Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

จากเตาเผาโบราณสู่เวทีโลก! เชียงรายชูเวียงกาหลงเป็นเสาหลักเศรษฐกิจฐานราก ผสานศิลปะกับดีไซน์สมัยใหม่

ผู้ว่าฯ เชียงรายหนุน “เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สู่เวทีตลาดใหม่ของชุมชน

เชียงราย, 9 ธันวาคม 2568 – ที่อำเภอเวียงป่าเป้า เสียงเตาเผาดินเผาโบราณยังคงดังอย่างสม่ำเสมอท่ามกลางหมู่บ้านที่โอบล้อมด้วยภูเขา ในเช้าวันที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย “นายชูชีพ พงษ์ไชย” พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมชม “เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง” หนึ่งในหัตถศิลป์พื้นเมืองที่ถือเป็นหน้าตาทางวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย และเป็นความภาคภูมิใจของคนเวียงป่าเป้ามาอย่างยาวนาน

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงพิธีการหรือการเยี่ยมชมเชิงสัญลักษณ์ แต่สะท้อนถึงความพยายามของจังหวัดในการ “จับมือกับชุมชน” เพื่อยกระดับหัตถกรรม OTOP ให้เดินหน้าสู่ตลาดสร้างสรรค์ ทั้งในเชิงการท่องเที่ยว เศรษฐกิจฐานราก และภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะแหล่งรวมภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย

เวียงกาหลง จากเตาเผาโบราณ สู่สัญลักษณ์หัตถศิลป์ล้านนา

เวียงกาหลงเป็นเมืองโบราณในเขตอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ซึ่งในทางโบราณคดีได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งเตาเผาโบราณสำคัญแห่งหนึ่งของภาคเหนือ และเป็นต้นกำเนิด “เครื่องถ้วยเวียงกาหลง” ที่มีลวดลายและเนื้อดินเป็นเอกลักษณ์ จนถูกจัดให้เป็นหนึ่งในมรดกหัตถกรรมสำคัญของไทย DB SAC

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เวียงกาหลงไม่เพียงเป็นแหล่งโบราณสถาน แต่ยังพัฒนาเป็น “ชุมชนหัตถกรรมร่วมสมัย” ที่หยิบยกภูมิปัญญาโบราณ เช่น เทคนิคการขึ้นรูปดิน การเคลือบสีเขียว–น้ำตาล และการเผาที่อุณหภูมิสูง มาปรับใช้กับดีไซน์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ทั้งในรูปแบบภาชนะใช้สอย ของตกแต่งบ้าน ไปจนถึงงานออกแบบร่วมสมัยที่เน้นความเรียบง่ายแต่มีอัตลักษณ์สูง

การได้รับการยอมรับในฐานะสินค้า OTOP ของจังหวัดเชียงราย รวมถึงการผลักดันให้เป็นสินค้าที่มีศักยภาพด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทำให้ “เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง” ไม่ได้เป็นเพียงสินค้าท้องถิ่น แต่เป็น “สื่อ” ที่บอกเล่าเรื่องราวของชุมชน ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตของผู้คนริมขอบป่าในภาคเหนือของไทย

ครูทันธิ จิตตัง ช่างฝีมือ OTOP ผู้สืบสานงานดินเผาให้ยืนยาว

หัวใจของมรดกหัตถศิลป์ไม่ได้อยู่ที่เตาเผา แต่อยู่ที่ “คน” ผู้สืบสานภูมิปัญญา ภาพของ “ครูทันธิ จิตตัง” ศิลปิน OTOP ที่ยืนต้อนรับผู้ว่าฯ เชียงรายในวันลงพื้นที่ จึงไม่ใช่เพียงพิธีการ แต่คือภาพแทนของ “ช่างฝีมือท้องถิ่น” ที่อุทิศชีวิตให้กับการรักษามรดกดินเผาเวียงกาหลงไว้ในบริบทของโลกยุคใหม่

ครูทันธิไม่เพียงสืบทอดเทคนิคการปั้นและการเคลือบแบบดั้งเดิม แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้มีความร่วมสมัย เพื่อตอบโจทย์ตลาดที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในกลุ่มนักท่องเที่ยว คนเมือง และนักสะสมงานหัตถศิลป์ การร่วมทำงานกับภาครัฐและองค์กรสนับสนุนต่าง ๆ ช่วยให้ครูทันธิสามารถนำ “ภาษาใหม่ของการออกแบบ” มาผสานกับ “รากเดิมของภูมิปัญญา” จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทั้ง “ใช้ได้จริง” และ “เล่าเรื่องชุมชนได้จริง” ไปพร้อมกัน

ในมุมของผู้ว่าราชการจังหวัด การลงพื้นที่เยี่ยมชมและรับฟังเสียงจากครูทันธิและชุมชน จึงเป็นโอกาสสำคัญในการเข้าใจข้อจำกัด และมองเห็นช่องทางสนับสนุนอย่างตรงจุด ทั้งเรื่องตลาด ช่องทางจัดจำหน่าย การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการสร้างโอกาสให้ศิลปิน OTOP สามารถแข่งขันในเศรษฐกิจยุคใหม่ได้อย่างมั่นคง

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่ จากเตาเผาเล็ก ๆ สู่โจทย์ใหญ่ระดับจังหวัด

ในการเยี่ยมชมแหล่งผลิตและจำหน่ายเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงครั้งนี้ นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะ ได้รับฟังการบรรยายอย่างละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการผลิต ตั้งแต่การคัดเลือกดินในพื้นที่ การขึ้นรูป การลงเคลือบ ไปจนถึงการเผาที่ต้องอาศัยประสบการณ์สูงในการควบคุมอุณหภูมิ

นอกจากจะเรียนรู้ขั้นตอนเชิงช่างแล้ว คณะผู้บริหารยังได้หารือกับครูทันธิและชุมชนถึงแนวทางการ “ต่อยอดเชิงสร้างสรรค์” เช่น

  • การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ตลาดของตกแต่งบ้านและงานดีไซน์สมัยใหม่
  • การพัฒนาบรรจุภัณฑ์และเรื่องเล่า (storytelling) ให้สอดคล้องกับตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ
  • การเชื่อมโยงเวียงกาหลงกับเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงราย

ผู้ว่าฯ เชียงรายเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของจังหวัดในการสนับสนุนสินค้า OTOP และศิลปินชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้าน “การตลาด–การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–โอกาสทางเศรษฐกิจ” เพื่อให้การอนุรักษ์ภูมิปัญญาไม่ใช่เพียงการเก็บรักษาอดีต หากแต่เป็นการสร้างอนาคตที่จับต้องได้ให้แก่คนในพื้นที่

การลงพื้นที่ในลักษณะนี้จึงเป็นมากกว่าการเยี่ยมชม แต่คือ “สัญญาณทางนโยบาย” ว่าจังหวัดเห็นคุณค่าและพร้อมจะผลักดันให้หัตถกรรมเวียงกาหลงกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจฐานรากเชียงรายในระยะยาว

OTOP และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บทเรียนจากระดับประเทศสู่เวียงป่าเป้า

หากมองภาพกว้างกว่าหนึ่งชุมชน จะเห็นว่า “เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง” กำลังยืนอยู่บนเส้นทางเดียวกับนโยบายระดับประเทศด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการพัฒนาสินค้าชุมชน OTOP

ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ระบุว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 1–1.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 9% ของจีดีพี และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 5% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม ThaiPublica ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า “ความคิดสร้างสรรค์และทุนทางวัฒนธรรม” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องภาพลักษณ์ แต่เป็น “เศรษฐกิจจริง” ที่สร้างรายได้และการจ้างงานจำนวนมาก

ด้านสินค้า OTOP เอง แม้ตัวเลขเฉพาะจังหวัดเชียงรายในบางปีอาจแตกต่างกันไป แต่แนวโน้มในระดับประเทศชี้ชัดว่าสินค้า OTOP สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมระดับหลายหมื่นล้านบาทต่อปี และเป็น ช่องทางสำคัญในการยกระดับรายได้ครัวเรือนในชนบท ขณะที่ในจังหวัดเชียงราย สินค้า OTOP หลายกลุ่ม—ตั้งแต่กาแฟ ชา สมุนไพร ไปจนถึงงานหัตถกรรม—ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

ในบริบทนี้ เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงจึงไม่ใช่เพียง “สินค้าอีกชิ้น” หากแต่เป็นตัวแทนของการผสาน “รากวัฒนธรรม” เข้ากับ “โอกาสจากเศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่กำลังเติบโตในระดับประเทศ

เวียงกาหลงในยุคตลาดดิจิทัล โอกาสใหม่และแรงกดดันรูปแบบใหม่

แม้เวียงกาหลงจะมีชื่อเสียงจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนเชียงราย แต่สภาพการแข่งขันในยุคปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่หน้าร้านหรือหมู่บ้านอีกต่อไป ตลาดออนไลน์ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และสื่อโซเชียลกลายเป็น “สมรภูมิใหม่” ที่ทั้งสร้างโอกาสและกดดันผู้ประกอบการหัตถกรรมไปพร้อมกัน

สำหรับครูทันธิและศิลปิน OTOP ในเวียงกาหลง การต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสร้างสรรค์จึงไม่ใช่เพียงการออกแบบลายใหม่ แต่รวมถึงการเรียนรู้การเล่าเรื่องผ่านภาพถ่าย วิดีโอ หรือการถ่ายทอดเบื้องหลังการทำงานในโรงเผา ให้ผู้ซื้อในเมืองใหญ่หรือในต่างประเทศ “สัมผัสความเป็นมือคนและความเป็นหมู่บ้าน” ผ่านหน้าจอ

ในมุมนี้ การสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การฝึกอบรมด้านการตลาดดิจิทัล การจับคู่ธุรกิจ (business matching) และการเชื่อมโยงกับเครือข่ายดีไซเนอร์หรือแพลตฟอร์มสร้างสรรค์ จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญไม่แพ้การพัฒนามาตรฐานสินค้า เพราะหากชุมชนสามารถ “เล่าเรื่องตัวเองได้เก่ง” เท่า ๆ กับที่ “ทำของได้เก่ง” ศักยภาพในการแข่งขันในตลาดสร้างสรรค์ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ศิลปะ–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจฐานราก สามเสาหลักของเวียงกาหลงในยุคใหม่

การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ยังสะท้อนแนวโน้มการพัฒนาพื้นที่ที่พยายาม “ล็อกสามเสาหลัก” ให้ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน ได้แก่

  1. ศิลปะและภูมิปัญญาท้องถิ่น – ใช้เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงเป็นตัวแทนของอัตลักษณ์ล้านนาและเรื่องเล่าของชุมชน
  2. การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม – เชื่อมโยงเวียงกาหลงเข้ากับเส้นทางท่องเที่ยวในเชียงราย เช่น ดอยตุง เมืองเชียงราย หรือชุมชนใกล้เคียง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ครบทั้งธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ศิลปะ
  3. เศรษฐกิจฐานราก – ทำให้รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยวกลับคืนสู่คนในพื้นที่อย่างเป็นธรรม ช่วยลดการอพยพแรงงาน และสร้างงานให้คนรุ่นใหม่ในชุมชน

เมื่อทั้งสามเสานี้ถูกออกแบบให้เสริมกันและกัน เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงก็ไม่ใช่แค่วัตถุสวยงามที่ตั้งอยู่บนชั้นโชว์ แต่กลายเป็น “เครื่องมือ” ที่ช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้มั่นคง เด็กรุ่นใหม่เห็นคุณค่าภูมิปัญญาบรรพบุรุษ และจังหวัดมีจุดขายใหม่ในสายตานักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ

ความท้าทายที่ต้องเผชิญ คนรุ่นใหม่ ทุน และความต่อเนื่องของนโยบาย

แม้ภาพรวมจะมีโอกาสจำนวนมาก แต่เวียงกาหลงและหัตถกรรมท้องถิ่นก็ยังเผชิญ “โจทย์ยาก” หลายด้าน เช่น

  • การสืบทอดของคนรุ่นใหม่ ที่อาจลังเลระหว่างกลับบ้านมาทำดินเผากับการไปทำงานในเมือง
  • ต้นทุนการผลิตและความเสี่ยงทางตลาด เมื่อวัตถุดิบ ค่าแรง และค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้น
  • ความต่อเนื่องของนโยบาย ที่หากเปลี่ยนชุดผู้บริหารหรือแนวทางสนับสนุนบ่อยเกินไป อาจทำให้โครงการระยะยาวสะดุดกลางคัน

การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดจึงเป็น “จุดเริ่มต้นที่สำคัญ” แต่การจะเปลี่ยนศักยภาพให้กลายเป็นผลลัพธ์จริง จำเป็นต้องมีแผนงานต่อเนื่อง ทั้งในระดับจังหวัดและระดับชุมชน เช่น การจัดทำแผนพัฒนาหัตถกรรมเวียงกาหลงระยะ 3–5 ปี การสนับสนุนงบประมาณวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) การเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษา หรือการสร้างแบรนด์ร่วมของชุมชนอย่างเป็นระบบ

 

เวียงกาหลง แบบทดสอบเล็ก ๆ ของคำว่า “เชียงรายเมืองสร้างสรรค์”

เชียงรายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พยายามวางตัวเองในฐานะ “เมืองสร้างสรรค์” ผ่านทั้งงานศิลปะร่วมสมัย การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมระดับนานาชาติ การหนุนเสริมเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงในวันนี้ จึงอาจมองได้ว่าเป็น “แบบทดสอบเล็ก ๆ” ของจังหวัดว่า จะสามารถทำให้คำว่า “เมืองสร้างสรรค์” ลงลึกไปถึงระดับหมู่บ้านและครอบครัวได้จริงเพียงใด

หากเวียงกาหลงสามารถกลายเป็นตัวอย่างของการใช้ศิลปะและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นรูปธรรม เชียงรายก็จะมี “เคสศึกษา” ที่ชัดเจนสำหรับการขยายบทเรียนไปยังชุมชนอื่น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหัตถกรรม กลุ่มกาแฟ ชา หรือเกษตรเชิงสร้างสรรค์ในพื้นที่อื่นของจังหวัด

ในทางกลับกัน หากเวียงกาหลงยังติดขัดเรื่องทุน การตลาด หรือการสืบทอดคนรุ่นใหม่ ก็จะเป็น “สัญญาณเตือน” ต่อผู้กำหนดนโยบายว่า การผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในระดับพื้นที่จำเป็นต้องลงลึกกว่าการจัดกิจกรรมเชิงพิธีการ และต้องลงทุนกับคน–ระบบ–ความต่อเนื่องให้มากกว่าที่เป็นอยู่

จากมือช่างถึงมือผู้ว่าฯ และอนาคตของชุมชน

ในวันที่นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ก้าวเข้าสู่โรงเผาเล็ก ๆ ของครูทันธิ จิตตัง ที่อำเภอเวียงป่าเป้า ภาพที่เห็นไม่ได้มีเพียงเตาดินเผาและชั้นวางเครื่องเคลือบ แต่เป็น “จุดตัด” ระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเศรษฐกิจชุมชนเชียงราย

อดีต – ถูกหล่อหลอมอยู่ในดินและลายเส้นของเวียงกาหลง
ปัจจุบัน – ปรากฏผ่านมือช่างฝีมือ ศิลปิน OTOP และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาซื้อผลงาน
อนาคต – ขึ้นอยู่กับว่า จังหวัดและชุมชนจะสามารถนำมรดกเหล่านี้ไปต่อยอดในโลกของเศรษฐกิจสร้างสรรค์และตลาดดิจิทัลได้อย่างยั่งยืนเพียงใด

การลงพื้นที่เยี่ยมชมครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ในปฏิทินราชการ หากแต่เป็น “สัญญาณ” ว่าเชียงรายกำลังเลือกเดินบนเส้นทางที่ใช้ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์เป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก และเวียงกาหลงก็อาจเป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของการเดินทางเส้นนี้ในสายตาของทั้งคนในจังหวัดและสังคมไทยโดยรวม

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ชุมชน ‘เวียงป่าเป้า’ สร้างดาว! “วัดเวียงกาหลง” โมเดลท่องเที่ยวยั่งยืน

เวียงกาหลงสุดยอด! วัดคว้า 5 ดาว ท่องเที่ยวยั่งยืน

เชียงราย, 2 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก “เมืองวัฒนธรรมเวียงกาหลง” ได้เผยแพร่ข่าวสารความสำเร็จของ “วัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลง” ตำบลเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับสูงสุด 5 ดาว จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภายใต้โครงการ Sustainable Tourism Acceleration Rating (STAR) หลังจากผ่านการประเมินตามเกณฑ์ STGs Easy (Sustainable Tourism Goals) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 โดยประกาศนียบัตรดังกล่าวมีอายุ 2 ปี และจะหมดอายุในวันที่ 28 เมษายน 2570

วัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลงตั้งอยู่ ณ เลขที่ 98 หมู่ 15 ตำบลเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ 093-2560187 เป็นหนึ่งในห้าแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายที่ได้รับตราสัญลักษณ์ STAR-C00389 ระดับ 5 ดาว ซึ่งนับว่าเป็นระดับสูงสุดของมาตรฐานนี้ โดยการรับรองดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของ ททท. ที่เน้นการยกระดับผู้ประกอบการตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ

คำขวัญของพื้นที่ “เมืองวัฒนธรรม แดนพุทธภูมิ ถิ่นกาขาว ชาวศรีวิไล” สะท้อนถึงรากฐานทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของชุมชนเวียงกาหลง ซึ่งวัดพระยอดขุนพลเป็นศูนย์รวมของความศรัทธาและการเรียนรู้สู่การท่องเที่ยวยั่งยืนในรูปแบบนันทนาการและวัฒนธรรม

โครงการ STAR: Sustainable Tourism Acceleration Rating ถือเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้แหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศดำเนินกิจการโดยยึดถือหลักความยั่งยืนใน 4 มิติหลัก ได้แก่ ธรรมาภิบาล เศรษฐกิจ-สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ผ่านเป้าหมาย STGs รวม 17 ข้อ ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก SDGs ของสหประชาชาติ

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า โครงการ STAR เป็นแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยเน้นการพลิกฟื้นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ บนรากฐานของความปลอดภัยและความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “มาร่วมสร้างท่องเที่ยวไทยให้ยั่งยืน” ผ่านการสร้างมาตรฐาน High Value Services & Standard เพื่อมอบประสบการณ์ที่ทรงคุณค่า (Valued Experiences) แก่นักท่องเที่ยว และปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ (Responsible Tourism)

โครงการ STAR ยังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานหลายภาคส่วน เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานวิชาการ เช่น ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีระบบการจัดระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวยั่งยืนใน 3 ระดับ ได้แก่:

  • 3 ดาว สำหรับผู้ที่ผ่านเกณฑ์ STG13 (ลดก๊าซเรือนกระจก), STG16 (ปลอดภัยในการท่องเที่ยว) และ STG17 (ความร่วมมือระหว่างภาคส่วน)
  • 4 ดาว สำหรับผู้ที่ผ่านเกณฑ์หลักทั้ง 3 ข้อข้างต้น และเป้าหมายเพิ่มเติมอีก 6 ข้อ รวมเป็น 9 ข้อ
  • 5 ดาว สำหรับผู้ที่ผ่านเกณฑ์หลักทั้ง 3 ข้อ และเป้าหมายอื่นไม่น้อยกว่า 9 ข้อ รวมเป็น 12 เป้าหมายขึ้นไป

วัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลงสามารถผ่านเกณฑ์สูงสุด 5 ดาว ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินการเชิงอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมีการจัดกิจกรรมพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่อง เช่น การฝึกอาชีพ การปลูกป่า การสอนภาษา และการจัดการขยะตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน

นางสาวมารีญา พูลเลิศลาภ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2017 และนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ได้แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของโครงการ STAR และกล่าวสนับสนุนแนวคิดการท่องเที่ยวที่ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยระบุว่า ธรรมชาติคือทรัพยากรต้นทุนสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว หากไร้ความรับผิดชอบในการเดินทาง ก็เท่ากับทำลายจุดขายของประเทศ

วัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลงถือเป็นตัวอย่างของการขับเคลื่อนเป้าหมาย STG13, STG16 และ STG17 อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นแหล่งเรียนรู้การท่องเที่ยวยั่งยืนที่มีชีวิตจริงในชุมชน ซึ่ง ททท. วางเป้าหมายที่จะผลักดันให้แหล่งอื่น ๆ ปรับตัวเข้าสู่เกณฑ์เดียวกัน เพื่อสร้าง “ประเทศไทย” ให้เป็น Sustainable Destination ในระดับโลก

การยกระดับวัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลงสู่ระดับ 5 ดาว ไม่เพียงส่งผลต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายในฐานะแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพ แต่ยังตอกย้ำว่าการท่องเที่ยวยั่งยืนไม่ใช่เพียงแนวคิด หากแต่คือแนวทางที่สามารถนำไปสู่การเติบโตทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • เพจเมืองวัฒนธรรมเวียงกาหลง
  • ข้อมูลการประเมิน STGs Easy และระบบ STAR: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), 2566-2568
  • ฐานข้อมูลผู้ประกอบการที่ได้รับตราสัญลักษณ์ STAR ระดับ 5 ดาว: www.tourismthailand.org/star
  • รายงานสถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2567: สำนักงานสถิติจังหวัดเชียงราย
  • บทสัมภาษณ์ ผศ.ชล บุนนาค, ศูนย์วิจัย SDG Move
  • รายงานความคืบหน้าโครงการ Shape Supply และ SDG ของ ททท.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE