Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เปิดอาชีพผู้ต้องขัง ‘ราชทัณฑ์’ ปันสุขฯ คืนคนดีสู่สังคม

กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ฯ ติดตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุข สร้างอาชีพ คืนคนดีสู่สังคม

ติดตามการดำเนินโครงการพัฒนาและฝึกอาชีพผู้ต้องขัง

เชียงราย,วันที่ 7 มีนาคม 2568 – พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ 908 กรรมการมูลนิธิราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และรองประธานกรรมการกองทุนกำลังใจฯ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานตามโครงการกำลังใจในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ณ เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง อำเภอเมืองเชียงราย

ในโอกาสนี้ ได้เป็นประธานเปิด อาคารแสดงผลิตภัณฑ์ฝีมือผู้ต้องราชทัณฑ์ ภายใต้แนวคิด “สร้างคน สร้างโอกาส สร้างอาชีพ คืนคนดีสู่สังคม” โดยมี นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นางจิรภา สินธุนาวา รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ

เยี่ยมชมกิจกรรมฝึกอาชีพผู้ต้องขังเพื่อคืนสู่สังคม

ภายในงาน พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง และคณะ ได้เยี่ยมชมฐานฝึกอาชีพต่าง ๆ อาทิ การนวดแผนไทย การเลี้ยงสัตว์ การเพาะปลูกสมุนไพร การผลิตปุ๋ยจากมูลไส้เดือน รวมถึงการแสดงผลิตภัณฑ์จากโครงการกำลังใจ และกิจกรรมราชทัณฑ์ปันโอกาส สร้างอาชีพ เช่น ร้านกาแฟและร้านอาหารที่ดำเนินการโดยผู้ต้องขัง

โครงการกำลังใจฯ ตามแนวพระราชดำริ สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ต้องขัง

เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง ดำเนินการภายใต้โครงการกำลังใจในพระดำริ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ซึ่งได้น้อมนำหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ เพื่อให้ผู้ต้องขังสามารถพึ่งพาตนเองได้เมื่อพ้นโทษ ทั้งนี้การฝึกอาชีพ เช่น งานช่างไม้ งานเกษตร และงานฝีมือ ช่วยเพิ่มโอกาสการประกอบอาชีพและลดอัตราการกระทำผิดซ้ำ

นโยบาย 8 มิติ ยกกำลัง 2 สร้างคนดีคืนสังคม

ปัจจุบันเรือนจำกลางเชียงราย ดำเนินโครงการ “รวมพลังขับเคลื่อน 8 มิติ ยกกำลัง 2 สร้างคนดีคืนสังคม” อย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นให้ ผู้ต้องขังมีทักษะอาชีพที่สามารถนำไปใช้หลังพ้นโทษ เช่น การฝึกช่างไม้ ที่มีการผลิตเครื่องเรือนจำหน่าย ทั้ง โต๊ะรับแขก โต๊ะอาหาร โต๊ะกาแฟ และจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์

ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

ในช่วงบ่าย พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง ได้เดินทางไปยัง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เพื่อติดตามความร่วมมือระหว่างเรือนจำและมหาวิทยาลัยฯ ในการสนับสนุนการศึกษาและพัฒนาอาชีพผู้ต้องขัง จากนั้นได้เดินทางต่อไปยัง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง เพื่อติดตามความก้าวหน้าของ นายสุรพล ดอนเลย ผู้ต้องขังที่พ้นโทษแล้วสามารถประกอบอาชีพทำสวนพริกส่งออกต่างประเทศได้อย่างประสบความสำเร็จ

สถิติโครงการราชทัณฑ์ปันสุข และผลกระทบทางสังคม

จากข้อมูลของ กรมราชทัณฑ์ (2567) พบว่า

  • อัตราการกระทำผิดซ้ำของผู้ที่ผ่านโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ลดลง กว่า 45%
  • ผู้ต้องขังที่ผ่านการฝึกอาชีพมีโอกาสได้งานทำหลังพ้นโทษมากขึ้น 70%
  • มีผู้ต้องขังเข้าร่วมโครงการฝึกอาชีพในเรือนจำกลางเชียงราย มากกว่า 1,500 คนต่อปี
  • รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของผู้ต้องขังมีมูลค่ากว่า 5 ล้านบาทต่อปี

บทสรุป: ก้าวต่อไปของโครงการราชทัณฑ์ปันสุข

โครงการราชทัณฑ์ปันสุข ถือเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาผู้ต้องขังให้สามารถคืนสู่สังคมได้อย่างยั่งยืน การฝึกอาชีพและการสร้างโอกาสทำงานเป็นปัจจัยที่ช่วยลดปัญหาอาชญากรรมและการกระทำผิดซ้ำ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงการในระยะยาวต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ต้องขังที่พ้นโทษไปแล้วสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงและไม่หวนกลับไปกระทำผิดอีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
FEATURED NEWS

Free Ratsadon on the Road พาฝันของเพื่อนในเรือนจำไปทั่วประเทศไทย

 

เมื่อวันพุธที่ 4 กันยายน 2567 ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน และทัมไรท์ ได้เปิดตัวแคมเปญ “Free Ratsadon on the Road x Amnesty People” มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมให้ประชาชนทั่วประเทศยืนหยัดในการปกป้องสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ  โดยการผลักดันสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน และพาฝันของเพื่อนในเรือนจำไปพบกับผู้คนทั่วประเทศไทยเพื่อไปให้ถึงวันที่ไม่มีคดีการเมือง โดยเริ่มต้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และเดินทางต่อไปที่จังหวัดขอนแก่น อุบลราชธานี และปิดท้ายที่สงขลา

เพชรรัตน์ ศักดิ์ศิริเวทย์กุล ผู้จัดการฝ่ายรณรงค์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวถึงที่มาของการจัดกิจกรรม “FREERATSADON on the road x Amnesty People” ว่า เพื่อสร้างการรับรู้และระดมการสนับสนุนจากผู้คนทุกภูมิภาคทั่วประเทศ แคมเปญนี้จะนำทุกคนไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เพียงแค่แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและการยืนหยัดเคียงข้างเพื่อนในเรือนจำเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการรวมพลังของภาคประชาชนทุกคนเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ผ่านกิจกรรมต่างๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ และส่งเสียงไปยังผู้มีอำนาจว่าเราไม่ยอมให้มีการคุมขังผู้คนจากการใช้สิทธิมนุษยชนอีกต่อไป 

เพชรรัตน์กล่าวเสริมว่า กิจกรรมนี้จะสามารถสร้างเครือข่ายและสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในสังคมไทย โดยเฉพาะการเรียกร้องให้ยกเลิกข้อกล่าวหาและปล่อยตัวนักกิจกรรมทางการเมืองโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข รวมถึงการผลักดันร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมประชาชนเพื่อยุติการดำเนินคดีทางการเมืองต่อประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ

 

“ปัจจุบันพบว่ามีคนที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองอยู่ทั่วประเทศไทย ไม่ใช่แค่เพียงในกรุงเทพมหานครที่เดียว จึงเป็นที่มาของการเดินทางไปยังจังหวัดต่างๆ เพราะหัวใจสำคัญที่ไม่น้อยไปกว่าการผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรมให้บังคับใช้ได้จริงคือการทำให้เรื่องราวของนักกิจกรรมและคนที่อยู่ในเรือนจำไม่ถูกลืมเลือนไปจากสังคม ประเด็นนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สุดไม่แพ้กัน แอมเนสตี้ยืนยันว่า การไม่หยุดเล่าเรื่องราวของนักกิจกรรมที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ จะช่วยเป็นสะพานเชื่อมที่สำคัญในการผลักดันให้ข้อเสนอเชิงนโยบายต่างๆ เกิดขึ้นได้จริง และหากเราช่วยกันเขียนจดหมายถึงเพื่อนที่อยู่ในเรือนจำจะเป็นการส่งสารถึงพวกเขาไม่ได้อยู่ลำพัง มีคนอีกมากมายที่ยืนหยัดยืนเคียงข้างพวกเขาผ่านแคมเปญนี้”

สำหรับแคมเปญ Free Ratsadon on the Road ในแต่ละจังหวัดมีหลากหลายกิจกรรม เช่น นิทรรศการ การเขียนจดหมายถึงเพื่อนในเรือนจำผ่านเว็บไซต์ https://freeratsadon.amnesty.or.th/ รวมทั้งเวทีเสวนาที่มีทั้งตัวแทนนักวิชาการ องค์สิทธิมนุษยชน ทนายความและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ ตลอดจนการเรียนรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เพื่อทำให้เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของทุกคน

ด้านพูนสุข พูนสุขเจริญ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงตัวเลขผู้ถูกคุมขังในเรือนจำจากการแสดงออกทางการเมือง หรือมีมูลเหตุเกี่ยวข้องทางการเมือง รวมทั้งสิ้นอย่างน้อย 43 คน ในจำนวนนี้มี 29 คนถูกดำเนินคดีภายใต้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งถือเป็นจำนวนเกินกว่าครึ่งของผู้ต้องขังทั้งหมด โดยข้อมูลของผู้ที่ถูกคุมขังในปัจจุบันแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้  21 คน ถูกคุมขังระหว่างการต่อสู้คดีโดยไม่ได้รับสิทธิประกันตัว อีก 2 คน เป็นเยาวชนที่ถูกควบคุมตัวในสถานพินิจฯ ตามคำสั่งศาลให้เข้ามาตรการพิเศษแทนการมีคำพิพากษา และอีก 20 คน เป็นผู้ถูกคุมขังในคดีที่ถึงที่สุดแล้ว และจะได้รับการปล่อยตัวเมื่อครบโทษตามคำพิพากษาของศาล

พูนสุขเผยถึงสถานการณ์การคุมขังและดำเนินคดีการเมืองในประเทศไทยในช่วงระหว่างปี 2563 ถึงปัจจุบันว่ามีผู้ถูกดำเนินคดีสะสมไม่น้อยกว่า 1,956 คน ใน 1,302 คดี ซึ่งมีคนถูกดำเนินคดีในมาตรา 112 ถึง 273 คนในจำนวน 306 คดี สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนับเป็นช่วงที่มีการดำเนินคดีตามมาตรา 112 มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย 

“จากการเคลื่อนไหวทางการเมืองในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าสังคมได้ส่งเสียงเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาของมาตรา 112 อย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองจากผู้มีอำนาจจนปัญหาดังกล่าวทวีความรุนแรงขึ้น เพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว เครือข่ายองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมทางการเมืองกว่า 23 องค์กร จึงได้ร่วมมือกันเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมประชาชนเพื่อยุติการดำเนินคดีที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง ร่างกฎหมายนี้มีเป้าหมายในการนิรโทษกรรมทุกคน ครอบคลุมการกระทำตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา”

“การนิรโทษกรรมเป็นเพียง ‘จุดเริ่มต้น’ ของการคลี่คลายความขัดแย้งให้สังคมของเราสามารถเดินต่อไปได้ท่ามกลางความคิดเห็นที่แตกต่าง หากไม่รวมคดีมาตรา 112 ด้วย จะเท่ากับว่าการนิรโทษกรรมครั้งนี้ไม่ได้แก้ไขหรือคลี่คลายความขัดแย้งใดๆ เลยเราหวังอย่างยิ่งว่าการออกเดินทางครั้งนี้จะสร้างเครือข่ายและสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในสังคมไทย ในการเรียกร้องให้ยกเลิกข้อกล่าวหาและปล่อยตัวผู้ต้องขังคดีการเมืองโดยทันที ไม่มีเงื่อนไข รวมถึงการผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชนที่รวมคดีมาตรา 112 ด้วย”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News