัน

ฝ่ายค้านในทั้งสองประเทศยังมีบทบาทในการกำหนดทิศทางนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะในกัมพูชา ซึ่งเยาวชนกว่า 30% ต้องการปฏิรูปการเมือง ผู้เชี่ยวชาญเน้นว่าความสำเร็จในการพัฒนาร่วมต้องฟังเสียงประชาชนและไม่ผูกขาดการตัดสินใจไว้ในกลุ่มอำนาจเดิม

บทบาทของสื่อและการตรวจสอบข้อมูลจุดเปลี่ยนของความเข้าใจ

ในยุคที่โซเชียลมีเดียเป็นปัจจัยสำคัญต่อการรับรู้ข่าวสาร ข้อมูลผิดพลาดและข่าวปลอมสามารถสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนได้ง่าย สถานเอกอัครราชทูตไทยและสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา ตลอดจนสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ จึงร่วมกันผลักดันโครงการอบรมสื่อทั้งสองประเทศ ส่งเสริมการรายงานข่าวที่สร้างสรรค์ และการตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นระบบ อ้างอิงจากการเข้าพบ Dr. Vannarith Chheang ประธานที่ปรึกษารัฐสภาแห่งชาติ (Chairman of advisory council of the National Assembly of the Kingdom of Cambodia)

ประสบการณ์จริงจากทีมข่าว “ยิ่งรู้ยิ่งเข้าใจ” กับบทเรียนจากพนมเปญ เมื่อการเดินทางเปลี่ยนมุมมอง

ทีมข่าวไทยที่เดินทางร่วมกับคณะสื่อมวลชนต่างชาติ สัมผัสบรรยากาศพนมเปญเมืองหลวงที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อาคารสูงทันสมัย ถนนหนทางสะอาด ผู้คนมีระเบียบวินัยและเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม การได้สัมผัสชีวิตจริงของคนกัมพูชา เปลี่ยนความคิดที่เคยมีจากภาพจำเก่าๆ ที่รับรู้ผ่านข่าวหรืออคติทางประวัติศาสตร์ กลายเป็นความเข้าใจใหม่ที่ลึกซึ้ง

หลายคนเล่าว่า “ความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นเพียงเปลือกนอก แต่หัวใจของประชาชนทั้งสองประเทศเหมือนกัน คืออยากให้ครอบครัวมีความสุข มีบ้านที่ปลอดภัย มีอาชีพมั่นคง และมีโอกาสทางการศึกษา”

มิตรภาพที่แท้จริง สื่อมวลชน นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่การทูตในบทบาท ‘คนกลาง’

สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ อธิบายว่า บทบาทของ “คนกลาง” คือการฟังและเข้าใจหัวใจคนทั้งสองฝั่ง ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดความเห็นแต่เป็นสะพานที่เชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างกันโดยไม่ใช้อีโก้

การพบปะกับสมาคมนักข่าวกัมพูชาและสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา เปิดมุมมองใหม่ว่า แม้สื่อกัมพูชาจะยังไม่เสรีอย่างเต็มที่ แต่สามารถควบคุมกระแสข่าวปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลกัมพูชาเปิดรับฟังเสียงประชาชนและให้โอกาสแก่ผู้ประกอบการรายใหม่

ความสำเร็จและโอกาสในอนาคต

  • การค้ารวม 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 (อ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์แห่งประเทศไทย)
  • ไทยเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับ 4 ในกัมพูชา (อ้างอิง: สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา)
  • นักท่องเที่ยวไทยเดินทางมากัมพูชามากถึง 2.6 ล้านคนในปีเดียว (อ้างอิง: การท่องเที่ยวแห่งชาติกัมพูชา)
  • นักศึกษากัมพูชาที่เลือกเรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้น 20% (อ้างอิง: มหาวิทยาลัยพระตะบอง)
  • โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนและทุนการศึกษาร่วมกว่า 2,000 ทุน

ความท้าทายที่ต้องจับตาหลังสื่อไทยแลกเปลี่ยนข้อมูลสื่อกัมพูชาได้ นายปุย เกีย นายกสมาคมฯ ของคณะสื่อมวลชนกัมพูชาจากสมาคมนักข่าวกับพูชา (Club of Cambodian Journalists)

  • ข่าวสารผิดพลาดในโซเชียลมีเดียและปัญหาข่าวปลอม
  • ความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันด้านห่วงโซ่อุปทาน
  • โครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ชายแดนที่ต้องพัฒนา
  • ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและช่องว่างระหว่างรุ่น

ข้อเสนอเพื่อความร่วมมือและเติบโตอย่างยั่งยืน

  1. ส่งเสริมการอบรมสื่อมวลชนและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง
  2. ขยายโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนและนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง
  3. เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน รถไฟ และด่านชายแดนให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
  4. สนับสนุนการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ การแปรรูปสินค้าเกษตร และนวัตกรรมเทคโนโลยีร่วม
  5. เสริมสร้างกลไกเจรจาแก้ปัญหาข้อพิพาทโดยใช้ช่องทางระหว่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 
เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

‘เชียงราย’ ต้องปรับจุดไหนถ้ารัฐบาลดัน “Amazing Thailand Year 2025”

ครม. เห็นชอบแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เชียงรายพร้อมหรือยัง ถ้าต้องเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 – คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแนวทางความร่วมมือในการจัดแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 39 ล้านคน และสร้างรายได้ถึง 3.4 ล้านล้านบาท จังหวัดเชียงรายได้รับการกำหนดให้เป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวหลักของแคมเปญนี้ ด้วยศักยภาพด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ และการค้าชายแดน

ความท้าทายของการท่องเที่ยวไทยและโอกาสของเชียงราย

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2566 การท่องเที่ยวสร้างรายได้กว่า 2.5 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น อุทกภัยในปี 2567 ที่สร้างความเสียหายแก่โครงสร้างพื้นฐานในหลายจังหวัด รวมถึงเชียงราย ได้สร้างความท้าทายต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ความเสียหายจากน้ำท่วมและดินสไลด์ในเชียงรายทำให้ถนนและสะพานหลายแห่งไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวและการค้าชายแดนที่ด่านแม่สาย

ถึงกระนั้น ประเทศไทยยังคงมีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายและโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังพัฒนา รัฐบาลจึงริเริ่มแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวให้เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเน้นเมืองรองที่มีศักยภาพสูง เช่น เชียงราย ซึ่งมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น ดอยตุงและสามเหลี่ยมทองคำ และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เช่น วัดร่องขุ่นและพิพิธภัณฑ์บ้านดำ

รายละเอียดแคมเปญและการบูรณาการ

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ณ โถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมครม. ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางความร่วมมือจัดแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) โดยมอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนดำเนินการตามแนวทางที่กำหนด เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มรายได้และพยุงเศรษฐกิจท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

โฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า แคมเปญนี้มุ่งเน้นการบูรณาการพันธมิตรทุกภาคส่วนเพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวและเผยแพร่ภาพลักษณ์ของประเทศไทยสู่ระดับสากล โดยแบ่งแนวทางการดำเนินงานออกเป็น 11 ด้าน

แล้วจังหวัดเชียงรายสามารถทำอะไรได้บ้างใน 11 ข้อของแคมเปญ

  1. ด้านสายการบิน สนับสนุนสายการบินในประเทศด้วยการลดค่าธรรมเนียม เพิ่มเที่ยวบินในช่วงเทศกาล และขยายเส้นทางสู่เมืองรอง เช่น เชียงราย เพื่อลดความแออัดในเมืองหลัก เชียงรายสามารถผลักดันให้สายการบินเพิ่มเที่ยวบินสู่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล เช่น งานลอยกระทงหรือปีใหม่ และพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลผ่าน API เพื่อให้ข้อมูลเที่ยวบินเข้าถึงนักท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้นร่วมมือกับสายการบิน low-cost เพื่อจัดโปรโมชั่นตั๋วราคาพิเศษสำหรับเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงราย
  2. ด้านโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร และบริษัททัวร์ยกระดับมาตรฐานโรงแรมและโฮมสเตย์ ร่วมมือกับแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์เพื่อเพิ่มการเข้าถึงที่พักรายย่อย ส่งเสริมโฮมสเตย์ในชุมชนท้องถิ่น เช่น ชุมชนชาวเขาดอยช้าง ให้ได้มาตรฐานโฮมสเตย์ไทย และร่วมมือกับแพลตฟอร์ม OTA เพื่อโปรโมทที่พักรายย่อยจัดแพ็คเกจท่องเที่ยวที่รวมโฮมสเตย์และร้านอาหารพื้นเมืองในอำเภอแม่สาย
  3. ด้านห้างสรรพสินค้าและร้านค้า มอบส่วนลดและสิทธิพิเศษแก่นักท่องเที่ยว พร้อมพัฒนาระบบคืนภาษีอัตโนมัติ ร้านค้าท้องถิ่นในเชียงราย เช่น ตลาดไนท์บาซาร์ สามารถมอบส่วนลดและของที่ระลึก เช่น ผ้าทอมือล้านนา แก่นักท่องเที่ยว และติดตั้งเครื่องคืนภาษีอัตโนมัติในห้างสรรพสินค้า เช่น เซ็นทรัลเชียงรายจัดแคมเปญ “Chiang Rai Shopping Festival” ที่มอบส่วนลด 10-20% สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
  4. ด้าน OTAs (Online Travel Agency) จัดโปรโมชั่นแพ็คเกจท่องเที่ยวครอบคลุมเมืองรอง และส่งเสริมการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ร่วมมือกับ OTA เช่น Agoda หรือ Booking.com เพื่อจัดแพ็คเกจท่องเที่ยวที่ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวในเชียงราย เช่น สามเหลี่ยมทองคำและวัดร่องขุ่น พร้อมโปรโมชั่นส่วนลด สร้างแพ็คเกจ “Chiang Rai Cultural Journey” ที่รวมที่พัก ทัวร์วัด และอาหารพื้นเมือง
  5. ด้านระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ พัฒนาการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยว และจัดทำบัตร Amazing Pass สำหรับการเดินทางในกรุงเทพฯ พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถโดยสารท้องถิ่นหรือรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า เพื่อเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในตัวเมืองเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงจัดทำบัตร “Chiang Rai Travel Pass” สำหรับการเดินทางไม่จำกัดใน 1 วัน
  6. ด้านความปลอดภัย: จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวครอบคลุม 77 จังหวัด และพัฒนาบริการ call center 1155 ให้เป็น one-stop service จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (TAC) ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น อำเภอแม่สาย และฝึกอบรมอาสาสมัครท่องเที่ยวให้เป็นเจ้าบ้านที่ดีเปิดศูนย์ TAC ที่สามเหลี่ยมทองคำ พร้อมล่ามภาษาจีนและอังกฤษ
  7. ด้านการตรวจลงตรา (Visa) ขยายระยะเวลาการยกเว้นวีซ่าและพัฒนาระบบยื่นขอวีซ่าออนไลน์ สนับสนุนนโยบายยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศเป้าหมาย เช่น จีนและอินเดีย และพัฒนาระบบยื่นวีซ่าออนไลน์สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด่านแม่สายจัดตั้งจุดให้ข้อมูลวีซ่าที่ด่านศุลกากรแม่สาย
  8. ด้าน Event จัดงานเทศกาลระดับสากล เช่น มหาสงกรานต์ และส่งเสริมการลงทุนในงานอีเวนต์ขนาดใหญ่ จัดงานเทศกาลระดับนานาชาติ เช่น “Chiang Rai International Balloon Festival” หรือ “Chiang Rai Marathon” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจัดงานลอยโคมที่ถนนคนเดินเชียงราย พร้อมการแสดงวัฒนธรรมล้านนา
  9. ด้านแหล่งท่องเที่ยว ขยายเวลาเปิดแหล่งท่องเที่ยว เช่น อุทยานแห่งชาติ และจัดกิจกรรม Night at The Museum ขยายเวลาเปิดแหล่งท่องเที่ยว เช่น อุทยานแห่งชาติผาแต้ม และจัดกิจกรรม Night at The Museum ที่วัดร่องขุ่นหรือพิพิธภัณฑ์บ้านดำจัดงาน “Night at Wat Rong Khun” พร้อมการแสดงแสงสีและทัวร์ยามค่ำคืน
  10. ด้านประชาสัมพันธ์ ใช้สื่อเพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมท่องเที่ยว ใช้สื่อดิจิทัล เช่น TikTok และ Instagram เพื่อโปรโมทแหล่งท่องเที่ยวในเชียงราย และร่วมมือกับ influencer ท่องเที่ยวในการสร้างคอนเทนต์จัดแคมเปญ #ChiangRaiVibes เพื่อเชิญชวนให้แชร์ภาพถ่ายแหล่งท่องเที่ยว
  11. ด้านอื่น ๆ พัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์ที่พูดภาษาต่างประเทศ และจัดหา Tourism SIM สำหรับนักท่องเที่ยว ฝึกอบรมมัคคุเทศก์ให้พูดภาษาจีนและอังกฤษ และร่วมมือกับค่ายโทรศัพท์เพื่อจัดหา Tourism SIM สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเชียงรายจัดอบรมมัคคุเทศก์ท้องถิ่นในอำเภอเชียงแสนให้พูดภาษาจีนสำหรับนักท่องเที่ยวจากจีน

แคมเปญนี้คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยว 39 ล้านคน และสร้างรายได้ 3.4 ล้านล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ การกีฬา และภาพลักษณ์ของประเทศไทยในระดับสากล

การฟื้นฟูและเตรียมความพร้อมของเชียงราย

จังหวัดเชียงรายเผชิญกับความท้าทายจากอุทกภัยในปี 2567 ซึ่งสร้างความเสียหายแก่ถนนและสะพานในหลายพื้นที่ เช่น อำเภอแม่สายและอำเภอเชียงแสน ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน อย่างไรก็ตาม การอนุมัติงบประมาณ 2,049.69 ล้านบาทในปี 2568 เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานใน 17 จังหวัด รวมถึงเชียงราย ได้ช่วยแก้ไขปัญหานี้ โดยเน้นการซ่อมแซมเส้นทางสำคัญ เช่น ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 และทางหลวงชนบท

เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เชียงรายได้ดำเนินการหลายอย่าง ดังนี้:

  1. การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน ซ่อมแซมถนนและสะพานที่เสียหาย เพื่อให้การสัญจรในพื้นที่ท่องเที่ยว เช่น สามเหลี่ยมทองคำและดอยตุง เป็นไปอย่างราบรื่น
  2. การพัฒนาการเข้าถึง เพิ่มเที่ยวบินสู่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง และพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะภายในจังหวัด
  3. การประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว ใช้สื่อดิจิทัลเพื่อโปรโมทวัดร่องขุ่น สามเหลี่ยมทองคำ และงานเทศกาลท้องถิ่น เช่น ประเพณีลอยกระทง
  4. การพัฒนาบุคลากร ฝึกอบรมมัคคุเทศก์และอาสาสมัครท่องเที่ยวให้สามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศ เช่น จีนและอังกฤษ

ความท้าทายและโอกาสของเชียงราย

  • โอกาสของเชียงราย
  1. การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวภาคเหนือ: เชียงรายสามารถเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดใกล้เคียง เช่น เชียงใหม่และพะเยา เพื่อสร้างเส้นทางท่องเที่ยวภาคเหนือ
  2. การค้าชายแดน การฟื้นฟูถนนที่ด่านแม่สายจะช่วยกระตุ้นการค้าขายและการท่องเที่ยวข้ามพรมแดน
  3. การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและกีฬา การจัดงานเทศกาลและการแข่งขันกีฬาจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจวัฒนธรรมและกีฬา
  4. โครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน การลงทุนในถนนและระบบระบายน้ำจะช่วยลดความเสียหายจากภัยพิบัติในอนาคต
  • ความท้าทายของเชียงราย
  1. โครงสร้างพื้นฐานที่ล่าช้า การก่อสร้างในพื้นที่ภูเขาอาจล่าช้า ส่งผลต่อการเตรียมความพร้อม
  2. การแข่งขันกับเมืองอื่น เชียงรายต้องแข่งขันกับเมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ และภูเก็ต ซึ่งมีทรัพยากรมากกว่า
  3. ภัยพิบัติทางธรรมชาติ น้ำท่วมและดินสไลด์ในช่วงฤดูฝนอาจกระทบการท่องเที่ยว
  4. บุคลากรที่ขาดแคลน การขาดมัคคุเทศก์ที่พูดภาษาต่างประเทศอาจจำกัดการให้บริการ

ตำแหน่งของเชียงราย

เชียงรายมีศักยภาพเป็น เมืองรองที่มีการเติบโตสูง ในแคมเปญนี้ โดยเน้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ธรรมชาติ และกีฬา ด้วยจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร เช่น สามเหลี่ยมทองคำและวัดร่องขุ่น เชียงรายสามารถสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างจากเมืองหลักได้

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวในเชียงราย: ในปี 2566 มีนักท่องเที่ยว 3.2 ล้านคน สร้างรายได้ 20,000 ล้านบาท (ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2566)
  2. ผลกระทบจากอุทกภัย: อุทกภัยในปี 2567 ทำให้ถนนในเชียงรายเสียหาย 10 แห่ง ส่งผลให้การท่องเที่ยวลดลง 20% ในบางช่วง (ที่มา: กรมทางหลวง, 2567)
  3. เป้าหมายของแคมเปญ: ดึงดูดนักท่องเที่ยว 39 ล้านคน สร้างรายได้ 3.4 ล้านล้านบาท (ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, 2568)
  4. การเติบโตของเมืองรอง: เมืองรองมีอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยว 15% ในปี 2566 (ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2566)

สรุป

แคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับการท่องเที่ยวไทย โดยเชียงรายสามารถใช้ศักยภาพด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ และการค้าชายแดน เพื่อเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ การนำแนวทางทั้ง 11 ข้อไปปรับใช้จะช่วยให้เชียงรายฟื้นตัวจากอุทกภัยและเติบโตอย่างยั่งยืนในฐานะเมืองรองที่มีเอกลักษณ์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. (2566). รายงานการท่องเที่ยวประจำปี.
  • กรมทางหลวง. (2567). รายงานสถานการณ์อุทกภัยและความเสียหายโครงข่ายถนน.
  • สำนักนายกรัฐมนตรี. (2568). มติคณะรัฐมนตรี, 6 พฤษภาคม 2568.
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2568). ข้อมูลแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025”.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

ท่องเที่ยวสะดุด สงกรานต์ปีนี้ ต่างชาติลดจองโรงแรมร่วง

สมาคมโรงแรมไทยเผยสงกรานต์ 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติลด 6.8 แสนคน ยอดจองห้องพักทรุด 25%

ประเทศไทย, 3 เมษายน 2568 – สมาคมโรงแรมไทยเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่อาจส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 โดยระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยในช่วงวันที่ 11–17 เมษายน 2568 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปี 2567 หรือคิดเป็นตัวเลขลดลงกว่า 689,282 คน สะท้อนถึงสถานการณ์ที่ท้าทายของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในปีนี้

ยอดจองห้องพักลดลงทั่วประเทศ ยกเว้นภูเก็ตและเชียงราย

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย เปิดเผยผลการสำรวจจากโรงแรมสมาชิกใน 7 จังหวัดหลักที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ ชลบุรี เชียงราย เชียงใหม่ ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี รวมทั้งหมด 52 แห่ง พบว่า จำนวนยอดจองห้องพักโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 32,244 ห้อง ลดลงจากปี 2567 ที่มียอดจอง 42,761 ห้อง หรือคิดเป็นร้อยละ 24.68

ยอดจองห้องพักในแต่ละจังหวัด

  • กรุงเทพมหานคร: โรงแรม 22 แห่ง มียอดจอง 13,371 ห้อง ลดลง 31.57% จากปีก่อน
  • กระบี่: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 1,063 ห้อง ลดลง 3.68%
  • ชลบุรี: โรงแรม 8 แห่ง มียอดจอง 2,208 ห้อง ลดลงถึง 67.14%
  • เชียงใหม่: โรงแรม 8 แห่ง มียอดจอง 2,414 ห้อง ลดลง 10.92%
  • สุราษฎร์ธานี: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 552 ห้อง ลดลง 18.58%

ในขณะที่มีเพียงสองจังหวัดเท่านั้นที่มียอดจองห้องพักเพิ่มขึ้น คือ

  • เชียงราย: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 77 ห้อง เพิ่มขึ้น 102.63% จาก 38 ห้องในปี 2567
  • ภูเก็ต: โรงแรม 11 แห่ง มียอดจอง 12,600 ห้อง เพิ่มขึ้น 4.87% จาก 12,015 ห้องในปี 2567

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงเกือบ 7 แสนคนในเดือนเมษายน

จากสถิติของสมาคมฯ คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยตลอดทั้งเดือนเมษายน 2568 จะลดลงจากปี 2567 ประมาณ 25% หรือคิดเป็น 689,282 คน เหลือเพียง 2,067,846 คน จากจำนวน 2,757,128 คนในปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สร้างความกังวลต่อภาคธุรกิจโรงแรมและบริการในหลายพื้นที่

กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักยังคงเป็นเอเชีย ยุโรป และอเมริกา

การสำรวจของสมาคมโรงแรมไทยยังระบุว่า นักท่องเที่ยว 3 กลุ่มหลักที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากที่สุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้แก่

  1. นักท่องเที่ยวจากเอเชีย
  2. นักท่องเที่ยวจากยุโรป
  3. นักท่องเที่ยวจากทวีปอเมริกา

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ลดลงในปีนี้อาจสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เน้นการเลือกจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ หรือได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ

สมาคมโรงแรมไทยเรียกร้องรัฐเร่งกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ

นายเทียนประสิทธิ์ ระบุว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนี้แตกต่างจากช่วงสงกรานต์ในปี 2566 และ 2567 อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยเพิ่งเปิดประเทศหลังการระบาดของโควิด-19 และนักท่องเที่ยวมีความตื่นตัวสูง ส่งผลให้ยอดจองห้องพักพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

“สงกรานต์ปีนี้ไม่คึกคักเหมือนที่ผ่านมา รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งดำเนินโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายและเสริมรายได้ให้กับผู้ประกอบการโรงแรมและท่องเที่ยว” นายเทียนประสิทธิ์ กล่าว

ภาพสะท้อนในจังหวัดเชียงราย: โอกาสท่ามกลางวิกฤต

แม้ในภาพรวมตัวเลขจะลดลง แต่จังหวัดเชียงรายกลับเป็นหนึ่งในสองจังหวัดที่มีตัวเลขการจองห้องพักเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีที่แล้ว สะท้อนถึงแนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้เชียงรายพัฒนาเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต

ความเห็นจากสองมุม: มองต่างแต่ร่วมทางได้

ฝ่ายสนับสนุนการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ มองว่า รัฐบาลควรเร่งผลักดันโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งและการลดภาษีธุรกิจท่องเที่ยวให้เร็วที่สุด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ลดภาระผู้ประกอบการโรงแรมและภัตตาคาร และรักษาการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

ฝ่ายระมัดระวังงบประมาณรัฐ เห็นว่าการอัดฉีดงบประมาณจำนวนมากในช่วงเวลาที่รายได้ภาครัฐลดลง อาจไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสม ควรมุ่งเน้นการพัฒนากลยุทธ์ระยะยาว เช่น พัฒนาคุณภาพบริการ เพิ่มความปลอดภัย และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาวมากกว่าเพียงแค่กระตุ้นตัวเลขในช่วงเทศกาล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนเมษายน 2567: 2,757,128 คน
  • คาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนเมษายน 2568: 2,067,846 คน (ลดลง 25%)
  • ยอดจองห้องพักรวมใน 7 จังหวัด: 32,244 ห้อง (ลดลงจาก 42,761 ห้องในปี 2567)
  • จังหวัดที่ยอดจองห้องพักเพิ่มขึ้น: เชียงราย (เพิ่ม 102.63%), ภูเก็ต (เพิ่ม 4.87%)
  • จังหวัดที่ยอดจองลดลงมากที่สุด: ชลบุรี (ลดลง 67.14%)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมโรงแรมไทย (THA)
  • กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • รายงานการท่องเที่ยวเดือนมีนาคม 2568, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงราย-กัวลาลัมเปอร์ บินตรง 4 เดือนผู้โดยสาร เกือบหมื่นคน

เชียงรายดัน “ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง” สู่ศูนย์กลางการบินภูมิภาค เสริมเศรษฐกิจท่องเที่ยวและการค้าชายแดน

เชียงราย, 4 มีนาคม 2568 – ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) กำลังเดินหน้าขยายศักยภาพสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภาคเหนือตอนบน ล่าสุดเที่ยวบิน กัวลาลัมเปอร์ – เชียงราย – กัวลาลัมเปอร์ (AK871-872) ซึ่งเป็นเส้นทางบินระหว่างประเทศเพียงเส้นทางเดียวของสนามบินเชียงรายในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา ได้ทำการบินเที่ยวสุดท้ายเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 หลังจากเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 โดยให้บริการนักท่องเที่ยวจากหลายประเทศ เช่น ไทย มาเลเซีย จีน และอินโดนีเซีย เป็นระยะเวลา 4 เดือน มีผู้โดยสารเดินทางเข้า-ออกเชียงรายรวมเกือบ 10,000 คน

ตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ เส้นทางบินนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง โดยมีผู้โดยสารจองเต็มทุกเที่ยวบินทั้งขาเข้าและขาออก สะท้อนถึงความต้องการเส้นทางบินตรงระหว่างเชียงรายกับเมืองหลักในต่างประเทศ ทำให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านภาคการท่องเที่ยว การค้า และบริการของจังหวัดเชียงราย

ศักยภาพของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

นาวาอากาศตรี สมชนก ศรีปัญญา ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปิดเผยว่า ทชร. ซึ่งเป็นท่าอากาศยานระดับภูมิภาค (Regional Airport) พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคเหนือตอนบน รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบินในอนาคต ขับเคลื่อนควบคู่ไปกับจังหวัดเชียงรายตามเจตนารมณ์

สนามบินเป็นกลไกในการผลักดันเศรษฐกิจของจังหวัด”

ปัจจุบัน ทชร.มีความสามารถรองรับผู้โดยสารได้ปีละ 3 ล้านคน และมีศักยภาพก้าวสู่การเป็นท่าอากาศยานที่มีมาตรฐานระดับสากล โดยมีแผนดำเนินการเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน รวมถึงพัฒนาพื้นที่ภายในสนามบินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบิน ศูนย์กระจายสินค้าทางอากาศ และโครงการเชื่อมโยงสนามบินกับภูมิภาคจีนตอนใต้และประเทศลุ่มแม่น้ำโขง

เส้นทางบินระหว่างประเทศ กัวลาลัมเปอร์ – เชียงราย กับโอกาสในอนาคต

สายการบินไทยแอร์เอเชียเตรียมกลับมาเปิดให้บริการเส้นทางบินตรงระหว่าง กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย – เชียงราย อีกครั้งในช่วงฤดูหนาวปลายปี 2568 โดยคาดว่าจะมีให้บริการ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ (เฉพาะวันอังคาร วันพฤหัสบดี และวันเสาร์)

เส้นทางบินดังกล่าวถือเป็นโอกาสสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียและนักเดินทางจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และจีนตอนใต้ ที่สามารถเดินทางต่อมายังเชียงรายได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายอย่างมีนัยสำคัญ

แผนการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

เพื่อรองรับการขยายตัวของจำนวนผู้โดยสารและเส้นทางบินระหว่างประเทศ ทอท. ได้เร่งดำเนินโครงการพัฒนาระยะที่ 1 ของสนามบินเชียงราย ซึ่งประกอบด้วย

  • ก่อสร้างระบบทางขับขนานด้านทิศเหนือ – เปิดให้บริการแล้ว
  • ปรับปรุงพื้นที่หัวทางวิ่งด้าน 03 และ 21 – แล้วเสร็จสมบูรณ์
  • ขยายถนนทางเข้า-ออกสนามบิน – อยู่ระหว่างการลงนามสัญญาของผู้รับจ้าง
  • ก่อสร้างอาคารรับรองบุคคลสำคัญ (VIP/VVIP) – อยู่ระหว่างออกแบบ
  • ก่อสร้างอาคารสำนักงาน ทชร. – อยู่ระหว่างการจัดทำแบบก่อสร้าง
  • ก่อสร้างอาคารดับเพลิง-กู้ภัยท่าอากาศยาน – อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำข้อกำหนดด้านเทคโนโลยี

ศักยภาพของเชียงรายกับบทบาทศูนย์กลางการบินภาคเหนือ

เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงด้านการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน โดยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเชื่อมโยงระหว่างไทย เมียนมา ลาว และจีน ซึ่งสามารถใช้สนามบินแม่ฟ้าหลวงเป็นศูนย์กลางในการขนส่งสินค้าและการเดินทางระหว่างประเทศ

ข้อดีของการพัฒนาเส้นทางบินเชียงราย – ต่างประเทศ ได้แก่
ส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยว – เชียงรายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น วัดร่องขุ่น ดอยตุง และดอยแม่สลอง ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
กระตุ้นการลงทุนและการค้า – เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่มีศักยภาพในการขนส่งสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
อำนวยความสะดวกให้ประชาชน – เพิ่มตัวเลือกการเดินทางให้ประชาชนเชียงรายและนักธุรกิจที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ทชร. ยังคงมีความท้าทายในด้านโครงสร้างพื้นฐานและปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ยังมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับสนามบินหลักในภาคเหนือ

ความคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายที่สนับสนุน เห็นว่าการขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศจะช่วยให้เชียงรายเติบโตเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการท่องเที่ยว ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ และดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่จังหวัดมากขึ้น

ฝ่ายที่เห็นว่ามีข้อจำกัด ให้ความเห็นว่า แม้ท่าอากาศยานเชียงรายจะมีศักยภาพสูง แต่ยังมีข้อจำกัดด้านปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศ หากไม่มีสายการบินให้บริการอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้สนามบินเชียงรายไม่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เต็มศักยภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนเที่ยวบินในปี 2567 – เฉลี่ย 34 เที่ยวบินต่อวัน รวม 12,035 เที่ยวบินต่อปี
  • จำนวนผู้โดยสารต่อวัน5,210 คน
  • สายการบินที่ให้บริการในเส้นทางบินภายในประเทศ5 สายการบิน
  • เป้าหมายการรองรับผู้โดยสารในอนาคต3 ล้านคนต่อปี
  • จำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศในฤดูหนาวที่ผ่านมาเกือบ 10,000 คน เดินทางผ่านเส้นทางกัวลาลัมเปอร์ – เชียงราย

บทสรุป

สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย กำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภาคเหนือตอนบน โดยมีการขยายโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มเส้นทางบินระหว่างประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายด้านปริมาณเที่ยวบินและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมที่จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : GATC Thailand / ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE