Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงรายจัดใหญ่ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 5,000 โดส ต้อนรับฤดูกาลท่องเที่ยว

เชียงรายยกระดับ “เมืองสุขภาพดี เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” เทศบาลนครฯ ลั่นฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 5,000 โดส-คัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรี รองรับไฮซีซัน พร้อมแผนสกัดระบาดเชิงรุกทั้งเมือง

เชียงราย, 23 ตุลาคม 2568 — ปลายฝนต้นหนาว กับโจทย์สุขภาพที่ต้องตัดสินใจเร็ว สายลมหนาวแรกพัดผ่านลุ่มน้ำกก ผู้คนเริ่มนึกถึงเทศกาลท่องเที่ยวปลายปี ร้านอาหารและโรงแรมทยอยเตรียมรับแขก ช่วงเวลาเดียวกัน สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ในภาคเหนือยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ ตัวเลขสะสมของจังหวัดเชียงรายปี 2567 พุ่งแตะ 9,190 ราย สะท้อน “ภาระโรค” ที่กดดันระบบสุขภาพและเศรษฐกิจท้องถิ่นพร้อมกัน เทศบาลนครเชียงรายจึงขยับเชิงรุก เปิดแผนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 5,000 โดสควบคู่คัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรี สร้างภูมิคุ้มกันสาธารณะก่อนนักท่องเที่ยวนับแสนเดินทางเข้าจังหวัด

ข่าวนี้ไม่ใช่เพียงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่คือ “ยุทธศาสตร์เมือง” ที่ผสานสุขภาพกับท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน ตั้งกรอบคิดว่า สุขภาพที่ดีคือรากฐานของคุณภาพชีวิต และเป็นเงื่อนไขสำคัญของเศรษฐกิจบริการในเมืองท่องเที่ยว

ภาพรวมสถานการณ์ เชียงรายติดกลุ่มอัตราป่วยสูงของประเทศ สายพันธุ์หลักยังเป็น A/H1N1

ข้อมูลระบาดวิทยาจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ระบุจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ปี 2567 สะสม 9,190 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 797.17 ต่อประชากรแสนคน เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี 2568 เชียงรายถูกจัดเป็นจังหวัดอัตราป่วยสูงลำดับต้น ๆ ของประเทศ รองจากพะเยาและลำพูน แนวโน้มสอดคล้องกับภาพรวมภาคเหนือที่มีฤดูหนาวยาวนาน ทำให้การรวมกลุ่มในอาคารเพิ่มขึ้นและเอื้อต่อการแพร่เชื้อ

กรมควบคุมโรคชี้ว่า สายพันธุ์ที่พบมากในรอบปีคือไข้หวัดใหญ่ชนิด A/H1N1 (2009) ซึ่งรวมอยู่ในวัคซีนตามฤดูกาล แต่ประสิทธิผลต่อประชากรขึ้นกับ “ความครอบคลุม” ของการฉีดและพฤติกรรมป้องกันโรคในชุมชน หากครอบคลุมต่ำ วัคซีนย่อมปกป้องระดับชุมชนได้ไม่เต็มที่

ภาระโรคสูงกว่าค่าเฉลี่ย ต้องอธิบาย “ฐานประชากร” ให้ตรงกัน

จำนวนผู้ป่วย 9,190 รายทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงอัตราป่วยที่รายงาน เทศบาลนครฯ และ สสจ.เชียงราย จึงร่วมกันทบทวน “ตัวหาร” ที่ใช้คำนวณอัตราป่วย ต่อแสนประชากร เพื่อให้การสื่อสารต่อสาธารณะชัดเจน การระบุฐานประชากรอย่างโปร่งใสช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายจัดสรรวัคซีน ยาต้านไวรัส และบุคลากรได้ตรงจุด และยังทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเห็นภาพความเสี่ยงจริงในพื้นที่

เด็กเล็ก-วัยเรียนเป็นตัวขับการระบาด โรงเรียนจึงคือสนามปฏิบัติการสำคัญ

ข้อมูลระดับประเทศปี 2567 ชี้ว่า กลุ่มอายุ 0–4 ปี และ 5–14 ปี มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสูงสุด สถานศึกษา สถานเลี้ยงเด็ก และกิจกรรมรวมกลุ่มจึงกลายเป็น “จุดขยายสัญญาณ” การแพร่เชื้อ เทศบาลนครฯ เตรียมใช้มาตรการ 3 ชั้นในเขตเมือง ได้แก่

  1. ปรับมาตรฐานสุขาภิบาลโรงเรียน เน้นล้างมือ สวมหน้ากากเมื่อป่วย และทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสถี่ขึ้น
  2. ระบบคัดกรองอาการรายวัน และนโยบายให้หยุดเรียนเมื่อมีไข้หรือไอ เพื่อหยุดวงจรการแพร่เชื้อ 3–7 วัน
  3. การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่กลุ่มเสี่ยงตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงบุคลากรด่านหน้าในภาคบริการ

เชียงรายคือเมืองชายแดน การเฝ้าระวังด่านควบคุมโรคต้องพร้อม

เชียงรายมีด่านแม่สาย เชียงแสน และสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 เชียงของ ซึ่งรองรับการเดินทางและขนส่งระหว่างประเทศอย่างคึกคัก เทศบาลนครฯ ประสานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและด่านควบคุมโรคติดต่อ เพื่อเฝ้าระวังเชิงรุก ตรวจจับคลัสเตอร์จากผู้เดินทาง และติดตามสายพันธุ์ที่หมุนเวียน หากพบสัญญาณผิดปกติ จะสื่อสารเตือนภัยอย่างตรงจุดแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและสาธารณชนในเมือง

วัคซีนความมั่นใจนักเดินทาง” ทำไม 5,000 โดสจึงสำคัญ

เทศบาลนครเชียงราย โดยนายกวันชัย จงสุทธานามณี วางกลยุทธ์ฉีดวัคซีน 5,000 โดสสำหรับกลุ่มเสี่ยงในเมือง โดยเน้นผู้ทำงานสัมผัสนักท่องเที่ยว เช่น พนักงานโรงแรม ร้านอาหาร คนขับรถรับจ้าง ไกด์ แม่ค้า และประชาชนทั่วไปในย่านท่องเที่ยว เหตุผลมี 4 ประการ

  • ลดความรุนแรงของโรค วัคซีนช่วยลดโอกาสปอดบวมและการนอนโรงพยาบาล
  • คงเสถียรภาพธุรกิจบริการ ลดการลาป่วยพร้อมกันจำนวนมากในไฮซีซัน
  • สร้างความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว เมืองที่ให้ความสำคัญด้านสุขภาพดึงดูดนักเดินทางคุณภาพ
  • เสริมระบบเตือนภัยชุมชน เมื่อประชาชนฉีดวัคซีนมากพอ สัญญาณผู้ป่วยรุนแรงจะลดลง ทำให้หน่วยงานมุ่งทรัพยากรไปยังจุดที่จำเป็นที่สุด

นอกจากนี้ เทศบาลยังจัดคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ฟรี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตสตรี และตอกย้ำว่า นโยบายสุขภาพเมืองต้องครอบคลุมโรคเรื้อรังและคัดกรองเชิงป้องกันควบคู่โรคระบาด

เสียงจากผู้นำท้องถิ่น “สุขภาพที่ดี คือรากฐานของการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน”

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวในพิธีเปิดว่า เทศบาลต้องทำมากกว่าการดูแลพื้นฐานเมือง เป้าหมายคือทำให้ชาวเมืองและผู้มาเยือน “รู้สึกปลอดภัย” เพราะความปลอดภัยด้านสุขภาพแปลงเป็นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจได้ทันที มาตรการครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงงานสาธารณสุข แต่คือการคุ้มครองแบรนด์ “เชียงรายเมืองท่องเที่ยวคุณภาพ”

ด้านนายณรงค์ ลือชา รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เสริมว่า วัคซีนตามฤดูกาลช่วยลดความรุนแรงได้ชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง เด็กเล็ก และหญิงตั้งครรภ์ การมารับบริการให้ทันก่อนหน้าหนาว คือการปกป้องครอบครัวและลดภาระระบบสุขภาพในช่วงพีก

ขับเคลื่อนแบบ “หนึ่งเมือง หนึ่งแนวร่วม” รายชื่อหน่วยงานหลัก

การรณรงค์ครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาชน

  • เทศบาลนครเชียงราย (กองการแพทย์ และเครือข่าย อสส.)
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และเครือข่ายบริการปฐมภูมิ
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองเชียงราย
  • สมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยว ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในพื้นที่

โครงสร้างความร่วมมือแบบ “หนึ่งเมือง หนึ่งแนวร่วม” ทำให้การสื่อสารและการจัดคิวฉีดวัคซีนเชื่อมกับไทม์ไลน์ท่องเที่ยวได้อย่างลื่นไหล ลดคอขวด และกระจายบริการไปยังชุมชนสำคัญทั้งฝั่งตะวันออก-ตะวันตกของตัวเมือง

เชิงปฏิบัติการฉีดที่ไหน-อย่างไร-ใครได้ก่อน

เทศบาลกำหนด จุดฉีดเคลื่อนที่ ในตลาดท่องเที่ยว ถนนคนเดิน ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และศูนย์สุขภาพชุมชนในเขตเทศบาล จัดทีมพยาบาล-เวชปฏิบัติครอบครัว และหน่วยเวชศาสตร์ครอบครัวจากโรงพยาบาลเครือข่ายลงพื้นที่ในวันพีค โดยใช้ระบบจองคิวผ่านไลน์ออฟฟิเชียลเทศบาล พร้อมรับ “วอล์ก-อิน” สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ระบุไว้

กลุ่มเป้าหมายลำดับแรก ได้แก่ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค บุคลากรภาคบริการท่องเที่ยว เด็กเล็กตามดุลยพินิจของแพทย์ และหญิงตั้งครรภ์ ทั้งหมดต้องผ่านการประเมินความพร้อมเบื้องต้นและได้รับคำแนะนำการดูแลหลังฉีด

บทเรียนจากปีก่อนเมื่อ “สื่อสารความเสี่ยง” คือกุญแจ

รายงานผลการฉีดวัคซีนปี 2567 สะท้อนว่า บางกลุ่มยังปฏิเสธรับวัคซีนจากความเข้าใจคลาดเคลื่อน เทศบาลจึงปรับแผนสื่อสารใหม่ ใช้ อินโฟกราฟิกง่าย ๆ สรุปประโยชน์และผลข้างเคียงที่พบบ่อย พร้อมคลิปสั้นจากแพทย์โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ตอบคำถามยอดฮิต เช่น “ฉีดแล้วป่วยได้ไหม” “คนเป็นภูมิแพ้ฉีดได้หรือไม่” และ “เว้นระยะกับวัคซีนอื่นเท่าใด” นอกจากนี้ ยังเปิดสายด่วนให้คำปรึกษาก่อนตัดสินใจ เพื่อเพิ่มอัตรารับวัคซีนจริง

ควบคุมโรคแบบ “แพ็กเกจ” หน้ากาก-ล้างมือ-อากาศถ่ายเท-หยุดเมื่อป่วย

เทศบาลย้ำว่า วัคซีนไม่ใช่ “ยาวิเศษ” หากประชาชนละเลยมาตรการพื้นฐาน จึงเดินหน้ารณรงค์ “แพ็กเกจ 4 ข้อ” คือ สวมหน้ากากเมื่อป่วย ล้างมือบ่อย เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท และหยุดเรียนหรือหยุดงานเมื่อมีไข้ไอเจ็บคอ พร้อมแนะให้ใช้ ATK คัดกรองเมื่อเริ่มมีอาการ เพื่อแยกตัวได้เร็ว ลดโอกาสแพร่เชื้อในที่ทำงานและสถานศึกษา

มองผ่านเลนส์เศรษฐกิจเมืองค่าเสียโอกาสของการ “ป่วยพร้อมกัน”

ผู้ประกอบการโรงแรมและร้านอาหารในตัวเมืองสะท้อนตรงกันว่า ปลายปีคือช่วงทำรายได้หลัก หากพนักงานลาป่วยพร้อมกัน 10–20% การให้บริการสะดุดทันที ต้นทุนจ้างงานชั่วคราวสูงขึ้น และความพึงพอใจนักท่องเที่ยวลดลง มาตรการฉีดวัคซีนและคัดกรองเชิงรุกจึงช่วย “ล็อกเสถียรภาพ” การให้บริการ และปกป้องชื่อเสียงเมืองในช่วงที่ผู้คนจับจ่ายสูง

ความพร้อมของระบบรักษาโฟกัสการคัดกรองเร็ว-รักษาเร็ว

โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์เตรียมคลินิกทางเดินหายใจช่วงพีก พร้อมแนวปฏิบัติการใช้ยาต้านไวรัสตามเกณฑ์แพทย์และระยะเวลาที่เหมาะสม ย้ำว่า ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงควรมาพบแพทย์เร็วเพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ นอกจากนี้ ระบบส่งต่อโรงพยาบาลชุมชน-ศูนย์สุขภาพชุมชนในเขตเทศบาลถูกตั้งค่าไว้ล่วงหน้า เพื่อรองรับกรณีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเฉียบพลัน

คัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรียกระดับคุณภาพชีวิตสตรีในเมือง

การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจัดควบคู่ในจุดฉีดวัคซีนหลายแห่ง เพื่อให้สตรีวัยทำงานเข้าถึงบริการได้สะดวก เทศบาลเน้นย้ำว่า มะเร็งปากมดลูก “ป้องกันและรักษาหายได้” หากตรวจพบเร็ว การผนวกบริการคัดกรองเข้ากับแผนวัคซีนจึงช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของประชาชน และสะท้อนแนวทาง “เมืองสุขภาพดี” ที่มองสุขภาพแบบองค์รวม

จากข้อมูลสู่ยุทธศาสตร์ปีหน้าวัคซีน-ข้อมูล-ความร่วมมือ ต้องเดินพร้อมกัน

บทเรียนปี 2567 บอกเราว่า ภาระโรคสูงไม่ได้มาจากเชื้ออย่างเดียว แต่เกิดจากพฤติกรรม การเข้าถึงวัคซีน ความหนาวยาวนาน และการรวมกลุ่มในอาคารมากขึ้น เมืองจึงต้องยกระดับ 3 เรื่อง

  1. วัคซีน เพิ่มครอบคลุมในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะเด็กเล็ก-วัยเรียน-ผู้สูงอายุ-ผู้มีโรคเรื้อรัง และแรงงานท่องเที่ยว
  2. ข้อมูล ปรับมาตรฐานฐานประชากรในการคำนวณอัตราป่วย ให้หน่วยงานและสาธารณชนใช้ตัวเลขชุดเดียวกัน
  3. ความร่วมมือ ร้อยเครือข่ายภาครัฐ-เอกชน-ชุมชน ให้สื่อสารความเสี่ยงไปในทิศทางเดียว นำไปสู่การตัดสินใจที่รวดเร็วและมีวินัยร่วมกัน

เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ เริ่มจากคนเมืองที่สุขภาพดี

การฉีดวัคซีน 5,000 โดสและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรี คือก้าวแรกในฤดูกาลนี้ แต่สาระสำคัญยิ่งกว่าคือ “วิธีคิด” ที่วางสุขภาพไว้เคียงข้างเศรษฐกิจ เทศบาลนครเชียงรายแสดงบทบาทเจ้าบ้านที่ดีด้วยมาตรการเชิงระบบ เชื่อมโรงเรียน โรงพยาบาล ตลาดท่องเที่ยว และด่านพรมแดนเข้าด้วยกัน เมื่อคนเมืองแข็งแรง นักท่องเที่ยวมั่นใจ และธุรกิจบริการเดินได้ต่อเนื่อง ภาพ “เชียงราย เมืองสุขภาพดี เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” ก็ไม่ใช่สโลแกน หากเป็นความจริงที่สัมผัสได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย)
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • ศูนย์เฝ้าระวังทางระบาดวิทยา เขตสุขภาพที่ 1
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • คู่มือสื่อสารความเสี่ยงไข้หวัดใหญ่ กรมควบคุมโรค
  • สำนักทะเบียนกลาง/สถิติทางการจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ถอดบทเรียน “แม่ข่า-โอตารุ” สู่การสร้าง “ถนนศิลปิน” ริมคลองเกาะทองอย่างยั่งยืน

คลองเกาะทอง” จะไปให้สุดแบบ “คลองแม่ข่า–โอตารุ” ได้อย่างไร แผนพลิกคลองบำบัดน้ำเสีย สู่ถนนศิลปินและแลนด์มาร์กสีเขียวกลางเมืองเชียงราย

เชียงราย, 14 ตุลาคม 2568 — ถ้าสักเช้าวันหนึ่ง เราได้เห็นเงาน้ำเป็นประกายสะท้อนแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ตัดกับแนวไม้ดอกสีสดที่เรียงรายริมตลิ่ง ผู้คนจิบกาแฟ เดิน วิ่ง ปั่นจักรยานเคียงข้างคลอง และวงดนตรีบรรเลงรับลมเหนือ—ภาพฝันแบบ “โอโตรุเบา ๆ” อยู่กลางเมืองเชียงราย จะเป็นไปได้แค่ไหน?
คำตอบกำลังค่อย ๆ เดินหน้าอยู่ที่ คลองบำบัดน้ำเสียชุมชนเกาะทอง”—พื้นที่ซึ่งเทศบาลนครเชียงรายและ 3 ชุมชนหลัก (เกาะทอง–วังดิน–ร่องปลาค้าว) กำลังร่วมกันปรับภูมิทัศน์จากคลองลำเลียงน้ำเสียให้กลับมาสะอาด เป็นระเบียบ ร่มรื่น พร้อมวางระบบ น้ำหมุนเวียนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อฟื้นระบบนิเวศอย่างยั่งยืน และตั้งเป้าผลักดันให้เป็น แลนด์มาร์กสีเขียว แห่งใหม่ของเมือง

ในเวลาไล่เลี่ยกัน โซเชียลมีเดียต่างบันทึกความฮอตของ คลองแม่ข่า” เชียงใหม่—พื้นที่ฟื้นฟูที่มีกลิ่นอายญี่ปุ่นเบา ๆ เดินสบายด้วยแนวซีรีนบล็อกริมขอบน้ำ ร้านกาแฟ–ของที่ระลึก–สตูดิโอศิลปินผุดขึ้นรายทาง กลายเป็นจุดเช็กอินใหม่ที่ชวนให้คนไปสัมผัสบรรยากาศชิล ๆ ได้แทบทุกฤดู ขณะที่ภาพจำต้นแบบระดับโลกอย่าง คลองโอตารุ (Otaru Canal) ในฮอกไกโด—ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นท่าเรือสินค้า แต่วันนี้เป็นย่านพิพิธภัณฑ์–ร้านค้า–งานศิลป์ มีไฟระยิบยามค่ำคืนและเทศกาลฤดูหนาว—ก็ย้ำให้เห็นว่า “คลองในเมือง” สามารถแปลงร่างเป็นหัวใจของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้จริง หากออกแบบ “ประสบการณ์” และ “ระบบจัดการน้ำ” ได้ลงตัว

บทความเชิงข่าว–วิเคราะห์ชิ้นนี้ชวนผู้อ่านเจาะลึกว่า คลองเกาะทองของเชียงราย จะ ก้าวจากโครงสร้างพื้นฐานสิ่งแวดล้อม ไปสู่ โครงสร้างพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แบบ “แม่ข่า–โอตารุโมเดล” ได้อย่างไร พร้อมร้อยเรียงข้อเท็จจริง แผนงานที่มีอยู่ กลไกเทคนิค อนาคตเศรษฐกิจชุมชน และ “จุดเปลี่ยน” ที่จะทำให้เส้นทางนี้ไปถึงปลายทางอย่างยั่งยืน

จากคลองลำเลียงน้ำเสีย สู่ “ระเบียงสีเขียว” ของคนทั้งสามชุมชน

บริบทพื้นที่ คลองเกาะทองคือเส้นทางนำน้ำเสียไปยังบ่อบำบัดเดิมในย่านชุมชนหนาแน่นของเมืองเชียงราย ปัญหาที่สะสมมายาวนานคือ น้ำชะงัก–ตะกอน–กลิ่น–ขยะล่องลอย และสภาพภูมิทัศน์ที่ไม่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์สาธารณะ เทศบาลนครเชียงรายจึงวางแผน ปรับภูมิทัศน์ใหม่ทั้งระบบ—ตั้งแต่งานสะสาง–จัดระเบียบ–ปลูกไม้ดอก (เช่น พุทธรักษา ยี่โถสีม่วง) ตลอดแนวคลอง ไปจนถึงการออกแบบทางเดิน–พื้นที่ออกกำลังกายสำหรับทุกวัย พร้อม ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Pump) เพื่อเร่งการไหล–เติมน้ำดี–ผลักน้ำเสียไปยังบ่อบำบัดอย่างเป็นระบบ

หมุดหมายและแรงขับ วันที่ 10 ตุลาคม 2568 ผู้บริหารเทศบาลลงพื้นที่ร่วมปลูกต้นไม้และจัดระเบียบทางกายภาพ—เป็นสัญญาณว่าช่วง “ก่อรูป” เริ่มปรากฏให้เห็นจริงบนพื้นดิน ไม่ใช่แค่แผนบนกระดาษ เป้าประสงค์ชัดเจนสองชั้น (1) แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาลน้ำเสียแบบยั่งยืนด้วยโซลูชันพลังงานสะอาด และ (2) เปลี่ยนพื้นที่ริมคลองให้เป็น สาธารณูปการเพื่อสุขภาวะ—เดิน–วิ่ง–ปั่นได้ ปลอดภัย สวยงาม ใช้งานได้ทุกวัน

ทุนสังคมที่พร้อม ความร่วมมือของ 3 ชุมชน (เกาะทอง–วังดิน–ร่องปลาค้าว) เป็น “แรงขับนุ่ม” ที่สำคัญ เพราะพื้นที่นี้เคยเผชิญข้อจำกัดด้านน้ำและอุทกภัยร่วมกัน การรวมพลังดูแล “คลองบ้านเรา” จึงไม่ใช่กิจกรรมสวยงามชั่วคราว แต่เป็น ผลประโยชน์ร่วม ของคนในละแวกโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น ชุมชนเกาะทองเองเคยได้รับการยอมรับเป็น แหล่งเรียนรู้ต้นแบบ จากการขับเคลื่อนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง—ทุนทางสังคมแบบนี้เป็น “เงื่อนไขสำเร็จ” ของงานพัฒนาเมืองที่ใช้เวลานาน

ถอดบทเรียน “คลองแม่ข่า–เชียงใหม่” ทำไมฟีลญี่ปุ่นจึงเวิร์ก และเราจะยกมาปรับใช้ที่เชียงรายอย่างไร

บรรยากาศและการออกแบบ คลองแม่ข่าในสายตาผู้มาเยือนคือแถวทางเดินที่ สะอาด–เป็นระเบียบ–เรียบง่าย เสริมด้วย ซีรีนบล็อกคอนกรีต รับเส้นสายตลิ่งที่ชัด และเปิดมุมมองให้เห็นสายน้ำอย่างปลอดโปร่ง ร้านกาแฟ–ของที่ระลึก–งานคราฟต์เรียงตัวพองามโดยไม่บีบพื้นที่สาธารณะ ผลรวมทั้งหมดส่ง “กลิ่นอายญี่ปุ่นเบา ๆ” ที่คุ้นตาในงานออกแบบญี่ปุ่นสมัยใหม่—น้อยแต่พอดี เน้นผิวสัมผัสวัสดุและสัดส่วนที่เดินสบาย

กิจกรรมคือหัวใจ แม่ข่าประสบความสำเร็จเพราะไม่ได้มีแค่ “พื้นที่” แต่มี กิจกรรมที่ไหล—ศิลปินข้างคลอง ตลาดน้อย ๆ ช่วงบ่าย–เย็น มุมดนตรีสด งานแสดงชั่วคราว และคาแรกเตอร์ร้านที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ผู้คนมีเหตุผลกลับมาอีกบ่อย ๆ ไม่ใช่แค่ถ่ายรูปครั้งเดียวแล้วจบ

บทเรียนสู่เชียงราย

  • 1. มาตรฐานน้ำและความสะอาด ความสวยงามอยู่ไม่ได้ถ้าน้ำมีกลิ่นหรือขยะลอย นี่คือ “ชั้นฐาน” ที่ต้องทำให้เสถียรก่อน—ซึ่งแผนโซลาร์ปั๊มของเชียงรายตอบโจทย์นี้ตรงจุด
  • 2. ผังใช้ประโยชน์พื้นที่ (Zoning) จัดสรรแนว Walkway–Green–Water Edge ให้เดินต่อเนื่อง ไม่เบียดล้ำทางน้ำ ร้านค้าควรตั้งถอยหลังพอสมควรเพื่อคง “ขอบน้ำ” ให้โปร่งและเป็นของส่วนรวม
  • 3. คัดสรร–คัดคุณภาพกิจกรรม แทนการเปิดเสรีทุกอย่าง ควรตั้ง เกณฑ์คุณภาพ และเลือกกิจกรรม–ร้านค้าที่สอดคล้องอัตลักษณ์เชียงราย (งานศิลป์–ช่างฝีมือ–กาแฟ–อาหารพื้นถิ่น) เพื่อหลีกเลี่ยง สตรีทของก๊อบปี้”
  • 4. ดูแลตลอดชั่วโมงใช้งาน ทีม Operation & Maintenance (O&M) ต้องทำงานเงียบ ๆ แต่เข้มข้น—ล้างทาง–เก็บขยะ–ตรวจน้ำ–ดูไฟ—เพราะความประทับใจของเมืองอยู่ที่ “จุดเล็ก ๆ” ที่ไม่สะดุด
Hokkaido: Otaru Canal Cruise and Seal Engraving Experience

แบบฝันที่จับต้องได้ “โอตารุโมเดล” กับถนนศิลปินริมคลองเกาะทอง

แรงบันดาลใจจากโอตารุ โอตารุเคยเป็น คลองขนส่งสินค้า ก่อนปรับบทบาทเป็น พิพิธภัณฑ์–ร้านค้า–ร้านอาหาร ย่านเดียวกันในตอนกลางวันจะมี ศิลปิน–นักวาด–นักดนตรี สลับคิว โคมไฟสไตล์วิกตอเรียนและการประดับไฟยามค่ำทำให้ภาพรวม “โรแมนติก” และ เทศกาล Otaru Snow Story ช่วงกลาง พ.ย.–ต้น ก.พ. ก็ช่วยยืดฤดูกาลท่องเที่ยว

พิมพ์เขียวที่เข้ากับเชียงราย

  • คอนเซ็ปต์ “ถนนศิลปินกลางเมือง” เชียงรายเป็นเมืองศิลป์โดยสายเลือด—จากงานจิตรกรรม–ประติมากรรม–คราฟต์พื้นถิ่นสู่ศิลปะร่วมสมัย ริมคลองเกาะทองสามารถกำหนดแนวยาว “Artist Strip” ที่มีซุ้มงานวาด/งานปั้น/เป่าแก้ว/สกรีนพิมพ์—เชื่อมกับสตูดิโอขนาดเล็กและแกลเลอรีในระยะเดินถึง
  • คืนชีวิตให้ “น้ำ” ยามค่ำ ใช้ แสง–เงา–ไฟ เป็นภาษาของพื้นที่ เช่น โคมไฟย้อนยุคเรียงช่วง–งาน Projection Mapping บางเทศกาลบนผนังที่จัดทำเฉพาะกิจ—ทำให้ “คืนเชียงราย” ชวนเดินปลอดภัยและน่าจดจำ
  • เทศกาลตามวาระ วางปฏิทิน คลองศิลป์เชียงราย” ฤดูหนาว–ฤดูร้อน–ฤดูฝน แต่ละวาระมีธีมกิจกรรมต่างกัน (ตลาดงานพิมพ์, ดนตรีฟังสบาย, ศิลปะกับเด็ก, งานอาหารพื้นถิ่นในคืนลมหนาว) เพื่อกระจายคนและยืดการใช้งานทั้งปี
  • เชื่อมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เปิดพื้นที่ Pop-up ให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่และ วิสาหกิจชุมชน เข้าถึงหน้าเช่าราคายุติธรรม แลกกับการรักษามาตรฐานและร่วมดูแลพื้นที่ร่วมกัน

โครงสร้างเทคนิค–การบริหารน้ำ หัวใจที่มองไม่เห็น แต่ทำให้ทุกอย่าง “อยู่ได้”

ทำไม “น้ำหมุนเวียน” สำคัญ คลองบำบัดน้ำเสียจะมีกลิ่นและเกิดตะกอนหากน้ำ นิ่ง การวางระบบ Solar Pump เพื่อจ่าย “น้ำดี” เข้า—ให้เกิด Flow ต่อเนื่อง—ช่วยสองเรื่องพร้อมกัน (1) ไล่น้ำเสีย ลงสู่ระบบบำบัด และ (2) เติมออกซิเจน ฟื้นระบบนิเวศทางน้ำ เมื่อหน้าร้อนยาวหรือหน้าแล้งมา น้ำยัง เคลื่อน จึงลดโอกาสเกิดกลิ่นได้มาก

ข้อควรระวัง

  • วาง เกณฑ์คุณภาพน้ำเป้าหมาย รายเดือน (เช่น ค่าความขุ่น–กลิ่น–การเกิดตะกอนริมตลิ่ง) และเผยแพร่เป็น Dashboard สาธารณะ ให้ชุมชนตรวจสอบได้
  • นอกจากปั๊ม ควรมี กระบวนการกรองหยาบ–ตะแกรงขยะ ที่เข้าถึงง่าย เพื่อให้ทีมชุมชนช่วยยก–เก็บได้ในกิจกรรมประจำสัปดาห์
  • ผนวก พลังงานแสงอาทิตย์ เข้ากับ แบตเตอรี่สำรอง ในจุดสำคัญ เพื่อรักษาการไหลยามฟ้าปิด–ฝนต่อเนื่อง
  • ทำ คู่มือ O&M ที่ชัดเจน ตารางตรวจ–จุดทดสอบน้ำ–การแจ้งเหตุซ่อม–เวลาแก้ปัญหามาตรฐาน (SLA) ระหว่างเทศบาล–ชุมชน–ผู้รับจ้างบำรุงรักษา

ทั้งหมดนี้คือ “เครื่องจักรเงียบ” ที่ทำให้หน้าบ้าน (ทางเดิน–ร้าน–ศิลปะ) สวยและไม่สะดุด—ถ้าใจกลางระบบน้ำทำงานไม่ล้ม ความน่าเชื่อถือของแลนด์มาร์กก็ยืนระยะ

คลองแม่ข่า จ.เชียงใหม่ ภาพจาก เฟซบุ๊ก Fontip Dam-iam
คลองแม่ข่า จ.เชียงใหม่ ภาพจาก เฟซบุ๊ก Fontip Dam-iam

เศรษฐกิจย่านและผลประโยชน์สังคม ตัวเลขที่ควรมองและผลลัพธ์ที่จับต้องได้

ผลต่อคุณภาพชีวิต

  • พื้นที่สีเขียวและทางเดิน–วิ่ง–ปั่น ช่วยเพิ่ม กิจกรรมทางกาย ของคนเมืองแบบ “เดินได้ทุกวัน”
  • ความปลอดภัย ดีขึ้นจากระบบไฟ–กล้อง–การออกแบบพื้นที่เปิดโล่ง ลด “มุมอับ”
  • ทุนสังคม แข็งแรงขึ้นเมื่อชุมชนมี “งานกลางแจ้งร่วมกัน” อย่างสม่ำเสมอ

ผลต่อเศรษฐกิจในรัศมีเดินเท้า

  • โอกาสของ SMEs/วิสาหกิจชุมชน คาเฟ่–ของที่ระลึก–สตูดิโอเวิร์กช็อป–เช่าจักรยาน—รายได้กระจายสู่คนในพื้นที่โดยตรง
  • ผลทวีคูณ (Multiplier) เมื่อย่านมีเหตุผลให้มาเยือน ทั้งเช้า–บ่าย–ค่ำ ร้านค้าในตรอกใกล้เคียงจะได้ลูกค้าต่อเนื่อง เกิด เศรษฐกิจย่อยรายรอบคลอง
  • การตลาดเมือง (City Branding) ภาพ “คลองสวย–สะอาด–ศิลปะ” เสริมแบรนด์ “นครแห่งความสุข” ของเชียงราย เชื่อมกับสินทรัพย์ท่องเที่ยวหลักของเมือง (วัด–พิพิธภัณฑ์–ย่านเก่า–คาเฟ่) และ ปั่นต่อ ไปยังแลนด์มาร์กใหม่ ๆ ได้ในแนวทาง เที่ยวระยะสั้น–หลายจุด

ชวนคิด แม่ข่าพิสูจน์แล้วว่า “บรรยากาศดี + เดินง่าย + ร้านมีเอกลักษณ์” = คนอยากกลับมาอีก ส่วนโอตารุสอนว่า “เทศกาล + แสงยามค่ำ” = ยืดเวลาการใช้งานพื้นที่ให้คุ้มค่ายิ่งขึ้น หากคลองเกาะทองเดินตามนี้อย่างมีวินัย ตัวเลขผู้มาเยือนและรายได้ชุมชนจะ “ไหล” ตามสายน้ำที่หมุนเวียนไม่หยุด

ธรรมาภิบาล–กติกาย่าน–การมีส่วนร่วม ทำให้ย่าน “สวยและเป็นธรรม” พร้อมเติบโต

ตั้งกติกาให้ชัดตั้งแต่ต้น

  • Zoning & Design Code ความกว้างทางเดิน–ระยะร่นอาคาร–ความสูง–วัสดุริมตลิ่ง–สีและป้าย—เพื่อให้ภาพรวมเรียบ งาม และเดินสบาย
  • Vendor & Activity Curation ระบบคัดสรรผู้ค้า/ศิลปินที่คุมคุณภาพสินค้า–บริการ และร้อยกับอัตลักษณ์เชียงราย ลดโอกาส “สตรีทซ้ำแบบทุกเมือง”
  • เสียงของชุมชน เวทีรับฟังความเห็นสม่ำเสมอ (รายไตรมาส) เพื่อปรับแผนกิจกรรม–เวลาเปิด–ระบบดูแลพื้นที่ ไม่ให้ย่าน “เหนื่อยล้า” จากความนิยม
  • ค่าตอบแทนเป็นธรรม อัตราหน้าร้าน/การใช้พื้นที่สาธารณะควรมี Rate พิเศษ สำหรับชุมชนรอบคลอง–ผู้ประกอบการรุ่นใหม่–ผู้พิการ/ผู้สูงอายุ–กิจกรรมสาธารณะ เพื่อให้ เศรษฐกิจย่านเติบโตแบบไม่ทิ้งกัน

โครงสร้างบริหารร่วม (Joint Operations)
สร้างกลไก คณะกรรมการคลองเกาะทอง” มีตัวแทนเทศบาล–สามชุมชน–ผู้เชี่ยวชาญสิ่งแวดล้อม–ตำรวจ–นักท่องเที่ยว–ภาคธุรกิจในรัศมี เดินงานร่วมกัน 3 วงหลัก

  1. น้ำและสิ่งแวดล้อม (วัดคุณภาพน้ำ–ดูแลปั๊ม–เก็บขยะ–ความสะอาด)
  2. กิจกรรมและย่าน (ปฏิทินเทศกาล–คัดสรรผู้ค้า–มาตรฐานร้าน–ความปลอดภัยยามค่ำ)
  3. การสื่อสารและการตลาดเมือง (แบรนด์คลอง–สื่อสารภาพเดียว–ข้อมูลผู้มาเยือน–สำรวจความพึงพอใจ)

แผนเดินหน้า 12–18 เดือน จาก “งานกายภาพ” สู่ “ย่านที่มีชีวิต”

เฟส 1: งานฐานราก (0–6 เดือน)

  • เดินเครื่อง Solar Pump และระบบกรองหยาบ/ตะแกรงขยะ
  • ปรับขอบคลอง–ปรับผิว–วาง Walkway ต่อเนื่อง–เพิ่มไฟส่องสว่าง–จุดนั่งพัก
  • ปลูกไม้ดอก–ไม้พุ่ม–เพิ่มร่มเงาบางช่วง—เลือกชนิดดูแลง่าย ทนสภาพอากาศเหนือ
  • ทดลอง กิจกรรมความถี่ต่ำ (เสาร์–อาทิตย์/รายเดือน) เพื่อเทสต์การจัดการฝูงชน–จุดขาย–จุดเสี่ยง

เฟส 2: กติกาและคัดสรร (6–12 เดือน)

  • ออก Design Code–Vendor Code พร้อมประกาศใช้อย่างเป็นทางการ
  • เปิดรับผู้ค้า/ศิลปินรอบแรก—คละประเภท เพื่อสร้างประสบการณ์หลากหลาย
  • ตั้งทีม O&M ประจำคลอง (เทศบาล + อาสาชุมชน + ผู้รับจ้าง) พร้อม SLA ชัดเจน

เฟส 3: เทศกาลและแสงเมือง (12–18 เดือน)

  • เปิดตัวเทศกาล คลองศิลป์เชียงราย” ครั้งที่ 1 (ธีมฤดูหนาว) พร้อมงานไฟ–ดนตรี–เวิร์กช็อปเด็ก
  • เชื่อมเส้นทางจักรยาน/เดินต่อไปย่านใกล้เคียง—ทำ Map เมืองเดินได้
  • เริ่มเก็บข้อมูลผู้มาเยือน–การใช้จ่าย–ความพึงพอใจ (แบบสอบถาม/นับคน) เพื่อปรับแผนปีถัดไปอย่างมีข้อมูล

ความเสี่ยงและทางกันคลื่น เมืองที่งามอย่างยั่งยืนต้อง “เอาชนะความเคยชิน”

  • เสน่ห์หายเพราะล้น ถ้ากิจกรรม–ร้าน–คนแน่นเกินไปจนเดินไม่สบาย–ขยะสะสม–เสียงดัง–จราจรรอบย่านตึง ภาพจำจะเปลี่ยนเร็ว ต้องใช้ เพดานการใช้พื้นที่ (Carrying Capacity) ที่ประเมินจากความกว้างทางเดิน–จำนวนจุดนั่ง–ทางหนีไฟ และหมุนเวียนกิจกรรมไม่ให้หนาแน่นเกินไป
  • ราคาที่ดิน–ค่าเช่าไหลแรง ตั้ง โควต้า/เพดานค่าเช่าพื้นที่สาธารณะ ฝั่งชุมชน เพื่อคง สมดุลสังคม ไม่ให้คนดั้งเดิมถูกเบียดออก
  • ระบบน้ำสะดุด = ความเชื่อมั่นหาย กำหนด ทีมฉุกเฉิน ซ่อมบำรุงภายในเวลามาตรฐาน พร้อม สื่อสารโปร่งใส กรณีเกิดเหตุ—รักษาความเชื่อใจของสาธารณะ
  • ความสับสนภาพลักษณ์ วาง แบรนด์คลองเกาะทอง ให้ชัด (โลโก้–โทนสี–ป้าย–ภาษาภาพ) และสร้าง คู่มือใช้แบรนด์ สำหรับผู้ค้า/กิจกรรม เพื่อให้ภาพรวม “พูดภาษาเดียวกัน”

มองไกล “โครงสร้างพื้นฐานของความสุข” ที่พาคนทั้งเมืองเดินไปด้วยกัน

“คลองในเมือง” ไม่ควรเป็นเพียง แนวระบายน้ำ แต่เป็น ที่ว่างของความสุขร่วมกัน คลองเกาะทองกำลังเดินหน้าในทางนี้ด้วยชุดเครื่องมือครบมือ—ระบบน้ำหมุนเวียนสะอาด + ทางสาธารณะเดินสบาย + ชุมชนเข้มแข็ง + วิสัยทัศน์เมืองแห่งความสุข หากเรียนรู้จากแม่ข่าและดึงแรงบันดาลใจบางส่วนจากโอตารุ (ในแบบที่เป็นเชียงรายเอง) การเกิดขึ้นของ ถนนศิลปินริมคลองเกาะทอง” ไม่ใช่เรื่องไกลตัว

และเมื่อทุกอย่างเข้าที่—ตั้งแต่กลิ่นน้ำที่หายไปจนถึงไฟยามค่ำที่อบอุ่น—ชื่อของคลองเกาะทองจะค่อย ๆ ถูกเรียกขานด้วยคำใหม่ หมุดหมายใหม่ของเชียงราย” ที่คนอยากกลับมาซ้ำ เพียงเพราะที่นั่น เดินแล้วสบายใจ

ข้อเสนอฉบับย่อ “คลองเกาะทองสไตล์เชียงราย”

  • หัวใจเทคนิค เดินเครื่อง Solar Pump + ระบบกรองหยาบ + Dashboard คุณภาพน้ำสาธารณะ
  • หัวใจพื้นที่ Walkway ต่อเนื่อง–ไฟทาง–ที่นั่ง–ไม้ดอก–ร่มเงา–ขอบน้ำโปร่ง
  • หัวใจกิจกรรม ถนนศิลปิน–ตลาดงานคราฟต์–ดนตรีรับลม–เทศกาลไฟฤดูหนาว
  • หัวใจธรรมาภิบาล Zoning & Design Code + Vendor Code + เพดานใช้พื้นที่ + ส่วนร่วมชุมชน
  • หัวใจยั่งยืน ทีม O&M เฉพาะ–SLA ซ่อมไว–เผยแพร่ข้อมูลโปร่งใส–แบบสำรวจผู้ใช้พื้นที่สม่ำเสมอ

 

ทำไม “คลองเกาะทองเวอร์ชันญี่ปุ่นเบา ๆ” จึงคุ้มค่าเมือง

  1. สุขภาวะประชาชน เพิ่มขึ้นจากกิจกรรมกายภาพประจำวัน—เมืองสุขภาพดี “ลดค่ารักษา” ในระยะยาว
  2. ศักยภาพเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพิ่มขึ้น—รายได้จ่อเข้าคนท้องถิ่น–ผู้ประกอบการรายเล็ก
  3. แบรนด์เมือง แข็งแรง—เชียงรายไม่ได้มีดีแค่แลนด์มาร์กดังเดิม แต่มี “คลองสีเขียวสายใหม่” ใจกลางเมือง
  4. การเรียนรู้ของเมือง—ชุมชนได้ทักษะดูแลพื้นที่สาธารณะและระบบเทคนิค (น้ำ–ไฟ–ความปลอดภัย) อย่างแท้จริง

สิ่งที่เชียงรายทำอยู่ไม่ใช่เพียง “ปรับภูมิทัศน์” แต่คือการสร้าง โครงสร้างพื้นฐานของความสุข ให้คนเมือง—และถ้าหัวใจเทคนิค–การจัดการ–กิจกรรม–ธรรมาภิบาล วิ่งไปพร้อมกัน คลองเกาะทองจะไม่ใช่แค่ “ที่สวย” แต่จะเป็น “ที่ที่อยากอยู่และอยากกลับมา” เหมือนที่แม่ข่าทำได้ และโอตารุเล่าเรื่องมาแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ

จาก “คลองบำบัดน้ำเสีย” สู่ “ถนนศิลปินริมคลอง”—เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อเรียก แต่คือ การสร้างระบบ ให้คน เดิน–ดู–ดื่มด่ำ–และดูแลร่วมกัน เมื่อระบบน้ำไหลอย่างมีชีวิต ทางเดินต่อเนื่องอย่างพอดี ร้านค้า–งานศิลป์มีตัวตนของเชียงราย และกติกาย่านทำให้เติบโตอย่างเป็นธรรม วันนั้น “คลองเกาะทอง” จะไม่ใช่เพียงทางผ่านของน้ำ แต่เป็น ทางผ่านของความสุข ที่คนทั้งเมืองภูมิใจ และนักเดินทางอยากแวะซ้ำ—เหมือนที่เราเคยเห็นที่แม่ข่า และตกหลุมรักที่โอตารุมาแล้ว.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มทบ.37-เทศบาลนครเชียงรายผนึกกำลัง ยกระดับ “ถ้ำตุ๊ปู่” สู่พื้นที่ปลอดภัย

มทบ.37–เทศบาลนครเชียงราย–กอ.รมน.–โรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา ลงนามยกระดับ “ถ้ำตุ๊ปู่” สู่พื้นที่สาธารณะปลอดภัยและแหล่งเรียนรู้เชิงพุทธ คิกออฟโมเดลท่องเที่ยว–ชุมชน–ความมั่นคง “เชียงรายเมืองปลอดภัย”

เชียงราย, 12 กันยายน 2568 — แสงยามบ่ายสะท้อนหน้าผาหินของ “ถ้ำตุ๊ปู่” ในตำบลริมกก—พื้นที่ที่ครั้งหนึ่งชาวบ้านต่างจดจำในฐานะ “จุดเสี่ยง”—กำลังเปลี่ยนบทบาทอย่างเป็นทางการ เมื่อ 4 หน่วยงานหลักของจังหวัดจับมือกันลงนามบันทึกความร่วมมือเพื่อพัฒนาให้ที่นี่เป็น พื้นที่สาธารณะปลอดภัย–ปลอดยาเสพติด–ปลอดภัยต่อการท่องเที่ยว” และยกระดับเป็น แหล่งเรียนรู้เชิงพระพุทธศาสนา ควบคู่การเป็น พื้นที่กิจกรรมของเยาวชนและชุมชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

พิธีลงนามจัดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 โดยมี พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย, พันเอกพักตร์พงษ์ เงสันเทียะ หัวหน้ากลุ่มงานนโยบาย แผน และการข่าว กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย (กอ.รมน.) และ ดร.ประพันธ์ ทรรศนียากร ผู้จัดการโรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา เข้าร่วมลงนามพร้อมข้าราชการ ครู นักเรียน และประชาชนในพื้นที่

จาก “จุดเสี่ยง” สู่ “พื้นที่เรียนรู้” พลิกวิกฤตเป็นโอกาสของเมือง

ภาพจำในอดีตของถ้ำตุ๊ปู่—พื้นที่รกร้าง มีเหตุอาชญากรรม และเกี่ยวพันปัญหายาเสพติด—คือฉากหลังที่ทุกภาคส่วนต้องการปิดฉาก พลตรีจักรวีร์กล่าวบนเวทีว่า แม้ทหารจะมีภารกิจป้องกันประเทศและดูแลชายแดน แต่ภารกิจเสริมสร้างความมั่นคงภายในและความเข้มแข็งของชุมชนคืองานหลักเช่นกัน “โครงการดี ๆ ที่เปลี่ยนพื้นที่เสี่ยงให้เป็นพื้นที่เรียนรู้และเศรษฐกิจชุมชน เราพร้อมสนับสนุนเต็มที่ ทั้งวิทยากร วินัยเยาวชน และกิจกรรมตามศาสตร์พระราชา หากสำเร็จจะขยายเป็นเครือข่ายสู่พื้นที่อื่นได้”

ด้าน นายวันชัย จงสุทธานามณี ย้ำว่า บทเรียนสำคัญจาก น้ำท่วมใหญ่เมื่อปีที่แล้ว ทำให้เทศบาลต้อง “เปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาส” ใช้การพัฒนาพื้นที่เป็นเกราะป้องกันความเสี่ยง และทำให้ถ้ำตุ๊ปู่กลายเป็น แหล่งเรียนรู้ของนักเรียนและเยาวชนเชียงราย เป็นพื้นที่สีขาวที่ลดละเลิกการเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และเป็น พื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัย สำหรับประชาชนและนักเดินทาง

พันเอกพักตร์พงษ์ เงสันเทียะ จากกอ.รมน. จังหวัดเชียงราย ระบุว่า โครงการนี้เชื่อมตรงกับพันธกิจสร้างความปรองดอง ยึดโยงสถาบันหลักของชาติ และแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ “เราจะบูรณาการกำลังกับ มทบ.37 และเทศบาลนครเชียงราย รวมถึงเครือข่ายชุมชน ให้กลไกป้องปรามยาเสพติดเดินคู่ไปกับกิจกรรมดี ๆ ของพื้นที่”

ส่วน ดร.ประพันธ์ ทรรศนียากร สะท้อนประสบการณ์ในฐานะ “คนริมพื้นที่” ที่อยู่กับโรงเรียนสหศาสตร์ศึกษามายาวนานว่า ถ้ำตุ๊ปู่เคยเป็นพื้นที่อันตราย มีคดีอาชญากรรมและปัญหายาเสพติดมาก่อน การร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่รอคอยเพื่อ สร้างพื้นที่ปลอดภัยใกล้โรงเรียน และเปิดโอกาสให้ชุมชนมีอาชีพ มีรายได้จากการท่องเที่ยว “โรงเรียนมีนักเรียนกว่า 7,000 คน จาก 12 ชาติพันธุ์ พร้อมร่วมมือเต็มที่ทั้งกิจกรรมนักเรียน อาสาสมัครชุมชน และการดูแลพื้นที่ในชีวิตประจำวัน”

โมเดล “สามราง” เพื่อความยั่งยืน ความปลอดภัย–การท่องเที่ยว–ชุมชนมีส่วนร่วม

สาระในบันทึกความร่วมมือกำหนดทิศทางพัฒนาพื้นที่ด้วยแนวคิด “สามราง” ที่ต้องเดินพร้อมกัน

  1. ความปลอดภัยเชิงระบบ – จัดระเบียบพื้นที่ให้ปลอดภัย ปราศจากยาเสพติด เพิ่มแสงสว่าง กล้องวงจรปิด ทางเดิน–ทางจักรยาน ระบบเตือนภัยเบื้องต้นช่วงฝนหลงฤดู รวมถึงการลาดตระเวนร่วมระหว่างเทศบาล–ทหาร–ชุมชนในช่วงเวลาความเสี่ยง เพื่อกด “ต้นทุนโอกาส” ของอาชญากรรมลงให้ต่ำสุด
  2. การท่องเที่ยว–เรียนรู้เชิงพระพุทธศาสนา – เน้นการตีความคุณค่าทางศาสนา วัฒนธรรม และธรรมชาติของถ้ำตุ๊ปู่ ออกแบบเส้นทางเรียนรู้ ห้องเรียนธรรมชาติ จุดพัก–ป้ายความรู้สองภาษา และกิจกรรมไหว้พระ–นั่งสมาธิอย่างเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องแนวคิด ท่องเที่ยวปลอดภัยและมีความหมาย (meaningful & safe tourism)
  3. ชุมชนมีส่วนร่วม–เศรษฐกิจฐานราก – เปิดพื้นที่ให้ชุมชนจัดกิจกรรมกีฬาและศิลปะของเยาวชน ตลาดชุมชนในวันเทศกาล โซนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาตรฐานสะอาด และระบบอาสาสมัครดูแลพื้นที่ (พื้นที่สีขาว) เพื่อให้รายได้หมุนเวียนในท้องถิ่น สร้างงานระยะยาวมากกว่ารายได้เฉพาะกิจ

แผนปฏิบัติ 3 ระยะ ทำทันที–ยกระดับ–สถาปนาระบบ

เพื่อให้เป้าหมายเป็นรูปธรรม ที่ประชุมร่วมกำหนดกรอบเวลาทำงานคร่าว ๆ ดังนี้

  • ระยะสั้น (0–6 เดือน): เคลียร์พื้นที่เสี่ยง–กำจัดจุดอับ ทำความสะอาดใหญ่ (Big Cleaning) ติดตั้งไฟส่องสว่าง จุดฉุกเฉิน–กล้องวงจรปิด จัดเส้นทางเดิน–วิ่ง–ปั่นชั่วคราว ทดสอบ “เวรยามร่วม” ระหว่างชุมชน–เทศบาล–ทหาร และเปิดกิจกรรมนำร่องของนักเรียน/เยาวชน (เช่น โยคะเช้า, ดนตรีเย็นวันศุกร์)
  • ระยะกลาง (6–18 เดือน): ปรับภูมิทัศน์ถาวร–จัดโซนการใช้ประโยชน์ (โซนปฏิบัติธรรม โซนเรียนรู้ โซนกีฬา โซนตลาดชุมชน) ติดตั้งป้ายความรู้–ทางเดินปลอดภัย รองรับผู้สูงวัย/ผู้ใช้รถเข็น สร้าง ศูนย์เรียนรู้ชุมชน ขนาดกะทัดรัด และกำหนด “ปฏิทินกิจกรรม” รายไตรมาสเพื่อให้คนกลับมาใช้พื้นที่สม่ำเสมอ
  • ระยะยาว (หลัง 18 เดือน): พัฒนาเครือข่ายเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมจุดใกล้เคียง (วัด เสน่ห์ชุมชน ตลาดเช้า) จัดเทศกาลประจำปีเชิงวัฒนธรรม–ศาสนา สร้างระบบ “กองทุนดูแลพื้นที่” จากรายได้กิจกรรมและ CSR เอกชน วางระบบเก็บ–วิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้พื้นที่เพื่อปรับปรุงบริการอย่างต่อเนื่อง

ตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI) ที่วัดได้และสื่อสารได้

เพื่อหลีกเลี่ยง “โครงการสวยบนกระดาษ” ฝ่ายปฏิบัติการเสนอชุดตัวชี้วัดที่จับต้องได้ ได้แก่

  • ความปลอดภัย: จำนวนเหตุทะเลาะวิวาท/อาชญากรรม/เหตุเกี่ยวกับยาเสพติดในรัศมีพื้นที่ ลดลงต่อเนื่องเทียบฐานปี 2567–2568
  • การใช้พื้นที่: จำนวนผู้ใช้พื้นที่รายวัน/รายสัปดาห์, สัดส่วนเยาวชนและครอบครัว, ชั่วโมงกิจกรรมการเรียนรู้/สันทนาการ
  • เศรษฐกิจชุมชน: มูลค่าการซื้อขายตลาดชุมชน/ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น, จำนวนผู้ประกอบการชุมชนที่เข้าร่วม, รายได้เฉลี่ยต่อกิจกรรม
  • ความพึงพอใจ: คะแนนประสบการณ์ผู้ใช้ (ความสะอาด ความปลอดภัย ความสะดวกในการเข้าถึง) ผ่านแบบสอบถามสั้นบนจุดบริการ/QR
  • สิ่งแวดล้อม: ดัชนีความสะอาด–ขยะตกค้าง, สภาพพืชพรรณพื้นถิ่น, คุณภาพน้ำฝน–น้ำผิวดินรอบพื้นที่ (เก็บตัวอย่างรายไตรมาส)

เสียงสะท้อนจากเวทีคำประกาศเจตนารมณ์

พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37: “ทหารพร้อมสนับสนุนทุกด้าน ทั้งวิทยากร วินัย และองค์ความรู้เศรษฐกิจพอเพียง หากพื้นที่นี้สำเร็จ เราจะขยายเครือข่ายสู่จุดอื่น เพื่อให้ความมั่นคงภายในยืนบนฐานชุมชนที่เข้มแข็ง”

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย: “เราจะเปลี่ยนวิกฤตน้ำท่วมเมื่อปีที่แล้วให้เป็นโอกาส สร้างพื้นที่เรียนรู้ของเยาวชน และกำหนด ‘เขตปลอดยาเสพติด–ปลอดภัยต่อการท่องเที่ยว’ ให้ประชาชนมั่นใจ”

พันเอกพักตร์พงษ์ เงสันเทียะ กอ.รมน. จ.เชียงราย: “กอ.รมน.จะผนึกกำลังกับทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนงานความมั่นคงควบคู่กิจกรรมสร้างสรรค์ ลดปัจจัยเสี่ยงยาเสพติดในระดับชุมชน”

ดร.ประพันธ์ ทรรศนียากร ผู้จัดการโรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา: “เรามีนักเรียนกว่า 7,000 คน 12 ชาติพันธุ์ พร้อมเป็นพลังร่วมพัฒนา ให้ถ้ำตุ๊ปู่เป็นพื้นที่ปลอดภัยของลูกหลานและเป็นแหล่งอาชีพใหม่ของชุมชน”

มองไปข้างหน้า เงื่อนไขความสำเร็จและความเสี่ยงที่ต้องบริหาร

แม้โมเดล “ถ้ำตุ๊ปู่–เมืองปลอดภัย” จะเริ่มต้นบนความพร้อมของภาคีหลัก แต่ความสำเร็จระยะยาวขึ้นกับการบริหารความเสี่ยง 4 ประการ

  1. งบประมาณบำรุงรักษา – แสงสว่าง–กล้อง–ทางเดิน–ภูมิทัศน์ ต้องการค่าใช้จ่ายดูแล จึงควรมี “กองทุนพื้นที่” ที่มีรายได้หมุนเวียนจากตลาดชุมชน งานเทศกาล และความร่วมมือเอกชน (CSR) เพื่อลดภาระงบปกติของท้องถิ่น
  2. การเข้าถึงสำหรับทุกคน – ผังพื้นที่ควรเป็นมิตรกับผู้สูงวัย ผู้ใช้รถเข็น และเด็กเล็ก พร้อมจุดพัก–ห้องน้ำสะอาด–แนวทางความปลอดภัยยามค่ำคืน เพื่อให้พื้นที่ “มีคนใช้จริง” ตลอดวัน
  3. สมดุลสิ่งแวดล้อม–วัฒนธรรม – การพัฒนาเชิงท่องเที่ยวควรรักษาบริบทพุทธ–วัฒนธรรมท้องถิ่น ไม่เชิงพาณิชย์เกินสมควร และเฝ้าระวังผลกระทบต่อธรรมชาติ (ขยะ เสียง แสงรบกวน)
  4. ข้อมูล–ความต่อเนื่อง – ตั้ง “แดชบอร์ดพื้นที่” รวบรวมสถิติความปลอดภัย การใช้พื้นที่ รายได้ชุมชน และความพึงพอใจ เผยแพร่สาธารณะรายไตรมาส เพื่อสร้างความโปร่งใส และคงแรงสนับสนุนจากสังคม

เชื่อมโยงยุทธศาสตร์เมือง “เชียงรายเมืองปลอดภัย” ที่วัดได้จริง

การลงนามครั้งนี้สะท้อนแนวโน้มการพัฒนาเมืองยุคใหม่ที่ไม่ได้แยก “ความมั่นคง–ท่องเที่ยว–คุณภาพชีวิต” ออกจากกัน แต่ ผสานเป็นสมการเดียว ผ่านพื้นที่สาธารณะคุณภาพ การมีส่วนร่วมของโรงเรียน/ชุมชน และกลไกลดปัจจัยเสี่ยงยาเสพติด เหตุผลที่ ถ้ำตุ๊ปู่ ถูกยกเป็นต้นแบบ เพราะตั้งอยู่ในเมือง–เข้าถึงง่าย–เชื่อมเครือข่ายสถานศึกษาและชุมชนได้จริง หากพัฒนาได้ผล จะกลายเป็น คู่มือปฏิบัติ” สำหรับขยายผลสู่พื้นที่เสี่ยงอื่นในจังหวัด

ท้ายที่สุด ความสำเร็จจะไม่ได้พิสูจน์ด้วยพิธีลงนาม หากแต่ด้วย ภาพใหม่ยามค่ำ ที่คนเดิน–ปั่น–สวดมนต์–เล่นกีฬา–ขายของพื้นถิ่น ระหว่างแสงไฟที่พอเพียงและกล้องที่ทำงานจริง พร้อมเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่กลับมาเป็นเจ้าของพื้นที่—นี่ต่างหากคือ “ตัวชี้วัด” ที่ประชาชนสัมผัสได้

ไทม์ไลน์–แผนปฏิบัติการ “ถ้ำตุ๊ปู่”

  • ก.ย.–ต.ค. 2568: Big Cleaning, ติดไฟส่องสว่าง/กล้องวงจรปิด, จัดเส้นทางเดิน–วิ่ง–ปั่นนำร่อง, จัดเวรยามร่วม
  • พ.ย. 2568–มี.ค. 2569: ปรับภูมิทัศน์, ป้ายความรู้สองภาษา, ศูนย์เรียนรู้ขนาดย่อม, ปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส
  • เม.ย. 2569 เป็นต้นไป: เทศกาลประจำปีเชิงวัฒนธรรม–ศาสนา, เครือข่ายเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมจุดใกล้เคียง, กองทุนดูแลพื้นที่

พิธีลงนามความร่วมมือพัฒนา “ถ้ำตุ๊ปู่” ไม่ใช่แค่การประกาศโครงการท่องเที่ยวใหม่ หากคือ “ข้อตกลงทางสังคม” ที่จะเปลี่ยนพื้นที่เสี่ยงให้เป็นพื้นที่เรียนรู้และเศรษฐกิจชุมชน โดยมี ทหาร–ท้องถิ่น–ความมั่นคง–โรงเรียน เป็น 4 เสาหลัก ข้อท้าทายหลังจากนี้คือการทำให้ ระบบดูแลพื้นที่ เดินเองได้—มีงบดูแลสม่ำเสมอ มีอาสาสมัครชุมชน มีข้อมูลเปิดเผย และมีการมีส่วนร่วมของเยาวชนอย่างต่อเนื่อง หากเชียงรายรักษาวินัยนโยบายและจัดการความเสี่ยงได้ดี ถ้ำตุ๊ปู่” จะเป็นบทพิสูจน์ว่าเมืองปลอดภัย สร้างได้จากพื้นที่จริง ไม่ใช่แค่คำขวัญ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37)
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย (กอ.รมน.)
  • โรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลเชียงรายรับมอบ “ผนังกั้นน้ำยางพาราเคลื่อนที่ได้” เสริมแกร่งรับมืออุทกภัยเมือง

เทศบาลนครเชียงรายรับมอบ “ผนังกั้นน้ำยางพาราเคลื่อนที่ได้” จากภาคเอกชน เสริมแกร่งระบบรับมืออุทกภัยเมือง

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – จากบทเรียนอุทกภัย สู่แนวทางใหม่ในการสร้างเมืองปลอดภัย ท่ามกลางสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและความถี่ของภัยพิบัติที่เพิ่มสูงขึ้น จังหวัดเชียงรายซึ่งเผชิญปัญหาอุทกภัยซ้ำซากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ก้าวสู่การเตรียมความพร้อมเชิงรุกด้วยนวัตกรรมใหม่ล่าสุด “ผนังกั้นน้ำยางพาราเคลื่อนที่ได้” ซึ่งเทศบาลนครเชียงรายได้รับมอบจากภาคเอกชนเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา

การส่งมอบอุปกรณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นที่สำนักงานเทศบาลนครเชียงราย โดย พ.จ.อ. อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาล เป็นผู้แทนรับมอบจากนายแก่นฟ้า แสนเมือง นักวิจัยอิสระ และนายเกริกพล แสนเมือง กรรมการผู้จัดการบริษัท อีโวเทค จำกัด ผู้พัฒนาผนังกั้นน้ำรูปแบบใหม่ ที่ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับภูมิประเทศของเมืองไทย และสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ฉุกเฉิน

อุปกรณ์ที่ได้รับมอบ ได้แก่ ผนังกั้นน้ำยางพาราเคลื่อนที่ได้จำนวน 4 ชุด และเครื่องสูบน้ำชนิดหอยโข่ง ซึ่งจะถูกนำไปติดตั้งและใช้งานในจุดเสี่ยงของพื้นที่เขตเมืองที่มีแนวโน้มจะเกิดน้ำท่วมฉับพลันในช่วงฤดูฝนนี้

นวัตกรรมฝีมือคนไทย ทางเลือกใหม่ที่เหนือกว่ากระสอบทราย

ในอดีต การป้องกันน้ำท่วมในระดับชุมชนมักใช้วิธีแบบดั้งเดิม เช่น การวางแนวกระสอบทราย ซึ่งใช้แรงงานจำนวนมาก ติดตั้งช้า และไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ผนังกั้นน้ำยางพาราเคลื่อนที่ได้จึงเข้ามาเติมเต็มในจุดอ่อนดังกล่าว

คุณสมบัติเด่นของผนังกั้นน้ำยางพารา

  • ติดตั้งง่ายภายในไม่กี่นาที ด้วยโครงสร้างสำเร็จรูป ความยาวชุดละ 10 เมตร กั้นระดับน้ำได้สูงถึง 60 ซม.
  • น้ำหนักเบาและเคลื่อนย้ายสะดวก ทำให้สามารถนำไปวางใช้งานตามจุดเสี่ยงต่างๆ ได้อย่างคล่องตัว
  • วัสดุผลิตจากยางพาราไทย สนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยาง และเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตภาคเกษตรกรรม
  • สามารถใช้ซ้ำได้หลายครั้ง ลดของเสีย และต้นทุนในการจัดการวัสดุป้องกันน้ำท่วมในระยะยาว

นวัตกรรมนี้ยังสะท้อนถึงศักยภาพของนักวิจัยไทยในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของชุมชน และสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่รัฐบาลผลักดัน

แบบอย่างความร่วมมือเมื่อรัฐจับมือเอกชน สร้างระบบรับมือภัยพิบัติที่ยั่งยืน

นายเกริกพล แสนเมือง ได้กล่าวในการส่งมอบว่า “เราไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นแค่ผู้ผลิตอุปกรณ์ แต่เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบความปลอดภัยให้กับเมือง โดยเฉพาะเชียงรายที่มีความเสี่ยงจากอุทกภัยเป็นประจำ”

ด้านเทศบาลนครเชียงรายยืนยันว่า การได้รับอุปกรณ์ในครั้งนี้จะทำให้หน่วยงานมีความพร้อมมากขึ้นในการวางแนวป้องกันน้ำท่วมฉับพลัน โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจ ถนนสายหลัก และพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น

นอกจากนี้ ยังมีแผนจะจัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครในพื้นที่ให้สามารถติดตั้งและใช้งานอุปกรณ์ได้อย่างคล่องแคล่ว เพื่อให้สามารถใช้งานจริงได้ทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

นวัตกรรมท้องถิ่นที่สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ

กรณีการรับมอบผนังกั้นน้ำในครั้งนี้สะท้อนประเด็นสำคัญ 3 ประการที่ควรจับตา:

  1. การบริหารจัดการภัยพิบัติเชิงรุกในระดับท้องถิ่น

เทศบาลนครเชียงรายได้แสดงให้เห็นว่าไม่รอให้เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนจึงเตรียมการ แต่เริ่มจัดหาและเสริมอุปกรณ์ไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

  1. ภาคเอกชนไทยมีศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมที่ใช้งานได้จริง

ผลิตภัณฑ์อย่างผนังกั้นน้ำยางพารา ไม่ได้เป็นแค่ผลงานวิจัยในห้องทดลอง แต่ถูกนำไปใช้งานจริงในชุมชน เสริมศักยภาพของระบบป้องกันภัย และยังเป็นช่องทางสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจฐานราก

  1. ความร่วมมือข้ามภาคส่วน คือกุญแจสำคัญในการสร้างเมืองปลอดภัย

กรณีนี้แสดงให้เห็นว่า หากภาครัฐสามารถเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชนและนักวิจัยเข้ามามีบทบาทสนับสนุน เชียงรายก็สามารถพัฒนาระบบรับมือภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพสูงได้ แม้มีงบประมาณจำกัด

ประโยชน์สู่ประชาชนรับมือภัยพิบัติด้วยความมั่นใจ

ผลลัพธ์สำคัญที่สุดจากการรับมอบผนังกั้นน้ำในครั้งนี้ คือ ความมั่นใจของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครเชียงรายที่มีทั้งแหล่งเศรษฐกิจ โรงเรียน สถานพยาบาล และบ้านเรือนประชาชนอยู่หนาแน่น

  • เมื่อเกิดน้ำหลากจากฝนตกหนักหรือแม่น้ำกกเอ่อล้น สามารถนำผนังกั้นน้ำไปติดตั้งได้ทันที ลดความเสียหายและป้องกันการตัดขาดเส้นทางคมนาคม
  • ลดภาระของเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่ไม่ต้องใช้แรงงานบรรจุกระสอบทรายจำนวนมาก
  • ประชาชนสามารถมั่นใจได้ว่า เมืองมีเครื่องมือที่ทันสมัยพร้อมรับมือทุกสถานการณ์

 “นวัตกรรมไทย” คือทางรอดของเมืองไทยในยุคภัยพิบัติถี่ขึ้น

ในขณะที่ภัยพิบัติเกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น การจัดการที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การเตรียมเจ้าหน้าที่ให้พร้อม แต่คือการมีเครื่องมือที่ทันสมัยและเหมาะสมกับบริบทจริงของพื้นที่

กรณีการรับมอบ “ผนังกั้นน้ำยางพาราแบบเคลื่อนที่ได้” โดยเทศบาลนครเชียงราย จึงเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการผสานนโยบายของรัฐ นวัตกรรมจากเอกชน และความต้องการของประชาชนเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างระบบรับมือภัยพิบัติที่ตอบโจทย์ ทันเวลา และยั่งยืนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • บริษัท อีโวเทค จำกัด
  • รายงานการรับมอบอุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วม ณ เทศบาลนครเชียงราย วันที่ 5 สิงหาคม 2568
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
  • ข้อมูลด้านวัสดุนวัตกรรมยางพารา จากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ปลุกวิถีชีวิตดั้งเดิม! เทศบาลนครเชียงรายดันนโยบายอาหารปลอดภัย-การเรียนรู้ตลอดชีวิต

จากทุ่งนาสู่เมืองแห่งการเรียนรู้: เทศบาลนครเชียงราย ดัน 2 นโยบายใหญ่ ‘อาหารปลอดภัย-การเรียนรู้ตลอดชีวิต’ ปลุกวิถีชีวิตดั้งเดิม หวังสร้างชุมชนยั่งยืน

เชียงราย, 1 สิงหาคม 2568 – ในห้วงเวลาที่หลายเมืองทั่วโลกเร่งเครื่องสู่การเป็นมหานครแห่งเทคโนโลยีและดิจิทัล เทศบาลนครเชียงรายกลับเลือกเดินทางในแนวทางที่แตกต่าง คือการหวนคืนสู่วิถีชุมชนดั้งเดิม อาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่นมาเป็นรากฐานพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างอนาคตที่ยั่งยืน โดยการขับเคลื่อน 2 นโยบายสำคัญ “เชียงรายต้นแบบเมืองอาหารปลอดภัย” และ “เครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้นครเชียงราย” ผ่านโครงการเสริมสร้างความยั่งยืนของการพัฒนานครเชียงรายในอนาคต (กิจกรรมการพัฒนาศักยภาพชุมชนด้วยวิถีชุมชน) ณ ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนดอยสะเก็น อำเภอเมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา

บรรยากาศของงานเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและพลังของผู้คนกว่า 300 คน ภายใต้การนำของ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนแนวคิด “เมืองน่าอยู่ ชุมชนยั่งยืน” ให้กลายเป็นความจริง ผ่านการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของประชาชน คณะผู้บริหารเทศบาล ครู นักเรียน และชาวบ้านที่ต่างพร้อมใจกันมา “ลงแขก” ทำกิจกรรมและเรียนรู้ร่วมกัน

อาหารปลอดภัย” จากผืนนาสู่จานข้าว – ปลูกจิตสำนึกให้คนรุ่นใหม่

เทศบาลนครเชียงรายให้ความสำคัญกับ “ความมั่นคงทางอาหาร” (Food Security) อย่างยิ่งยวด มองว่าอาหารปลอดภัยไม่ใช่เพียงโครงการ แต่เป็นรากฐานของการสร้างคุณภาพชีวิต สุขภาพ และความยั่งยืนที่แท้จริง ภายหลังพิธีเปิด นายวันชัยนำคณะผู้บริหารและนักเรียนลงมือ “เกี่ยวข้าว” ในแปลงนา นำร่องให้เด็กๆ ได้สัมผัสและเข้าใจขั้นตอนการทำนาแบบดั้งเดิมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การเตรียมดิน การหว่าน การดูแลรักษา ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว

กิจกรรมเชิงปฏิบัติการนี้ไม่เพียงทำให้เยาวชนเห็นความสำคัญของข้าวในฐานะอาหารหลักของคนไทย แต่ยังได้ตระหนักถึงคุณค่าของการกินอาหารที่ปลอดภัย ปราศจากสารเคมี และเรียนรู้ว่ากว่าข้าวสักเมล็ดจะมาถึงจาน ต้องผ่านกระบวนการและความร่วมแรงร่วมใจของคนในชุมชน

นอกจากนี้ ในกิจกรรมยังมีการปล่อยปลาในแหล่งน้ำชุมชน เพื่อสร้างสมดุลทางนิเวศและเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญของครัวเรือน การสาธิตอาหารพื้นบ้านล้านนาและขนมโบราณ เปิดโอกาสให้ทุกเพศทุกวัยได้เรียนรู้ภูมิปัญญาในการแปรรูปวัตถุดิบท้องถิ่นและต่อยอดเป็นอาชีพเสริม สะท้อนการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรมอาหารที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นอย่างแท้จริง

เมืองแห่งการเรียนรู้” – สะพานเชื่อมปราชญ์กับเยาวชน สร้างพลเมืองคุณภาพ

เชียงรายตระหนักดีว่าการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียน เทศบาลฯ จึงจัดตั้ง “โครงการเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้นครเชียงราย” ให้ชุมชนเป็นแหล่งเรียนรู้ขนาดใหญ่ และเยาวชนเป็นแกนกลางการขับเคลื่อน สะพานความรู้จากปราชญ์ชุมชนสู่คนรุ่นใหม่ สร้างพื้นที่สำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)

ภายในงาน มีกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เปิดกว้าง เช่น การวาดภาพของดีในชุมชน การเรียนรู้การเพาะเห็ดในครัวเรือน การเลี้ยงปูนา (ไข่ไข่) และเวิร์กช็อปภูมิปัญญาท้องถิ่นหลากหลาย เพื่อปลูกฝังให้เด็กๆ รู้จักรักบ้านเกิด ภูมิใจในวัฒนธรรมตนเอง รวมถึงเปิดโอกาสให้ค้นพบความสามารถและอาชีพที่เหมาะสมกับตนเองในอนาคต

โครงการนี้ยังเน้นการมีส่วนร่วมระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ถ่ายทอดความรู้-ทักษะจากประสบการณ์จริงผ่านการทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นการลงทุนใน “ทุนมนุษย์” อันเป็นรากฐานของเมืองแห่งอนาคตอย่างแท้จริง

นโยบายท้องถิ่นที่สร้างความเปลี่ยนแปลงจากรากสู่ยอด

กรณีเทศบาลนครเชียงราย ถือเป็นตัวอย่างของการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการและยั่งยืน (Holistic Approach) ที่ผสมผสานประเด็นเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการศึกษาเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ความกล้าหาญในการหยิบยกภูมิปัญญาดั้งเดิมขึ้นมาสร้างคุณค่าใหม่ ตอบโจทย์การพัฒนาเมืองยุคใหม่ที่ต้องเผชิญความท้าทายจากความเปลี่ยนแปลงทั้งทางสังคมและสิ่งแวดล้อม

ในสายตาของนักวิเคราะห์ นโยบายทั้งสองดังกล่าวเป็นการตอบโจทย์ SDGs ขององค์การสหประชาชาติในเป้าหมายที่ 2 (ขจัดความหิวโหย) และ 4 (การศึกษาที่มีคุณภาพ) ผ่านการขับเคลื่อนด้วยกิจกรรมและการมีส่วนร่วมที่แท้จริง นอกจากนี้ ยังช่วยอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคมท้องถิ่นสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น

 “เชียงรายโมเดล” – เดินช้ากว่าคนอื่น แต่มั่นคงกว่าด้วยรากเหง้า

การจัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพชุมชนในครั้งนี้ คือเครื่องพิสูจน์ว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่เสมอไป แต่เริ่มต้นได้จากจุดเล็กๆ ใกล้ตัว ผ่านความร่วมมือของคนในชุมชนเอง และด้วยการวางรากฐานวิถีชีวิตและการเรียนรู้ที่ดี เมืองเชียงรายกำลังกลายเป็นต้นแบบ “เมืองที่น่าอยู่” ซึ่งทุกคนในสังคมสามารถเติบโตไปพร้อมกัน

ดังคำกล่าวของนายวันชัย จงสุทธานามณี ที่ว่า “เทศบาลนครเชียงรายจะเดินหน้าสนับสนุนโครงการที่บูรณาการวิถีชุมชนเข้ากับการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้เชียงรายเป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคนอย่างยั่งยืน” นี่คือพลังเล็กๆ ที่จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนอนาคตของเมืองและลูกหลานเชียงรายต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายไม่ประมาท! เสริมแนวป้องกันน้ำกก พร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน

เชียงรายระทึก! น้ำแม่น้ำกกจ่อล้นตลิ่งกลางดึก เทศบาลนครเร่งอุดช่องน้ำ-เตรียมรถสูบน้ำ วอนประชาชนเฝ้าระวังสูงสุด

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำในแม่น้ำกกของจังหวัดเชียงรายกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เมื่อมีการคาดการณ์ว่ามวลน้ำจำนวนมากจะเดินทางถึงสะพานพ่อขุนเม็งราย ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำของเขตเมืองได้

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมระดมทรัพยากรทุกชนิดเข้าป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอย่างเร่งด่วน หลังจากได้รับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ระดับน้ำในแม่น้ำกกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ศูนย์ประสานเฝ้าระวังรายงานสถานการณ์วิกฤต

เมื่อเวลา 17.00 น. วันนี้ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลนครเชียงราย ร่วมกับโครงการวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองจังหวัดเชียงราย และส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ ได้รายงานสถานการณ์ร่วมกันว่า ระดับน้ำในแม่น้ำกกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะจากสถานีแม่นาวาง-ท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นต้นน้ำของระบบ

การประเมินจากทีมวิจัยระบุว่า มวลน้ำจะเดินทางถึงสะพานพ่อขุนเม็งราย ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ภายในเวลา 02.00 น. ของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 โดยคาดการณ์ว่าจะมีระดับน้ำประมาณ 6.00 เมตร และอัตราการไหลราว 655 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

หากแนวโน้มระดับน้ำยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกันต่อไป อาจส่งผลให้แม่น้ำกกล้นตลิ่งในพื้นที่เมือง โดยเฉพาะบริเวณลุ่มต่ำริมแม่น้ำ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกน้ำท่วม

คาดการณ์วิกฤตสูงสุดในช่วงกลางดึก

การคาดการณ์ล่าสุดเมื่อเวลา 17.00 น. ระบุว่า แม้ระดับน้ำที่สถานีแม่นาวาง-ท่าตอนจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงมาเป็นชั่วโมงละ 5 เซนติเมตร แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ในเวลา 21.00 น. คืนนี้ ระดับน้ำจะขึ้นถึงระดับตลิ่งที่ 6.50 เมตร มีปริมาณน้ำ 619 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ ผลกระทบจะส่งไปยังสถานีสะพานพ่อขุนเม็งราย ซึ่งระดับน้ำจะเพิ่มสูงถึงระดับตลิ่ง 6.00 เมตร มีปริมาณน้ำ 655 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในช่วงเวลา 06.00 น. ของวันพรุ่งนี้ (29 กรกฎาคม 2568)

ทีมผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ระดับน้ำจะสูงสุดที่สถานีสะพานพ่อขุนเม็งรายในช่วงระดับประมาณ 6.10-6.30 เมตร ในตอนสายของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ซึ่งระดับน้ำดังกล่าวจะล้นตลิ่งในพื้นที่ต่ำริมตลิ่งอย่างแน่นอน

เทศบาลนครเชียงรายเร่งมาตรการป้องกันด่วน

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะมาถึง เทศบาลนครเชียงรายได้ดำเนินการป้องกันอย่างเร่งด่วนในหลายมาตรการ

เจ้าหน้าที่ได้นำทรายจำนวนมากเข้ามาอุดตามช่องระบายน้ำในหมู่บ้านป่าแดง ซอยหลังโรงเรียนเทศบาล 6 ซึ่งตั้งอยู่ติดกับศูนย์ราชการจังหวัดเชียงราย ที่ว่าการอำเภอเมือง และองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อป้องกันการไหลย้อนของน้ำจากแม่น้ำกกเข้ามาสู่ชุมชน

นอกจากนี้ ทางเทศบาลยังได้เตรียมรถสูบน้ำจำนวน 2 คัน เพื่อพร้อมปฏิบัติงานหากสถานการณ์แนวโน้มระดับน้ำยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน และมีการจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

การบริหารจัดการประตูน้ำอย่างเป็นระบบ

เทศบาลนครเชียงรายยังคงเฝ้าระวังระดับน้ำและประตูน้ำในจุดสำคัญต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยที่ประตูน้ำฝั่งเข้าเมืองได้ถูกปิดทั้งหมดแล้ว เพื่อป้องกันน้ำท่วมเข้าสู่เขตเมือง

ส่วนประตูน้ำฝั่งหนองด่าน ซึ่งเป็นทางระบายน้ำจากแม่น้ำกรณ์ลงสู่แม่น้ำกก ได้เปิดทั้ง 4 บาน เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประตูน้ำดอยสะเก็น ซึ่งอยู่บนแม่น้ำกรณ์ ก็เปิดระบายน้ำ 5 บาน ทำให้น้ำไหลได้ตามปกติ

สถานการณ์ปัจจุบันยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ณ เวลา 17.00 น. วันนี้ ระดับน้ำในแม่น้ำกกที่สะพานพ่อขุนเม็งราย วัดได้ 5.24 เมตร แม้จะยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเริ่มเข้าใกล้ระดับเฝ้าระวังที่ 5.50 เมตร

ในขณะที่สถานีสะพานขัวพญามังราย ในชุมชนบ้านใหม่ ระดับน้ำอยู่ที่ 3.90 เมตร แม้จะยังอยู่ในระดับปลอดภัย แต่ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

เทศบาลนครเชียงรายขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์และติดตามข้อมูลอัปเดตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน

การบูรณาการวิทยาศาสตร์กับการบริหารจัดการท้องถิ่น

สถานการณ์น้ำในแม่น้ำกกที่กำลังเพิ่มระดับอย่างน่าเป็นห่วงในจังหวัดเชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงและคาดเดาได้ยากขึ้นในยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการของเทศบาลนครเชียงราย ร่วมกับทีมวิจัยและหน่วยงานด้านทรัพยากรน้ำ แสดงให้เห็นถึงการนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และกลไกการบริหารจัดการท้องถิ่นมาใช้ในการรับมือเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ

การคาดการณ์ที่แม่นยำและการแจ้งเตือนเชิงรุกเป็นจุดเด่นสำคัญ การที่ทีมวิจัยสามารถคาดการณ์ระดับน้ำและเวลาที่มวลน้ำจะถึงจุดสำคัญได้อย่างละเอียด เช่น เวลา 02.00 น. ที่สะพานพ่อขุนเม็งราย และเวลา 06.00 น. ที่ระดับตลิ่ง ถือเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารจัดการภัยพิบัติยุคใหม่ การแจ้งเตือนล่วงหน้าเช่นนี้ทำให้เทศบาลและประชาชนมีเวลาเตรียมพร้อมรับมือ

การบูรณาการข้อมูลและกลไกการทำงานระหว่างเทศบาลนครเชียงรายกับทีมวิจัยระบบเตือนภัยและส่วนอุทกวิทยาของกรมทรัพยากรน้ำ แสดงให้เห็นถึงการนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เข้ากับการปฏิบัติการในพื้นที่ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่แม่นยำและทันท่วงที

มาตรการป้องกันเฉพาะจุด เช่น การนำทรายไปอุดตามช่องระบายน้ำในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้แม่น้ำ และการเตรียมรถสูบน้ำ บ่งชี้ถึงการวางแผนป้องกันที่ละเอียดอ่อนและตรงจุด โดยพิจารณาจากลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการถูกน้ำไหลย้อน

การบริหารจัดการประตูระบายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำในแต่ละจุดอย่างเหมาะสม เป็นการควบคุมการไหลของน้ำเพื่อลดผลกระทบในเขตเมือง แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำของเทศบาล

ความท้าทายที่ยังคงอยู่

ความรุนแรงของสถานการณ์ในคืนนี้และเช้าพรุ่งนี้จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด การที่น้ำจะขึ้นถึงระดับตลิ่งและอาจล้นในพื้นที่ต่ำริมตลิ่งในช่วงกลางดึกถึงเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนในการปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด

ผลกระทบระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสำคัญผันผวนและรุนแรงขึ้นบ่อยครั้ง เป็นสัญญาณที่เชียงรายอาจต้องพิจารณาแผนบริหารจัดการน้ำระยะยาวที่ครอบคลุมและยั่งยืนยิ่งขึ้น

การประสานงานกับพื้นที่ต้นน้ำ แม้จะมีการติดตามข้อมูลจากต้นน้ำ แต่การประสานงานเชิงลึกกับหน่วยงานที่รับผิดชอบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ เพื่อให้มีการควบคุมการระบายน้ำอย่างเหมาะสม จะช่วยลดความรุนแรงของมวลน้ำที่จะไหลเข้าสู่พื้นที่ปลายน้ำ

การเตรียมพร้อมและการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นของเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้ เป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องประชาชน และเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำวิทยาศาสตร์มาผนวกกับการบริหารจัดการท้องถิ่นเพื่อเผชิญกับภัยธรรมชาติในยุคปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย
  • โครงการวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมือง จังหวัดเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายลุ้น! แม่น้ำกกใกล้จุดวิกฤต เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวัง 24 ชม. หวั่นน้ำทะลักเข้าเมือง

เชียงรายลุ้น! แม่น้ำกกใกล้จุดวิกฤต เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวัง 24 ชม. หวั่นน้ำทะลักเข้าเมือง

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำกกขยับใกล้จุดวิกฤต – วอร์รูมเทศบาลฯ ระดมแผนฉุกเฉินช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญสถานการณ์ที่สร้างความกังวลอย่างยิ่งให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ริมลุ่มน้ำกก เมื่อฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ต้นน้ำอย่างอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำกกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รายงานล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. ที่สถานีแม่นาวาง ระดับน้ำเพิ่มสูงถึง 12 เซนติเมตรในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง และอยู่ห่างจากระดับวิกฤตเพียง 31 เซนติเมตรเท่านั้น สัญญาณเตือนอันตรายที่ไม่อาจนิ่งนอนใจ

เทศบาลนครเชียงรายโดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรี ได้เรียกประชุมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมด่วนที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ภายในสถานีขนส่งแห่งที่ 1 พร้อมประชุมออนไลน์ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานระดับจังหวัด เพื่อสรุปและเร่งประสานแผนรับมือสถานการณ์

ข้อมูลน้ำ-ฝนจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เผยตัวเลขใกล้เสี่ยงล้นตลิ่ง

จากรายงานของทีมวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย รวมถึงข้อมูลจากส่วนอุทกวิทยาที่ 2 สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ พบว่าปริมาณน้ำกกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นน้ำในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

  • เวลา 12.00 น. ที่สถานีแม่นาวาง-ท่าตอน ระดับน้ำอยู่ที่ 5.99 เมตร (ค่าวิกฤต 6.50 เมตร) ปริมาณน้ำ 487 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  • เวลา 13.00 น. ที่สะพานพ่อขุนฯ ระดับน้ำอยู่ที่ 5.07 เมตร ปริมาณน้ำ 442 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  • เวลาเดียวกัน ที่สะพานขัวพญามังราย ต.ริมกก ระดับน้ำอยู่ที่ 3.64 เมตร จากระดับวิกฤต 6.00 เมตร

ทีมวิจัยระบบเตือนภัยฯ ยังระบุว่าหากแนวโน้มฝนและระดับน้ำยังเป็นเช่นนี้ ระดับน้ำในเมืองเชียงรายอาจถึงจุดวิกฤตและล้นตลิ่งได้ภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงริมแม่น้ำกกเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมย้ายของขึ้นที่สูง

เตรียมพร้อมรอบด้าน – เฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาล ออกสำรวจระดับน้ำและเฝ้าติดตามสถานการณ์รอบพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาสาสมัคร และประชาชนในชุมชนริมฝั่งแม่น้ำกก เพื่อเตรียมพร้อมแผนอพยพและการแจ้งเตือนล่วงหน้าหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจความพร้อมของศูนย์พักพิงและสถานที่อพยพฉุกเฉิน เช่น วัด โรงเรียน และอาคารสาธารณะ ตลอดจนการจัดเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือประชาชน อาทิ กระสอบทราย เรือท้องแบน และเครื่องสูบน้ำ เพื่อให้พร้อมใช้งานได้ทันที

ภัยคุกคาม “น้ำกก” กับมาตรการเชิงรุกของเชียงราย

สถานการณ์น้ำกกใกล้แตะจุดวิกฤตในวันนี้ สะท้อนถึงความเปราะบางของพื้นที่เมืองเชียงรายต่อภัยน้ำหลากที่อาจเกิดขึ้นจากฝนหนักในพื้นที่ต้นน้ำอย่างฉับพลัน ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาและถือเป็นบทเรียนเชิงนโยบายมีดังนี้

  • การเฝ้าระวังต้นน้ำอย่างรอบด้าน: การติดตามข้อมูลน้ำฝนและปริมาณน้ำตั้งแต่สถานีต้นน้ำถึงปลายน้ำ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้หน่วยงานท้องถิ่นมีข้อมูลสำหรับวางแผนรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที
  • ข้อมูลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี: การใช้ข้อมูลจากทีมวิจัยและส่วนอุทกวิทยา สะท้อนให้เห็นถึงการบูรณาการระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการบริหารจัดการภาครัฐอย่างเป็นระบบ เพิ่มความแม่นยำของการตัดสินใจและการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชน
  • ความพร้อมของหน่วยงานท้องถิ่น: การตั้งวอร์รูม ประชุมร่วมกับหน่วยงานจังหวัด และจัดชุดเจ้าหน้าที่ออกสำรวจเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง เป็นมาตรการเชิงรุกที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและความพร้อมในการป้องกันและบรรเทาผลกระทบ
  • การสื่อสารกับประชาชน: เทศบาลนครเชียงรายเน้นการแจ้งเตือนประชาชนริมฝั่งแม่น้ำกกให้ทราบความเสี่ยงและวิธีเตรียมตัวล่วงหน้า ลดความสูญเสียและสร้างความตื่นตัวให้กับชุมชนอย่างทั่วถึง

โจทย์ท้าทายและประเด็นที่ต้องติดตาม

  • ความเร็วของกระแสน้ำ: ระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (12 เซนติเมตรใน 1 ชั่วโมง) เป็นสัญญาณเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งยกระดับการแจ้งเตือนและการอพยพ
  • ผลกระทบต่อชุมชนริมฝั่ง: หากน้ำล้นตลิ่งในเขตเมือง พื้นที่ชุมชนริมฝั่งและตลาดจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก จำเป็นต้องเตรียมสถานที่พักพิงและการช่วยเหลือให้พร้อม
  • การบริหารจัดการเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต้นน้ำ: ประสานงานกับหน่วยงานรับผิดชอบเขื่อนและอ่างเก็บน้ำเพื่อลดการระบายน้ำในช่วงวิกฤต เป็นกลยุทธ์สำคัญในการควบคุมปริมาณน้ำปลายน้ำ
  • การประสานงานกับชุมชน: การสร้างเครือข่ายสื่อสารภาคประชาชนและอาสาสมัคร ช่วยกระจายข้อมูลข่าวสารและรับมือภัยพิบัติอย่างรวดเร็วและทั่วถึง

สรุป

สถานการณ์แม่น้ำกกใกล้แตะจุดวิกฤตในครั้งนี้ นับเป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมเชิงรุก การวางระบบสื่อสารที่เข้มแข็ง และการประสานทุกภาคส่วนร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เชียงรายผ่านพ้นภัยพิบัติด้วยความเสียหายน้อยที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • ทีมวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
  • ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวังน้ำ 24 ชม. “นายกวันชัย” สั่งเปิดประตูระบายน้ำรับมือภัยฝน

เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวังน้ำ 24 ชม. “นายกวันชัย” สั่งเปิดประตูระบายน้ำเร่งด่วน เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ตลอดแนวแม่น้ำสำคัญ

เชียงราย, 27 กรกฎาคม 2568 – เทศบาลนครเชียงรายเดินหน้า “บริหารจัดการน้ำเชิงรุก” รักษาความปลอดภัยเมืองท่ามกลางฤดูฝน ในช่วงฤดูฝนที่ปริมาณน้ำฝนและน้ำท่ามีความผันผวนสูงเช่นนี้ เทศบาลนครเชียงรายอยู่ในสภาวะตื่นตัวสูงสุด โดยเฉพาะเมื่อได้รับอิทธิพลจากพายุฤดูร้อนและฝนตกหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำกก ลาว และกรณ์ ซึ่งมีความสำคัญต่อความปลอดภัยในเขตเมือง ล่าสุด นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเสี่ยง สำรวจและบริหารจัดการประตูระบายน้ำทุกจุดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้มวลน้ำไหลเข้าท่วมในเขตเมือง โดยให้ความสำคัญกับแนวตลิ่งแม่น้ำสำคัญอย่างแม่น้ำกก แม่น้ำลาว และแม่น้ำกรณ์

เดินแผนบริหาร “ประตูน้ำ” ปิดจุดเสี่ยง-เปิดระบายต่อเนื่อง

ผลจากการสำรวจพบว่าระดับน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำกรณ์อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะบริเวณสะพานขัวพญาเม็งราย วัดระดับน้ำที่ 3.11 เมตร ซึ่งยังต่ำกว่าตลิ่งที่ 6 เมตร แต่อย่างไรก็ตามเทศบาลยังคงเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น โดยประตูน้ำฝั่งเข้าเมืองทั้งหมด 9 บาน ได้รับคำสั่งปิดไว้ตลอด เพื่อป้องกันน้ำจากแม่น้ำสายหลักไม่ให้ไหลเข้าสู่เขตเมือง ในขณะที่ประตูน้ำฝั่งหนองด่าน 4 บาน และประตูน้ำดอยสะเก็น 5 บาน ได้รับคำสั่งเปิดยกขึ้นเต็มที่ เพื่อเร่งระบายน้ำออกสู่แม่น้ำกกและลดความเสี่ยงน้ำท่วมขังในพื้นที่ต่ำ

สำรวจจุดเสี่ยง-เสริมกำลัง “กระสอบทราย” เตรียมรับมือชุมชนริมแม่น้ำ

นอกจากการตรวจสอบระดับน้ำและประตูน้ำแล้ว เทศบาลนครเชียงรายยังได้ส่งเจ้าหน้าที่เทศกิจลงพื้นที่สำรวจแม่น้ำลาว โดยเฉพาะที่จุดประตูน้ำพื้นที่ท่าสาย ซึ่งพบว่าระดับน้ำลดลงจากวันก่อนถึง 60 เซนติเมตร พร้อมทั้งเสริมกำลังนำกระสอบทรายไปวางเพิ่มเติมในจุดบิ๊กแบ็ค และทางเชื่อมต่อลำน้ำสาขาที่เสี่ยงน้ำไหลเข้า เช่น พื้นที่บ้านทุ่งพญาหมี ชุมชนสันหนอง และชุมชนข้างเคียง เพื่อเป็นการป้องกันเชิงรุก

เทศบาลฯ ยังประสานการทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กองช่าง สำนักการโยธา และฝ่ายปกครอง รวมถึงกลุ่มจิตอาสาในพื้นที่ เพื่อบูรณาการแผนเฝ้าระวังและรับมือสถานการณ์อุทกภัยให้ครอบคลุมที่สุด โดยมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานสลับเวรตลอด 24 ชั่วโมง

วิเคราะห์สถานการณ์ความตื่นตัวของเทศบาลนครเชียงรายกับโจทย์ “เมืองปลอดภัย”

การสั่งการของนายกเทศมนตรีนครเชียงรายในการเฝ้าระวังสถานการณ์ระดับน้ำและการบริหารจัดการประตูน้ำทุกจุดเป็นตัวอย่างที่ดีของการบริหารภัยพิบัติในระดับท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นสูง ประเด็นที่น่าสังเกตได้แก่

  • การเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง: เทศบาลฯ ใช้ระบบการติดตามสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์ มีการจัดเวรยามสำรวจทุกช่วงเวลาเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
  • กลยุทธ์ปิด-เปิดประตูน้ำ: การวางแผนปิดประตูน้ำฝั่งเข้าเมืองและเปิดฝั่งระบายออก เป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงน้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ชุมชนเมือง
  • การสำรวจจุดเสี่ยงและเสริมกำลังล่วงหน้า: การนำกระสอบทรายไปวางในพื้นที่ชุมชนเสี่ยงล่วงหน้า เป็นการป้องกันก่อนเกิดเหตุการณ์จริงและสามารถลดผลกระทบในกรณีฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การประสานงานกับภาคส่วนต่าง ๆ: การทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐและกลุ่มจิตอาสาในพื้นที่ เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการรับมือภัยพิบัติ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องระดมสรรพกำลังอย่างเร่งด่วน

ข้อท้าทายและข้อเสนอแนะ

แม้ว่าสถานการณ์น้ำในวันนี้จะยังไม่ถึงระดับวิกฤต แต่หากเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ต้นน้ำหรือจากอิทธิพลของพายุฤดูร้อน ต้องเตรียมพร้อมแผนสำรองในการอพยพและการแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงที นอกจากนี้ การสื่อสารข้อมูลกับประชาชนโดยตรง ผ่านช่องทางออนไลน์ของเทศบาลหรือกลุ่มชุมชน จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยลดความตื่นตระหนกและสร้างความเชื่อมั่นในมาตรการรัฐ

การดำเนินงานของเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพในเชิงบริหารจัดการวิกฤตแบบ “เชิงรุก” ซึ่งสมควรเป็นแบบอย่างให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ ในการสร้างเมืองปลอดภัยและรับมือกับภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักการโยธา เทศบาลนครเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์น้ำ กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์ประจำวัน, กลุ่มชุมชนเขตเทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย-ม.ราชภัฏ-ครูบาอริยชาติผนึก! “เพชรล้านนา” มอบทุน 1.7 ล้าน ปั้นพลเมืองคุณภาพ

 “เพชรล้านนา 2568” กลับมาอย่างยิ่งใหญ่! ครูบาอริยชาติ เทศบาลนครเชียงราย และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ผนึกกำลังเฟ้นหา “คนดี-คนเก่ง” มอบทุนการศึกษากว่า 1.7 ล้านบาท จุดไฟความหวังให้เยาวชนภาคเหนือ

เชียงราย, 21 กรกฎาคม 2568 – หลังหยุดชะงักจากวิกฤตโควิด-19 และเหตุการณ์ไฟไหม้วัดแสงแก้วโพธิญาณที่สร้างความสูญเสียต่อศรัทธาชาวพุทธในพื้นที่ โครงการ “เพชรล้านนา” กลับมาอีกครั้งในปี 2568 อย่างทรงพลัง โดยได้รับการขับเคลื่อนจากความร่วมมือระหว่าง พระภาวนารัตนญาณ วิ. (ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดแสงแก้วโพธิญาณ จังหวัดเชียงราย, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

พิธีแถลงข่าวเปิดตัวโครงการและลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสามหน่วยงานหลักจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมเทศบาลนครเชียงราย ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและความคาดหวังจากผู้แทนเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคการศึกษา ศาสนา ผู้ปกครอง ตลอดจนสื่อมวลชนและเยาวชนใน 8 จังหวัดภาคเหนือ

จุดยืน “เพชรล้านนา” สร้างคนดีควบคู่คนเก่ง สู่การพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง กล่าวย้ำถึงเป้าหมายสูงสุดของโครงการว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายดำเนินงานโครงการเพชรล้านนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2560 ด้วยความเมตตาของครูบาอริยชาติและการสนับสนุนจากเทศบาลนครเชียงราย โดยเราเน้นการคัดเลือกเยาวชนที่มีความประพฤติดี มีจิตอาสา เป็นแบบอย่างแก่สังคม พร้อมกับความเป็นเลิศทางวิชาการ เพื่อหล่อหลอม ‘คนดี คนเก่ง’ ที่พร้อมจะเติบโตเป็นพลเมืองคุณภาพของท้องถิ่นและประเทศ”

ความท้าทายในการคัดเลือก “เพชรล้านนา” จึงไม่ใช่เพียงการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา แต่ยังต้องค้นหาเยาวชนที่มีหัวใจงดงาม รู้จักเสียสละ มีจิตสาธารณะ และสามารถนำความรู้กลับไปพัฒนาชุมชน สอดคล้องกับแนวทาง “บ่มเพาะคุณธรรม-ปัญญา” ของครูบาอริยชาติ และหลักคิด “พัฒนาคน พัฒนาชาติ” ที่ยังยืนหยัดในทุกบริบทสังคมยุคใหม่

เทศบาลนครเชียงราย ขยายโอกาส-ลดเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวเสริมว่า เทศบาลมุ่งมั่นที่จะสร้างเชียงรายให้เป็น “นครแห่งการศึกษา” ผ่านการผนึกเครือข่ายกับสถาบันการศึกษาท้องถิ่นและครูบาอริยชาติในการกระจายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง “เมื่อครูบาอริยชาติริเริ่มโครงการเพชรล้านนา เทศบาลฯ จึงพร้อมผลักดันให้ขยายสู่ 8 จังหวัดภาคเหนือ เพราะเราเชื่อว่าการสร้าง ‘คนดี’ ที่พร้อมทั้งจริยธรรมและความรู้ จะเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษาฟรีตลอดหลักสูตรระดับอุดมศึกษา จัดสร้างหอพักนักเรียนที่ได้มาตรฐาน และพัฒนาสวัสดิการรองรับ”

เทศบาลนครเชียงรายยืนยันจะขยายเครือข่ายและแรงสนับสนุนไปสู่ 16 จังหวัดภาคเหนือในอนาคต ด้วยเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและสร้างสังคมแห่งโอกาสอย่างแท้จริง

กลไกคัดเลือก “โปร่งใส-รอบด้าน” กว่า 272 ทุน รวม 1.7 ล้านบาท

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยิ่งศักดิ์ เพชรนิล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เปิดเผยว่า โครงการเพชรล้านนา 2568 เปิดรับสมัครเยาวชนใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย, เชียงใหม่, ลำปาง, ลำพูน, พะเยา, แพร่, น่าน, และแม่ฮ่องสอน แบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย คัดเลือกเข้มข้น 3 รอบ ได้แก่

  1. รอบคัดเลือกเบื้องต้น: โรงเรียนเสนอรายชื่อเยาวชนที่มีศักยภาพ ทั้งด้านวิชาการและคุณธรรม กลุ่มสาระละไม่เกิน 5 คน
  2. รอบทดสอบความรู้: มหาวิทยาลัยร่วมกับเทศบาลฯ จัดสอบวัดผลวิชาการ (คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ พระพุทธศาสนา ศาสตร์ไทย และในระดับมัธยมปลายเพิ่ม ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา)
  3. รอบพิจารณาความเหมาะสม: คณะกรรมการคัดเลือกตามคุณสมบัติครบถ้วน

รวมรางวัลทุนการศึกษาทั้งสิ้น 272 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 1,785,000 บาท แบ่งเป็นรางวัล “เพชรล้านนา” 136 รางวัล (ทั้งประเภทชนะเลิศ รองชนะเลิศ และชมเชย) และรางวัลเพชรล้านนาระดับจังหวัดอีก 136 รางวัล

โดยรับสมัครถึง 30 กันยายน 2568 เชิญชวนผู้บริหารโรงเรียน และภาคีเครือข่ายร่วมกันส่งเสริมเยาวชนสมัครเข้าร่วมคัดเลือก เพื่อสืบสานเจตนารมณ์ “ครูบาอริยชาติ” ในการกระจายโอกาสอย่างเท่าเทียม

 “เพชรล้านนา” โมเดลต้นแบบ สร้างชาติด้วย “คนดี-คนเก่ง”

โครงการเพชรล้านนา 2568 เป็นกรณีศึกษาชั้นดีของการผนึกกำลังทุกภาคส่วนในการพัฒนาเยาวชน โดยเฉพาะการบูรณาการบทบาทของศาสนา การศึกษา และท้องถิ่น จุดเด่นที่สำคัญคือ

  • เน้นคุณธรรมควบคู่วิชาการ: ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะจิตอาสา ความรับผิดชอบ และแบบอย่างที่ดี โดยไม่มองข้ามความเก่งเชิงวิชาการ
  • ขยายเครือข่ายสู่ภูมิภาค: การประสานมหาวิทยาลัยราชภัฏหลายแห่งและเทศบาลนครใน 8 จังหวัด สะท้อนพลังร่วมที่ยั่งยืน
  • สนับสนุนต่อเนื่องจากพระศาสนา: ครูบาอริยชาติอุทิศทุนกว่า 1.7 ล้านบาท เป็นพลังใจให้สังคมมุ่งมั่นสืบทอดโครงการ
  • กลไกคัดเลือกโปร่งใส: พิจารณารอบด้าน ไม่ยึดติดแค่ผลการเรียน แต่ดูที่ศักยภาพและความเหมาะสมจริง

ความท้าทาย อยู่ที่การประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงเยาวชนชนบทห่างไกล และการติดตามผลความก้าวหน้าของเด็กทุนหลังรับรางวัลแล้ว เพื่อประเมินความสำเร็จและต่อยอดการสนับสนุนในอนาคต

โครงการเพชรล้านนา 2568 จึงมิใช่เพียงการมอบทุน แต่เป็นกลไกสร้าง “พลเมืองคุณภาพ” ที่มีทั้งคุณธรรมและปัญญา เป็นแรงบันดาลใจแก่ท้องถิ่นและประเทศชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • วัดแสงแก้วโพธิญาณ
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายจัด “ป๊ะกาด”! เปลี่ยนโฉมตลาด 100 ปี สู่แกลเลอรีศิลปะร่วมสมัย

ป๊ะกาด” ศิลปะบุกกาดหลวง เทศกาลที่จุดประกายชีวิตให้ตลาด 100 ปีแห่งเชียงราย

เชียงราย, 13 กรกฎาคม 2568 – ในใจกลางเมืองเชียงรายที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ตลาดกาดหลวง หรือที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อ “ตลาดเทศบาล 1” ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่เต้นไม่หยุดของชุมชนมานานกว่า 100 ปี ด้วยกลิ่นหอมของอาหารล้านนา เสียงเจรจาค้าขาย และสีสันของวัฒนธรรมท้องถิ่น ตลาดแห่งนี้ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางการค้า แต่ยังเป็นพื้นที่ที่สะท้อนวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของชาวเชียงรายอย่างลึกซึ้ง ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป ความคึกคักของกาดหลวงอาจลดลงตามยุคสมัย แต่ความทรงจำและเรื่องราวที่ฝังรากลึกยังคงรอวันถูกปลุกให้มีชีวิตอีกครั้ง

ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 นี้ เทศกาลศิลปะสุดสร้างสรรค์ “ป๊ะกาด” (Pagad) จะมาถึง เพื่อเปลี่ยนโฉมกาดหลวงให้กลายเป็นแกลเลอรีแห่งศิลปะร่วมสมัยที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการเชื่อมโยง ด้วยแนวคิด “ศิลปะ กับ กาลเวลา” เทศกาลนี้จะนำเสนอผลงานศิลปะหลากหลายแขนงใน 16 จุดทั่วทั้งตลาด พร้อมเชิญชวนผู้คนจากทุกมุมให้มาร่วม “ป๊ะ” หรือพบปะกันที่ “กาด” เพื่อค้นหาความหมายของวัฒนธรรมและความทรงจำร่วมกัน

จากกาดสู่แกลเลอรีการเดินทางของ “ป๊ะกาด”

คำว่า “ป๊ะกาด” มาจากภาษาเหนือที่แปลว่า “พบกันที่กาด” ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณของงานนี้ที่มุ่งสร้างพื้นที่พบปะระหว่างศิลปะ ชุมชน และผู้มาเยือน เทศกาลนี้จัดโดย Everywhere Gallery กลุ่มศิลปะทางเลือกที่มุ่งมั่นนำศิลปะสู่ผู้คนในทุกพื้นที่ โดยในปีนี้ พวกเขาเลือกกาดหลวงเป็นผืนผ้าใบสำหรับการเล่าเรื่อง ด้วยการผสานศิลปะร่วมสมัยเข้ากับบริบทของชุมชนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน

เทศกาล “ป๊ะกาด” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม ถึง 8 สิงหาคม 2568 โดยมีกิจกรรมหลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดทั้งคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น Art Fair ที่ชั้น 1 ของตึกโรงรับจำนำร้างใกล้หอนาฬิกาเก่า ซึ่งจะจัดแสดงผลงานจากศิลปินท้องถิ่นและศิลปินรับเชิญ, Workshop ที่ชวนผู้คนในชุมชนมาร่วมสร้างสรรค์งานศิลปะ, Group Show และ Art Exhibition ที่กระจายอยู่ใน 16 จุดแลนด์มาร์คทั่วกาดหลวง ผลงานเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการแสดงศิลปะ แต่ยังเป็นการสนทนาที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของชุมชน

หนึ่งในไฮไลต์ของงานคือ #ป๊ะกาด Art Matching ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จับคู่ศิลปินกับพื้นที่ในตลาด เพื่อสร้างผลงานที่สะท้อนเรื่องราวของกาดหลวง นอกจากนี้ยังมี กาด Talk เสวนาที่เปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้าและคนในชุมชนมาร่วมแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตและอนาคตของตลาด ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง กิจกรรมเหล่านี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนท้องถิ่น ซึ่งมองว่างานนี้เป็นการฟื้นฟูความมีชีวิตชีวาให้กับกาดหลวง

กาดหลวงหัวใจที่เต้นไม่หยุดของเชียงราย

กาดหลวง หรือตลาดเทศบาล 1 ไม่ใช่แค่สถานที่ซื้อขายสินค้า แต่เป็นศูนย์รวมวิถีชีวิตที่สะท้อนอัตลักษณ์ของเชียงราย ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 100 ปี ตลาดแห่งนี้เป็นแหล่งค้าขายหลักของชาวเชียงรายมาหลายชั่วอายุคน ร้านค้าส่วนใหญ่เป็นกิจการครอบครัวที่สืบทอดกันมานาน บางร้านยังคงรักษาวิธีการค้าขายแบบดั้งเดิมไว้ สถาปัตยกรรมของอาคารยังคงสภาพดั้งเดิม สะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมล้านนาที่ฝังรากลึกในชุมชน

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวถึงความสำคัญของกาดหลวงว่า “ตลาดแห่งนี้เป็นมากกว่าพื้นที่การค้า แต่เป็นศูนย์กลางที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความเป็นชุมชนของเรา การจัดงาน ‘ป๊ะกาด’ เป็นโอกาสสำคัญในการนำเสนออัตลักษณ์ของเชียงรายสู่สายตาคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยว”

ด้วยการดำเนินงานเกือบตลอด 24 ชั่วโมง กาดหลวงมีจังหวะชีวิตที่เปลี่ยนไปตามช่วงเวลา ตั้งแต่การค้าส่งผักผลไม้ในยามเช้าตรู่ ไปจนถึงร้านอาหารริมทางที่คึกคักในยามค่ำคืน ความหลากหลายนี้ทำให้กาดหลวงเป็นสถานที่ที่ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสวิถีชีวิตที่แท้จริงของภาคเหนือได้อย่างใกล้ชิด

ศิลปะจุดประกายอนาคต ผลกระทบของ “ป๊ะกาด”

เทศกาล “ป๊ะกาด” ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองศิลปะและวัฒนธรรม แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูและส่งเสริมกาดหลวงให้เป็นมากกว่าตลาดทั่วไป การนำศิลปะร่วมสมัยมาผสานกับพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ช่วยสร้างมุมมองใหม่ให้กับชุมชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่อาจมองข้ามความสำคัญของตลาดดั้งเดิม การมีส่วนร่วมของศิลปินท้องถิ่น 16 คนและการจัดแสดงใน 16 จุดทั่วตลาด ยังเป็นการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมให้กับชุมชน

การวิเคราะห์ผลลัพธ์ของงานนี้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการยกระดับกาดหลวงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งขึ้น การที่นักท่องเที่ยวและคนในชุมชนมีปฏิสัมพันธ์ผ่านศิลปะและการเสวนา ช่วยสร้างความผูกพันและความเข้าใจในคุณค่าของมรดกท้องถิ่น นอกจากนี้ การจัดงานในพื้นที่ที่เข้าถึงง่าย เช่น ใกล้หอนาฬิกาเก่าและสถานที่สำคัญอื่นๆ เช่น อนุสาวรีย์พญามังราย และศาลเจ้าปุงเถ่ากง ทำให้ “ป๊ะกาด” มีโอกาสดึงดูดผู้คนจากหลากหลายกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของงานนี้อยู่ที่การรักษาความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์อัตลักษณ์ดั้งเดิมของกาดหลวงและการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ผ่านศิลปะร่วมสมัย การที่เทศกาลนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนเป็นสัญญาณที่ดี แต่การจะรักษาความยั่งยืนของงานในระยะยาว จำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ ทั้งในด้านการจัดการทรัพยากรและการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างต่อเนื่อง

สู่การค้นพบครั้งใหม่ที่กาดหลวง

“ป๊ะกาด” ไม่ใช่แค่เทศกาลศิลปะ แต่เป็นสะพานที่เชื่อมโยงผู้คนกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และอนาคตของกาดหลวงเชียงราย ผ่านผลงานศิลปะที่เล่าเรื่องราวของชุมชน และกิจกรรมที่ชวนให้ทุกคนมีส่วนร่วม ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคมนี้ กาดหลวงจะไม่ใช่แค่สถานที่ซื้อของ แต่จะกลายเป็นพื้นที่ที่ศิลปะและความทรงจำมาบรรจบกัน

สำหรับผู้ที่สนใจสัมผัสประสบการณ์นี้ สามารถเดินทางมากาดหลวงได้อย่างง่ายดาย ด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางเมืองเชียงราย ใกล้ถนนธนาลัย อุตรกิจ ไตรรัตน์ และสุขสถิต พร้อมสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง เช่น หอนาฬิกาเชียงราย และวัดร่องขุ่น ที่รอให้คุณมาค้นพบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย. (2568). ข้อมูลเกี่ยวกับกาดหลวงเชียงรายและการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น.
  • Everywhere Gallery. (2568). รายละเอียดเทศกาล “ป๊ะกาด” และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง.
  • รายงานการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2567.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News