Categories
ECONOMY

ท่องเที่ยวสะดุด สงกรานต์ปีนี้ ต่างชาติลดจองโรงแรมร่วง

สมาคมโรงแรมไทยเผยสงกรานต์ 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติลด 6.8 แสนคน ยอดจองห้องพักทรุด 25%

ประเทศไทย, 3 เมษายน 2568 – สมาคมโรงแรมไทยเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่อาจส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 โดยระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยในช่วงวันที่ 11–17 เมษายน 2568 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปี 2567 หรือคิดเป็นตัวเลขลดลงกว่า 689,282 คน สะท้อนถึงสถานการณ์ที่ท้าทายของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในปีนี้

ยอดจองห้องพักลดลงทั่วประเทศ ยกเว้นภูเก็ตและเชียงราย

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย เปิดเผยผลการสำรวจจากโรงแรมสมาชิกใน 7 จังหวัดหลักที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ ชลบุรี เชียงราย เชียงใหม่ ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี รวมทั้งหมด 52 แห่ง พบว่า จำนวนยอดจองห้องพักโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 32,244 ห้อง ลดลงจากปี 2567 ที่มียอดจอง 42,761 ห้อง หรือคิดเป็นร้อยละ 24.68

ยอดจองห้องพักในแต่ละจังหวัด

  • กรุงเทพมหานคร: โรงแรม 22 แห่ง มียอดจอง 13,371 ห้อง ลดลง 31.57% จากปีก่อน
  • กระบี่: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 1,063 ห้อง ลดลง 3.68%
  • ชลบุรี: โรงแรม 8 แห่ง มียอดจอง 2,208 ห้อง ลดลงถึง 67.14%
  • เชียงใหม่: โรงแรม 8 แห่ง มียอดจอง 2,414 ห้อง ลดลง 10.92%
  • สุราษฎร์ธานี: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 552 ห้อง ลดลง 18.58%

ในขณะที่มีเพียงสองจังหวัดเท่านั้นที่มียอดจองห้องพักเพิ่มขึ้น คือ

  • เชียงราย: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 77 ห้อง เพิ่มขึ้น 102.63% จาก 38 ห้องในปี 2567
  • ภูเก็ต: โรงแรม 11 แห่ง มียอดจอง 12,600 ห้อง เพิ่มขึ้น 4.87% จาก 12,015 ห้องในปี 2567

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงเกือบ 7 แสนคนในเดือนเมษายน

จากสถิติของสมาคมฯ คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยตลอดทั้งเดือนเมษายน 2568 จะลดลงจากปี 2567 ประมาณ 25% หรือคิดเป็น 689,282 คน เหลือเพียง 2,067,846 คน จากจำนวน 2,757,128 คนในปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สร้างความกังวลต่อภาคธุรกิจโรงแรมและบริการในหลายพื้นที่

กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักยังคงเป็นเอเชีย ยุโรป และอเมริกา

การสำรวจของสมาคมโรงแรมไทยยังระบุว่า นักท่องเที่ยว 3 กลุ่มหลักที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากที่สุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้แก่

  1. นักท่องเที่ยวจากเอเชีย
  2. นักท่องเที่ยวจากยุโรป
  3. นักท่องเที่ยวจากทวีปอเมริกา

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ลดลงในปีนี้อาจสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เน้นการเลือกจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ หรือได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ

สมาคมโรงแรมไทยเรียกร้องรัฐเร่งกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ

นายเทียนประสิทธิ์ ระบุว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนี้แตกต่างจากช่วงสงกรานต์ในปี 2566 และ 2567 อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยเพิ่งเปิดประเทศหลังการระบาดของโควิด-19 และนักท่องเที่ยวมีความตื่นตัวสูง ส่งผลให้ยอดจองห้องพักพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

“สงกรานต์ปีนี้ไม่คึกคักเหมือนที่ผ่านมา รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งดำเนินโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายและเสริมรายได้ให้กับผู้ประกอบการโรงแรมและท่องเที่ยว” นายเทียนประสิทธิ์ กล่าว

ภาพสะท้อนในจังหวัดเชียงราย: โอกาสท่ามกลางวิกฤต

แม้ในภาพรวมตัวเลขจะลดลง แต่จังหวัดเชียงรายกลับเป็นหนึ่งในสองจังหวัดที่มีตัวเลขการจองห้องพักเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีที่แล้ว สะท้อนถึงแนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้เชียงรายพัฒนาเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต

ความเห็นจากสองมุม: มองต่างแต่ร่วมทางได้

ฝ่ายสนับสนุนการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ มองว่า รัฐบาลควรเร่งผลักดันโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งและการลดภาษีธุรกิจท่องเที่ยวให้เร็วที่สุด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ลดภาระผู้ประกอบการโรงแรมและภัตตาคาร และรักษาการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

ฝ่ายระมัดระวังงบประมาณรัฐ เห็นว่าการอัดฉีดงบประมาณจำนวนมากในช่วงเวลาที่รายได้ภาครัฐลดลง อาจไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสม ควรมุ่งเน้นการพัฒนากลยุทธ์ระยะยาว เช่น พัฒนาคุณภาพบริการ เพิ่มความปลอดภัย และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาวมากกว่าเพียงแค่กระตุ้นตัวเลขในช่วงเทศกาล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนเมษายน 2567: 2,757,128 คน
  • คาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนเมษายน 2568: 2,067,846 คน (ลดลง 25%)
  • ยอดจองห้องพักรวมใน 7 จังหวัด: 32,244 ห้อง (ลดลงจาก 42,761 ห้องในปี 2567)
  • จังหวัดที่ยอดจองห้องพักเพิ่มขึ้น: เชียงราย (เพิ่ม 102.63%), ภูเก็ต (เพิ่ม 4.87%)
  • จังหวัดที่ยอดจองลดลงมากที่สุด: ชลบุรี (ลดลง 67.14%)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมโรงแรมไทย (THA)
  • กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • รายงานการท่องเที่ยวเดือนมีนาคม 2568, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงราย-กัวลาลัมเปอร์ บินตรง 4 เดือนผู้โดยสาร เกือบหมื่นคน

เชียงรายดัน “ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง” สู่ศูนย์กลางการบินภูมิภาค เสริมเศรษฐกิจท่องเที่ยวและการค้าชายแดน

เชียงราย, 4 มีนาคม 2568 – ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) กำลังเดินหน้าขยายศักยภาพสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภาคเหนือตอนบน ล่าสุดเที่ยวบิน กัวลาลัมเปอร์ – เชียงราย – กัวลาลัมเปอร์ (AK871-872) ซึ่งเป็นเส้นทางบินระหว่างประเทศเพียงเส้นทางเดียวของสนามบินเชียงรายในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา ได้ทำการบินเที่ยวสุดท้ายเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 หลังจากเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 โดยให้บริการนักท่องเที่ยวจากหลายประเทศ เช่น ไทย มาเลเซีย จีน และอินโดนีเซีย เป็นระยะเวลา 4 เดือน มีผู้โดยสารเดินทางเข้า-ออกเชียงรายรวมเกือบ 10,000 คน

ตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ เส้นทางบินนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง โดยมีผู้โดยสารจองเต็มทุกเที่ยวบินทั้งขาเข้าและขาออก สะท้อนถึงความต้องการเส้นทางบินตรงระหว่างเชียงรายกับเมืองหลักในต่างประเทศ ทำให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านภาคการท่องเที่ยว การค้า และบริการของจังหวัดเชียงราย

ศักยภาพของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

นาวาอากาศตรี สมชนก ศรีปัญญา ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปิดเผยว่า ทชร. ซึ่งเป็นท่าอากาศยานระดับภูมิภาค (Regional Airport) พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคเหนือตอนบน รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบินในอนาคต ขับเคลื่อนควบคู่ไปกับจังหวัดเชียงรายตามเจตนารมณ์

สนามบินเป็นกลไกในการผลักดันเศรษฐกิจของจังหวัด”

ปัจจุบัน ทชร.มีความสามารถรองรับผู้โดยสารได้ปีละ 3 ล้านคน และมีศักยภาพก้าวสู่การเป็นท่าอากาศยานที่มีมาตรฐานระดับสากล โดยมีแผนดำเนินการเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน รวมถึงพัฒนาพื้นที่ภายในสนามบินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบิน ศูนย์กระจายสินค้าทางอากาศ และโครงการเชื่อมโยงสนามบินกับภูมิภาคจีนตอนใต้และประเทศลุ่มแม่น้ำโขง

เส้นทางบินระหว่างประเทศ กัวลาลัมเปอร์ – เชียงราย กับโอกาสในอนาคต

สายการบินไทยแอร์เอเชียเตรียมกลับมาเปิดให้บริการเส้นทางบินตรงระหว่าง กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย – เชียงราย อีกครั้งในช่วงฤดูหนาวปลายปี 2568 โดยคาดว่าจะมีให้บริการ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ (เฉพาะวันอังคาร วันพฤหัสบดี และวันเสาร์)

เส้นทางบินดังกล่าวถือเป็นโอกาสสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียและนักเดินทางจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และจีนตอนใต้ ที่สามารถเดินทางต่อมายังเชียงรายได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายอย่างมีนัยสำคัญ

แผนการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

เพื่อรองรับการขยายตัวของจำนวนผู้โดยสารและเส้นทางบินระหว่างประเทศ ทอท. ได้เร่งดำเนินโครงการพัฒนาระยะที่ 1 ของสนามบินเชียงราย ซึ่งประกอบด้วย

  • ก่อสร้างระบบทางขับขนานด้านทิศเหนือ – เปิดให้บริการแล้ว
  • ปรับปรุงพื้นที่หัวทางวิ่งด้าน 03 และ 21 – แล้วเสร็จสมบูรณ์
  • ขยายถนนทางเข้า-ออกสนามบิน – อยู่ระหว่างการลงนามสัญญาของผู้รับจ้าง
  • ก่อสร้างอาคารรับรองบุคคลสำคัญ (VIP/VVIP) – อยู่ระหว่างออกแบบ
  • ก่อสร้างอาคารสำนักงาน ทชร. – อยู่ระหว่างการจัดทำแบบก่อสร้าง
  • ก่อสร้างอาคารดับเพลิง-กู้ภัยท่าอากาศยาน – อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำข้อกำหนดด้านเทคโนโลยี

ศักยภาพของเชียงรายกับบทบาทศูนย์กลางการบินภาคเหนือ

เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงด้านการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน โดยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเชื่อมโยงระหว่างไทย เมียนมา ลาว และจีน ซึ่งสามารถใช้สนามบินแม่ฟ้าหลวงเป็นศูนย์กลางในการขนส่งสินค้าและการเดินทางระหว่างประเทศ

ข้อดีของการพัฒนาเส้นทางบินเชียงราย – ต่างประเทศ ได้แก่
ส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยว – เชียงรายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น วัดร่องขุ่น ดอยตุง และดอยแม่สลอง ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
กระตุ้นการลงทุนและการค้า – เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่มีศักยภาพในการขนส่งสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
อำนวยความสะดวกให้ประชาชน – เพิ่มตัวเลือกการเดินทางให้ประชาชนเชียงรายและนักธุรกิจที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ทชร. ยังคงมีความท้าทายในด้านโครงสร้างพื้นฐานและปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ยังมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับสนามบินหลักในภาคเหนือ

ความคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายที่สนับสนุน เห็นว่าการขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศจะช่วยให้เชียงรายเติบโตเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการท่องเที่ยว ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ และดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่จังหวัดมากขึ้น

ฝ่ายที่เห็นว่ามีข้อจำกัด ให้ความเห็นว่า แม้ท่าอากาศยานเชียงรายจะมีศักยภาพสูง แต่ยังมีข้อจำกัดด้านปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศ หากไม่มีสายการบินให้บริการอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้สนามบินเชียงรายไม่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เต็มศักยภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนเที่ยวบินในปี 2567 – เฉลี่ย 34 เที่ยวบินต่อวัน รวม 12,035 เที่ยวบินต่อปี
  • จำนวนผู้โดยสารต่อวัน5,210 คน
  • สายการบินที่ให้บริการในเส้นทางบินภายในประเทศ5 สายการบิน
  • เป้าหมายการรองรับผู้โดยสารในอนาคต3 ล้านคนต่อปี
  • จำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศในฤดูหนาวที่ผ่านมาเกือบ 10,000 คน เดินทางผ่านเส้นทางกัวลาลัมเปอร์ – เชียงราย

บทสรุป

สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย กำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภาคเหนือตอนบน โดยมีการขยายโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มเส้นทางบินระหว่างประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายด้านปริมาณเที่ยวบินและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมที่จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : GATC Thailand / ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

คนจนลด แต่เสี่ยงเพียบ สศช. ชี้ 24 ล้านคน ส่อจนหลายมิติ

สศช. เปิดเผยสถานการณ์ความยากจนไทย แม้ลดลงแต่ยังมีความเสี่ยงสูง

แนวโน้มความยากจนของไทยในปี 2566 และความท้าทายในอนาคต

เชียงราย, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับ สถานการณ์ความยากจนในประเทศไทย ในช่วงการแถลงภาวะสังคมไทย ไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 โดยพบว่าแม้ตัวเลขสัดส่วนคนจนในประเทศจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงมีความท้าทายและปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง

สถานการณ์ความยากจนหลายมิติในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนคนจนหลายมิติของประเทศไทยปรับตัวลดลง โดยในปี 2566 มีประชากรที่อยู่ในกลุ่ม คนจนหลายมิติ” รวมทั้งสิ้น 6.13 ล้านคน หรือ คิดเป็น 8.76% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าตัวเลขดังกล่าวลดลงมากกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับช่วงปี 2558 – 2566

อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขจะลดลง แต่ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้ความยากจนหลายมิติยังคงอยู่ โดยสามารถแบ่งกลุ่มคนจนออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่:

  • กลุ่มคนจนด้านตัวเงินเพียงอย่างเดียว
  • กลุ่มคนจนที่ประสบปัญหาทั้งด้านตัวเงินและด้านคุณภาพชีวิต (คนจนหลายมิติ)
  • กลุ่มคนจนที่ประสบปัญหาหลายมิติโดยไม่มีปัญหาด้านตัวเงิน

จำนวนคนจนไทยปี 2566 และแนวโน้ม

จากข้อมูลล่าสุด พบว่า ประเทศไทยมีคนจนรวมทั้งสิ้น 7.17 ล้านคน แบ่งเป็น:

  • คนจนหลายมิติเพียงอย่างเดียว จำนวน 4.78 ล้านคน
  • คนจนด้านตัวเงินเพียงอย่างเดียว จำนวน 1.04 ล้านคน
  • กลุ่มที่ประสบปัญหาทั้ง 2 ด้าน (การเงินและคุณภาพชีวิต) จำนวน 1.35 ล้านคน

ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่ามีประชากรไทยอีกจำนวนมากที่ยังประสบปัญหาด้านคุณภาพชีวิต และกว่า 18.8% ของประชากรที่อยู่ในสถานะ “เกือบจน” มีความเสี่ยงที่จะกลับไปอยู่ในกลุ่มคนจนอีกครั้ง

ความเสี่ยงและปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง

แม้สถานการณ์คนจนหลายมิติในประเทศไทยจะดีขึ้น แต่ยังมี คนไทยอีกกว่า 24 ล้านคน หรือ 34.7% ของประชากรที่จัดอยู่ในกลุ่ม เสี่ยงตกเป็นคนจนหลายมิติ” โดยกลุ่มนี้กระจายอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางเป็นหลัก

เมื่อวิเคราะห์ตามภูมิภาค พบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อความยากจนแตกต่างกัน:

  • ภาคเหนือและภาคอีสาน: ปัญหาด้านการไม่มีบำเหน็จ/บำนาญสูงถึง 70.5% ซึ่งสูงกว่าภูมิภาคอื่นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 57.4%
  • ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร: ปัจจัยที่มีผลกระทบสูงสุดคือ ความมั่นคงทางการเงิน ตามมาด้วยปัญหาด้านความเป็นอยู่และการศึกษา
  • จังหวัดพิษณุโลกและอุตรดิตถ์: แม้จะอยู่ใกล้กัน แต่มีปัญหาต่างกัน โดยพิษณุโลกเผชิญกับปัญหาการจัดการขยะ ขณะที่อุตรดิตถ์มีอัตราการขาดบำเหน็จบำนาญสูง

แนวทางแก้ไขปัญหาความยากจนหลายมิติ

รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินมาตรการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม โดยมุ่งเน้นไปที่ การสร้างความมั่นคงทางการเงิน และ การเพิ่มคุณภาพชีวิตในด้านต่าง ๆ เช่น:

  1. ส่งเสริมการวางแผนทางการเงิน: กระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการออมและการวางแผนเกษียณ
  2. พัฒนาระบบบำเหน็จ/บำนาญ: ปรับปรุงระบบสวัสดิการเพื่อรองรับประชากรสูงวัย และเพิ่มแรงจูงใจให้แรงงานนอกระบบเข้าร่วม
  3. ลดหนี้สินครัวเรือน: จัดทำโครงการปรับโครงสร้างหนี้ ลดภาระดอกเบี้ย และให้คำแนะนำด้านการบริหารจัดการเงิน
  4. พัฒนาการศึกษาและอาชีพ: เพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการฝึกอบรมทักษะเพื่อลดอัตราการว่างงาน
  5. สนับสนุนธุรกิจชุมชน: กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านโครงการพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)

ข้อคิดเห็นจากทั้งสองมุมมอง

แม้สถานการณ์ความยากจนในไทยจะมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ยังมี ข้อท้าทายสำคัญ ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า มาตรการของรัฐยังไม่เพียงพอ และต้องมีการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่บางฝ่ายมองว่า รัฐบาลมีความคืบหน้าในการลดความยากจน แต่ต้องปรับนโยบายให้เหมาะสมกับแต่ละภูมิภาคมากขึ้น

สถิติและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ กระทรวงการคลัง ในปี 2566 พบว่า:

  • สัดส่วนคนจนหลายมิติของไทยลดลงจาก 19% ในปี 2558 เหลือ 8.76% ในปี 2566
  • กลุ่มเสี่ยงตกเป็นคนจนหลายมิติอยู่ที่ 24 ล้านคน หรือ 34.7% ของประชากร
  • ภาคเหนือและภาคอีสานมีประชากรที่ขาดบำเหน็จ/บำนาญสูงสุดที่ 70.5%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สศช. / กระทรวงการคลัง / สำนักสถิติแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“เราเที่ยวด้วยกัน” คัมแบ็ก! รัฐจ่ายครึ่ง เที่ยวคุ้ม พ.ค.-ก.ย.

เราเที่ยวด้วยกัน” กลับมาอีกครั้ง! รัฐช่วย 50% กระตุ้นท่องเที่ยวช่วงโลว์ซีซั่น

กรุงเทพฯ, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – ข่าวดีสำหรับนักท่องเที่ยวไทย! โครงการ เราเที่ยวด้วยกัน” กำลังจะกลับมาอีกครั้ง โดยปรับโฉมใหม่ในรูปแบบ รัฐจ่าย 50% และประชาชนจ่ายอีก 50% ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของนักเดินทาง และกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่น ระหว่าง พฤษภาคม – กันยายน 2568

โครงการนี้จะมี เฟสแรกจำนวน 1 ล้านสิทธิ์ ครอบคลุม ค่าใช้จ่ายโรงแรมและร้านอาหาร ส่วนค่าโดยสารเครื่องบินกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเพิ่มเติม คาดว่าการเปิดลงทะเบียนจะได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ

ภาครัฐอัดงบ 3,500 ล้านบาท กระตุ้นท่องเที่ยวช่วงกลางปี

นาย สรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังเตรียม เสนอของบประมาณกลาง 3,500 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการนี้ โดยได้รับความร่วมมือจากกระทรวงการคลังในการพิจารณารายละเอียดของมาตรการ

เงื่อนไขของโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” โฉมใหม่ มีรายละเอียดดังนี้:

  • รัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย 50% และประชาชนจ่ายเอง 50%
  • สามารถใช้สิทธิ์กับโรงแรมที่พัก และร้านอาหาร ที่เข้าร่วมโครงการ
  • เปิดให้ จองสิทธิ์ล่วงหน้า 1 ล้านสิทธิ์
  • ใช้สิทธิ์ได้ระหว่าง พฤษภาคม – กันยายน 2568

ส่วนของ ตั๋วเครื่องบิน ขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และกระทรวงการคลังกำลังหารือว่ารัฐจะสามารถสนับสนุนได้หรือไม่ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนเร็ว ๆ นี้

ระบบการจองผ่านแพลตฟอร์มกลาง พร้อมดึง OTA และโรงแรมเข้าร่วม

เพื่อความสะดวกของนักท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวฯ มีแผนพัฒนา แพลตฟอร์มกลาง เพื่อให้สามารถจองสิทธิ์ได้อย่างง่ายดาย โดยคาดว่าจะมีการเปิดรับ บริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) เช่น Agoda, Booking.com, Traveloka และโรงแรมโดยตรงให้เข้าร่วมโครงการ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกจองห้องพักและบริการได้สะดวกขึ้น

รัฐคาดหวังว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงกลางปีที่มักเป็นช่วง โลว์ซีซั่น ของการท่องเที่ยวไทย ช่วยให้โรงแรม ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวสามารถฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ผลกระทบและความคาดหวังของโครงการ

  • ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย
  • ส่งเสริมการเดินทางในช่วงโลว์ซีซั่น ให้ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารมีรายได้มากขึ้น
  • ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ
  • ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานในภาคท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

  • จำนวนนักท่องเที่ยวไทยในประเทศ ปี 2567: 135 ล้านคน (ที่มา: ททท.)
  • รายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศ ปี 2567: 650,000 ล้านบาท (ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวฯ
  • โรงแรมที่เข้าร่วมโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ปี 2566: กว่า 10,000 แห่ง (ที่มา: ททท.)
  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปของนักท่องเที่ยวไทย: 5,200 บาท/ทริป (ที่มา: ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจการท่องเที่ยว)

บทสรุป

โครงการ เราเที่ยวด้วยกัน” โฉมใหม่ ได้รับการออกแบบมาเพื่อ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ ในช่วงโลว์ซีซั่น โดยภาครัฐเพิ่มสัดส่วนการสนับสนุนเป็น 50% และเปิดให้จอง 1 ล้านสิทธิ์ นักท่องเที่ยวที่ต้องการใช้สิทธิ์ควรติดตามข่าวสารและเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อโครงการเปิดรับลงทะเบียน เพราะสิทธิ์อาจหมดอย่างรวดเร็ว

รัฐบาลคาดว่า โครงการนี้จะมีผลช่วยเพิ่มการเดินทางภายในประเทศ และสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการในภาคการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

เตรียมแพลนเที่ยวได้เลย! พฤษภาคม – กันยายนนี้ เราเที่ยวด้วยกัน กลับมาแล้ว!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา / การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) / ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ / ธุรกิจการท่องเที่ยว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

รถเก่าแลกใหม่! รัฐหารือค่ายรถ ฟื้นฟูอุตสาหกรรม

ไทยหารือโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ กระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ หลังยอดผลิต-ขายลดลงต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการหารือกับผู้ผลิตรถยนต์เพื่อออกมาตรการ รถเก่าแลกรถใหม่” ซึ่งเป็นโครงการที่คาดว่าจะช่วย กระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ หลังจากยอดการผลิต ยอดขาย และการส่งออกของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 1 ปี

แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมยานยนต์เปิดเผยกับ สำนักข่าวรอยเตอร์ ว่า มาตรการนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาใน ระยะเริ่มต้น และอาจเปิดให้ประชาชนนำรถยนต์เก่ามาแลกเป็น ส่วนลดสำหรับซื้อรถใหม่ โดยรถเก่าที่นำมาแลกจะถูกทำลาย ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลไทยหารือร่วมกับ โตโยต้าและผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ

ภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่ซบเซา

ประเทศไทย ซึ่งเป็น ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังเผชิญกับปัญหาหลายด้านในภาคอุตสาหกรรมนี้ ไม่ว่าจะเป็น

  • การชะลอตัวของการส่งออก ซึ่งกระทบโดยตรงต่อยอดผลิตของภาคอุตสาหกรรม
  • ยอดขายในประเทศที่ลดลง เนื่องจากประชาชนขาดกำลังซื้อ และเผชิญปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง
  • เงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อรถยนต์ยากขึ้น

ในปี 2567 การผลิตรถยนต์ของไทยลดลง 10% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี ขณะที่ยอดขายในประเทศลดลง 26% และการส่งออกหดตัวลง 8.8% โดยในเดือนมกราคม 2568 การผลิตรถยนต์ของไทยลดลง ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 18 ลดลงมากกว่า 24% เมื่อเทียบรายปี

โตโยต้าผลักดันแผนการกำจัดรถยนต์เก่า ลดมลพิษ และกระตุ้นยอดขาย

โตโยต้าประเทศไทย ออกแถลงการณ์ต่อรอยเตอร์ว่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น รวมถึงโตโยต้า กำลังหารือเกี่ยวกับโครงการกำจัดรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน ภายใต้แนวทางของรัฐบาลไทย เพื่อลดจำนวน รถเก่าที่มีแนวโน้มปล่อยมลพิษสูง

นาย สมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) เปิดเผยว่า ผู้ผลิตรถยนต์กำลังผลักดันโครงการนี้อย่างหนัก เนื่องจากต้องการเพิ่มยอดขายรถยนต์ใหม่” โดยอายุขั้นต่ำของรถที่สามารถเข้าร่วมโครงการอาจกำหนดไว้ที่ 10 ปีขึ้นไป

การดำเนินการและแนวทางของรัฐบาลไทย

แหล่งข่าวจากรัฐบาลไทยที่ไม่ประสงค์ออกนามระบุว่า ขณะนี้มีการหารือเกี่ยวกับ โครงการรถเก่าแลกรถใหม่” แต่ยังไม่มีการสรุปรายละเอียด เนื่องจากมีหน่วยงานหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรมและโตโยต้าได้จัดประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อหาแนวทางในการกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย แต่ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับโครงการทำลายรถยนต์

โครงการแลกรถเก่า อุตสาหกรรมยานยนต์ และการเติบโตของ EV

อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยกำลังเผชิญกับการแข่งขันจาก ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รายใหญ่จากจีน อาทิ BYD และ Great Wall Motors ซึ่งได้ลงทุนในไทยกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และกำลังผลักดันราคาขายให้ต่ำลง ทำให้ตลาดรถยนต์ไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกฝ่ายยานยนต์ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า มีการหารือเกี่ยวกับมาตรการนี้แล้ว แต่ยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจากเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน”

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและอุตสาหกรรมยานยนต์

อุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเป็นหนึ่งในภาคการผลิตที่ใหญ่ที่สุด และคิดเป็น ประมาณ 10% ของ GDP ประเทศ ซึ่งมาตรการรถเก่าแลกรถใหม่อาจช่วย

  • กระตุ้นยอดขายรถยนต์ใหม่
  • ลดปริมาณรถยนต์เก่าที่ปล่อยมลพิษสูง
  • กระตุ้นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมรีไซเคิลยานยนต์

นาย สุวิทย์ โชติประดู่ รองประธานสมาคมรถยนต์ใช้แล้วแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า หากมีโครงการทำลายรถยนต์เก่า จะช่วยสร้างงานใหม่ และกระตุ้นการลงทุนด้านรีไซเคิลในไทย ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานรีไซเคิลรถยนต์เพียงไม่กี่แห่ง เช่น บริษัท กรีน เมทัลส์ ของโตโยต้า”

สถิติที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

  • ยอดผลิตรถยนต์ไทย ปี 2567 ลดลง 10% ต่ำสุดในรอบ 4 ปี (ที่มา: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
  • ยอดขายรถยนต์ในประเทศ ปี 2567 ลดลง 26% (ที่มา: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
  • ยอดส่งออกรถยนต์ ปี 2567 ลดลง 8.8% (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์)
  • ตลาด EV ไทยเติบโตขึ้น 400% ในปี 2567 (ที่มา: สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย)
  • หนี้ครัวเรือนไทย พุ่งสูงกว่า 90% ของ GDP (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย)

บทสรุป

โครงการ รถเก่าแลกรถใหม่” ที่อยู่ระหว่างการหารืออาจกลายเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญในการกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การจัดหาเงินทุน โครงสร้างพื้นฐานในการรีไซเคิล และการบริหารจัดการซากรถเก่า ซึ่งต้องรอการสรุปแนวทางจากภาครัฐและเอกชนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) / กระทรวงอุตสาหกรรม / สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) / สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) / สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจภูมิภาค ม.ค. 68 บริโภค-ท่องเที่ยวดี ลงทุนยังชะลอ

เศรษฐกิจภูมิภาคไทย มกราคม 2568: แนวโน้มและปัจจัยสำคัญ

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนมกราคม 2568 โดยระบุว่าเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคการบริโภคและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังคงชะลอตัวในบางภูมิภาค

เศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล

  • การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว สะท้อนจาก ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เพิ่มขึ้น 18.8% และ จำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ที่เพิ่มขึ้น 6.5%
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 58.4 จาก 57.5 ในเดือนก่อนหน้า
  • อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังซบเซา จำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่หดตัว -14.1%
  • ภาคการท่องเที่ยวมีสัญญาณบวก รายได้จากผู้เยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้น 7.9%

เศรษฐกิจภาคตะวันออก

  • รายได้เกษตรกรขยายตัว 3.2% สนับสนุนการบริโภคภายใน
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 61.5 จาก 60.4
  • รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 7.2%
  • อย่างไรก็ตาม การลงทุนเอกชนลดลง เงินทุนของโรงงานใหม่หดตัว

เศรษฐกิจภาคเหนือ

  • อุตสาหกรรมนมสดเป็นปัจจัยสำคัญ เงินทุนของโรงงานใหม่เพิ่มขึ้น 317.9% โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 59.0
  • การท่องเที่ยวแข็งแกร่ง รายได้จากผู้เยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้น 7.3%

เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

  • การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้น 13.4%
  • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 61.4
  • อย่างไรก็ตาม รายได้เกษตรกรลดลง -8.7%

เศรษฐกิจภาคใต้

  • ภาษีมูลค่าเพิ่มขยายตัว 11.9% รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 29.2%
  • การท่องเที่ยวเติบโตดี รายได้จากผู้เยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้น 20.3%
  • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 57.0

เศรษฐกิจภาคตะวันตก

  • การลงทุนขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ เงินทุนของโรงงานใหม่เพิ่มขึ้น 909.4% โดยเป็นการลงทุนในโรงงานผลิตกระป๋องโลหะที่กาญจนบุรี
  • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 58.0
  • รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 5.9%

เศรษฐกิจภาคกลาง

  • การลงทุนภาคเอกชนเติบโต เงินทุนโรงงานใหม่เพิ่มขึ้น 524.0% โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่พระนครศรีอยุธยา
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 58.0
  • รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 6.7%

แนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคในอนาคต

จากผลสำรวจของสำนักงานคลังจังหวัดและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พบว่า ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภูมิภาคในอีก 6 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก ภาคเกษตรและภาคบริการ รวมถึง มาตรการภาครัฐ เช่น Easy E-Receipt 2.0

ข้อสังเกตและความเสี่ยง

แม้ว่าเศรษฐกิจภูมิภาคจะมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยง ได้แก่

  • ความผันผวนของสภาพอากาศ ที่อาจกระทบต่อภาคเกษตร
  • เศรษฐกิจโลกและต้นทุนการผลิต ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
  • อัตราการลงทุนเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ในบางภูมิภาค

เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุนจากภาคการบริโภคและการท่องเที่ยว ในขณะที่ภาคการลงทุนยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองในระยะถัดไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ว่างงานเพิ่ม! จบใหม่ตกงานเพียบ แรงงานหญิงใช้สิทธิลาคลอดไม่เต็มที่

สศช. เผยอัตราการว่างงานไตรมาส 4 ปี 2567 เพิ่มขึ้น นักศึกษาจบใหม่ยังน่าห่วง

แรงงานไทยหดตัวเล็กน้อย อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สถานการณ์แรงงานไตรมาส 4 ปี 2567 มีแนวโน้มหดตัวเล็กน้อย โดยอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 8.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ โดยมีจำนวนผู้ว่างงานทั้งสิ้น 360,000 คน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 0.88% เพิ่มขึ้นจาก 0.81% ในปี 2566

กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ นักศึกษาจบใหม่อายุ 20-24 ปี โดยแบ่งเป็น

  • กลุ่มที่เคยทำงานมาก่อน อัตราว่างงานอยู่ที่ 12.4%
  • กลุ่มที่ไม่เคยทำงานมาก่อน อัตราว่างงานอยู่ที่ 5.4%

โดยผู้ที่เคยทำงานมาก่อน ส่วนใหญ่มาจาก ภาคการผลิตและการขายส่ง/ขายปลีก ขณะที่ผู้ที่ไม่เคยทำงานมาก่อน ส่วนใหญ่เป็นบัณฑิตจบใหม่จากระดับอุดมศึกษาในสัดส่วน 53.3%

แรงงานว่างงานระยะยาวเพิ่มขึ้นเกิน 13%

นอกจากนี้ ผู้ว่างงานที่ตกงานเป็นระยะเวลานานกว่า 1 ปีขึ้นไป มีจำนวนเพิ่มขึ้น 13.0% หรือคิดเป็น 67,000 คน โดยมากกว่าครึ่ง หรือ 67.6% เป็นผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน

ขณะที่อัตราการว่างงานในระบบอยู่ที่ 1.81% เพิ่มขึ้นจาก 1.74% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน มีผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานสูงถึง 220,000 คน

สถานการณ์การจ้างงานปี 2567 โดยรวมทรงตัว

  • อัตราการมีงานทำในปี 2567 อยู่ที่ 98.6% ลดลงเล็กน้อยจาก 98.7% ในปี 2566
  • จำนวนผู้มีงานทำอยู่ที่ 39.8 ล้านคน ลดลง 0.3%
  • ภาคเกษตรกรรมหดตัวลง 4.4% ขณะที่ ภาคขนส่ง/โลจิสติกส์ และโรงแรม/ภัตตาคารเติบโต 10.1% และ 7.7% ตามลำดับ
  • ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 42.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในภาคเอกชนอยู่ที่ 46.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

ปัจจัยด้านแรงงานที่ต้องจับตาในปี 2568

  1. นโยบายการค้าสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อการส่งออกและการจ้างงาน
    • ไทยอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ หากได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2
    • ไทยยังคงถูกจัดอยู่ในระดับ Tier 2 ของรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2565
  2. การบริหารจัดการแรงงานต่างชาติและแรงงานผิดกฎหมาย
    • แม้ไทยจะมีมาตรการนำเข้าและต่ออายุแรงงานต่างด้าวตาม MOU แต่ยังคงพบปัญหาการละเมิดกฎหมายแรงงาน
  3. แรงงานหญิงยังไม่ได้ใช้สิทธิลาคลอดเต็มจำนวน
    • พบว่าแรงงานหญิงที่ตั้งครรภ์ ใช้สิทธิลาคลอดเฉลี่ยเพียง 30-59 วัน จากสิทธิทั้งหมด 98 วัน
    • สาเหตุหลักคือ ความจำเป็นด้านรายได้และโอที รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับ การถูกลดโบนัส แม้องค์การอนามัยโลกจะสนับสนุนให้มารดาให้นมบุตรอย่างต่อเนื่อง 6 เดือน

ทิศทางค่าแรงขั้นต่ำ: ปรับขึ้นหรือไม่?

จากประเด็นที่มีการถกเถียงเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท นายดนุชาให้ความเห็นว่า การปรับขึ้นค่าแรงควรขึ้นอยู่กับศักยภาพของแรงงาน โดยหากแรงงานมีทักษะและความสามารถเพียงพอ ควรได้รับค่าจ้างที่สูงขึ้น แต่หากศักยภาพยังไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการแข่งขัน การปรับขึ้นค่าแรงอาจสร้างผลกระทบในระยะยาวต่อเศรษฐกิจไทย

สถิติสำคัญเกี่ยวกับตลาดแรงงานไทยในปี 2567

  • อัตราการว่างงานในไตรมาส 4 ปี 2567 อยู่ที่ 0.88% เพิ่มขึ้นจาก 0.81% ในปี 2566
  • จำนวนผู้ว่างงาน 360,000 คน เพิ่มขึ้น 8.8% จากปีก่อน
  • แรงงานว่างงานระยะยาวเพิ่มขึ้น 13.0% อยู่ที่ 67,000 คน
  • อัตราการมีงานทำปี 2567 อยู่ที่ 98.6% ลดลงเล็กน้อยจาก 98.7% ในปี 2566
  • ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ย 42.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจากปี 2566

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ว่า แนวโน้มตลาดแรงงานไทยในปี 2568 จะยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะสถานการณ์เศรษฐกิจโลก นโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจ และโครงสร้างตลาดแรงงานในประเทศที่ต้องการการปรับตัว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ท่องเที่ยวไทยวิกฤต จีนเททริปหนีภัย ญี่ปุ่นแซงหน้า

นักท่องเที่ยวจีนยกเลิกเที่ยวบินไปไทย 94% หันไปญี่ปุ่นแทนช่วงตรุษจีน

จีนแห่เที่ยวญี่ปุ่น แทนไทย หลังข่าวลักพาตัวนักแสดงดัง

ประเทศจีน, 24 กุมภาพันธ์ 2568 – ข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence เผยว่า ยอดการยกเลิกเที่ยวบินมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 94% ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนเลือกเดินทางไปยังญี่ปุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะลานสกีและบ่อน้ำพุร้อนในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน

จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากความกังวลด้านความปลอดภัย หลังเกิดกรณีลักพาตัว ‘หวัง ซิง’ หรือ ‘ซิงซิง’ นักแสดงชาวจีนจากไทยไปยังเมียนมา แม้จะมีการช่วยเหลือกลับมาได้สำเร็จ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความหวาดกลัวจนทำให้นักท่องเที่ยวจีนพากันยกเลิกแผนเดินทางมายังประเทศไทย

นักวิเคราะห์เตือน ไทยอาจพลาดเป้าหมายนักท่องเที่ยวจีน

Eric Zhu นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า ความกังวลเรื่องความปลอดภัยมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวจีนมากกว่ามาตรการสร้างความมั่นใจของรัฐบาลไทย “การรับรู้ข่าวร้ายสูงเกินไปจนแนวทางยกระดับความปลอดภัยของไทยอาจไม่สามารถกู้คืนความเชื่อมั่นได้ในระยะสั้น”

ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นกลับกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม โดยยอดจองเที่ยวบินจากจีนไปญี่ปุ่นในไตรมาสแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ปัจจัยที่ส่งเสริม ได้แก่ ค่าเงินเยนอ่อน และราคาตั๋วเครื่องบินจากเซี่ยงไฮ้ไปโตเกียวที่ต่ำเพียง 150 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 5,000 บาท

ไทยต้องปรับกลยุทธ์แข่งขัน ดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมา

ประเทศไทยกำลังสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดการท่องเที่ยวจีนให้กับญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งมีนโยบายฟรีวีซ่าดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่า ข้อมูลจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) เผยว่า ในเดือนมกราคม 2568 ญี่ปุ่นต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนกว่า 980,000 คน เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อนหน้า ขณะที่ไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีน 711,000 คน ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์

เพื่อรับมือกับปัญหานี้ รัฐบาลไทยได้ดำเนินมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยมีการตัดไฟและปิดกิจการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจับมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อช่วยเหลือเหยื่อแรงงานต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาดูว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยกอบกู้ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนได้หรือไม่

สถิติการท่องเที่ยวไทยและผลกระทบทางเศรษฐกิจ

  • ภาคการท่องเที่ยวไทยมีสัดส่วน 12% ของ GDP ประเทศ
  • คาดการณ์รายได้จากการท่องเที่ยวปี 2568 อยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.85 ล้านล้านบาท)
  • เป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนของไทยในปีนี้อยู่ที่ 8.8-9 ล้านคน
  • หากไม่สามารถฟื้นความเชื่อมั่นได้ ไทยอาจดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนได้เพียง 7.5 ล้านคน

Subramania Bhatt ซีอีโอของ China Trading Desk ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แม้ยอดจองตั๋วเครื่องบินจากจีนมาไทยในเดือนมีนาคมยังลดลง 10% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ดีมานด์การเดินทางในเดือนเมษายนและพฤษภาคมกลับเติบโตขึ้นกว่า 3% ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวก

อนาคตของการท่องเที่ยวไทยในสายตาผู้เชี่ยวชาญ

เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย ระบุว่า รัฐบาลไทยต้องขยายตลาดการท่องเที่ยวไปไกลกว่าสถานที่ยอดนิยมอย่างกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ หากต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนกลับมา “แม้แต่คนไทยเองยังนิยมไปเที่ยวญี่ปุ่นมากกว่าภูเก็ต”

ไทยจำเป็นต้องเพิ่มความพยายามและส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ให้เป็นที่สนใจ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้ มิฉะนั้น การดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาสู่ประเทศไทยอาจต้องใช้เวลายาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Bloomberg Intelligence

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

รับสร้างบ้านปี 67 วูบ 20% คนไทยสร้างบ้านเองน้อยลง

สร้างบ้านเองลดฮวบ! ตลาดรับสร้างบ้านปี 67 ดิ่งลง 20%

ประเทศไทย, 18 กุมภาพันธ์ 2568 – HBA เผยตลาดรับสร้างบ้านปี 2567 หดตัว 20% คาดปี 2568 ทรงตัวที่ 200,000 ล้านบาท

นายอนันต์กร อมรวาที นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA: Home Builder Association) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศในปี 2567 มีมูลค่าประมาณ 211,000 ล้านบาท ลดลง 20% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากคนไทยสร้างบ้านเองลดลง โดยเฉพาะในพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ลดลงมากกว่าต่างจังหวัด

หากแบ่งเป็นรายพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีสัดส่วน 24.37% มูลค่า 51,421 ล้านบาท ส่วนต่างจังหวัดมีสัดส่วน 75.63% มูลค่า 159,579 ล้านบาท กระจายอยู่ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ดังนี้:

  1. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 18.76% มูลค่า 39,584 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: นครราชสีมา ขอนแก่น บุรีรัมย์
  2. ภาคใต้ 16.83% มูลค่า 35,511 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: สงขลา นครศรีธรรมราช ภูเก็ต
  3. ภาคเหนือ 15.72% มูลค่า 33,169 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: เชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย
  4. ภาคตะวันออก 12.58% มูลค่า 26,544 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา
  5. ภาคตะวันตก 7.52% มูลค่า 15,867 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี
  6. ภาคกลาง 4.22% มูลค่า 8,904 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี

ธุรกิจรับสร้างบ้านไม่ถดถอย แต่ชะลอตัวจากปัจจัยเศรษฐกิจ

ขณะที่มูลค่าตลาดรับสร้างบ้านในส่วนของสมาชิกสมาคมฯ อยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในภาวะทรงตัว เนื่องจากขาดปัจจัยสนับสนุนที่ชัดเจน เช่น อัตราดอกเบี้ยสูง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ และภาระหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจจะถดถอยหรือเติบโต ธุรกิจรับสร้างบ้านก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

นายอนันต์กรกล่าวว่า แม้ปัจจุบันผู้บริโภคจะชะลอการตัดสินใจสร้างบ้าน แต่คาดว่าตัวเลขรายได้ในปี 2568 น่าจะเติบโตใกล้เคียงกับปี 2567 ที่มีมูลค่ามากกว่า 200,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง และแก้ไขข้อจำกัดทางกฎหมายเกี่ยวกับแรงงาน เพื่อให้แรงงานต่างด้าวสามารถเข้ามาทำงานในไทยได้ง่ายขึ้น

โครงการบ้านเพื่อคนไทยไม่กระทบตลาดรับสร้างบ้าน

สำหรับโครงการ บ้านเพื่อคนไทย” ซึ่งมีเป้าหมายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีบ้านเป็นของตนเองนั้น นายอนันต์กรมองว่า ไม่มีผลกระทบต่อตลาดรับสร้างบ้าน เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดย ตลาดรับสร้างบ้านส่วนใหญ่เป็นบ้านมูลค่า 2-3 ล้านบาทขึ้นไป และส่วนใหญ่เป็นบ้านระดับ 3-100 ล้านบาท ซึ่งแตกต่างจากโครงการบ้านเพื่อคนไทยที่เน้นกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรกที่มีรายได้น้อย

ปรับเงื่อนไขบ้านบีโอไอไม่มีผลต่อตลาดรับสร้างบ้าน

ในกรณีการปรับเงื่อนไขบ้านบีโอไอเพื่อจูงใจเอกชนให้เข้าร่วมโครงการบ้านเพื่อคนไทย นายอนันต์กรมองว่า ไม่มีผลกระทบ เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดยกลุ่มลูกค้าของบริษัทรับสร้างบ้านส่วนใหญ่ เป็นเจ้าของที่ดินเอง และต้องการบ้านที่มีดีไซน์เฉพาะ ไม่ใช่บ้านจัดสรรหรือบ้านในโครงการทั่วไป

ธุรกิจรับสร้างบ้านไม่หวั่นกลุ่มทุนต่างชาติ-จีนเทา

สำหรับกระแสข่าวเกี่ยวกับ นักลงทุนต่างชาติและกลุ่มทุนจีนเทา ที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย นายอนันต์กรมองว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดรับสร้างบ้าน เนื่องจากธุรกิจรับสร้างบ้านของสมาคมฯ มีลักษณะเฉพาะเจาะจง และลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่มีที่ดินเป็นของตนเอง

“กลุ่มทุนจีนเทาที่เข้ามาในไทยมักเน้นลงทุนใน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ศูนย์เหรียญ หรือโครงการคอนโดมิเนียม มากกว่าธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งเป็นตลาดที่มีลักษณะเฉพาะและไม่ได้พึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติ” นายอนันต์กรกล่าว

HBA เตรียมมาตรการส่งเสริมตลาดรับสร้างบ้านปี 2568

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เตรียมดำเนินมาตรการส่งเสริมตลาดรับสร้างบ้านในปี 2568 โดยเน้น การสร้างความเข้าใจและกระตุ้นการรับรู้ของผู้บริโภค ผ่านการให้ข้อมูลด้านการออกแบบ เทคโนโลยีการก่อสร้าง และแนวโน้มการสร้างบ้านในอนาคต พร้อมทั้งร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อพัฒนาแรงงานก่อสร้าง และผลักดันให้เกิดมาตรการกระตุ้นตลาดอย่างเป็นรูปธรรม

ปี 2568 เป็นปีแห่งความท้าทาย แต่เรามั่นใจว่าธุรกิจรับสร้างบ้านจะยังคงเติบโตได้ภายใต้เงื่อนไขเศรษฐกิจที่เหมาะสม และการสนับสนุนจากภาครัฐ” นายอนันต์กรกล่าวสรุป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA: Home Builder Association)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

บ้าน-รถยนต์โคม่า เอกชนชงรัฐ ลดหย่อนภาษีกระตุ้นกำลังซื้อ

วิกฤตกำลังซื้อบ้าน-รถยนต์ปี 2568: ความท้าทายและแนวทางกระตุ้นตลาด

กรุงเทพฯ, 15 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักข่าว ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่าตลาดรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ จากปัญหากำลังซื้อที่ลดลงอย่างรุนแรง สาเหตุหลักมาจากสถาบันการเงินที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ตลาดหดตัวอย่างหนัก ทั้งในภาคอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งภาคธุรกิจและภาครัฐต่างเร่งมือหาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว

ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ในปี 2567 – 2568

  1. ตลาดรถยนต์ซบเซาหนักสุดในรอบ 15 ปี
  • ยอดขายรถยนต์ในปี 2567 ลดลงเหลือเพียง 570,000 คัน หดตัวเกือบ 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • ตลาดรถกระบะได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากประชาชนขาดสภาพคล่องและไม่สามารถขอสินเชื่อได้
  • ลีสซิ่งและสินเชื่อรถยนต์ได้รับผลกระทบจากอัตราปฏิเสธสินเชื่อที่สูงขึ้น
  1. ภาวะตลาดบ้านและคอนโดฯ ลดลงกว่า 40%
  • ความเข้มงวดของสถาบันการเงินทำให้ประชาชนขอสินเชื่อบ้านได้ยากขึ้น
  • โครงการอสังหาฯ ใหม่ลดลง โดยเฉพาะโครงการขนาดกลางและเล็กที่แทบไม่มีที่ยืน
  • นโยบาย Loan to Value (LTV) ส่งผลกระทบต่อกลุ่มบ้านราคาแพง ทำให้ยอดขายลดลง

มาตรการภาครัฐและสถาบันการเงิน

  1. บสย. เสนอค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ
  • บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เตรียมเข้ามาช่วยค้ำประกันสินเชื่อรถยนต์ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถซื้อรถได้ง่ายขึ้น
  • เน้นช่วยเหลือกลุ่มที่ใช้รถเพื่อประกอบอาชีพ เช่น เกษตรกร และผู้ขับขี่รับจ้าง
  1. การถกมาตรการปลดล็อก LTV กับ ธปท.
  • 3 สมาคมอสังหาฯ และ 3 แบงก์ใหญ่เข้าหารือกับ ธปท. เพื่อขอผ่อนปรนมาตรการ LTV
  • ข้อเสนอหลักคือการลดภาระเงินดาวน์สำหรับบ้านหลังที่ 2 และ 3
  • มาตรการนี้จะช่วยให้กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูงสามารถซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น
  1. ข้อเสนอ “ลดหย่อนภาษีค่างวดรถยนต์”
  • บริษัทลีสซิ่งเสนอให้ผู้ซื้อรถยนต์สามารถนำค่างวดมาลดหย่อนภาษีได้
  • แนวคิดนี้คล้ายกับมาตรการภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้าน ซึ่งช่วยให้ผู้ที่ต้องการซื้อรถมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น
  • ข้อเสนอนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคประชาชนและธุรกิจ

  1. กลุ่มประชาชนทั่วไป
  • ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านและรถยนต์ได้รับผลกระทบจากการเข้มงวดสินเชื่อ
  • หนี้ครัวเรือนที่สูงทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง
  • ปัญหาการขอสินเชื่อไม่ผ่านส่งผลให้ประชาชนต้องเช่าที่อยู่อาศัยหรือใช้รถเก่าแทนการซื้อใหม่
  1. ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และค่ายรถยนต์
  • ผู้พัฒนาโครงการขนาดเล็กและกลางได้รับผลกระทบหนักจากยอดขายที่ตกต่ำ
  • โรงงานผลิตรถยนต์และดีลเลอร์ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความต้องการที่ลดลง

ข้อเสนอ 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาคอสังหาฯ

  1. ผ่อนปรน LTV ทุกระดับราคา
  2. ขยายมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองถึงสิ้นปี 2568
  3. ลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับผู้ซื้อบ้านทุกระดับราคา
  4. ให้ผู้ซื้อสามารถนำราคาบ้านมาหักลดหย่อนภาษีได้
  5. ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 50% ในปี 2568
  6. ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% เพื่อช่วยลดต้นทุนของผู้พัฒนาโครงการ

สรุป

ตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ของไทยกำลังเผชิญวิกฤตจากปัญหากำลังซื้อที่ลดลง แม้ภาคธุรกิจและภาครัฐจะพยายามหาทางออกด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปัจจัยสำคัญยังอยู่ที่ความสามารถของประชาชนในการเข้าถึงสินเชื่อ หากมาตรการที่เสนอสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจช่วยให้ตลาดฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568

FAQ: คำถามที่พบบ่อย

  1. ทำไมตลาดรถยนต์และบ้านถึงหดตัวหนักในปี 2567 – 2568?

เศรษฐกิจที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่สูง และการเข้มงวดของสถาบันการเงินทำให้ประชาชนไม่สามารถขอสินเชื่อได้ง่าย

  1. มาตรการของภาครัฐในการช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านมีอะไรบ้าง?

มีมาตรการลดค่าโอน-จดจำนอง, การผ่อนปรน LTV และข้อเสนอการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้าน

  1. ทำไมภาคธุรกิจต้องการให้ลดหย่อนภาษีค่างวดรถยนต์?

เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อรถได้ง่ายขึ้น ลดภาระการผ่อนชำระ และกระตุ้นยอดขายในอุตสาหกรรมรถยนต์

  1. LTV คืออะไร และมีผลกระทบต่อประชาชนอย่างไร?

LTV (Loan to Value) เป็นมาตรการที่กำหนดเงินดาวน์สำหรับการขอสินเชื่อบ้าน การเข้มงวดของมาตรการนี้ทำให้ผู้ซื้อบ้านต้องวางเงินดาวน์สูงขึ้น

  1. มีโอกาสที่ตลาดจะฟื้นตัวในปี 2568 หรือไม่?

หากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อถูกนำมาใช้และเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น อาจช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ประชาชาติธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News