
เวียงหนองหล่ม “พรุทุ่งหญ้า” รอยต่อความมั่นคงน้ำกับความทรงจำของชุมชน เมื่อแผน 3.88 พันล้าน ปะทะเสียงนกอพยพและระฆังปางควาย
เชียงราย, 11 กันยายน 2568— ยามเช้าที่เวียงหนองหล่ม หมอกบางคลี่คลุมแนวหญ้ากก ดวงตากลมของนกแสกทุ่งหญ้าเฝ้ามองผืนน้ำตื้นที่ครั้งหนึ่งเคยพรั่งพร้อมด้วยลูกปลา ปูนา และแมลงน้ำ—โซ่อาหารที่เลี้ยงทั้งนกอพยพและคนท้องถิ่นมาหลายชั่วคน แต่วันนี้ภาพจำดั้งเดิมกำลังไหวกระเพื่อม ท่ามกลางคันดินใหม่และเรือขุดที่ขะมักเขม้นตาม “แผนแม่บทพัฒนา-ฟื้นฟูเวียงหนองหล่ม” งบประมาณรวม 3,880.85 ล้านบาท ซึ่งเพิ่งเดินหน้าต่อเนื่องในช่วงสองปีที่ผ่านมา ภายใต้ความตั้งใจ “แก้แล้ง-ลดท่วม” และเพิ่มศักยภาพกักเก็บน้ำให้พอกับความต้องการการเกษตรและชุมชนโดยรอบกว่า 10,000 ครัวเรือน/11,000 ไร่ ตามกรอบงาน 65 โครงการย่อย ของภาครัฐ
โหนดเรื่อง (Nut graf) พื้นที่ชุ่มน้ำ “สำคัญระดับชาติ” ที่ยืนอยู่กลางสมการยาก
เวียงหนองหล่มตั้งอยู่ในแอ่งเชียงแสน คร่อมอำเภอแม่จัน–เชียงแสน จังหวัดเชียงราย ครอบคลุมพื้นที่ราว 14,000–14,457 ไร่ ได้รับมติคณะรัฐมนตรี (1 ส.ค. 2543) ให้เป็น “พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ” (Nationally Important Wetland) ด้วยคุณค่าด้านนิเวศและวัฒนธรรม—แหล่งอาศัยของนกอพยพ และฐานทรัพยากรอาหารของชุมชนพื้นที่ต่ำเหนือสุดของประเทศ
ในเชิงนโยบายระหว่างประเทศ เวียงหนองหล่มไม่ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็น “แรมซาร์ไซต์” โดยตรง แต่ตั้งอยู่ในแอ่งเดียวกับ หนองบงคาย (Chiang Saen Lake) เขตห้ามล่าสัตว์ป่าที่เป็น Ramsar Site ลำดับที่ 1101 (5 ก.ค. 2544) ซึ่งยืนยันสถานะ “หัวใจความหลากหลายชีวภาพ” ของทั้งลุ่มน้ำเชียงแสน ดังนั้น แม้สถานะกฎหมายต่างกัน คุณค่าทางนิเวศ “เชื่อมถึงกัน” ทั้งระบบ และเป็นเหตุผลว่าทำไมแผนใดๆ ต่อเวียงหนองหล่มจึงต้องเทียบชั้นมาตรฐานอนุรักษ์สากลอย่างระมัดระวัง
ไทม์ไลน์บนพรุ จาก “มติ-แผน” สู่ “เครื่องจักร-คันดิน”
- 30 ต.ค. 2562: รัฐบาลเห็นชอบให้เร่งพัฒนาเวียงหนองหล่ม บูรณาการหลายหน่วยงาน ภายใต้มาตรการแก้น้ำท่วม-แล้งของลุ่มน้ำกก–โขงตอนบน
- 2564–2568: คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) รับรอง แผนแม่บท 65 โครงการ วงเงินรวม 3,880.85 ล้านบาท (หลายช่วงสัญญา) เน้นงานดิน โครงสร้างระบายน้ำ ปรับปรุงลำน้ำ และยกระดับการจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำ
- ปลายปี 2565–2567: กรมชลประทานแจงเป้าหมาย “เพิ่มความจุกักเก็บจาก 8 เป็น 20 ล้าน ลบ.ม.” เพื่อรองรับเมือง–เกษตร–ภัยพิบัติ รวมถึงเชื่อมแผนท่องเที่ยว-อนุรักษ์ในบางโซน (หอชมนก/เส้นทางเรียนรู้) ควบคู่ “กิจการพลเมืองน้ำ” ในพื้นที่ริมหนอง

ฝั่งรัฐชี้ว่า ความเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทำให้ฝนสวิง น้ำหลากเร็ว แล้งยาวนาน แหล่งเก็บน้ำกระจุกตัวแบบเดิม “ไม่พอ” การขุดลอก-เปิดทางน้ำและสร้างคันดิน “จำเป็น” เพื่อสะสมฝนหลวงและน้ำหลากเข้าพื้นที่ชุ่มน้ำแก้มลิง ก่อนปล่อยกลับให้ชุมชนยามแล้ง รวมทั้งลดน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มทางทิศใต้ของหนอง
เมื่อ “ทุ่งหญ้า-ผืนน้ำตื้น” ถูกแทนที่ด้วย “อ่างลึก-คันดินสูง”
ขณะที่เครื่องจักรก้าวหน้าตามแผน เสียงคัดค้านจากชุมชน “ปางควาย” และกลุ่มชาวประมง–หาของป่าเริ่มดังขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566–2568 ด้วยข้อกังวลหลัก 3 ประการ
- ความลึก-คันดิน: แกนนำชุมชนระบุว่า “สิ่งที่ทำจริงลึกเกินตกลง” กระทบพฤติกรรมสัตว์น้ำ–หญ้าน้ำ–การลงกินน้ำของควาย มีจุดที่คันดินสูงจน “ควายลงน้ำไม่ได้” และ “ปิดทับทางน้ำเดิมบางแขนง” ข้อกล่าวหานี้ปรากฏในรายงานภาคสนามและคลิปเสียงสะท้อนสื่อหลายเจ้า—เป็นปมที่หน่วยงานต้องเคลียร์ “ตัวเลข-แบบก่อสร้าง-EIA/IEE ที่อัปเดตล่าสุด” ให้สาธารณะเข้าใจ ตรงกันทุกฝ่าย
- วิถี “ปางควาย”: เวียงหนองหล่มคือศูนย์รวมปางควายมากกว่า “2,000 ตัว” (ข้อมูลปี 2566–2567) เลี้ยงแบบเปิดในทุ่งหญ้า–หนองตื้น เมื่อภูมิทัศน์เปลี่ยนเป็นอ่างลึกและคันดินยาว วิถีเลี้ยง-หญ้าอาหาร-จุดลงน้ำจืดถูกบีบตัว ชาวบ้านห่วง “ต้นทุนอาหารเพิ่ม–สุขภาพฝูงแย่ลง” และ “เอกลักษณ์ปางควายล้านนา” ที่สร้างรายได้ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาจค่อยๆ หายไป
- แหล่งหากินนกอพยพ–นกหายาก: Eastern Grass Owl (นกแสกทุ่งหญ้า) เคยถูกบันทึกในเขตเชียงราย–เชียงแสน รวมถึงภาพถ่ายภาคสนามของนักดูนกบริเวณหนองหล่ม/ปริมณฑล หาก “น้ำลึก-กระแสลมเปลี่ยน–กอหญ้าหาย” จะซ้ำเติมการลดลงของพื้นที่ทำรัง-หากินของนกในสกุลทุ่ง–กก–อ้อ ขณะเดียวกันบรรดาเหยี่ยวทุ่ง (Eastern Marsh / Pied Harrier) ที่เคยรวมหลับนอนฤดูหนาวก็ต้องการทุ่งกว้างน้ำตื้นเป็นฐานหาอาหาร—ปรากฏการณ์ที่หลายกลุ่มอนุรักษ์กลัวว่าจะ “ซบเซา” หากภูมิทัศน์เปลี่ยนเร็วเกินไป
ฝั่งรัฐ–หน่วยงาน ยืนยันวัตถุประสงค์ “เพิ่มความมั่นคงน้ำ” และอ้าง “ช่วยชุมชน”
กรมชลประทานและหน่วยงานท้องถิ่นชี้ว่า โครงการทั้งหมดถูกออกแบบ “เพื่อชุมชน” ลดท่วม–เพิ่มน้ำ โดยระบุประโยชน์ 3 ระดับ: (1) เกษตรมีน้ำต้นทุนตลอดปี, (2) เมือง–ชุมชนปลอดภัยมากขึ้นจากน้ำหลากฉับพลัน, (3) เกิดโครงสร้างพื้นฐานรองรับกิจกรรมเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่ที่เหมาะสม พร้อมยืนยันว่าการก่อสร้างหลายช่วง “พยายามคงสมดุลนิเวศ” และ “มีการหารือชุมชน” อย่างต่อเนื่อง โดยมีภาพข่าวและคำชี้แจงทางการหลายครั้งตั้งแต่ปลายปี 2565 ถึงกลางปี 2567 สนับสนุนจุดยืนดังกล่าว
อย่างไรก็ดี องค์กรอนุรักษ์อย่าง มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ออกแถลงการณ์เรียกร้อง “ทบทวนรูปแบบงานดิน” และ “จัดสรรโซนนิเวศเฉพาะ (Ecological Zoning)” ที่คุ้มครอง ทุ่งน้ำตื้น-กอหญ้า ให้พอสำหรับนก–ควาย–ปลาน้ำจืด และทำระบบติดตามผลกระทบทางนิเวศ (Ecological Monitoring) อย่างเปิดเผย ซึ่งสะท้อนว่ากระบวนการมีส่วนร่วมและการกำกับดูแลยัง “มีช่องว่าง” ที่รัฐต้องเร่งอุด

“เวียงหนองหล่ม” กับมาตรฐานพื้นที่ชุ่มน้ำ—เรากำลังรักษาอะไร?
ด้วยสถานะ “พื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญระดับชาติ” (ตามมติ ครม. 2543) เวียงหนองหล่มมีคุณค่าหลักคือ ภูมิทัศน์น้ำตื้น–ทุ่งหญ้า–พืชน้ำ ที่รองรับความหลากหลายชีวภาพและวิถีหากินแบบดั้งเดิม การพัฒนาแบบ “อ่างเก็บน้ำลึก–คันดินสูง–เขื่อนดินยาว” จึงต้องอธิบายให้สังคมเห็น “เหตุผลเชิงนิเวศ” ว่าจะยังรักษาองค์ประกอบเหล่านี้ไว้ได้อย่างไร มิฉะนั้น “เราจะรักษาแต่ชื่อ แต่สูญเสียเนื้อแท้” ของพื้นที่ชุ่มน้ำไปทีละน้อย
“น้ำของใคร—ประโยชน์ของใคร” และภาระตรวจสอบแบบมีส่วนร่วม
อีกปมคือธรรมาภิบาลน้ำ แผนแม่บท 65 โครงการย่อย ในระยะหลายปี ย่อม “ซับซ้อน–กระจายสัญญา” การเปิดเผยข้อมูลแบบอ่านง่าย (ดัชนีงานดิน–ความลึก–แนวคันดิน–ตารางน้ำเข้า-ออก–ตัวชี้วัดนิเวศ) จะทำให้ประชาชนร่วมตรวจสอบได้จริง ลดอคติและข่าวลือ ตัวอย่างการสื่อสารข้อมูลเชิงระบบของหน่วยงานกลาง (กนช./กรมชลประทาน) ในช่วงปลายปี 2565 ที่เคยแถลงชุดใหญ่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่เมื่อ “งานภาคสนาม” เดินไปไกลกว่า “เอกสาร” ข้อมูลก็ต้อง “ตามทันพื้นที่” อย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้ความไม่ไว้วางใจลุกลามเป็นความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง
เสียงจากพื้นที่ (Key voices) และสถิติที่ชวนคิด
- 2,000+ ตัว: ประมาณการฝูงควายในโซนแม่จัน–เวียงหนองหล่มที่ได้รับผลกระทบตามข่าวโทรทัศน์ช่วงกลางปี 2566 สะท้อนให้เห็น “ต้นทุนดูแลฝูง” ที่จะเพิ่มขึ้น เมื่อภูมิทัศน์เปลี่ยนจากทุ่ง–หนองตื้น สู่โครงสร้างน้ำลึก–คันดินสูง โดยเฉพาะฤดูแล้งที่หญ้าธรรมชาติขาดตอน
- นกแสกทุ่งหญ้า (Eastern Grass Owl) และ เหยี่ยวทุ่ง (Eastern Marsh / Pied Harrier) เป็น “ดัชนีชีวภาพ” ของทุ่งชุ่มน้ำ เมื่อพื้นที่กอหญ้า–น้ำตื้นลดลง โอกาสกลับมารวมฝูงในฤดูหนาวย่อมลดลงตามไปด้วย—ประเด็นที่ชมรมดูนกและนักวิทยาศาสตร์พลเมืองติดตามต่อเนื่องในภาคเหนือ
- 20 ล้าน ลบ.ม.: เป้าหมายความจุอ่างตามแผนรัฐ ช่วยลดเสี่ยงน้ำแล้ง–หลาก แต่คำถามคือ “จะทำอย่างไรให้ 1 ลบ.ม. ของน้ำใหม่” ไม่แลกมาด้วย “1 หน่วยบริการนิเวศ” (การหากินของปลา–นก–ควาย) ที่หายไป—ซึ่งต้องแก้ด้วย “การออกแบบพื้นที่ชุ่มน้ำเชิงนิเวศ (Ecohydrology)” มากกว่า “ขุดลอกอย่างเดียว”

โรดแมปสามชั้น “หยุดคิด–ปรับแบบ–ร่วมบริหาร”
- หยุดคิดก่อนทำ (Pause & Verify): หยุดช่วงงานที่มีข้อร้องเรียนสูง (ความลึก–แนวคันดิน) เพื่อตรวจแบบจริง-ก่อสร้างจริง โดยเปิดพื้นที่สาธารณะร่วมตรวจ (ชุมชน-นักวิชาการ-สื่อ) พร้อมติดตั้ง “ไม้บรรทัดน้ำ/ไลดาร์ฉากตัด” แสดงระดับงานแบบเรียลไทม์ให้ประชาชนดูได้ (Dashboard)
- ปรับแบบ (Redesign for Ecology): กำหนด “โซนคุ้มครองนิเวศ” อย่างเป็นทางการ—ไม่น้อยกว่า X% ของพื้นที่ต้องรักษาน้ำตื้น/กอหญ้า, ทำ “ลาดลงน้ำสำหรับควาย” ทุกระยะ Y เมตร, เจาะ “คอขวดปลา” ให้ปลาอพยพได้, ปลูกพืชกก-อ้อฟื้นฟูแนวกันชน และกำหนด “กรอบน้ำขึ้น-ลงรายฤดู” ให้คงเสถียรภาพต่อแหล่งอาหารนก
- ร่วมบริหาร (Co-management): ตั้ง “คณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำเวียงหนองหล่ม” รวม อปท.–กรมชลฯ–กนช.–ชุมชน–นักวิชาการ–ภาคธุรกิจ–กลุ่มดูนก เพื่อร่วมวางแผนเขตใช้ประโยชน์–เขตอนุรักษ์, งบเยียวยาปางควาย–ชาวประมง, และแผนท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่แบ่งปันรายได้กลับสู่การดูแลพื้นที่
แนวทางนี้ไม่ขัดกับ “เป้าหมายน้ำ” แต่จะยกระดับโครงการจาก “โครงสร้างวิศวกรรม” สู่ “ภูมิทัศน์น้ำที่มีชีวิต” รองรับทั้งน้ำ–นก–ปลา–ควาย–คน และที่สำคัญ—ลดความขัดแย้ง ด้วยการให้สิทธิข้อมูลและอำนาจตัดสินใจร่วมแก่ผู้มีส่วนได้เสีย
มองจากไกล แต่ไม่ไกลเกินใจ ทำไมเวียงหนองหล่มจึงเป็น “เรื่องใหญ่ของสังคมไทย”
เวียงหนองหล่มคือบททดสอบสำคัญของการพัฒนา “พื้นที่ชุ่มน้ำ” ในศตวรรษที่เผชิญทั้งวิกฤตอากาศและวิกฤตความไว้วางใจ หากพัฒนาได้สมดุล เราจะได้ “แบบเรียน” ที่ยืนยันว่าไทยสามารถ “สร้างความมั่นคงน้ำ” โดยไม่ทำลาย “บริการนิเวศ” และ “ความทรงจำของชุมชน” แต่หากสะดุด เราอาจสูญทั้งทุนธรรมชาติและทุนสังคมไปพร้อมกัน
บทสรุปของข่าวนี้จึงไม่ใช่การชี้นิ้ว หากคือการวางโจทย์สาธารณะร่วมกัน: น้ำเพื่อใคร–โดยใคร–อย่างไร และคำตอบที่ยั่งยืนที่สุดย่อมเกิดจาก ข้อมูลโปร่งใส–วิทยาศาสตร์เข้มแข็ง–และการมีส่วนร่วมจริง ของคนที่อยู่กับหนองหล่มมานานกว่าร้อยปี
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- กรมชลประทาน
- คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) / กรุงเทพธุรกิจ
- ONEP/CHM–Thailand
- Ch3Plus
- Workpoint Today / The Lanner
- มูลนิธิสืบนาคะเสถียร